บางระจัน ตอนที่ 5
ในป่าลึก เสือปิ่นเกาะขาทัพรั้งไว้ ชิดถือดาบใกล้เข้ามา
"ไอ้ชิด มึงหักหลังกู"
"แก่อย่างมึงน่าจะไปเมืองผีตั้งนานแล้ว ไอ้ปิ่น กูต่างหากที่สมควรเป็นหัวหน้าที่นี่"
ทัพจะขยับ เสือปิ่นดึงไว้
"ทัพ ฆ่ามัน ก่อนที่มันจะฆ่าเรา"
"มึงได้ตายสมใจทั้งคู่แน่ๆ ไม่ต้องเกี่ยงกัน"
"ทัพ"
เสือปิ่นขอร้อง ชิดเห็นโอกาสพุ่งตัวจะเข้าฟัน ทัพเอี้ยวตัวหลบ ปิ่นปล่อยมือจากขาทัพ ชิดพุ่งเข้ามา ทัพโดดเตะกลางตัว จนชิดล้มลง
"ฆ่ามัน ทัพ ฆ่ามัน"
ชิดจุก ดาบกระเด็นไปอีกทาง ทั้งคู่มองไปที่ดาบและพุ่งตัวไปพร้อมกัน ชิดถึงดาบก่อน คว้าดาบมาแทงสวนขึ้นไป แต่ทัพหลบได้ จับข้อมือชิดไว้
ปิ่นที่มองเห็น พร้อมตะโกน
"แทงมัน ทัพ .. ตัดหัวไอ้คนทรยศ"
ทัพกับชิดยื้อดาบกัน ชิดกำลังได้เปรียบ จะฟันทัพ แต่ทัพใช้แรงมากกว่า ถีบชิดเข้ากลางอก
จนหงาย ทัพคว้าดาบได้กลางอากาศ ก็พุ่งเข้าไป เสือปิ่นตาเบิกโพลง มองด้วยความดีใจ
ทัพเอาดาบปักลงข้างคอชิด ชิดตะลึง แทบหยุดหายใจ เพราะคิดว่าทัพจะแทงลงมาปักอก
สายตาทัพที่มองชิด นิ่ง อย่างมีพลังอำนาจเหนือกว่า
บริเวณลานหมู่บ้านศรีบัวทอง แฟงยืนอยู่มอง ชาวบ้านทุกคนที่หอบลูกจูงหลานกันมาล้อมวง เตรียมพร้อมเดินทาง อินกับเมืองช่วยกันต้อนคน
"เกาะกลุ่มกันไว้ เดินไปเงียบๆ" อินบอก
"จับลูกจูงหลานให้ดีๆ" เมืองว่า
"๒ไป ไปกันได้แล้ว" โชติบอก
ชาวบ้านทุกคนตามผู้นำ
ทัพจับดาบ ขณะที่ชิดเหลือบมองคมดาบที่อยู่ข้างคอ กลั้นหายใจ ปิ่นมองลุ้นว่าทัพจะทำยังไงกับชิด
"ข้าจะฟันคอเอ็งเสียตอนนี้ ให้สมกับความเลวที่เอ็งเป็นโจร ปล้น ฆ่า สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเสียก็ได้"
ชิดกลืนน้ำลายมองทัพด้วยความกลัวเกรง
"แต่ข้าเคยตั้งใจ ดาบข้าจะไม่ดื่มกินเลือดไทย ในยามศึกศัตรูประชิดเมือง คมดาบของเราควรจะหันไปทางศัตรู"
เสือปิ่นบอก
"เอ็งปล่อยมันไป มันจะย้อนกลับมาแว้งกัดเรา"
ปิ่นท้วง ทัพแค่ฟัง สายตายังจ้องชิด
"ข้ารู้ดี แล้วข้าก็เห็นแล้วว่าไม่มีสัจจะในหมู่โจร แต่คนไทยไม่ควรจะมาฆ่ากันเอง ไอ้ชิด"
ชิดสะดุ้งเฮือก มองทัพด้วยความกลัวตาย
"เอ็งจะสาบานต่อหน้าคมดาบของข้าได้มั้ย ข้าจะไว้ชีวิตเอ็ง ถ้าเอ็งยอมสาบาน จงเลิกใช้ชีวิตอย่างโจร เลิกเสียเดี๋ยวนี้ ถ้าเลิกไม่ได้ก็จงยอมให้หัวหลุดจากบ่า"
ทั้งชิด ทั้งเสือปิ่นต่างตกตะลึงกับคำขอของทัพ ทัพขยับตัวนิดเดียว ชิดตกใจลนลาน ร้องไม่เป็นภาษา
"เลิกจ้ะ ข้าเลิก เลิกเป็นโจรแล้ว"
"ถ้าเอ็งผิดคำสาบานกับข้า กลับไปเป็นโจร ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนแม้เพียงขโมยข้าวหยิบมือเดียว คมดาบร้อยเล่มพันเล่มจะลงโทษเอ็ง"
ทัพเอ่ยเหมือนประกาศิต ชิดรีบลุกขึ้น ยกมือไหว้ท่วมหัว
"ข้าจะไม่ผิดคำสาบาน ข้าจะไม่เป็นโจรทำให้ใครเดือดร้อนอีกแล้วจนชั่วชีวิต"
ทัพลดดาบถอยออกมา หันไปมองเสือปิ่น
"หนีไปซะ ไอ้ชิด ก่อนที่ลูกน้องทั้งหมดที่โดนเอ็งมอมเหล้า รมยา จะตื่นขึ้นมาลากตัวเอ็งตามคำสั่งเสือปิ่น"
ชิดมองแล้วตัดสินใจวิ่งหนีเตลิดหายไปในความมืด
ทัพถือดาบเดินตรงมา เสือปิ่นเริ่มกลัวว่าจะถูกทัพฆ่า
"อย่า...อย่าทำอะไรข้านะไอ้ทัพ อย่า"
ทัพมองจ้องเสือปิ่นด้วยแววตาวัดใจ
แท่นควบคุมกองเกวียนเดินทางอย่างระแวดระวัง กลุ่มแฟงและผู้นำ 6 คน แห่งบ้านศรีบัวทอง แท่น โชติ อิน เมือง ดอกไม้ ทองแก้ว นำชายถือมีดไว้ในมือ ยืนป้องกันกองเกวียนอยู่
ชาวบ้านผู้หญิงและเด็กบางคนกอดกันด้วยความกลัวเดินออกไป
โชติบอก
"เร่งหน่อยนะ คนเยอะ มันจะไปได้ไม่เร็ว"
"ไปเงียบๆกันนะ" แท่นบอก
ดอกไม้ ทองแก้วคอยดูชาวบ้าน ที่หอบลูกจูงหลานเดินออกไปกันเป็นขบวน แฟงอยู่ด้านหลัง มองขบวนชาวบ้านที่กำลังต้องทิ้งบ้านเรือนตัวเอง หนีภัยศึกแล้วสะท้อนใจ
"แม่จ๋า พี่ฟัก พี่เฟื่อง .. ไม่รู้อีกนานแค่ไหนเราถึงจะได้เจอกันอีก"
แฟงมองฟ้าแววตาหม่น
"ฉันมันคนบาป ฉันผิดเองที่ทำให้พี่แฟงกับพี่ทัพต้องผิดใจกัน ถ้าพวกพี่ไม่มีฉัน คงไม่มีใครทำให้ความรักของพี่ทั้งสองต้องพลัดพรากกันอีก"
แฟงเดินตามปิดท้ายขบวน ร่างหายลับห่างไปในความมืด
ทัพเดินมาใกล้เสือปิ่นที่เริ่มคลานถอย ทั้งๆที่เจ็บ
"เอ็งแค้นข้า"
"ใช่ ข้าแค้นที่เอ็งทำให้ข้าเสียเวลาอยู่ที่นี่ แทนที่จะได้ไปตามน้องสาวกับคู่ชิ้น"
เสือปิ่นนึกกลัวทัพที่เดินเข้าหา จนหมดเรี่ยวแรง ที่จะคลานต่อไม่ไหว
"เอ็ง"
ทัพเข้ามาใกล้ ปิ่นกลัวตาย
"อย่าฆ่า"
ทัพไม่พูดอะไร กระชากมีดสั้นออกจากท้อง
ปิ่นร้องลั่นด้วยความเจ็บ ทัพเอามือกดแผลที่เลือดกำลังทะลัก
"ไอ้ทัพ เอ็ง"
ปิ่นพูดได้แค่นั้นก็เห็นภาพทัพเลือนราง หมดสติไป ทัพมองปิ่นด้วยสายตาเวทนา
เช้าวันใหม่ บริเวณลานกองคาราวาน ณ หมู่บ้านพราน เช้าวันใหม่ จวงที่สีหน้าดีขึ้น ลุกขึ้นจากที่นอนมองเฟื่องที่กำลังเอาข้าวต้มเกลือร้อนๆมาวางให้
"ดีขึ้นหรือยัง จวง"
"ไม่ปวดแล้วจ้ะ ขอบใจพี่เฟื่องมากนะจ๊ะ พี่เฝ้าฉันทั้งคืนเลย"
เฟื่องเลื่อนข้าวต้มกับเนื้อเค็มแห้งให้จวง
"ไม่ต้องขอบใจอะไรหรอก จวงก็เหมือนน้องสาวพี่" เฟื่องบอก
"ป่านนี้ไม่รู้แฟงจะเป็นยังไงบ้าง" จวงว่า
เฟื่องหน้าหมองลง เอ่ยขึ้น
"ก็คงอยู่กับคู่ชิ้นของเค้า"
"พี่เฟื่อง"
เฟื่องทำท่าจะหันหลังออกไป แต่จวงดึงมือเฟื่องไว้
"พี่เฟื่องไม่ให้อภัยพี่ทัพกับแฟงมันเหรอจ๊ะ"
"พี่จะว่าอะไรได้ ถ้าพี่ทัพกับแฟง จะชอบพอกัน"
"ทำไมพี่ถึงคิดแบบนั้น พี่ทัพกับพี่รักกันมาหลายปี" จวงถาม
"ตะวันยังรู้จักเปลี่ยนจากเช้าเป็นสาย ใจคนที่อยู่ใต้แสงตะวันก็เปลี่ยนแปรไปตามนั้นได้เหมือนกัน"
"พี่เฟื่องน้อยใจที่พี่ทัพไม่มาตาม"
เฟื่องเงียบไป เพราะจวงพูดตรงใจ จวงขยับมาใกล้
"พี่ทัพอาจจะมาตามหาเราอยู่ แต่ยังมาไม่ถึง" จวงว่า
"หรือไม่ก็คงไม่มาแล้ว เพราะถ้าพี่ทัพจะมาจริงๆ ใครหน้าไหนก็รั้งพี่ทัพไว้ไม่ได้หรอก"
เฟื่องเดินหนีไป จวงได้แต่มองตามด้วยสายตาอึดอัดใจ
เฟื่องวิ่งมาหลบกลั้นน้ำตาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ขาบเดินมามอง เฟื่องสะอื้นปาดน้ำตา ทำสีหน้าปกติ
"ร้องไห้ทำไม เฟื่อง หรือว่ากำลังเสียใจที่ต้องติดอยู่ที่นี่กับข้า"
"พี่ก็รู้ว่าฉันคิดยังไง "
"อยากไปจากข้าทุกลมหายใจ"
เฟื่องมองขาบอย่างตัดพ้อ
"อีกไม่นาน เอ็งก็จะสมหวัง"
ขาบหันหลังจะเดินออกไป เฟื่องถามขึ้น
"พี่จะไปไหน"
"ลาดตระเวน กลัวไอ้พวกอังวะมันตามมา"
"แล้วเมื่อไหร่เราจะเดินทางต่อ"
"คุณพระนายบอกให้ตั้งกองอพยพพักรอที่นี่"
"ระยะทางอีกไม่เท่าไหร่ก็ถึงกรุงศรีแล้วไม่ใช่หรือ"
ขาบหันมามองเฟื่อง สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
"เอ็งอยากไปกรุงศรีเร็วๆหรือเฟื่อง พี่นึกว่าเอ็งอยากกลับกระทุ่มด่าน"
"ถ้าฉันเลือกได้ ฉันก็อยากกลับไปหาแม่ฉัน"
"ไปหาไอ้ทัพ ชิ้นรักของเอ็งด้วย"
เฟื่องไม่ยอมต่อความเรื่องทัพ เลี่ยงไปตอบเรื่องอื่น
"ถ้าต้องไปกรุงศรี ฉันก็อยากจะถึงเร็วๆ จวงไม่ค่อยสบาย ฉันกลัวว่าจะเจอพวกอังวะเข้าเสียก่อน จะยิ่งลำบาก"
"พี่ไม่ปล่อยให้พวกทหารอังวะมันแตะต้องเอ็งได้หรอก เฟื่อง พี่จะปกป้องเอ็งด้วยชีวิต"
สายตาขาบที่มองนั้น มันตรงกับปากนัก ขาบหันหลังเดินออกไป เฟื่องมองตาม สายตาเริ่มเห็นใจในตัวขาบมากขึ้นทีละน้อย
ทัพที่นั่งอยู่ท่ามกลางลูกน้องปิ่น เสือปิ่นที่มีผ้าพันแผลโดนแทงตรงท้อง นั่งพิงมองทัพ
"ขอบใจมากทัพที่ช่วยข้า ทั้งๆที่เอ็งฟันข้าแล้วหนีไปก็ได้"
"ถึงเอ็งจะคิดเอาข้าเป็นตัวประกัน เวลาที่ต้องเจอทหารกรุงศรี แต่ข้าก็จะไม่หนีด้วยวิธีโจรอย่างเอ็ง"
"เอ็งมันใจใหญ่จริงๆ"
ทัพลุกขึ้น ลูกน้องเสือปิ่นจับดาบเตรียมพร้อม ปิ่นมองทัพแล้วเอ่ยขึ้น
"ข้าไม่ให้เอ็งไป ข้าจะยกตำแหน่งหัวหน้าโจรให้กับเอ็งสืบต่อจากข้า"
"ข้าไม่รับ ข้าไม่ชอบหากินบนคราบน้ำตาคนอื่น"
"ทัพ... เอ็งคิดว่าศึกสงครามมาติดบ้านติดเมืองอย่างนี้ เราจะทำไร่ ทำนา หากินได้เหมือนเดิมรึไง"
"คนอื่นเค้าก็สูญไร่สูญนา อดอยาก หนีศึกเหมือนกัน ทำไมเค้าถึงไม่ไปเป็นโจร"
"ทัพ ข้ามีคน เอ็งมีฝีมือ"
"หุบปาก ไอ้ปิ่น ข้าช่วยยื้อชีวิตเพื่อให้เอ็งสำนึก เลิกสันดานโจร เอ็งยังมีหน้ามาชวนข้าทำชั่ว"
ลูกน้องปิ่นขยับ อยากจะเข้าหาทัพ ทุกคนหยุดรอดูท่าที ปิ่นบอก
"คนดีอย่างเอ็ง ไม่สมควรมาตายด้วยฝีมือคนชั่วอย่างพวกข้า ไปซะ ข้าตอบแทนน้ำใจเอ็งได้แค่นี้ ลูกน้องข้าจะนำเอ็งออกไปจากป่าที่ซ่อน รีบไปตามน้องสาวกับคู่ชิ้นของเอ็งเถอะ"
ทัพมอง ลูกน้องปิ่นปลดอ้ายเลามาส่งให้
เสือปิ่นหยิบดาบคู่ของทัพที่ซ่อนไว้จากที่เก็บเหล้าไห สมบัติหลังแคร่ มาส่งคืนให้"
ทัพรับดาบแล้วขึ้นอ้ายเลา
"เอ็งเปลี่ยนใจได้นะ เสือปิ่น แทนที่เอ็งจะปล้นฆ่าคนไทยด้วยกัน จงหันคมดาบของพวกเอ็งไปหาศัตรูที่กำลังจะมาปล้นแผ่นดินเรา หรือเอ็งจะยอมยกบ้านยกเมืองให้พวกมันมาข่มเหงเราชั่วลูกชั่วหลาน"
ทัพพูดทิ้งท้ายให้กลุ่มโจรเสือปิ่นได้คิด ก่อนจะกระตุกอ้ายเลาออกไปจากตรงนั้น ทัพขี่อ้ายเลาห่างออกมา ทิ้งกลุ่มโจรเสือปิ่นไว้อยู่เบื้องหลัง
ทัพที่เร่งขี่ม้ามาอย่างรวดเร็ว เพื่อจะเร่งเข้ากรุงศรี บริเวณบึงน้ำกลางทุ่ง อ้ายเลาวิ่งมาทรุดลง ทัพรีบโจนลงมา กอดอ้ายเลาไว้
"พักก่อนก็ได้ อ้ายเลาเพื่อนยาก พักก่อน เอ็งอดหญ้าอดน้ำมาหลายวัน"
ทัพดึงอ้ายเลาไปที่ริมน้ำ ให้อ้ายเลาได้กินน้ำ เล็มหญ้า
ทัพมองไกล ย้อนคิดไปถึงตอนที่กอดจูบกับเฟื่อง ทัพนั่งลงสีหน้ากังวล
"พี่ไม่เคยมีใจให้หญิงอื่น ทำไมเฟื่องถึงไม่เชื่อใจพี่"
เฟื่องนั่งกอดเข่า สีหน้าเศร้า มองไปไกล จวงเองก็นั่งอยู่ใกล้เห็น ขาบกับสังข์กำลังเดินมา จวงรีบบอกเฟื่อง
"พี่เฟื่อง ช่วยฉันด้วยนะ"
จวงล้มตัวลงนอน ทำทีกุมท้อง เฟื่องมองเห็นสังข์กับขาบมาใกล้ก็เข้าใจ รีบหันไปเอาชายสไบแกล้งซับเหงื่อให้จวง
สังข์กับขาบเดินมาถึงก็หยุดมอง
“จวงยังไม่หายอีกรึ เฟื่อง”
“ยังไม่ค่อยดี”
สังข์ลงมานั่งใกล้จวง เอามือแตะแขน จวงสะบัดแรงทันที สังข์มอง
“มีแรงแล้วนี่”
เฟื่องมองหวั่นใจ จวงนึกได้ก็รีบเสียงออด
“ยังปวดอยู่ นายกองพอจะหายาให้ฉันหน่อยได้มั้ย”
“ยาอะไรล่ะ จวง ต้องใช้ยาอะไร บอกมาเถอะ ข้าจะให้ทหารออกมาไปหามาให้”
สังข์ท่าทางห่วงใยจวงจริงๆ เฟื่องกับขาบมองอยู่ จวงนึกไม่ทัน ก็แกล้งตอบไปส่งๆ
“ก็ยา .. ยาแก้ปวดท้องน่ะ ไปหาขิงแก่มาต้มให้ฉันกินหน่อย”
“เอ็งท้องอืดหรือ จวง ไหนเฟื่องว่าปวดท้องผู้หญิง”
จวงรีบตอบ
“มันก็กินแทนกันได้ นายกองจะมารู้อะไร โอย ปวดๆๆ”
เฟื่องรีบเข้ามาทำเป็นจับเนื้อจับตัวจวง บีบนวดให้ สังข์ถอยออกมา
“ขาบ เอ็งให้คนไปหายามาให้จวง เมียข้าหน่อย”
“รีบไปสิจ๊ะ” เฟื่องบอก
ขาบเดินออกไป สังข์มอง จวงทำร้องโอดโอย จนสังข์สีหน้าไม่ดี
“นายกองไปทำงานเถอะ ไม่ต้องห่วงนะ ปวดแบบนี้ ก็ร้องได้ทั้งวัน นึกจะปวดก็ปวด”
“ดูให้หายล่ะเฟื่อง อย่าให้จวงเป็นอะไร”
“จ้ะ นายกอง”
สังข์เดินตามออกไปอีกคน
เฟื่องกับจวงพอมองเห็นสังข์ห่างไป ก็แอบหันมาอมยิ้มให้กัน
“เป็นถึงนายกอง แต่ดันหลอกง่ายหลอกดาย” จวงว่า
“ท่าทางสังข์เค้าห่วงจวงมากจริงๆ”
“แต่ฉันชังน้ำหน้ามัน ฉันจะไม่ให้มันมาเข้าใกล้ฉันอีก พี่เฟื่องต้องอยู่ใกล้ๆ ช่วยฉันด้วยนะ”
เฟื่องพยักหน้ารับคำ จวงสีหน้าโล่งใจขึ้น
สไบกับผู้หญิงชาวบ้าน 4- 5 คนในขบวนอพยพกำลังเอาเกวียนมาเกี่ยวข้าวในนาร้างที่ยังหลงเหลืออยู่ ใจ เอิบ ช่วง ดอกรัก ถือดาบคอยคุ้มกัน
ดอกรักมองใจอย่างไม่ค่อยชอบใจ เอิบกับช่วงเห็นก็อดปากไม่ไหว
เอิบเอ่ยถาม
"เฮ้ย ไอ้ดอกรักข้าถามจริงๆ เอ็งจะเหล่ไอ้ใจอีกนานมั้ย ข้าเห็นหน้าเอ็งบอกบุญไม่รับมาตลอดทาง"
"กูก็หน้าตาของกูแบบนี้" ดอกรักว่า
ช่วงบอก
"หรือว่า"
"รักแสลง"
"แรงหึง"
ว่าแล้วสองคนก็หัวเราะกัน ดอกรักทำเป็นฟันลงไปที่หญ้าแรงๆ เอิบกับช่วงสะดุ้ง
"ข้าหยอกเล่นหน่อยเดียว เอ็งก็ฉุนไปได้" เอิบบอก
"ดูไอ้ใจสิ มันโดนเหน็บ ก็ยังเฉย"
"เห็นคนไกลมันดีกว่า ระวังน้ำตาจะตกเช็ดหัวเข่า พ่อก็ไม่มีแล้วด้วย"
ดอกรักพูดดังๆตั้งใจให้สไบที่กำลังเดินมาพร้อมข้าวที่เกี่ยวในมือได้ยิน ใจไม่พอใจดอกรัก
"พี่ดอกรักตั้งใจจะบอกมาถึงฉันหรือ"
สไบถามตรง ทุกคนอึ้งมอง สไบเดินตรงมาที่หน้าดอกรัก
"ถ้าจะหมายถึงฉันหรือพี่ใจ ก็พูดมาเลย ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา"
"เวลานี้สไบเหลือพี่คนเดียวเท่านั้น สไบไม่เห็นหัวพี่ เพราะอยากปกป้องคนอื่นอย่างนั้นหรือ"
"ถ้าคนอื่นคือพี่ใจ ฉันว่าพี่ดอกรักคิดใหม่เถอะ ที่ผ่านมา ใครปกป้องใครกันแน่ พี่ใจช่วยฉัน ช่วยพ่อ กระทั่งช่วยชีวิตพี่ เราเป็นหนี้บุญคุณพี่ใจ"
"สไบก็เลยคิดจะเอาตัวใช้หนี้"
สไบโกรธจัดเอารวงข้าวฟาดลงบนหน้าดอกรัก ทุกคนยิ่งอึ้งเงียบกริบ
"สไบ"
"พี่ใจไม่ต้องห้าม"
สไบหันมาจ้องดอกรัก แววตาผิดหวัง เสียงสั่นเครือ
"เสียแรงเป็นพี่เป็นน้องกันมา พี่ดอกรักหยามใจฉันได้ถึงเพียงนี้"
สไบวิ่งหันหลังออกไปจากตรงนั้น ใจวิ่งตามทันที
"สไบ"
ดอกรักจะวิ่งตาม เอิบกับช่วงตามมาขวาง
"ข้าว่าเอ็งอย่าตามไปเลยว่ะไอ้ดอกรัก ปากหมาๆอย่างเอ็ง เดี๋ยวดาบไอ้ใจมันจะบาดปากเสียเปล่าๆ"
ดอกรักมองเอิบกับช่วงที่หน้าตาขึงขังขึ้นมาทันที
ช่วงบอก
"กลับกับข้า ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวสไบกับไอ้ใจมันก็ตามไปเอง ไปพวกเรา กลับกัน"
เอิบกับช่วงเดินไปคุมเกวียนที่บรรทุกรวงข้าว ให้ชาวบ้านขับออกไป ดอกรักจำขึ้นนั่งเกวียนกลับไปด้วย
เอิบ ช่วง ชาวบ้านชายบางคนเดินปิดท้าย คุ้มกันหลังให้ทุกคนกลับไป
สไบวิ่งมา หยุดแล้วสะอื้น ใจตามหลังค่อยๆเดินเข้ามา
"สไบ"
สไบหันมา น้ำตานองหน้า
"พี่ไม่ควรอยู่ที่นี่เลย" ใจบอก
"ไม่เกี่ยวหรอกจ้ะ ถึงพี่ไม่มากับเรา ฉันกับพี่ดอกรักก็คุยกันไม่รู้เรื่อง"
"เพราะพี่เป็นต้นเหตุ"
"พี่ดอกรักไม่ฟังใครมาตั้งแต่เด็ก คิดอะไรเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ยิ่งตอนนี้ไม่มีพ่อแล้วยิ่งวางอำนาจใส่ฉันไม่เลิก"
"เค้ารักสไบ"
งูจงอางเลื้อยมาตามฟางข้าวช้าๆ สไบทอดแววตาเศร้า
"แต่ฉันเห็นพี่ดอกรักเป็นแค่พี่ชาย"
ใจเดินเข้าใกล้สไบ แต่ไม่กล้าที่จะพูดออกมา เพราะมีบางอย่างอยู่ในใจ
"หมดศึกเมื่อไหร่ สไบก็คงต้องทำตามสัญญาของพ่อ..แต่งงานกับดอกรัก"
"เวลานี้พ่อก็ตายไปแล้ว ฉันคงไม่ต้องรักษาสัญญาอะไรอีกแล้ว ฉันไม่อยากอยู่กับคนที่ฉันไม่รัก"
งูเลื้อยเข้ามาใกล้สไบเข้าทุกที
สไบมองใจ สายตาของสองคนถ่ายทอดความรู้สึกดีๆให้กันอย่างอบอุ่น
"แล้วสไบอยากอยู่กับใคร"
สไบยังไม่ทันตอบ งูจงอางที่เลื้อยมาบนดิน ฉกเข้าที่ขาขวาของสไบ
"โอ๊ย"
สไบร้อง ใจมองเห็นงูเลื้อยผ่านไปอย่างเร็ว ใจหันมารับร่างสไบที่กำลังทรุดลง
"สไบ"
"พี่ใจ"
งูจงอางเลื้อยหนีไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ใจรีบเอาผ้าคาดเอวรัดเหนือแผล ไม่ให้พิษงูแล่นขึ้นสู่หัวใจ แล้วเอามือเค้นเลือดออกมา
"สไบ สไบ"
สไบมองเห็นภาพใจเลือนราง ใจรีบล้วงสมุนไพรในย่ามที่สะพายออกมาเคี้ยวแล้วโปะใส่ที่แผล
"พี่ใจ ช่วยฉันด้วย"
"สไบ อย่าหลับ สไบ ... อดทนไว้นะ สไบ อย่าหลับ"
ใจพยายามเขย่าร่าง แต่สไบฝืนไว้ไม่ไหว
"พี่ใจ อย่าทิ้งฉัน"
"สไบ พี่ไม่ทิ้งสไบ"
ใจดึงร่างสไบมาแนบอก
"สไบแข็งใจไว้ พี่อยู่นี่ พี่จะไม่ทิ้งสไบไปไหน สไบก็อย่าทิ้งพี่ไป สไบ"
สไบมองหน้าใจ
"สไบ ได้ยินพี่มั้ย สไบ สไบ สไบ พี่รักสไบนะ"
สไบยิ้ม เอ่ยเสียงคราง
"ฉัน"
สไบพูดได้แค่นั้น ก็หมดสติไปทันทีในอ้อมแขนใจ
"สไบ"
ใจกอดสไบไว้แน่นในอ้อมแขน
อ่านต่อหน้า 2
บางระจัน ตอนที่ 5 (ต่อ)
เวลาต่อมา ดอกรักเดินไปเดินมา มองหาสไบ กลุ่มผู้ชายกำลังนั่งกินเหล้ากันอยู่ทางหนึ่ง กลุ่มผู้หญิงกำลังหุงหาข้าวปลา ดอกรักทนไม่ไหว ลุกขึ้น จะก้าวออกไป
ฟักยกฝักดาบขึ้นขวาง
"ฉันจะไปตามสไบ หายไปกับไอ้ใจ ป่านนี้ ยังไม่กลับ"
"สไบมันไม่ใช่เด็กเล็กๆ" เอิบบอก
"เป็นสาว สวย สะพรั่ง" ช่วงว่า
"ไอ้ช่วง เอ็งก็ไปยั่วมัน แค่นี้ไอ้ดอกรักมันจะคลั่งตายอยู่แล้ว"
ดอกรักงุ่นง่าน ยืนไม่ติด ฟักต้องเอ่ยเตือน
"กลับไปนั่งเถอะ ดอกรัก เดี๋ยวสไบกับไอ้ใจมันก็กลับมา"
หมู่เคลิ้มบอก
"แห่กันไปตาม เดี๋ยวพอคลาดกัน ก็ต้องมารอ ไม่ต้องได้เดินทางกันต่อ" แ
หมู่เคลิ้มมองด้วยสายตาของคนมีอำนาจเป็นหนึ่งในผู้นำ
ดอกรักจำต้องไปนั่ง แววตาเก็บงำความไม่พอใจที่คิดว่าทุกคนกำลังเข้าข้าง เห็นดีเห็นงามไปกับใจ
สไบที่ค่อยๆฟื้นขึ้นมา ในอ้อมแขนใจ เขามองเป็นห่วง
"พี่ใจ"
ใจยิ้มดีใจที่เห็นสไบฟื้นขึ้นมา สไบขยับตัว ใจค่อยๆพยุง
"ฉันยังไม่ตาย"
"ปวดแผลหน่อยนะ สไบ"
สไบก้มมองขาตัวเองเห็นมีสมุนไพรประคบแล้วปิดทับด้วยเศษผ้าของใจ
"พี่เอายาล้างพิษประคบแผลไว้"
"พี่ใจช่วยฉันอีกแล้ว"
"ให้พี่อยู่ช่วยสไบไปทั้งชีวิตก็ได้"
สไบกับใจมองสบตากัน ความรู้สึกผูกพันท่วมท้น ใจไม่อาจหักห้ามใจไว้ก้มลงจะจูบ สไบนึกอาย เอียงแก้มหลบด้วยความเขิน จมูกใจเฉียดแก้มไป
"ฉันเป็นหนี้ชีวิตพี่ใจ ชดใช้ทั้งชีวิต ก็คงไม่หมด"
"ถ้าจะชดใช้ สไบก็ต้องอยู่กับพี่"
"พี่ใจ"
"พี่ยังไม่เร่งรัดตอนนี้ แต่ถ้าสไบไม่อยากติดค้าง ก็ต้องอยู่ใช้หนี้กับพี่ไปจนชั่วชีวิตของเรา"
ใจประคองสไบขึ้นยืน สไบเขินอาย เขาดึงเธอมากอดไว้ แล้วจูบลงที่ผมแผ่วเบา
"ไม่ว่าต่อไปข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น สัญญากับพี่ได้มั้ย สไบ"
สไบมองหน้าใจ สายตามีแต่ความตื่นเต้นแบบเด็กสาว
"สไบอย่าเกลียดพี่"
"พี่ใจดีกับฉันทุกอย่าง ฉันจะเกลียดพี่ได้ยังไง"
"สัญญา"
"จ้ะ สัญญา สไบไม่มีวันเกลียดพี่ใจ"
"สไบจะเชื่อว่าพี่รักสไบ พี่รักสไบจากใจจริง"
ใจดึงสไบมากอดไว้อีกครั้งอย่างแนบแน่น แววตาสไบมีแต่ความสะท้านอาย ตรงข้ามกับแววตาใจที่นิ่ง กดดัน เพราะมีความลับมากมายซ่อนอยู่
ดอกรักนั่งไม่ติด ฟักกับพวกมองอยู่ห่างๆ แต่ไม่ได้ว่าอะไร ใจประคองสไบที่เดินกะเผลกเพราะปวดขาขวาที่ถูกงูกัดเข้ามา
ดอกรักโพล่งเรียก "สไบ"
ทุกคนหันไปมอง ใจประคองสไบเข้ามาแล้วบอกทุกคน
"ถูกงูกัด แต่ฉันเอาพิษออกแล้ว" ใจบอก
ชาวบ้านผู้หญิง 2 คนรีบเข้ามารับสไบประคองไว้
ฟักบอก
"รีบพาไปหาน้าอิ่ม แกเป็นหมอ"
ผู้หญิงประคองสไบออกไป ดอกรักหันมาทางใจทันที
"เอ็งทำยังไง สไบถึงถูกงูกัดได้"
เอิบบอก
"เอ๊ะ ไอ้ดอกรัก เอ็งถามพิกล ยังกับว่าไอ้ใจมันปล่อยงูมากัดสไบ"
ใจมองจ้องดอกรักที่ท่าทางเอาเรื่อง
"เออ นั่นสิ งูในนา มันก็เพ่นพ่าน เดินไม่ระวัง มันก็ฉกเอา"
"เอ็งคงเกิดมาเป็นเทวดาประจำตัวสไบสินะ ถึงช่วยสไบไว้ได้ทุกครั้ง"
"ข้าไม่รู้หรอก ว่าข้าเกิดมาเป็นเทวดาหรือภูตผีปีศาจ แต่ข้ามีหน้าที่ ถึงหน้าที่ข้าจะทำให้ใครไม่พอใจ ข้าก็ยังจะยึดถือหน้าที่ของข้าไว้"
ใจมองดอกรักแล้วเดินออกไป ไม่อยากปะทะด้วย
ดอกรักกำหมัดมองตาม
"ไอ้ใจมันหมายฟามว่า... หน้าที่ของคนต้องชะตากัน"
ดอกรักหันมามอง เอิบทำหน้าทะเล้นใส่
ฟัก เอิบ ช่วง หมู่เคลิ้มมองดอกรัก แล้วไม่พูดว่าอะไร หันมาคุยปรึกษาเรื่องอพยพกันต่อ
ยิ่งทำให้ดอกรักมีแต่ความเจ็บใจมากขึ้น
หมออิ่ม ผู้เฒ่าชายประจำหมู่บ้านกำลังเอาว่านหัวเล็กๆให้สไบกิน ใจเดินมามอง
หมออิ่มดูแผลที่โปะยาไว้แล้วบอกสไบ
"ไม่ต้องกลัวนะ สไบ .. เอ็งรอดแน่ๆ"
"พี่ใจช่วยฉันไว้จ้ะ พี่เขาก็มียาดี ไม่งั้นฉันคงไม่ได้กลับมานี่"
ใจมองสไบที่เอ่ยบอกทุกคนตรงนั้น สีหน้าทุกคนชื่นชม สไบหันมาเห็นใจที่หลบมองอยู่ก็ยิ้มให้
ใจยิ้มให้สไบ ก่อนจะขยับหันหลังเดินห่างออกมา สีหน้ากังวล ยิ้มไม่เต็มที่เหมือนก่อน
ทัพตะลุยขี่อ้ายเลาข้ามน้ำ แววตาทัพมีแต่ความร้อนใจ อยากจะไปหาจวงและเฟื่องให้เจอโดยเร็ว
มีขบวนชาวบ้านที่อพยพหนีศึกกันมา 10 กว่าคน ทัพรีบดึงอ้ายเลาเข้าไปถาม
"ป้าจ้ะ ทางที่ป้ามา ได้ยินเขาคุยเรื่องโจรจับผู้หญิงสองคนมาทางนี้บ้างไม๊"
ชาวบ้านส่ายหน้า เดินต่อไป ทัพสีหน้าวิตก
"เฟื่อง จวง พี่จะไปตามเอ็งสองคนที่ไหนดี"
เฟื่องคอยมองประตู จวงชะเง้อมองด้วย เสียงสังข์เดินมาไกลๆ
"พี่เฟื่อง อย่าให้ไอ้สังข์เข้ามา ฉันชังหน้ามัน"
สังข์เดินมากับขาบ ผลักประตูพรวดเข้ามา เฟื่องก็ชักสีหน้า
"จวงยังไม่ดีขึ้นหรือ เฟื่อง"
"ใกล้แล้ว"
"แล้วเมื่อไหร่จะหาย"
"ก็คงใกล้แล้ว"
สังข์ท่าทางร้อนรน
"ไอ้ขาบ เอ็งไปถามพวกชาวบ้านสิว่าใครเป็นหมอจัดยามารักษาเมียข้าได้บ้าง"
"ไม่ต้องหรอก นายกอง พรุ่งนี้ก็คงดีขึ้น" เฟื่องบอก
"แล้วถ้าไม่ดีขึ้นล่ะ ไป ขาบ...ไป เดี๋ยวนี้ หาหมอมารักษาเมียข้า ไปบอกพวกมันใครรักษาได้ ข้ามีรางวัลให้"
ขาบมองแล้วเดินออกไป เฟื่องหันมา จวงสีหน้าไม่ค่อยดี สังข์มองสองสาวจากด้านหลัง รู้สึกเริ่มไม่วางใจว่าอาจจะโดนหลอก
เวลากลางคืน ทัพขี่อ้ายเลามาอย่างอ่อนเพลีย มองไปในความมืด สีหน้าไม่ดี ทัพลูบหัว
"เราหลงทางเสียแล้วล่ะ อ้ายเลา"
สังข์ ขาบที่ยืนมองอยู่ หญิงชาวบ้านมีอายุ กำลังคลำไปที่ท้องจวง เฟื่องมองอย่างกังวล กลัวความแตก กดลงไปตรงไหน จวงก็แกล้งร้อง
"โอ๊ย ... โอ๊ย"
"เฮ้ย... เบาๆสิ ป้า เมียฉันเจ็บ"
จวงยิ่งแกล้งคราง เฟื่องแกล้งปลอบผสมโรง
"จวง อดทนหน่อย จะได้หาย"
"เจ็บไปหมดทั้งตัวเลยพี่เฟื่อง ฉันคงจะตายเสียที่นี่"
สังข์ร้อนรน
"เอ้ย ยังไงล่ะ เมียข้าตายไม่ได้นะ จวงเป็นอะไร จัดยาสิ"
หญิง 1 ลนลาน แตะไปที่ท้อง จวงดิ้นพราด
"จวง จวง เป็นยังไง"
จวงดิ้นพราด สังข์ทำอะไรไม่ถูก หันมาโวยกับหญิงชาวบ้าน
"เป็นหมอแน่หรือเปล่าวะ"
"ใจเย็น นายกอง ทั้งหมดที่มากัน ก็มีป้าแกนี่แหละ ที่เค้าว่ารักษาหายมาหลายคนแล้ว"
"เมียข้าเป็นอะไร"สังข์ถาม
"โรคแพ้ผัว"
สังข์ผงะ
"ฮะ โรคอะไรวะ"
"โรคแพ้ผัว นังหนูนี่มันถูกพาตัวมาใช่มั้ยล่ะ ใจมันไม่รักไม่ชอบ มันก็กลัวจนขวัญหาย กระเจิดกระเจิง พาลจับไข้ไม่หาย นี่ดีนะ แค่แพ้ยังไม่ถึงขั้นกินผัว"
สังข์หน้าเสีย มองจวงอย่างไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้
"เออ งั้นก็รีบๆรักษาให้หายซะ ไอ้ขาบ ไปกินเหล้าเรือนเอ็งดีกว่า"
สังข์หันหลัง เดินออกไปก่อน ขาบมองเฟื่องกับจวงแล้วตามออกไป เฟื่องมองแล้วแอบอมยิ้มกับจวง
สังข์เดินนำขาบมา สีหน้าหงุดหงิด
"มันมีด้วยเหรอวะ ไอ้โรคนี้ แพ้ผัว แล้วจะแก้ไขยังไงได้วะ ยังไงจวงมันก็ต้องเป็นเมียข้านะ"
"ก็มันเป็นเมียเอ็งอยู่แล้วนี่"
ขาบมีพิรุธขึ้นมานิดหนึ่ง แต่สังข์ไม่ทันสังเกต
"เอาน่าใจเย็น ช่วงนี้เอ็งนอนที่บ้านข้าก่อน ให้จวงมันหายแล้วค่อยกลับคืนเรือน"
ขาบไม่พูดอะไร อมยิ้มน้อยๆ เดินนำสังข์ไปทางกระท่อมตัวเอง
จวงที่ลุกขึ้นนั่งข้างเฟื่อง ยกมือไหว้หญิงชาวบ้าน
"ขอบใจนะ ป้า ถ้าป้าไม่ช่วยโกหก ฉันแย่แน่ๆ"
"ฉันไม่มีอะไรเป็นสินน้ำใจให้ป้าเลย" เฟื่องบอก
"ไม่ต้องๆ ข้าได้มาแล้ว" ป้าบอก
"ใครให้ป้า"
"อย่าอึงไป หมู่ขาบให้ข้ามาแล้ว"
เฟื่องกับจวงมองหน้ากัน
"พี่ขาบตบรางวัลป้า" เฟื่องว่า
"ตอนไปตามตัว หมู่ขาบบอกให้ข้าช่วยพูดว่าเอ็งป่วย นายกองสังข์จะได้ไม่กวนเอ็ง"
หญิง 1 ทำหน้าล้อเลียน จวงอาย แล้วลงเรือนไป เฟื่องตามลงไปส่ง
ขาบนั่งกินเหล้ากับสังข์อยู่ที่ชานเรือน สังข์เริ่มเมาแล้ว แต่ขาบดูยังมีสติ ไม่ค่อยกิน
"ข้าว่าจวงมันไม่เป็นอะไรดอก มันแกล้งป่วยเพราะไม่อยากอยู่ใกล้ข้า แล้วเฟื่องนะ มันเกลียดเอ็งอย่างกับขี้ แต่..ทำไมอยู่ๆมันยอมเอ็งวะ"
ขาบเงียบ สังข์มองยิ้ม หัวเราะ เมาแล้ว
"มันคงติดใจรสสวาทเอ็งแล้วซินะ หงิมๆอย่างเอ็งก็มีทีเด็ดเหมือนกัน"
"ข้าสงสารแม่เฟื่อง แม่จวง ผู้หญิงเขาไม่รักไม่ชอบอย่าเอาเขามากักขังไว้เลย"
"ไอ้ขี้ขลาด ไอ้ขาบ..มึงตรองดู ตอนอยู่คำหยาด นังเฟื่องมันมองมึงแค่หมาตัวหนึ่ง ถ้ากูไม่ไปฉุดมามึงจะได้มันเป็นเมียมั้ยมึงจะรอให้ไอ้ทัพแทะเนื้อกินจนหมด แล้วคอยเอากระดูกเขามาเลียงั้นรึ"
ขาบทนไม่ไหวเอาเหล้าสาดหน้าสังข์
"อย่าหยามกูเยี่ยงนี้ กูไม่เคยคิดหักหาญน้ำใจหญิง เขาไม่รักไม่ชอบก็แย่งชิงฉุดคร่ากูไม่ได้เป็นคนสันดานโจรปล้นเขากินเหมือนมึง"
สังข์โผเข้าขย้ำคอขาบจนหงายท้อง ขาบพยายามป้องกันตัว
"ไอ้ขาบ กูทำทุกอย่างเพื่อมึง ถ้ามึงอยากจะกลับไปอยู่ข้างไอ้ทัพ ไปกินของเหลือเดนเขาก็ไปเลย"
ขาบถีบสังข์กระเด็นไปติดฝา สังข์สิ้นพยศเพราะเมาจัด..แต่ยังพูดต่อ
"มึงจำคำกูไว้... ถึงมึงได้ตัวนังเฟื่องแล้ว แต่..ถ้าไอ้ทัพมาตามเมื่อไหร่ นังเฟื่องมันก็จะกลับไปอยู่กับไอ้ทัพอยู่ดีมึงมันแค่หมา...เขาโยนกระดูกให้ก็นึกว่าเขารัก จำคำกู..ไว้ไอ้หมา...ขาบ"
สังข์ค่อยๆหลับไปเพราะฤทธิ์เมา ขาบเข้าไปลากสังข์ให้นอนดีดี หาผ้ามาหนุนหัวเรียบร้อย แล้วเดินลงเรือนไปด้วยความน้อยใจ
เฟื่องลงมาส่งป้าหญิง 1 ขาบยืนอยู่มุมหนึ่งหลังกลับจากส่งสังข์ที่เรือน เฟื่องไม่กล้าหนี
ขาบพอเห็นก็เอ่ยบอกเฟื่อง
"นายกองสังข์คงไม่กลับมานอนที่นี่อีกหลายวัน"
"ขอบใจพี่ที่ช่วยจวง"
"ก็ช่วยได้ไม่นานหรอก จะปดกันไปได้กี่ครั้ง คิดหรือเปล่าว่าคนอื่นจะเดือดร้อนไปด้วย"
"นายกองคงไม่สงสัยเรื่องพี่กับฉันไปด้วย"
"สงสัย"
ขาบหันมามองเฟื่อง
"แต่พี่ก็ปดไป อาศัยว่าเฟื่องมาเฝ้าจวง"
"พอถึงกรุงศรี จวงก็ต้องไปอยู่เรือนนายกองสังข์"
"เป็นเมียนายกองสังข์ไม่ดีตรงไหน ยิ่งยามศึกอย่างนี้ นายกองคงไม่เลี้ยงให้เมียอดๆอยากๆหรอก"
"พี่ก็รู้ คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก พวกฉันถูกลักตัวมา จะให้ทำใจรัก ให้ชอบ ชั่ววันสองวัน คงทำไม่ได้"
"พี่รู้ว่าต่อให้ตลอดชั่วชีวิตเอ็ง ก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจมารักพี่"
ขาบสายตาเศร้า
"คนขี้ขลาดตาขาว เอาแต่ตามก้นคนอื่นอย่างพี่ ..ไม่มีวันชนะใจผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น"
ขาบเอ่ยตัดพ้อตัวเองแล้วหันหลังเดินหายไปในความมืด เฟื่องมองตามด้วยสายตาเห็นใจ
ทัพขี่อ้ายเลาผ่านหมู่บ้านต่างๆ ... ผ่านหมู่บ้านที่ถูกทหารอังวะเผาจนราบเรียบเหลือแต่ซาก
ทัพมองสลดใจ
แฟงที่เดินมากับขบวนอพยพของบ้านศรีบัวทอง มีคนแก่ เด็กหลายคน แฟงช่วยพยุงคนที่เหนื่อยอ่อน ขึ้นมาเดินข้ามแม่น้ำ แท่น หัวหน้าของกลุ่มคอยระวังขบวน โดยมี อิน โชติ เมืองดอกไม้ ทองแก้ว
คอยระวังภัยช่วยชาวบ้านเร่งให้เดินเป็นระยะ
ด้านขบวนอพยพของสไบ เร่งเดินทางลัดเลาะผ่านทุ่งข้าว บ้างถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว บางที่ถูกทิ้งร้าง นาข้าวแห้งเหี่ยว เพราะเจ้าของหนีภัยสงคราม
ขบวนของแฟงดินตัดทุ่งกันเป็นทิวยาว ลมแล้งเดือนสามพัดแรง ยอดไม้ปลิว หลายต้นใบร่วงหล่นจนหมด
ลานป่าละเมาะแฟงและทุกคนนั่งผิงไฟกองเล็กๆ ขับไล่ความหนาว
ทัพยังขี่อ้ายเลาดั้นด้นไปในความมืด
วันใหม่ ขบวนชาวบ้านจำนวนมากที่พากันหอบลูกเด็กเล็กแดง เสื้อผ้า หม้อดิน หาบ ไห พากันยืนออหน้าประตูเมือง กรุงศรีอยุธยา มีพระสงฆ์ที่อพยพเข้ามาในกรุงศรีฯ ด้วย
ทหารยืนขวางไม่ให้คนผ่านเข้าไป ทุกคนขนข้าวของพะรุงพระรัง พยายามช่วยกันขอร้อง เพื่อขอเข้าไป ประตูเมืองเปิดออก คุณพระนายขี่ม้ามามอง
ชาวบ้านพากันแตกตื่น รีบดึงลูกหลานเบียดเสียดกันแน่นจะเข้าประตูเมืองให้ได้ ทหารกันไว้
มีคนหกล้มหกลุก
คุณพระนายบอก
"เข้าไม่ได้ กำหนดประตูพระนครปิดแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมา"
ชาวบ้านตะโกนมาทางคุณพระนาย
ชาย 1บอก
"คุณพระนายขอรับ เกณฑ์ปิดประตูอีก 3 วันข้างหน้าไม่ใช่หรือ"
หญิง 1บอก
"ขบวนอพยพก็ยังมากันไม่หมด ทหารเพิ่งไปบอกข่าวได้ไม่กี่วันเองว่าจะปิดประตูก่อนกำหนด"
"ก็ในพระนครคนมันเต็มไปหมดแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมากัน กลับไปได้แล้ว"
หญิง 1อ้อนวอน
"ก็เพิ่งเกี่ยวข้าวเสร็จจะให้มาก่อนได้อย่างไร เมตตาพวกเราเถิด ลูกฉันก็ยังเล็ก"
"ไปหาที่ซุกซ่อนกันตามป่าตามเขาเถอะ ยังไงก็เข้าไม่ได้ นี่คือกฎอัยการศึก ใครฝ่าฝืนข้ามีอำนาจตัดหัวมันทุกคน ถอยออกไป"
ชาวบ้านหน้าระห้อย ไม่อาจยอมรับสภาพได้ บางคนก็ร้องไห้โฮอย่างไม่อายใคร
"ข้าวปลาก็เอาขอข้าไปส่งหลวงตั้งเยอะ มาทิ้งกันอย่างนี้เหมือนเราไม่ใช่คนไทยด้วยกัน"
"อยู่ข้างนอกจะไปหลบที่ไหนพ้น พวกข้าศึกมันมาเต็มแผ่นดิน"
คุณพระนายมองชาวบ้านอย่างเมินเฉยไม่ไยดี
"ทหาร....ปิดประตู"
นายกองสีหน้าไม่ดี มองไปเห็นลิบๆที่นอกกประตู ยังมีชาวบ้านพากันอพยพกันมาอีก
คุณพระนายชักปืนสั้นขึ้นมายิง ตะโกนเป็นคำขาด
"ปิดประตูกรุงศรีบัดเดี๋ยวนี้ ห้ามใครผ่านเข้าออก ใครไม่เชื่อข้าจะยิงทิ้งบัดเดี๋ยวนี้"
พูดจบก็ชักม้าเข้าประตูเมืองไป ชาวบ้านไม่มีทางเลือก ต่างแย่งกันเข้าประตูจนล้มคว่ำ ถูกเหยียบ ทหารหลายคนหน้าเสียกันไม่อยู่ พยายามจะปิดประตู
"อย่าเพิ่งปิดประตู ขอข้าเข้าไปด้วย ขอข้าเข้าไปก่อน อย่าทิ้งพวกข้า"
ทหารรีบผลักชาวบ้านออกไป ชาวบ้านบางคนพยายามแทรกตัวผ่านประตูเมืองเข้ามา
คุณพระนายโกรธจัด ยิงสวนออกไป กระสุนถูกชาวบ้านหญิงที่อุ้มลูกอยู่ ล้มลงคาประตู
"ปิดประตู"
ทหารผลักศพหญิงที่ตายคาประตูออกไป แล้วลั่นดานได้
ชาวบ้านด้านนอกยังพยายามดันประตูอยู่ไม่ยอมกลับ ต่างร้องไห้คร่ำครวญ
วันใหม่ บริเวณประตูค่ายระจัน สูงตระหง่าน ขบวนอพยพชาวศรีบัวทองเดินมาเต็มทุ่ง หยุดมองเห็นหอยามประจำค่าย
แฟงก้าวมายืนมองระเนียดค่ายบางระจันอย่างตื่นเต้น พร้อมๆกับกลุ่มแท่นและชาวบ้าน
"นี่หรือ ค่ายบ้านระจัน"
แฟงมองไปเห็นด้านบนระเนียด มีป้อมสูง ชายฉกรรจ์มองลงมา
แท่นก้าวออกจากกลุ่ม ตะโกนขึ้นไป
"จงไปบอกพ่อค่าย ข้ากับพวก ชื่อแท่น ชื่ออิน ชื่อโชติ ชื่อเมือง คนวิเศษไชยชาญ แล้วก็พ่อดอกไม้ บ้านกรับ พ่อทองแก้ว บ้านโพธิ์ทะเล พาชาวบ้านมาร่วมปักหลักสู้ศึก จะอยู่สู้กับคนระจันที่นี่"
ประตูค่ายค่อยๆเปิดออก ทองแสงใหญ่ยืนยิ้ม ยกมือไหว้กับชาวบางระจัน
"มาเลย....เข้ามาเลยพ่อๆทั้งหลาย เราคนไทยเหมือนกัน เข้ามาเลย"
แท่นเดินนำขบวนข้ามสะพานเข้าประตูไป ภายในค่าย ชายฉกรรจ์กำลังซ้อมอาวุธ บางคนกำลังฝึกม้า บางคนก็ตีดาบ และอื่นๆ บรรยากาศดูอบอุ่น
ทองแสงใหญ่เดินนำทุกคนตรงไปที่เรือนนายค่ายหลังใหญ่
อ่านต่อหน้า 3
บางระจัน ตอนที่ 5 (ต่อ)
ณ ลานในเรือนพ่อค่าย แฟงก้มลงไหว้พันเรือง ทองเหม็นที่ยืนอยู่ตรงหน้า มองกลุ่มอพยพ
"ข้าพันเรืองพ่อค่าย แล้วก็พ่อทองเหม็นครูดาบที่ค่ายระจัน แล้วนี่พ่อจันเขียว พ่อทองแสงใหญ่"
ทุกคนไหว้ นายทองเหม็น นายจันเขียว นายทองแสงใหญ่รับไหว้
"ข้าชื่อแท่นกับพวกทั้งหมดอพยพกันมาจากศรีบัวทอง หนีร้อนมาพึ่งเย็นที่เมืองสิงห์"
พันเรืองบอก
"ทัพอังวะยกมาครานี้ เดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า อยู่กันเสียที่นี่เถิด พี่น้องไทยด้วยกันทั้งนั้น"
"ฉันชื่อดอกไม้ครูมวย มีอะไรให้ช่วยขอให้พันเรืองกับพ่อทองเหม็น พ่อใหญ่แห่งค่ายระจันสั่งฉันเถิด"
ทองเหม็นบอก
"อย่าเรียกพ่อยงพ่อใหญ่อะไรเลย เรียกทองเหม็นนี่แหละ ค่ายนี่ก็สร้างกันประสาชาวบ้าน คิดอ่านกันแบบชาวบ้าน ไม่ได้เหมือนค่ายคูประตูหอรบแบบกรุงศรีท่านดอก"
แฟงมองทุกคนคุยกันด้วยสายตาตื่นเต้น
พันเรืองยิ้ม
"ไปเถิด พ่อแท่น พาพวกไปสร้างเรือนมุงหญ้า มุงแฝกอยู่กันตามใจชอบเถิด ที่เรากว้างขวาง ด้านหลังติดคูคลอง อยู่กันให้สบายใจ ถึงอย่างไร พวกข้าศึกมันก็รุกเข้ามาถึงนี่ไม่ได้ ถ้าไม่ข้ามศพพวกเราไปเสียก่อน"
"รวมกันเราจะสู้พวกมันจนตัวตาย" อินว่า
"ใจข้าไม่เคยกลัว เสียแต่ว่าถ้าพรรคพวกพี่น้องนักรบของเรามีพระอาจารย์ดี ได้วัตถุมงคลติดตัวเสียหน่อย ก็จะอุ่นใจว่าจะช่วยป้องกันข้าศึกให้แทงไม่เข้า ยิงไม่ออก รบกับมันได้จนตายไปข้างนึง" ทองแสงใหญ่บอก
"พ่อแท่นพอจะรู้จักพระอาจารย์ที่ไหนที่พอจะนิมนต์มาจำพรรษา เป็นขวัญเป็นกำลังใจพวกเราในค่ายนี้บ้างไม๊" พันเรืองว่า
"พวกพี่เคยได้ยินชื่อ หลวงพ่อธรรมโชติไม๊ ท่านจำวัดอยู่ที่วัดเขานางบวช สุพรรณ" แท่นบอก
"บอก เคยได้ยินว่าท่านมีอาคม มีวิชาเก่งกล้านัก แต่ท่านจะยอมมาหรือ"
ทองแก้วบอก
"ข้าเคยเป็นลูกศิษย์ท่านมา ยามศึกอย่างนี้ ท่านนี่แหละเหมาะนัก พวกเราไป อาราธนาหลวงพ่อธรรมโชติมาจำวัดที่นี่เถิด
พ่อค่ายทั้ง 4 มองกันแล้วพยักหน้าเห็นดีด้วย
วันใหม่ในบรรยากาศเงียบสงบในวัดเขานางบวช พันเรือง ผู้ใหญ่ทองเหม็นกราบลงหน้าพระประธานในโบสถ์ไม้สวยงาม
"ศึกครั้งนี้ พวกเราจะหลั่งเลือดในกายเพื่อรักษาแผ่นดิน เพื่อบ้านเกิดเมืองนอน ขอให้จิตตั้งมั่นของพวกเราทุกคน สำเร็จสมหวังด้วย" พันเรืองกล่าวคำอธิษฐาน
ทองเหม็นบอก
"ขอให้มีสิริมงคล เป็นขวัญให้พวกเราไม่ท้อไม่ถอย ไม่ประหวั่นกับคมหอกคมดาบของพวกข้าศึก"
พันเรือง ทองเหม็นพูดไม่ทันขาดคำ เมื่อหันไปเห็นที่หน้าประตูโบสถ์ แสงเรืองรองสว่างขึ้น ร่างหลวงพ่อธรรมโชติเป็นเงาเหลืองอร่ามสว่าง เคลื่อนกายเข้ามาอย่างช้าๆ สำรวม สุขุม
พันเรือง ทองเหม็นสัมผัสได้ถึงบารมี รู้ได้ทันทีว่าหลวงพ่อองค์ตรงหน้าคือใคร
แท่นก้มลงกราบ แล้วเงยขึ้นมองอาจารย์อย่างเต็มตา
"กระผมพาพันเรืองกับพ่อทองเหม็น หัวหน้าค่ายบางระจันมากราบนมัสการหลวงพ่อธรรมโชติขอรับ"
สายตาสงบนิ่งของหลวงพ่อธรรมโชติที่มองคนทั้งสองแล้วบอก
"พ่อแท่น ในยามศึกอย่างนี้ ถ้าพ่อแท่นมีความมุ่งมั่นจะผนึกแผ่นดินที่แหลกลาญให้กลับมั่นคงขึ้นมาใหม่ อาตมาก็จะขอผนึกพระรัตนตรัยให้แน่นหนาอยู่สักแห่ง อาตมาก็จะไป"
พันเรือง ทองเหม็นถึงกับตะลึงเพราะยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ พระอาจารย์ก็อ่านจิตได้หมดสิ้น ทั้งคู่รีบลงกราบจนหัวติดพื้นด้วยความศรัทธา
วันใหม่ ที่วัดโพธิ์เก้าต้นในค่ายระจัน แฟงนั่งพนมมืออยู่กับชาวค่าย ชาวบ้านอพยพ พ่อค่ายทั้งสิบนั่งคุกเข่าเรียงเป็นแถว หลวงพ่อธรรมโชติค่อยๆก้าวทีละก้าว เป็นจังหวะเสมอกัน แผ่วเบา ราวย่างเท้าไม่ติดพื้น ตรงไปทางโบสถ์ ทุกคนพากันมองเลื่อมใส ก้มกราบขณะที่หลวงพ่อเดินผ่าน
"ที่ค่ายบ้านระจัน มีวัดโพธิ์เก้าต้น ด้านหน้ามีบ่อน้ำทิพย์ ใช้รักษาโรคได้ รอเพียงหลวงพ่อจะเมตตาไปจำวัด เป็นขวัญเป็นกำลังใจให้พวกเราชาวค่ายบ้านระจันสู้ศึก เพื่อรักษาแผ่นดินเอาไว้ให้ลูกหลานได้ทำนา มีข้าวกินตลอดไป"
หลวงพ่อมองตรงไปที่วิหารเล็กท่ามกลางแมกไม้ ร่มรื่น แต่ละก้าวของหลวงพ่อธรรมโชติมีแต่ความสงบนิ่ง
ทุกสายตามองอย่างศรัทธา จนกระทั่งหลวงพ่อก้าวเข้าไปกลางโบสถ์
สายตาทุกคนคู่มองเห็น หลวงพ่อยืนสงบนิ่ง สำรวมจิต และค่อยๆหันมา ทุกคนมองเห็นแสงอร่ามเรืองวาบอยู่รอบๆโบสถ์อยู่ครู่ ก่อนแสงจะลดลง......
หลวงพ่อนั่งกรรมฐานอยู่ในโบสถ์แล้ว สายตาหลวงพ่อกวาดมองไปทั่วทุกคนของชาวค่ายเหมือนจะให้คำพูดซึมซาบลงไปในใจทุกคน
"พวกเจ้าแม้จะคนเป็นคนต่างถิ่น ต่างหน้า แต่เมื่ออ้างความเป็นคนไทยเลือดเนื้อพี่น้องร่วมท้อง กำลังไหลนองดิน เหย้าเรือนกำลังถูกยึดจากศัตรู อาตมาขอให้ทุกคนตั้งจิตมั่น อย่าหวั่นไหวกับจิตที่หวาดกลัว การสูญเสียเป็นอนิจจัง ความกลมเกลียวคือกำลัง หัวใจหลายร้อยที่แยกอยู่ เมื่อนำมารวม
สนิทแนบเป็นใจเดียว ข้าศึกนับพันก็จะเอาชนะได้"
แฟงและสายตาทุกคนอิ่มเอิบ ปลาบปลื้มอย่างยิ่ง
วันใหม่ เมฆดำทมึน ฝนกำลังจะตก ที่บ้านริมทุ่งนา บ้านพราน พวกโจรกำลังสู้กับเจ้าของบ้านอยู่ สุดท้ายเจ้าของบ้านสู้ไม่ได้ถูกโจรฟันตาย ขณะที่พวกโจรอีกกลุ่มหนึ่งกำลังแย่งกำปั่นขึ้นเกวียน หญิงเจ้าของบ้านยื้อยุดไว้ไม่ให้
"อย่าเอาของข้าไป ของของข้า..ข้าไม่ให้ เอาคืนมา"
โจร 1บอก
"อยากตายรึไง หลีกไป"
ขาบกับทหารกรุงศรีเดินลาดตระเวนมาเจอ ขาบโกรธถลาเข้าช่วยทันที
"ไอ้พวกชั่ว ชาวบ้านเดือดร้อนเพราะศึกก็ทุกข์พอแล้ว พวกมึงยังจะปล้นเขากินอีกหรือ"
"มึงมากันแค่นี้สู้พวกกูไม่ได้หรอก พวกเราเอามัน"
สมุนโจรทั้งหมดพุ่งเข้ามารุมขาบทันที ทหารกรุงศรีไม่มีใครกล้าเข้าช่วย ได้แต่มองดูอยู่ห่างๆ
ทหาร 1บอก
"หนีเถอะหมู่ขาบ"
ขาบสู้กับพวกโจรอยู่ด้วยความเกลียดชัง ไม่ยอมถอย
"หมู่ขาบถอยเถอะ เราสู้มันไม่ได้หรอก"
"ไม่... พวกเอ็งไปแจ้งนายกองสังข์พาทหารมาช่วยเร็ว ข้าจะไม่ให้มันหนีไปไหนได้"
พวกทหารกรุงศรีรีบวิ่งหนีไปทันที พวกโจรช่วยกันรุมสังข์เต็มไปหมด ขาบพยายามสู้ แต่ดูจะสู้ไม่ได้
"อยากรนหาที่ตายนักไอ้นี่"
"กูเกลียดไอ้พวกหากิน ปล้นคนไทยด้วยกันอย่างพวกมึง เข้ามา...เข้ามาเลย"
ขาบพยายามสู้อย่างเต็มที่
ทัพควบม้ามาจนทะลุชายป่าออกมา เห็นเมฆครึ้ม ดำทะมึนอยู่ข้างหน้า
"เอ็งคงต้องเร่งฝีเท้าเสียแล้วอ้ายเลาเกลอยาก"
ทัพรีบควบม้าอ้ายเลาตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เมฆฝนบนฟ้าเคลื่อนต่ำ ดูดำทมึน เฟื่องกับจวงวิ่งมาเก็บผ้าสไบกับโจงกะเบนที่ตากไว้ ลมฝนมา ฝนลงเม็ด สองคนคุยกันด้วยสีหน้ากังวล
"พักนี้ไอ้สังข์มันพาลูกน้องลาดตระเวนทั้งเช้าทั้งเย็น ทำไมไม่เจอพี่ทัพเข้าบ้าง" จวงถาม
"พี่ทัพคงไปอยู่เสียทางอื่นแล้วน่ะสิ" เฟื่องว่า
"พี่ทัพไม่ใช่คนขี้ขลาด"
จวงยังแววตาเชื่อมั่น เฟื่องมองน้อยใจ
"ถึงป่านนั้น เราคงอยู่หลังกำแพงกรุงศรีแล้วล่ะ"
"ไม่มีวัน ฉันจะไม่ไปกรุงศรีกับพวกมัน มีทางหนีได้เมื่อไหร่ ฉันจะหนี"
จวงแววตาเอาจริง เดินกลับเข้าไปในเรือน เฟื่องเห็นทหารของสังข์หลายคนวิ่งฝ่าฝนกลับจากลาดตระเวน สีหน้าตื่น
ทหาร 2 บอก
"ฉันกลัวหมู่ขาบจะตายก่อน"
ทหาร 1
"หาเรื่องเอง โง่"
เฟื่องเห็นผิดสังเกต รีบวิ่งตาม
ทหารลาดตระเวนของสังข์ที่วิ่งตามกันไป
"เร็วๆ"
เฟื่องยิ่งหน้าไม่ดี วิ่งตาม
"หมู่ขาบล่ะ หมู่ขาบอยู่ไหน"
"สู้กับพวกปล้นที่ท้ายทุ่งโน้น ไม่น่ารอด"
เฟื่องยืนตลึง ทหารรีบวิ่งผ่านไป
ฝนเริ่มลงเม็ด เฟื่องตัวเปียกจากหยดฝนที่ลงบนแขน เฟื่องสีหน้าตัดสินใจ วิ่งย้อนไปทางที่ทหารเดินมา
เฟื่องวิ่งลัดเลาะ มองหา
สายฝนเริ่มกระหน่ำเม็ดแรง เฟื่องลื่นล้มลงในเลน แต่ก็รีบลุกขึ้น
"พี่ขาบ"
เฟื่องรีบวิ่งไปหาขาบต่อด้วยความเป็นห่วง
ฝนลงเม็ดหนัก สังข์ยืนฟังทหารกลุ่มเดิมรายงาน
ทหาร 1บอก
"หมู่ขาบกำลังปะทะอยู่กับพวกโจรที่ชายทุ่งฝั่งตะวันออก สั่งให้พวกเรามาแจ้งนายกองให้ส่งทหารไปช่วยด่วน"
"พวกโจรมันมีมากแค่ไหน"
"นับสิบทีเดียว จะให้นำทหารไปช่วยเลยมั้ยนายกอง"
สังข์มองฝนที่ตกลงมาหนัก แล้วตัดสินใจ
เฟื่องวิ่งมาท่ามกลางฝนตกหนัก เห็นกระท่อมปลายนาโย้เย้ เก่าตั้งอยู่ แล้วตัดสินใจวิ่งเข้าไปหลบฝน เสียงดังกุกกัก เฟื่องหันขวับ เห็นร่างหนึ่งซุกอยู่ที่มุม เฟื่องตกใจ ถอยระวังตัว
"ใคร"
ขาบยันตัวออกจากมุม ในมือมีดาบ แต่เนื้อตัวเลอะเลือดจากแผลถูกฟันที่ชายโครงขวา
"พี่ขาบ"
"เฟื่อง"
ขาบมองเฟื่องอย่างน้อยใจ เพราะคิดว่าเฟื่องจะหาทางหนีไปหาทัพ เฟื่องรีบเข้ามาประคอง มองแผลยาวเหวอะที่ชายโครงขาบ
"พี่ถูกฟัน"
"เฟื่องมาถึงนี่ได้ยังไง"
เฟื่องมองขาบอย่างตกใจ ขาบกำลังจะล้ม เฟื่องเข้าประคอง ขาบรัดร่างเฟื่องไว้แน่น
"ออกมาถึงนี่ เพราะจะหาทางหนีใช่มั้ย อยากจะไปหาไอ้ทัพมันมากใช่ไม๊"
เฟื่องดิ้นอึกอักในอ้อมแขนขาบที่รัดแน่น ลืมตัวด้วยความโมโห
ทัพที่อยู่บนหลังอ้ายเลากำลังฟังขบวนอพยพของชาวบ้านกลุ่มหนึ่ง มีผู้นำเป็นชายวัยกลางคน
"ตอนที่ข้าผ่านสะแกโทรม เห็นพวกทหารกรุงศรีพักกองอยู่ แต่ก็นานหลายวันแล้ว"
ทัพทวนคำ
"ทหารกรุงศรี น้าพอรู้มั้ย ใครเป็นหัวหน้า"
"เห็นเค้าเรียกกันว่านายกอง"
ทัพมองลุ้น
ชาวบ้านคิด
"นายกองสังข์"
"ไอ้สังข์ ... หรือว่าเป็นมันที่เอาตัวเฟื่องกับจวงไป"
ทัพเคียดแค้นขึ้นมาทันที
สังข์ที่ยืนมองสายฝนกระหน่ำลงมา ทหารคนเดิมถามย้ำขึ้น
"จะให้เอาทหารไปช่วยหัวหมู่ขาบมั้ย นายกอง"
สังข์กำลังย้อนคิดถึงตอนที่ขาบด่าว่าสังข์เรื่องเกี่ยวกับทัพ
แล้วสังข์เอ่ยขึ้นเป็นคำสั่งสุดท้าย
"ไม่ต้องเอาใครไปช่วย ปล่อยไอ้ขาบมันตายอยู่ที่นั่น"
ขาบที่รัดร่างเฟื่องไว้แน่น แววตาโมโหหึงจนลืมความเจ็บจากแผลถูกฟันตรงชายโครงขวา
"ทนรอไม่ไหว คิดจะหนีทุกลมหายใจ อยากกลับไปกอดไอ้ทัพมันมากนักหรือเฟื่อง"
"พี่ขาบ ปล่อยฉัน"
"พี่ต้องปล่อยเอ็งอยู่แล้ว แต่ทนรออีกหน่อยไม่ได้หรือไง ถึงกับบุกป่าฝ่าดงไปหามัน ไม่อายผีสาง ไม่กลัวโดนพวกอังวะมันลากไปปู้ยี้ปู้ยำบ้างรึไง"
"ที่ฉันเจออยู่นี่ มันก็ไม่ดีวิเศษอะไรอยู่แล้ว ไปเจอนรกขุมหน้า ยังดีเสียกว่า"
เฟื่องประชดด้วยความโมโห ยิ่งทำให้ขาบบ้าเลือด
"ทำไม ที่ข้ารักเอ็ง บูชาเอ็ง ถนอมเอ็ง มันไม่มีความดีให้จดจำเลยหรือไง เฟื่อง"
"ความดีของพี่มันไม่ลงไปอยู่ในใจฉันเลย"
"เฟื่อง"
"เพราะฉันไม่เคยรักพี่ ไม่มีวันจะรัก จนตายก็ไม่รัก"
ขาบกระชากเฟื่องมาชิด แต่เฟื่องเอามือยันอก แล้วดิ้น
"ปล่อยฉัน"
เฟื่องผลักเต็มแรง ขาบที่เจ็บ เสียหลัก กระเด็นไปกองกับพื้น
"พี่ขาบ"
ขาบเจ็บจนลุกไม่ขึ้น เฟื่องวิ่งเข้าไปใกล้ ลืมความโกรธเกลียดที่มีมา ประคองขาบไว้
"เจ็บมากหรือเปล่า ฉันจะพาพี่กลับไป"
"เฟื่อง"
ขาบดึงมือเฟื่องไว้ มองด้วยสายตาตัดพ้อ อ้อนวอน
"อย่าเกลียดพี่ได้มั้ย เฟื่อง พี่ขอ...อย่ามองพี่ด้วยสายตาชิงชังอีกเลย"
ขาบดึงเฟื่องมากอดชิด
"พี่รักเฟื่อง รักทั้งๆที่ไม่มีอะไรให้เฟื่องรักได้ แต่พี่รักเฟื่องไปแล้ว พี่รักเฟื่องคนเดียว"
"พี่ขาบอย่า พี่ขาบ"
ขาบไม่สนใจฟังอะไร จูบเฟื่องอย่างเรียกร้อง
เฟื่องตกใจ พยายามผลักไส
"อย่านะ พี่ ... พี่สัญญากับฉันแล้ว"
เสียงฝนด้านนอกกระหน่ำลงมาหนัก ด้านในกระท่อมเนื้อตัวเฟื่องสั่นสะท้านกับอ้อมกอดและจูบของขาบหักห้ามอารมณ์ไม่ได้ ขาบดันเฟื่องลงหลังติดพื้นกระท่อม
สายฝนกระหน่ำลงมาหนักกว่าเดิม กิ่งไม้หักปลิวว่อนในอากาศ ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา แสงสว่างวาบไปทั่ว
ฝนยังหยาดเม็ดอยู่ สังข์เดินไปเดินมา ทหารลูกน้องมองมา เหมือนจะรอคำสั่งใหม่
"ไอ้ขาบมันเจ็บแค่ไหน"
ทหาร 1บอก
"ตอนที่พวกเราถอยพวกโจรมันกำลังรุมหมู่ขาบอยู่"
สังข์ย้อนนึกตอนที่ขาบเคยช่วยตัวเองไว้จากทัพ แล้วตัดสินใจ หันไปสั่งทหาร
"เอาคนไปช่วยมันกลับมา"
ทหาร 3 คน รีบออกไป สังข์สีหน้ารู้สึกดีขึ้น
"นี่ข้าเห็นแก่ความเป็นเพื่อน เวทนาเอ็งหรอกนะ ไอ้ขาบ"
ฝนยังหยาดเม็ดอยู่ ขาบมองเฟื่องที่กอดเข่าอยู่ห่างออกไป สายตาขาบมีแต่ความรู้สึกผิด
"เฟื่อง พี่ขอโทษ"
เฟื่องหันมามอง แววตาเฉยเมย ขาบยิ่งรู้สึกผิดหนักกว่าเดิม
"พี่ผิดที่หักหาญน้ำใจเอ็ง ไม่รักษาสัญญา"
"พี่ทำให้ฉันรู้ว่า ชาตินี้มีแค่คนๆเดียวที่ฉันไว้ใจได้ คนเดียวที่รักษาสัญญาลูกผู้ชาย ... พี่ทัพคนเดียว"
ขาบฉุนขึ้นมาทันที เฟื่องลุกจะเดินออกไปที่ประตู ขาบกระชากแขนรั้งไว้
"แต่เอ็งเป็นเมียพี่แล้ว เฟื่อง เอ็งไม่มีสิทธิ์คิดถึงชิ้นรักเก่า"
"ถึงฉันจะเป็นเมียพี่ แต่พี่ก็ห้ามใจ ห้ามความคิดฉันไม่ได้"
"เอ็งจะไม่รู้ผิดรู้ถูก คิดถึงคนอื่นนอกจากผัวตัวเองรึ เฟื่อง"
เฟื่องไม่ตอบ สะบัดแรง ขาบยังไม่ยอมปล่อย
"บอกพี่สิ ว่าเอ็งจะลืมไอ้ทัพ"
"จนตาย ฉันก็ไม่ลืมรักของฉันกับพี่ทัพ"
ขาบชะงัก สีหน้าผิดหวัง เสียใจ เฟื่องสะบัดหลุดจากมือขาบ วิ่งออกไป ขาบเจ็บแผลแต่วิ่งตามไปด้วยความเป็นห่วง
"เฟื่อง ระวัง อย่าไป เฟื่อง มีพวกโจร กลับมาก่อน"
เฟื่องไม่สนใจ วิ่งหนีเร็วด้วยความโมโห ขาบวิ่งตาม ทั้งๆที่ยังเจ็บแผลที่โดนฟัน เฟื่องหันไปมอง ขาบล้มทรุด เฟื่องกำลังจะวิ่งกลับไปดู แต่มีมือมากระชากเฟื่องไว้
"ปล่อยข้า"
ขาบตกใจ เงยขึ้นมองทันที ทหารกรุงศรีเข้ามาดึงเฟื่องไว้ อีก 3 คนวิ่งไปประคองขาบขึ้น
"นายกองสังข์ให้มาช่วยหมู่ขาบ"
"พวกมันไปหมดแล้ว"
ทหารปล่อยมือจากเฟื่อง ขาบถูกประคองขึ้นมา ทหารเดินนำไป เฟื่องเดินตามเร็ว ไม่ยอมหันมาสนใจ ขาบมองตามอย่างเสียใจ
ฝนยังหยาดเม็ดอยู่ สังข์ที่ยืนรออยู่ จวงเดินไปเดินมา พอเห็นเฟื่องกับขาบเดินมา จวงรีบเข้ากอดเฟื่องด้วยความดีใจ
"พี่เฟื่อง ฉันเป็นห่วงพี่แทบแย่ เห็นหายไปตั้งนาน"
สังข์มองไปที่ขาบ
"เป็นยังไงบ้าง จับพวกโจรมันได้ไม๊"
"พวกโจรมันมากว่า ข้าต้านไม่อยู่ก็เลยถอย แต่ข้าก็ฟันตายไปหลายคน ขอบน้ำใจเอ็งมากที่ให้คนกลับไปช่วยข้า"
"เอ็งก็พูดแปลกๆ ไอ้ขาบ เอ็งเป็นเพื่อนข้า ข้าจะปล่อยให้ตายได้ยังไง แล้วเฟื่องล่ะ ทำไมกลับมาพร้อมเอ็ง"
เฟื่องมองสังข์ที่จ้องด้วยความสงสัย
"ฉันรู้จากทหารว่าพี่ขาบสู้กับโจรอยู่เลยเป็นห่วง ออกไปตาม"
ขาบมองเฟื่องที่ฝืนใจพูดเพื่อไม่ให้สังข์สงสัย
"เอ็งนี่เป็นเมียที่รักผัวมากนะ เฟื่อง"
เฟื่องฟังแล้ว สะเทือนความรู้สึก ก็หันไปทางจวง
"เข้าเรือนก่อนเถอะ" เฟื่องบอก
จวงพาเฟื่องเดินเข้าไป ขาบมอง สังข์หันมาถาม
"เฟื่องไม่ได้ไปตามเอ็ง"
ขาบมองสังข์ทันที
"ข้าไม่เคยเห็นเฟื่องจะห่วงเอ็ง ที่จริงเฟื่องคงคิดจะหาทางหนี "
"เฟื่องจะหนีได้ยังไง ทั้งโจร ทั้งข้าศึก"
"ให้มันจริงอย่างที่เอ็งว่า"
สังข์มองขาบเหมือนกำชับ
"สั่งสอนเมียเอ็งด้วย .. อย่าคิดจะพากันหนีไปกับจวงเมียข้า"
ขาบมองสังข์ด้วยสายตาหวั่นใจ เพราะรู้ว่าเฟื่องคิดจะหนีจริงๆ
อ่านต่อหน้า 4
บางระจัน ตอนที่ 5 (ต่อ)
เฟื่องนั่งร้องไห้ จวงเข้ามาถามใกล้ๆ
"พี่เฟื่องเจอทางหนีมั้ยพี่"
"ถ้าดูจากวันนี้ พี่ว่าหนทางลำบาก พวกโจรชุกชุม ไหนจะข้าศึกอีก"
"ฉันไม่อยากทนอยู่ที่นี่แล้ว"
"จวงเอ๋ย ใจพี่ก็ไม่อยากอยู่เหมือนกัน"
จวงมองเห็นเฟื่องน้ำตานองหน้า ยิ่งเศร้าหนัก
"ใจพี่ลอยลิบกลับไปที่กระทุ่มด่าน ที่บ้าน ที่ๆมีแม่รอเราอยู่ แต่ศึกสงครามอย่างนี้ ลำบากนัก"
เฟื่องจับมือกับจวงเป็นสัญญา
"ไม่ว่าต้องเสียอะไรไปอีก เราต้องได้กลับบ้าน" เฟื่องบอก
"เราจะกลับไปหาแม่ กลับไปหาพี่ทัพ"
เฟื่องยิ่งร้องไห้เมื่อได้ยินชื่อทัพ เพราะตกเป็นของขาบไปแล้ว
ทัพผูกอ้ายเลาให้เล็มหญ้า ดื่มน้ำ ทัพก้มลงวักน้ำล้างหน้า เงาสะท้อนใบหน้าตัวเองในน้ำ แล้วย้อนนึกถึงอดีตก่อนหน้านี้ในยามบ้านเมืองสงบ
ณ บึงกลางทุ่งนาเลี้ยงควาย บ้านกระทุ่มด่าน หน้าเฟื่องสะท้อนเงาข้างๆใบหน้าทัพ
"พี่ทัพจ๋า"
ทัพหันหลังไป เฟื่องอยู่ด้านหลังยิ้ม ด้านหลังถัดไปคือควาย 2 ตัวที่เฟื่องจูงมากำลังและเล็มหญ้า
"ฉันพานังดำกับผัวมันมากินหญ้า"
ทัพรวบตัวเฟื่องกอดไว้
"คิดถึงเฟื่องเหลือเกิน"
"อย่า ... พี่ทัพเดี๋ยวคนมาเห็น"
ทัพไม่สนใจ กอดรัด หอมกอด เฟื่องปัดป้อง
"พี่ทัพ อย่า"
"อย่าอายไปเลย เฟื่อง ตรงนี้ไม่มีคน"
"นังดำมันมองอยู่"
ทัพหันไปมอง ดำกับผัวเคี้ยวเอื้องมองมาที่เฟื่องกับทัพ
"มันมองเพราะมันอิจฉาเราไง"
"พี่ทัพนี่ พอแล้ว พอ..."
ทัพกอดเฟื่องแน่น มีแต่เสียงหัวเราะหยอกเอินของคู่รักสองคน
ในทุ่งนา ทัพจูงควายนังดำกับผัวมาให้ เฟื่องเดินใกล้
"ส่งฉันแค่นี้แหละจ้ะ พี่ทัพ"
"ให้พี่ไปส่งเฟื่องถึงบ้านเลยสิ"
"อย่าเลย เดี๋ยวแม่จะบ่นที่ฉันหายออกมานาน"
เฟื่องเอียงอาย ทัพเดินเข้ามาใกล้
"พี่อยากจะไปกราบน้าเฟี้ยม แล้วบอกถึงรักที่พี่มีให้เอ็งจนแน่นล้นอก อยากจะสาบานให้คนทั้งกระทุ่มด่านรู้ว่า พี่รักเอ็งมากแค่ไหน"
ทัพสบตาเฟื่องด้วยความรัก เฟื่องยิ้มมองเอียงอาย
"ให้พี่สาบานต่อตาล 5 ต้น ว่าเฟื่องจะเป็นรักเดียวของพี่ ชาตินี้พี่จะไม่รักหญิงอื่น"
"อย่าสาบานเลยจ้ะ พี่ทัพ ฉันกลัว"
"กลัวพี่เปลี่ยนใจหรือเฟื่อง"
"ใจชาย ... รักง่ายหน่ายเร็ว"
"นั่นไม่ใช่ใจไอ้ทัพ พี่จะรักมั่นต่อเฟื่องจนวันตาย"
ทัพก้มลงจูบแก้มเฟื่องอีกครั้ง เฟื่องยิ้มอาย
"ฉันเชื่อพี่จ้ะ"
เฟื่องดึงเชือกจูงควายในมือมาจากทัพ
"ฉันไปก่อนนะจ๊ะ"
เฟื่องดึงควายเดินตัดทุ่งนาไป ทัพมองตามด้วยสายตาชื่นใจ
สักพักมีกระสุนดินยิงมาโดนแขน ทัพสะดุ้ง
"เฮ้ย"
ทัพหันมอง ทั้งทุ่งเงียบ ไม่มีคน ทัพหันกลับมา แต่กระสุนดินอีกหลายก้อนก็กระหน่ำยิงมาอีก
"ใครวะ"
ทัพมองหา ทุกอย่างเงียบ ทัพทำเป็นขยับหัน เหมือนจะเดินไป กระสุนดินยิงเข้ามา ทัพหันขวับ เห็นหัวคนที่โผล่ขึ้นมาจากท้องนา ทัพวิ่งเข้าไป ร่างแฟงที่หลบอยู่ ลุกวิ่งหนีทันที
ทัพวิ่งไล่กวดแฟงกลางทุ่ง
"หยุดนะ กูบอกให้หยุด"
แฟงตั้งหน้าวิ่งเร็ว พอเหลียวมาไม่เห็นทัพ ก็หยุดวิ่ง หันมอง
"หายไปไหนวะ"
ทัพโผล่พรวดมาตรงหน้า คว้าตัวแฟงได้ทันที
"เอ้ย"
"มึงหนีไม่พ้นแล้ว แฟง เที่ยวเอาลูกหินมาขว้างกูทำไม"
"ก็ฉันอยากให้พี่อายผีสางเทวดามั่งน่ะสิ" แฟงบอก
"มึงนี่ท่าจะบ้า กูทำอะไรฮะ ถึงต้องอาย"
"พี่กอดพี่เฟื่อง ทั้งกอดทั้งจูบ"
ทัพรีบเอามือปิดปากแฟง
"หยุดพูด แฟง อย่าพูดให้คนอื่นได้ยิน"
แฟงดึงมือทัพออก
แ"แล้วพี่ทำทำไม ถ้าคนอื่นเห็น พี่เฟื่องจะโดนนินทา"
"มึงยังเด็ก ไม่เข้าใจหรอก แฟง"
"งั้นฉันก็จะพูดประสาเด็ก ดูสิว่าใครมั่ง จะไม่เชื่อ"
"เอ๊ะ แฟง... เฟื่องน่ะพี่สาวมึงนะ"
"ฉันก็จะพูดซะใหม่เป็นพี่ทัพไล่ปล้ำพี่เฟื่อง"
"ฮ้า อีแฟง มึงนี่"
แฟงทำหน้าตาเจ้าเล่ห์
"ถ้าพี่ทัพไม่อยากให้ฉันพูด"
"มึงจะเอาอะไร"
"พี่ทัพก็ต้องทำอย่างที่ฉันขอ"
"มึงจะขออะไร"
ทัพทำหน้าสงสัย แฟงยิ้มเจ้าเล่ห์ มีแผนอยู่แล้ว
ทัพกับแฟงที่อยู่ในป่า แดดส่องระหว่างใบไม้ลงมาเป็นลำแสงสวยงาม แฟงจับดาบคู่ของทัพ ท่าทางเก้ๆกังๆ แต่แววตามุ่งมั่นเอาจริง
ทัพเข้ามาซ้อนหลัง จับมือทาบทับลงไปบนมือแฟง
"ถ้ามึงจะหัดดาบ อย่างแรก ใจมึงต้องนิ่ง"
"จ้ะ พี่ทัพ"
แฟงรับคำ ทัพซ้อนหลังอยู่ใกล้ชิดแฟง
"จับให้มั่น ลองหมุน"
ทัพจับมือแฟงหมุนข้อมือ ควงดาบไป จากมือเดียวเป็นสองมือ
"บ้านกระทุ่มด่านของเราก็มีพี่ทัพนี่แหละ ฝีมือดาบเป็นที่หนึ่ง"
"มึงมันก็เจ้าเล่ห์เป็นที่หนึ่ง"
"ถ้าฉันขอดีดี พี่ทัพจะสอนดาบฉันหรือ"
"มึงเป็นหญิง ทำไมไม่หัดหุงหาอาหารเหมือนเฟื่อง"
"ก็พี่เฟื่องเก่งในครัวอยู่แล้วทั้งคน หัดไปฉันไม่มีวันเทียบพี่เฟื่องได้"
"มึงก็เลยไม่อยากเหมือนเฟื่อง"
"ฉันไม่อยากเหมือนใครทั้งนั้น ฉันคือ อีแฟง ม้าดีดกระโหลก"
ทัพหัวเราะ แฟงหน้าง้ำ
"เอ๋อ...อีม้าดีดกระโหลก แห่งทุ่งคำหยาด มึงมันเด็กไม่รู้จักโต"
แฟงหมั่นไส้ กระทุ้งศอกเข้ากลางท้อง ทัพตัวงอ แฟงถือดาบหันมามองทัพ
"คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก เดี๋ยวก็ฟันตัวขาดสองท่อน"
แฟงทำท่าเอาเรื่อง ทัพพุ่งหา แฟงตกใจ
ทัพใช้ความไว ดึงดาบในมือแฟงออกมา ถือไว้แล้วควงสองมือ
"ทีนี้ใครจะฟันใครกันแน่"
ทัพทำท่าจะหันหลังเดินหนี แฟงวิ่งตามง้อทันที
"พี่ทัพ พี่ทัพ สอนดาบฉันหน่อยนะ รับรองอีแฟงจะไม่ดื้อกับพี่แล้ว"
ทัพไม่สนใจเดินหนี แฟงเสียงออดอ้อน
"นะจ๊ะ พี่ทัพจ๋า"
ทัพหันมามอง แฟงทำตัวสงบเสงี่ยมเดินเข้าหา
"นะจ๊ะ พี่ทัพ สอนดาบฉัน แล้วนังแฟงคนนี้จะยอมเชื่อฟังพี่ทุกอย่าง"
แฟงยิ้มหวานเอาใจ ทัพมองยิ้มๆ
ทัพสอนดาบ แฟงเรียนอย่างตั้งใจ แฟงฟันด้วยท่าทางที่กระฉับกระเฉง ทัพยืนมองด้วยสายตาพอใจ แฟงหันยิ้มกับทัพ ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่แววตาก็ตื่นเต้นยินดี
ทัพแววตาครุ่นคิด กำลังลูบข้างลำตัวอ้ายเลา แล้วกระโดดขึ้นม้าคู่ใจ
"ไปเถอะ อ้ายเลา ข้างหน้าหนทางยังลำบากยากแค้นอีกมาก กว่าเราจะได้ตัวคนที่เรารักกลับมา"
ทัพขึ้นม้าออกไปจากตรงนั้น
บริเวณด้านหน้ากระท่อม จวงมองเห็นทหาร 4 คนมายืนเฝ้า
"ไอ้สังข์ให้ทหารมาเฝ้าเรา"
"มันรู้แล้วว่าเราคิดหนี" เฟื่องบอก
"ปัดโธ่ ทีนี้จะทำยังไง"
"อดทนรอก่อนจวง อย่าทำอะไรให้มันผิดหูผิดตาอีก"
เฟื่องบอกจวงที่สีหน้าเชื่อฟัง
ภายในกระท่อม สังข์ที่มองขาบ หนาวสั่นไปทั้งร่าง เพราะพิษไข้ขึ้น
"ไอ้ขาบ"
สังข์เขย่าเรียกสติ แต่ขาบไม่รู้เรื่อง หนาวสั่น เพ้อ
"เฟื่อง อภัยพี่ เฟื่อง อภัยให้พี่เถอะ"
"เอ็งมีเรื่องอะไรกับเฟื่องวะ"
สังข์เขย่าร่างขาบ แต่ขาบไม่รู้ตัวเลย สังข์ตะโกนเรียกทหารด้านนอก
"เฮ้ย ใครอยู่ข้างนอกไปตามหมอมาที"
ท่ามกลางบรรยากาศกองคาราวานที่ชาวบ้านกระจายตัวกันพักผ่อน ทหารกรุงศรีอยุธยาก่อคบไฟเล็กๆเป็นระยะห่างๆ ทหารอังวะค่อยๆคืบคลานรุกโอบเข้ามาจนประชิด
เมื่อทหารฝ่ายไทยที่เป็นยามสองคนหันไปเห็น ทหารอังวะพุ่งเข้าฟัน จนล้มลงขาดใจตายคาที่
ชาวบ้านที่เห็นอยู่ใกล้กรีดร้องดัง ทหารอังวะพุ่งเข้าฟันชาวบ้าน และทหารไม่เลือกหน้า
เสียงหวีดร้องอลหม่านดังขึ้น
สังข์หันขวับไปทางนอกกระท่อม เสียงเอะอะ หวีดร้องดังได้ยิน
สังข์คว้าดาบ พุ่งออกไปทางประตู ลืมเรื่องขาบที่ยังไม่ได้สติ นอนเพ้อไปทันที
"พวกอังวะนายกอง พวกอังวะบุก มากันเต็มเลย"
สังข์ไม่รอช้า วิ่งไปทางกองคาราวานเกวียนทันที
ทหารอังวะกำลังไล่ฟันทหารกรุงศรีอยุธยาและชาวบ้านชายที่มีแค่ท่อนไม้กับมือเปล่า
สังข์ออกมาเห็นสภาพที่ค่ายพักกำลังถูกทหารอังวะบุก สังข์ฟันทหารอังวะล้มไปหลายคน แต่ก็ยังมีทหารที่บุกเข้ามาสมทบไม่ขาดสาย
เฟื่องกับจวงวิ่งออกมาทางด้านนอก ทหารอังวะกำลังบุกเข้ามามีทหารกรุงศรีที่เฝ้าอยู่ต้านไว้
จวงตกใจกลัว เสียงสั่น
"พี่เฟื่อง ข้าศึก"
เฟื่องตั้งสติ หันไปคว้ามือจวง
"หนี ... เราต้องหนีตอนนี้"
"เราจะหนีพ้นเหรอพี่ ข้าศึกเต็มไปหมด"
"ลองดู"
เฟื่องคว้ามือจวงจะวิ่งแต่ทหารอังวะ 4 คน เข้ามาอีกทางขวางไว้ สองสาวตกใจ
ทหารอังวะมองเฟื่องกับจวงด้วยสายตาหื่นกระหาย ทหารอังวะชอบใจวิ่งไล่จับ
ขาบกำลังได้สติ ฟื้นขึ้นมา แต่ไม่มีแรง พยายามจะออกไป ด้านนอกทหารอังวะ 2 คนถือคบไฟโยนไปที่กระท่อม ไฟลุกติดพรึ่บ
เฟื่องกับจวงถอย เฟื่องมองหาท่อนไม้ที่พอจะเป็นอาวุธ ทหารอังวะหัวเราะ แววตาหื่นกระหาย
ทหาร 2 คนพุ่งเข้ามาจับจวง แยกออกจากเฟื่อง
"พี่เฟื่อง"
เฟื่องจะเข้าไปช่วย แต่ทหารอีก 2 คนเข้ามากระชากแขนไว้ ทั้งจวง ทั้งเฟื่องดิ้นรน กรีดร้อง ไม่ยอม ทหารอังวะที่พยายามฉุดทั้งสองไปที่เหมาะๆ...จับนอนลง
"ปล่อยข้า ปล่อย"
สังข์ตะลุยฟันทหารอังวะ ทหารอังวะ 4 คน ล้อมสังข์ที่กำดาบแน่นไว้
"ที่นี่แผ่นดินกู กูไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงง่ายๆโว้ย"
สังข์พุ่งเข้าไป ฟันทหารอังวะล้ม แต่อีก 2 คนลอบเข้าทางข้างหลังเงื้อดาบฟันสังข์เต็มแรงจนเลือดกระฉูด ล้มลง
ในกระท่อม ขาบกำลังอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกติดไปทั้งเรือน เขาก้มต่ำ เอาผ้าปิดปาก
มองประตูที่ถูกไฟโหมขวางทางอยู่ พยายามตัดสินใจพุ่งฝ่าเปลวไฟออกไป ขาบกำลังจะพุ่ง แต่คานไม้หลังคากระท่อมที่ติดไฟ หล่นลงมาอีก ขาบเงยมองเห็นหลังคา ไฟกำลังโหมจะตกลงมาอีก
สังข์ที่ล้มลง ทหารอังวะกำลังจะเข้ามาฟันซ้ำ ทันใด ทัพ กระโดดพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง ตะลุยฟันทหารอังวะทั้ง 4 ตายอย่างรวดเร็ว สังข์ตะลึงมองทัพที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทัพตลุยฟันพวกอังวะจนถอยห่างออกไป
สังข์รีบลุกขึ้นมาช่วยทัพฟันพวกอังวะ
"ไอ้ทัพ"
ทัพหันจ้องสังข์ สังข์เอ่ยเร็ว
"จวง .. ช่วยจวงด้วย"
สังข์ชี้ไปทางกระท่อม ทั้งๆที่ติดพันฟันกับอังวะอยู่ ทัพตกใจ แต่ยังติดพันกับการฟันพวกอังวะอยู่
เฟื่องกับจวงที่ดิ้นอยู่กับพื้น คนละมุม ทหารอังวะพยายามดึงผ้าแถบ พร้อมเสียงหัวเราะหื่นกระหาย ทั้งคู่ทั้งดิ้นทั้งร้อง ทัพ...พุ่งเข้ามา เฟื่องหันไปเห็น
"พี่ทัพ"
ทหารอังวะผละจากสองคน พุ่งเข้าจะฟัน แต่เจอทัพฟันตายคาที่หมด จวงกับเฟื่องดีใจที่สุด
"พี่ทัพ"
จวงวิ่งเข้าไปกอดพี่ชาย ทัพกอดน้องสาวไว้แน่น เฟื่องดีใจ น้ำตาคลอ
"เฟื่อง"
ทัพแปลกใจที่เฟื่องไม่เข้าไปหา
"รีบไปเร็ว"
ทัพดึงมือน้องสาววิ่งออกไป เฟื่องวิ่งตาม
ทัพพาจวงกับเฟื่องวิ่งไปทางกองคาราวานเกวียน สังข์ที่พยุงร่างโชกเลือดวิ่งสวนมา
จวงมองสภาพสังข์ก็เข้าไปประคองไว้ สังข์มองจวงอย่างตื้นตัน สังข์เห็นไฟไหม้บ้านขาบ เลยรีบบอกทัพ"ไอ้ขาบ ไอ้ขาบป่วยอยู่ในนั้น"
เปลวเพลิงโชติช่วงที่กระท่อม ทัพวิ่งไปทันที
"พี่ทัพ ระวังตัวนะพี่"
เฟื่องตะโกนไล่หลัง สังข์ จวงมองตามด้วยความเป็นห่วง
ขาบนอนหมดสติอยู่ในเรือนที่ไฟกำลังโหมไหม้ เปลวไฟกำลังลุกน่ากลัวใกล้ขาบทุกที เขาสำลักควัน หายใจไม่ออก มีเปลวไฟล้อมตัวไว้ทุกด้าน ทัพวิ่งเข้ามา ตกใจ
"ไอ้ขาบ"
ขาบพยายามขอความช่วยเหลืออยู่ในกองเพลิง
"ไอ้ทัพ"
ทัพมองแล้วตัดสินใจเอาน้ำในตุ่มข้างบันใดราดตัว แล้ววิ่งขึ้นเรือนที่กำลังถูกไฟโหมไหม้ไปทั้งหลัง ทัพยอมร้อนตัวแทบพอง เอามือเปล่าดึงคานร้อนๆ กระแทกคานที่ไฟกำลังไหม้ขวางทางอยู่เพื่อจะเข้าไปหาขาบให้ได้
ขาบมองทัพ หายใจไม่ออก ช่วยตัวเองไม่ได้
ทัพใช้มือเปล่ากระชากฝาไม้ที่ไหม้ไฟกระเด็น จนมือพองปวดแสบปวดร้อน
ขาบพยายามยันตัวลุกขึ้นแต่ไม่มีแรง ทัพเข้ามาพยุงเพื่อน ขาบมองแววตาซึ้งใจ ทัพยิ้มให้ เอาตัวบังขาบไม่ให้โดนเปลวไฟจะวิ่งฝ่าออกไป ท่าทางทุลักกทุเล
เปลวไฟลุกวาบตามแรงลมกรรโชก ชายคาด้านนอกที่ติดไฟตกลงมาขวางทางคนทั้งสองไว้
เฟื่องวิ่งมา จวงพยุงสังข์มา ชายคาเรือนขาบที่ถล่มลงมา ผู้หญิงสองคนกรีดร้องขึ้นพร้อมกัน
"พี่ทัพ"
"ไอ้ทัพ ไอ้ขาบ"
ทุกคนสีหน้าตื่นตระหนกกับภาพเปลวเพลิงที่กำลังเผาเรือนวอดวาย เฟื่องจะวิ่งเข้าไป
"พี่ทัพ"
จวงผละจากสังข์ไปดึงเฟื่องไว้สุดแรง
"พี่เฟื่องอย่าเข้าไป"
"พี่ทัพอยู่ในนั้น ไปช่วยพี่ทัพออกมา"
เฟื่องดิ้นรนจะเข้าไปแต่จวงดึงไว้ ฝาเรือนถล่มลงมาอีกที
"พี่ทัพ"
เสียงเรียกของเฟื่องดังก้อง สะเทือนใจ สังข์สีหน้าเจ็บใจที่เห็นเพื่อนต้องถูกเผาไปต่อหน้าต่อตา
จวงเบือนหน้าหนีภาพไฟที่กำลังลุกโหม เฟื่องกอดกับจวงร้องไห้โฮ
"พี่ทัพ"
สังข์มองไปที่ข้างเรือนอุทานขึ้น
"ไอ้ทัพ ไอ้ขาบ"
ท่ามกลางเปลวไฟลุก ทัพพยุงขาบพุ่งออกมาจากเรือนอีกด้านที่ไฟโหมน้อยที่สุด
ทัพโอบกอดขาบไว้ในอก พุ่งทะลุฝาเรือนที่ไฟกำลังไหม้อยู่ ลงสู่พื้น เฟื่อง จวง สังข์วิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ ทัพกับขาบนอนฟุบอยู่ที่พื้น มีเศษไฟหล่นเกลื่อน ทัพลุกขึ้นลากขาบออกให้ห่างบ้าน
เฟื่องวิ่งมาหยุดตรงหน้า ขาบลืมตามองเฟื่อง
"แม่..เฟื่อง"
ทัพมองท่าทางขาบกับเฟื่องก็นึกสังหรณ์ใจ ขาบอ้าแขนออกรับ เฟื่องวิ่งเข้ามากอดขาบไว้
ทัพ ถอยออกมา เฟื่องนิ่ง มองทัพแววตาอัดอั้นตันใจ
"พี่มาช้าไปใช่มั้ย เฟื่อง"
ขาบ สังข์ จวง เฟื่องทุกคนได้ยินคำถามของทัพ
เฟื่องน้ำตาร่วงพรู รู้ว่าทัพหมายถึงอะไร ขาบมองแล้วทรุดลงตรงหน้าทัพ ยกมือขึ้นพนม
"กูผิดเอง ทัพ มึงอย่าได้ถือโกรธแม่เฟื่องเลยนะ"
ทัพพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่ง เฟื่องฟังแล้วยิ่งสะอื้น
"กูรักแม่เฟื่องยิ่งกว่าชีวิต...กูสาบาน"
ทัพเจ็บช้ำ กล้ำกลืนความเสียใจแล้วเอ่ยออกมาอย่างลูกผู้ชาย
"งั้นกูก็จะสิ้นเสียดาย เพราะมีคนรักเฟื่องเท่าๆกับที่กูรัก"
เฟื่องสะอื้น ขาบแววตาตื้นตันที่ทัพให้อภัย
"กูอายมึงเหลือเกิน"
"ตอนนี้จงทิ้งความอายของมึงซะ ไอ้ขาบ"
ทัพมองเลยไปที่สังข์ที่แววตาสำนึกผิด
"มึงด้วย ไอ้สังข์"
"กูจะรักจวงน้องมึงคนเดียวไอ้ทัพ กูสัญญา"
"อย่างนั้นก็ถือว่าเราสามคนเป็นพี่น้องกัน"
สังข์ ขาบมองทัพอย่างนึกไม่ถึง
"มึงสองคนรักหญิงที่เป็นหัวใจของกู ทั้งเฟื่อง ทั้งจวง ก็นับว่ามึงเหมือนพี่น้องกูที่จะกอดคอกันตาย"
ทัพมองสังข์ กับขาบแววตามุ่งมั่น สังข์ปักดาบที่ถืออยู่ลงดิน
"ความโกรธแค้นทั้งหมดที่มึงกับกูมีต่อกัน กูขอให้สิ้นสุดลงที่นี่ ต่อไปนี้กูจะนับถือมึงที่ช่วยชีวิตกู เป็นเหมือนพี่น้องร่วมท้องแม่เดียวกันมา"
"ต่อแต่นี้ กูจะเชื่อและนับถือมึงเหมือนพี่ชาย"
ทหารอังวะ 10 คนที่กำลังกรูปะทะทหารกรุงศรีฯ ทหารทั้ง 2 คนสู้ไม่ได้ถูกฟันตาย เฟื่องกับจวงรีบวิ่งหลบหาที่ซ่อน
ทัพ สังข์ ขาบฝืนความเจ็บ ลุกขึ้นไปตะลุยเข้าไล่ฟันกับทหารอังวะที่กำลังระดมเข้ามา ทัพตะลุยฟันทหารอังวะล้มลง สังข์พยายามฟันป้องกันตัวเองจากทหารอังวะ ขาบที่นอนทรุดอยู่ พยายามหลบคมดาบของทหารอังวะ ก่อนจะแย่งดาบมาฟันช่วยทัพกับสังข์
ทัพ พยายามยืนป้องสังข์กับขาบที่หันหลังชนกันสู้ ฟันทหารอังวะ
ก่อนทั้งสามจะเพลี่ยงพล้ำ ทหารกรุงศรีฯอีก 10 คนก็วิ่งเข้ามาช่วย ทหารอังวะต้องหันไปสู้กับทหารกรุงศรีฯที่มาใหม่ ซึ่งล้อมอยู่เป็นวงกลม
ทัพ สังข์ ขาบ ต่างช่วยกันสู้จนสุดกำลัง
อ่านต่อตอนที่ 6