นางชฎา ตอนที่ 6
ผ่านไปอีกหลายวัน โดยเหตุการณ์ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามปกติ จนในตอนเช้าวันนี้ เสียงสร้อยเม้าท์ละคร ดังลั่นบ้านขึ้น
“ละครเมื่อคืนนะคะคุณผู้หญิง น่ากลั๊ว...น่ากลัว...”
เห็นสร้อยซึ่งกำลังง่วนจัดเตรียมอาหาร กับทั้งของสังฆทาน ที่จะเอาไปทำบุญ โดยมี เตชิน ณรงค์ และ จิตรา ที่ยืนรออยู่ใกล้ๆ สร้อยขนของขึ้นรถไปเม้าท์ละคร ช่อง 7 สี ไป อย่างออกรสออกชาติ
“ผีมันตามแก้แค้นคนที่เคยทำร้ายตอนที่มีชีวิต” สาวใช้จอมเจ๋อหันมาจ้องหน้าคุณหญิงจิตราพอดี “ใครที่เคยทำอะไรเลวๆ ไว้ โดนหักคอหมดเลยค่ะ สร้อยต้องดูไปปิดตาไปเลยค่ะ”
เตชินฟังแล้วยิ้มขำ “ดูแบบนั้นจะรู้เรื่องเหรอครับพี่สร้อย”
“ละครผีใครเค้าดูกันทุกฉากละคะคุณเต มันก็ต้องปิดบ้างเปิดบ้าง มันถึงจะสนุก คุณเตลองดูมั้ยคะ สร้อยจะบอกชื่อเรื่องให้...”
จิตราค้อนควักหมั่นไส้ ขัดขึ้น “ดูไปคนเดียวเถอะ ฉันไม่อยากให้ลูกชายฉันอินจนเพี้ยนแบบเธอ”
“แต่สนุกมากเลยนะคะ คุณหญิง”
สร้อยพยายามนำเสนอ แต่โดนจิตรามองเอาเรื่อง เลยจ๋อย ก่อนจะหันไปทางประตูบ้านรีบเปลี่ยนเรื่อง
“รถคุณชมพูกับคุณพ่อคุณแม่มาแล้วค่ะ”
รถตู้คันหรูของบ้านชมพูแล่นมาจอดในบริเวณบ้านเตชิน สมหมายรีบกุลีกุจอลงรถมาเปิดประตูให้ พิชัย พิสมัย และ ชมพูก้าวลงมา มีหมูหวานเดินถือตะกร้าของสำหรับทำบุญตามมาข้างหลัง
สร้อยเหลือบตามองสมหมาย ซึ่งอีกฝ่ายก็มองตอบด้วยความสนใจในกันและกัน
“นี่ถ้าไม่เห็นกับตา ไม่เชื่อเลยนะว่าเตชินจะลุกขึ้นไปทำบุญที่วัดทุกวันแบบนี้” พิชัยยิ้มทัก พลางสัพยอก
“ไม่ใช่แค่คุณพิชัยหรอกค่ะที่แปลกใจ ดิชั้นกับท่านนายพลก็ยังงงตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยเห็นมุ่งมั่นจะทำบุญแบบนี้”
สร้อยลอยหน้าเม้าท์ “คุณเตไปทำบุญที่วัดทุกเช้าแบบนี้เป็นอาทิตย์แล้วนะคะ”
ชมพูสนใจ ทำหน้าตาอยากรู้ในกิริยาน่ารัก “ทำไมเหรอคะพี่เตชิน”
ทุกคนหันไปมองหน้าเตชินอยากรู้คำตอบเช่นกัน เตชินไม่อยากพูด แต่จำเป็นต้องเล่า
“ก็วันก่อนที่พี่ไปทำบุญกับน้องชมพูที่วัด แล้วรู้สึกว่า อะไรๆ มันดีขึ้นน่ะครับ”
ชมพูยิ่งสนใจอยากรู้จัด “อะไร...คืออะไรเหรอคะ”
ชมพูจ้องรอฟังคำตอบ เตชินมีท่าทางอึกอัก
พิสมัยปรามลูกสาว “ใจคอลูกอยากจะต้องรู้เรื่องของพี่เตชินทุกเรื่องเลยรึไง”
ณรงค์รีบช่วยชมพู “จะแต่งงานกันอยู่แล้วก็ต้องรู้กันให้หมด” พลางหันไปพูดเอาใจชมพู “ไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวลุงจะคาดคั้นถามให้เอง”
“งั้นไปถามกันบนรถนะคะ เดี๋ยวจะไม่ทันพระฉันเช้า” คุณหญิงจิตราเอ่ยขึ้น
ทุกคนรีบกุลีกุจอขึ้นรถตู้ของบ้านเตชินที่จัดเอาไว้ เตชินถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ต้องตอบคำถามตอนนี้
ทุกคนช่วยกันถวายอาหารตักบาตรเช้าให้หลวงตาคงบนกุฎี หลวงตาคงมองทุกคนยิ้มให้อย่างมีเมตตา
“วันนี้มากันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะ”
“พวกเราได้ข่าวว่าเตชินมาตักบาตร ทำบุญกับพระอาจารย์ทุกวัน พวกเราก็อยากจะมาด้วยครับ” พิชัยว่า
“ทำบุญร่วมกันในชาตินี้ ชาติต่อๆไปก็จะได้เป็นเพื่อนสนิทคบหา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันอีก งั้นทุกคนตั้งใจรับพร”
เตชิน ชมพู จิตรา ณรงค์ พิสมัย พิชัย พนมมือรับพร
หลวงตาคงเจริญพระพุทธมนต์มาจนช่วงท้าย “...อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง”
ในขณะที่หลวงตาให้ศีลให้พรอยู่ สายตาเหลือบมองไปยังตีนบันได ชั้นล่างของกุฎีเห็นริลณีในสภาพเป็นผี แลดูน่ากลัว นั่งพนมมือไหวรับพรอยู่ที่นั่นด้วย พระผู้ทรงศีลมองไปยังเตชินที่กำลังแผ่บุญกุศลจากการทำบุญให้ริลณีอย่างตั้งใจมาก ริลณีเงยหน้ามองพระอาจารย์คงยิ้มอย่างมีความสุข
“แรงปรารถนาที่เตชินอยากพบฉัน ทำให้ฉันกลับไปหาเขาได้เจ้าค่ะ”
หลวงตาคงพูดทางกระแสจิตกับริลณี “โยมควรใช้บุญที่ได้รับ ก่อกรรมดี สร้างกุศล เพื่อให้โยมพ้นจากความยึดติด การที่โยมยิ่งดิ้นรนจะกลับมาเข้ามาอยู่ร่วมกับคนที่มีชีวิต จะทำให้โยมมีแต่ความทุกข์”
ริลณีน้ำตาไหล “อย่าห้ามฉันเลยเจ้าค่ะ หลวงตา หากชาตินี้เราสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกันตามที่เคยสัญญา ฉันคงนอนตายตาไม่หลับ”
ริลณีมองหลวงตายิ้มเศร้าๆ ก่อนจะหายไปจาตรงนั้น
พอหลวงตาคงให้พรเสร็จลืมตาขึ้น มองทุกคน ก่อนจะหยุดสายตามองนิ่งที่เตชิน บอกออกมาด้วยความเป็นห่วง
“จำคำอาตมาไว้ ยิ่งโยมยึดติด เขาก็จะยิ่งไปไหนไม่ได้”
เตชินมองหลวงตางงๆ “หมายความว่ายังไงครับ”
“อะไรที่โยมยึดมั่นอยู่ ปล่อยมันไปซะ”
ทุกคนก้มกราบลาหลวงตา ทยอยลงจากศาลา
เตชินหันมองหน้าหลวงตาคงด้วยความแปลกใจ ว่าท่านหมายความว่ายังไง
วันนี้ห้องโถงบ้านเตชินกลายเป็นวงเสวนาเรื่องงานแต่งของหนุ่มๆ สาวๆ ปริมลดา หงส์หยก ที่เพิ่งมาถึง ยกมือไหว้ จิตรา ณรงค์ พิชัย และ พิสมัย หงส์หยกแนะนำตัวขึ้นว่า
“หงส์หยกเป็นออร์แกไนซ์จัดงานแต่งค่ะ ปริมลดาเป็นเพื่อนเจ้าสาวค่ะ”
ปริมลดาออกไอเดียขึ้นทันที “ลดาเสนอว่า งานพิธีตอนเช้า แทนที่จะจัดที่บ้านเจ้าสาวเราน่าจะหาสถานที่เอาท์ดอร์เกร๋ๆ อย่างสวนสวยๆ น่าจะดูตื่นเต้นนะคะ”
หงส์หยกเสริม “หรือถ้าต้องการแบบเกร๋ไม่มาก โรงแรมก็มีให้เลือกหลายแบบค่ะ”
เตชินโพล่งขึ้นมา “แต่ผมอยากจัดที่บ้านเรือนไทยครับ”
ทุกคนหันไปมองหน้าเตชินอึ้งๆ งงๆ โดยเฉพาะ หงส์หยก ปริมลดา จน พิชัยเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“ผมชอบไอเดียนี้นะ”
“จัดงานได้นิมนต์พระเข้าไปทำพิธีในบ้าน จะได้เป็นศิริมงคลก่อนจะเข้าไปอยู่ด้วย”
พิสมัยว่าพลาง หันไปของความเห็น ณรงค์ และ จิตรา
“สำหรับตัวเองไม่มีปัญหานะคะ แต่แค่กังวลว่าเตชินจะซ่อมบ้านเสร็จทันวันงานมั้ย” คุณหญิงบอก
ณรงค์ประกาศ “ต่อให้ต้องจ้างช่างทำงาน 24 ชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา ขอให้เสร็จตามกำหนดเท่านั้น”
“งั้นหนูสรุปเลยนะคะ เราจะจัดงานเช้าที่...เอ่อ...” หงส์หยกรู้สึกสยองที่จะพูดถึง “บ้านเรือนไทยหลังนั้น งานเลี้ยงกลางคืนก็โรงแรมนะคะ”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย หงส์หยกรีบสรุป
“งั้นที่เหลือปล่อยให้เด็กๆ เค้าจัดการดีมั้ยครับ พวกผู้ใหญ่เชิญไปทานน้ำชากันดีกว่า”
ณรงค์ จิตรา ผายมือเชิญ พิสมัย และ พิชัยออกไป ปริมลดารีบขยิบตาส่งสัญญาณบางอย่างให้หงส์หยก
หงส์หยกรับลูกรีบลุกขึ้นไปดึงแขนชมพู “งั้นเดี๋ยวชมพู ไปช่วยเลือกวงดนตรีที่จะมาเล่นอาฟเตอร์ปาร์ตี้ เราเตรียมเพลงตัวอย่างมาให้ฟังหลายวงหลายแนวเลย”
“งั้นลดาช่วยคุณเตชินเลือกรูปสำหรับวิดีโอพรีเซนเทชั่นเอง”
ชมพูพยักหน้าเข้าใจ หงส์หยกรีบลุกพาชมพูออกไปอีกทาง เตชินลุกขึ้นผายมือให้ปริมลดาอย่างสุภาพ
“เชิญทางนี้ครับ”
สร้อยค่อยๆ ย่องเอาถาดใส่แก้วน้ำ พร้อมน้ำอัดลมกระป๋อง มาวางไว้ข้างๆ สมหมายที่นั่งกินข้าวในห้องครัว สมหมายตกใจหันไปมอง เห็นสาวใช้สาวใหญ่ยืนบิดเขินไปมา คนขับรถเองก็พลอยอายม้วนไปด้วย
“อร่อยมั้ยจ๊ะ”
“อร่อยจ๊ะ คุณสร้อยทำอาหารเก่งผุดๆ เลย”
สร้อยชี้ไปในจานกับข้าวพร้อมบอกความหมาย “ที่สร้อยทำทุกอย่างล้วนมีความหมายนะจ๊ะ...แตงกวาแทนความคิดถึง... ตำลึงแทนการห่วงหา...มะเขือเทศแทนสัญญา ส่งแมสเสจมาแทนห่วงใยมาบ้างน๊า”
พอพูดจบสร้อยก็หยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่จดเบอร์ตัวเองยัดใส่มือสมหมาย
สมหมายยิ้มเขิน “มาแบบนี้ พี่ก็แพ้น่ะสิจ๊ะ”
สร้อยอายม้วน “แพ้อาราย”
“แพ้จายเธองาย”
สร้อยกับสมหมายหัวเราะหัวใคร่กันคิกคัก หมูหวานเดินเข้ามามองหน้าทั้งสองคนเอาเรื่อง
“พ่อ! ทำอะไรน่ะ”
สมหมายรีบเก็บเบอร์ใส่กระเป๋า “เปล๊า”
หมูหวานมองหน้าสมหมายกับสร้อยจ้องจับผิด “หน้าตาดูมีพิรุธ อย่าบอกนะว่าจีบยายป้านี่อยู่”
สร้อยโมโห “ใครป้า ใครยะ พูดให้มันดีๆ หน่อย”
สมหมายรีบห้าม “เด็กมีแต่พ่อไม่มีใครอบรมสั่งสอนก็พูดจาเรื่อยเปื่อย”
“สงสัยคุณสมหมายคงต้องหาแม่ไว้คอยอบรมลูกแล้วละค่ะ”
สมหมายตัดพ้อ ลองหยั่งเชิง “คนขับรถอย่างผมจะมีใครสนใจละครับ”
สร้อยอ่อยเต็มที่ “อาจจะมีอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ได้นะคะ”
หมูหวานไม่พอใจ หยิบน้ำอัดลมขึ้นมาเขย่าอย่างแรง แล้วเปิดกระป๋องน้ำอัดลมฟองฟู่พุ่งใส่หน้าสร้อยเต็มๆ
“อ๊ายๆๆๆๆๆ อะไรเนี่ย ว้ายๆๆๆๆๆ”
“น้ำอัดลมเวลาจะเอามาเสิร์ฟ เค้าห้ามเขย่า เรื่องแค่นี้ยังไม่รู้ แล้วคิดจะมาสั่งสอนคนอื่นดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ ยายมนุษย์ป้า”
หมูหวานพูดเสร็จก็รีบดึงพ่อออกไป สมหมายมองสร้อยในกิริยาอาลัยอาวรณ์นิดๆ แต่ขัดลูกสาวไม่ได้ต้องเดินตามไปแต่โดยดี
“กล้าเรียกฉันว่ามนุษย์ป้า งั้นเหรอ หน้าฉันออกจะตึง เป็นป้าตรงไหนยะ นังเด็กแสบ”
สร้อยฮึ่มฮ่ำ มองตามหมูหวานด้วยความโมโห
ตรงโต๊ะสนามมุมนั่งเล่นในสวยสวนนอกบ้าน บนโต๊ะวางกองอัลบัมรูปไว้หลายเล่ม มีเพียงเตชินและปริมลดา ที่นั่งตรงข้ามกันกำลังช่วยเลือกรูป
ปริมลดาแอบมองเตชินด้วยสายตาลึกซึ้งอยากได้ หล่อนตัดสินใจหยิบรูปเตชินขึ้นมารูปหนึ่ง
“อุ๊ย ดูรูปนี้สิคะ น่ารักมากๆ เข้ากับรูปที่ชมพูเลือกไว้ด้วย”
ปริมลดารีบลุกไปจากฝั่งตรงข้ามไปนั่งบนที่เท้าแขนเก้าอี้ของเตชิน ยื่นรูปให้เตชินดูพยายามนั่งเบียด ก้มหน้าเข้าไปใกล้ๆ เตชินพยายามขยับหนีอย่างสุภาพ
“แต่ผมว่า ใบนี้น่าจะเหมาะกว่านะครับ”
เตชินเอื้อมมือจะไปหยิบรูป แต่ปริมลดารีบเข้าไปคว้าด้วย ทำให้มือทั้งสองจับกันอย่างจัง
ระหว่างนี้หมูหวาน สมหมาย ผ่านมาเห็นพอดี หมูหวานตกใจจะโวยวาย แต่สมหมายรีบปิดปากลูกสาวได้ทัน
ปริมลดาแสร้งทำเป็นรู้ตัวรีบเอามือออก
“ขอโทษนะคะ” หล่อนทำเป็นเหมือนนึกได้ว่าใกล้ชิดเตชินเกินไป “เอ่อ...ได้รูปครบแล้วลดารีบเอาไปให้หงส์หยกดีกว่านะคะ”
ปริมลดาหยิบรูปของเตชินมาถือไว้ แล้วทำเป็นรีบลุกขึ้น ก่อนจะใส่มารยาแกล้งทำเป็นจะหกล้มหน้าคะมำ
รูปเตชินที่ปริมลดาถือในมือปลิวว่อนไปทั่ว
หมูหวานปิดตากะว่าปริมลดาล้มหน้าคว่ำแน่ๆ
แต่กลับเป็นเตชินกลับลุกมาคว้าตัวปริมลดาเอาไว้ได้ ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดจนเหมือนแทบจะกอดกัน
หมูหวานมองตะลึงตาค้าง ตกใจ จนสมหมายต้องปิดตาไว้ไม่ให้มอง
ปริมลดาและเตชินจ้องหน้ากัน เตชินได้สติรีผละจากตัวปริมลดา
“ไม่เป็นอะไรนะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
ปริมลดาและเตชิน ช่วยกันเก็บรูปที่หล่นบนพื้น ปริมลดาจงใจอ่อยเปิดเสื้อโชว์เนินอกนิดๆ ยั่วเตชิน
สมหมายยังปิดตาหมูหวานไว้ มองปริมลดาถึงกับกลืนน้ำลายเอื้อก
“อ่อยซ้ำ อ่อยถี่ ยิงทุกนาทีแบบนั้น คุณเตชินจะทนไหวเหรอเนี่ย”
หมูหวานอยากรู้จัด “อะไรน่ะพ่อ ขอฉันดูด้วย”
“เกินเรต ด.เด็ก เด็กดูไม่ได้”
“พ่อก็อยู่ด้วย ถือเป็นเรตผู้ใหญ่ควรให้คำชี้แนะไม่ได้เหรอ”
ฟากเตชินไม่ได้สนใจเสื้อที่ปริมลดาอ่อย รีบเก็บรูปแล้วยื่นให้ปริมลดา อีกฝ่ายแอบเสียเซลฟ์นิดๆ แต่ทำเหมือนไม่มีอะไร เตชินยิ้มก่อนจะเดินออกไป ปริมลดารีบวิ่งตาม
สมหมายเปิดตาหมูหวาน เตชินและปริมลดาเดินออกไปแล้ว
“หนังจบอดดูแล้ว”
หมูหวานโวย “โหย เซ็งเลยพ่อ”
เตชินเดินนำมาโดยมีปริมลดาวิ่งตามแจ จนมาเจอกับ ชมพู และ หงส์หยกที่เดินเข้ามาพอดี
“เป็นยังไงคะพี่เตชิน เลือกได้รึยัง”
ปริมลดารีบเข้ามายื่นให้ “ได้แล้วนี่ไง”
“พวกเราก็เลือกเพลงเสร็จแล้ว รับรองอาฟเทอร์ปาร์ตี้มันแน่ๆ” หงส์หยกบอก
ชมพูเข้าไปอ้อนเตชิน “เดี๋ยวชมพู จะลองเลือกแบบชุดแต่งงาน พี่เตชินช่วยชมพูเลือกนะคะ”
ทันทีที่ชมพูพูดจบปุ๊บ เสียงข้อความเข้าโทรศัพท์ของเตชินก็ดังปั๊บ
“ขอโทษนะครับ”
เตชินรีบกดอ่านข้อความ “มีเรื่องสำคัญเจอกันที่เก่าที่มหาวิทยาลัยนะคะ...ริน”
เตชินอ่านข้อความจบหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“สมัยนี้ยังมีคนส่งข้อความ SMS มาอีกเนอะ แปลกดี” หงส์หยกเย้า
ชมพูถาม “ใครเหรอคะพี่เตชิน”
เตชินหน้าตามีพิรุธ “เพื่อนน่ะครับ เอ่อ...พี่คงอยู่ช่วยน้องชมพูเลือกชุดไม่ได้แล้ว ฝากหงส์หยก กับ ลดา ช่วยแทนก่อนก็แล้วกันนะครับ”
เตชินยิ้มให้ชมพู แล้วรีบเดินออกไปเลย ชมพูอึ้ง งง และเหวอมาก
“เดี๋ยวก่อนสิคะพี่เตชิน...พี่เตชิน”
เตชินไม่สนใจที่ชมพูเรียก เดินออกจากห้องไปโดยไว ชมพูมองตามหน้าจ๋อย
ปริมลดาและหงส์หยกแอบยิ้มให้กันอย่างสะใจสุดๆ
เตชินรีบวิ่งเข้ามาริมบึง เห็นริลณีนั่งหันหลังรออยู่ เขาหยุดหอบเหนื่อย ริลณีหันกลับมาเห็นก็ยิ้มขำ
“ถึงกับวิ่งมาเลยเหรอคะ”
“ก็รินบอกว่ามีเรื่องสำคัญ ผมก็เลยรีบมา”
“ไม่เห็นต้องรีบเลย คุยเรื่องงานแต่งงานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาก็ได้”
เตชินชะงัก แปลกใจ
“รินรู้ได้ยังไงครับ ว่าผมกำลังคุยเรื่องงานแต่งงานอยู่”
“รินเดาเอาน่ะค่ะ ไม่คิดว่าจะถูกจริงๆ นี่รินรบกวนคุณรึเปล่าคะ”
“ไม่เลยครับ ผมอยากมาหาริน ว่าแต่ รินมีเรื่องอะไรสำคัญเหรอครับ”
ริลณียิ้มเยือกเย็น “รินอยากจะไปที่ที่นึง เลยอยากจะชวนคุณไปด้วย”
“ที่ไหนเหรอครับ”
ริลณีมองหน้าเตชินลึกล้ำ เหมือนมีลับลมคมใน
รถของเตชินแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านเด็กกำพร้า ในรถเตชินหันมามองริลณีด้วยความรู้สึกผิด
“รินอยากให้ผมมาที่นี่เหรอครับ”
“รินอยากเจอเพื่อนที่รินรักมากที่สุดพร้อมคุณ”
“ผมรู้สึกผิด ผมเคยสัญญาว่าจะดูแลรินอย่างดี แต่ผมก็ทำไม่ได้ แถมตอนนี้กำลังจะแต่งงานกับคนอื่นอีก พวกเค้าคงเกลียดผมมาก”
ริลณีเอื้อมมือไปจับมือเตชินให้กำลังใจ
“รินยังไม่เกลียดคุณเลย แล้วพวกเค้าจะเกลียดทำไมคะ”
“แต่ผม...”
“เข้าไปพบพวกเขาเถอะค่ะ พวกเขาจะได้ไม่เข้าใจผิดหรือกังวลเกี่ยวกับรินอีก รินจะบอกพวกเค้าว่า เราสองคนเป็นเพื่อนกัน”
เตชินหน้าเสียไม่อยากให้เป็นแบบนั้น รีบบีบมือริลณีแน่น
“รินก็รู้นี่ครับ ว่าผมไม่อยากเป็นแค่เพื่อนของริน”
ริลณียิ้มไม่ตอบรีบลงจากรถ เดินเข้าบ้านเด็กกำพร้าไป เตชินมองตาม ก่อนจะตัดสินใจลงรถและเดิน
ตามริลณีไปทันที
ขณะเดียวกันนั้น เฟื่องฟ้าและ เอทีเอ็ม กำลังกวาดใบไม้หน้าบ้าน อยู่ดีๆ ก็เห็นพวกเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่หน้าบ้าน ลุกขึ้น ทำหน้าดีใจ วิ่งกรูกันออกไป เฟื่องฟ้าและเอทีเอ็ม ไม่เห็นว่าวิ่งไปไหน เพราะมีต้นไม้บัง
สองคนได้แต่แปลกใจ
“วิ่งไปไหนกันน่ะ” เฟื่องฟ้ามองตาม
จนมีเสียงหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานของเด็กๆ ดังแว่วเข้ามา
เอทีเอ็มและเฟื่องฟ้า แปลกใจ เหลียวมองหน้ากัน วางไม้กวาดแล้วรีบวิ่งออกไปตามเสียง
เฟื่องฟ้ากับ เอทีเอ็ม มองไปเห็นริลณีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส กำลังเล่นอยู่กับเด็กๆ ที่เข้ามาทักทายกอดแข้ง กอดขาริลณีด้วยความดีใจ
ริลณีก็ดูมีความสุขที่สุดเมื่อได้กลับมาหาเด็กๆ น้องๆที่เธอรัก
เอทีเอ็ม กะ เฟื่องฟ้า ช็อก ตะลึงตะไล
“ริน” เอทีเอ็มร้องขึ้นเป็นคนแรก
เฟื่องฟ้า ตื่นเต้น โวยวายตามกัน ดีใจไม่แพ้เอทีเอ็ม “ริน! รินจริงๆ ด้วย”
สองคนรีบวิ่งเข้าไปหาริลณี ทั้งสามกอดกันกลมด้วยความดีใจ
“ริน” เอทีเอ็มมองไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “นี่รินจริงๆ ใช่มั้ย ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย”
เฟื่องฟ้าหมั่นไส้ หยิกแขนเอทีเอ็มเต็มแรง
“โอ๊ย” เอทีเอ็มหันมาเอาเรื่อง “มาหยิกฉันทำไมเนี่ย”
“ก็อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าฝันหรือไม่ฝัน”
“ถ้าเป็นฝันก็คงเป็นฝันดีที่สุด” เอทีเอ็มมองจ้องหน้าริลณี “เพราะเราฝันมาตลอดว่าอยากให้รินกลับมา”
“แต่ในไม่ใช่ฝัน เพราะรินกลับมาจริงๆ”
“กลับมาพร้อมใครบางคนด้วย”
เอทีเอ็มหันไปมองตามสายตาเฟื่องฟ้า เห็นเตชินเดินหน้าจ๋อยๆ เข้ามา เฟื่องฟ้ามองเตชินอย่างโกรธขึ้ง
“หยุดช่วงสุขใจไว้ก่อน พวกเราคงต้องมีเรื่องคุยกันเยอะเลย”
เฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็ม มองหน้าเตชิน เอาเรื่องสุดๆ
พอเฟื่องฟ้า กับ เอทีเอ็ม ฟังจบ ทั้งคู่ต่างพากันมองหน้าเตชินและริลณีไม่อยากจะเชื่อ
เฟื่องฟ้าชี้ไปที่เตชิน “สรุปคุณขับรถชนชมพูต้องไปโรงพยาบาล” แล้วชี้ไปที่ริลนี “รินเข้าใจผิดเสียใจ เลยหนีไปทำใจต่างจังหวัด” ก่อนจะชี้ไปที่เตชินอีกที “คุณกลับมา เจอกัน” แล้วชี้ไปที่ริลณี “รินไม่โกรธ และตอนนี้ รินกับคุณเตชินเป็นเพื่อนกัน”
เอทีเอ็มเองก็แปลกใจ “ไม่อยากจะเชื่อ”
“ใช่ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อ”
เตชินก้มหัวขอโทษทั้งเฟื่องฟ้า และเอทีเอ็ม
“ผมขอโทษนะครับ ที่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตอนนั้นไม่ได้ แต่ต่อจากนี้ผมสัญญาว่า ผมจะดูแลรินอย่างดีที่สุด ในฐานะเพื่อน”
เอทีเอ็มโมโหขึ้นมาอีก “จริงๆ นายไม่มีสิทธิ์จะมายุ่งกับรินอีก ไม่ว่าในฐานะใดๆ”
“ไม่เอาน่าเอทีเอ็ม คนเรามันก็ผิดพลาดกันได้ ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นหรอก ฉันยังเชื่อนะ ถ้าไม่เกิดเรื่องวันนั้น รินกับคุณเตชินคง...”
เฟื่องฟ้าพูดเองก็เจ็บปวดเอง ริลณีและเตชินหันมองหน้ากัน รู้สึกเศร้า และ เสียใจไม่แพ้กัน
“จะชงเข้าเรื่องเศร้าทำไมเนี่ย” เอทีเอ็มบอกเตชิน “เอาเถอะ ถ้ารินเจอเรื่องแย่ๆ แบบนั้นแล้วยังไม่โกรธคุณ ผมก็ไม่รู้จะโกรธคุณทำไมเหมือนกัน”
เตชินยิ้มออก “ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ”
เอทีเอ็ม กับ เฟื่องฟ้า ยิ้มให้เตชิน บรรยากาศดูเป็นมิตรขึ้น
“แล้วรินจะกลับมาอยู่กับพวกเรารึเปล่า” เอทีเอ็มถาม
“รินยังไม่กลับตอนนี้ รินต้องสะสางเรื่องบางเรื่องให้เสร็จก่อน” ริลณีบอก
“แล้วอีกนานมั้ยกว่าจะจัดการเสร็จ” เฟื่องฟ้าถาม
แววตาริลณีวาบร้ายฉายโชนขึ้นมา “อีกไม่นานหรอก อีกไม่นาน”
“แต่พวกเราจะได้เจอกับรินบ่อยๆ ใช่มั้ย” เฟื่องฟ้าถามอีก
“รินอยู่ใกล้ๆ ทุกคนเสมอ”
“งั้นเราไปฉลองกันดีกว่า ได้กลับมาครบทีมกันแบบนี้” เอทีเอ็มว่า
“ขอผมเป็นเจ้ามือนะครับ”
เฟื่องฟ้าค้อน “ก็แน่อยู่แล้วหละ คุณเป็นคนทำเรื่องนี่ ไป”
เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม และเตชิน ลุกเดินตามกันออกไป
ริลณีหยุดยืนนิ่งมองไปรอบๆ บ้าน น้ำตาไหลรินเป็นสาย ด้วยความคิดถึง และโหยหา
“ในที่สุด ฉันก็ได้กลับมาที่บ้านสักที”
ไม่นานต่อมา เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม ริลณี และเตชินเดินมาด้วยกันตามทางเดินในห้าง เฟื่องฟ้ากอดแขนริลณีแน่น แล้วต้องมองหน้าริลณีด้วยความแปลกใจ
“ทำไมรินตัวเย๊น เย็น แถมผิวก็ซี๊ดซีด”
“ไว้เดี๋ยวเราพาไปหาหมอนะ ตอนนี้เราทำงานแล้ว มีเงินเดือน มีเงินเก็บ รินอยากทำอะไรบอกนะ เราช่วยรินจ่ายได้” เอทีเอ็มบอก
“แหม โชว์ป๊าเลยนะ ถ้ามีเงินมากขนาดนั้น มาช่วยจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟบ้านก่อนเลย” เฟื่องฟ้าหมั่นไส้
“รินไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องกังวล”
“จะไปฉลองร้านไหนดีครับ” เตชินถาม
“ร้านที่แพงที่สุด”
เตชินยิ้มขำๆ ที่เฟื่องฟ้ายังแกล้งไม่เลิก “งั้นเชิญทางนี้ครับ”
เตชินชี้ทางให้เฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็มให้นำไปก่อน เตชินขยับมาเดินข้างๆ ริลณี แล้วจับมือริลณีกุม
เตชินและริลณีมองหน้ากันยิ้มดีใจ เหมือนคืนวันเก่าๆ ของสองคนได้หวนกลับมา
อ่านต่อหน้า 2
นางชฎา ตอนที่ 6 (ต่อ)
อีกมุมไม่ไกลกัน ตุลเทพเดินควงมากับหญิงสาวสวยแต่งตัวเอ็กซ์ ทรงอึ๋ม ท่าทางก๋ากั่น จังหวะหนึ่งสายตาของตุลเทพ แลไปเห็นว่าเตชินเดินจับมือกับผู้หญิงผมยาวตรง ที่ดูยังไงๆ ก็ไม่ใช่ชมพู แต่เห็นไม่ชัดว่าเป็นริลณี ตุลเทพเขม้นมองด้วยความสนใจ
“นั่นมัน เตชิน แฟนชมพูนี่ มาเดินจับมือกับสาวที่ไหน”
หญิงสาวที่มากับตุลเทพ มองไปทางเตชิน เห็นว่าเตชินเดินอยู่คนเดียว
“ใครควงสาวที่ไหนคะ ฉันก็เห็นเค้าเดินมาคนเดียว”
“ผู้ชายใส่เสื้อยีนส์สีฟ้า ที่ยืนอยู่กับผู้หญิงผมยาวตรงๆ นั่นไงล่ะ”
ตุลเทพพยายามชี้ให้สาวสวยดู แต่ยังไงๆ หญิงสาวก็เห็นแค่เตชินคนเดียวเท่านั้น
“ไม่เห็นจะมีเลย”
ตุลเทพมองมาด้วยสายตาเจ้าชู้ “พูดแบบนี้ จะอ้อนให้ตัดแว่นให้ใหม่รึเปล่าเนี่ย”
“สายตาอะตอมไม่ได้สั้นสักหน่อย ถ้าเปลี่ยนเป็นแว่นกันแดดเกร๋ๆ ก็โอนะคะ”
เตชินและริลณีเดินเลี้ยวไปอีกทาง ตุลเทพจะเดินตาม
สาวสวยโวยวายขึ้น “อ้าว แล้วแว่นกันแดดเกร๋ๆ ของเค้าล่ะ”
“เดี๋ยวค่อยซื้อ”
ตุลเทพรีบลากสาวเจ้าตามเตชินไป สาวอึ๋มตามไปงงๆ ว่าตุลเทพพูดถึงผู้หญิงคนไหน ในเมื่อเธอไม่เห็นผู้หญิงคนที่ตุลเทพพูดถึงเลยสักคน
เป็นเพราะเฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม ริลณี และ เตชิน เดินเข้าไปในร้านอาหารบุฟเฟ่ต์แล้ว ตุลเทพและสาวสวยที่เดินตามมา จึงไม่เห็นเตชิน ตุลเทพเจ็บใจ
“หายไปไหนแล้วเนี่ย”
สาวสวยอ้อน หอมแก้มฟอด “อย่าไปสนใจคนอื่นเลยนะคะ”
ตุลเทพมองสาวเจ้ายิ้มตาเยิ้ม แล้วเดินควงกันออกไป
เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม เดินนำเข้าไปในร้านอาหารบุฟเฟต์ปิ้งย่าง เตชินและริลณีเดินตาม ทั้งสี่หยุดตรงที่โต๊ะพนักงานรับลูกค้า
พนักงานนับหัว “ทั้งหมดสามที่นะคะ”
เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม และเตชิน มองหน้ากันงงๆ เฟื่องฟ้าหันไปนับหัวใหม่
“1-2-3-4 สี่ที่ค่ะ”
“อ๋อ...อีกคนจะตามมาทีหลัง” พนักงานรีบนำเข้าไป “งั้นเชิญเลยค่ะ”
เฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็มมองหน้ากันงงๆ เฟื่องฟ้าบ่นบ้า
“ใครจะตามมาทีหลัง ยายพนักงานนี่ท่าจะเพี้ยน”
เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม เตชิน และริลณี เดินตามพนักงานเข้าไป ริลณียิ้มหลอนๆ
ตุลเทพเดินมาตามทางเดินในห้าง มีสาวสวยทรงอึ๋มคนเดิมตามหลังมา ตุลเทพกำลังคุยโทรศัพท์
“วันนี้ฉันเที่ยวห้าง ทายสิฉันเดินเจอใครจูงมือมากับสาว”
คู่สนทนาเป็นเอกราชซึ่งอยู่ที่คอนโด และคุยสายด้วยความสนใจ
“คงไม่ใช่ประวิทย์หรอก รายนั้นไม่เคยสนใจสาวที่ไหน น่าจะเป็นไอ้เชิงชายมากกว่า คราวนี้มันควงเด็ก ม.ต้น หรือ ม.ปลาย ล่ะ”
ตุลเทพยิ้มสะใจที่เอกราชทายไม่ถูก
“ไม่ใช่เชิงชาย ไม่ใช่ประวิทย์ ไม่ใช่คนในกลุ่มเพื่อนเรา”
“แล้วฉันจะเดาถูกได้ไงวะ” น้ำเสียงเอกราชหงุดหงิด
“งั้นบอกใบ้ให้ เค้าคือชายหนุ่มที่โชคดี ที่กำลังจะได้แต่งงานกับสาวสวยที่สุดในกลุ่มเรา”
เอกราชพูดออกไปได้ทันที “เตชิน”
“ใช่ ไอ้เตชิน”
เอกราชอยากรู้จัด “แล้วผู้หญิงคนนั้นคือใคร”
“ไม่รู้สิ ฉันไม่เห็นหน้า”
เอกราช ออกคำสั่ง “ไปตามถ่ายรูปมาให้ได้ ฉันต้องการหลักฐานสำคัญ ถ้านายถ่ายรูปเตชินกับผู้หญิงนั่นได้ ฉันเลี้ยงเหล้าฟรีนายเดือนนึงเลย”
ตุลเทพวางสาย ส่วนเอกราชยิ้มสะใจ
เนื้อหมูเอย ไก่เอย รวมทั้ง กุ้ง หอย ถูกปิ้งบนเตาปิ้งย่าง กลิ่นหอมฉุย เตชิน และ เอทีเอ็ม กำลังช่วยกันปิ้ง ในขณะที่เฟื่องฟ้ากำลังบ่นบ้าโวยพนักงานเรื่องจานช้อนไม่หยุด
“น้องพนักงานนี่มันยังไงนะ บอกว่ามาสี่คน ยังจะเอาจาน ช้อน ตะเกียบ มาเสิร์ฟแค่สามชุดอยู่ได้” เฟื่องฟ้าหันไป พยายามเรียกพนักงาน “น้องคะ น้อง...”
เอทีเอ็มแกล้งอำ “เค้าไม่เห็นเธออยู่ในสายตารึเปล่าเค้าเลยไม่นับ”
“อย่าบอกว่านี่มุขนะ แบบว่าทั้งเชย ทั้งเก่า แล้วก็ไม่ขำด้วย”
“เธอไม่ขำ แต่รินขำก็โอเคแล้วละ”
เอทีเอ็มรีบตักเนื้อจะให้ริลณี แต่เตชินแย่งตักให้ก่อน ตัดหน้าเอทีเอ็มเส้นยาแดงผ่าแปด
“เอาของนายมาให้ฉันเลย กำลังโมโหหิว”
เฟื่องฟ้าหยิบหมูที่เอทีเอ็มคีบเข้าปากหน้าตาเฉย เอทีเอ็มเซ็ง ริลณีมองขำๆ ก่อนจะตักเนื้อคือให้เตชิน
“คุณทานก่อนเถอะค่ะ รินไม่หิว”
เตชินตักคืนให้ริลณี “รินทานเถอะ ผมอยากทำให้คุณทานเยอะๆ”
เฟื่องฟ้ามองอยู่นานชักรำคาญ ตัดสินใจเอื้อมไปหยิบเนื้อชิ้นนั้นเข้าปาก
“ไม่ต้องเกี่ยงกันฉันกินเอง” เฟื่องฟ้าตะโกนโวยพนักงาน “น้องจาน ช้อน ตะเกียบของพี่อีกชุดได้รึยังคะ”
เฟื่องฟ้าหันไปโวยพนักงานที่ยังไม่สนใจสักที ส่วนเอทีเอ็มและเตชินก็แย่งกันตักเนื้อให้ริลณีกันใหญ่
ในขณะที่สองหนุ่มกำลังแย่งกันตักเอาใจริลณีอยู่นั้น ริลณีมองออกไปนอกร้าน เห็นตุลเทพกำลังเดินมองซ้ายมองขวา กำลังหาเตชินอยู่
ทันทีที่เห็นว่าเป็นตุลเทพ จากแววตาที่สวยสงบของริลณี ก็กลายเป็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความแค้น มือกำแน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อด้วยความโกรธ ริลณีแทบอยากจะออกไปฆ่าตุลเทพเดี๋ยวนี้ แต่ยังทำไม่ได้ต้องข่มใจ เพราะกลัวความลับเปิดเผย
“รินขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
ริลณีลุกเดินออกจากโต๊ะไป โดยไม่มีใครเห็นว่าหน้าสวยๆของริลณีได้กลายเป็นหน้าผีร้ายที่น่ากลัวไปแล้ว
ตุลเทพเดินเซ็งมาที่ลานจอดรถ หงุดหงิดที่คลาดกับเตชิน
“ไม่รู้ไอ้เตชินมันหายไปไหน ไวชะมัด”
“อะตอมไม่เดินหาแล้วนะคะ ปวดขาไปหมดแล้ว”
“จ้ะ ไม่หาก็ไม่หา งั้นเรากลับไปทำอะไรสนุกๆ กันนะ”
สาวอึ๋มทำท่าเขินตีอกตุลเทพเบาๆ หนุ่มจอมหื่นก้มหน้าจะหอมแก้มสาวสวย แต่ถูกผลักออก สาวเจ้านึกอะไรขึ้นมาได้ ก้มมองของที่ถือมา มองหาบางอย่าง
“ตายแล้ว อะตอมลืมกระเป๋าไว้ที่ร้าน อะตอมวิ่งกลับไปเอาแป๊บนะคะ”
สาวสวยรีบวิ่งเข้าห้างไป ตุลเทพส่ายหน้าเซ็งๆ ก่อนจะเดินออกมายืนรอตรงมุมหนึ่ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเซลฟี่ตัวเอง อัพอินสตาร์แกรม
สักครู่หนึ่งที่หน้าจอมือถือตุลเทพ เขาอัพรูปตัวเองพร้อมขึ้นข้อความว่า “มาเดินห้างคนเดียว เหงาจัง”
ขณะที่ตุลเทพกำลังยืนอัพรูปอยู่ เหมือนมีสายตาของใครบางคนกำลังจ้องตุลเทพอย่างประสงค์ร้ายสุดๆ
ตุลเทพรู้สึกถึงการจ้องมองนั้น รีบหันกลับไปกวาดตามองหา แต่ไม่เห็นมีใคร จึงหันมาอัพรูปต่อชิลๆ
ตรงจุดที่ตุลเทพเพิ่งหันมามอง เห็นผีริลณียืนจ้องอย่างอาฆาตมาดร้ายเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ มองตุลเทพด้วยสายตาโกรธแค้นและเกลียดชังถึงขีดสุด
“ถึงเวลาที่แกต้องชดใช้สิ่งที่ทำกับฉัน”
เสียงเพลงไทยเดิมดังออกมาจากลำโพง ในลานจอดรถเบาๆ ไม่ดังมากนัก ตุลเทพชะงักแปลกใจนิดหน่อย
“เพลงไทยแบบนี้คุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหน”
แต่ตุลเทพไม่ได้สนใจอะไรมาก หันไปเล่นโทรศัพท์มือถือต่อ
ริลณีค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ตุลเทพ พร้อมกับใช้สายตามองจิกไปยังโคมไฟที่ลานจอดรถ ฉับพลันนั้นเองโคมไฟแตกกระจายกลายเป็นเศษแก้วแหลมร่วงลงพื้น ตุลเทพได้ยินเสียงอะไรแตก ก็หันไป และเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
ริลณีเคลื่อนมาหยุดตรงเศษแก้วที่มีปลายแหลมยิ่งกว่ามีดปลายแหลม ใช้สายตาจิกบังคับให้เศษแก้วเหล่านั้นพุ่งตรงมายังตุลเทพอย่างเร็ว
เศษแก้วแหลมพุ่งตรงเข้าไปหาตุลเทพ แต่เมื่อเข้าไปใกล้กำลังจะโดนตัวอยู่แล้ว เศษแก้วเหล่านั้นกลับร่วงลงพื้น ไม่สามารถทำอันตรายอะไรตุลเทพได้แม้แต่น้อย
ผีริลณีโกรธมาก ลอยวูบเข้าไปใกล้ตุลเทพโดยเร็ว ยกมือที่มีเล็บงอกยาวแหลมเคลื่อนเข้าใกล้หมายจะใช้เล็บจิกลึกลงไปที่คอตุลเทพ แต่ทันทีที่ริลณีสัมผัสโดนตัวตุลเทพ ของขลังของหมอผีเจ๋ง ที่ตุลเทพห้อยไว้ที่คอ ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ ทำให้มือริลณีที่โดนตัวตุลเทพ แสบร้อนและถูกแผดเผาราวกับโดนไฟไหม้ ผีริลณีเจ็บปวดกรีดร้อง อย่างทรมาน ก่อนจะหายร่างไป
จู่ๆ เสียงเพลงไทยเดิมหายไป กลายเป็นเพลงเดิมที่เล่นก่อนหน้า ตุลเทพเงยหน้ามองฉงน จนสายตาหันไปเห็นเศษแก้วแหลมตกอยู่ข้างๆ ตรงที่ยืนเต็มไปหมด ชายใจโฉดหยิบเศษแก้วขึ้นมาดูด้วยความสงสัย
“เศษแก้วพุ่งมาได้ไงวะ”
เสียงสาวอึ๋มดังเข้ามา “ได้กระเป๋ามาแล้วค่ะ”
ตุลเทพเลิกสนใจเศษแก้ว หันไปมองตามเสียงสาวสวย ก่อนจะเดินไปเปิดประตูรถ แล้วขึ้นรถไปกับสาว
สวยแล้วขับออกไป
ส่วนในร้านอาหารบุฟเฟต์ หน้าจอมือถือของเตชินที่วางอยู่บนโต๊ะ เป็นข้อความจากริลณีว่า “รินไม่ค่อยสบาย ขอตัวกลับก่อน” เตชินอ่านข้อความหน้าเศร้า ก่อนจะบอกเฟื่องฟ้าและเอทีเอ็ม
“รินไม่สบาย กลับไปแล้ว”
เอทีเอ็ม และเฟื่องฟ้า ตกใจเหลียวมองหน้ากัน
“อ้าว! แล้วรินเป็นอะไรมากรึเปล่า ขอเบอร์รินหน่อย” เฟื่องฟ้าร้อนใจ
“รินตั้งค่าแบบไม่โชว์เบอร์ ผมก็โทร.กลับหารินไม่ได้เหมือนกัน นอกจากรินจะติดต่อกลับมาเอง”
เอทีเอ้ม เฟื่องฟ้ามองหน้ากันงงๆ
“ทำไมรินต้องทำตัวมีความลับแบบนั้นด้วย” เฟื่องฟ้าบ่น
“ผมก็ไม่รู้”
เอทีเอ็มถอนหายใจ “เฮ่อ งานกร่อยเลย”
พนักงาน เอาจาน ช้อน ตะเกียบ อีกชุดมาให้ เฟื่องฟ้าเห็นยิ่งปรี๊ด
“จะเอามาทำไมป่านนี้เนี่ย เพื่อนพี่เค้ากลับไปแล้วค่ะ”
พนักงานหน้าจ๋อย ต้องเอาจาน ช้อน ตะเกียบ กลับไปแบบงงๆ
“เฮ่อ...ตอนมาสี่คนเอาให้สาม พอเหลือสามจะให้สี่ ให้มันได้อย่างนี้สิ ฮึ”
เฟื่องฟ้าโวยวายไม่พอใจ ส่วนเตชินรู้สึกกังวลและเป็นห่วงริลณีขึ้นมาโดยประหลาด
เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม หันกลับมาคุยกับเตชิน ที่เดินตามหลังมา
“คุณไม่ต้องไปส่งพวกเราหรอก เดี๋ยวเราสองคนจะเดินซื้อของเข้าบ้านนิดหน่อย”
“แล้วถ้ารินติดต่อมา รีบบอกพวกเรานะ” เอทีเอ็มกำชับ
“ครับ”
เตชินเดินออกไป เฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็ม มองตามก่อนจะหันมาพูดกันอย่างแปลกใจ
“ทำไมรินต้องทำตัวลึกลับซับซ้อนด้วยอ่ะ ไม่เข้าใจ”
“เอาเถอะ รินเค้าก็ต้องมีเหตุผลของเค้าน่ะแหละ”
เอทีเอ็มเดินออกไป เฟื่องฟ้าเดินตาม แต่ยังรู้สึกคาใจสงสัยไม่หาย
ขณะที่เตชินกำลังเดินตรงมาที่รถในลานจอด เขาได้ยินเหมือนเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังมาเบาๆ ตามสายลม
“โอ๊ย...”
เตชินรีบเดินตามหาเสียง ก่อนจะเห็นริลณีนั่งทรุดพิงเสาอยู่ เตชินตกใจรีบวิ่งเข้าไปหา
“ริน ริน คุณเป็นอะไรน่ะ”
เตชินรีบเข้าไปประคองตัวริลณีไว้ แล้วต้องตกใจเมื่อเห็นว่านิ้วทั้งสิบนิ้วของริลณีมีแผลเหมือนโดนไหม้
“เกิดอะไรขึ้นน่ะริน ทำไมคุณถึงได้บาดเจ็บแบบนี้”
ริลณีมองหน้าเตชิน ยิ้มให้อย่างอ่อนล้า ไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะพูดและลืมตา
เตชินเห็นอาการยิ่งตกใจ เขารีบช้อนตัวเธอขึ้น พาไปยังรถที่อยู่ไม่ไกล ปิดประตูอย่างเร่งร้อน ขึ้นรถแล้วขับทะยานออกตัวทันที แรงและเร็วราวกับจะบินไป
เตชินขับรถออกมาจากอาคารจอดรถโดยเร็ว คอยหันมามองริลณีที่ยังคงหลับตานิ่งด้วยความห่วงใย
“อดทนไว้นะริน คุณต้องไม่เป็นอะไร”
เตชินเอื้อมมือไปแตะตัวริลณีทั้งเป็นห่วง และกังวล หันกลับไปขับรถและเหยียบคันแร่งเพื่อให้รถไปเร็วที่สุด
ริลณีหลับตานิ่งผินหน้าไปทางประตู ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาของริลณียามนี้ขาวโพลนน่ากลัว และเต็มไปด้วยความแค้น จ้องออกไปนอกรถ เห็นวิวข้างทางที่รถกำลังขับผ่านไป ก่อนจะกระชากสายตานั้นอย่างเร็ว ออกไปยังหน้าอาคารจอดรถ บริเวณถนนไม่ไกลจากห้างนัก และเพ่งออกไปนอกถนนที่ไกลออกไปอีก และสายตาคู่นั้นไปหยุดที่รถของใครคนหนึ่ง ที่ติดแหงกอยู่บนถนนเส้นหนึ่งของกรุงเทพฯ
ริลณีเพ่งมองเข้าไปในรถคันนั้น เห็นตุลเทพกำลังนั่งเคลียคลอหยอกล้อ หอมแก้มสาวอึ๋มคนเดิม สาวนางนั้นยิ้มเยิ้มหอมกลับตุลเทพ ทั้งสองจ้องตากันหวานซึ้ง รถแทบจะกลายเป็นวิมานของสองคน
ดวงตาของริลณีเบิกโพลงด้วยความแค้นถึงขีดสุด ก้มมองมือที่เต็มไปด้วยรอยไหม้พึมพำเบาๆ
“ไอ้ตุลเทพ”
เตชินได้ยินเสียง หันกลับมามอง ด้วยสีหน้าทั้งแปลกใจและดีใจที่ริลณีฟื้นแล้ว
“ริน รินฟื้นแล้วเหรอครับ เกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณถึงเป็นแบบนั้น”
ดวงตาขาวโพลนของผี ที่เต็มไปด้วยความแค้นของริลณีกลับมาเป็นดวงตาสวยเหมือนเดิม ขณะหันไปหาเตชิน
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลย รีบพารินไปหาหมอก่อนนะคะ”
“ครับ ผมจะรีบพารินไปให้เร็วที่สุด”
เตชินหันกลับไปจดจ่อขับรถทันที ริลณีมองหน้าเตชินเห็นว่าเป็นห่วง แววตาก็อ่อนลง
แต่เมื่อภาพของตุลเทพที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุขกับสาวสวยแวบเข้ามาอย่างเร็วดวงตาของริลณีกลายเป็นตาผีวาวโรจน์ด้วยความโกรธอีกครั้ง คำรามอยู่ในใจ
“ตุลเทพ วันนี้แกก็ต้องตาย”
ริลณีมองออกไปนอกรถ จ้องไปที่รถคันหนึ่งกำลังสตาร์ตเครื่องกำลังจะออกจากที่จอด อยู่ๆ รถคันนั้นก็แล่นออกมา คนขับถึงกับเหวอแต่ทำอะไรไม่ได้ รถคันนั้นแล่นขวางทางรถเตชินที่กำลังขับมาอย่างเร็ว เตชินตกใจ เหยียบเบรกเอี๊ยด ก่อนที่จะชนกันเฉียดฉิว เตชินรีบเปิดกระจกตะโกนด่าด้วยความโมโห เพราะเป็นทางที่เตชินขับไปทางอื่นไม่ได้
“ขับออกมาได้ยังไง ไม่เห็นรึไงว่ารถผมกำลังแล่นมา”
คนขับท่าทางลนลาน หวั่นกลัว “ผมก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ รถมันก็แล่นออกมาเอง”
เตชินส่ายหน้าอย่างเซ็ง คิดไปว่าเถียงหน้าด้านๆ “งั้นก็ช่วยบอกให้รถของคุณมันแล่นหลบไปหน่อยครับ ผมจะรีบไป”
เจ้าของรถพยายามสตาร์ตรถ แต่รถดันสตาร์ตไม่ติด
คนขับตกใจ โวยวาย “สตาร์ตไม่ติดอ่ะ”
เตชินโมโห “จะมาเสียอะไรตอนนี้” เขาหันมาบอกริลณี “รินอดทนแป๊บนึงนะครับ”
เตชินรีบลงไปที่รถคันเจ้าปัญหานั้น ริลณีนั่งมองตามเตชินอยู่ในรถ ยิ้มบางๆ แล้วหายตัวไปจากตรงนั้น
รถตุลเทพยังติดอยู่ที่เดิม สาวสวยทรงอึ๋มดึงตุลเทพมาถ่ายเซลฟี่ด้วยกันในรถ แต่ตุลเทพไม่ยอมถ่าย
“ไม่เอาน่า อะตอมก็รู้นี่ว่าพี่มีโจทก์กับสาวๆ เยอะ”
สาวเจ้าสะบัดหน้างอน ตุลเทพเข้าไปง้อ สาวสวยทำสะบัดสะบิ้งเล่นตัวกรุบกริบ
อยู่ดีๆ เพลงที่เปิดดังอยู่ในรถก็เหมือนมีคลื่นแทรก ก่อนจะกลายเป็นเพลงไทยเดิม
“อึ๋ย! เพลงอะไรก็ไม่รู้ หลอนชะมัด”
สาวสวยทำท่าสยอง พยายามเปลี่ยนคลื่นวิทยุหาเพลงใหม่ แต่ไม่ว่าจะหายังไงก็ยังเป็นเพลงไทยเดิมเพลงนั้นอยู่ดี
บรรยากาศในรถแปลกไป ตุลเทพก็รู้สึกถึงความหนาวเย็นยะเยือกจากที่นั่งด้านหลัง เหมือนมีใครนั่งอยู่ตรงนั้น จอมเจ้าชู้เหลือบตามองไปที่กระจกมองหลัง เห็นริลณีนั่งอยู่ด้านหลัง กำลังจ้องตุลเทพตาเขม็ง
ปริ๊นๆๆๆๆ เสียงรถคันหลังบีบแตรไล่ เพราะไฟเขียวแล้ว ตุลเทพสะดุ้งตกใจ หลุดออกจากภวังค์ความหลอน หันไปมองกระจกอีกทีร่างริลณีหายไปแล้ว ตุลเทพโล่งอกรีบขับรถออกไป
“เป็นอะไรอะ เหงื่อแตกเต็มเลย”
ตุลเทพเอื้อมมือไปปิดวิทยุ ด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ก็ไอ้เพลงนี่น่ะสิ ทำให้พี่หลอน”
พูดจบตุลเทพหันไปมองหน้าสาวสวย แต่ต้องช็อก อีกครั้ง เพราะสาวสวยกลายเป็นริลณีนมองจ้องตุลเทพ พร้อมกับแสยะยิ้มให้อย่างน่ากลัวสุดๆ ตุลเทพตกใจรีบหยิบของขลังของหมอผีเจ๋งที่อยู่ที่คอออกมายื่นไปทางริลณี
“ไปนะ นังผีบ้า”
ริลณีหายไปโดยเร็ว รถของตุลเทพเสียหลักกำลังจะขับตกคูข้างทางแล้ว สาวสวยที่นั่งมาด้วย ซึ่งริลณีออกร่างไปแล้ว มองไปข้างหน้าด้วยความตกใจ รีบเอามือหักพวงมาลัยไม่ให้รถตกคลอง
“ระวัง”
ตุลเทพได้สติหันมาเห็นพอดี รีบจับพวงมาลัยบังคับอีกคน เบรกรถดังเอี๊ยด
รถจอดนิ่งข้างทาง อีกไม่กี่เซนติเมตรก็จะตกคลองไป สาวทรงอึ๋มมองหน้าตุลเทพ เอามือทุบตีเขาด้วยความโกรธ
“พี่ทำบ้าอะไรเนี่ย เกือบตายแล้วรู้มั้ย”
ตุลเทพขวัญผวามองไปรอบๆ ตัวด้วยความระแวง เปิดประตูลงมาจากรถอย่างรวดเร็ว
อีกฟากคนขับรถพยายามสตาร์ตเครื่องให้เตชินดู แต่สตาร์ตยังไงก็ไม่ติด
ชายคนขับรถบ่นงงๆ “สตาร์ตไม่ติดได้ไงวะ เมื่อกี้ยังขับได้อยู่ดีๆ เลย”
เตชินเซ็ง ไม่รู้จะทำยังไง “งั้นเข็นหลบก่อนเถอะครับ เพราะผมต้องรีบไป”
คนขับรถพยักหน้าตกลง รีบลงมาจากรถตัวเอง มาช่วยเตชินเข็น สองหนุ่มช่วยกันเข็นรถ แต่รถไม่ขยับสักนิด ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“ทำไมมันหนักงี้อ่ะ”
“ลองอีกครั้งนะครับ” เตชินรวบรวงแรง “ฮึบ”
เตชินและคนขับรถมองหน้ากันไม่อยากจะเชื่อ !!!
ทางด้านสาวสวยเดินตามตุลเทพลงจากรถ เดินเข้าไปดูตุลเทพที่ดูแปลกๆ มือไม้สั่น ท่าทางหวาดกลัว หญิงสาวเข้าไปจับตัว ตุลเทพสะดุ้งโหยง จนสาวสวยงง
“เป็นไรมากรึเปล่า พี่ดูแปลกๆ นะ”
ตุลเทพหันไปมองหน้าคู่ขา เห็นหน้าสาวสวยกลายเป็นหน้าริลณีจ้องมาอย่างโกรธแค้น
“แกต้องตาย เหมือนที่แกทำกับฉันไว้”
ริลณีสิงร่างสาวสวยนางนั้น เดินเข้าไปผลักตัวตุลเทพออกไปที่ถนน ที่มีรถวิ่ง แต่ทันทีที่มือของริลณีในร่างสาวสวยโดนตัวตุลเทพ ของขลังของหมอผีเจ๋งก็ออกฤทธิ์อีกครั้ง มือริลณี แสบร้อนเหมือนมีไฟแผดเผา
ริลณีกรีดร้องอย่างโหยหวน “โอ๊ย.....”
ตุลเทพเห็นแบบนั้นรีบถอดของขลังของหมอผีเจ๋งขว้างใส่ริลณีที่สิงร่างสาวสวยอยู่ ริลณีเจ็บปวดร้องโอดโอยอยู่ครู่หนึ่ง ร่างสาวสวยก็ล้มหมดสติลงไปกองที่พื้น
ริลณีปรากฏร่าง มือมีบาดแผลไฟไหม้มากยิ่งขึ้น แต่ยังมองตามตุลเทพด้วยความอาฆาตแค้น ตุลเทพรีบวิ่งหนีไปด้วยความกลัวสุดขีด แหกปากไปตลอดทาง
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย ใครก็ได้ ช่วยผมด้วย””
เสียงร้องขอความช่วยเหลือของตุลเทพ ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทของหลวงตาคงที่นั่งทำสมาธิอยู่อย่างสงบในกุฎี
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ ช่วยผมด้วย”
ภาพริลณีลอยวูบตามมาและกำลังจะเล่นงานตุลเทพ แวบเข้ามาในจิตของหลวงตาคงเช่นกัน หลวงตาลืมตาด้วยความตกใจ
“หยุดจองเวรสร้างกรรมเถอะโยม ต่อให้ฆ่าเค้าตาย โยมก็ไม่สามารถฟื้นกลับมาได้แล้ว ปล่อยให้เวรกรรมลงโทษเขาเองเถอะ”
ตุลเทพวิ่งโกยแนบหนีตายมาสักครู่ใหญ่ เมื่อเหลียวไปมองด้านหลังไม่เห็นริลณีแล้วก็โล่งอก พอหันกลับไปจะวิ่งต่อ ก็ชะงัก เพราะอยู่ดีๆ บริเวณนั้นก็มืดมิดมองอะไรข้างหน้าไม่เห็นไปหมด
ตุลเทพโวยวาย “เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น ทำไมมองไม่เห็น”
ที่แท้ผีริลณียืนอยู่ข้างหลังตุลเทพ และเอามือปิดตาเขาไว้ไม่ให้มองเห็นอะไร ตุลเทพเดินสะเปะสะปะ เงอะงะไปที่ริมถนน พร้อมๆ กับที่รถคันหนึ่งแล่นเข้ามาด้วยความเร็วสูง
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย ผมมองไม่เห็น”
ผีริลณีปิดตาตุลเทพไว้ พาตุลเทพเดินไปบริเวณถนนที่มีรถขวักไขว่
ฟากเตชินและคนขับรถ พยายามเข็นรถยังไงก็ไม่ไป ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ เตชินเริ่มหงุดหงิดมากเพราะเป็นห่วงริลณี
“เข็นไม่ไปแบบนี้ แล้วผมจะทำยังไงเนี่ย ผมต้องรีบพาแฟนผมไปหาหมอ”
เตชินพูดพร้อมกับหันไปมองริลณีในรถ แต่ต้องชะงัก เพราะไม่เห็นริลณีอยู่ในนั้น เตชินมองฉงน
“แฟนผมหายไปไหน”
“ผมเห็นคุณอยู่คนเดียวเนี่ย ไม่เห็นใครอยู่ในรถคุณตั้งแต่แรกแล้วนะ”
เตชินมองหน้าคนขับรถไม่อยากเชื่อ เดินเข้าไปดูริลณีทันที
ถนนย่านชานเมือง รถวิ่งกันขวักไขว่ ผ่านหน้าผ่านหลังตุลเทพไปแบบฉิวเฉียด ตุลเทพเดินสะเปะสะปะอยู่บนถนน เริ่มร้องโวยวายด้วยความกลัว แต่ก็หนีจากอำนาจบังคับของริลณีไม่ได้
“ช่วยด้วย ผมมองไม่เห็น ช่วยผมด้วย”
รถยนต์คันหนึ่งพุ่งตรงเข้าใส่ตุลเทพอย่างเร็ว ริลณีที่ปิดตาตุลเทพหันไปมองรถคันนั้นยิ้มร้าย ก่อนจะมองไปที่รถคันนั้นบังคับให้ขับตรงมาที่ตุลเทพ
ในรถที่ขับพุ่งเข้ามา คนขับรถ 2 เห็นตุลเทพ พยายามเหยียบเบรก แต่เบรกยังไงก็เบรกไม่ได้
ฝ่ายหลวงตาคงนั่งไหว้ต่อหน้าพระ ที่โต๊ะหมู่บูชาใหญ่ในห้อง สวดมนต์เพื่อช่วยคุ้มครองตุลเทพ
ฟากเตชินเดินมาถึงกระจกรถด้านที่ริลณีนั่งอยู่ กระจกติดฟิล์มดำมืด ทำให้เตชินยังไม่เห็นอะไรชัดมากนัก เตชินพยายามชะโงกหน้าเข้าไปมองข้างใน และกำลังจะเห็นแล้วว่าริลณีไม่ได้อยู่ในรถ
ส่วนที่ถนนชานเมือง รถพุ่งตรงเข้ามา กำลังจะชนตุลเทพอยู่แล้ว ริลณีเปิดตาตุลเทพออกเพื่อให้เห็นความตายที่กำลังจะเข้ามาเยือนชีวิต
ตุลเทพช็อก เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังจะถูกรถชนในอีกไม่ถึงเสี้ยววินาที แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
คนขับรถ 2 พยายามจะเหยียบเบรกสุดชีวิต ผีริลณียืนยิ้มอย่างสะใจ
“ถึงเวลาของแกแล้ว ตุลเทพ”
รถแล่นเข้ามาอย่างเร็ว ตุลเทพยกมือขึ้นปิดหน้า ร้องตะโกนสุดเสียง
“ม่าย....”
คนขับรถ 2 ยังพยายามเหยียบเบรกจนวินาทีสุดท้าย
หลวงตาคงสวดอย่างตั้งใจและมุ่งมั่น จนใบหน้าของหลวงตามีเหงื่อไหลย้อยออกมา
อ่านต่อหน้า 3
นางชฎา ตอนที่ 6 (ต่อ)
รถแล่นเข้ามา โดยมีสายตาของริลณีคอยบังคับรถให้พุ่งเข้ามาชนเต็มๆ รถแล่นเข้ามาจะชนตุลเทพแล้ว แต่อยู่ดีๆ ก็เกิดแสงสีเหลืองทองอร่ามมากันรถไม่ให้ชนตุลเทพ พร้อมกับที่คนขับรถ กลับมาเบรกรถได้ใน
วินาทีสุดท้ายแบบเฉียดฉิว
ทั้งตุลเทพ คนขับรถ และโดยเฉพาะริลณีมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ผีริลณีโมโหถลันเข้าจะทำร้ายตุลเทพ แต่เสียงเตชินดังแทรกเข้ามาก่อน
“ริน...ริน...คุณยังอยู่ในรถรึเปล่า”
ริลณีชะงักมองตุลเทพด้วยความแค้น จำต้องกลับไปหาเตชิน ร่างริลณีวูบหายไป ตุลเทพโล่งอกถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นถนน คนขับรถ 2 ต้องลงจากรถมาดูอาการด้วยความตกใจ
เตชินเดินมาที่รถ ยังไม่ได้ชะโงกมอง พอไม่เห็นริลณีก็แปลกใจ
“ริน ริน คุณหายไปไหนน่ะ”
ครั้นพอเตชินชะโงกเข้าไปมองในรถ ก็เห็นริลณีนอนหลับเบียดมาชิดใกล้ประตูรถ และยังเอนเบาะลงจนแทบสุด นั่นทำให้มองจากข้างนอกไม่เห็น
เตชินถอนหายใจโล่งอก ที่ริลณียังไม่ได้หายไปไหน รีบเปิดประตูเข้าไปหา
“ริน คุณโอเครึเปล่า” เมื่อมองไปที่มือริลณี ก็ตกใจที่เห็นแผลยิ่งมากขึ้น “ทำไมแผลมันมากขึ้นแบบนี้”
เสียงรถที่จอดขวางสตาร์ตเครื่องติด รถคันนั้นถอยออก เตชินหันไปมองอย่างดีใจ และมีความหวัง
“อดทนนะครับ ผมจะรีบพารินไปหาหมอเดี๋ยวนี้แหละ”
เตชินรีบปิดประตู ก่อนจะอ้อมไปขึ้นอีกทาง โดยไม่ทันเห็นสีหน้าริลณีที่สายตาเต็มไปด้วยความคั่งแค้นที่ฆ่าตุลเทพไม่สำเร็จอีกครั้ง
“ทำไมถึงฆ่ามันไม่ได้! ทำไมถึงฆ่ามันไม่ได้”
ฝ่ายหลวงตาคงกราบพระที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วนั่งลงถอนหายใจด้วยความกังวล
“วันนี้ดวงวิญญาณยังไม่กล้าแข็ง อาตมายังพอช่วยได้ แต่ถ้าหากดวงวิญญาณนี้กล้าแข็งขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่ว่าใครก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว”
สีหน้าผู้ทรงศีลเต็มไปด้วยความกังวลใจ
ขณะที่ ชมพู ปริมลดา และ หงส์หยก ช่วยกันเก็บข้าวของ รายชื่อแขก รูปภาพต่างๆ ชมพูสีหน้าเศร้าตลอดเวลา ปริมลดาและหงส์หยกลอบมองหน้ากันยิ้มสะใจ หงส์หยกทำเป็นพูดลอยๆ แอ๊บเสียงใสๆ ขึ้นมา
“คนที่โทร.ตามว่าที่เจ้าบ่าวของเธอออกไปได้เนี่ย ต้องสำคัญมากเลยนะ”
“นั่นสิ โทร.มาปุ๊บออกไปปั๊บ” ปริมลดาแหย่ “แม่แท้ๆ ยังทำไม่ได้นะเนี่ย”
หงส์หยกหันมาถามชมพู “ชมพูรู้มั้ยว่าเป็นใคร”
ชมพูหน้าเสีย “ไม่รู้หรอก เค้าไม่ยอมบอก”
“แต่คงไม่ใช่เรื่องงานแน่ เพราะคุณเตชินยังไม่ได้ทำงาน หรือว่าเพื่อนก็ไม่น่าจะสำคัญกว่าว่าที่เจ้าสาว เป็นไปได้มั้ยว่าพี่เตชินจะมีกิ๊ก”
ชมพูรีบปฏิเสธ “เป็นไปไม่ได้หรอก”
“คราวนั้นเธอก็พูดแบบนี้ อุ๊บ” หงส์หยกรีบทำเป็นปิดปาก “ลืมไปว่าเธอจำเรื่องในอดีตไม่ได้”
“ทำไมเหรอ พี่เตชินเคยคบคนอื่นด้วยเหรอ”
ปริมลดาทำเป็นดุหงส์หยก “ไม่เอาน่า เรื่องมันผ่านไปแล้ว จะไปรื้อฟื้นอีกทำไม”
“ก็ฉันไม่อยากให้ชมพูเค้าใสซื่อเกินไป”
ชมพูยิ่งอยากรู้มาก “มีอะไรเหรอลดา บอกฉันเถอะ ฉันอยากรู้”
“เอาเป็นว่า รู้แค่ พี่เตชินของเธอน่ะ ไม่ใช่คนใสๆ อย่างที่คิดก็แล้วกัน” หงส์หยกบอก
“เห็นเงียบๆ แต่ฟาดเรียบทุกราย หุหุ” ปริมลดาเสริม
ชมพูได้ฟังถึงพูดไม่ออก ปริมลดากับหงส์หยกหันมามองหน้ากัน แอบยิ้มสะใจที่ทำให้ชมพูรู้สึกไม่ดีกับเตชินได้
สองสาวผู้หวังดีประสงค์ร้ายกลับไปแล้ว หมูหวานนั่งอยู่กับชมพูในห้องนอน กำลังเล่าเรื่องที่เห็นเมื่อตอนกลางวันให้ฟัง
“จริงค่ะ เมื่อตอนกลางวันหมูหวานเห็น คุณลดาสะดุดล้ม คุณเตชินคว้าตัวมากอดไว้ หน้างี้ใกล้กันเลยนะคะ หมูหวานก็ลุ้นว่าสองคนจะจูบกันเหมือนในละครมั้ย”
“แล้วเค้าทำอะไรกันรึเปล่า”
“หมูหวานก็ไม่เห็นค่ะ พ่อมาปิดตาไว้ก่อน”
“ไม่อยากจะเชื่อ”
“คุณชมพูก็รู้ ถึงหมูหวานจะขี้เม้าท์ แต่ก็ไม่ขี้โกหกนะคะ”
เด็กสาวขาเม้าท์มองชมพูตาอย่างจริงใจใสซื่อ ชมพูเห็นสายตานั้นรู้ว่าหมูหวานไม่โกหกแน่
“ฉันเชื่อหมูหวาน”
“แต่จากสถานการณ์ ฝ่ายหญิงจะเป็นฝ่ายบุกมากกว่านะคะ”
“ใครเริ่มไม่สำคัญหรอก มันอยู่ที่เค้าจะสานมันต่อรึเปล่า” ชมพูหน้าเศร้าลง “หมูหวานออกไปก่อนเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว”
หมูหวานเป็นห่วง รู้สึกผิดที่เล่า “คุณชมพูจะไม่ลงไปทานข้าวสักหน่อยเหรอคะ”
“ฉันไม่หิว”
หมูหวานพยักหน้ารับทราบ ลุกขึ้นกำลังจะเดินออกไป ชมพูคิดอะไรขึ้นได้รีบบอก
“เดี๋ยว แล้วห้ามเล่าเรื่องพี่เตชินกับลดาให้คุณพ่อ คุณแม่ฟังเข้าใจมั้ย”
“ค่ะ คุณชมพู”
หมูหวานเดินออกไปจากห้องแล้ว ชมพูซบหน้ากับฝ่ามือ ด้วยความรู้สึก ผิดหวัง เสียใจ และ เจ็บปวดเหลือแสน
ด้านเตชินขับรถมาตามถนน คอยหันมามองริลณีด้วยความเป็นห่วง
“รินทนอีกหน่อยนะครับ”
“รินไม่เจ็บแล้วละค่ะ”
“ถึงไม่เจ็บก็ต้องหาหมอ ให้หมอดูสักหน่อยว่าเป็นอะไรนะครับ ผมเป็นห่วง”
เตชินมองออกไปนอกถนน พบว่าตึกโรงพยาบาลตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล
“โรงพยาบาลอยู่ข้างหน้าแล้ว อีกแป๊บก็ถึง”
“คุณพูดแบบนี้มาหลายรอบแล้วนะคะ อีกแป๊บก็ถึง แล้วก็ยังไม่ถึงสักที”
“นั่นสิครับ ทำไมถึงยังไม่ถึงสักที ปกติผมขับจากตรงนั้นไม่เกิน 15 นาทีด้วยซ้ำ”
เตชินมุ่งมั่นขับรถ ริลณีนั่งนิ่งมองไปข้างทางหน้าตายิ้มๆ หลอนๆ คล้ายมีบางอย่างที่เตชินไม่อาจรู้
ขัยมาอีกสักพัก รถเตชินจอดรถที่ข้างทางเปลี่ยว ซึ่งไม่ไกลจากที่เดิม เหมือนเขาขับหลงวนไปวนมาแถวนั้นโดยไม่รู้ตัว
เตชินลงมาจากรถมองไปรอบๆ เห็นว่ายังอยู่ในถนนเส้นเดิม พอมองไปเห็นตึกโรงพยาบาลที่ยังอยู่ห่างออกไปเท่าเดิม ยิ่งโมโห
“เฮ้ย ทำไมถึงยังอยู่บนถนนเส้นนี้อีกล่ะเนี่ย ยิ่งรีบยิ่งพาหลง ทางนี้ขับอยู่บ่อยๆ แท้ๆ”
“เราไม่ได้หลงหรอกค่ะ ดูดีๆสิคะ อีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านของคุณแล้ว”
เตชินลงไปจากรถ มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าแปลกใจ เพราะเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับถนนขึ้นมาซะอย่างนั้น
“จริงๆ ด้วย นี่มันซอยบ้านของผมนี่ แล้วทำไมเมื่อกี้ตอนผมขับถึงไม่รู้สึกคุ้นเคยเลยล่ะ”
“แบบนี้ โบราณเค้าเรียกว่า ผีบังตา”
เตชินหันขวับมา คล้ายตกใจ จ้องรินลณีเขม็ง “อะไรนะครับ”
ริลณีอึ้ง คิดว่าเตชินเริ่มสงสัย สองคนจ้องหน้ากันนิ่งนาน
เตชินยังดูอึ้งอยู่อย่างนั้น “นี่ อย่าบอกนะ ว่าริน...”
ริลณีหวั่นใจ “ริน...ทำไมคะ”
เตชินยิ้มขำ “รินนี่โบราณจริงๆ พูดจายังกะยายแก่” ชายหนุ่มหัวเราะขัน “ผีบังตา มีที่ไหน”
ริลณีโล่งอก แต่ก็แอบวูบใน “ผีมีจริงค่ะเตชิน”
“งั้นแสดงว่าเมื่อกี้ ตอนที่ผมขับรถ ก็มีผีแอบมาปิดตาไว้ใช่มั้ยครับ” เตชินยิ้มยื่นหน้ามาจ้องคนรัก “แล้วไหนล่ะครับผี” เขามองริลณีตาหวานซึ้ง “ผีอะไร สวยจัง”
ริลณีแอบเศร้า “แล้วถ้ารินเป็นผีจริงๆ คุณจะกลัวมั้ยคะเตชิน”
เตชินหัวเราะขำ “พูดล้อเล่นแบบนี้แสดงว่าหายแล้ว ไม่เจ็บมือแล้วจริงๆ ด้วย”
“รินรู้สึกดี ตั้งแต่เห็นคุณพยายามพารินไปโรงพยาบาลแล้ว ขอบคุณนะคะเตชิน ที่ยังเป็นห่วงรินไม่เคยเปลี่ยน”
“ถึงจะชมกันขนาดนี้ ผมก็ต้องพารินไปหาหมอครับ”
เตชินขึ้นรถ สตาร์ตเครื่องแล้วขับออกไป โดยไม่ได้ยินเสียงที่ริลณีพึมพำเบาๆ น่าขนลุกขนพองสยองหัว
“ถ้าคุณพาไปถึงนะคะ”
ค่ำมากแล้ว มองจากบ้านเรือนไทยที่เตชินปรับปรุงใกล้เสร็จจนดูสวยแล้ว เห็นรถของเตชินแล่นเข้ามาจอด
เตชินและริลณีลงมาจากรถ ชายหนุ่มมองบ้านตัวเองงงๆ แปลกใจไม่อยากเชื่อ
“ผมไม่ได้โกหกนะครับ แต่ผมไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมผมถึงขับมาที่บ้านของผมหลังนี้ได้”
เตชินรู้สึกแปลกใจมาก ในขณะที่ริลณีมองชื่นชมบ้าน แม้จะเป็นเวลากลางคืนก็ดูสวยงาม
“ไม่คิดว่าที่นี่จะสวยได้ถึงขนาดนี้”
เตชินแปลกใจ “รินรู้จักบ้านหลังนี้ด้วยเหรอครับ”
“รินรู้จักที่นี่ดี ตั้งแต่ยังเป็นบ้านร้างหลังมหาวิทยาลัยค่ะ”
ริลณีพูดด้วยออกความเจ็บปวดอันยอกแสลงใจ เธอรู้จักดีเพราะถูกฝังไว้ที่นี่
“จริงสินะ คนส่วนใหญ่ที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับรินจะรู้จักบ้านหลังนี้ ในฐานะ บ้านเรือนไทยผีสิง”
“แล้วคุณไม่กลัวเหรอคะ”
“ผมไม่เชื่อเรื่องผี แต่ผมเชื่อความรู้สึกของตัวเอง ตอนที่เห็นบ้านหลังนี้ครั้งแรก ผมรู้สึกตกหลุมรัก” เขาจ้องริลณีลึกซึ้ง “เหมือนตอนที่ผมหลงรักริน”
“เตชินเลยซื้อบ้านหลังนี้ไว้เป็นเรือนหอ” น้ำเสียงมีวี่แววตัดพ้อประชดประชัน
เตชินสะอึก “เอ่อ...คือ...”
“อิจฉาว่าที่เจ้าสาวของคุณจัง ชมพูเขาได้มาเห็นบ้านสวยๆ หลังนี้รึยังคะ”
“รินจะเป็นคนแรกที่ได้เห็น ถ้ารินต้องการ”
“รินอยากเห็นค่ะ”
“งั้นเชิญครับ” เตชินนึกขึ้นได้ “แล้วตกลงเราไม่ต้องไปหาหมอแล้วเหรอครับ”
“ในบ้านคุณมีอุปกรณ์ทำแผลอยู่ไม่ใช่เหรอคะ คุณช่วยทำแผลให้รินได้มั้ยคะ”
“ได้น่ะได้ครับ แต่ว่าผม...”
“รินไว้ใจคุณค่ะ”
ริลณียิ้มแล้วเดินตรงเข้าไปในบ้านเลย เตชินยิ้มจะเดินตามแล้วชะงัก พึมพำออกมา
“แล้วรินรู้ได้ไงว่าบนบ้านมีอุปกรณ์ทำแผล”
ทั้งสองอยู่บริเวณนอกชาน บ้านเรือนไทย
ริลณีมองหน้าเตชินยิ้มๆ พลางตอบข้อสงสัย
“รินก็แค่เดาเอาน่ะค่ะ”
ทั้งคู่ลงนั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ต้นไม้ โดยมีเตชินกำลังจับมือริลณีพันผ้าพันแผลให้
“เดาว่าคุณมีชุดทำแผล เดาว่าคุณทำแผลเก่ง”
เตชินยิ้ม “แล้วก็เป๊ะ จริงๆ” ก่อนจะมองแผลที่มือ “ตอนแรกที่เห็นแผล คิดว่าจะเป็นมากกว่านี้ซะอีก”
“เด็กกำพร้าอย่างริน เจ็บนานมากไม่ได้หรอกค่ะ เดี๋ยวไม่มีใครดูแล”
“ก็มีผมคอยดูแลอยู่นี่ไง” เตชินทายา พันแผลเสร็จ “เสร็จแล้ว”
ริลณีมองเตชินอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณนะคะ”
“ต่อไปถ้าเกิดอะไรกับริน ถึงแม้จะแค่มดกัด มีดบาด รินก็ต้องบอกผมนะครับ” เตชินหน้าเศร้าลง “รู้มั้ยตอนที่ผมเห็นรินเจ็บ หัวใจผมแทบสลาย ผมรู้เลยว่า ผมคงทนไม่ได้ ถ้ารินเป็นอะไรไปมากกว่านี้”
ริลณีใจหาย “รินขอโทษนะคะที่ทำให้คุณเป็นห่วง รินไม่รู้ว่าคุณจะห่วงรินมากขนาดนี้”
“ผมห่วงรินมากกว่าชีวิตของผมเองซะอีกนะครับ”
“แล้วชมพูละคะ คุณห่วงเขามากแค่ไหน” ริลณีอดไม่ได้
“ผมก็ห่วงเขามาก”
ริลณีพยักหน้าเข้าใจอย่างเจ็บปวด ก่อนจะลุกขึ้นเดินหนีไป เตชินลุกขึ้นตามไปกอดริลณีจากข้างหลังเอาไว้
“เหมือนพี่ชายห่วงน้องสาว สำหรับความรู้สึกที่ผมมีให้เค้า มันเป็นอย่างนั้นมาตลอด”
ริลณีหันตัวมามองหน้าเตชิน “แต่คุณก็กำลังจะแต่งงานกับเขา”
“มันเป็น หน้าที่ ที่ผมต้องทำ” เตชินกระชับกอดริลณีแน่น “แต่สำหรับ หัวใจ ผมมีแต่รินรินรู้มั้ยครับ ผมไม่สามารถหยุดรักรินได้สักวินาทีเดียว ทั้งๆที่ผมกำลังจะแต่งงาน ทั้งๆที่รู้ว่ามันผิด แต่ผมก็หยุดรักรินไม่ได้จริงๆ”
“รินรู้ว่าคุณรักรินมาก คุณตามหารินมาตลอด” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เหมือนพึมพำคนเดียวด้วยความซึ้งใจ “แม้มันจะยากเย็นแค่ไหน คุณก็ไม่เคยยอมแพ้” ริลณีหันกลับไปมองหน้าเตชิน “และเพราะความรักของคุณ รินถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้”
“คุณยังรักผมอยู่รึเปล่าครับ”
“รักสิคะ รินยอมทำทุกอย่างที่จะได้กลับมารักคุณอีกครั้ง”
เตชินและริลณีมองหน้ากันลึกซึ้ง แสงจันทร์ที่ส่องลงมาที่นอกชาน ตกกระทบทำให้หน้าริลณีที่สวยอยู่แล้วยิ่งเปล่งประกาย ลมเบาๆ ยามค่ำคืนพัดพากลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ลอยเข้ามาแตะจมูกเตชิน
“หอมจัง”
“กลิ่นดอกราตรีน่ะค่ะ”
“ไม่ใช่ดอกไม้หรอก” เขาเอามือจับแก้มนวลเบาๆ “แก้มรินต่างหากที่หอม”
พูดเสร็จเขาก็ก้มลงไปสูดความหอมจากพวงแก้ม ริลณีรีบหลบหน้าอาย จะเดินหนีออกมา แต่เตชินกลับคว้าตัวมากอดไว้แน่น ทั้งสองจ้องตาสื่อสารถึงความรู้สึกข้างในที่มีต่อกัน ทั้งรัก โหยหา และ ปรารถนา เตชินห้ามใจไม่ไหวก้มลงหอมแก้มริลณีอย่างละมุนละไม ริลณีแม้จะอายแต่ก็ยอมให้เตชินหอมอย่างเต็มใจ และมีความสุข
เตชินผละจากแก้ม เลื่อนลงมาจะจูบที่ปาก แต่ริลณีผลักตัวเตชินออกอย่างเขินอาย
“ไหนว่าคุณจะพารินชมบ้านไงคะ”
เตชินได้สติรีบผละออก ยิ้มอายๆ
“จริงสิ ผมมีอะไรจะอวดริน”
ถัดมาทั้งคู่อยู่ในห้องนอนชั้นบน ริลณีเปิดดูสมุดวาดรูปที่มีรูปของเธอในแบบต่างๆ อยู่จนเกือบเต็มเล่ม เงยหน้ามองเตชินอย่างประทับใจ
“นี่คุณวาดทั้งหมดเลยเหรอคะ”
“ผมวาดเวลาที่ผมคิดถึงริน”
เตชินเดินอ้อมไปข้างหลังริลณี สมุดยังวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง เขาเอื้อมมือไปเปิดสมุดไปหน้าแรก ที่วาด ก่อนที่จะเจอริลณี
“รูปนี้ผมวาดก่อนที่จะเจอริน”
ริลณีเห็นรูปเหมือนตัวเอง แปลกใจ “ไม่เชื่อนี่มันรูปรินชัดๆ”
“ผมไม่ได้โกหกนะครับ ผมวาดก่อนที่จะเจอรินแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง”
“แล้วทำไมถึงเหมือนรินขนาดนี้ละคะ”
“คงเพราะคุณอยู่ในความฝันของผมมาตลอด”
ริลณีมองเตชินปลื้มมากที่สุด
เตชินจ้องริลณีก่อนจะพูดสิ่งที่ติดอยู่ในใจออกมา
“ถ้าวันนั้นผมไม่มาช้า ถ้าวันนั้นผมไม่ขับรถชนชมพู บ้านหลังนี้ก็คงจะเป็นเรือนหอของเรา”
ริลณีนึกแล้วเศร้าวูบหนึ่ง ฝืนยิ้มออกมา “อย่าพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยค่ะ เราทำได้แค่ ใช้เวลา ตอนนี้ วินาทีนี้ ให้ดีที่สุด”
“ผมอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป”
ริลณีน้ำตาไหล เศร้าเหลือเกิน โผเข้ากอดเตชินแน่น “รินก็เหมือนกันค่ะ”
ทั้งคู่มองหน้ากัน เตชินเอามือเช็ดปาดน้ำตา แล้วก้มลงจูบริลณี
เกิดเสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง ที่นอกหน้าต่าง ก่อนที่ฝนจะตกลงมาหนักอย่างหนัก ชนิดที่ไม่ลืมหูลืมตา ราวกับมีอาเพศร้าย ลมพายุโหมกระหน่ำ พัดแรงจนข้าวของบนโต๊ะ ชิ้นเล็กๆ ริมขอบหน้าต่างล้มระเนระนาดไปหมด
สมุดวาดรูปของเตชินร่วงลงมากับพื้นด้วยแรงลมวูบหนึ่ง โดยเตชินประคองตัวริลณีค่อยๆ ล้มตัวลงไปบนเตียงด้วยกัน
อีกด้านหนึ่ง กรอบรูปคู่ของเตชินกับชมพู วางประดับอยู่ตรงหน้ากระจกเครื่องแป้งในห้องนอน โดยผู้เป็นเจ้าของห้องนั่งหน้าเศร้า หวีผมตัวเองอยู่หน้ากระจกนั้น ขณะกำลังหวีอยู่ดีๆ เธอก็เกิดอาการชะงัก หน้าเสีย
หมูหวานเปิดประตูเข้ามาเห็นพอดี มองนายสาวด้วยความแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะคุณหนู ทำไมถึงทำหน้าแปลกๆ แบบนั้น”
ชมพูยื่นหวีที่ใช้อยู่เมื่อกี้ ที่หักเป็นสองท่อนให้หมูหวานดู
“หวีผมอยู่ดีๆ หวีก็หักเป็นสองท่อนซะงั้น หวีอันโปรดซะด้วย เสียดาย”
ชมพูทำท่าจะหยิบหวีขึ้นมาต่อ แต่หมูหวานรีบเข้าไปห้าม
“อย่าเอามาต่อค่ะคุณหนู ทิ้งไปเลยค่ะ โบราณเค้าถือ”
ชมพูฉงน “ถืออะไร”
“พ่อเคยบอกว่า ถ้าเกิดหวีผมแล้วหวีเกิดหักคาผมแบบนี้ เอ่อ...จะเกิด...เกิด....เกิด”
“เกิดอะไร”
หมูหวานไม่อยากพูดแต่ต้องพูด “จะเกิดเรื่องไม่ดีตามมาค่ะ”
ชมพูชะงักตกใจ จะโยนหวีที่หักทิ้ง แต่มือเกิดสะบัดไปโดนกรอบรูปคู่ตกลงมากระจกแตกกระจาย ชมพูอึ้งช็อก หมูหวานตกใจเวอร์ หน้าซีด
“แย่แล้ว”
ชมพูสังหรณ์ใจโดยประหลาดว่า เรื่องไม่ดีที่เกิดอาจจะเกี่ยวกับตัวเธอและเตชินก็เป็นได้
ดึกสงัด ภายในห้องนอนอันมืดมิด มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟ และแสงสว่างจากฟ้าผ่าที่นอกหน้าต่าง ช่วยให้เห็นภาพเตชินนอนเปลือยท่อนบนหลับอยู่บนเตียง โดยมีริลณีในสภาพเดียวกันนอนลืมตา เหลียวมองเตชิน และกอดเขาเอาไว้อย่างหวงแหน หลังบทรักอันผิดธรรมชาติจบลงอย่างอิ่มเอม
เตชินขยับตัวหันมากอดริลณีแน่นขึ้น ริลณีซุกหน้ากับอกแกร่งกำยำของเตชิน ยิ้มอย่างมีความสุขล้น
ทั้งสองนอนบนเตียงในแสงสลัวลาง จนเกิดมีแสงจากฟ้าผ่าอีกครั้ง ทำให้พบว่า แท้จริงสิ่งที่เตชินนอนกอดอยู่บนเตียง
ไม่ใช่ริลณีสาวสวย หากแต่เป็นโครงกระดูกของริลณีเท่านั้น
หลวงตาคงเดินจงกรมอย่างสงบมั่นในสมาธิอยู่ในบริเวณลานวัด เสียงฟ้าร้องคำรามคำรณอย่างน่ากลัว ทำให้หลวงตาผู้คงศีลหยุดชะงัก ลืมตาพลางแหงนหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าอย่างพินิจพิจารณา
แลเห็นก้อนเมฆสีดำทะมึนดูวิปริตปั่นป่วนพิกล คล้ายกับมีเรื่องร้ายแรงอุบัติขึ้น
“ในที่สุดก็เกิดขึ้น อาตมาคงหยุดยั้งอะไรไม่ได้แล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรมสินะ”
หลวงตาคงถอนใจอย่างปลดปลง หลับตาลงแล้วเดินจงกรมกำหนดจิตต่อไป
รุ่งเช้าวันต่อมา บรรยากาศของบ้านเรือนไทยหลังฝนตกดูสดชื่น แลเห็นหยดน้ำหยดลงจากขอบหน้าต่างห้องนอน
เตชินนอนอยู่บนเตียงขยับตัวแล้วแต่ยังไม่ลืมตา ใบหน้ายิ้มพรายอย่างมีความสุข เขาเอื้อมมือไปหมายจะกอดริลณีที่เคยนอนข้างๆ แต่พบเพียงความว่างเปล่า เตชินแปลกใจรีบลืมตามอง ไม่เห็นริลณีอยู่บนเตียงและในห้องแล้ว เตชินหน้าเสีย รีบลุกขึ้น ไปตามริลณีทันที
เตชินวิ่งตามหาริลณีไปรอบๆ บริเวณบ้าน และสวน ด้วยท่าทางตกใจ กลัวว่าริลณีจะหนีหายเขาไปอีก
“ริน...รินอยู่ไหน...ริน...ริน”
เตชินวิ่งมามุมหนึ่งในสวนแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นริลณียืนนิ่งเหมือนจ้องมองอะไรอยู่ เตชินไม่รู้ว่าผีริลณียืนอยู่บนหลุมศพของเธอนั่นเอง บรรยากาศดูวังเวง น่ากลัวปนสยองนิดๆ เตชินรีบวิ่งเข้าไปกอดริลณีเอาไว้
“ผมคิดว่ารินจะหนีผมไปอีกแล้ว”
ริลณีปาดน้ำตา ขณะยิ้มให้เตชิน “รินจะหนีไปไหนได้ละคะ ในเมื่อคนที่รินรักอยู่ที่นี่”
“แล้วรินมายืนทำไมตรงนี้ครับ เปลี่ยวจะตาย”
“รินแค่ออกมาเดินชมสวน แล้วรู้สึกที่ตรงนี้สงบ ก็เลยยืนคิดอะไรเพลินๆ”
“รินคิดอะไรเหรอครับ ถ้าเป็นเรื่องเมื่อคืน...ผม...”
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนั้นเลยค่ะ รินทำอาหารเช้าให้คุณทานเยอะแยะเลย”
“อาหารเช้า รินทำได้ยังไงครับ ผมไม่มีอะไรในตู้เย็นเลยนะ”
ริลณีมองหน้าเตชิน เพียงยิ้มไม่ยอมตอบ
อาหารเช้า ถูกจัดวางเต็มโต๊ะ เป็นข้าวต้มร้อนๆ พร้อมกับต่างๆ นอกจากกับข้าวจะมีหลากหลายให้เลือกแล้ว ทุกอย่างยังถูกจัดแต่งอย่างสวยงามจนดูผิดปกติ เตชินมองอาหารและริลณีทึ่งๆ
“ว้าว นี่รินทำเองคนเดียวเหรอครับ ทำไมมันถึงมากมาย อลังการแบบนี้”
“รินไม่รู้ว่าคุณชอบอะไร ก็เลยลองทำทุกอย่างที่คิดว่าคุณจะชอบ”
“ต่อไปไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้นะครับ ผมไม่อยากให้รินเหนื่อย”
“รินอยากทำค่ะ เพราะไม่รู้ว่า เมื่อไหร่จะมีโอกาสทำให้คุณอีก”
เห็นริลณีหน้าเศร้า เตชินรู้สึกผิดรีบเข้ามากอดปลอบริลณีเอาไว้
“ผมจะไม่มีวันทิ้งรินไปไหนอีก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ผมจะรับผิดชอบ”
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
“ต้องเป็นไปได้ เพราะผมจะไม่มีวันทำผิดกับคุณอีก”
ริลณีอึ้งกับท่าทีจริงจังนั้น “เตชิน”
“ถ้าเมื่อก่อนเราไม่ปิดเรื่องที่เราคบกัน มันอาจจะมีอุปสรรค มีคนขัดขวาง แต่ผมเชื่อว่า เราจะผ่านมันไปได้ และตอนนี้เราอาจจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข” เขาบอกอย่างมุ่งมั่นมาดหมายอีกว่า “เพราะฉะนั้น ผมจะไม่ยอมทำผิดเรื่องนี้ ซ้ำเป็นครั้งที่สองแล้ว”
“หมายความว่ายังไงคะ”
น้ำเสียงของเตชินเด็ดเดี่ยวขณะพูดคำนี้ “ผมจะบอกเรื่องของเราให้ทุกคนรู้ แล้วยกเลิกงานแต่งงานซะ”
ริลณีตกใจ “ไม่ได้นะคะเตชิน”
“ทำไมละครับ ขอให้ผมทำสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อรินบ้างไม่ได้เหรอ”
“แต่คุณจะเดือดร้อน”
“ผมยอมรับผลที่จะตามมาทุกเรื่อง ใครจะว่าผมเลว ผมชั่วยังไงก็ได้ แต่ผมจะไม่ยอมทำผิดกับรินอีก”
“คุณพ่อคุณแม่คุณไม่ยอมหรอกค่ะ”
“คงต้องให้เวลาท่านสักพัก ยังไงท่านก็รักผม ท่านจะต้องรักคนที่ผมรักแน่ๆ”
“แล้วชมพูละคะ”
“ผมเชื่อว่าชมพูจะเข้าใจ” เตชินจ้องหน้าริลณี “ริน ผมทำเพื่อคนอื่นมามากแล้ว ขอทำเพื่อตัวเองบ้างเถอะครับ”
ริลณีทักท้วง “แต่...”
“ไม่มีแต่ แค่บอกผมว่า รินพร้อมจะอยู่เคียงข้างผมรึเปล่า”
เตชินจ้องหน้าริลณีต้องการคำตอบ ริลณียิ้มหวาน ตอบสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกออกมา
“รินพร้อมค่ะ รินก็ไม่อยากสูญเสียสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของรินไปเหมือนกัน”
ริลณีโผเข้ากอดเตชินแน่น ทั้งสองกอดกันอย่างมีความสุข
“เรามาอยู่ด้วยกันนะริน”
“ค่ะ รินอยู่ที่นี่กับคุณเสมอ”
เสียงรถแล่นเข้ามาจอดในบริเวณบ้าน เตชิน และ ริลณีชะงัก มองหน้ากันอย่างแปลกใจว่าใครมา?
อ่านต่อหน้า 4
นางชฎา ตอนที่ 6 (ต่อ)
ที่แท้เป็นชัชที่ผิวปากอารมณ์ดีลงจากรถ เดินไปหยิบแบบ และ ข้าวของตรงเบาะหลัง กำลังจะเดินเข้าไปในบ้าน แต่ต้องชะงัก เมื่อพบว่ารถของเตชินจอดอยู่หน้าเรือนไทย
“มาอยู่ที่นี่เอง”
ชัชหน้าเครียด รีบเดินเข้าไปในบ้านทันที
พอเห็นว่าเป็นชัช เตชินรีบบอกริลณีที่มีสีหน้าเครียดดูกังวลหนักว่า
“ชัชคงมาเก็บรายละเอียดการตกแต่งในบ้าน ดีเลยจะได้บอกมันเป็นคนแรก”
เตชินจะวิ่งออกไปจากห้องทานอาหาร แต่ริลณีดึงมือเขาไว้ก่อน
“อย่าเพิ่งเลยค่ะ รินไม่อยากให้เค้ามองว่ารินเป็นคนใจง่าย ที่ยอมมาค้างกับคุณที่นี่”
เตชินพยัก “โอเค ผมเข้าใจ งั้นรินหลบไปก่อน”
ริลณีกำลังจะเดินจากห้องไปแต่ยังไม่ทันได้ออกไปไหน ชัชก็เดินเข้ามาในห้องอีกทางหนึ่ง เตชินตกใจกลัวว่าชัชจะเห็นริลณี แต่เมื่อหันไปมอง ริลณีหายไปจากตรงนั้นแล้ว
ชัชโวยวาย “ไอ้เตแกรู้มั้ย เมื่อคืนคุณหญิงแม่ โทร.มาโวยวายว่าแกไม่ยอมกลับบ้าน ฉันงี้ฟังจนหูชา ขาเป็นเหน็บ ไม่รู้ว่าเล็บจะขบด้วยรึเปล่าเนี่ย แล้วแกก็มาหลบนอนสบายชิวๆ ที่บ้านเนี้ย ไม่มีบอกกันบ้างเลย”
“ขอโทษที พอดีมันกะทันหัน”
“แล้วนายออกไปไหนกับใคร เห็นบอกว่าคุยเรื่องงานแต่งอยู่ดีๆ ก็ออกมาจากบ้านเลย”
“ฉันออกไปกับริน”
ชัชตกใจ สะดุ้งโหยง “เย้ย... แกเจอเค้าแล้วเหรอ”
“เจอแล้ว แล้วก็เข้าใจกันแล้วด้วย”
ชัชตื่นเต้น “เข้าใจอะไร ยังไง เล่าๆๆ มาสิ”
“เอาไว้วันหลังแล้วกัน วันนี้นายกลับไปก่อนเถอะ”
“เฮ้ย! อะไรวะ คนเพิ่งมาแล้วมาไล่ ได้ไงอ่ะ”
“กลับไปเถอะน่า ฉันจะอยู่ที่นี่อีกสองสามวัน บอกคนงานไม่ต้องเข้ามาทำงานด้วย”
“ก็ตามใจ บอกคุณหญิงแม่นายด้วยก็แล้วกัน ฉันไม่อยากขวัญผวายามดึก”
“โอเคๆๆๆ แล้วฉันจะโทร.บอกเอง”
เตชินรีบดันตัวชัชออกไปจากห้อง ชัชทั้งง ทั้งแปลกใจ
“ทำไมต้องรีบไล่จังว๊า มีอะไรปิดบังรึเปล่าเนี่ย”
“ไม่มี๊”
“เสียงสูงนะเนี่ย”
“บอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีสิ กลับไปได้แล้ว ง่วง” เตชินทำเป็นปิดปากหาวหวอดๆ
ชัชยังไม่ยอมกลับ แต่มองไปรอบๆ อย่างบ้านสำรวจด้วยความสงสัย เตชินรีบไปดันตัวออกจากห้องทานอาหาร
“ไปได้แล้ว”
“เออๆๆๆๆ”
ชัชกำลังจะเดินพ้นห้องแล้ว พลันสายตาเหลือบไปเห็นจานชามบนโต๊ะอาหาร มีใบไม้แห้งๆ ดอกไม้แห้งๆ ใส่ไว้ในจานชามทุกใบ ชัชงงๆ ปนแปลกใจ แต่ไม่ได้ถามอะไร
ชัชกำลังจะเปิดประตูขึ้นรถ ด้วยความรู้สึกงงๆ ระคนแปลกใจ
“ไอ้เต มันจะเอาจานชาม ใส่ดอกไม้ ใบไม้ไว้ทำไมเยอะแยะวะ อย่าบอกนะว่าเดี๋ยวนี้กินใบไม้แห้งเป็นอาหาร ฮ่าๆๆ พิลึกคน”
ชัชหันกลับไปมองในบ้าน อยู่ดีๆก็รู้สึกวังเวงๆ หลอนๆ ขึ้นมาแปลกๆ รู้สึกเหมือนกำลังมีคนจ้องอยู่อย่างไม่ประสงค์ดีเท่าไหร่ ชัชหันไปมองแต่ไม่มีอะไร แต่ขนแขนกลับลุกสู้แบบไม่ตั้งใจ
“ทำไมอยู่ดีๆ ขนแขนพร้อมใจกันแสตนด์อัพวะ”
ชัชผวากลัว รีบขึ้นรถ แล้วขับออกไป
เมื่อรถชัชแล่นออกไปแล้ว ริลณีปรากฏตัวขึ้นตรงมุมที่ชัชมองไปไม่เห็นเมื่อกี้ มองตามชัชไปด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น และกังวลอะไรบางอย่าง
อีกฟากหนึ่ง เอกราช ประวิทย์ เชิงชาย ปริมลดา และ หงส์หยก เดินมาตามทางเดินตรงไปยังที่พักของตุลเทพ ซึ่งอยู่ด้านหลังของศูนย์กีฬาทางน้ำ รอบๆ ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านนัก ทุกคนถูกตุลเทพตามตัวให้มาพบ เอกราชนั้นท่าทางเซ็งและหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
“ไอ้ตุลเทพมันเป็นบ้าอะไร โทร.ไปหาดึกๆ ดื่นๆ นัดให้พวกเรามาที่เนี่ย”
“นายแค่ดึก ฉันน่ะมันโทร.มาบอกตอนตีสาม ดีนะที่ยังแต่งเพลงอยู่” เชิงชายบ่น
“วันนี้ฉันมีงานด่วนด้วย บอกจะไม่มาก็ไม่ยอม บอกว่าเรื่องคอขาดบาดตาย” หงส์หยกว่า
ปริมลดารำคาญ “แล้วทำไมไม่ถามล่ะว่ามีเรื่องอะไร”
“มันไม่ยอมบอก บอกว่าบอกผ่านโทรศัพท์ไม่ได้” เอกราชบอก
ประวิทย์ออกความเห็น “งั้นก็คงมีเรื่องสำคัญจริงๆ แหละ ปกติตุลเทพมันไม่เคยทำแบบนี้”
“หวังว่าเรื่องสำคัญของมันคงไม่เกี่ยวกับ เงิน หรอกนะ” เอกราชว่า
ปริมลดาขำคิก “อาจจะกำลังโดนผัวผู้หญิงที่กำลังคั่วคนไหนตามเก็บก็ได้”
ทุกคนเดินมาถึงหน้าห้องพักตุลเทพ แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นหน้าประตู มีสายสิญจน์พันไว้ และมียันต์ต่างๆ ปิดอยู่เต็มไปหมด
เชิงชายเหลียวดูเครื่องรางประดามีแล้วเอ่ยขึ้น “สงสัยจะไม่ใช่เรื่องเงิน กับ เรื่องผู้หญิงแล้วละมั้ง”
ประวิทย์รีบเข้าไปเคาะประตูห้องเรียก
“ตุลเทพ ตุลเทพ พวกเรามากันแล้ว ตุลเทพ”
มีเสียงปลดล็อคจากข้างใน ก่อนประตูห้องจะค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นตุลเทพที่ใส่สร้อยตะกรุดกันผี ที่ข้อมือก็มีสายสิญจน์พร้อมตะกรุด และที่นิ้วมีแหวนพระ เพื่อนๆ ทุกคนเห็นสภาพจัดเต็มของตุลเทพถึงกับอึ้งพูดไม่ออก เหวอไปตามๆกัน
“รีบเข้ามาก่อน อยู่ข้างนอกไม่ปลอดภัย”
เอกราช ประวิทย์ เชิงชาย ปริมลดา และหงส์หยก รีบตามกันเข้าไปในห้อง ตุลเทพมองออกไปนอกห้องอย่างระวัง เมื่อเห็นว่าปลอดภัยก็รีบปิดประตูทันที
ภายในห้องพักของตุลเทพ เต็มไปด้วยเครื่องรางของขลัง พระพุทธรูปมากมายวางเต็มไปหมด
“นี่ถ้าไม่รู้จักนาย ฉันคิดว่าบ้านนายเป็นสำนักหมอผีแล้วนะเว้ย” เชิงชายสัพยอก
“ใครจะคิดวะ ว่าเพลย์บอยตัวพ่อจะบ้าไสยศาสตร์ขนาดนี้”
สิ้นคำประวิทย์ เอกราช เชิงชาย พากันหัวเราะขำ
ตุลเทพโพล่งออกมา “ฉันเจอผีริลณี”
เอกราชหันขวับมา มองหน้าตุลเทพไม่พอใจ “นายว่าไงนะ”
ตุลเทพพูดช้าชัด “ฉัน เจอ ผี ริลณี”
เอกราชจ้องหน้าตุลเทพ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างไม่เชื่อ
“เล่นยามากเกินไปรึเปล่าวะ เพลาๆ บ้างนะเว้ย เพื่อสุขภาพ”
“ฉันเจอจริงๆ นังผีนั่นจะมาฆ่าฉัน” ตุลเทพยืนยัน
เอกราชโกรธกระชากคอตุลเทพเต็มแรง “นายหลอนแล้ว นังผีบ้านั่นจะออกมาได้ยังไง ไม่มีทาง”
“แต่ฉันเห็นจริงๆ มันจะฆ่าฉัน สาบานก็ได้”
ปริมลดาดูจะไม่เชื่อนัก “แล้วทำไมนายไม่ตายล่ะ นังผีนั่นคงไม่ปรานีเก็บนายไว้หรอก”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ตาย ทั้งๆที่จริงๆ ฉันก็น่าจะตายแล้ว”
ประวิทย์เข้าไปตบบ่าตุลเทพปลอบ ให้สงบสติอารมณ์
“ไม่เอาน่าตุลเทพ ล้อเล่นกันเรื่องแบบนี้ ไม่มีใครสนุกหรอกนะเว้ย นายก็รู้ว่านังผีนั่นมันออกมาไม่ได้ เราขังมันไว้แล้ว และศาลาที่ขังก็ยังอยู่”
ตุลเทพยืนกรานหนักแน่น “ฉันไม่ได้ล้อเล่น ฉันพูดจริงๆ ฉันจะมีใครเชื่อฉันบ้างมั้ยเนี่ย”
เอกราชโมโห ชี้หน้าตุลเทพ “ถ้าวันหลังนายโทรหาฉันดึกๆ ดื่นๆ แล้วตามมาพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้ ฉันอัดนายแน่ รู้มั้ยว่าเวลาของฉันเป็นเงินเป็นทอง ไม่มีเวลามาฟังเรื่องไร้สาระนี้หรอก”
เอกราช ไม่เชื่อ เดินหุนหันออกไป ประวิทย์รีบเดินตาม ปริมลดามองตุลเทพส่ายหน้า
“นายเนี่ย เสื่อมลงมากกว่าที่ฉันคิดเยอะเลย เลิกซะเถอะไอ้เรื่องไสยศาสตร์ไร้สาระเนี่ย ระวังของมันจะเข้าตัว”
ปริมลดายิ้มหยัน แล้วเดินเชิดๆ ออกไป เชิงชายดูลังเลอยู่ว่าจะเอายังไง สุดท้ายตัดสินใจเดินตามเสียงหมู่มาก แต่ถูกตุลเทพคว้าแขนไว้
“ปล่อยสิวะ จะมาจับไว้ทำไมเนี่ย”
“ฉันพูดเรื่องจริง พวกเรากำลังตกอยู่ในอันตราย นังผีบ้านั่นจะตามฆ่าพวกเรา ทำไมถึงไม่มีใครเชื่อฉันมั่งวะ”
เชิงชายสะบัดตัว “ปล่อยสิวะ นายมันเพ้อเจ้อ เวิ่นเว้อ ใครจะไปเชื่อ”
หงส์หยกโพล่งขึ้นมา “ฉันเชื่อ”
สองหนุ่มชะงักหันไปมองหงส์หยก พบว่าอีกฝ่ายมองหน้าเชิงชายและตุลเทพด้วยความหวาดกลัวอย่างชัดแจ้ง
เมื่อเอกราชเดินกลับมาที่รถ ท่าทางยิ่งหัวเสียมากขึ้นกว่าเดิม
“ทำไมนายต้องโกรธขนาดนั้นด้วย” ประวิทย์อดถามไม่ได้
“ฉันไม่อยากได้ยินชื่อนังนั่นอีก” เอกราชยัวะจัดชี้หน้าประวิทย์ “นายจับตาดูมันไว้ อย่าให้มันไปเที่ยวพล่ามชื่อนังนั่นให้ใครได้ยินอีก”
“แล้วถ้าตุลเทพเกิดเจอผีนังนั่นจริงล่ะ” ปริมลดาขัดขึ้น
“ฉันก็จะฆ่ามันอีกครั้ง ไม่ให้ได้ผุดได้เกิดที่ไหนอีกเลย”
แววตาของชายโฉด ดูอำมหิตผิดมนุษย์
สามคนที่เชื่อเรื่องริลณีหารือกันอยู่ หงส์หยกนั่งหน้าเครียด เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ตอนไปหาอาจารย์นาฎ ให้เอกราชและเชิงชายฟัง
“ตอนนั้นฉันก็ไม่แน่ใจว่าใช่ ผีริลณีจริงๆ รึเปล่า แต่หน้าตา ท่าทาง ความรู้สึก มันบอกฉันว่าใช่ ริลณีแน่ๆ”
“แล้วทำไมเธอถึงไม่รีบบอกพวกเรา” ตุลเทพถาม
“ขนาดนายบอก ยังไม่มีใครเชื่อ แล้วอย่างฉันใครจะฟัง”
“แต่ฉันไม่เข้าใจ พวกนายสองคนเจอผีริลณี แต่ไม่มีใครเป็นอะไรเลย ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าผีนั่นมันจะตามฆ่าพวกเรา เป็นไปได้มั้ยว่าพวกนายสองคนจะหลอนจริง” ประวิทย์ย้อนแย้ง
“ฉันจะหลอนได้ไง ฉันไปคุยกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยนะ”
“วันนั้นเหล้าสักแก้ว บุหรี่สักตัว ฉันก็ยังไม่ได้แตะเลย” ตุลเทพบอกอย่างมั่นใจ
“แล้วทำไมพวกนายไม่ตาย” ประวิทย์คาใจ
“ฉันจะไปรู้เหรอ”
“หรือว่าพวกเราดวงยังไม่ถึงฆาต นังผีนั่นเลยทำอะไรไม่ได้” หงส์หยกตั้งข้อสังเกต
เชิงชายถามขึ้น“แล้วถ้าเราดวงถึงฆาตล่ะ”
“ต่อให้สิบหลวงพ่อ ล้านของขลังก็คงช่วยเราไม่ได้” หงส์หยกบอก
“แล้วเราจะถึงฆาตเมื่อไหร่”
เชิงชายพูดจบ หันไปมอง ตุลเทพ หงส์หยก สามคนทำท่าสยอง
“บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่พวกนายพูดก็ได้ ตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือ ต้องพิสูจน์ว่า ผีที่เธอกับฉันเห็น ใช่ผีริลณีจริงๆ รึเปล่า”
“แล้วจะพิสูจน์ยังไง อย่าบอกนะ จะเรียกผีนั่นมาเจออีกครั้ง” หงส์หยกผวา
“ไม่ต้องเสี่ยงขนาดนั้นหรอก ฉันวิธี”
ตุลเทพมองหน้าหงส์หยกและเชิงชาย มีแผนชั่วบางอย่าง
ส่วนที่บ้านเรือนไทยของเตชิน ผ้าพันแผลค่อยๆ ถูกแกะออก พบว่านิ้วมือนั้นขาวเนียนสวย ไร้รอยขีดข่วนใดๆ ราวกับไม่เคยมีแผลไหม้มาก่อน เตชินมองอย่างประหลาดใจ
“แปลกมาก แค่คืนเดียวแผลรินก็หายสนิทหมดแล้ว”
ริลณีเผลอทำเสียงเข้ม “ของแบบนั้น ทำอะไรรินไม่ได้หรอกค่ะ”
เตชินมองฉงน “อะไรนะครับ”
“อ๋อ รินบอกว่าที่แผลรินหายเร็วก็เพราะมีคนดูแลดีไงคะ”
“แต่ผมว่ารินไม่ได้พูดแบบนั้นนะ” เตชินยิ้มใช้นิ้วจี้เอวริลณี “บอกมาเร็วว่าเมื่อกี้พูดอะไร” จี้อีกที “จะ
บอกไม่บอก ถ้าไม่บอกผมจี๋ไม่หยุดนะ”
ริลณีไม่ยอมบอกได้แต่หัวเราะขำ เตชินก็แกล้งไม่หยุด ทั้งสองคนหัวเราะขำ อย่างมีความสุข
เสียงโทรศัพท์มือถือของเตชินดัง เตชินชะงัก หน้าเสียรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี แม้ไม่รู้ว่าใครโทร.มา เขามองหน้าริลณีโดยไม่ยอมรับสาย
“รับเถอะค่ะ อย่าปล่อยให้ชมพูเค้ารู้สึกกังวลเลย”
ริลณีพูดเสร็จก็ลุกเดินออกไป เตชินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นชมพูโทรมาจริงๆ ก็แปลกใจ
“รู้ได้ยังไง”
ทางด้านชมพูเดินไปเดินมาอยู่ในห้องนอน รอเตชินรับสายด้วยท่าทีกังวล พอเตชินกดรับก็ดีใจมาก
“พี่เตชินเหรอคะ พี่เตชินหายไปไหนมาคะ ชมพูเป็นห่วงแทบแย่”
“พี่ไปธุระ แล้วก็มาค้างที่บ้านเรือนไทยน่ะครับ” เสียงเตชินดังลอดออกมา
“ไปค้างที่บ้านเรือนไทย? ทำไมถึงไปค้างละคะ”
เตชินนั่งคุยโทรศัพท์หน้าเครียด ท่าทางไม่มีความสุข อาการตรงข้ามกับชมพู
เตชินรีบเปลี่ยนเรื่อง “น้องชมพูโทร.มา มีเรื่องอะไรด่วนรึเปล่าครับ”
“อ๋อ เรื่องชุดแต่งงานน่ะค่ะ”
พอเตชินได้ยินคำว่า ชุดแต่งงาน ถึงกับชะงัก
ชมพูเองมีท่าทางกังวลใจอะไรบางอย่าง
“คือ ทางร้านเค้าอยากให้เราเข้าไปลองชุด ดีไซเนอร์จะแก้ไข ให้พอดีตัว”
น้ำเสียงเตชินอึกอัก ดังออกมา “เอ่อ...คือ”
ชมพูรีบออกตัว “เอ่อ...แต่ถ้าพี่เตชินไม่ว่าง ชมพูจะขอให้ทางร้านส่งมาลองที่บ้านก็ได้นะคะ เค้ามีบริการสำหรับลูกค้าวีไอพี”
เตชินเงียบไปนาน ไม่ยอมตอบ
“พี่เตชิน พี่เตชินคะ ยังอยู่รึเปล่าคะ”
“ยังอยู่ครับ”
“พี่เตชินมีอะไรรึเปล่าคะ วันนี้ดูแปลกๆ”
“พี่มีเรื่องสำคัญบางอย่าง อยากจะคุยกับชมพูครับ”
ชมพูหันไปมองหวีที่หักสองท่อน ซึ่งยังวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง รู้สึกใจคอไม่ดียังไงก็ไม่รู้
“เรานัดเจอกันได้มั้ย”
“ทำไมต้องนัดเจอ พี่เตชินบอกชมพูตอนนี้เลยไม่ได้เหรอคะ”
เตชินท่าทางรู้สึกผิดอย่างมาก
“พี่อยากจะพูดกับชมพูต่อหน้ามากกว่า”
“แสดงว่า ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เลยใช่มั้ยคะ พี่เตชินอยากมาคุยกับชมพูเมื่อไหร่ก็บอกนะคะ ชมพูพร้อมเสมอ”
ชมพูวางสายหน้าตาเคร่งเครียด
“พี่เตชิน เค้ามีเรื่องอะไรของเค้า”
ชมพูเหลือบมองกรอบรูปคู่ที่ตกแตก มันยังวางอยู่บนโต๊ะหน้ากระจก ด้วยความกังวลใจ
อีกฟาก ตรงมุมลับตาคนในมหาวิทยาลัย ตอนนี้ เงิน 2,000 บาท ถูกยื่นมาให้ น้าไหว และ กล้า แต่ทั้งสองยืนมองเงินก้อนนั้นอย่างลังเลไม่กล้ารับ เจ้าของมือยืนอยู่ หยิบเงินในกระเป๋าเพิ่มให้อีก 1,000 บาท สองยามมองหน้ากัน แล้วรับเงินนั้นมาจาก ตุลเทพ
“ก็แค่นั้นแหละ ไม่รู้จะยึกยักเล่นตัวไปทำไม งานง่ายๆ เงินดีๆ แบบนี้ ไม่ทำก็น่าเสียดายแย่”
“ก็ถ้างานมันง่ายจริง ทำไมนายถึงไม่ทำเองล่ะ” กล้าย้อน
น้าไหวนิ่งคิด เล่นแง่ “แสดงว่าไม่ใช่งานง่าย อย่างนี้น่าจะเพิ่มอีกสักพันสองพัน”
ตุลเทพโมโห หยิบเงินออกมายื่นให้น้าไหว และ กล้าเพิ่มอีกหนึ่งพัน
“ผมเพิ่มให้อีกเท่านี้แหละ ถ้าทำก็ทำ ไม่ทำก็เอาเงินคืนมา”
น้าไหว กะ กล้า มองหน้ากัน ท่าทีลังเลปนยึกยัก ตุลเทพรำคาญจะเอาเงินที่น้าไหวหยิบไปก้อนแรกคืน แต่น้าไหวไม่ยอม จึงยอมรับเงินอีกพันบาทของตุลเทพ
“งานที่ให้ทำเนี่ย แค่ไปดูว่าในบ้านหลังนั้นยังมีศาลาหน้าบ้านอยู่รึเปล่าใช่มั้ย” น้าไหวถาม
“ใช่ ง่ายๆ แค่นั้น”
“น้า แต่นั่นมันบ้านผีสิงนะ โดนหลอกมาตั้งกี่ครั้งไม่เข็ดรึไง” กล้าท้วง
“มีของดีหมอผีเจ๋งจะกลัวอะไร ถ้าผีนั่นมาหลอกอีก คราวนี้ ข้าจะจับทำเมีย ฮ่าๆๆๆ”
“รู้เรื่องแล้วรีบโทร.บอก” ตุลเทพยื่นกระดาษให้น้าไหว “นี่เบอร์ผม อ้อ! แล้วห้ามบอกใครล่ะ”
ตุลเทพมองซ้าย แลขวา รีบใส่แว่นดำแล้วเดินออกไป
จากนั้นตุลเทพรีบเดินเข้าไปหาเชิงชายและหงส์หยกที่รออยู่มุมหนึ่งในมหา’ลัย
“แน่ใจเหรอว่าไอ้ยามสองคนนั่นจะได้เรื่อง” หงส์หยกดูไม่ค่อยมั่นใจนัก
“หรือเธออยากจะเข้าไปที่บ้านนั้นเอง” ตุลเทพว่า
“ม่ายล่ะ แค่ผ่านหน้าบ้านหลังนั้นฉันยังไม่กล้าเลย”
ตุลเทพหันมาถามเชิงชาย “หรือนายจะไป”
“ไม่ล่ะ ให้ยามสองคนนั่นไปแหละดีแล้ว”
“งั้นก็รอฟังผลว่าจะออกหัวหรือก้อย”
เชิงชาย ตุลเทพ และ หงส์หยก มองหน้ากันลุ้น
ชุดสูทเจ้าบ่าว 2-3 ชุด ถูกแขวนเอาไว้ตรงระเบียง โดยมีเตชินนั่งมองชุดเหล่านั้นด้วยความรู้สึกกดดันและอึดอัดใจเป็นที่สุด ริลณีเดินออกมา มองไปที่ชุด แล้วหันหน้าถามเตชิน
“ทำไมไม่ลองชุดละคะ ทางร้านอุตส่าห์ส่งมาให้ลองตั้งแต่เย็น รินว่าถ้าคุณใส่ต้องหล่อมากๆ เลยค่ะ”
ริลณีเอามือลูบชุดเบาๆ สายตาเศร้า เตชินเห็นรีบเดินเข้าไปจับมือริลณีไว้
“รินก็รู้ว่าผมไม่ได้อยากใส่”
“คงไม่ได้แล้วละค่ะ ชุดแต่งงานส่งมาอยู่ตรงหน้าแบนี้ เจ้าบ่าวจะไม่ใส่ได้ยังไงละคะ”
ริลณีพยายามฝืนยิ้มให้ แล้วเดินออกไป เตชินมองตามก่อนจะตัดสินใจบอก
“ผมจะบอกความจริงทั้งหมดกับชมพูวันพรุ่งนี้”
ริลณีตกใจหันมา “เตชิน”
“ผมตัดสินใจแล้วละครับ ช้าเร็วยังไงผมก็ต้องรีบบอก เพื่อทุกคนจะได้ไม่ต้องเตรียมเรื่องงานแต่งงานไปมากกว่านี้ จะได้เกิดความเสียหายกับคนอื่นๆ น้อยที่สุด”
“น่าสงสาร ชมพูนะคะ รินรู้ว่าเค้ารักคุณมาก”
“ชมพูเป็นผู้หญิงที่ดีมาก ผมเชื่อว่าเค้าจะได้เจอคนที่ดีกว่าผม”
“รินรู้จักชมพูดี สำหรับเค้า ไม่มีผู้ชายคนไหนดีกว่าคุณแน่นอน”
“แต่ผม ดูแลปกป้อง ผู้หญิงสองคนไม่ได้ ผมต้องเลือกคนที่ผมรักที่สุด นั่นก็คือ รินนะครับ”
เตชินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามอง ตัดสินใจแน่วแน่ เดินปลีกตัวออกไป ริลณีมองตามยิ้มชื่น ดีใจ
ชมพูในชุดเจ้าสาวสวยหวาน กำลังลองชุดแต่งงานอยู่ที่บ้าน หญิงสาวหมุนตัว ส่องดูตัวเองอยู่หน้ากระจกอย่างมีความสุข โดยมีหมูหวานถือกล้องมือถือเตรียมถ่ายรูปใกล้ๆ
“คุณชมพูพร้อมรึยังคะ หมูหวานจะถ่ายรูปแล้วน๊า แอ๊คชั่น”
ชมพูหันมาโพสท่าถ่ายรูปเจ้าสาวสวยหวาน และ น่ารัก หมูหวานกดถ่ายหลายช็อต
“ดีงามที่สุด สวยที่สุดเลยค่ะ”
หมูหวานรีบเอารูปที่ถ่ายไปให้ชมพูดู ว่าที่เจ้าสาวตื่นเต้น
“เดี๋ยวฉันจะส่งไปให้พี่เตชินดู แต่...” ใบหน้ายิ้มแย้มค่อยๆ กลายเป็นเศร้า “ไม่รู้พี่เตชินจะลองชุดของเค้ารึยัง”
“ลองแล้วสิคะ ใครจะอดใจไหว คุณชมพูรีบส่งรูปไปเถอะค่ะ หมูหวานอยากรู้ว่าคุณเตชินเค้าจะตอบกลับมาว่ายังไง”
ชมพูกดเลือกรูป กำลังจะส่งไปให้เตชินดู แต่โทรศัพท์ดัง เป็นเตชินโทร.เข้ามา หมูหวานและชมพูตื่นเต้น
“คุณเตชินต้องโทร.มาตื่นเต้นเรื่องชุดแต่งงานกับคุณชมพูแน่ๆ”
ชมพูยิ้มชื่น รีบกดโทรศัพท์รับสายทันที
“ชุดแต่งงานเป็นยังไงบ้างคะพี่เตชิน”
“เอ่อ พรุ่งนี้ชมพูว่างมั้ยครับ พี่อยากเจอ” น้ำเสียงของเขามีวี่แววอึดอัดเจือในนั้น
ชมพูรับรู้ สีหน้าเครียด ความสนุกความตื่นเต้นมลายไปบัดดล รีบเดินปลีกตัวออกไปคุยไกลจากหมูหวาน
“จะคุยเรื่องที่พี่เตชินบอกว่าอยากคุยใช่มั้ยคะ”
“ใช่ครับ”
“ได้ค่ะ ชมพูว่างสำหรับพี่เตชินเสมอ”
“งั้นบ่ายโมง ที่ร้านเดิม นะครับ”
“ค่ะ พี่เตชินจะไม่บอกชมพูหน่อยเหรอคะว่า เรื่องที่อยากคุยเกี่ยวกับเรื่องอะไร”
เตชินเงียบไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจบอกว่า “เรื่องการแต่งงานของเรา”
ชมพูชะงัก ใจหายวาบ พยายามทำเสียงปกติ “ค่ะ งั้นพรุ่งนี้เราเจอกัน”
หลังวางสายสีหน้าชมพูดูเครียด และเป็นกังวลชัดแจ้ง ภาพตัวเองในชุดแต่งงานที่จะส่งให้เตชินยังค้างที่หน้าจอ ชมพูตัดสินใจลบทิ้ง หมูหวานเห็นวิ่งเข้ามาถามด้วยความแปลกใจ
“ลบทำไมคะคุณชมพู”
“มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะ พี่เตชินเค้าคงไม่อยากเห็น” สาวสวยพึมพำกับตัวเอง “บางทีเค้าอาจจะไม่แต่งงานด้วยซ้ำ”
ชมพูลบรูปที่เพิ่งถ่ายออกจนหมด หมูหวานมองด้วยความสงสารไม่รู้จะช่วยปลอบยังไง
เตชินหลบมานั่งเศร้า มองโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกผิด ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก ก่อนจะหันไปเจอริลณีที่มายืนจ้องตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ถ้าสิ่งที่คุณคิดจะทำ แล้วทำให้คุณรู้สึกแย่มาก ก็ไม่ต้องทำก็ได้นะคะ”
“รินอย่าพูดอย่างนี้สิ ผมไม่ได้ลังเลกับสิ่งที่ตัดสินใจ แต่ผมรู้สึกผิดที่ทำให้ชมพูเสียใจ” เขาจับมือริลณีมากุม “ผมต้องการกำลังใจ และ แรงสนับสนุนนะครับ”
“พรุ่งให้รินขอไปกับคุณมั้ยคะ ถ้ารินได้มีโอกาสอธิบายให้ชมพูฟังด้วยตัวเอง บางทีอะไรๆ อาจจะดีขึ้นก็ได้นะคะ”
เตชินอึ้ง “จะดีเหรอครับ”
“รินกับชมพูเคยเป็นเพื่อนรักกัน รินรู้ค่ะว่าควรพูดยังไงให้เค้าเข้าใจ”
“มันก็จริง แต่มันจะไม่ยิ่งทำให้คุณสองคนโกรธกันเหรอครับ”
“รินก็เหมือนคุณละค่ะ ต้องเลือกระหว่าง คนที่รัก กับ เพื่อนรัก”
“ซึ่งคุณก็เลือกผม”
“รินถึงอยากช่วยคุณ ให้รินไปด้วยนะคะ”
เตชินมองริลณีก่อนจะดึงเข้ามากอดด้วยความซึ้งใจ
“ครับ”
ริลณีที่อยู่ในอ้อมกอดเตชิน ยิ้มพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“เราสองคนจะได้เจอกันอีกครั้งแล้วนะ เพื่อนรัก”
ริลณีคลี่ยิ้มออกมาเต็มใบหน้า แต่มันช่างดูเป็นรอยยิ้มที่หลอน และชวนขนลุกขนพองเหลือเกิน
อ่านต่อตอนที่ 7