นางชฎา ตอนที่ 13
ชมพู เอทีเอ็ม และสร้อย ช่วยกันขนอาหารมาจัดโต๊ะ พร้อมๆ กับที่เฟื่องฟ้าเข็นรถจิตราเข้ามา ขณะที่ทีวีที่เปิดค้างไว้ เป็นรายการเม้าท์ข่าวบันเทิง พิธีกรชายแต่งตัวจัด กำลังเม้าท์มอยหน้าจออยู่อย่างเมามัน
“จากที่เมื่อวานเค้ามีไลน์กอสซิปกันในหมู่นักข่าวทุกสำนักเลยนะครับว่า วันนี้จะมีแฉครั้งใหญ่โตโอฬารขนานใหญ่ที่สุดในโลกหล้า แล้วคนที่ถูกแฉก็ไม่ธรรมดา เป็นระดับนางเอกแถวหน้า อักษรย่อชื่อเกร๋ๆ คือ ตัว ปอ.เค้าว่างานนี้ อดีตเพื่อนรักที่เพิ่งตบกันที่ร้านอาหาย่านสุขุมวิท กับอดีตแฟนผู้กำกับที่หล่อนเพิ่งสะบัดบ๊อบใส่ แฉเองเลยจ้า ก็มารอดูนะครับว่า งานนี้จะมีอะไรให้เราเซอรไพร์สบ้าง”
ชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม และสร้อย รีบวิ่งเข้ามามุงหน้าจอทีวีทันที
“เอะอะแฉๆ ไม่เบื่อกันบ้างรึไงเนี่ย”
เอทีเอ็มส่ายหน้าเซ็ง แต่เฟื่องฟ้านึกเอะใจ
“แต่โปรไฟล์นางเอกนั่นคุ้นๆ นะ ชื่อ ป.ปลา เพิ่งเลิกกับแฟนผู้กำกับ แถมแตกหักกับเพื่อนรักที่ร้านอาหารหรู ชื่อมันติดที่ปลายปากนี่แหละ”
ชมพูโพล่งชื่อออกมาว่า “ปริมลดา”
“ใช่แล้วค่ะ คุณชมพู งานนี้ไม่ผิดตัวแน่” สร้อยตื่นเต้น
“งั้นพี่สร้อยเอารีโมทมาหน่อยค่ะ ต้องเปิดเสียงดังๆ จะได้ฟังชัดๆ เพราะรับรองงานนี้มันแน่”
เฟื่องฟ้าพูดอย่างสะใจ
ที่บ้านทรงไทย ริลณีนั่งตั้งใจดูทีวีรายการเดียวกันอย่างตั้งอกตั้งใจ จนเตชินที่นั่งอ่านหนังสือใกล้ๆ แปลกใจ
“ปกติ ผมไม่เห็นรินจะดูทีวีรายการไหนเลย ทำไมวันนี้ดูรายการเม้าท์ดาราล่ะครับ”
“ก็วันนี้จะมีข่าวเพื่อนรักของริน 2 คนออกช่องนี้นี่คะ”
“เพื่อนรัก ใครเหรอครับ” เตชินย้อนถาม
“ไว้รอดูเองดีกว่าค่ะ”
ขณะเดียวกัน ภาพในทีวีก็เริ่มตัดเข้าสู่การถ่ายทอดสดในห้องแถลงข่าวแล้ว
ภายในห้องแถลงข่าว มีนักข่าวจอมเผือกมารอทำข่าวกันมากมายด้วยท่าทางตื่นเต้น ทันทีที่เห็นหงส์หยกเดินเข้ามาพร้อมกับโต้ง นักข่าวก็กรูเข้าไปถ่ายรูป แสงแฟลชพรึบพรับอย่างต่อเนื่อง
ทั้งสองนั่งลงที่โต๊ะแถลงข่าวหน้าตาดูนิ่งๆ ใบหน้าของหงส์หยกมีรอยช้ำ และตามตัวมีพลาสเตอร์ทำแผลติดอยู่ทั่ว
“ก่อนอื่นผมต้องขอโทษ พี่น้องนักข่าวทุกคนนะครับ ที่ต้องทำให้ท่านเสียเวลามาในวันนี้ แต่ผมจำเป็นต้องเรียกร้องความถูกต้องให้กับการกระทำอันป่าเถื่อนของผู้หญิงคนหนึ่งที่พวกเราทุกคนต่างยกย่องให้เธอเป็นนางเอกที่แสนดี แต่ไม่เคยมีใครรู้ว่าจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างกับนางร้าย ชอบทำอะไรที่ป่าเถื่อน ไร้เหตุผล”
โต้งเป็นคนเริ่มเปิดประเด็น นักข่าวคนหนึ่งตะโกนถามแทรกทันที
“นางเอก ป. ที่เค้าลือกันเนี่ย ใช่ปริมลดารึเปล่าครับ”
อีกคนถามต่อ “งั้นที่เค้าลือว่าปริมลดา ขี้วีน ขี้เหวี่ยงนี่ก็จริงๆ สิคะ”
หงส์หยกแกล้งทำหน้าเศร้า
“มีเรื่องเกี่ยวกับเค้า ที่ทุกคนยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ รอยแผลตามตัวตามหน้าดิฉันตอนนี้เนี่ย สาเหตุก็เพราะเค้าเนี่ยแหละค่ะ”
“งั้นที่เค้าลือว่า นางเอก ป. ตบกับเพื่อนรักที่ร้านอาหารดังย่านสุขุมวิท เพราะแย่งผู้ชายกันก็จริงน่ะสิครับ”
“ตบกันไม่จริง เพราะเค้าเป็นคนทำร้ายดิฉัน แย่งผู้ชายน่ะจริง แต่เค้าเป็นคนพยายามแย่งดิฉัน ทั้งๆ ที่เค้าก็มีแฟนมีกิ๊กเยอะแยะ ทั่วประเทศไปหมด ใช่มั้ยคะพี่โต้ง”
หงส์หยกทำทีหันมาถามโต้ง
“ใช่ครับ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนไม่ซื่อ มากรักหลากชาย และยอมพลีกายตัวเองเพื่อผลประโยชน์หลายต่อหลายเรื่องแล้ว”
นักข่าวซักถามแทรกขึ้นมาอีก
“หมายความว่า นางเอก ป. คนนี้ยอมเอาตัวเข้าแลก เพื่อให้ได้รับโอกาสดีๆ ในวงการมากมายเหรอคะ”
โต้งกับหงส์หยกแอบอมยิ้ม
“เดี๋ยวผมจะให้ทุกคนดูภาพหลักฐานก็แล้วกัน”
โต้งกดฉายภาพหลักฐานขึ้นจอใหญ่ด้านหลัง นักข่าวส่งเสียงฮือฮา ถ่ายรูปภาพนั้นกันรัว โต้งกับหงส์หยกมองหน้ากัน แล้วแอบยิ้มสะใจ แต่พอหันไปมองภาพที่ฉายขึ้นจอ ทั้งคู่ก็ถึงกับพูดไม่ออก
ชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม และสร้อยที่เกาะติดจอดูการถ่ายทอดสดมองไปที่จอทีวีถึงกับอึ้ง งง และแปลกใจ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย ทำไมหงส์หยกกับพี่โต้ง ....”
อีกด้านหนึ่ง เตชินที่กำลังดูรายการเหมือนกัน ชี้เข้าไปในจอทีวี ด้วยความแปลกใจ
“เอ๊ะ ห้องในรูปนั่น ทำไมรู้สึกคุ้นๆ”
เตชินมองรูปที่อยู่ในจอด้วยความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาดมาก ขณะที่ริลณียิ้มร้าย
รูปที่ถูกฉายออกมาในห้องแถลงไม่ใช่รูปปริมลดา กลับกลายเป็นรูปหงส์หยกกับเตชินในโรงแรม แต่ถูกตัดต่อกลายเป็นใบหน้าของโต้ง ภาพนั้นเลยกลายเป็นภาพโต้งและหงส์หยกนอนยิ้มด้วยกันบนเตียงในโรงแรม
หงส์หยกหน้าซีดเผือด
“ไม่ใช่ภาพนี้ นี่ไม่ใช่ที่เราจะเอามาให้ดูนะคะ อย่าถ่ายค่ะ อย่าถ่าย”
นักข่าวไม่ฟังเสียง กดถ่ายรูปนั้นไม่ยั้ง เป็นจังหวะเดียวกับที่ปริมลดาแสร้งทำเป็นเดินร้องไห้ออกมา
“พวกเธอ 2 คน ทรยศหักหลังฉันขนาดนั้นยังไม่พอเหรอ ยังคิดจะทำลายอะไรกันอีก”
เกมพลิกขึ้นมาทันที นักข่าวทุกคนไม่มีใครสนใจโต้งกับหงส์หยกแล้ว รีบหันมาสนใจปริมลดา
“เกิดอะไรขึ้นคะน้องลดา ในรูปนี่ 2 คนนั่นเค้า...”
หงส์หยกรีบแก้ตัว
“ไม่ใช่นะคะ รูปนั่นไม่ใช่อย่างที่เห็น นังลดาแกตัดต่อรูป แกมันนังอสรพิษ”
ปริมลดาตีหน้าเศร้า บีบน้ำตา เล่นละครเป็นนางเอกน่าสงสารใส่หงส์หยก
“เธอเป็นเพื่อนรักฉัน แต่หักหลัง มีอะไรกับแฟนฉัน แถมยังส่งรูปมาเยาะเย้ยกันอีก พอฉันขอร้องให้เธอเลิกยุ่ง เธอก็ตบฉัน บอกว่าจะเอาเค้าให้ได้ ฉันก็อุตส่าห์ยอมเลิกกับเค้าแล้ว เธอยังจะต้องการอะไรจากฉันอีก”
หงส์หยกปรี๊ดขึ้นมาทันที
“อีโกหก ไม่ต้องมาบีบน้ำตาเล่นละครน่าสงสาร ฉันกับแฟนแกไม่เคยยุ่งเกี่ยว ไม่เคยมีอะไรกันเลย”
ปริมลดาตีหน้าเศร้า ก่อนจะกดเปิดคลิปขึ้นหน้าจอ ในคลิปเป็นภาพที่หงส์หยกเดินออกมาจากห้องของโต้ง
“นั่นภาพเธอไม่ใช่เหรอหงส์หยก เธอแอบไปหาเค้าถึงห้อง ยังจะกล้าพูดว่าไม่มีอะไรกันอีก เธอจะโกหกคนอื่นอีกทำไม ที่ผ่านมาเธอก็เกลียดฉัน อิจฉาฉัน หวังทำลายชีวิตฉันทุกอย่าง แต่ฉันก็ให้อภัย เพราะยังเห็นแก่ความเป็นเพื่อนของเรา”
สร้อยส่ายหน้า มองทุกคนหน้าเครียด
“โอ้โห สมัยนี้ จะแฉกันมันต้องมีข้อมูลแน่นปึ้กขนาดนี้เลยเหรอ”
เฟื่องฟ้ายิ้มเยาะ
“เกมพลิกมาก อยากจะแฉเค้า แต่กลายเป็นถูกแฉซะเอง”
ชมพูและเอทีเอ็มมองหน้ากัน รู้สึกสงสารหงส์หยกนิดๆ
เตชินหยิบรีโมทขึ้นมาทำท่าเหมือนจะปิด แต่ริลณีห้ามไว้
“ใจเย็นๆ ค่ะอันนี้แค่เริ่มต้น ต่อไปจะสนุกกว่านี้อีก”
นักข่าวเริ่มเอนเอียงเข้าข้างปริมลดา มองหงส์หยกกับโต้งด้วยสายตารังเกียจ
“แล้วน้องลดารู้มั้ยว่า 2 คนนี้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวหลอกลวงทุกคนเนี่ย ต้องการอะไร”
ปริมลดาบีบน้ำตา
“เงินไงคะ เค้าพยายามเอาเรื่องต่างๆ มาขู่ เพื่อนแบล็คเมลล์ขอเงินจากลดา แต่ลดาไม่ให้ พวกพี่ๆ คงไม่รู้ใช่มั้ยคะ ว่าหงส์หยกมีปัญหาเรื่องเงินมากแค่ไหน”
หงส์หยกที่ฟังอยู่ โกรธจนทนไม่ได้ ลุกจะไปเอาเรื่องปริมลดา
“นังลดา นังโกหกฉันเคยไปขอเงินแกที่ไหน นังสตอ นังมโน ทุกคนอย่าไปเชื่อมัน มันโกหก”
โต้งรีบเข้าไปจับตัวไว้ พร้อมกับพูดเตือนสติ
“ใจเย็นๆสิ นักข่าวมองอยู่ จะปรี๊ดทำไมเนี่ย”
“นายไม่ปรี๊ด เพราะนายไม่โดนใส่ร้ายเหมือนฉันนี่ ปล่อยสิ ปล่อย”
หงส์หยกเอาศอกกระแทกด้วยความโมโห ก่อนจะผลักโต้งลงไปนอนกองที่พื้น แล้วรีบวิ่งเข้าไปบีบคอปริมลดาด้วยความโมโห ฝ่ายหลังแกล้งบีบน้ำตาร้องไห้ ไม่โต้ตอบ
นักข่าวเห็นว่าเรื่องจะไปกันใหญ่รีบเข้าไปช่วยแยก ในขณะที่นักข่าวอีกกลุ่มก็รุมถ่ายรูป หงส์หยกโมโห ร้องโวยวาย พร้อมกับปิดหน้าตัวเอง
“ถ่ายไม่ได้นะ ถ่ายไม่ได้”
หงส์หยกทนนักข่าวรุมถ่ายรูปไม่ไหว รีบฝ่าวงล้อมหนีเข้าไปข้างในทันที นักข่าวทุกคนหันมาถ่ายรูปโต้งแทน
“ทุกอย่างไม่เกี่ยวกับผมนะครับ น้องหงส์หยกเค้าขอให้ผมช่วยทำ ผมไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”
หงส์หยกวิ่งหนีนักข่าวเข้ามาด้านใน แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเจอตำรวจยืนรออยู่
“คุณตำรวจมาก็ดีแล้วค่ะ นังปริมลดา มันใส่ร้ายฉัน ดิฉันจะฟ้งหมิ่นประมาท”
แต่แล้วพนักงานจากบริษัทที่หงส์หยกทำงานอยู่ ก็เดินออกมา
“พวกเราต่างหากที่จะจับเธอ เธอยักยอกโกงเงินบริษัท”
หงส์หยกช็อก ตกใจ “นี่มันอะไรกันเนี่ย”
จังหวะนั้นปริมลดา และนักข่าวก็เดินตามเข้ามา
“ฉันเคยบอกเธอแล้วใช่มั้ยหงส์หยกว่าอย่าทำแบบนี้ แต่เธอก็ไม่เคยเชื่อ”
พนักงานบริษัทพูดต่อ “เธอยักยอกเงินของบริษัท พวกเรามีหลักฐานพร้อม”
“จะบ้าเหรอ ฉันไม่เคยยักยอกเงินบริษัทไป”
“อยากดูหลักฐานใช่มั้ย เชิญค่ะคุณตำรวจ”
ตำรวจเดินเข้ามาพร้อมยื่นแท็บเล็ตให้หงส์หยกเปิดดูคลิป ซึ่งเป็นภาพจากกล้องวงจรปิด เห็นหงส์หยกกำลังนั่งนับเงินกองใหญ่อยู่ที่โต๊ะทำงานคนเดียว
แท้จริงในวันที่หงส์หยกนั่งนับเงินอยู่ที่โต๊ะทำงานคนเดียวนั้น จู่ๆ ผีริลณี ก็มาปรากฏขึ้นด้านหลัง ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปสิงร่าง จากนั้นก็หยิบทุกบนโต๊ะ เก็บใส่กระเป๋าจนหมด แล้วเดินออกไปจากห้องหน้าตาเฉย ราวกับว่าไม่เกิดอะไรขึ้น
หงส์หยกดูคลิปในแท็บเล็ตเงยหน้ามองทุกคน แล้วรีบปฏิเสธปากคอสั่น
“ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่รู้เรื่องนะ”
พนักงานยิ้มเยาะ
“ตำรวจไปค้นที่บ้านเธอ เจอเงินพวกนั้นอยู่ในตู้ เธอยังจะบอกไม่รู้เรื่องอีกเหรอ”
หงส์หยกหน้าซีด ทั้งตกใจ ทั้งงง “ก็ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ”
ปริมลดาแกล้งทำเป็นพูดดี
“ยอมรับซะเถอะหงส์หยก หลักฐานชัดเจนขนาดนี้ โกหกไปก็ไม่มีใครเชื่อหรอก”
“ก็ฉันไม่เคยทำจริงๆ ฉันไม่รู้เรื่องด้วยว่าเงินพวกนี้ไปอยู่บ้านฉันได้ยังไง”
พนักงานไม่ฟังเสียง “คุณตำรวจจับไปเลยค่ะ”
ตำรวจรีบเข้าไปจับกุมตัว หงส์หยกพยายามดิ้น พร้อมร้องโวยวาย
“ปล่อยฉันสิ ฉันไม่ได้ทำจริงๆ นะ ฉันไม่รู้เรื่อง ปล่อย”
ตำรวจรีบลากตัวหงส์หยกออกไป โดยมีนักข่าวตามไปรุมถ่ายภาพเอาไว้ พนักงานบริษัทเดินเข้ามาหาปริมลดา
“ขอบคุณนะคะคุณปริมลดา ที่คุณช่วยส่งหลักฐานชิ้นสำคัญนี้มาให้พวกเรา ไม่อย่างนั้นเราคงไม่มีทางรู้ว่าหงส์หยกเป็นคนแบบนี้”
ปริมลดายิ้มหวาน “ต้องขอบคุณโชคชะตาค่ะ ที่ทำให้ลดาเจอคลิปนี้โดยบังเอิญ”
“คุณปริมลดาก็เลยโชคดี แทนที่จะโดนพวกนั้นทำร้าย กลับพลิกเรื่องกลายเป็นฮีโร่ไปเลย นี่ล่ะค่ะ เค้าถึงเรียกว่าคนดีผีคุ้ม”
ปริมลดาหันไปยิ้มกับนักข่าวที่มาถ่ายรูปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ
เตชินดูภาพความวุ่นวายในงานแฉปริมลดาแล้วส่ายหน้าด้วยความสลดใจ สุดท้ายลุกขึ้นยืน
“ถึงผมจะไม่สนิทกับเค้า แต่ผมก็เคยเห็นว่า 2 คนนี้เค้าสนิทกันมากแค่ไหน ไม่น่ามาทำแบบนี้กันเลย”
“คุณไม่รู้เหรอคะว่า 2 คนนี้เค้าเกลียดกันเพราะอะไร” ริลณีย้อนถาม
“ผมจะรู้ได้ยังไงล่ะครับ”
“ไม่รู้ก็ดีแล้วค่ะ ถ้าคุณรู้ คุณอาจจะไม่อยากเชื่อเลยก็ได้”
เตชินยิ้มขำๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ริลณีที่ยังนั่งมองที่หน้าจอทีวี แล้วยิ้มสะใจ
“นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นหงส์หยก เรื่องของเรา 2 คนยังไม่จบ”
วิญญาณแค้นยิ้มร้ายน่ากลัวออกมา
ตำรวจพาหงส์หยกเข้ามาในห้องขังก่อนจะล็อกประตู
“ปล่อยฉันสิ ฉันบอกว่าฉันไม่ได้ทำ นังลดามันใส่ร้ายฉัน ได้ยินมั้ย มันใส่ร้ายฉัน”
หงส์หยกโวยวายเสียงดัง ตำรวจมองหน้าอย่างหน่ายๆ ไม่สนใจ ก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้ฝ่ายแรกทรุดลงที่หน้าประตูห้องขังด้วยความหมดหวัง
“ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่ได้โกหก นังปริมลดามันใส่ร้ายฉันจริงๆ”
หงส์หยกเริ่มร้องไห้กระซิกๆ อย่างรู้สึกกลัว พลันเสียงหัวเราะเบาๆ หลอนๆ ก็ดังแทรกเข้ามา
พอหันไปมองตามเสียง ก็เห็นริลณียืนยิ้มอยู่ในห้องขัง
“ไม่รักกันแล้วเหรอ ฉันเห็นแต่ก่อนเธอรักปริมลดาอย่างกับอะไรดี ยอมแม้กระทั่งช่วยเค้าวางแผนฆ่าฉัน ถ้าไม่รักกันจริง คงไม่ช่วยกันหรอกใช่มั้ย”
หงส์หยกหน้าซีดเผือด ทั้งกลัว ทั้งตกใจ “ระ...ระ...ริลณี”
“มีคนเคยบอกว่า ปริมลดาเค้าไม่จริงใจกับเธอ แต่เอาเข้าจริง ฉันว่าเธอน่ะแหละไม่เคยจริงใจกับใครเลย ใช่มั้ย”
ผีริลณีเดินเข้าไปใกล้ๆ หงส์หยกพยายามหนี แต่ก็ถอยไม่ได้แล้ว
“แกออกไป อย่าเข้ามา”
หงส์หยกพยายามจะหาเครื่องรางห้าแฉกที่คอแต่หาไม่เจอ
“เครื่องรางห้าแฉก ตอนนี้เหลือแค่สี่แฉกแล้ว ปริมลดาเค้าดึงสร้อยจากคอเธอ แล้วก็ทำลายมันไปแล้ว เธอคงไม่รู้ใช่มั้ย”
หงส์หยกยิ่งช็อกหนัก “แกจะฆ่าฉันใช่มั้ย ฉันไม่อยากตาย”
“ไม่มีใครอยากตายหรอกหงส์หยก ฉันก็ไม่อยากตาย”
หงส์หยกเขย่ากรงลูกกรงร้องโวยวายตะโกนเสียงดัง
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย ริลณีมันจะมาฆ่าฉัน ช่วยด้วย”
ริลณีเดินเข้ามาใกล้ หน้าตาค่อยๆ เละน่ากลัว หงส์หยกตะโกน ร้องโวยวายด้วยความกลัวสุดขีด เสียงดังลั่นโรงพัก
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย ผีริลณีมันจะฆ่าฉันแล้ว ผีริลณีมันจะฆ่าฉันแล้ว”
ที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนของประวิทย์ เอกราชทุบโต๊ะด้วยความโมโหหลังฟังเรื่องจากประวิทย์
“คิดแล้วว่านัง 2 คนนั่นต้องทำให้เราเดือดร้อน ไปตะโกนแหกปาก เรียกชื่อนังผีนั่นในคุก เดี๋ยวคนก็ได้สงสัยกันหมดหรอก”
ตุลเทพรีบหันมาถามประวิทย์
“แล้วตอนที่นายไปเยี่ยม ยายหงส์หยกเป็นยังไงบ้าง”
“ก็เหมือนสติแตก เอาแต่ตะโกนว่า ริลณีจะมาฆ่าๆๆ อยู่อย่างนั้น”
“แล้วปริมลดาล่ะ” เอกราชถามต่อ
“ยังติดต่อไม่ได้”
ตุลเทพรีบบอก “ยายนั่นก่อเรื่องแล้วก็หนี เดาเอานะว่า นางคงไปนั่งจิบไวน์ในที่เก๋ๆ ฉลองที่พลิกเกมเอาคืนหงส์หยกได้สำเร็จ “
เอกราชหันมาสั่งประวิทย์เสียงเข้ม
“ติดต่อปริมลดาให้ได้ แล้วบอกอย่าก่อเรื่องอีก ส่วนนายกับฉัน ต้องมาช่วยกันคิด ว่าจะทำยังไง ถ้ายังปล่อยให้หงส์หยกตะโกนชื่อ ริลณีอยู่อย่างนี้ พวกเราเดือดร้อนแน่”
ฟากปริมลดากำลังเปิดแชมเปญฉลอง ยกดื่มอย่างสะใจ พร้อมๆ กับหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านพาดหัวข่าว
“เกมพลิก ปริมลดาเกือบโดนแฉ แต่นางเอกดังแก้กลับ แถมส่งหลักฐานให้ตำรวจจับเพื่อนรัก เข้าคุกโดนจับฐานฉ้อโกง”
“ต้องขอบคุณคนลึกลับที่ส่งหลักฐานมาทำให้ฉันเล่นงานแก ต่อไปฉันก็แค่รอเวลาให้นังริลณีมาฆ่าแก แค่นี้ฉันก็จะไม่มีนังเพื่อนงูพิษมาคอยป่วนชีวิตฉันแล้ว นังริลณีอย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ”
ปริมลดาหัวเราะอย่างสะใจ
หงส์หยกนอนกอดลูกกรงหลับ หน้าตาท่าทางดูโทรมมาก หัวฟู ตาดำคล้ำ หน้าตาหมอง ไร้ราศี เพราะโดนผีริลณีหลอกทั้งคืน
ทันใดนั้นเสียงไขกุญแจ ก็ทำให้หงส์หยกสะดุ้ง รีบหันไปมองรอบๆ ตัวด้วยความหวาดกลัว
“ริลณี อย่าเข้ามานะ ริลณี”
ตำรวจที่เข้ามาไขกุญแจ มองผู้ต้องหาอย่างสมเพช พร้อมส่ายหน้า
“ออกไปได้แล้ว มีคนมาขอประกันตัว”
หงส์หยกตื่นเต้นดีใจ
“ใครๆ มาประกันตัวฉัน”
ประตูรถยนต์ถูกเปิดออก เอกราชนั่งรออยู่ด้านหลัง ตุลเทพนั่งประจำที่คนขับ หงส์หยกเมื่อเห็นทั้งคู่ ก็ยิ้มดีใจสุดขีด รีบเข้าไปนั่งในรถ
“พวกนายมาช่วยฉัน เพราะเห็นว่าฉันเป็นเพื่อนจริงๆ ใช่มั้ย แล้วพวกนายก็รู้ว่าฉันไม่ได้ทำผิด แต่นังปริมลดาใส่ร้ายฉัน”
ตุลเทพรีบหันหลังกลับมาพูด
“เรื่องนั้นพวกเราไม่สนหรอก พวกเราสนใจแค่เรื่องเดียว”
หงส์หยกมองหน้าตุลเทพอย่างสงสัย แต่ยังไม่ได้คิดอะไร เอกราชที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เอาผ้าโปะยาสลบปิดจมูก หงส์หยกพยายามดิ้นๆๆ ก่อนจะหมดสติไป
2 หนุ่มหันมองหน้ากันอย่างสะใจที่แผนสำเร็จ ตุลเทพรีบขับรถออกไป เอกราชก้มมองหงส์หยกที่หมดสติไปแล้วด้วยสายตาร้ายกาจ
หงส์หยกนอนหมดสติอยู่บนพื้นในห้องมืดๆ พร้อมเสียงเพลงไทยดังคลออยู่ตลอดเวลา พอได้สติ
ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาที่ยังดูเบลอๆ เห็นเหมือนเท้าใครบางคนกำลังซอยเท้าร่ายรำอยู่ตรงหน้า ท่ามกลางบรรยากาศที่ดูน่ากลัว
หงส์หยกรีบลืมตาโพลงขึ้นมาทันที เห็นริลณีกำลังร่ายรำอยู่อย่างมีความสุข
ริลณีมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่น่ากลัว แต่ปากยังยิ้มสวย “ฉันรำสวยมั้ย”
หงส์หยกกรี๊ดลั่นแล้วรีบลุกขึ้น พยายามจะหนี แต่ในห้องถูกปิดสนิททุกด้านไม่ต่างกับห้องขัง
“ช่วยด้วย ปล่อยฉัน เอาฉันมาขังไว้ทำไม ฉันกลัว”
ใบหน้าริลณียื่นเข้ามาจากทางด้านหลังกระซิบที่หู
“ไม่ต้องกลัวเหงาหรอก ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง”
หงส์หยกหันไปมอง เห็นหน้าริลณีกลายเป็นหน้าผีเน่าเฟะ เละและน่ากลัวที่สุด ก็กรีดร้องลั่นอย่างเสียสติ พยายามเขย่าประตู วิ่งวนไปรอบห้องพยายามจะออก ทั้งเคาะ ทั้งทุบ ขูดประตูจนเลือดออก เล็บฉีก เห็นเป็นรอยเลือดทางยาวแต่ก็ไม่มีใครไปเปิดประตูให้
ริลณีที่ร่ายรำอยู่ในห้อง ยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อเห็นหงส์หยกในสภาพน่าสมเพช หมดทางหนี ร้องโวยวายด้วยความหวาดกลัวราวกับคนบ้า
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ชัชพยายามพาเตชินเข้ามาในวัด ฝ่ายหลังมองอย่างสงสัย
“นึกอะไรของแกวะ อยู่ดีๆ ถึงชวนมาวัด”
“ก็อยากให้มาไหว้พระทำบุญบ้างไม่ได้รึไง”
เตชินทำหน้าไม่ค่อยเชื่อ
“หน้าอย่างแก อยู่ดีๆ ชวนมาแบบนี้มันต้องมีอะไรแน่”
“ถามจริงเหอะว่ะไอ้เต แกทำบุญหรือไหว้พระครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
เตชินนิ่งคิด “ก็นานมาก”
“แล้วรินล่ะ” ชัชถามต่อ สีหน้ากังวล
“รินเค้ามาทำบุญ ไหว้พระอาจารย์บ่อยๆ”
“แล้วตอนที่เค้าบอกว่าเค้ามา แกมากับเค้ารึเปล่า”
เตชินส่ายหน้า “ก็ไม่ค่อยได้มานะ เพราะรินเค้ามาของเค้าเอง”
“แสดงว่าแกไม่ได้เห็นกับตา ว่าเค้ามาวัดจริงหรือไม่จริง”
ชัชทำหน้าสงสัย จนเตชินรู้สึกแปลกใจ
“แล้วแกมีปัญหาอะไรกับการมาวัดไม่มาวัดของรินวะ วันนี้แกดูแปลกๆ นะ มีอะไรอยากบอกฉัน
รึเปล่า”
“ฉันยังบอกอะไรแกตอนนี้ไม่ได้ แต่ขอให้แกเชื่อใจฉัน ไปหาหลวงพ่อซะ บางทีแกอาจจะได้คำตอบทุกอย่างในทุกสิ่งที่แกสงสัยก็ได้”
ชัชพูดด้วยท่าทางจริงจังมาก จนเตชินรู้สึกแปลกใจ
พระอาจารย์คงยื่นหนังสือสวดมนต์ให้เตชิน ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าสงบ
“อาตมาอยากให้โยมมีจิตใจนิ่ง เป็นสมาธิ จิตใจของโยมจะได้มีอำนาจในทางที่ดี ต่อต้านอำนาจชั่วร้ายที่กำลังครอบงำได้”
“หลวงพ่อหมายความว่ายังไงครับ ผมไม่เข้าใจ” สีหน้าเตชินบ่งบอกว่าไม่เข้าใจจริงๆ
“จำได้มั้ย อาตมาเคยบอกโยมว่า ยิ่งโยมยึดติด เขาก็จะยิ่งไปไหนไม่ได้ และเมื่อเค้าไปไหนไม่ได้ เค้าก็จะยิ่งก่อเวรสร้างกรรมไม่รู้จากจบสิ้น ทางเดียวที่จะทำได้ตอนนี้ คือโยมต้องปล่อยเค้าไป”
เตชินหันมองหน้าชัช แล้วหันมองหน้าพระอาจารย์อีกครั้ง ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกงงจริงๆ
“พระอาจารย์หมายถึงใครเหรอครับ ผมต้องปล่อยใครไป”
“เมื่อเค้ายังไม่เปิดใจรับ พูดออกไปก็คงเปล่าประโยชน์ ขอแค่โยมจำคำอาตมา แล้วหมั่นสวดมนต์ให้จิตใจเข้มแข็ง เมื่อจิตใจโยมเข็มแข็งเมื่อไหร่ โยมก็จะเข้าใจสิ่งที่อาตมาพูดเอง รับไปซะ”
เตชินมองหนังสือสวดมนต์แบบงงๆ ยังไม่ยอมรับไว้ ชัชจึงรับแทนไว้เอง
“ผมรับแทนไอ้เต มันก่อนก็ได้ครับ”
พระอาจารย์คงพยักหน้าอย่างเข้าใจว่าเตชินดื้อ
“ส่วนโยม อย่าทิ้งเพื่อนนะ พรสวรรค์ที่โยมได้มาจะได้มีโอกาสช่วยเค้าแล้วก็คนอื่นๆ”
เตชินและชัชก้มลงกราบ พระอาจารย์คงมองเตชินด้วยความเป็นห่วง
ชัชมาส่งเตชินที่หน้าบ้าน เห็นเพื่อนยังทำหน้าเครียดเหมือนยังงงๆ อยู่ ก็ รีบเอาหนังสือสวดมนต์มายื่นให้ แต่เตชินยังยืนนิ่ง
“ทำตามที่หลวงพ่อบอกสักครั้ง แค่เริ่มสวดมนต์ไม่มีอะไรยากเลย”
“มันก็ไม่ได้ยาก แต่ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำ”
ชัชรีบพูดคะยั้นคะยอ
“ทำไปก่อน อย่าเพิ่งสงสัย ทุกอย่างล้วนมีคำตอบ ฉันสัญญานะเว้ย ถ้าฉันแน่ใจสิ่งที่แกอยากรู้เมื่อไหร่ ฉันจะรีบมาบอกแกทันที ขอร้องนะเว้ยไอ้เต ฉันไม่เคยของร้องอะไรแกเลยนะ”
เตชินเห็นหน้าจริงจังของชัช ก็ยอมรับหนังสือสวดมนต์แล้วเดินเข้าบ้านไป
“ฉันอยากบอกแกทุกอย่างเลยนะ แต่แกคงไม่พร้อมที่จะรับฟัง”
ชัชมองตามอย่างเป็นห่วงเพื่อน
อ่านต่อหน้า 2
นางชฎา ตอนที่ 13 (ต่อ)
เตชินเดินเข้ามาในบ้าน ก่อนจะโยนหนังสือสวดมนต์ลงบนโต๊ะเบาๆ
“ทำไมทุกคนต้องทำท่าทางซีเรียสแบบนั้นด้วย มันมีอะไรกันแน่”
เขามองไปรอบๆ บ้านด้วยความรู้สึกสงสัย
เสียงกรีดร้องโวยวายอย่างบ้าคลั่งของหงส์หยกดังออกมาจากห้องขัง
“ช่วยด้วย ผีริลณีมันอยู่ในห้องนี้กับฉัน มันจะฆ่าฉัน ช่วยด้วย”
เอกราชยืนอยู่หน้าห้องขัง พร้อมกับตุลเทพและประวิทย์ ทำหน้าเบื่อหน่าย
“ฉันรำคาญเสียงยายนี่เต็มทนแล้ว เมื่อไหร่มันจะเลิกตะโกนชื่อนังผีนั่นสักที”
“หรือว่ามีผีอยู่ในห้องนั่นจริงๆ” ประวิทย์พูดพลางหันมองไปในห้องอย่างสยองๆ
“ผีริลณีกลัวเครื่องรางห้าแฉกที่พวกเราใส่ หงส์หยกก็มี แล้วผีนั่นจะเข้าไปหลอกได้ยังไง”
ตุลเทพหันมาบอก เอกราชคิดต่อ
“นังนั่นมันชอบโกหก อาจจะแกล้งหลอกเรื่องผี ให้เราเปิดประตูได้หนีไปก็ได้”
“มันก็จริง คนอย่างหงส์หยกเชื่อใจได้ที่ไหน”
ประวิทย์ไม่วายกังวล “แล้วจะปล่อยให้ร้องอย่างนี้เหรอ เดี๋ยวก็ได้ตายอยู่ในห้องนั้นหรอก”
“ตายซะได้ก็ดี จะได้หมดเรื่องเดือดร้อน”
เอกราชบอกหน้าเหี้ยม
หงส์หยกนั่งอยู่หน้าประตูมองลอดช่องเล็กๆ ได้ยินที่ตุลเทพ เอกราช และประวิทย์คุยกัน ก็ตกใจกลัวตัวสั่น
“ตายงั้นเหรอ พวกนายอยากปล่อยให้ฉันตายงั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก คนอย่างฉันไม่มีวันยอมตายง่ายๆ หรอก”
จากนั้นก็รีบลุกขึ้นยืน แล้วค่อยๆ มองไปรอบๆ ห้อง พอไม่เห็นริลณีอยู่ในนั้น ก็ถอนหายใจโล่งอก รีบเดินสำรวจรอบๆ ห้อง พยายามหาทางออก ก่อนจะเหลือบเห็นช่องอากาศที่อยู่สูงเกือบชิดเพดานอยู่
หงส์หยกมองครุ่นคิดหาวิธีที่จะไปถึงช่องอากาศนั้นให้ได้
หงส์หยกวิ่งกระเซอะกระเซิง ขากระเผลกมาตามทาง เพราะกระโดดจากที่สูง พยายามหาทางหนี จะออกไปจากที่นี่ให้ได้ ขณะพยายามมองหาทางหนี ก็เห็นผีริลณียืนจ้องหน้า พร้อมยิ้มเย็นๆ อย่างน่ากลัว
“จะ รีบ ไป ไหน อยู่ ด้วย กัน ก่อน สิ”
ผีริลณีจะเข้ามาใกล้ หงส์หยกรีบผลักออก แล้วพยายามจะวิ่งหนีไปอีกทาง แต่ฝ่ายแรกกลับโผล่มาร่ายรำขวางหน้าไว้
“ฉัน รำ สวย มั้ย”
ขณะรีบวิ่งหนีไปอีกทาง แต่พลันสายตาก็เหลือบมองไปที่พื้น เห็นเงาเหมือนผีริลณีขึ้นมาขี่บนหลังตัวเองแล้ว หงส์หยกกรี๊ดลั่น พยายามจะสะบัด ดิ้นไปมา ก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยความกลัวจนหลอน ตาเริ่มขวาง
เสียงผีริลณีหัวเราะหลอนๆ ดังก้องอยู่ในหัว จนหงส์หยกต้องเอามือกุมหัวไว้
“นังริลณี ฉันไม่มีวันยอมให้แกฆ่าฉันหรอก ฉันไม่ยอมตาย ได้ยินมั้ย ฉันไม่มีวันยอมตาย เราจะต้องทำลายมัน เราจะต้องทำลายมัน”
หงส์หยกพึมพำกับตัวเอง แล้วเหมือนคิดอะไรได้ รีบวิ่งเตลิดออกไปทันที
ประตูห้องขังถูกเปิดออก พร้อมกับที่ตุลเทพเดินถือถาดอาหารเข้ามาในห้อง เมื่อกวาดตามองไปรอบห้อง ไม่เห็นหงส์หยกอยู่ในนั้น มีเพียงช่องอากาศเปิดอ้าอยู่ ก็ตะโกนลั่น
“หงส์หยกหนีไปแล้ว”
ชมพูมองแผลที่ขาเตชินด้วยความเป็นห่วง
“โอ้โห แผลใหญ่กว่าที่คิดนะคะเนี่ย นี่ถ้ารู้ว่าแผลใหญ่ขนาดนี้ จะซื้อขนมมาเยี่ยมไข้มากกว่านี้นะเนี่ย”
เตชินมองถุงขนม แล้วยิ้มขำ
“พี่ว่าเยอะขนาดนี้ แผลหายยังกินไม่หมดเลย”
“ก็ไม่ได้ซื้อฝากพี่เตชินคนเดียวนี่คะ ซื้อฝากรินด้วย แล้วรินไปไหนแล้วละคะ”
เตชินเสียงเซ็งขึ้นมาทันที
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน หมู่นี้เหมือนรินเค้าจะมีธุระบ่อยๆ”
“เสียงอย่างนี้ งอนรึเปล่าเนี่ย มาๆ เดี๋ยวกินขนม จะได้ไม่งอน”
ชมพูวางถุงขนมมาวางบนโต๊ะก่อนจะเห็นหนังสือสวดมนต์ที่วางอยู่บนนั้น ก็รีบหยิบขึ้นมาดู อย่างแปลกใจ
“หนังสือสวดมนต์? ปกติพี่เตชินไม่เชื่ออะไรแบบนี้นี่คะ อย่าบอกนะว่าเจอผีหลอก เลยเอามาสวดกันผี”
เตชินส่ายหน้าช้าๆ “หลวงพ่อท่านให้มา ท่านอยากให้พี่เริ่มสวดมนต์”
“ก็ดีนี่คะ ชมพูก็อยากจะเริ่มสวดเหมือนกัน ช่วงนี้รู้สึกเหมือนมีอะไรที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ กลัวๆ อยู่ตลอดเวลา”
“เอาหนังสือสวดมนต์นี้ไปก่อนก็ได้นะ”
ชมพูทำหน้างง “อ้าว แล้วพี่เตชินล่ะคะ”
“พี่ไปขอหลวงพ่อมาใหม่ก็ได้ แล้วเอาเข้าจริง พี่คงยังไม่ได้เริ่มสวดเร็วๆ นี้หรอก”
ชมพูยิ้มดีใจ “งั้นก็ขอบคุณนะคะ”
จังหวะนั้นก็เหมือนมีเสียงคนกำลังพูดอะไรบางอย่างดังมาจากหลังบ้านบริเวณหลุมศพริลณี ชมพูได้ยินก็นึกแปลกใจ
“พี่เตชิน ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ มั้ยคะ”
เตชินพยายามเงี่ยหูฟัง “หรือว่า...รีบไปดูกันเร็ว”
พูดจบก็จะรีบวิ่งไป แต่ขาที่เป็นแผล ทำให้วิ่งได้ช้ากว่า ชมพูที่ตามมา จึงนำไปก่อนโดยไม่ตั้งใจ
หงส์หยกสติแตกเหมือนคนบ้า กำลังใช้ 2 มือขุดดินบนหลุมศพริลณี
“ฉันต้องหากระดูกแกให้พบ ถ้าฉันเอาไปเผา แกก็จะทำอะไรฉันไม่ได้ ฉันต้องหากระดูกแก ฉันต้องหากระดูกแก”
ชมพูวิ่งนำเข้ามา เมื่อเห็นหงส์หยกกำลังขุดดินก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปห้าม
“เธอเข้ามาในบ้านนี้ได้ไงเนี่ย แล้วเธอกำลังทำอะไร”
“ฉันต้องหากระดูกให้เจอ ริลณีจะฆ่าฉัน ริลณีจะฆ่าฉัน”
หงส์หยกพูดซ้ำไปซ้ำมาอย่างเสียสติ ชมพูยืนงง
“เธอพูดอะไรน่ะ ริลณีจะฆ่าเธอทำไม”
หงส์หยกหันมองหน้า ก่อนจะใช้ 2 มือจับมือชมพูแน่น
“มันจะแก้แค้น เหมือนที่พวกเราทำกับมัน”
“แก้แค้นอะไร พวกเธอทำอะไรริลณี”
ภาพริลณีที่กำลังถูกฆ่าแว่บเข้ามาในสมอง หงส์หยกยิ่งกรี๊ด ยิ่งกลัว ก่อนจะรีบขุดหลุมด้วยความกลัว
“ฉันต้องหากระดูกให้เจอ ไม่งั้นมันจะฆ่าฉัน”
ชมพูยื้อมือหงส์หยกที่กำลังจะขุดดินอย่างอยากรู้
“ฉันถามว่าเธอทำอะไรริลณี”
หงส์หยกกลัวความผิด จนกรีดร้องออกมาเสียงดัง หน้าตาตื่นกลัวเหมือนกำลังจะคลั่ง ก่อนจะสะบัดมือชมพูออก แล้วผลักจนล้มลงหงายหลังลงไป จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาขุดดินหากระดูกต่อ
ชมพูที่ทั้งงง ทั้งตกใจ รีบพยายามจะเข้าไปห้าม
“หยุดนะ หงส์หยก อย่าทำแบบนี้ บอกมานะว่ามันเกิดอะไร”
หงส์หยกไม่ตอบ รีบผลักชมพูกระเด็นไปไกล ก่อนจะขุดดินต่ออย่างบ้าคลั่ง เตชินเดินกระเผลกตามมาทัน รีบเข้าไปพยุงชมพูขึ้นมา
“หงส์หยก เค้าเป็นอะไรไม่รู้ ชมพูว่าเค้าดูแปลกๆ”
ทั้งคู่มองหงส์หยกที่พยายามขุดดินไม่ยอมหยุด ปากก็พึมพำๆ ท่าทางเหมือนแปลกๆ
“ฉันต้องหาให้เจอ ฉันต้องหาให้เจอ”
“จะเอายังไงดีคะพี่เตชิน จะตามตำรวจ หรือเรียกรถโรงพยาบาลดีคะ “
ชมหูหันมาถาม เตชินนิ่งคิด ก่อนจะเดินเข้าไปจับตัวหงส์หยกไว้
“คุณหงส์หยกครับ”
หงส์หยกตกใจหันมามอง แต่กลับเห็นว่าคนที่มาจับตัวเอาไว้ คือริลณีที่มองด้วยความแค้น โกรธ
“มึง ออก ไป จาก บ้าน กู เดี๋ยว นี้”
หงส์หยกกรีดร้องโวยวายด้วยความตกใจ ก่อนจะพยายามสะบัดเตชินอย่างแรง จนล้มไปกับพื้น แล้ววิ่งกรีดร้องเตลิดออกไปจากบ้านทันที ชมพูรีบเข้าไปประคองขึ้นมา
“จะเอายังไงดีคะ”
“รีบตามไปเร็ว”
ชมพูรีบประคองเตชิน วิ่งตามหงส์หยกไปทันที
เตชินขับรถอย่างเร็วจี๋ โดยมีชมพูช่วยกันมองหาหงส์หยกที่วิ่งเตลิดออกมา
“เพิ่งวิ่งออกมาเมื่อกี๊ ไม่น่าจะวิ่งไปได้ไกลนะ”
“แล้วเค้าหายไปไหนล่ะ นี่ก็ไกลออกมาจากบ้านพอสมควรแล้วนะ เค้าจะวิ่งมาถึงตรงนี้เลยเหรอ”
ชมพูนิ่งคิด “หรือจะวิ่งไปอีกทาง พี่เตชินกลับรถ แล้วลองไปอีกทางมั้ยคะ”
เตชินรีบกลับรถหันไปอีกทางทันที ทั้งคู่ช่วยกันพยายามมองหาข้างทาง ด้วยความร้อนรนและกังวลใจ
หงส์หยกวิ่งกระเซอะกระเซิง มือเปื้อนดินไปตามถนน ที่มีผู้คนเดินอยู่เดินจับจ่ายซื้อของ ปากก็ตะโกนอย่างคนเสียสติ
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”
เตชินขับช้าๆ เพื่อชะลอมองหา ชมพูมองไปตรงที่ที่หงส์หยกเดินอยู่ แต่กลับมองไม่เห็นเพราะถูกผีริลณีบังไว้
“เห็นมั่งมั้ย”
“ไม่เห็นเลยค่ะ เค้าหายไปไหนของเค้า”
ทั้งคู่หันมองหน้ากัน ด้วยความเป็นห่วงหงส์หยก
รถเตชินแล่นออกไปจากตรงนั้น โดยไม่เห็นหงส์หยกที่เดินสะเปะสะปะอยู่ข้างทาง พยายามขอความช่วยเหลือจากผู้หญิงที่เดินอยู่แถวนั้น
“ช่วยฉันด้วย ช่วยฉันที ผีริลณีมันจะตามฆ่าฉัน”
แต่หญิงคนนั้นกลับยืนเฉย ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รู้แม้กระทั่งหงส์หยกมีตัวตนอยู่ตรงนั้น
“ช่วยฉันด้วย ได้ยินมั้ย ช่วยฉันด้วย”
หงส์หยกเอามือจับ หญิงคนนั้นสะดุ้ง ตกใจ รีบเดินหนี หงส์หยกพยายามเดินไปขอความช่วยเหลือจากผู้ชายอีกคนที่ร้านขายของ
“ลุง...ลุง....”
ลุงคนนั้นมองมา แต่กลับมองไม่เห็นหงส์หยกมีตัวตนอยู่ตรงนั้น จึงเดินออกไปอย่างไม่สนใจ หงส์หยกทั้งช็อก ทั้งตกใจ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ทำไมไม่มีใครเห็น หรือได้ยินฉันพูด ฉันบอกให้ช่วยฉันหน่อยได้ยินมั้ย”
หงส์หยกทรุดตัวลงที่พื้นอย่างหมดหวัง ผี ริลณีปรากฏกายขึ้นตรงหน้ามองอย่างสมเพช
“หมดเวลาที่จะเรา 2 คนจะสนุกกันแล้ว ถึงเวลาที่เราจะสะสางกันแล้ว”
ผีริลณีมองจ้องหน้า หงส์หยกค่อยๆ ลุกขึ้นเดินตาไปเพราะมนต์สะกด แม้จะพยายามจะต้านทานขัดขืนพลังนั้น แต่ก็ทำไม่ได้ ต้องเดินตามออกไป โดยที่ผู้คนแถวนั้นไม่รู้ไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นสักนิดเดียว
บนยอดตึกสูง มีแผ่นผ้าโฆษณาเก่าที่ฉีกขาดเป็นริ้วๆ ปลิวไสวตามแรงลม
หงส์หยกเดินตามริลณีขึ้นมาจนถึงชั้นบนสุดของดาดฟ้า ก่อนที่จะถูกสะกดให้เดินออกไปยืนนอกราวกั้นของระเบียง แม้จะพยายามจะขัดขืน แต่ไม่สามารถต้านทานอำนาจของวิญญาณแค้นได้
“ปล่อยฉันไปเถอะริลณี ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอตาย คนพวกนั้นบังคับฉันให้ทำ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ”
ผีริลณียิ้มเหี้ยม
“จนป่านนี้แกก็ยังคิดจะโกหกฉัน ฉันว่าแกรู้นะ ว่าแกทำอะไรกับฉันไว้บ้าง”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรกับเธอจริงๆ”
ผีริลณีโกรธ ตรงเข้าไปใช้มือข้างหนึ่งบีบคอหงส์หยก เล็บยาวสีแดงค่อยๆ เจาะเข้าไปที่ต้นคอ จนเลือดไหลซิบๆ ออกมาเป็นทางยาว หงส์หยกน้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บปวด
“ทีนี้มึงพอจะคิดสิ่งที่มึงทำกับกูได้รึยัง”
หงส์หยกนิ่งคิด ภาพเหตุการณ์ที่เคยทำร้าย รวมถึงร่วมฆ่าริลณีแว่บผ่านเข้ามาในห้วงความคิด จนเจ้าตัวถึงกับชะงักในความผิดของตัวเอง
“คราวนี้คิดออกแล้วใช่มั้ย”
ผีริลณีค่อยๆ เอาเล็บที่จิกคอออก หงส์หยกร้องไห้อย่างเจ็บปวด
“ที่ฉันทำทุกอย่าง เพราะฉันก็แค่อยากได้รับการยอมรับ ฉันก็แค่อยากเป็นใครสักคนที่สำคัญบ้าง ฉันผิดเหรอ ฉันไม่ได้มีความสามารถแบบเธอ ไม่ได้สวยอย่างปริมลดา ไม่ได้รวยเหมือนเอกราช ไม่ได้เรียนเก่งเหมือนประวิทย์ ไม่ได้เป็นที่รู้จักเหมือนตุลเทพ แล้วก็ไม่ได้มีเสน่ห์แบบเชิงชาย ฉันมันก็แค่ลูกคนขายหมูในตลาด ไม่ว่าฉันจะทำยังไง ฉันก็เป็นได้แค่นั้น”
“ก็เพราะเธอมีจิตใจเน่าหนอน ชอบอิจฉาริษยา ชิงดีชิงเด่น หักหลังได้แม้กระทั่งเพื่อน คนอย่างเธอตายไปก็ไม่มีเพื่อนคนไหนเสียใจหรอก”
หงส์หยกโวยวายเสียงดังลั่น
“ไม่จริง ฉันเป็นเพื่อนพวกเค้า เค้าจะไม่มีวันทิ้งฉัน”
ผีริลณียิ้มเยาะ
“เธอแน่ใจอย่างนั้นเหรอ งั้นฉันจะให้โอกาสเธอได้พิสูจน์สิ่งที่เธอพยายามทำมาตลอดชีวิต”
พูดพลาง แบมือออก เห็นโทรศัพท์มือถือของหงส์หยกอยู่บนมือ
“ฉันให้โอกาสโทร.ไปหาเพื่อนที่เธอรักมากที่สุด คนที่เธอคิดว่า เค้าจะมาช่วยเธอ ถ้าเค้ายอมมา ฉันจะปล่อยเธอไป แล้วจะไม่ยุ่งกับเธออีก”
“เธอพูดจริงเหรอ”
ผีริลณียิ้มเยือกเย็น ก่อนจะคลายมนต์สะกดให้ หงส์หยกรีบวิ่งเข้ามาหยิบโทรศัพท์ด้วยความหวัง
“ฉันให้โอกาสเธอโทรแค่ครั้งเดียว เลือกให้ดี เพื่อนคนไหน”
หงส์หยกเปิดโทรศัพท์ขึ้น เห็นชื่อ เอกราช ตุลเทพ ประวิทย์และปริมลดา เรียงกัน 4 ชื่อ ก่อนจะมองทั้ง 4 อย่างครุ่นคิดหนัก จากนั้นก็ใช้มือจิ้มชื่อเอกราช แต่ก็ต้องชะงัก ไม่มั่นใจ พอจิ้มมาที่ชื่อตุลเทพก็ไม่มั่นใจอีก มาจนถึงประวิทย์ และปริมลดา ก็อาการเดียวกัน
หงส์หยกรู้สึกลังเลใจหนัก เงยหน้ามองริลณีอย่างไม่รู้จะเลือกใคร
“ทำไมล่ะหงส์หยก นี่คือเพื่อนที่เธอรักที่สุดไม่ใช่เหรอ เลือกสิ”
หงส์หยกมองรายชื่ออย่างครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจกดโทร.ออก แล้วรอลุ้นว่าอีกฝ่ายจะรับหรือไม่
โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงเรียกเข้าดังไม่หยุดหย่อน
ปริมลดาเดินเข้ามาหยิบขึ้นมามอง เมื่อเห็นว่าคนที่โทร.เข้ามาคือหงส์หยก ก็ตัดสินใจกดรับ แล้วทำหน้านิ่ง เดาไม่ออกว่าคิดอะไร
“ลดา ฉันเองหงส์หยก เธออย่าเพิ่งวางสายนะ ฉันอยากขอโทษเรื่องที่ฉันเคยทำไม่ดีกับเธอทุกอย่าง ฉันยอมรับผิด ฉันยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เธอหายโกรธ แล้วต่อไปเธอจะจิก จะด่า จะว่ายังไง ฉันยอมทุกอย่าง ขอแค่ตอนนี้เธอมาหาฉันได้มั้ย เธอมาหาฉัน มาช่วยฉันได้มั้ยลดา ผีริลณีมันจะฆ่าฉัน ฉันยังไม่อยากตาย เธอเป็นเพื่อนรักฉัน เธอช่วยฉันได้มั้ยลดา ฉันขอร้อง”
ขาดคำเสียงปริมลดากดวางสายโทรศัพท์ก็ดังกึก หงส์หยกอึ้ง ช็อก รีบมองหน้าริลณีอย่างอ้อนวอน
“สายมันหลุด ฉันขอโทร.อีกทีได้มั้ย”
“อย่าหลอกตัวเองเลยหงส์หยก สายมันไม่ได้หลุด เพื่อนที่เธอรักที่สุด เลือกกที่จะวางสาย ไม่สนใจ แม้ว่าเธอกำลังจะตาย น่าสงสารจริงๆ”
ริลณีค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ช้าๆ หงส์หยกที่ร้องไห้ด้วยความกลัว พยายามถอยหนี
“อย่าเข้ามานะริลณี อย่าเข้ามา”
หงส์หยกถอยไปจนสุด จนถอยไปไหนไม่ได้อีกแล้ว
“ริลณีอย่าฆ่าฉัน ฉันยังไม่อยากตาย”
ริลณียิ้มร้าย
“วันนั้นฉันก็ยังไม่อยากตาย ฉันกำลังจะมีความสุขหงส์หยก ฉันกำลังจะได้ไปอยู่กับคนที่ฉันรัก แล้วเค้าก็รักฉัน แต่พวกแก พวกแกทุกคนพรากความสุข ความหวังทั้งหมดไปจากชีวิตของฉัน และขนาดฉันตาย พวกแกก็ยังตามมาทำลายความสุขของฉัน ฉันเคยเตือนเธอแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยฟัง ลาก่อนหงส์หยก”
ขาดคำ แผ่นผ้าโฆษณาเก่าที่ขาดเป็นเส้นก็เข้ามาพันคอหงส์หยกแน่นจนหายใจไม่ออก พลัดตกจากตึกไป พร้อมเสียงตุ๊บที่ดังจากข้างล่าง
ริลณียืนยิ้มอย่างสะใจ ก่อนจะหายไปจากตรงนั้น
ชัชกำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวในร้านละแวกนั้นพอดี ได้ยินเสียงชาวบ้าน และแม่ค้าแถวนั้นโวยวายด้วยความตกใจ
“คนโดดตึกลงมาตาย มาดูเร้ว คนโดดตึกลงมาตาย”
ทุกคนรีบเฮโลกันลุกไปดู ชัชหันไปมองด้วยความสนใจ รีบหยิบเงินมาวาง แล้วตามไทยมุงไปทันที
ไทยมุงยืนดูพร้อมวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ ชัชแหวกผู้คนเข้ามพยายามชะโงกหน้าดู เห็นร่างหงส์หยกที่แหลกละเอียด แข้งขาบิดเบี้ยวไปคนละข้าง ก็ตกใจ
“นะ นั่น มันน้องคนที่เราเคยขอเบอร์นี่หว่า”
พลันสายตาของชัชก็เหลือบไปเห็นริลณียืนเหนือร่างหงส์หยก และมองดูด้วยความสะใจ เขาชะงักตาค้าง ไม่คิดว่าจะเห็นเต็มๆ แบบนี้ ก่อนจะรีบเอากำปั้นอุดปาก เพราะกลัวจะร้องโวยวายออกมา
ริลณีหันขวับมามองตรงที่ชัชยืน แต่ว่าไม่เห็นเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว
ชัชโลดแล่นเข้ามาในรถกดล็กประตู หยิบพระขึ้นมาพนมมือไหว้
“ไม่ต้องสงสัยอะไรแล้วไอ้ชัช เห็นชัดๆ เต็มอย่างนี้ ในที่สุดฉันก็รู้แล้วว่า 2 ปีที่หาริลณีไม่เจอ เพราะเค้าตายไปแล้วนี่เอง ไม่น่าเลย ทำไมฉันต้องเจอแบบนี้ ไม่สิ ไอ้เต ฉันต้องบอกแก ยังไงดี”
ชัชหน้าเครียดมากไม่รู้จะทำยังไงดี
เตชินขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้านทรงไทย พบว่ามีรถคันหนึ่งจอดอยู่ ข้างๆ รถตุลเทพ เอกราช ประวิทย์ กำลังพยายามด้อมๆ มองๆ เข้าไปในบ้าน เตชินและชมพูรีบลงมาจากรถ
“เอกราช ประวิทย์ ตุลเทพ นายมาทำอะไรกันที่นี่น่ะ” ชมพูถามอย่างสงสัย
เอกราชมองหน้าทั้งคู่อย่างไม่พอใจ “แล้วชมพูมาทำอะไร”
“เราก็เอาของมาเยี่ยมพี่เตชินกับรินน่ะสิ อย่าบอกนะว่าพวกนายก็จะมาเยี่ยมพี่เตชินกับรินเหมือนกัน”
ทั้ง 3 คนหน้าเสีย ประวิทย์รีบเข้าไปดึงแขนเอกราชให้พยายามสงบ ไม่ให้ทำตัวน่าสงสัย
“เปล่าหรอก พวกเราแค่จะมาถามว่าหงส์หยกมาที่นี่รึเปล่า”
“มาแล้ว แล้วก็หายไปแล้ว นี่ฉันกับพี่เตชินเพิ่งออกไปตามหาแต่ก็ไม่เจอ ฉันว่าหงส์หยกดูแปลกๆ นะ”
ตุลเทพได้ฟังก็ยิ่งร้อนรน “แล้วเค้ามาทำอะไรที่นี่”
“พวกนายอยากรู้ทำไม” ชมพูย้อนถาม
ตุลเทพดูหลุกหลิก มีพิรุธ
“ก็หงส์หยกเค้าเป็นเพื่อนเรา พวกเราก็เลยเป็นห่วง ตั้งแต่มีเรื่องกับปริมลดา พวกเราก็สังเกตว่าหงส์หยกดูแปลกๆ พูดจาเพ้อเจ้อ ก็เลยคิดว่าจะพาไปหาหมอ แต่ก็มาหายไปซะก่อน กลัวจะมาทำให้คนอื่นเดือดร้อน”
“ไว้ถ้ามีอะไรคืบหน้าแล้วฉันจะรีบโทร.บอก”
“ขอบคุณนะ งั้นพวกเรากลับก่อน”
ตุลเทพเดินนำเอกราช และประวิทย์ขึ้นรถแล้วขับออกไป ชมพูมองตามทั้งสามด้วยสีหน้าสงสัย จนเตชินเดินเข้ามาถามด้วยความแปลกใจ
“ทำไมเมื่อกี๊ที่ตุลเทพถามว่าหงส์หยกเค้ามาทำอะไร ทำไมถึงไม่บอกพวกเค้าไปละครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
ชมพูเลี่ยงไม่ยอมตอบ เดินไปขึ้นรถโดยไม่พูดอะไรอีก เตชินรู้สึกแปลกใจกับท่าทีของอีกฝ่าย
พอทั้งคู่เดินเข้ามาในบ้าน ก็เห็นริลณีนั่งยิ้มหน้าสวย หน้าตามีความสุขมาก แต่แอบจิกตามองหน้าชมพูด้วยแววตาไม่พอใจนิดๆ แต่ก็ยังยิ้มไม่แสดงอะไรออกมา
“รินหายไปไหนตั้งแต่เช้าครับ ผมตื่นมาก็ไม่เจอ”
“รินไปช่วยทำธุระให้เฟื่องฟ้าที่บ้านเด็กกำพร้าน่ะค่ะ เห็นคุณหลับอยู่ก็เลยไม่อยากปลุก มานานแล้วเหรอ”
ริลณีหันมาทัก ชมพูยิ้มตอบ “สักพักแล้วล่ะ”
“ชมพูเค้าซื้อขนมมาฝากรินเยอะแยะเลยนะครับ”
“ฝากรินหรือฝากคุณกันแน่คะ มีแต่ของที่คุณชอบทั้งนั้นเลย ขอบคุณมากนะชมพู”
ริลณีพูดเหน็บ จนชมพูหน้าแหยรีบเปลี่ยนเรื่อง
“วันนี้รินดูหน้าสวยแจ่มใสมากเลยนะ พี่เตชินว่ามั้ยคะ”
“นั่นสิ ทำไมวันนี้รินดูมีความสุขจัง แสดงว่าธุระที่ไปช่วยเฟื่องฟ้าต้องเป็นเรื่องที่ดีมากๆ แน่เลย”
ริลณีฉีกยิ้มกว้าง
“ดีที่สุดในชีวิตเลยค่ะ ได้สะสางเรื่องคั่งค้าง ต่อไปก็จะได้ไม่มีใครมากวนใจอีก”
จังหวะนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น ชมพูรีบกดรับ ก่อนจะนิ่งฟังทางปลายสาย แล้วทำหน้าตกใจ
“ว่าไงนะคะ หงส์หยกโดดตึกตาย”
ชมพูหันมองหน้าเตชินไม่อยากจะเชื่อ ส่วนริลณีลอบยิ้มสะใจ
ชมพูกำลังจะกลับบ้าน โดยมีเตชินและ ริลณีเดินตามมาส่ง
“ไม่รู้ว่าป๊าของหงส์หยกเค้าจะรู้เรื่องรึยัง”
“มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ยครับ พี่ช่วยได้เต็มที่นะ เพราะยังไงหงส์หยกเค้าก็เป็นเพื่อนกับริน”
ชมพูส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ปล่อยให้ญาติกับพวกเพื่อนๆ เค้าจัดการก็แล้วกัน เฮ่อ ทำไมหมู่นี้ถึงมีแต่เรื่องนะ เชิงชายก็เพิ่งจะตายไปไม่กี่วัน แล้วนี่หงส์หยกก็...”
ริลณีพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ทุกอย่างก็เป็นไปตามเวรกรรม ใครทำอะไรกับใครไว้ ก็ต้องได้คืนอย่างนั้น”
พูดพลางจ้องหน้าเขม็ง จนชมพูรู้สึกกลัว
“จะให้พี่ไปส่งมั้ยครับ นี่ก็เย็นแล้ว” เตชินรีบอาสา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวชมพูกลับเอง ไปก่อนนะริน”
“โชคดีนะชมพู”
ริลณีรีบจูงมือเตชินขึ้นบ้าน ชมพูแอบหันกลับมามองด้วยความรู้สึกสงสัยอะไรบางอย่าง
ชมพูเดินไปเดินมา ครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในห้องนอนตามลำพัง คำพูดของหงส์หยกยังก้องอยู่ในหู
“ฉันต้องหากระดูกให้เจอ ริลณีจะฆ่าฉัน ริลณีจะฆ่าฉัน มันจะแก้แค้น เหมือนที่พวกเราทำกับมัน”
จากนั้นก็คิดถึงคำพูดร้อนรนของตุลเทพ
“แล้วเค้ามาทำอะไรที่นี่ ก็หงส์หยกเค้าเป็นเพื่อนเรา พวกเราก็เลยเป็นห่วง ตั้งแต่มีเรื่องกับปริมลดา พวกเราก็สังเกตว่าหงส์หยกดูแปลกๆ พูดจาเพ้อเจ้อ ก็เลยคิดว่าจะพาไปหาหมอ แต่ก็มาหายไปซะก่อน กลัวจะมาทำให้คนอื่นเดือดร้อน”
ชมพูเดินไปเดินมาพยายามครุ่นคิดประมวลผล
“ทำไมหงส์หยก ต้องบอกว่าริลณีจะตามฆ่า แล้วริลณีจะแค้นอะไร แล้ว พวกเรา คือใครทำไมฉันถึงคิดอะไรไม่ออก”
จังหวะที่เดินครุ่นคิดวนไปวนมา บังเอิญเดินไปชนชั้นวางของจนสมุดบนชั้นร่วงลงมา เห็นภาพถ่ายชมพูและริลณีที่ใส่ชุดรำในงานประกวดรำร่วงลงมา
ชมพูหยิบรูปนั้นขึ้นมาดูอย่างสงสัย
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ “
ชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม ยืนมองควันที่พวยพุ่งจากปล่องเมรุขึ้นท้องฟ้าด้วยความเศร้า ท่ามกลางบรรยากาศเงียบเหงา ไม่มีแขกคนไหนมาร่วมงานเผาศพของหงส์หยกเลย
เฟื่องฟ้าทำหน้าเศร้า “ฉันไม่เคยเจองานศพไหนที่เหงาเท่างานนี้เลย”
ชมพูพยักหน้ารับ
“นั่นสิ ประวิทย์ เอกราช ตุลเทพ ปริมลดา ก็ไม่มีใครยอมมา น่าสงสารหงส์หยกจริงๆ”
“ตำรวจเค้าสรุปแล้วใช่มั้ย ว่าหงส์หยกโดดตึกเพราะเครียดเรื่องที่ยักยอกเงินบริษัท”
เอทีเอ็มหันมาถาม
“เค้าก็ว่าอย่างนั้น แต่ฉันไม่เชื่อยังไงก็ไม่รู้ ถ้าพวกเธอได้เจอหงส์หยกก่อนที่เค้าจะโดดตึกตาย พวกเธอจะรู้ว่ามันมีอะไรแปลกๆ”
“แปลกยังไงเหรอ” เฟื่องฟ้าย้อนถาม
“ก็หงส์หยกเค้าไปที่บ้านพี่เตชิน พยายามจะขุดหาอะไรก้ไม่รู้ แล้วเค้าก็บอกว่า รินจะตามฆ่า รินจะตามแก้แค้นเหมือนที่พวกเราทำกับมัน”
เอทีเอ็มทำหน้างง “ฉันไม่เข้าใจ”
“แต่ฉันว่าฉันเข้าใจ”
ชมพู เอทีเอ็ม หันหน้ามองเฟื่องฟ้า ที่ทำหน้านิ่งจริงจัง
“บางทีมันอาจคงถึงเวลา ที่ฉันจะเล่าสิ่งที่ฉันรู้ให้พวกเธอฟังแล้ว”
“ว่าไงนะ” / “เป็นไม่ได้”
เอทีเอ็มกับชมพูอุทานเสียงดังลั่น เฟื่องฟ้าพูดด้วยสีหน้าจริงจังและเจ็บปวด
“ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันพูด มันเหลวไหล ไร้สาระ ไม่น่าเชื่อ แต่เชื่อเถอะ มันเป็นเรื่องจริง รินตายแล้ว”
“พูดบ้า จะเป็นไปได้ยังไง รินยังไม่ตายเราก็เห็น” เอทีเอ็มแย้งอย่างไม่อยากเชื่อ
“รินที่เราเห็นไม่ใช่ริลณีเพื่อนเรา แต่เป็นผีริลณี”
“โอ๊ย ไปกันใหญ่ ยายบ้า เพ้อเจ้อ”
เฟื่องฟ้าถอนหายใจเครียด
“ฉันก็อยากจะให้มันเพ้อเจ้อ แต่มันเป็นเรื่องจริงเอทีเอ็ม ฉันเคยเอาดวงของรินไปให้หมอดูตรวจ เค้าบอกว่า ดวงนี้ชะตาขาดแล้ว แล้วพวกนายเคยรู้มั้ยว่าทำไมคุณหญิงจิตรา เค้าถึงได้กลัวริน ไม่กล้าเข้าใกล้ริน เพระเค้ารู้ว่ารินเป็นผี และฉันมั่นใจว่าที่คุณหญิงต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะรินด้วย”
ชมพูหน้าสลดวูบขึ้นมาทันที “โธ่ คุณป้า”
เอทีเอ็มยังรับไม่ได้ “เธอพูดแค่นี้ แล้วคิดว่าฉันจะเชื่อเธองั้นเหรอ”
“นายอยากจะพิสูจน์ก็ได้ แต่ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ ฉันกลัว นายจำความรู้สึกที่เราเจอที่บ้านร้างไม่ได้เหรอ เวลาที่นายอยู่กับริน นายเคยรู้สึกกลัวแบบไม่มีสาเหตุมั้ย ฉันจะไม่บังคับให้นายเชื่อ ฉันจะให้นายใช้ความรู้สึกตัดสินเอาเอง ว่ารินคนที่เราเห็นอยู่ทุกวัน ใช่ริลณีที่เป็นเพื่อนเราคนเดิมรึเปล่า”
เอทีเอ็มอยากจะพูดแต่พูดไม่ออก จนชมพูต้องจับมือให้กำลังใจ
“ถ้ารินตาย แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับริน รินตายยังไง เมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่มีใครรู้”
เอทีเอ็มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เหมือนจะร้องไห้
“นั่นแหละ ที่พวกเราต้องสืบให้รู้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับรินกันแน่”
ชมพูโพล่งขึ้นมาทันที “ถ้าสิ่งที่เฟื่องฟ้าพูดเป็นความจริง ฉันว่ามีคนๆ นึงที่น่าจะรู้เรื่องนี้”
พูดพลางมองไปยังรูปของหงส์หยกที่ตั้งวางอยู่หน้าเมรุ เฟื่องฟ้า และเอทีเอ็มหันไปมองตาม
ฟาก เอกราช ประวิทย์ ปริมลดา และตุลเทพ นั่งคุยกันหน้าเครียดเรื่องการตายของหงส์หยก
“ยายหงส์หยกไม่โดดตึกลงมาตายเองอยู่แล้ว ฉันมั่นใจเลยว่าผีนังริลณีเป็นคนทำ”
ตุลเทพพูดขึ้นมาเป็นครแรก ตามด้วยเอกราช
“ก็แน่นอน ยายนั่นแหกปากว่าผีริลณีตามฆ่าขนาดนั้น ไม่มีทางเป็นคนอื่นหรอก”
ประวิทย์มองเครื่องรางห้าแฉกที่ทุกคนสวมคออยู่
“แต่พวกเรามีเครื่องรางห้าแฉก ป้องกันผีริลณีอยู่แล้วนะ”
ปริมลดาแอบหลบตา ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองเป็นคนทำลาย
“ยายหงส์หยกมันอาจจะโง่ถอดลืมไว้ที่ไหนก็ได้ นังผีนั่นก็เลยตามมาฆ่าได้”
เอกราชหน้าเครียด
“นังผีนั่นมันไม่ยอมเลิกราวี มันจะต้องฆ่าพวกเราทั้งหมดให้ได้”
ตุลเทพครุ่นคิด ก่อนจะเสนอความเห็น
“แล้วเราควรจะทำยังไง ฉันว่าเรื่องจะไปกันใหญ่แล้วนะ”
“นายเคยบอกว่ามีวิธีกำจัดผีริลณีไม่ใช่เหรอ”
ประวิทย์หันมาถามเอกราช
“มันก็มี แต่มันต้องเสี่ยง ทุกคนกล้าเสี่ยงรึเปล่าล่ะ”
“เสี่ยงแค่ไหน มันก็ต้องลอง เพราะถ้าอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่ทำอะไรแบบนี้ ไม่รู้ว่า พวกเรา 4 คน ใครจะเป็นรายต่อไป”
ทั้ง 4 คนมองหน้ากันอย่างหวั่นกลัว ไม่รู้ว่าใครเป็นศพต่อไป
อ่านต่อหน้า 3
นางชฎา ตอนที่ 13 (ต่อ)
ชัชเปิดคอมพิวเตอร์เช็คข่าวการตายของหงส์หยกด้วยความสงสัย เหมือนมีอะไรติดอยู่ในใจ เมื่อดูมาเรื่อยๆ จนมาถึงภาพตอนที่หงส์หยกตกมาตายบนพื้น ก็ลองขยายภาพใหญ่
“ถ้าตอนนั้นเราเห็นริลณีจริง ก็ต้องมีติดอยู่ในภาพบ้างละว้า กล้องมักถ่ายติดพลังงานแบบนั้นได้”
พอขยายภาพดู ก็เห็นเหมือนมีเงารางๆ ของพลังงานบางอย่าง
“มีจริงๆ ด้วย แสดงว่าที่เราเห็นไม่ได้ตาฝาด ริลณีเป็นผีแน่ๆ”
ชัชครุ่นคิดหน้าเครียด
“แล้วจะบอกไอ้เตยังไงดี มันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะเข้าใจง่ายๆ ไอ้เตมันก็ไม่เชื่อเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย”
เขาพยายามคิดหาวิธี สุดท้ายก็มองไปที่มือถือบนโต๊ะ แล้วตัดสินใจหยิบขึ้นมา
มือถือเตชินที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานมีเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้า สักครู่มีมือใครคนหนึ่งเอื้อมหยิบขึ้นไปดู และกดอ่าน ที่หน้าจอเห็นข้อความที่ชัชส่งมา “ฉันได้คำตอบเรื่องของรินที่แกอยากรู้แล้ว”
ริลณีอ่านข้อความนั้นด้วยหน้าตาสงสัยและไม่ไว้วางใจ
ทางด้านชัชก็ยังคร่ำเคร่งกดหารูปข่าวการตายหงส์หยกขึ้นมาดูหลายๆ รูป
“ต้องลองหา เผื่อได้รูปริลณีตอนเป็นผีชัดๆ จะได้เอาไปเป็นหลักฐานให้ไอ้เตมันดู”
เมื่อลองหาไปเรื่อยๆ ก็เจอคลิปเหตุการณ์แชร์เอาไว้
“มีคลิปแชร์ด้วยเหรอวะ”
ชัชรีบกดคลิปนั้นดูอย่างตื่นเต้น ภาพในคลิปคือหงส์หยกตกลงมานอนตายบนพื้นแล้ว คนที่กำลังถ่ายคลิปรีบวิ่งมาถ่ายที่ศพ พร้อมเสียงไทยมุงมากมาย ชัชก้มมองสังเกตในคลิป ก่อนจะสังเกตเห็นว่า ในคลิปมีริลณียืนอยู่เหนือศพหงส์หยก เหมือนอย่างที่เห็นจากเหตุการณ์จริงด้วย เขารีบชะโงกหน้าเข้าไปดูคลิปจนติดจอ ทันใดนั้นริลณีที่อยู่ในคลิปก็หันกลับมามอง ตาจ้องเขม็ง ตะโกนเสียงดัง
“คิด จะ หา รูป ฉัน เหรอ ไม่ มี ทาง หรอก”
ชัชผงะตกใจแทบหงายหลังตกเก้าอี้ ก่อนจะค่อยๆ มองไปที่คลิปที่จบไปแล้วแบบงงๆ พอพยายามจะกดดูคลิปใหม่ กลับกดดูไม่ได้แล้ว
“เอ้า ทำไมอยู่ดีๆ ดูไม่ได้แล้วล่ะ”
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังฝ่าความเงียบเข้ามา ชัชสะดุ้งโหยงตกใจ รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ “ว่าไง ไอ้เต ใช่ ฉันมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับแก สำคัญมากจริงๆ พรุ่งนี้เจอที่ร้านเดิมนะเว้ย ยังไงแกต้องมาให้ได้ ไม่อยากมาก็ต้องมา ยังไงฉันก็จะรอ เข้าใจมั้ย”
ชัชกดวางสาย ก่อนจะถอนหายใจ แล้วมองไปรอบๆ ห้องด้วยความรู้สึกกลัวๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“อย่าทำอะไรพี่เลยนะน้องริน พี่หวังดีกับไอ้เตมันจริงๆ”
จิตราที่นั่งอยู่บนเตียง มองชมพู และนักอรรถบำบัดที่นั่งอยู่ข้างเตียงด้วยความแปลกใจ
“พี่เตชิน ขอให้ชมพูช่วยหานักอรรถบำบัดมาช่วยฝึกพูดให้คุณป้าค่ะ”
นักอรรถบำบัดยกมือไหว้ ท่าทางน่าเชื่อถือ
“เห็นคุณเตชินบอกว่า คุณหญิงพอจะเริ่มพูดได้แล้ว”
จิตราพูดฟังไม่เป็นคำ แต่จะพูดคำว่า “ใช่”
“ถ้าคุณหญิงได้ฝึก ก็จะพูดได้เร็วขึ้น”
จิตราได้ฟังตื่นเต้น ดีใจ รีบพยักหน้าตอบรับ และบีบมือชมพูอย่างอยากพูดได้เร็วๆ
“คุณป้าอยากพูดได้เร็วๆ ใช่มั้ยคะเนี่ย”
จิตราพยักหน้าถี่ๆ เร็วๆ
“แสดงว่าแบบนี้ คงมีเรื่องสำคัญอยากพูดแน่ๆ”
จิตรามองหน้าชมพู แล้วพยักหน้าแทนคำตอบ และคำพูดประโยคเดียวที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ ริลณีเป็นผี !!
สร้อยกำลังยืนร้องเพลงเพลินๆอยู่ในครัว หมูหวานแอบย่องมาข้างหลัง พร้อมกับสมหมาย ก่อนจะแกล้งทำเสียงดัง จนสร้อยตกใจ หันมากอดสมหมายแน่นไม่ยอมปล่อย จนหมูหวานโวยวายเสียงดัง
“โอ๊ย อาย ผี สาง เทวดาบ้างเถอะ”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า “ผี” สมหมายรีบปล่อยสร้อย ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง ท่าทางหว่าดหวั่น
“อย่าบอกนะว่าบ้านนี้มีผีด้วย”
“ไม่มีหรอกพี่ บ้านนี้ปลอดภัย นี่แสดงว่าโดนคุณรินหลอกกันมาหมดแล้ว”
สมหมายพยักหน้า “คุณภาพจัดเต็มสุดๆ ฉันงี้แทบหนีออกมาไม่ทัน”
ชมพูเดินถือขวดน้ำเปล่าเข้ามา จะมาขอน้ำเพิ่ม ได้ยินทั้งสามคนคุยกันพอดี
“แล้วพวกเธอ 2 คนก็หนีออกจากบ้านนั้นมา ปล่อยให้คุณเตชินอยู่คนเดียว” สร้อยหันมาถามต่อ
“จะให้พวกเราทำยังไงล่ะ คุณรินเป็นผีนะจ๊ะ ไม่ใช่ผีเสื้อ พวกเราก็กลัวน่ะสิ”
หมูหวานรีบพูดเสริม
“คุณรินก็หลอกพวกเราจัดเต็ม จัดหนัก ทุกวัน แล้วจะให้พวกเราทนอยู่บ้านนั้นกับผีได้ยังไงล่ะป้า”
สมหมายหันไปเห็นชมพูยืนฟังอยู่ ก็รีบสะกิดให้หมูหวานกับสร้อยหันไปมอง ชมพูมองหน้าทั้งสามจริงจัง เอาเรื่อง
“ฉันว่า เรามีเรื่องต้องคุยกันแล้วล่ะ”
ชมพูทำหน้าอึ้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ สมหมาย หมูหวาน และสร้อย มองหน้ากัน ท่าทางจริงจัง
“ที่พวกเราเล่าเนี่ย เป็นเรื่องจริงทุกประการค่ะ ไม่มีแต่งแต้มเติมสีสักนิด”
สร้อยยืนยัน สมหมายรีบสำทับอย่างหนักแน่น
“คุณริน เธอเป็นผี ผมเห็นมากับตาครับ”
“แล้วทำไมถึงไม่มีใครบอกฉัน”
หมูหวานหน้าเจื่อน “ใครจะกล้าละคะคุณชมพู คุณรินเธอน่ะเฮี้ยน ไม่ธรรมดาเลย”
“ลองมาอยู่กับคุณเตชิน ไม่ยอมไปผุดไปเกิดแบบนี้ ก็แสดงว่าต้องรักคุณเตชินมาก”
สมหมายตั้งข้อสังเกต หมูหวานรีบเดาต่อ
“หรือไม่ก็แค้นมาก”
“แค้นงั้นเหรอ” ชมพูทำหน้างง
“ก็แค้นคนที่ทำให้คุณรินต้องตายไงคะ”
“จริงสินะ คิดไปก็น่าสงสาร ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ถึงต้องกลายมาเป็นแบบนี้”
สร้อยทำหน้าทำตาว่าสงสารจริงๆ
“แล้วฉันควรจะทำยังไงดี ฉันพยายามคิดมาตลอดว่า ควรจะทำยังไง แต่ก็คิดไม่ออก”
ชมพูหน้าเครียด สมหมาย หมูหวาน และสร้อย หันมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“นี่แสดงว่าคุณชมพู รู้เรื่องที่คุณรินเธอเป็นผีอยู่แล้วเหรอคะ”
สร้อยถามย้ำ หมูหวานถามต่อ
“อย่าบอกนะคะว่าคุณชมพูก็เคยโดนหลอก”
“ไม่เคยหรอก รินเป็นเพื่อนรักของฉัน เค้าไม่มีวันทำแบบนั้นแน่ๆ”
สมหมายทำหน้าข้องใจ “แล้วคุณชมพูรู้ได้ยังไงครับ”
“มันก็แค่สงสัย แต่ไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้ฉันแน่ใจทุกอย่างแล้ว ขอบคุณทุกคนมากนะ ที่ยอมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ฉันก็ต้องหาทางช่วยพี่เตชิน แล้วก็สืบความจริงที่เกิดขึ้นกับรินให้ได้”
ชมพูพูดอย่างมุ่งมั่น แต่ทั้งสามคนแอบมองหน้ากัน ด้วยความรู้สึกสยอง
ชัชที่นั่งรออยู่ในร้านอาหารด้วยท่าทางดูตื่นเต้น จนมือไม้สั่น พอเตชินก็เดินเข้ามา ก็รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหา และดึงมานั่งคุยอย่างเร็ว
“แกมีไรวะ ทำไมต้องดูตื่นเต้นขนาดนี้”
“ฉันมีเรื่องของริน ที่แกเคยอยากรู้มาบอก จำได้มั้ย ที่แกเคยสงสัยว่ารินเค้าดูแปลกๆ เหมือนมีความลับอะไร”
เตชินยิ้มน้อยๆ “อ๋อ ถ้าเรื่องนั้นฉันรู้แล้วว่ะ”
ชัชถึงกับอึ้งงง ที่เตชินรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว
“ละ แล้วแกโอเครึเปล่าวะ”
“โอเคสิ โอเคมากๆ จริงๆ ถ้ารินบอกฉันตั้งแต่แรก ฉันก็คงไม่สงสัย”
ชัชมองเพื่อนอย่างแปลกใจ
“ไอ้เต แกนี่ยอดคนเลย ขนาดเรื่องแบบนั้นยังรับได้แบบชิวมากเลย”
“ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ แค่รินเค้าแอบไปช่วย เฟื่องฟ้าดูแลเด็กที่บ้านเด็กกำพร้า แต่เค้าไม่กล้าบอก เพราะกลัวฉันจะไม่อนุญาตให้ไป เค้าก็เลยต้องแอบทำ ก็แค่นั้น”
ชัชได้ยินก็รีบส่ายหน้า ทำนองว่าไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย
“ไม่ใช่ว่ะ ไอ้เต แกเข้าใจผิด ที่รินเค้าหายตัวไปบ่อยๆ แบบไม่มีสาเหตุ เพราะรินเค้าเป็น....”
“เป็นอะไรเหรอคะ พี่ชัช”
ชัชรีบหันขวับไปตามเสียง เห็นริลณีเดินเข้ามา จ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง ฝ่ายถูกจ้องถึงกับสะดุ้งโหยง
“นะ..น้องริน”
“รินเค้ารู้ว่าฉันจะมาหานาย เค้าก็เลยอยากมาด้วย”
ริลณีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ
“ รินอยากเจอพี่ชัชน่ะค่ะ ว่าไงคะ พี่ชัช ตกลงว่าเมื่อกี๊ที่อยากบอก .รินเป็นอะไร”
ชัชปากคอสั่น
“ปละ เปล่าจ๊ะ รินไม่ได้เป็นอะไร แต่คนที่เป็นตอนนี้ คือพี่เอง”
ริลณีเดินเข้ามานั่งตรงข้าม จ้องอย่างเอาเรื่อง ชัชถึงกับมือไม้สั่น ทำอะไรไม่ถูก
ชัชพยายามตักอาหาร ทั้งที่มือสั่น พลางแอบเหลือบมองริลณีที่นั่งจ้องอยู่ตรงหน้า อย่างรู้สึกกลัว จนเตชินสังเกตเห็น
“เป็นไรวะ ทำไมมือไม้ถึงได้สั่นแบบนั้น ไม่สบายรึไง”
“กะ..กะ...ก็..ก็ไม่ได้อยากจะสั่น ..มะ...มันสั่นเอง”
ชัชพูดตะกุกตะกัก พอเห็นเตชินเอื้อมมือไปจับมือริลณีแบบหวานๆๆ ก็ถึงกับกลืนน้ำลายเอื้อก
“ขอโทษด้วยนะเว้ย ที่ตอนนั้นเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องไปปรึกษาแก เอาเข้าจริงถ้าฉันถามรินไปตรงๆ
ก็จบเรื่อง”
ริลณียิ้มหวาน
“รินก็ขอโทษนะคะ ที่ไม่กล้าบอกความจริง ขอโทษพี่ชัชด้วยที่ทำให้วุ่นวาย สัญญานะคะว่าต่อไปมีอะไร เราจะคุยกัน 2 คนก่อน จะได้ไม่ต้องมีใครมายุ่งกับเรื่องเรา 2 คนอีก”
ชัชรู้สึกเหมือนโดนด่ากระทบ ก็รู้สึกหนาวสันหลังกลัวขึ้นมาทันที
“พี่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ยะ..ยินดีช่วยเสมอ”
“แต่ตอนนี้คงไม่ต้องช่วยแล้วว่ะ ทุกอย่างโอเคแล้ว งั้นเดี๋ยวแกคุยกับรินไปก่อนนะ ฉันไปห้องน้ำแป๊บ”
พอเตชินลุกขึ้น ชัชที่ไม่อยากอยู่กับริลณี 2 คนรีบลุกขึ้นตาม
“ไปด้วยสิวะ”
ริลณีมองอย่างรู้สึกไม่ไว้ใจ ชัชรีบแก้ตัว
“เหมือนตอนเรียนไง เราไปห้องน้ำด้วยกันบ่อยๆ แกปวด ฉันปวด ฉันไม่ปวด แกก็ไม่ปวด”
เตชินมองขำๆ ก่อนจะเดินออกไป ชัชรีบเดินตาม แทบจะเกาะติดเลยก็ว่าได้ พลางหันมาเหลียวมองริลณีที่นั่งจ้องอยู่
เตชินที่เดินเข้ามาในห้องน้ำถูกชัชที่ตามมารีบดันให้เข้าไปในห้องน้ำอย่างเร็ว ก่อนจะรีบปิดประตู แล้วรีบยกมือไหว้ พร้อมทั้งเอาสร้อยพระที่คล้องคอออกมาห้อยที่ลูกบิดประตูไว้
“ทำอะไรวะ”
“ไอ้เต ฉันจะไม่พูดอ้อมค้อมนะเว้ย ที่น้องรินเค้าชอบหายตัวไปบ่อยๆ แล้วชอบทำอะไรแปลกๆ ที่แกสงสัย มันไม่ใช่อย่างที่แกเข้าใจ แต่น้องรินเค้า....”
จู่ๆ เสียงประตูห้องน้ำสั่น เหมือนมีใครเขย่าอย่างโมโหจากข้างนอก
ริลณียืนอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ แววตาน่ากลัว กำลังเขย่าประตูพยายามจะเข้าไปในห้องน้ำ แต่เข้าไปไม่ได้ เพราะอานุภาพแห่งพุทธนุภาพของสร้อยพระที่ชัชคล้องหน้าประตูไว้
ทั้งคู่หันมองประตูด้วยความแปลกใจ เตชินกำลังจะพูดอะไรแต่ชัชรีบห้ามไว้
“ไอ้เต แกอย่าเพิ่งสนใจอะไร มองหน้าฉันนี่ ฉันกำลังจะบอกเรื่องสำคัญที่สุดกับแก”
“แต่มีคนจะเข้าห้องน้ำ แกมาล็อกไว้แบบนี้ เค้าจะเข้าได้ยังไง”
ชัชพูดอย่างร้อนรน
“เชื่อเถอะ ไม่ใช่คน ฉันรู้มีคนไม่อยากให้ฉันพูดเรื่องนี้ เค้าพยายามจะขัดขวาง ไอ้เต ฟังฉันพูดนะ รินตายไปแล้ว และรินที่อยู่กับแกตอนนี้ คือผี”
เตชินมองหน้าชัชแบบงงๆ
“แกพูดบ้าอะไรของแกเนี่ย เพี้ยนอะไรรึเปล่าวะ หรือทำงานมากไป ไม่ได้นอน สมองเลยกลับ พูดอะไรเพ้อเจ้อไร้สาระแบบเนี้ย”
“ฉันไม่ได้พูดเพ้อเจ้อ ที่ฉันพูดเรื่องจริง ฉันเห็นมากับตา”
เตชินส่ายหน้าขำๆ ไม่ได้สนใจ “เห็นอะไร”
“ก็เห็นว่ารินเป็นผีน่ะสิ แกต้องเชื่อฉันนะเว้ย แกก็รู้ว่าฉันมีเซนส์เห็นเรื่องพวกนี้ ฉันเห็นจริงๆ”
เตชินเริ่มโมโห
“ถ้าแกยังไม่หยุดพูดเรื่องบ้าๆ นี่ ฉันจะต่อยแกแล้วนะ”
“ไอ้เต นี่ฉันยอมเสี่ยงชีวิตมาบอกแกเลยนะเว้ย”
เตชินทำหน้าอ่อนใจ
“แล้วไหนหลักฐาน ที่ไม่ใช่ญานทิพย์จิตสัมผัสของแก”
ชัช รู้ตัวว่าพลาดอย่างแรง “ฉันไม่มี”
เตชินมองหน้าเพื่อนอย่างทั้งเจ็บปวด ผิดหวัง เสียใจ และเอาเรื่อง
“งั้นก็จบ ไม่ต้องพูดอะไรอีก”
พูดพลางทำท่าจะเดินออกไป แต่กลับถูกชัชจับแขนไว้
“ตกลงแกไม่เชื่อฉันใช่มั้ย”
“แกบอกว่าคนที่ฉันรักเป็นผี ทั้งๆ ที่เค้าก็มานั่งกินข้าวตรงหน้าแก พูดคุยกับแกอยู่เมื่อกี๊ แกคิดว่าฉันควรจะเชื่องั้นเหรอ จริงๆ ถ้าเป็นคนอื่น ฉันคงต่อยมันลงไปกองพื้น ตั้งแต่มันพูดจบประโยคแรกแล้ว แต่แกเป็นเพื่อนรักฉัน ฉันถึงยอมฟังแกจนถึงตอนนี้ และฉันหวังว่าต่อไปจะไม่ได้ยินเรื่องงี่เง่าไร้สาระ อย่างนี้จากแกอีก”
พูดจบ เตชินก็เอาสร้อยพระที่ชัชคล้องออกจากลูกบิดยัดใส่มือชัช แล้วเดินออกจากห้องน้ำไปด้วยความโมโห
ชัชกำลังจะเดินตามออกไป แต่พลันหางตาก็เห็นเหมือนใครบางคนยืนอยู่ พอหันไปมอง ก็เห็นริลณีเคลื่อนที่จากตรงนั้นโดยเร็ว มายืนประจันหน้า จ้องด้วยดวงตาสีเลือด น่ากลัว
“รินบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ายุ่งกับเรื่องของรินกับเตชิน”
“แต่น้องรินเป็นผี ยังไงก็อยู่กับไอ้เตไม่ได้”
ริลณีจ้องหน้าเอาเรื่อง ชัชค่อยๆ ถอยหนี จนตัวติดประตูถอยไม่ไหนอีกไม่ได้แล้ว
“นั่นไม่ใช่เรื่องของพี่ เป็นเรื่องของเราสองคน อย่ายุ่งกับเรื่องนี้ ไม่อยากนั้น อย่าหาว่ารินไม่เตือน”
เตชินเดินนำริลณีเข้ามาในบ้าน ด้วยท่าทางหงุดหงิด
“อย่าไปโกรธพี่ชัชเค้าเลยนะคะ เค้าคงไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณหงุดหงิดแบบนี้หรอกค่ะ”
“ตั้งใจสิ ไม่งั้นจะพูดเรื่องไร้สาระแบบนั้นเป็นเรื่องเป็นราวได้ไง”
เตชินยิ่งโมโห ริลณีมองหน้าอย่างอยากรู้
“แล้วพี่ชัช พูดอะไรเหรอคะ”
“ รินอย่าไปสนใจเลยครับ ขอให้รู้ว่า มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระมาก แล้วผมก็ไม่มีวันจะเชื่อด้วย แล้วถ้ามันพยายามจะพูดอีก ผมจะชกให้”
ริลณีแอบยิ้ม “อย่าให้ต้องรุนแรงเลยค่ะ ยังไงคุณ 2 คนก็เป็นเพื่อนกัน”
เตชินมองหน้า และเข้าไปกอดด้วยความรู้สึกผิด
“มันเป็นความผิดของผมเอง ถ้าผมไม่เคยไปปรึกษาเรื่องไร้สาระอะไรแบบนั้น มันก็คงไม่เอาเรื่อง งี่เง่าแบบนั้นมาพูดหรอก”
“คุณไม่ผิดหรอกค่ะ รินเข้าใจคุณ แล้วก็รักคุณ ที่คุณเชื่อมั่นใจตัวรินเสมอ”
“ก็รินเป็นเมียผมนี่ ไม่เชื่อมั่นในตัวเมีย แล้วจะเชื่อมั่นในตัวใครล่ะ”
พูดเสร็จก็รวบตัวริลณีอุ้มขึ้น
“จะทำอะไรคะ ปล่อยสิ”
“ก็จะให้รินลงโทษ โทษฐานที่ผมทำตัวไม่ดีไง”
เตชินหัวเราะคึกคัก ก่อนจะอุ้มริลณีตรงไปที่ห้องนอน ฝ่ายถูกอุ้มพยายามจะขัดขืนอย่างอายๆ แต่สุดท้ายก็ยอมอย่างเต็มใจและมีความสุขมากที่สุด
เตชินนั่งพิงหัวเตียงมองความงามของริลณีไม่ต่างจากนางในวรรณคดี ที่กำลังนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกอย่างมีความสุขและหลงใหล
“รินรู้มั้ยว่ารินสวยมากเลย”
ริลณียิ้มอายๆ เตชินลุกขึ้นจากเตียง เดินเข้าไปหา พร้อมกับหยิบหวีจากมือมาช่วยหวีผมที่ยาวสลวยให้ ริลณีหลับตาพริ้มอย่างมีความสุขที่สุด
ขณะที่เตชินกำลังหวีไปเรื่อยๆ เส้นผมของริลณี ก็ค่อยๆ หลุดร่วงมากขึ้นๆ ก่อนจะหลุดร่วงออกมาเป็นกระจุกใหญ่
เตชินตกใจรีบมองไปในกระจก เห็นเงาสะท้อนของตัวเองกำลังหวีผมให้ริลณีในร่างผี
น่าเกลียดน่ากลัว เขาตกใจหวีจนหวีตก ริลณีลืมตาขึ้นมอง ด้วยดวงตาสีศพ เขาเห็นก็ยิ่งช็อก
“ริน คุณ ?”
“มีอะไรเหรอคะเตชิน”
ริลณีพยายามเดินเข้าไปหา แต่ผิวหนังที่สวยเต่งตึง ก็ค่อยๆ หลุดลอกเป็นแผ่น กลายเป็นหนังเน่า หนอน ดูสยดสยอง
“รินคุณเป็นอะไร ทำไมถึงได้เป็นแบบนั้น”
ริลณีที่กลายร่างเป็นผีแสยะยิ้มให้ เลือดไหลออกมาจากปาก ดูสยดสยองน่ากลัว พร้อมเสียงหัวเราะสะใจ
“ริน เป็น ผี”
เตชินสะดุ้งเฮือกขึ้นมาจากที่นอน เหงื่อไหลเต็มไปหมด พลางหันไปมองริลณีที่นอนหลับอยู่ข้างๆ ก่อนจะรีบเช็ดเหงื่อ ด้วยความรู้สึกที่ยังอึ้งกับความฝันที่น่ากลัว
“เพราะไอ้ชัชแท้ๆ เอาเรื่องบ้าๆ มาใส่สมองจนเก็บมาฝัน”
เตชินก้มมองริลณีที่หลับสนิท ก่อนจะยิ้ม แล้วค่อยๆ ลูบมือบนผมอย่างเบาๆ
“รินของผมสวยแบบนี้ จะเป็นผีได้ยังไง”
พูดพลางก้มลงจูบผมริลณีด้วยความรักอย่างที่สุด ก่อนจะล้มตัวลงนอนหลับต่อ พร้อมกับโอบกอดเธอไว้แน่น
ริลณีลืมตาตื่น ด้วยสีหน้ากังวลใจอย่างที่สุด
เตชินนั่งสเก็ตภาพคร่าวๆ ของสนามกีฬาทางน้ำของตุลเทพ ที่ช่วยชัชออกแบบ ครู่หนึ่งก็
หงุดหงิด จนต้องเอาปากกาขีดๆ รูปที่วาดอย่างอารมณ์เสีย คำพูดของชัชที่บอกว่าริลณีเป็นผีดังก้องอยู่ในหัว
จังหวะนั้นเสียงมือถือดังขึ้นมา เขารีบหยิบขึ้นมารับ ก่อนจะกรอกเสียงถามอย่างหงุดหงิด
“โทรมาทำไมวะ”
“ไอ้เต แกฟังฉันสักนิดเถอะว่ะ ฉันเป็นห่วงแกจริงๆ นะเว้ย” เสียงชัชร้อนรน
“ถ้าแกยังไม่หยุดเรื่องไร้สาระนี้ ฉันจะไม่ช่วยแกทำโปรเจกต์งานของตุลเทพ แล้วก็ทุกโปรเจกต์ที่แกมี แล้วถ้าแกยังวุ่นวาย โทรตามมาตื๊อไม่เลิกแบบนี้ ฉันก็จะเลิกเป็นเพื่อนแกด้วย”
ขาดคำก็กดตัดสายอย่างหงุดหงิดสุดๆ
เตชินในชุดพร้อมเดินทางกึ่งลากกึ่งจูงริลณีออกมาที่ระเบียง
“นี่คุณจะพารินไปไหนคะ”
“ไปที่ไหนก็ได้ ตอนนี้ผมรู้สึกเบื่อ ไม่อยากจะอยู่ที่นี่ มันหงุดหงิด โมโห ยังไงก็ไม่รู้“
“ทะเลาะกับพี่ชัชรึเปล่าคะ เค้าทำอะไรกวนใจคุณรึเปล่า”
เตชินทำหน้าเซ็ง “ก็มันน่ะแหละตัวดี”
ดวงตาของริลณีเอาเรื่อง ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงน่ากลัว
“ให้รินช่วยจัดการให้มั้ยคะ”
เตชินที่กำลังหงุดหงิดแอบสะดุดหูกับน้ำเสียงที่ฟังน่ากลัว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวมันตามยุ่งกับผมไม่ได้ มันก็เลิกราไปเอง ตอนนี้ผมอยากไปที่ไกลๆ สงบๆ แล้วก็อยู่กับคุณ รินไปกับผมนะครับ”
ริลณีพยักหน้ายิ้มๆ “ถ้ามันทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น ก็ได้ค่ะ”
“คุณพ่อกับคุณแม่มีบ้านพักตากอากาศที่หัวหินอยู่หลังนึง เราไปที่นั่นกันนะครับ รินชอบทะเล
รึเปล่า”
“รินชอบทุกที่ที่มีคุณค่ะ”
เตชินมองหน้าริลณี ก่อนจะยิ้มออกมาได้
“พูดแบบนี้ เราไม่ต้องไปไหนก็ได้น่ะสิครับ”
“ไปเถอะค่ะ ถือว่ารำลึกความหลัง เราไม่ได้ไปทะเลกันนานแล้วนะ”
“ผมจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เราไป ตอนนั้นเรา....”
เตชินทำหน้ากรุ้มกริ่ม ริลณียิ้มเขินๆ
“อย่าพูดเลยค่ะ ตอนนั้น รินรู้สึกผิดมาก”
“แต่ผมคิดว่ามันถูกสำหรับพวกเรานะ เพราะถ้าไม่มีวันนั้น เราก็คงไม่ได้มาอยู่ด้วยกันในวันนี้ ใช่มั้ยครับ”
ทั้งสองจะมองหน้ากัน แล้วเดินกอดคอกันออกไปอย่างมีความสุข
ชัชที่ยืนอยู่ในสวนสาธารณะ เหม่อมองอย่างครุ่นคิดออกไปข้างหน้า ครู่หนึ่งชมพูก็เดินเข้ามา
“พี่ต้องขอโทษน้องชมพูจริงๆ นะครับ ที่ต้องนัดมาที่นี่ ทำให้น้องชมพูต้องเสียเวลา”
“พี่ชัชมีเรื่องสำคัญอะไรเหรอคะ”
สีหน้าของชัชจริงจัง
“เรื่องที่พี่จะพูด อาจทำให้น้องชมพูโกรธมาก แต่พี่สัญญาว่าเรื่องที่พูดนี้เป็นความจริงทุกประการ และที่จำเป็นต้องขอให้น้องชมพูช่วย เพราะไม่รู้จะช่วยไอ้เตยังไงดี มันไม่ยอมฟังพี่แล้ว ….”
ชมพูหน้าเครียด “เรื่องนี้เกี่ยวกับพี่เตชินเหรอคะ”
“ไม่ใช่ครับ เรื่องนี้เกี่ยวกับริลณี”
ชมพูมองชัชหน้าอย่างตกใจและสงสัย “พี่ชัชมีเรื่องอะไรเหรอคะ”
ชมพูเดินนำชัชเข้ามาที่บ้านเด็กกำพร้า ก่อนจะพาไปเจอกับเฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มที่นั่งรออยู่
“นี่เฟื่องฟ้า กับเอทีเอ็ม ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทของริลณีค่ะ”
“นี่ทุกคนคือรู้เรื่องริลณีกันหมดแล้ว ใช่มั้ยครับ”
ทุกคนพยักหน้ารับ ชมพูทำหน้าเครียด
“พวกเราก็เพิ่งรู้ค่ะ แล้วก็ยังไม่มีอะไรมาพิสูจน์”
“ไม่ต้องพิสูจน์แล้วครับ ผมกล้ายืนยันว่าริลณีที่เราเห็นอยู่ทุกวันเป็นผี ไม่ใช่คนปกติแน่ๆ ผมทั้งเห็น ทั้งโดนขู่ จัดเต็มมาแล้วครับ”
เอทีเอ็มที่ได้ฟังถึงกับหน้าเสีย จนเฟื่องฟ้าต้องปลอบใจ
“เอาน่าเอทีเอ็ม ความจริงยังไงก็ต้องเป็นความจริงวันยังค่ำ นายอยากได้ข้อพิสูจน์แล้ว นี่ไงข้อพิสูจน์”
เอทีเอ็มยังไม่อยากจะเชื่อ “แต่ ...”
“ถ้านายยังสงสัย นายก็จะช่วยรินไม่ได้นะ”
ชมพูรีบหันมาบอก เอทีเอ็มพนักหน้าช้าๆ อย่างยอมรับ ก่อนจะหันมองชัชด้วยความสงสัย
“แล้วคุณมาที่นี่ต้องการอะไร”
“ผมต้องการช่วยเตชิน ถึงมันจะรักริลณีมากแค่ไหน แต่ยังไงผีกับคน ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้”
“แล้วคุณบอกเรื่องริน ให้คุณเตชินรู้รึยัง” เฟื่องฟ้าย้อนถาม
“บอกแล้วครับ แต่ไอ้เตมันไม่เชื่อ ถึงขนาดขู่จะชกถ้าผมพูดเรื่องนี้อีก ตอนนี้มันก็โกรธผม จนไม่ยอมพูดกับผมแล้ว”
ชมพูยิ่งเครียดหนัก
“ถ้าพี่ชัชพูดถึงขนาดนั้นแล้ว พี่เตชินยังไม่เชื่อ คนอื่นไปพูดก็คงยากแล้วล่ะค่ะ”
“มันก็น่าจะมีใครสักคนที่พูดแล้วเตชินเชื่อสิ” เอทีเอ็มโพล่งขึ้นมา
“แล้วใครล่ะ ขนาดเพื่อนสนิทที่สุดยังไม่ยอมฟังเลย”
ทุกคนพยายามคิด ก่อนที่เฟื่องฟ้าจะเป็นคนคิดได้
“ฉันว่ามีคนนึง ถ้าคนนี้พูด คุณเตชินต้องเชื่อแน่”
เฟื่องฟ้าพูดอย่างมั่นใจมากที่สุด
บรรยากาศสวยงามริมทะเลสวย เตชินและริลณีเดินจับมือกันเดินไปตามหาดทราย ริลณีมองหน้าเตชินเห็นว่าหน้ายังเครียด เหมือนมีเรื่องครุ่นคิดอยู่
“ยังไม่รู้สึกดีขึ้นอีกเหรอคะ”
“ขอโทษนะครับ ผมนี่แย่จริงๆ ทำไมเลิกคิดเรื่องบ้าๆ นั่นไม่ได้สักที”
ริลณีแกล้งทำเสียงงอนๆ “อุตส่าห์มาเที่ยวด้วยกันแท้ๆ”
“จริงด้วยสิ ผมเลยพลอยทำรินเซ็งไปด้วยเลยขอโทษนะครับ ลองคิดๆ ดู ผมดูแลรินไม่ดีเลย
นะครับ อยู่ด้วยกันตั้งนานไม่เคยพารินมาเที่ยวเลย”
“คุณชวนรินตั้งหลายครั้งแล้ว แต่รินไม่มาเองต่างหาก”
“แต่ผมน่าจะพยายามมากกว่านั้น”
ริลณีจับมือเตชินแนบอก พลางจ้องหน้า แล้วพูดอย่างจริงใจที่สุด
“คุณไม่ต้องพยายามอะไรแล้วค่ะเตชิน แค่นี้คุณคือผู้ชายที่ดีที่สุด ไม่มีผู้ชายคนไหนจะดีเท่าคุณอีกแล้วนะคะ”
เตชินทำหน้าแบบไม่อยากจะเชื่อ “ผมเนี่ยนะ”
“คุณทำตามสัญญาที่เคยบอกกับริน ไม่เคยลืมริน ตามหารินแม้ไม่รู้ว่ารินอยู่ที่ไหน แค่นั้นก็เพียงพอสำหรับรินแล้วค่ะ”
“ก็เราสัญญากันแล้วนี่ครับ เราจะไม่มีวันแยกจากกัน แม้แต่ความตายก็จะมาแยกเรา 2 คนไม่ได้”
ริลณีหน้าเครียด เมื่อคิดถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
“มันก็ไม่แน่หรอกนะคะ เพราะคุณยังไม่เคยรู้ว่า “ความตาย” น่ากลัวขนาดไหน”
“ทำไมรินถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ”
เธอโผเข้ากอดเขาแน่น
“เพราะรินไม่อยากเสียคุณไป รินอยากอยู่กับคุณตลอดไป”
“รินไม่เสียผมไปหรอกครับ เราฝ่าฟันเรื่องยากๆ มาได้หมดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกครับ”
“สัญญานะคะเตชิน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณจะไม่ทิ้งริน”
“รินก็รู้อยู่แล้วว่าผมไม่ทำอย่างนั้น คุณก็รู้นี่ ว่าผมทำตามสัญญาเสมอ”
เตชินพูดด้วยความมั่นใจ โดยไม่เห็นสายตาหวั่นไหวของริลณีที่ซ่อนอยู่ ก่อนที่จะพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“นั่นเพราะคุณยังไม่รู้น่ะสิคะว่ารินเป็นอะไร ถ้าเป็นไปได้ รินอยากหยุดเวลาของเราไว้ตรงนี้”
ริลณีเข้าไปกอดเตชินแน่น อีกฝ่ายกอดตอบ ทั้งคู่เหม่อมองทะเลสวยที่อยู่ตรงหน้าด้วยกันอย่าง
มีความสุขที่สุด
เตชินเดินตามถ่ายรูปริลณีตามมุมสวยๆ คนที่เดินผ่านไปมาแอบมองแบบแปลกๆ แต่เขาไม่รู้ตัว
ริลณีนั่งเป็นแบบให้เตชินวาดรูปอย่างสวยงาม ก่อนที่เขาจะนอนหลับหนุนตักเธอ ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่
ทั้งคู่เดินเลียบชายหาดอย่างมีความสุข ริลณีจะวิ่งหนีขึ้นฝั่ง แต่กลับถูกเตชินวิ่งไปอุ้มพาลงไปในทะเล จนเปียกปอนทั้งคู่
เตชินและริลณีที่ต่างก็เปียกปอน วิ่งเข้ามาที่บ้านพัก
“รินไปอาบน้ำก่อนนะครับ ดูสิเหนียวหมดเลยเนี่ย”
“ก็รินบอกว่าไม่เล่นๆ ก็ไม่ยอมฟัง”
“เล่นแล้วสนุกมั้ยล่ะ”
ริลณียิ้มอายๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องไปอาบน้ำเตชินมองตามยิ้มๆ ก่อนจะหันมาเก็บของวางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบกล้องที่ถ่ายรูปขึ้นมาดู
ที่หน้าจอ เห็นว่ารูปที่เตชินถ่ายริลณีทุกรูป เบลอเฉพาะตรงหน้าไปหมด
“หรือกล้องจะเสีย?”
แต่เมื่อเตชินกดไปถึงรูปที่ริลณีถ่ายเขา ภาพกลับชัดเจนเป็นปกติ จนมาถึงภาพสุดท้ายที่เขาขอให้คนช่วยถ่ายรูปคู่ให้ รูปนั้นกลายเป็นโฟกัสที่เตชินอยู่ตรงกลางคนเดียว ลักษณะเหมือนภาพถ่ายเดี่ยว
เตชินยิ่งแปลกใจ ถือกล้องเดินเข้าไปจะให้ริลณีดู
“รินๆ มาดูนี่สิ”
เขาเปิดประตูพรวดพราดเข้าไปในห้องพักขณะที่ริลณีกำลังถอดเสื้ออยู่ ก่อนจะมองผิวของเธอที่ดูน่าเกลียดเหมือนผิวเน่าอย่างอึ้งๆ
ริลณีรีบปิดเสื้อลง “คุณเข้ามาทำไมคะ รินยังเปลี่ยนชุดไม่เสร็จเลย”
เตชินรีบก้มหน้าไม่กล้ามอง “ผมขอโทษ”
พูดพลางก็รีบเดินออกจากห้องไป ริลณีรีบตามมาปิดประตู
เตชินออกมาหน้าห้อง พยายามนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเห็นเมื่อครู่
“สงสัยจะตาฝาด”
ขณะที่เตชินเดินออกมาจากบ้านพัก ได้ยินเสียงหมาหอนดังรับไปทั่ว เขามองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกวังเวงๆ น่ากลัวแปลกๆ มาเจอลุงปั้น ป้าอิ่ม ที่มาคอยดูแลรับใช้
“น้ำไฟ ห้องพักเรียบร้อยนะครับ ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าคุณเตชินจะมาจะได้เตรียมจัดบ้านให้เรียบร้อยกว่านี้ แม่อิ่มเค้าก็อยากจะโชว์ฝีมือทำอาหารด้วย”
“แค่นี้ก็โอเคแล้วครับ เรื่องอาหารป้าอิ่มไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมจัดการได้”
เสียงหมายังหอนโหยหวนดังต่อเนื่อง ฟังดูน่ากลัวโหยหวน
“หมาแถวนี้หอนเก่งนะครับ หอนไม่หยุดเลย”
“ทุกทีมันก็ไม่เคยหอนนะครับ แต่วันนี้หอนมากจนผิดปกติอย่างกับเห็นผี”
“ไม่ใช่หรอกครับลุง หมามันหอนเพราะได้ยินคลื่นความถี่สูง หรือเสียงอะไรก็ได้ที่มันรำคาญ มันก็เลยหอน ไม่เกี่ยวกับผีอะไรทั้งนั้นแหละครับ”
ลุงปั้น และป้าอิ่ม มองหน้ากัน ไม่ได้คิดอย่างที่เตชินคิด
“แต่ถ้าคุณเตชินกลัวไม่อยากนอนคนเดียว ก็บอกป้าได้นะคะ เดี๋ยวป้าไอ้ให้แดงมันมานอนเป็นเพื่อนก็ได้”
เตชินได้ฟังก็ยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่
“ผมไม่ได้มาคนเดียวครับป้า ผมมากับแฟน ลุงกับป้าไม่ต้องเป็นห่วงผมกับแฟนนะครับ ผมโอเค”
พอเตชินเดินออกไป ลุงปั้นกับป้าอิ่มก็หันมามองหน้ากันงงๆ
“มากัน 2 คน แต่ฉันเห็นคนเตชินอยู่คนเดียวทั้งวันนี่”
“นั่นน่ะสิ ตอนที่อยู่ชายหาด ถ่ายรูปก็เห็นอยู่คนเดียวนี่” ลุงปั้นทำหน้าสงสัย “หรือว่าแฟนคถุณเตชินเค้าจะตามมาทีหลัง”
“ไม่เห็นรถขับเข้ามา รถรับจ้างสักคันก็ยังไม่มี แล้วจะมาได้ยังไง”
ป้าอิ่มพูดพลางหันไปมองที่บ้าน ก็เห็นริลณียืนหน้าถมึงทึงในความมืดจ้องอยู่
“มีคนมากับคุณเตชินจริงๆด้วย”
เมื่อแสงจันทร์ ส่องบางๆ เข้ามาจับจ้อง ก็เห็นเป็นริลณีในร่างผียืนจ้องด้วยแววตาน่ากลัว ป้าอิ่มกับลุงปั้นตกใจ รีบร้องโวยวายวิ่งหนีไปทันที
เสียงร้องโวยวายของลุงปั้นกับป้าอิ่มดังอยู่ไม่ไกล เตชินที่กำลังหยิบของจากในรถหันไปมองตามเสียงอย่างแปลกใจ
“ลุงกับป้า เค้าเป็นอะไรของเค้า”
เตชินค้นของในรถ ก่อนจะหยิบกล่องเล็กๆ ออกมา พอเปิดดู ก็พบว่าเป็นแหวนเพชรวงสวย เขามองยิ้มๆ จังหวะนั้นเสียงมือถือก็ดังแทรกความเงียบเข้ามา เขารีบหยิบขึ้นมากดรับ
“สวัสดีครับคุณพ่อ คุณแม่อยากให้ผมเข้าไปพบพรุ่งนี้ พาริลณีไปด้วย มีเรื่องอะไรเหรอครับ ได้ครับ ไม่มีปัญหา พอดีตอนนี้ผมกับรินมาเที่ยวกัน ไว้พรุ่งนี้ผมกลับ จะรีบเข้าไปหานะครับ แล้วเจอกันครับ”
เตชินวางโทรศัพท์นึกแปลกใจนิดๆ แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก ขณะที่เอาแหวนซ่อนในกระเป๋า แล้วรีบเดินเข้าบ้านไปหาริลณีทันที
ท้องฟ้าสวยงามยามค่ำคืน เตชินกุมมือริลณีแนบแน่น นั่งดูท้องฟ้าอยู่ด้วยกันที่ริมหาด บรรยากาศสวยดูโรแมนติก สงบ
เขาจับมือของเธอที่สวมแหวนที่เขาให้อยู่ พลางพยายามจะถอดแหวนวงนั้นออก แต่เธอรีบห้าม
“อย่านะคะ แหวนวงนี้เป็นแหวนที่มีค่ามากสำหรับริน”
“แต่แหวนมันเก่าแล้วนะครับ ผมเห็นรินใส่มาตั้งนานแล้ว”
ริลณีดึงมือไม่ยอมให้เตชินเอาออก
“เพราะมันเป็นแหวนสำคัญ ที่คนสำคัญของรินให้ไว้ รินไม่ยอมให้ใครถอดออกหรอกค่ะ”
“ถ้ารินไม่ถอดวงนั้นแล้ว จะใส่อีกวงได้ยังไงครับ”
ริลณีทำหน้างง เตชินจับมือข้างที่มีแหวนของเธอขึ้นมา ถอดแหวนวงเก่าออก เอาแหวนนั้นไปใส่ที่นิ้วนางด้านขวาแทน
“ผมก็ไม่ได้จะถอดทิ้งนี่ครับ แค่ขอนิ้วนางข้างซ้ายของรินไว้ใส่แหวนแต่งงานของผม ก็เท่านั้นเอง”
เตชินจับมือซ้ายของริลณีขึ้นมา แล้วหยิบแหวนเพชรที่แอบซ่อนไว้มาสวมให้
“ผมอยากจะทำให้รินมั่นใจว่า เรา 2 คนจะไม่มีวันจากกันไปไหน รินจะได้ไม่ต้องกลัวว่าผมจะทิ้งรินไป ถ้าเราแต่งงานกัน เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไปไงครับ”
ริลณีอึ้งจนพูดไม่ออก ตื้นตันจนน้ำตาปริ่ม
“จริงๆ ผมเตรียมแหวนนี้ไว้ให้รินตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสให้จริงๆ จังๆ สักที แต่งงานกับผม
นะครับริน พรุ่งนี้เรา 2 คนต้องเข้าไปพบคุณพ่อ คุณแม่ ก็จะได้เข้าไปดูแลท่านในฐานะสะใภ้ได้เต็มที่ด้วย ถ้าริน
ตกลง เราจะได้บอกท่านเลย”
“แล้วไม่รอให้คุณแม่ของคุณหายก่อนเหรอคะ”
เตชินส่ายหน้าช้าๆ
“ตอนแรกผมก็ว่าจะรอ แต่ตอนนี้ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว คุณแม่ท่านก็คงเข้าใจ แล้วริน...”
ริลณีแอบรู้สึกกลัวลึกๆ
“คุณแน่ใจจริงๆ เหรอคะ ว่าอยากแต่งงานกับรินจริงๆ”
“ผมน่ะแน่ใจ แต่รินน่ะสิครับ ยังไม่บอกให้ผมรู้เลยว่าจะแต่ง หรือไม่แต่ง อย่าให้ผมขอแต่งงานเก้อนะครับ”
ริลณีจ้องหนาเตชินด้วยแววตาหวานซึ้งปนขำ “คุณก็รู้คำตอบของรินอยู่แล้ว”
“แต่ผมอยากได้ยินจากปากของรินนะครับ เพื่อความแน่ใจ”
“ถ้าไม่แต่งกับคุณ รินคงแต่งกับใครไม่ได้อีกแล้ว เพราะคุณคือเหตุผลเดียวที่ทำให้รินยังอยู่ตรงนี้ได้”
ทั้งคู่โผเข้าสวมกอดกันอย่างมีความสุข ท่ามกลางบรรยากาศที่โรแมนติกและเสียงหมาหอนอย่างโหยหวน
รถของเตชินแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ก่อนที่เขากับริลณีลงมาจากรถ มองเข้าไปในบ้านด้วยหน้าตายิ้มแย้มมีความสุข
“มีแต่ของฝากที่คุณพ่อคุณแม่ชอบทั้งเลย ท่านต้องดีใจมากแน่ๆ”
ริลณียังไม่วายสงสัย
“แต่คุณแม่คุณจะไม่เป็นอะไรแน่นะคะ ถ้าเจอริน”
“คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง ก็ท่านอยากเจอรินเองนี่”
ริลณียิ่งแปลกใจหนัก “อยากเจอริน ?”
“ครับ รีบเข้าไปกันเถอะครับ คุณแม่รออยู่”
เตชินรีบจูงมือริลณีจะพาเดินเข้าไปในบ้าน แต่ทันทีที่เธอกำลังจะเดินผ่านประตู ก็มีแสงสีทองส่องประกายมากั้นไว้ไม่ให้เข้าไปในบ้าน
เตชินที่เดินเข้าบ้านไปแล้ว หันมามองริลณี ที่ยืนนิ่งไม่ยอมเข้ามาในบ้านด้วยความแปลกใจ
“มีอะไรเหรอครับริน ทำไมถึงไม่เข้ามาล่ะครับ”
ริลณีพยายามที่จะเดินเข้าไปในบ้านอีกครั้ง แต่แสงสีทองก็ยังกั้นขวางไม่ให้เข้าไปในบ้าน จนเธอเริ่มงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“รินยังกลัวคุณแม่อยู่รึเปล่าครับ ถึงยังไม่กล้าเข้าไป”
“ไม่ใช่นะคะ ทำไมอยู่ๆ รินถึงเข้าไปในบ้านก็ไม่ได้ไม่รู้ หรือว่ามีคนไม่อนุญาตให้รินเข้ามาในบ้านหลังนี้”
อีกด้านหนึ่ง ชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม และชัช แอบมองทั้งคู่อยู่
“รินเข้าบ้านมาไม่ได้จริงๆ ด้วย ต้องเป็นเพราะยันต์กันผีของพี่ชัชแน่ๆ”
ชมพูพูดขึ้นมา พร้อมกับที่เฟื่องฟ้าหันมาบอกกับเอทีเอ็ม
“คราวนี้ชัดรึยังเอทีเอ็ม คนที่เดินผ่านประตูบ้านเข้ามาไม่ได้ มีแต่ผีเท่านั้น”
เอทีเอ็มหน้าเครียดรู้สึกสงสารริลณีจับใจ ชัชต้องรีบปราม
“เราอย่าไปย้ำให้คุณเอทีเอ็มเสียใจเลยครับ จริงๆ ผมก็ไม่อยากทำอย่างนี้ แต่คราวนี้มันจำเป็นจริงๆ”
“แล้วรินจะไม่โกรธพวกเราเหรอคะ” ชมพูถามย้ำ
“เค้าไม่รู้หรอกครับว่าใครเป็นคนทำ ตราบใดที่เราอยู่ในบ้านหลังนี้ ภายใต้ยันต์ผืนนั้น”
เอทีเอ็มหน้าเศร้า “น่าสงสารริน”
“ฉันก็สงสารริน แต่ตอนนี้เราต้องช่วยคุณเตชินก่อนเข้าใจมั้ย”
เฟื่องฟ้าหันมาย้ำ เอทีเอ็มพยักหน้าเข้าใจ ชมพูเข้ามาช่วยพูดปลอบ
“มั่นใจเถอะนะเอทีเอ็ม ว่าเรากำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดให้ริน”
เตชินมองริลณีที่ยังยืนอยู่นอกบ้านแบบงงๆ
“ไม่มีใครไม่อนุญาตให้รินเข้ามาในบ้านนี้หรอกครับ ทุกคนเต็มใจต้อนรับรินทั้งนั้น”
เมื่อได้ยินคำอนุญาตจากเตชิน ริลณีพยายามจะเดินเข้าไปในบ้านอีกครั้ง แต่แสงสีทองก็ยังมากั้นขวางไม่ให้เข้า จนเธอเริ่มโกรธ
“เตชินก็อนุญาตแล้ว ทำไมฉันถึงเข้าไปไม่ได้ มีคนพยายามขวางไม่ให้ฉันเข้าไปจริงๆ”
ริลณีมองเข้าไปในบ้านด้วยความแค้น แต่ทำอะไรไม่ได้
“คุณเข้าไปก่อนเถอะค่ะ รินลืมขนมที่ซื้อฝากคุณแม่อีกถุง เดี๋ยวรินไปเอาที่รถก่อนนะคะ”
พูดพลางรีบเดินออกไปจากหน้าประตู เตชินมองตามด้วยความรู้สึกแปลกใจในท่าทีของริลณี
เตชินเดินเข้ามาในห้อง เห็นจิตราที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ โดยมีชัช ชมพู เฟื่องฟ้า และเอทีเอ็มนั่งกันพร้อมหน้า
“ทำไมทุกคนมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้ครับ ไอ้ชัช แกมาทำไม”
เตชินทำท่าจะปราดเข้ามาเอาเรื่อง แต่ชมพูรีบเข้าไปขวางไว้
“ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ ที่พวกเรามาที่นี่ เพราะคุณป้ามีเรื่องสำคัญอยากจะพูดกับพี่เตชิน”
“นี่แสดงว่าคุณแม่พี่พูดได้แล้วเหรอ”
ชมพูพยักหน้ายิ้มๆ เตชินรีบเข้าไปกอดแม่ด้วยความดีใจ
“คุณแม่พูดได้แล้วใช่มั้ยครับ ผมดีใจมากจริงๆ”
“คุณป้ายังพูดประโยคยาวๆไม่ได้ค่ะ พูดได้แต่ประโยคสั้นๆ คุณป้าพยายามฝึกพูดทุกวัน เพราะต้องการพูดบางอย่างกับพี่เตชินให้ได้นะคะ”
เตชินมองแม่อย่างสงสัย “คุณแม่มีอะไรอยากพูดกับผมเหรอครับ”
จิตราค่อยๆ ยก 2 มืออย่างยากลำบาก ขึ้นมาจับมือลูกชายเอาไว้ พร้อมกับมองจ้องหน้า พยายามพูดช้าๆ
“ระ ริน ละ นี ปะ ปะ เปะ เป็น”
เตชินทำหน้าแปลกใจ “เป็น ริลณีเป็น รินเป็นอะไรเหรอครับ”
จิตราพยายามพูดคำนั้นออกมาอย่างยากลำบาก “ผี”
เตชินพูดตาม ก่อนจะทวนคำอย่างตกใจ “ริลณีเป็นผี”
เขามองหน้าแม่ และทุกคนในห้องอย่างอึ้งๆ
ริลณีหันขวับเข้าไปมองในบ้านด้วยความรู้สึกสังหรณ์ และร้อนรนใจ พยายามจะเข้าไปในบ้านให้ได้ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงแสงสีทองก็ผลักไม่ให้เข้าไป
“พวกแกคิดจะทำอะไร ทำไมถึงให้ฉันเข้าไปในนั้นไม่ได้ ถ้าแกไม่ให้ฉันเข้าไป ฉันก็จะเอาแตชินกลับไปกับฉันให้ได้”
ริลณีหลับตา พร้อมกับส่งกระแสจิตออกไป
เสียงมือถือของเตชินดังขึ้นมา เมื่อเห็นว่าริลณีเป็นคนโทร.เข้ามา เขาก็ทำท่าจะกดรับ แต่กลับถูกชัชห้ามไว้
“อย่ารับไอ้เต ตั้งใจฟังที่คุณหญิงแม่แกพูด”
เตชินรู้สึกสับสน ไล่สายตามองหน้าทุกคนที่อยู่ในห้องอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“นี่ทุกคนพยายามทำอะไร ทำไมต้องหลอกให้แม่ผมพูดอะไรแบบนั้นด้วย”
“พวกเราไม่ได้หลอกนะคะ คุณเตชิน เรื่องที่คุณหญิงพูดเป็นเรื่องจริง คุณหญิงต้องการจะบอกเรื่องนี้กับคุณเตชินมานานแล้ว
เฟื่องฟ้ารีบบอก จิตราพยายามพูดให้ชัดที่สุด
“ริลณีเป็นผี...ริลณีเป็นผี...ริลณีเป็นผี”
เตชินยิ่งโกรธ
“ริลณีไม่ได้เป็นผีครับคุณแม่ เค้าเป็นเมียผม แล้วเรา 2 คนกำลังจะแต่งงานกัน”
จิตรายังย้ำ “ริลณีเป็นผี”
“ริลณีไม่ใช่ผี ผมไม่เชื่อ”
ผู้เป็นแม่ค่อยๆ เอามือจับลูกชายไว้ ก่อนจะพูดอย่างจริงจังมากที่สุด
“ฟะ...ฟังแม่...ริลณีเป็นผีจริงๆ”
เตชินยิ่งโกรธ เดินเข้าไปเอาเรื่องชัช
“แกใช่มั้ย แกเป็นคนเอาความคิดบ้าๆ นี่มาใส่หัวแม่ฉันใช่มั้ย”
ชัชรีบปฏิเสธ
“ไม่ใช่นะเว้ยไอ้เต ริลณีเป็นผีจริงๆ ทุกคนในห้องนี้เค้ารู้กันทั้งนั้นว่าริลณีตายแล้ว”
เตชินอึ้ง หันไปมองทุกคนในห้อง ที่ล้วนแต่เป็นเพื่อนและคนที่รักริลณีทั้งสิ้น เอทีเอ็มตัดสินใจลุกเดินมาหา
“ผมก็ไม่อยากเชื่อเหมือนคุณ ไม่ว่าผมจะพยายามหักล้างความคิดนี้ยังไง แต่สุดท้ายผมก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่า รินที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ริลณี ที่เป็นเพื่อนของเราเมื่อ 2 ปีก่อน รินตายไปแล้วจริงๆ”
เฟื่องฟ้าช่วยยืนยัน
“พวกเราทุกคนในที่นี้ก็รักรินไม่ต่างจากคุณ แล้วพวกเราจะมาโกหกคุณเรื่องนี้ทำไมคะ”
“ถ้าแกไม่เชื่อพวกเรา ก็ขอให้เชื่อแม่ของแกสิวะ ไอ้เต แม่แกไม่มีวันหลอกแกอยู่แล้ว”
เตชินทรุดลงที่พื้น ยังไม่อยากยอมรับความจริง
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้”
ชัชรีบทรุดตัวนั่งข้างๆ
“วันนั้นที่ฉันบอกแก ฉันไม่มีหลักฐาน แต่วันนี้ฉันมีแล้วไอ้เต แกไม่สงสัยเลยเหรอวะ ว่าทำไมรินถึงเข้ามาในบ้านไม่ได้”
เตชินเงยหน้ามองอย่างสงสัย
“เพราะว่าพวกเราปิดยันต์ไว้หน้าบ้าน ยันต์ที่ไม่ว่าผีตนไหนก็เข้าบ้านไม่ได้ หรือถ้ายังไม่เชื่ออีก คืนนี้ตอนตีสาม แกลองสังเกตดูว่ารินหายไปไหน ลองตามเค้าไป แล้วแกจะได้คำตอบ”
ชมพูมองเตชินอย่างเป็นห่วง
“พี่เตชินคะ ที่พวกเราทำอย่างนี้เพราะเป็นห่วงพี่เตชิน แล้วอีกอย่างถ้าวิญญาณของรินยังผูกติดกับพี่เตชินแบบนี้ รินก็จะไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิด ต้องทรมานอยู่บนโลกนี้นะคะ”
เตชินเงยหน้ามองทุกคนที่อยู่ในห้อง พลางส่ายหน้าไม่อยากเชื่อ รีบลุกขึ้น แล้วเดินออกไปจากห้อง ชมพูจะวิ่งตามไป แต่กลับถูกชัชจับไว้
“ปล่อยมันไปน้องชมพู ต้องให้เวลามันคิด เรื่องแบบนี้ มันยากที่จะรับได้จริงๆ”
เมื่อเตชินเดินลงมาข้างล่าง เห็นว่าริลณียังยืนรออยู่นอกบ้านท่าทางดูกระวนกระวาย พอมองไปที่หน้าประตูบ้าน ก็เห็นว่ามียันต์ติดอยู่จริงๆ
เขาพยายามทำหน้าให้เหมือนปกติ ริลณีหันมาเห็นก็ยิ้มดีใจ จะเดินเข้าไปหาในบ้าน แต่ก็ต้องชะงัก เพราะเข้าไม่ได้
“รินไปเอาขนมมาครบรึยัง คุณแม่รอของฝากจากคุณอยู่ ท่านบอกว่าอยากพบรินมาก ให้ผมมาตามรินไปพบท่านเร็วๆ”
ริลณีหน้าเจื่อน
“รินคงไปพบท่านไม่ไหวแล้วค่ะ รินรู้สึกไม่ค่อยสบาย เรากลับบ้านกันเถอะนะคะ”
“รินเข้ามาพักในที่นี่ก่อนก็ได้ ที่นี่ก็บ้านรินเหมือนกัน”
ขณะที่พูด เตชินก็แอบสังเกตว่าริลณีไม่ยอมเข้ามาในเขตบ้านสักนิด
“แต่รินอยากกลับบ้านของเราน่ะค่ะ”
“ผมขับรถมาไกล ขอผมพักที่นี่สักแป๊บนึงนะ รินเองก็จะได้พักให้หายเหนื่อยด้วย”
เตชินเดินไปจับมือริลณีพยายามจะพาเดินเข้ามาในบ้าน แต่เธอกลับรีบสะบัดมือเขาออกอย่างแรง
“ไม่ค่ะ”
เตชินชะงักหันไปมองริลณีด้วยความแปลกใจ
“รินอยากกลับบ้าน ถ้าคุณยังไม่อยากกลับ รินจะไปรอในรถนะคะ”
พูดจบก็เดินออกไปทันที เตชินได้แต่ยืนอึ้งมองตามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ทุกคนมองจากระเบียงชั้นบน เห็นริลณีเดินไปที่รถหยุดและหันขึ้นมามองเขม็งตรงที่ทุกคนยืนอยู่ด้วยความแค้น ก่อนจะเดินขึ้นรถไป สักพักเตชินก็ตามออกไปขึ้นรถ และขับออกไป
ชมพูเข็นรถเข็นของจิตราเข้ามาสมทบ ทั้งหมดมองรถเตชินที่แล่นออกไปด้วยความเป็นห่วง
“ในที่สุดคุณเตชินก็เลือกจะตามริลณีกลับไป แสดงว่าเค้าไม่เชื่อเรา”
เฟื่องฟ้าหน้าเครียด ชัชรีบพูดค้าน
“ไม่ใช่ว่าเค้าไม่เชื่อ เค้าแค่ยังรับไม่ได้ต่างหาก ต้องให้เวลาเค้าบ้าง รินเป็นคนที่เตชินมันรัก อยู่ดีๆ จะให้เชื่อว่าเป็นผี มันก็ยากอยู่”
“แล้วพี่เตชินจะเป็นอะไรมั้ย” ชมพูไม่วายกังวล
“เค้าไม่เป็นอะไรหรอก อย่างน้อยรินก็รักเค้า รินไม่มีวันทำอันตรายเตชินแน่” เอทีเอ็มหันมาบอก
“ก็มีแต่พวกเรานี่แหละที่น่าเป็นห่วง ถ้าริลณีรู้ว่าพวกเราพยายามจะบอกความลับของเธอกับ
เตชิน ริลณีต้องตามมาเอาเรื่องเราแน่”
ชัชโพล่งขึ้นมา ทำเอาทุกคนหันมองหน้ากัน ด้วยความรู้สึกสยอง
เตชินขับรถหน้าเครียด ครุ่นคิดในสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้มาก่อนหน้าด้วยความรู้สึกสับสนที่สุด เขาเหลือบมองริลณีที่นั่งหันหน้ามองออกไปนอกกระจก ด้วยความหวั่นใจนิดๆ นึกไปถึงภาพถ่ายที่ทะเล ที่รูปถ่ายของริลณีทุกรูปเบลอเฉพาะตรงหน้าไปหมด มาจนถึงตอนที่เปิดประตูพรวดพราดเข้าไปในห้องพัก เห็นว่าริลณีกำลังถอดเสื้ออยู่ เผยให้เห็นผิวที่ดูน่าเกลียด
พลันเสียงริลณีก็ดังเข้ามา ดึงเขาออกจากความคิด
“เป็นอะไรรึเปล่าคะเตชิน”
เตชินสะดุ้งเฮือก หันไปมองที่มือของตัวเองที่จับเกียร์อยู่ มีมือของริลณีมากุมเอาไว้ เขาเงยหน้ามองเธอด้วยความรู้สึกผิด กลัว และสับสน ทุกอย่างประดังประเดเข้ามาในหัว
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ ท่าทางคุณดูแปลกๆ หรือยังโกรธรินอยู่”
“ก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรหรอกครับ”
อยู่ดีๆ มือเตชินก็สั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ริลณีมองอย่างสงสัย
“ทำไมมือคุณสั่นจังเลยค่ะ”
“ก็มือรินน่ะเย้น เย็น”
“มือรินก็เย็นแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้วนี่คะ ไม่เห็นคุณเคยมือสั่น”
“แต่วันนี้เย็นมากกว่าปกติ สงสัยวันนี้แอร์คงจะหนาว ปรับลงหน่อยแล้วกันเนอะ”
เตชินรีบเอามือออกจากมือของริลณีที่จับไว้ไปหรี่แอร์ ก่อนจะเอามือนั้นมาจับที่พวงมาลัยขับรถต่อไป เหมือนไม่มีอะไร แต่แอบครุ่นคิดที่จะพิสูจน์อะไรบางอย่าง
รถเตชินเลี้ยวเข้ามาจอดตรงบริเวณหน้าโบสถ์ในวัดที่หลวงพ่อพระอาจารย์คงอยู่
ริลณีนั่งอยู่ในรถ มองไปยังโบสถ์ตรงหน้าเห็นประกายแสงสีทองออกมาจากพระประธานองค์ใหญ่ ทำให้เธอรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา เพราะกลัวพลังบารมีที่สูงส่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พลางหันมองเตชินด้วยความตกใจ
“อยู่ดีๆ ขับรถเข้ามาจอดในวัดทำไมเหรอคะ”
“ผมอยากจะปรึกษาพระอาจารย์คงเรื่องทำบุญบ้าน แล้วก็เอาพระเข้าบ้านสักที รินคิดว่าไงครับ”
เตชินถาม พร้อมกับลอบสังเกตอาการริลณีที่ต้องเข้ามาอยู่ในวัด เห็นว่าอีกฝ่ายมีอาการหลุกหลิกเล็กน้อย
“ปกติคุณไม่เชื่อเรื่องอะไรแบบนี้นี่คะ”
“ผมคิดว่าบ้านเราควรจะมีสิ่งที่เป็นสิริมงคลคอยคุ้มครองบ้างก็เท่านั้นเอง”
ริลณีหันมองหน้าเขา แอบเจ็บปวดลึกๆ “คุ้มครองจากอะไรเหรอคะ”
“เอ่อ ก็ภูต ผี ปิศาจ และ สิ่งไม่ดีทั้งหลาย”
“ทำไมคนถึงชอบคิดว่าภูต ผี ปิศาจ เป็นสิ่งไม่ดีละคะ รินว่าคนเลวๆ แย่กว่าพวกผี ปิศาจเหล่านั้น เป็นไหนๆ ใครบอกให้คุณทำแบบนี้คะ”
“ก็ไม่มีใครบอกนี่ครับ ผมแค่คิดว่าน่าจะทำเอง”
“รินไม่เชื่อหรอกค่ะ ต้องมีคนบอกให้คุณทำ ไม่งั้นคุณไม่คิดทำแบบนี้หรอก”
“ทำไมรินต้องทำท่าเหมือนไม่พอใจด้วย แค่ทำบุญบ้านกับเอาพระเข้าบ้านเอง”
ริลณีอึ้ง ชะงัก กลัวที่จะแสดงพิรุธออกมา
“รินมีสิทธิ์ไม่พอใจด้วยเหรอคะ คุณอยากทำอะไรก็ทำเถอะค่ะ รินไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
พูดเสร็จหันไปมองนอกรถ ด้วยสายตาหวาดกลัวที่ต้องซ่อนไว้
“งั้นเราเข้าไปคุยกับหลวงพ่อกัน ท่านน่าจะอยู่ในโบสถ์”
พอได้ยินคำว่าโบสถ์ ริลณีก็ตัวสั่น กลัว หวั่นใจ ก่อนจะหันหน้ามองไปข้างนอกหน้าต่าง พยายามคิดว่าจะเอายังไงดี
เตชินแอบสังเกตอาการของริลณี เห็นเธอตัวสั่น เหงื่อออกเต็มหน้า
“รินเป็นอะไรรึเปล่าครับ ท่าทางดูไม่ดีเลย”
“ก็รินบอกแล้วไงคะ ว่ารินไม่ค่อยสบาย”
เตชินรู้สึกผิดขึ้นมาทันที “จริงด้วยสิ งั้นผมมาคุยกับท่านวันหลังก็ได้ครับ”
ริลณีแอบยิ้มดีใจ
“ผมอาจจะใจร้อนเกินไป ผมคงต้องคิดอีกสักหน่อย เพราะผมยังไม่ได้ทำห้องพระเลย จะเอาท่านไปอยู่ก็น่าจะต้องทำห้องให้ดี สมเป็นบ้านสถาปนิกหน่อย รินว่ามั้ยครับ”
“ค่ะ รินเห็นด้วยที่สุดเลยค่ะ เราต้องคิดให้รอบคอบก่อน”
“งั้นเรากลับกันเถอะเนอะ รินจะได้ไปพักผ่อน”
เตชินขับออกไปจากวัด พลางแอบหันไปมองริลณีที่มองไปทางโบสถ์ แล้วถอนหายใจโล่งอกเบาๆเขาครุ่นคิดกับตัวเองในใจ
“บางทีรินอาจจะแค่ไม่สบาย อยากกลับบ้านไปพักผ่อนจริงๆ ก็ได้”
ด้าน เอกราชมองหน้าประวิทย์ ตุลเทพ ปริมลดา หน้าเครียด ก่อนจะโพล่งออกมา
“พวกเราต้องไปขุดกระดูกนังผีนั่นขึ้นมา แล้วเอาไปเผาส่งวิญญานไปลงนรก มันจะได้ไม่ตามมายุ่งกับเราอีก”
ประวิทย์รีบถามย้ำ “ที่เค้าเรียกว่า วิธีปลดปล่อยวิญญาณใช่มั้ย”
ตุลเทพส่ายหน้ายิก
“ใครจะไปทำก็ทำเถอะ ฉันขอบายว่ะ แค่เห็นนังผีนั่นมันฆ่า 2 คนนั้น ฉันก็ไม่ไหวแล้ว”
“ฉันก็ไม่เอาเหมือนกัน แค่คิดว่านังผีนั่นมันยังอยู่ที่บ้านคุณเตชินก็ขนลุกแล้ว”
ปริมลดาทำท่าขนลุก เอกราชหันไปมองเขม่น
“ก็เห็นแต่ก่อนเธออยากไปบ้านนั้นมากไม่ใช่เหรอ ไปขุดกระดูกนังริลณีอีกทีจะเป็นไร”
ปริมลดาพูดอย่างเด็ดขาด “ยังไงฉันก็ไม่ไป”
“งั้นระวังว่าเธอจะเป็นรายต่อไป เธอชอบไปยุ่งกับผัวมันอยู่ด้วย มันตามเอาคืนเธอแน่”
เอกราชพูดขู่ แล้วก็หัวเราะสะใจ ตุลเทพกับประวิทย์พลอยหัวเราะตาม ปริมลดาเริ่มโกรธ
“หยุดพูดแบบนี้นะ ไม่เห็นจะตลกเลย ระวังชมพูคนดีของนายไว้เถอะ เห็นช่วงนี้ดูเหมือนจะกลับไปสนิทสนมกับเตชินอีก น่าจะโดนผีนังริลณีหักคอเป็นคนแรก”
ปริมลดาเย้ยกลับ เอกราชโมโหจะเข้าไปเอาเรื่อง แต่ประวิทย์รีบห้ามไว้
“นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาทะเลาะกันนะ เราต้องช่วยกันคิดหาทางแก้สิ”
“ก็คิดหาทางแก้มาให้แล้ว แต่ไม่มีใครยอมทำ อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันไปคนเดียว”
ประวิทย์รีบอาสาอย่างเต็มใจ พร้อมมองเอกราชตาหวาน มีความหมาย
“ฉันไปเป็นเพื่อนนายเอง ฉันไม่ให้นายไปคนเดียวแน่”
เอกราชหันมามองประวิทย์อย่างซึ้งใจ ตุลเทพและปริมลดาเหลือบมองท่าทางประวิทย์ที่มอง
เอกราชแล้วก็รู้สึกสะดุดใจนิดๆ แต่เอกราชไม่รู้ กลับตบบ่าประวิทย์อย่างพอใจ
“มันต้องอย่างนี้สิ ถึงจะเป็นเพื่อนแท้ งั้นไอ้พวกขี้ขลาด 2 คนไปเตรียมหาวัดที่จะเผากระดูก
เราต้องเผาทันทีหลังจากที่ได้กระดูกมา”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ฉันมีสัปเหร่อซี้ๆ หลายคน ให้เงินค่าเหล้าสักพันสองพัน พวกมันก็ไม่ถามแล้ว”
“แล้วนายจะไปขุดเมื่อไหร่”
ประวิทย์ถามย้ำ เอกราชมองหน้าทุกคนก่อนจะประกาศอย่างมั่นใจ
“คืนนี้”
นาฬิกาบอกเวลาใกล้ๆ จะตีสามแล้ว เตชินที่นอนหันหลังให้ริลณี ลืมตาจ้องนาฬิกาที่ค่อยๆ เดิน
ผ่านไปทีละวินาที ด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะค่อยๆ แอบหันไปมองร่างที่นอนหลับนิ่งบนเตียงอยู่ข้างกัน เห็นว่าเธอยังนอนหลับตานิ่งดูปกติ เหมือนเดิมทุกวัน
แต่อยู่ดีๆ ริลณีก็ลืมตาโพลงขึ้นมา ด้วยแววตาผีที่ดูทั้งโกรธ และน่ากลัว
เตชินรีบหันกลับทำเป็นนอนหลับเหมือนเดิม ริลณีลุกขึ้นนั่งเหลือบหันมามอง เขาแอบลุ้นว่าเธอจะรู้ตัวรึเปล่าว่าเขากำลังสงสัย
ริลณีชะโงกหน้ามามองเตชินใกล้ๆ แล้วเอื้อมไปหยิบผ้าห่มมาห่ม ก่อนจะลุกเดินออกจากห้องไป
เตชินมองนาฬิกาเห็นว่ายังไม่ตีสามก็แปลกใจ
“ยังไม่ตีสามแล้วรินออกไปไหน”
เตชินครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นตามไปทันที
เตชินเดินออกมาที่ระเบียง พยายามมองหา แต่ก็ไม่เห็นริลณีแล้ว ในขณะที่เขากำลังจะเดินกลับเข้าบ้าน อยู่ดีๆ เสียงเพลงไทยเดิมก็ดังมาตามสายลม พร้อมเสียงนาฬิกาบอกเวลาตีสาม เขาชะงัก ครุ่นคิด ตัดสินใจตามเสียงเพลงนั้นไปทันที
เอกราชกับประวิทย์เข้าบ้านมาแล้ว กำลังมองหารอยตามพื้นดิน เห็นรอยดินที่หงส์หยกเพิ่งขุดขึ้นมา
“น่าจะเป็นตรงนี้แหละที่หงส์หยกมาขุดเอาไว้ รอยยังดูใหม่ๆ”
ประวิทย์หันมาบอก
“แน่ใจนะว่าเป็นที่เราฝังศพนังนั่น”
“ก็น่าจะใช่ เพราะฉันจำได้ ว่ามันอยู่ตรงนั้น นี่เราต้องขุดจริงๆ ใช่มั้ย”
“ก็ใช่สิวะ มาถึงตรงนี้แล้วยังจะถามอีก”
เอกราชรีบหยิบเครื่องมือขุดโยนให้ประวิทย์ ทั้งสองช่วยกันขุดดินตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
จู่ๆ เสียงเพลงไทยเดิมดังแว่วเข้ามา ทั้งคู่ถึงกับชะงัก พลางหันไปมองบรรยากาศรอบๆ ที่ดูวังเวงน่ากลัว ชวนขนลุก
“นายได้ยินเสียงเพลงไทยเดิมมั้ย ฉันฟังแล้วรู้สึกคุ้นๆ ว่ะ”
ประวิทย์เริ่มกลัว
“อย่าไปสนใจมัน จำไว้เราต้องขุดเอากระดูกกลับไปให้ได้”
เอกราชพยายามไม่สนใจเพลงที่ได้ยิน รีบขุดหลุมศพริลณี
พลันลมก็พัดอย่างแรงโดยรอบบริเวณนั้น พร้อมเท้าของริลณีซอยผ่านไปผ่านมาบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่ที่กำลังขุดชะงักมือ พยายามมองหาแต่มองไม่ทัน ประวิทย์เริ่มหน้าเสีย
“เอกราช ฉันว่ามันดูแปลกๆ แล้วนะ”
เอกราชเหมือนจะรู้ว่าริลณีอยู่ใกล้ๆ แต่ยังทำปากดี
“อย่าไปสนใจมัน จำเอาไว้มันทำอะไรเราไม่ได้”
ทั้งคู่รีบช่วยกันขุดต่อ พร้อมกับเสียงหัวเราะของริลณีดังกึกก้องบริเวณนั้น เอกราชกับประวิทย์หันมองหน้ากัน แต่พยายามไม่สนใจ รีบก้มหน้าก้มตาขุดต่อ จนที่ขุดดินของเอกราชฟันลงไปโดนอะไรบางอย่างดังกึก
“ฉันว่าฉันเจอแล้วว่ะ”
เอกราชรีบใช้มือขุดๆๆ ลงไป จนเจอโครงกระดูกท่อนของริลณี เขารีบหยิบมาถือไว้ แต่ประวิทย์ที่ยืนมองอยู่ กลับหน้าเสียขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ เพราะเห็นผีริลณี ค่อยๆ เดินเข้ามาด้านหลังเอกราช แล้วชะโงกหน้าเข้าไปพูดข้างหู
“ถ้าเอาแขนฉันไป ฉันจะรำได้ยังไงล่ะ”
เอกราชตกใจ รีบหันมาเห็นผีริลณียืนอยู่ข้างหลัง จ้องทั้งคู่ด้วยแววตาน่ากลัว
“อุตส่าห์จะรำสวยๆ ให้พวกนายดูเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตายแท้ๆ “
เอกราชตกใจผงะหนี
“นังผีบ้าใครอยากจะดูรำทุเรศๆ ของแก กลับไปลงนรกของแกซะ”
ขาดคำก็หยิบน้ำมนต์ออกมาจากกระเป๋าที่ใส่อุปกรณ์มา แล้วสาดออกไป ผีริลณีที่โดนน้ำมนต์สาด กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
เอกราชหันไปสั่งประวิทย์ที่ยืนอึ้งอยู่ “จะยืนบื้ออยู่ทำไม รีบขุดสิวะ”
ทั้งคู่รีบช่วยกันขุดหลุมอย่างเร็ว จนเริ่มเจอกระดูกของริลณีเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
ผีริลณีที่โดนน้ำมนต์สาดจนเจ็บปวดโกรธมาก พยายามรวบรวมพลังทำให้ร่างกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ประวิทย์หันมาเห็นรีบชี้ให้เอกราชดู
“ดูนั่นสิ น้ำมนต์ทำอะไรมันไม่ได้”
ผีริลณีเดินเข้ามาชี้หน้าทั้งคู่ด้วยความแค้น
“ไอ้ชาติชั่ว เพื่อนแกตายไป 2 คน ไม่ทำให้พวกแกกลัวเกรงอะไรกันเลยใช่มั้ย”
ผีริลณีจะเข้าไปหาทำร้ายทั้งคู่ด้วยความแค้น แต่พลังเครื่องรางห้าแฉกที่ทั้งสองใส่ รวมพลังความแข็งแกร่งกันกระแทกวิญญาณแค้นให้กระเด็นออกไป
“ตราบใดที่พวกเรามีเครื่องรางนี้ แกทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอกนังริลณี เตรียมซื้อตั๋วรถเที่ยวหน้าไปนรกได้แล้ว”
เอกราชมองเย้ย แล้วรีบช่วยกันกับประวิทย์ขุดกระดูกต่ออย่างรีบเร่ง
ผีริลณียืนคุมแค้นมองทั้งสองคนชั่ว ทำได้เพียงกำมือแน่นด้วยความโกรธแค้นอาฆาตสุดจะประมาณ
อ่านต่อหน้า 4
นางชฎา ตอนที่ 13 (ต่อ)
จู่ๆ เสียงเพลงไทยเดิมก็หายไป เตชินเดินตามเสียงเพลงนั้นมาต้องหยุดชะงักไม่รู้จะไปทางไหนต่อ
“เสียงเพลงหายไปแล้ว มันอาจจะไม่เกี่ยวอะไรกับรินก็ได้” เขากำลังจะหันหลังกลับ แต่ก็ต้องชะงักอีก “แต่เรามาขนาดนี้แล้ว เราก็ควรที่จะรู้ความจริงว่ามันมีอะไรกันแน่”
สุดท้ายเขาตัดสินใจจะเดินก้าวไปข้างหน้า แต่กลับก้าวขาออกไปไม่ได้ ได้แต่ยืนกำมือแน่นอย่างสับสน“แต่เราก็ควรจะเชื่อใจรินไม่ใช่เหรอ เราไม่ควรทำแบบนี้กับริน มันเหมือนหักหลังริน”
พลันหูก็แว่วได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังขุดดินดังมาจากบริเวณหลุมศพริลณี เตชินรีบหันไปมองตามเสียง ก่อนจะตัดสินใจเดินตามเสียงไปทันที
เอกราชกับประวิทย์ช่วยกันขุด จนเริ่มเห็นเป็นกระดูกเป็นรูปเป็นร่าง
“เดี๋ยวฉันจะเอากระดูกแกไปเผา แกก็จะได้ไม่ต้องไปผุดไปเกิดที่ไหนอีก”
เอกราชยิ้มหยัน ผีริลณียืนมองอย่างแค้นเคืองแต่ทำอะไรไม่ได้ ได้เพียงกรีดร้องด้วยความโกรธ เสียงดังโหยหวน ตามองเอกราชที่กำลังจะหยิบกระดูกตัวเองขึ้นมาหลุมศพทีละชิ้นสองชิ้นด้วยความแค้น
“ฉันสัญญาว่าจะไม่ให้พวกแกตายดี ถ้าฉันต้องลงไปอยู่ในนรก พวกแกก็ต้องลงไปอยู่ในนรกขุมที่ลึกกว่าฉัน”
“คงจะยาก เพราะนรกมันเป็นที่สำหรับผีเด็กกำพร้าน่าทุเรศอย่างแก ส่วนพวกฉันจะได้ไปเสวยสุขกันบนสวรรค์ชั้นเจ็ดโน่น”
ประวิทย์เห็นเอกราชทำปากเก่ง ก็หันมาปราม
“หยุดพูดเถอะเอกราช นายจะยิ่งพูดให้ริลณีโกรธทำไม”
“ก็มันอยากฆ่าเพื่อนเราไปตั้ง 2 คน แกคิดสิ ว่า 2 คนนั่นต้องตายทรมานขนาดไหน คอยดูฉันจะแก้แค้นให้เชิงชาย ให้หงส์หยก ฉันจะทำให้มันไม่ไปผุดไปเกิดให้ได้”
เอกราชมองผีริลณีแค้น ก่อนจะก้มลงหยิบกระดูกอย่างมุ่งมั่น จนสร้อยเครื่องรางห้าแฉกห้อยหลุดออกมานอกเสื้อ จังหวะที่กำลังก้มหยิบกระดูกขึ้นมาโดยไม่ระวัง สายสร้อยที่ห้อยเครื่องรางบังเอิญไปเกี่ยวกับกระดูกของริลณี กระดูกดึงจนสร้อยขาดเครื่องรางหล่นกลิ้งไปบนพื้น เอกราชตกใจ หน้าเสีย รีบวิ่งจะไปหยิบ แต่ยังไม่ทันที่มือจะสัมผัสเครื่องราง ผีริลณีก็ใช้อำนาจยกตัวเขาลอยสูงขึ้นจากพื้น แล้วยิ้มอย่างเป็นต่อ
“เค้าว่ากันว่าต่อให้เครื่องรางดีแค่ไหน ก็จะไม่คุ้มครองคนชั่ว คงจะจริง ฉันยังไม่ได้ทำอะไรแกเลยแกก็ทำตัวแกเองซะแล้ว”
เอกราชโวยวายด้วยความกลัว
“ไม่นะ นังผีบ้า ปล่อยฉันลงไปนะ ประวิทย์ ช่วยด้วย”
“ไม่ต้องกลัวนะเอกราช ฉันจะไม่มีวันยอมให้นายตายเด็ดขาด”
ประวิทย์พยายามจะช่วยดึงเอกราชที่ลอยสูงขึ้นไปลงมา แต่ผีริลณีกลับเคลื่อนย้ายร่างอย่างรวดเร็วไปขวางไว้
“ต่อให้นายรักมันมากแค่ไหน นายก็ทำอะไรไม่ไหรอกประวิทย์ เพราะฉันจะส่งมันไปขุมนรกชั้นที่ต่ำที่สุด ไปอยู่กับเพื่อนชั่วๆ อีก 2 คนของพวกนาย”
ผีริลณีค่อยๆ ยกเอกราชขึ้นไปสูงขึ้นๆ ประวิทย์ยืนมองด้วยความเจ็บปวด เพราะอยากจะช่วย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“อยากรู้จังตอนที่นายกำลังจะตกลงมากระแทกพื้น นายจะร้องเสียงน่าสมเพชเหมือนหงส์หยกรึเปล่า”
เอกราชโวยวายใส่ “ฉันจะสาปแช่งแกนังผีบ้า ขอให้แกตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”
ผีริลณีหัวเราะสะใจ ไม่สะทกสะท้าน
“พวกมึงต้องตาย ตามกู”
วิญญาณแค้นนางรำค่อยๆ ยกเอกราชสูงขึ้นๆ ประวิทย์ที่พยายามหาทางช่วย เหลือบไปเห็นเครื่องรางที่ตกอยู่บนพื้น ก็รีบวิ่งไปหยิบเครื่องรางนั้น แล้วขว้างไปที่ผีริลณีทันที
เครื่องรางที่พุ่งเข้าใส่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะพุ่งเข้าแทงร่างในหลายๆ จุด ผีริลณีเจ็บปวดจนต้องลงไปดิ้นกับพื้น
ร่างเอกราชร่วงลงมากระแทกพื้น แค่เจ็บแต่ไม่ตาย ประวิทย์รีบเข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วงมากที่สุด
“นายเป็นอะไรมากรึเปล่า”
“ทำไมไม่ช่วยให้เร็วกว่านี้วะ ไม่งั้นฉันคงไม่ตกมาเจ็บแบบนี้หรอก”
“ขอโทษนะ มันคิดอะไรไม่ออกจริงๆ”
ประวิทย์หน้าเจื่อน
“ไม่ต้องมัวแต่ขอโทษแล้ว รีบหนีเร็ว”
ประวิทย์หันไปมองกระดูกที่ยังขุดไม่เสร็จ “แล้วกระดูกล่ะ”
“ไม่ต้องถามแล้ว ไปเร็ว จะอยู่ให้นังผีนั่นมันหักคอรึไงวะ”
ประวิทย์ช่วยประคองเอกราชลุกขึ้น ก่อนจะรีบประคองออกไปโดยเร็ว ในขณะที่ผีริลณียังนอนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
เตชินวิ่งเข้ามา ถึงกับหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงร้องดังโหยหวนปนน่ากลัวของริลณีดังแว่วมา แล้วรีบวิ่งไปตามเสียงร้องนั้นทันที
ผีริลณีที่นอนกรีดร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ใช้มือดึงเครื่องรางที่เข้าไปฝังสร้างความเจ็บปวดให้กับร่างกายออกทีละชิ้นๆ แต่ละครั้งที่ดึงเครื่องรางออกมา ก็ต้องทนกับความเจ็บปวดอย่างที่สุด และสภาพผิวตรงที่โดนเครื่องรางก็กลับกลายเป็นผิวเน่าเละ ไม่กลับมาสวยแบบปกติอีกแล้ว
ผีริลณีมองรอยแผลที่บาดเจ็บด้วยความความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
“ฉันจะเอาคืนพวกแกฉันอย่างสาสม”
เตชินวิ่งเข้ามาบริเวณในบริเวณนั้น เห็นริลณียืนนิ่ง ก็จะวิ่งเข้าไปหา แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเธอ หันกลับมา ดวงหน้าที่เคยสวยงาม กลายเป็นหน้าผีเละ สยดสยอง เขาช็อกจนตาค้างกับภาพที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น
ริลณีค่อยๆ พาร่างกายที่เจ็บปวดสะบักสะบอมขึ้นมานั่งอย่างหมดแรงอยู่ที่ระเบียง มองสภาพร่างกายที่เป็นแผลน่าเกลียดน่ากลัวจากการโดนเครื่องราง พร้อมทั้งหลับตาตั้งสมาธิ พยายามให้แผลนั้นหายไป กลับกลายผิวที่สวยเหมือนเดิม แต่เมื่อลืมตาขึ้นมา แผลเหล่านั้นยังดูสยดสยองน่าเกลียดเหมือนเดิม
เธอค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นร้องไห้ ด้วยความเจ็บปวดและเสียใจ
“ฉันจะทำยังไงดี ฉันจะทำยังไง”
พระอาจารย์คงที่นั่งสมาธิอยู่ในกุฎิหน้าพระพุทธรูป ค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาเต็มไปด้วยความเศร้า และสงสาร
“หมดเวลาที่จะยื้อต่อไปแล้วนะ โยมริลณี”
ผู้ทรงศีลหลับตาลงด้วยความสงบ
ริลณีในสภาพกึ่งคนกึ่งผี เปิดประตูเข้ามาในห้องนอน มองไปที่เตียงเห็นเตชินนอนหลับนิ่งอยู่ เธอค่อยๆ ขึ้นเตียง ล้มตัวลงนอนข้างๆ อย่างแผ่วเบา แล้วค่อยๆ พลิกตัวมากอดเขาเอาไว้
เตชินยังไม่หลับ มองแขนผีริลณีที่พาดมาบนร่างตัวเองด้วยความรู้สึกกลัว ตัวสั่น แต่ต้องทนนิ่งไว้
เสียงริลณีพูดเบาๆ ดังออกมาจากด้านหลัง
“รินไม่รู้ว่าจะเหลือเวลาที่จะได้อยู่กับคุณแบบนี้อีกนานเท่าไหร่ ขอให้รินได้กอดคุณแบบนี้ แม้จะเป็นครั้งสุดท้าย รินก็มีความสุขแล้ว”
เตชินได้ฟังริลณีพูดถึงกับน้ำตาไหล ทั้งเจ็บปวด ทั้งกลัว ทั้งสงสารจับใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้นดี ในอ้อมกอดของริลณีคนที่เขารู้ว่าเพิ่งเป็นผี เขาจะให้เธอรู้ว่าเขารู้ และเห็นอะไรไม่ได้
แสงแดดอ่อนๆ ส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องนอน เตชินเผลอหลับไปสะดุ้งตื่นเพราะแดดแทงตา เขารีบลุกขึ้นนั่งบนเตียง หน้าตายังงัวเงีย เมื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วก็ต้องตะลึงตะไลอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา เมื่อมองไปสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า
สภาพภายในห้องรกเรื้อเต็มไปด้วยฝุ่นหยากไย่ เหมือนไม่ได้ผ่านการทำความสะอาดมาเลย ข้าวของเสื้อผ้าของริลณีก็เป็นของเก่า ไม่ต่างกับเสื้อผ้าคนตาย ที่นอน ผ้าปูที่นอนบนเตียง ก็เลอะคราบน้ำเหลือง กลิ่น
เหม็นซากศพอบอวลคละคลุ้งในห้อง จนเขาต้องรีบเอามืออุดจมูก
เขาลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ เดินไปเปิดประตูออกไปนอกระเบีบง สภาพภายในบ้านที่อยู่ด้านนอก ที่โดนแสงอาทิตย์สาดส่อง ไม่ได้แตกต่างจากในห้องนอนเลย ทั่วทั้งบ้านเต็มไปด้วยหยากไย่ ไร้การดูแลซากหนูตาย ซากนกตายตกเกลื่อน ต้นไม้ในกระถางเหี่ยวแห้ง เฉาตายแทบทุกต้น
“นี่เราอยู่ในบ้านหลังนี้มาตลอดเหรอเนี่ย”
เตชินเดินเข้าไปในห้องอาหารที่สภาพไม่ต่างกับระเบียงและห้องนอน บนโต๊ะอาหารมีจานวางอาหารวางอยู่ เมื่อมองอาหารที่อยู่ในนั้น ก็เห็นมีแต่ของเน่าจนหนอนขึ้น ใบผักหญ้าแห้งอยู่ในจาน เขาหยิบอาหารเหล่านั้นขึ้นมาดูด้วยความรู้สึกผะอืดผะอมอยากจะอาเจียน
“วันนี้ตื่นสายจังเลยนะคะ รินตั้งอาหารไว้รอนานแล้ว”
เตชินชะงักนิ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดช้าๆ แล้วค่อยๆ หันกลับไปมอง เห็นริลณีที่หน้าตาดูซีดเซียว ใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกายมิดชิดทั้งตัว แทบจะไม่เห็นผิวข้างในเลย เขามองแบบอึ้งๆ จนเธอนึกแปลกใจ
“ทำไมจ้องรินแบบนั้นละคะ รินมีอะไรแปลกไปเหรอคะ”
“ไม่มีครับ ไม่แปลกหรอกครับ”
เตชินมองริลณีที่ดูไม่มีอะไรแตกต่างจากที่เคยเห็น ค่อยๆ กล้าเดินเข้าไปใกล้ แล้วเอื้อมมือไปจับมือเธอขึ้นมา
“ไม่ว่าจะเป็นยังไง รินก็สวยที่สุดสำหรับผมอยู่แล้วครับ”
“ปากหวานแบบนี้จะอ้อนอะไรรึเปล่าคะ”
เตชินไม่ตอบ แต่กลับดึงเธอเข้ามากอดแน่นด้วยความเจ็บปวด เหมือนต้องการจะปลอบตัวเองว่าทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วย
ริลณีที่อยู่ๆ ก็โดนเตชินคว้าตัวมากอด รู้สึกแปลกใจ “มีอะไรรึเปล่าคะ”
“ไม่มีครับ แค่อยากจะกอดรินเฉยๆ”
ขณะที่พูด เตชินก็เหลือบไปเห็นแผลจากเครื่องรางห้าแฉกที่มือของริลณี เขารีบจับมือนั้นขึ้นมาดู เธอพยายามจะดึงกลับ แต่เขายื้อไว้ คว้ามือนั้นมาดูจนได้ ก่อนจะเห็นแผลเน่าใหญ่น่ากลัว แต่เขากลับทำหน้านิ่ง เหมือนไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร
“ดูสิ ทำไมรินเป็นแผลแล้วปล่อยให้ลามแบบนี้ละครับ ผมบอกให้ไปหาหมอก็ไม่เชื่อ”
ริลณีพยายามดึงมือกลับ “รินไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”
“ไม่ได้ครับ รินต้องทำแผล เดี๋ยวผมจะทำแผลให้รินเอง”
ริลณีรู้ว่าทำไปก็ไม่มีประโยชน์ “แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ครับ ผมอยากทำแผลนี้ให้รินจริงๆ”
ถัดมา เตชินนั่งทำแผลให้ริลณีอย่างอ่อนโยน ท่ามกลางสภาพบ้านที่เต็มไปด้วยหยากไย่ทรุดโทรม เธอมองเขาที่ตั้งใจทำแผลให้ อย่างซาบซึ้งใจ
“ทำไมคุณถึงดีกับรินแบบนี้ล่ะคะ”
“เพราะผมสัญญาว่าจะดูแลรินให้ดีที่สุด ตราบวินาทีสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ร่วมกัน”
เตชินผูกผ้าพันแผลให้จนเสร็จ ก่อนจะยกมือริลณีขึ้นมาจูบด้วยความเจ็บปวดและอาลัยรักอย่างเหลือแสน
“รินรู้มั้ย ว่าผมไม่อยากให้วินาทีนั้นมาถึงเลย”
ริลณีหน้าเศร้า “รินก็ไม่อยากค่ะ รินอยากอยู่กับคุณแบบนี้ตลอดไป ได้มั้ยคะ”
เขานิ่งชะงัก รู้ว่าไม่สามารถตามที่เธอวอนขอได้
“ไม่มีใครหยุดเวลาได้ แต่ขอให้รินรู้นะครับ ว่าทุกวัน และทุกเวลาที่ผมได้อยู่ร่วมกับริน ผมมีความสุขมากที่สุด รินจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักตลอดไป”
ริลณีมองหน้าเตชินอย่างขำๆ ปนแปลกใจ
“ทำไมวันนี้ คุณพูดอะไรดูแปลกๆ จังคะ”
“ผมแค่อยากให้รินรู้เอาไว้นะครับ”
“ค่ะ รินรู้แล้วค่ะ”
เตชินพยักหน้ารับ แค่ริลณีเข้าใจสิ่งที่เขารู้สึกก็เพียงพอแล้ว เขาตัดสินใจยืนขึ้น ทำท่าเหมือนจะหันลงบันไดไป เธอมองอย่างแปลกใจ
“แล้วคุณจะไปไหนเหรอคะ”
เตชินชะงัก ไม่อยากโกหก แต่ก็จำใจต้องทำ
“ผมจะไปหาคุณแม่ เมื่อวานยังคุยธุระไม่เสร็จก็ต้องรีบกลับก่อน”
“แล้วจะกลับเมื่อไหร่คะ”
เตชินก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าสบตา “ยังตอบไม่ได้เหมือนกันครับ”
“งั้นรินจะอยู่รอทานข้าวเย็นนะคะ”
“รินอย่ารอเลยครับ”
ขาดคำก็หันกลับไปมองหน้าริลณี ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด จนริลณีสัมผัสได้
“แสดงว่าคุณจะกลับดึกเหรอคะ”
เตชินไม่ตอบ เพราะรู้ว่าอาจจะไม่กลับมา เขามองหน้าเธอครั้งสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจรีบเดินไปขึ้นรถ
ริลณียืนที่บันไดบ้านตะโกนถาม
“คุณจะกลับมาที่นี่ใช่มั้ยคะ เตชิน”
เตชินไม่ตอบคำถามนั้น แต่ตัดสินใจขับรถออกไปจากบ้านด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ริลณีที่ยืนอยู่บนบ้านมองตามรถที่แล่นออกไปช้าๆ ด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง
ในขณะที่ขับรถออกจากบ้าน เตชินไม่วายก็หันกลับไปมองริลณีที่ยืนมองอยู่บนบ้าน ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด
รถเตชินเข้ามาจอดสงบนิ่งในบริเวณวัด เขาฟุบหน้ากับพวงมาลัยรถ น้ำตาไหลพรากอย่างเจ็บปวด กับทุกสิ่งที่ได้รับรู้
หลวงตาคงเดินเข้ามามองด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะตัดสินใจเคาะกระจกรถเรียก เตชินได้สติ รีบเปิดประตูลงมาไหว้
“โยมคงได้รู้ได้เห็น ในสิ่งที่โยมควรรู้แล้วสินะ”
“ผมได้รู้และได้เห็นกับตาเลยครับหลวงพ่อ รินตายแล้ว เค้า.... เป็นอย่างที่ทุกคนบอกจริงๆ ทำไมผมอยู่กับเค้ามาตั้งนาน ผมถึงไม่รู้ว่าเค้า....”
หลวงตาคงมองเขาอย่างเมตตา
“เพราะโยมรักเค้า เชื่อในสิ่งที่เค้าอยากให้เห็น อยากให้ได้ยิน อยากให้สัมผัส แต่เมื่อโยมสงสัย คลางแคลงใจ บวกกับพลังอำนาจที่เสื่อมถอยของโยมริลณี ทำให้โยมมองเห็นความจริงทุกๆ อย่าง แล้วตอนนี้โยมรู้สึกยังไง”
“ผมสงสารเค้าเค้า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเค้า ถึงทำให้เค้าต้องเป็นแบบนี้ แล้วผมก็รู้สึกปวดใจที่ผมช่วยอะไรเค้าไม่ได้เลย”
“ทำไมโยมจะช่วยโยมริลณีไม่ได้ล่ะ” หลวงตาคงย้อนถาม “จำที่อาตมาเคยบอกโยมได้มั้ย
ยิ่งโยมยึดติด โยมริลณีก็จะยิ่งไปไหนไม่ได้ และเมื่อเค้าไปไหนไม่ได้ เค้าก็จะยิ่งก่อเวรสร้างกรรมไม่รู้จักจบสิ้น
ทางเดียวที่จะทำได้ตอนนี้ คือโยมต้องปล่อยเค้าไป เพื่อให้เค้าพ้นทุกข์ เค้ายังติดอยู่ที่นี่ เพราะความรักที่มีให้โยม ถ้าโยมอย่างช่วยโยมริลณีจริงๆ จงปล่อยเค้าไปซะ ให้เค้าไปตามวิถีทางที่เค้าควรจะเป็น”
เตชินน้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวดแล เสียใจ และนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างชอกช้ำที่สุด
ชมพู ชัช เฟื่องฟ้า เดินครุ่นคิดหน้าเครียดสวนกันไปมาอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า จนเอทีเอ็มที่นั่งมองอยู่เริ่มเวียนหัว
“จะเดินวนไปวนมาทำไมเนี่ย เวียนหัวนะ อีกนิดจะอ้วกล่ะนะ”
“ก็พวกเราเป็นห่วงคุณเตชินน่ะสิ หายไปทั้งคืนไม่รู้จะเจออะไรบ้าง”
ขาดคำของเฟื่องฟ้า เตชินก็เดินหน้าเครียดเข้ามา ทั้งหมดรีบวิงเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง เขาเงยหน้ามองทุกคน ด้วยความรู้สึกผิด
“ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ทุกคนพูดเป็นความจริง แล้วก็ขอโทษด้วยที่เคยพูดไม่ดีกับทุกคน”
ชมพูมองเขาอย่างสงสาร
“ไม่ต้องขอโทษหรอกคะพี่เตชิน พวกเราทุกคนเข้าใจ มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ พี่เตชินดูเหนื่อยมากไปนั่งพักก่อนนะคะ”
ทั้งหมดรีบพาเตชินที่ดูอ่อนแรงไปนั่งพัก เอทีเอ็มถามขึ้นมาทันที
“คุณรู้อย่างนี้แล้ว คุณจะทำยังไงต่อไปครับ”
“ผมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับริน ทำไมรินถึงตาย ตายเมื่อไหร่ แล้วใครเป็นคนฆ่าริน เค้าฆ่ารินทำไม รินไปทำอะไรให้เค้า”
“ทุกคนว่าถ้าเรากลับไปถามผีริลณี ผีริลณีจะยอมบอกมั้ย”
ชัชถามขึ้นมา เฟื่องฟ้าส่ายหน้าช้าๆ
“ถ้ารินเค้าอยากบอก ก็คงบอกพวกเราตั้งแต่แรกแล้ว แต่นี่รินไม่ยอมบอก”
ชมพูโพล่งขึ้นมาบ้าง “ หรือว่า รินอาจจะอยากแก้แค้นเอง”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหันขวับมองหน้าชมพู ชัชพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็เป็นไปได้นะ เพราะตอนที่พี่เห็นผีริลณีครั้งแรก ก็ตอนที่ยืนคร่อมร่างน้องหงส์หยกตอนที่กระโดดตึกลงมาตาย”
ทุกคนได้ฟัง ถึงกับช็อก เอทีเอ็มรีบพูดต่อ
“งั้นก็เหมือนที่ชมพูเคยสงสัยว่า หงส์หยกน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับการตายของริลณีด้วย”
“แต่ก็ไม่น่าจะมีแค่หงส์หยก เพราะฉันจำที่หงส์หยกพูดก่อนตายได้แม่น เค้าบอกว่า มันจะแก้แค้น เหมือนที่ “พวกเรา” ทำกับมัน”
“พวกเรา” ก็แปลว่าไม่ได้มีแค่คนเดียว”
เฟื่องฟ้าตั้งข้อสังเกต เอทีเอ็มถามต่อ
“ถ้างั้น พวกเรา มีใครบ้าง”
ทุกคนมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“ก็บอกแล้วใช่มั้ยว่าผีนังริลณี มันเฮี้ยนซะยิ่งกว่าเฮี้ยน”
ปริมลดาโวยวายเสียงดังลั่นขณะมองดูเอกราชในสภาพบักโกรกหมดรูป ต้องนอนพักอาการเจ็บจากการตกจากที่สูงอยู่บนเตียง มีประวิทย์ดูแลอย่างใกล้ชิดเอาใจใส่ดูแลอย่างดีมากเกินปกติ
ตุลเทพถอนใจเฮือก “ดีนะที่นายหนีรอดมาได้ ไม่ถูกมันฆ่าตายซะก่อน”
“ถ้าไม่ได้เครื่องรางอาจารย์ดำ ฉันก็คงไม่รอด”
“แต่เครื่องรางของนายมันพังไปแล้ว จะทำยังไง จะกลับไปขออาจารย์ดำอีกเหรอ”
ปริมลดาย้อนถาม ตุลเทพรีบแย้งขึ้นมา
“เครื่องรางห้าแฉก เป็นเครื่องรางที่ถูกทำมาเฉพาะแค่ห้าอัน สำหรับห้าคนเพื่อคุ้มครองกันและกัน ขาดอันหนึ่งอันใดไป พลังในการคุ้มครองของมันก็จะลดลงๆ”
“แสดงว่าไปขอใหม่ก็ไม่มีประโยชน์”
ปริมลดาพูดขึ้นมา เอกราชหน้าเสีย รู้สึกกังวลและกลัวผีริลณีจะกลับมาเล่นงาน
“นายไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะใช้พลังจากเครื่องรางของฉันคุ้มครองนายเอง”
ปริมลดาและตุลเทพ เห็นท่าทางที่ดูจริงจังของประวิทย์ก็แอบอมยิ้มโดยที่เอกราชไม่รู้ตัว
“แล้วมันจะได้เหรอวะ”
“ก็จนกว่านายจะได้เครื่องรางใหม่ ระหว่างนี้ก็ให้ประวิทย์ดูแลนายไปก่อน ฉันมั่นใจว่าประวิทย์มันจะดูแลนายได้ดีกว่าเครื่องรางที่มันใส่อีก”
ตุลเทพพูดเป็นนัย ปริมลดาอมยิ้ม
“ใช่มั้ยประวิทย์”
“ฉันจะไม่ยอมให้ผีริลณีมาทำอะไรนายเด็ดขาด”
ประวิทย์พุดอย่างมั่นใจ เอกราชรีบบอก
“งั้นช่วงนี้ นายก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน จะได้ช่วยดูแลช่วงที่ฉันยังเจ็บขาด้วย”
ประวิทย์แอบยิ้มตาเป็นประกาย มีความสุขขึ้นมาทันที
“อยู่กับประวิทย์มากๆ นายอาจจะติดใจจนลืมพวกสาวๆ ก็ได้นะ”
ตุลเทพมองปริมลดาแล้วหัวเราะขำ ประวิทย์เหล่มองอย่างไม่พอใจ แต่ยังนิ่งอยู่
“แล้วเรื่องผีริลณีจะเอายังไงต่อ อย่าบอกว่าจะกลับไปเอากระดูกอีกนะ”
ปริมลดาวกกลับมาเรื่องเดิม
“กลับไปไม่ได้แล้วล่ะ สงสัยเราต้องพึ่งอาจารย์ดำจริงๆ”
เอกราชมีสีหน้าเคร่งเครียด
ปริมลดาเดินออกมาจากคอนโดของเอกราชพร้อมกับตุลเทพ หันไปถามยิ้มๆ
“ตอนที่อยู่ในห้องนั้น นายได้กลิ่นอะไรแปลกๆ มั้ย”
“กลิ่นความรักอบอวลน่ะเหรอ”
“นายว่าเอกราชจะรู้ตัวมั้ย”
ตุลเทพส่ายหน้า “ถ้ารู้คงไม่ปล่อยให้มาใกล้ชิดแบบนั้นหรอก”
“มันก็ไม่แน่นะ เอกราชเป็นคนฉลาด เรื่องแค่นี้ทำไมจะดูไม่ออก”
“อย่าบอกนะว่าเอกราชก็....”
ปริมลดารีบแย้ง “ไม่ใช่แน่นอน แต่คนอย่างเอกราช ทำอะไรต้องได้ผลประโยชน์”
“สงสารประวิทย์เนอะ รักใครไม่รักมารักคนอย่างเอกราช”
ทั้งคู่หัวเราะอย่างชอบใจ
ชมพูเดินเข้ามาเห็นเตชินนั่งซึมอยู่ริมน้ำ ท่าทางดูย่ำแย่ ก็เดินเข้าไปนั่งข้างๆ กุมมือให้กำลังใจ
“ชมพูรู้นะคะว่าไม่ควรจะพูดแบบนี้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่พี่เตชินจะมานั่งเศร้า ตอนนี้พวกเราต้องช่วยกันจับตัวคนที่ฆ่าริน และช่วยกันปลดปล่อยวิญญาณของรินให้ไปสู่สุขคติโดยเร็วที่สุด ชมพูคิดว่าดวงวิญญาณของรินคงจะปวดและทรมานมานานแล้ว เราต้องช่วยให้รินไปในที่ที่สงบสักที”
เตชินหน้าเศร้า “พี่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง”
“อย่างแรกเลย เราต้องหาศพรินให้พบก่อน”
“แต่พี่ไม่รู้ว่าศพรินอยู่ที่ไหน พี่ไม่รู้ว่าเค้าตายยังไงด้วยซ้ำ “
ภาพหงส์หยกกำลังขุดดินตรงหลุมศพริลณีแว่บเข้ามาในความรู้สึก
“เป็นไปได้มั้ยคะ ที่รินยังสามารถมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ พี่เตชินได้ เพราะร่างของรินอยู่ที่บ้าน
เรือนไทยหลังนั้น พี่เตชินจำวันที่หงส์หยกมาขุดหาอะไรบางอย่างที่สวนบ้านพี่เตชินได้มั้ยคะ”
“จำได้”
“พี่เตชินคิดมั้ยคะว่า บางทีหงส์หยกอาจจะมาพยายามขุดหาศพริลณี”
“แล้วเค้าจะขุดไปทำไม”
“คนที่กลัวผี ย่อมอยากทำลายผี”
เตชินมองหน้าชมพูอึ้งๆ ไม่ได้ปฎิเสธ แต่คิดว่าเป็นไปได้
เตชิน ชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม และชัช นั่งหารือกันหน้าเครียด
“ก่อนที่คุณเตชินจะไปซื้อบ้านนั้นเดิมก็เป็นบ้านร้างผีสิงหลังมหาวิทยาลัย ถ้ามีใครสักคนทำร้ายริน แล้วเอารินไปฝังที่นั่น ก็เป็นไปได้ว่าจะไม่มีใครรู้”
เฟื่องฟ้าพูดขึ้นมาเป็นคนแรก ตามด้วยชัช
“แล้วนายเคยคิดมั้ยว่าอยู่ดีๆ ทำไมนายถึงอยากได้บ้านผีสิงน่ากลัวแบบนั้น ฉันว่าเพราะน้องรินอยากให้นายไปอยู่ที่นั่นว่ะ”
“มันก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะอยู่ๆ ฉันก็ไปที่บ้านหลังนั้นโดยไม่มีสาเหตุ”
“มันไม่มีอะไรไม่มีสาเหตุหรอกว่ะ เพียงแค่เราไม่รู้ว่าสาเหตุนั้นคืออะไรมากกว่า”
ชมพูพูดขึ้นมาบ้าง “งั้นเราก็น่าจะไปลองขุดตรงที่ที่หงส์หยกเคยขุดดู”
เตชินหน้าเสีย เพราะทำใจไม่ได้ เอทีเอ็มมองอย่างเข้าใจ
“ถ้าคุณเตชินรับไม่ไหว พวกเราจัดการเองครับ”
ชัชโวยวายขึ้นมาเสียงดัง
“เดี๋ยวๆ นี่ทุกคนลืมอะไรกันไปรึเปล่าครับ .ริลณียังอยู่ที่บ้านนั้น แล้วก็ยังไม่รู้ว่าไอ้เตมันรู้ความจริงแล้วด้วย ถ้าน้องรินรู้ว่าพวกเราบอก แล้วยังไปพยายามขุดหาศพเค้าอีก เค้าจะไม่อาละวาดพวกเราแย่เหรอน้องรินน่ะเค้าเป็นผีนะ ไม่ใช่คน”
เฟื่องฟ้าหน้าเสีย เริ่มกลัวเหมือนกัน
“จริงด้วยสิ รินเป็นผีแบบนี้ พวกเราก็ไม่รู้ว่ารินอารมณ์ไหน”
“ผมจะจัดการเรื่องรินเอง ทุกคนไปช่วยขุดหาหลักฐานเถอะครับ ถึงรินเค้าจะโกรธมากแค่ไหน
แต่ยังไงเค้าก็คงต้องฟังผมบ้าง”
“พี่เตชินแน่ใจเหรอคะ ชมพูกลัวว่าริน...”
เตชินพูดอย่างมั่นใจ
“รินเค้าไม่มีวันทำร้ายพี่หรอก รินเค้ารักพี่ รินเค้าต้องเข้าใจว่าพวกเราทำไปทั้งหมด เพราะ
พวกเรารักเค้า และอยากให้เค้าพ้นทุกข์”
“แล้วแกมีวิธีจัดการน้องรินไม่ให้อาละวาดยังไงวะ” ชัชย้อนถาม
ริลณีวิ่งเข้ามาโผกอดเตชินที่เดินขึ้นมาบนบ้านด้วยความเป็นห่วง และกลัวว่าเขาจะไม่กลับมาอีก
“เมื่อเช้าตอนที่คุณขับรถออกไป รินกลัวว่าคุณจะไม่กลับมาหารินแล้ว”
“ก็เกือบเหมือนกัน แต่ผมทิ้งรินไว้ที่นี่คนเดียวไม่ได้”
ริลณีผละออกมา มองหน้าเขาอย่างสงสัย “หมายความว่ายังไงคะ”
“ผมรู้ทุกอย่างแล้วนะริน”
ริลณีตกใจ “รู้ทุกอย่าง คุณรู้อะไร ?”
เตชินน้ำตาคลอ ริลณีมองลุ้น กลัวว่าเขาจะรู้ความจริงเรื่องตัวเอง ขณะเขากำลังจะเอ่ยปากพูด
แต่จู่ๆ เธอก็รู้สึกรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง รีบหันขวับมองเขาด้วยดวงตาโกรธเกรี้ยว
“มีคนเข้ามาในบ้านเรา คุณให้พวกนั้นเข้ามาในบ้านเราทำไม”
ริลณีจะรีบเดินออกไปเอาเรื่อง แต่เตชินรีบดึงแขนไว้
“อย่านะริน อย่าไป พวกเค้ามาช่วยริน”
“มาช่วยรินทำไม รินไม่ได้ต้องการให้ใครช่วยทั้งนั้น เตชิน นี่คุณรู้อะไร”
เตชินอึกอัก “ ผม...ผม...”
อีกด้านหนึ่งชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม และชัช กำลังช่วยกันพยายามมองหารอยดินที่น่าจะเป็นหลุมศพริลณีที่หงส์หยกมาขุดไว้
“ชมพูจำได้ว่ามันอยู่แถวนี้นะ”
ชัชเห็นด้วย
“พี่ก็ว่าใช่ พิกัดที่พวกคนในบ้านบอกว่า ริลณีจะออกมารำตรงนี้ทุกตีสาม มันก็น่าจะแถวๆ นี้แหละ พี่ทำบ้านนี้มากับไอ้เต จำแปลนบ้านนี้ได้แทบทุกซอกทุกมุม”
“ถ้าจำได้แล้ว ทำไมเราถึงยังไม่เจออีกล่ะ เดินมาจะรอบบ้านแล้ว”
เฟื่องฟ้าถามขึ้นมาอย่างข้องใจ ทุกคนช่วยกันมองหา แต่ไม่เห็นหลุมศพที่ถูกเอกราช และ
ประวิทย์ขุดเอาไว้ที่อยู่ไม่ไกลออกไป เพราะริลณีใช้มนต์บังตาเอาไว้
“หรือว่าจะมีใครบังตาพวกเราเอาไว้ไม่ให้เห็น”
เอทีเอ็มคาดเดา ชัชรีบเออออ
“แหม นานๆ จะเห็นพูดจาเข้าท่า มันก็เป็นไปได้”
เฟื่องฟ้าถอนหายใจ “ถ้ารินไม่อยากให้ใครรู้ว่าเป็นผี ก็คงไม่อยากให้ใครมาเจอศพ”
ชมพูเริ่มกลัว
“แต่เราไม่มีเวลามาเล่นซ่อนหานะคะ ถ้าริลณีรู้ว่าพวกเรามาอยู่ที่นี่ พวกเราต้องตายแน่”
“พี่มีซิกเซนส์เห็นผีไม่ใช่เหรอ ถ้าตรงนี้มีศพจริงมันก็น่าจะมีพลังงานอะไรบางอย่างนะ”
เฟื่องฟ้าหันมาถามชัช
“โอ๊ย จะมาคาดคั้นอะไรพี่ชัชตอนนี้ นี่พี่ชัชเฉยๆ นะไม่ใช่ชัชจิตสัมผัส”
จู่ๆ ก็มีเสียงหลวงพ่อพระอาจารย์คงดังแว่วเข้ามาในหูของชัช
“หลับตา แล้วตั้งสมาธิให้มั่น แล้วเจ้าจะเจอสิ่งที่กำลังพยายามตามหาอยู่ ถ้าอยากช่วยโยมริลณี หลับตา แล้วตั้งสมาธิให้มั่น แล้วเจ้าจะเจอสิ่งที่กำลังพยายามตามหาอยู่”
ชัชรีบหลับตานิ่ง พวก ชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม มองหน้ากันอย่างสงสัย
ฝ่ายริลณีจ้องหน้าเตชินอย่างคาดคั้นต้องการคำตอบ
“ว่าไงคะ เตชิน คุณรู้อะไร ใครบอกอะไรคุณ”
“ไม่มีใครบอกอะไรผมทั้งนั้น ผมรู้ความจริงด้วยตัวเอง”
เตชินพูดพลางเดินไปหยิบต้นไม้ในกระถางที่แห้งเหี่ยวตายขึ้นมา
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเคยเห็นที่ในบ้านหลังนี้ ต้นไม้กระถางนี้ บ้านที่เรียบร้อยสวยงาม อาหารที่อร่อย หรือแม้แต่ริลณีที่ผมรักล้วนไม่มีอยู่จริง”
ขณะพูดก็มองไปรอบๆ บ้าน เพื่อให้เธอรู้ว่าเขาเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความจริงแล้ว
“ผมเห็นทุกอย่างแล้วนะริน ไม่มีอำนาจใดๆ ปิดบังตาผมได้อีกแล้ว”
ริลณีมองไปรอบๆ บ้าน เห็นสภาพบ้านทรงไทยที่ทรุดโทรมไร้คนดูแลเหมือนที่เตชินเห็น แล้วก้มมองร่างตัวเองที่ค่อยๆ กลายเป็นผี
“อย่าบอกนะคะว่าคุณก็เห็นริน.....เป็น....”
เตชินพยักหน้าเศร้าๆ “ผมเห็นแล้ว ผมรู้แล้วว่ารินเป็นอะไร”
ริลณียืนช็อก ราวกับโลกทั้งหมดที่เธอสร้างมากำลังจะแตกสลายอยู่ตรงหน้า เตชินเดินเข้าไปจับมือเธอไว้
“ผมรู้ว่าคุณรักผม แต่เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ คุณจากผมไปแล้ว เราไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันแล้ว” ริลณีทั้งโกรธแค้น เสียใจ ผิดหวัง อาฆาต เจ็บปวด ความรู้สึกสิ้นหวังไม่ต่างกันตอนที่กำลังใกล้ตายประดังประเดเข้ามา จนทนไม่ไหว ถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เสียงนั้นโหยหวน กึกก้องดังไปทั่ว
ท้องฟ้าที่ปกคลุมเหนือบ้านทรงไทยพลันมืดครึ้ม ลมพัดแรงราวกับมีพายุ นกแตกกระสานซ่านเซ็นกลับรังอย่างปัจจุบันทันด่วน
เสียงกรีดร้องของริลณีดังโหยหวนกึกก้องไปทั่วบริเวณบ้าน ชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม มองสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ก่อนจะหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก รู้สึกสยองพร้อมกันโดยไม่ตั้งใจ
เฟื่องฟ้าหันมองชัชที่ยังยืนหลับตานิ่ง
“เอาล่ะสิ ฉันว่าทุกอย่างมัน เอ้าต์ ออฟ คอนโทรลแล้ว อีตานี่ก็ยังหลับไม่ยอมตื่น จะเอายังไง
ดีเนี่ย”
ชมพูรีบบอกอย่างร้อนใจ “เราต้องรีบไปช่วยพี่เตชินก่อน”
“ช่วยตัวเองให้รอดก่อนเถอะชมพู ฉันว่าพวกเราอาการหนักกว่าคุณเตชินหลายเท่า”
อยู่ดีๆ ชัชก็ลืมตาขึ้นมา มองไปรอบๆ แล้วก็เห็นหลุมศพริลณีอยู่ตรงหน้านี่เอง เขารีบเดินตรงดิ่งไปตรงนั้นทันที
ชมพู เอทีเอ็ม เฟื่องฟ้า เดินตามไป ก่อนที่ทั้งสามจะมาหยุดยืนตรงหลุมศพ ที่เพิ่งถูกขุดไว้ มีกระดูกหลายชิ้นวางอยู่บนหลุม
“อย่าบอกนะว่านี่...”
ชมพูหน้าซีด ชัชรีบพยักหน้ารับ
“หลุมศพริลณี”
ริลณีทรุดตัวลงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดรวดร้าว เตชินพยายามจะเข้าไปปลอบ
“รินอย่าร้องไห้เลยนะครับ ยังไงผมก็ยังรักคุณ”
แต่เมื่อริลณีหันมา ดวงตาของเธอก็กลายเป็นดวงตาผีแสนน่ากลัว
“รินไม่เชื่อ คุณไม่รักริน คุณไม่กล้าอยู่กับริน เพราะรินเป็นผีใช่มั้ย”
“ผีกับคนอยู่ด้วยกันไม่ได้นะริน”
“แต่เราก็เคยอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ ไหนคุณเคยบอกว่าความตายพรากเรา lv’คนจากกันไม่ได้ไง คุณลืมที่คุณเคยพูดแล้วใช่มั้ย”
“ผมไม่เคยลืม แต่เราอยู่ไม่ได้จริงๆ คุณต้องปล่อยวางทุกอย่าง ถ้าคุณยังอยู่ที่นี่ คุณก็ยิ่งก่อเวรสร้างกรรมไม่จบไม่สิ้น”
“ไม่ ฉันไม่ไปไหน ฉันจะอยู่กับคุณ”
เตชินหน้าเศร้า “ผมขอโทษนะริน ผมอยู่กับคุณไม่ได้จริงๆ”
ริลณีมองเตชิน ความเจ็บปวดแปรเปลี่ยนเป็นความแค้น
“พวกมันทำให้คุณเกลียดริน ใครที่คิดจะพรากคุณไปจากรินมันต้องตาย”
ขาดคำก็หันขวับไปยังทิศทางที่คิดว่าทั้ง 4 คนจะอยู่ พลางถลึงตามองไปด้วยความแค้น ก่อนจะหายตัวไปจากตรงนั้นทันที
“ริน คุณจะทำอะไรพวกเค้าไม่ได้นะ”
เตชินรีบวิ่งตามริลณีออกไปทันที
เวลานั้น ชมพู ชัช เฟื่องฟ้า และ เอทีเอ็ม กำลังช่วยกันขุดดิน จนพบส่วนที่เป็นหัว ทั้งสี่มองสภาพริลณีด้วยความสงสารในชะตากรรมที่ต้องเจอ
“ทำไมรินถึงโชคร้ายต้องมานอนตายเป็นผีไร้ญาติแบบนี้”
เฟื่องฟ้าหน้าเศร้า เอทีเอ็มถึงกับน้ำตาซึม
“ไม่รู้ว่าก่อนตาย รินจะต้องเจ็บปวดสาหัสมากแค่ไหน ทำไมต้องเป็นริน รินเป็นคนดีแท้ๆ”
“นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคร่ำครวญนะครับ พวกเราต้องรีบแจ้งตำรวจ”
ขาดคำของชัช ชมพูรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะโทร.ออก แต่โทรศัพท์กลับดับไปเฉยๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นริลณียืนจ้องเอาเรื่อง
“พวกแกใช่มั้ย ที่เอาเรื่องของฉันไปบอกเตชิน ฉันเคยเตือนพวกแกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามายุ่งเรื่องของฉัน”
“ใจเย็นๆ นะริน พวกเราไม่ได้อยากยุ่ง พวกเราแค่อยากช่วยริน”
เฟื่องฟ้ารีบพูดปราม เอทีเอ็มพูดต่อ
“พวกเราอยากให้รินไปอยู่ในที่สงบ รินจะได้พ้นทุกข์”
“ที่ที่ฉันมีความสุขที่สุด คือที่ที่ฉันได้อยู่กับคนรัก พวกแกไม่เคยรู้ว่าฉันต้องนอนรอเค้าอยู่ในหลุมเน่านั้นอย่างทรมานมาตั้งกี่ปี แล้วอยู่ดีๆ พวกแกก็มาพาเค้าไปจากฉัน”
ริลณีจ้องหน้าสะกดจิตเฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็ม ก่อนที่ทั้งสองจะหันหน้ามองกัน แล้วตรงเข้าบีบคอกัน
“หยุดนะน้องริน พวกเค้าเป็นเพื่อนรักน้องริน ไม่ใช่เหรอ จะไปทำร้ายเค้าแบบนั้นทำไม”
ริลณีหันขวับมามองชัชตาวาวโรจน์
“แกก็เหมือนกันสาระแนไม่เข้าเรื่อง เพราะแกทำให้เตชินเกลียดฉัน”
ขาดคำก็ใช้มือปัดชัชกระเด็นลอยไปกระแทกกับต้นไม้ดังอั๊ก และจะเข้าไปซ้ำ แต่ชมพูรีบวิ่งไปขวางไว้
“พี่เตชินไม่เคยเกลียดริน เค้ารักรินเสมอไม่ว่ารินจะเป็นอะไร ที่เค้าทำแบบนี้ เพราะอยากให้รินหลุดพ้นนะ”
ริลณีมองหน้าชมพู แววตาเบิกโพลงน่ากลัวไม่ต่างกับที่มองคนที่เคยฆ่าเธอ ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ อย่างเอาเรื่อง ชมพูค่อยๆ ถอยหนีด้วยความกลัว
“ชมพูเพื่อนรักของฉัน ถ้าเป็นแต่ก่อนได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉันคงจะเชื่อเธอ แต่ตอนนี้ฉันรู้ดี ว่าคำพูด และการกระทำของเธอมันหลอกลวงเน่าหนอนแค่ไหน ในบรรดาทั้ง 4 คนนี้ เธอสมควรที่จะตายเป็นคนแรก”
ริลณียิ้มร้ายอย่างน่ากลัว ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปบีบที่คอของชมพู เล็บสีแดงค่อยๆ ยาวจิกลงไปในเนื้อจนเลือดซิบ
ยิ่งชมพูร้องด้วยความเจ็บปวด ริลณีก็ยิ่งบีบลึกลงไปในคอด้วยสีหน้าสะใจ
“หยุดนะริลณี”
ริลณีชะงักหันไปมองตามเสียง เห็นเตชินวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“หยุดทำร้ายคนอื่น พวกเค้าไม่ได้ผิดอะไร ถ้ารินอยากจะฆ่าใครสักคน รินก็ฆ่าผมเถอะ เพราะผมเป็นคนที่ทำให้รินต้องเจ็บปวด ทำให้รินต้องเสียใจแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ฆ่าผมสิ”
ริลณียังจิกคอชมพูไม่ยอมปล่อย ขณะมองเตชินแล้วร้องไห้อย่างเจ็บปวด
“นี่คุณยอมตายเพื่อพวกมันงั้นเหรอ”
“ไม่ใช่หรอกครับ ผมยอมตายเพื่อริน เพื่อไม่ให้รินทำบาปกับคนอื่นต่างหาก”
ริลณียืนอึ้ง เตชินมองไปยังเฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มที่ยังบีบคอกันแน่น ส่วนชัชจุกเจ็บเพราะโดนกระแทก ฝ่ายชมพูยังโดนบีบคอไม่ปล่อย
“ปล่อยพวกเค้าไปเถอะนะครับ ถือว่าผมขอร้อง”
ริลณีมองเตชินที่ถึงกับยอมลงทุนคุกเข่าร้องขอชีวิตคนทั้งสี่ด้วยความเจ็บปวด ความโกรธของเธอมลายหายไป ก่อนจะหันไปมองหน้าเฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม และชัช ที่ล้วนแต่เป็นคนดีกับเธอมาก่อน เธอรู้สึกผิด และยอมปล่อยเฟื่องฟ้าและเอทีเอ็มจากมนต์สะกด ก่อนจะมองหน้าชมพู ด้วยสายตาแห่งความเคียดแค้น
“ครั้งนี้ฉันจะยอมไว้ชีวิตแก”
ริลณียอมปล่อยมือจากคอชมพู เหลียวมองหน้าเตชินเป็นครั้งสุดท้าย ร่างหายวับไปจากตรงนั้น
พลันท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ก็กลับกลายเป็นมีแสงสว่างเหมือนปกติ ลมพายุและความน่ากลัวต่างๆหายไป
เตชินมองไปรอบๆ พบว่าทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ จึงลุกขึ้นแล้วบอกทุกคนว่า
“รินยอมปล่อยพวกเราทุกคนแล้ว ตอนนี้พวกเราก็มีหน้าที่ที่จะหาตัวคนที่ทำร้ายรินมาลงโทษให้เร็วที่สุด”
สายตาเตชินแลเลยไปที่หลุมศพ เห็นโครงกระดูกริลณีอยู่ในนั้น เขายิ่งเจ็บปวด ก่อนจะหันกลับมามองแต่ละคน ด้วยความเชื่อมั่นว่า จะต้องจับตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้
อ่านต่อตอนที่ 14