xs
xsm
sm
md
lg

นางชฎา ตอนที่ 12

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นางชฎา ตอนที่ 12

หลวงพ่อพระอาจารย์คง กวาดลานวัดในท่าทีนิ่งสงบ เงยหน้ามองริลณีที่มาปรากฏตัวตรงหน้าด้วยแววตาเปี่ยมเมตตา

“ภาพที่โยมเห็น คือสิ่งสะท้อนข้างในที่โยมเป็นอยู่ ถึงแม้โยมจะใช้มนตราสร้างรูปกายภายนอกให้สวยงามยังไง แต่ถ้าจิตใจโยมยังเต็มไปด้วยความโกรธ แค้น โยมก็ไม่ต่างจากผีร้ายที่โยมเห็นในเงาสะท้อนหรอก”
“แล้วฉันต้องทำยังไง ฉันไม่อยากให้เตชินเห็นเงาสะท้อนที่น่าเกลียดนั่น”
ผู้ทรงศีลละมือจากการกวาดลานวัด เงยหน้ามองริลณีอย่างจริงจัง
“สิ่งที่โยมเห็นเป็นนิมิตเพื่อเตือนให้โยมเห็นว่าอนิจจังไม่เที่ยง สังขาร ร่างกายที่สวยงามของโยมก็ไม่เที่ยง ความรักก็ไม่เที่ยง ความโกรธ ความแค้นก็ไม่เที่ยง โยมต้องปล่อยวาง อย่ายึดติดกับสิ่งนั้น”
“ทำไมต้องเป็นฉันที่ให้อภัยพวกมัน ในเมื่อฉันไม่ได้เป็นคนผิด พวกมันฆ่าฉัน และพวกมันกำลังพยายามให้ฉันกับคนที่ฉันรักพรากจากกันอีก คนชั่วแบบแบบพวกมันเกินจะให้อภัยแล้ว”
ริลณีพูดอย่างเจ็บแค้น
“ยิ่งยึดมากก็ยิ่งเจ็บมาก ถ้าโยมปล่อยมันได้เมื่อไหร่ โยมก็จะไม่มีทุกข์”
“หลวงพ่อก็พูดได้ เพราะหลวงพ่อไม่เคยถูกคนที่ไว้ใจฆ่า หลวงพ่อไม่รู้หรอก ว่าเวลาที่โดนคนที่ไว้ใจที่สุดหักหลัง มันเจ็บมากแค่ไหน”
“แต่การที่โยมไปฆ่าพวกเค้าก็ไม่ได้ต่างอะไรกับที่พวกเค้าทำกับโยมเหมือนกัน”
ริลณีระงับความโกรธไม่อยู่แล้ว “นี่หลวงพ่อกำลังจะว่าฉันเหมือนคนเลวพวกนั้นเหรอ”
“หยุดซะเถอะโยมริลณี หยุดทุกอย่างที่โยมคิดจะทำ”
“ไม่” เสียงของริลณีตะโกนก้อง “ฉันจะไม่หยุด ให้ใครมาทำร้ายฉันอีกต่อไปแล้ว ใครที่คิดจะทำร้าย และแย่งเตชินไปจากฉัน ฉันฆ่ามัน”
แววตาที่เธอมองผู้ทรงศีลนั้นโกรธเกรี้ยว ก่อนจะหายตัวไป หลวงพ่อได้แต่ยืนหลับตา ไม่รู้จะห้ามอย่างไรดี

รถเอกราชขับมาบนถนนด้วยความเร็ว ขณะที่รถคันหลัง ซึ่งมีสตรีสูงวัยนั่งอยู่เต็มรถ พยายามขับตามและบีบแตรไล่หลัง เอกราชโมโหจนทนไม่ไหว
“เฮ้ย ชักจะเยอะไปแล้วนะ อย่าคิดว่าไม่กล้าเอาเรื่องคนแก่นะเว้ย”
ประวิทย์รีบหันมาบอก “เค้ามีอะไรอยากบอกเรารึเปล่า ลองชะลอดูมั้ย”
หงส์หยกพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นดิ บีบแตรแบบนี้ น่าจะมีอะไรแปลกๆ แล้วล่ะ”
รถเอกราชค่อยๆ ชะลอความเร็วลง จนรถคันหลังที่บีบแตรไล่ขับตามมาทัน ก่อนจะค่อยๆ ขับผ่านไป คนขับและคนที่นั่งมาด้วยในรถทำหน้าเหมือนกลัวๆ อะไรบางอย่าง ก่อนจะชี้ไปบนหลังคารถเอกราช แล้วรีบขับผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ ปริมลดา และหงส์หยก หันมองหน้ากันแปลกๆ
“เค้าชี้บนหลังคาทำไมนะ”
ประวิทย์ถามขึ้นมาลอยๆ หงส์หยกขมวดคิ้วสงสัย
“หรือว่าบนนั้นจะมีอะไร”
ขาดคำ ทุกคนที่อยู่ในรถก็รู้สึกหนาวสันหลังเสียววาบขึ้นมาทันทีโดยไม่มีสาเหตุ ทั้งห้าค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองบนหลังคารถด้วยความสงสัย

ทางด้านเตชินก็ยังคงยืนเคาะประตูห้องน้ำด้วยความเป็นห่วงและกังวล
“รินๆ ได้ยินผมรึเปล่า เปิดประตูสิครับ คุณเป็นอะไรรึเปล่าริน หายเงียบไปแบบนี้ ผมเป็นห่วงนะครับ ริน”
ระหว่างนั้นสมหมายกับหมูหวาน ก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“มีอะไรครับคุณเตชิน เสียงเคาะประตูดังไปถึงข้างล่าง”
“รินน่ะสิ อยู่ดีๆ ก็วิ่งเข้าห้องน้ำไป ไม่รู้เป็นอะไร เรียกก็ไม่ยอมเปิด”
หมูหวานพูดขึ้นมาลอยๆ “คุณรินอาจจะไม่ได้อยู่ในห้องน้ำ”
เตชินหันขวับมองอย่างสงสัย สมหมายรีบแอบเอามือหยิกลูกสาว ก่อนจะพูดแก้ตัวแทน
“คุณรินอาจจะไม่ได้ยินก็ได้”
“ขนาดพี่สมหมายกับหมูหวานอยู่ข้างล่างยังได้ยินเลย รินคงไม่ได้เป็นลมไปหรอกนะ พี่สมหมายไปเอากุญแจมาให้หน่อย ผมจะไขเข้าไป”
สมหมายพยักหน้า ก่อนจะรีบวิ่งออกไป หมูหวานไม่กล้าอยู่ตรงนั้นคนเดียว รีบตามไปด้วย เตชินพยายามเคาะประตูเรียกด้วยความกังวลใจสุดๆ

เอกราชขับเข้ามาจอดข้างทาง ทั้งหมดหันมองหน้ากัน แล้วมองไปบนหลังคาด้วยความรู้สึก สังหรณ์ใจ
เจ้าของรถค่อยๆ เอื้อมมือไปที่ปุ่ม sunroof เพื่อจะกดเปิดออกดู แต่ตุลเทพที่นั่งข้างหลังเอื้อมมือไปห้ามไว้
“แน่ใจนะเว้ย”
“ถ้าไม่พิสูจน์ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
ทุกคนหันมองหน้ากันแบบกล้าๆ กลัวๆ เอกราชตัดสินใจกดปุ่มเปิด Sunroof ทุกคนมองไปข้างบน ผ่าน sunroof ใสๆ แต่กลับไม่เห็นมีอะไรอยู่บนนั้น
“ก็ไม่มีอะไรนี่ สงสัยยายป้าพวกนั้นคงจะเพี้ยน”
ปริมลดาคาดเดา แต่จู่ๆ เอกราชก็กระตุกนิดหนึ่ง ก่อนจะหันขวับคอแข็งมองทุกคนในรถ ด้วยสายตาน่ากลัว แล้วเปล่งคำพูดออกมาด้วยเสียงของริลณี
“เค้าเห็นกูนั่งอยู่บนหลังคารถตามพวกมึงมา เค้าพยายามจะบอกแกไงไอ้พวกโง่”
ทุกคนมองเห็นหน้าริลณีซ้อนอยู่บนหน้าเอกราช ก็ถึงกับผงะตกใจ !!!!
ปริมลดากรีดร้องออกมาด้วยความกลัว “ริลณี”
ประวิทย์ หงส์หยก ตุลเทพ ที่นั่งอยู่ใกล้ประตูรถตกใจ พยายามจะเปิดประตูรถออก แต่ล็อกที่ทั้ง 3 คนเปิดออก กลับกดปิดลงมา ไม่มีใครเปิดประตูรถออกไปได้
หน้าของริลณียังคงซ้อนอยู่บนหน้าของเอกราช
“พวกมึงคิดว่าจะหนีกูพ้นงั้นเหรอ กูบอกแล้วไง ว่ากูจะไม่มีวันปล่อยพวกมึงไปอีก”
ขาดคำเอกราชที่ถูกริลณีสิงร่าง ก็เข้าเกียร์เหยียบคันแร่ง ก่อนจะขับรถกระชากออกไปบนถนนอย่างเร็วและแรง ทุกคนตกใจกลัวกันจนลนลาน
“ใครก็ได้ ทำอะไรหน่อยสิวะ ขับเร็วแบบนี้เดี๋ยวก็ได้ตายกันหมดหรอก”
ตุลเทพโวยวายลั่น หงส์หยกรีบท้วง
“แต่นั่นไม่ใช่เอกราชนะ นั่นมันผีริลณี”
เอกราชหัวเราะออกมาเป็นเสียงริลณีด้วยความสะใจ
“เดี๋ยวกูจะส่งพวกมึงทุกคน ตามไปอยู่กับไอ้เชิงชายในนรก”
ขาดคำ ริลณีในร่างเอกราชหักพวกมาลัยรถให้รถแล่นไปที่ถนนอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันรถบรรทุกสิบล้อ ก็แล่นสวนทางมาด้วยความเร็วไม่แพ้กัน
ทุกคนในรถเห็นว่ารถกำลังจะพุ่งชนรถบรรทุกที่แล่นสวนมาเต็มๆ ปริมลดาร้องลั่น
“อ๊าย จะชนรถนั่นแล้ว”
ประวิทย์พยายามพูด “ตั้งสติสิเอกราช อย่าให้ผีนั่นมันฆ่าพวกเรา”
ปริมลดาเอามือทั้งดึง ทั้งทึ้งแขนเอกราช “หยุดสิ ได้ยินมั้ย ฉันยังไม่อยากตาย”
หงส์หยกร้องไห้เสียงดังด้วยความกลัว ตุลเทพโมโห
“จะพูดหาอะไรกันวะ ไอ้เอกราชมันไม่รู้เรื่องหรอก จะทำอะไรก็รีบทำเร็วๆ เถอะ อยากตายกันหมดรึไง”
รถเอกราชกำลังจะพุ่งชนรถบรรทุกอยู่แล้ว ประวิทย์ตัดสินใจเข้าไปแย่งหักพวงมาลัยไปอีกทาง จนหลบรถบรรทุกไปได้อย่างเฉียดฉิว ทุกคนถอนหายใจเฮือก
เอกราชที่โดนริลณีสิงร่างหันมองหน้าทุกคน ด้วยแววตาที่ทั้งโกรธและแค้น
“พวกมึงคิดว่าจะรอดไปได้ง่ายๆ เหรอ”
ขาดคำผีริลณีก็ควบคุมให้เอกราชเหยีบบคันเร่งอีก ก่อนจะหักรถเพื่อพุ่งชนต้นไม้ที่อยู่ข้างทาง
ประวิทย์พยายามจะหักพวงมาลัยอีก แต่เอกราชหันขวับมามอง กลายเป็นหน้าของผีริลณี บังคับให้มือเอกราชบีบคอประวิทย์จนหายใจไม่ออก
หงส์หยกร้องไห้ด้วยความกลัวสุดขีด
“คราวนี้พวกเราไม่รอดแล้ว”

ในเวลาเดียวกัน ก็มีใครบางคนเปิดประตูเดินลงมาจากรถ ก่อนจะเดินไปหยุดยืนอยู่กลางถนน พร้อมกับเสียงบริกรรมคาถา
เอกราชที่กำลังขับรถชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะเห็นเป็นหน้าริลณี มองไปที่ชายคนที่ยืนขวางทางอยู่บนถนนด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
“คิดว่าจะทำอะไรฉันได้เหรอ”
เอกราชเหยียบคันเร่งจนมิด ก่อนหักพวงมาลัยจะพุ่งชนชายคนที่ขวางอยู่บนถนนเต็มที่
ที่แท้ชายคนนั้นก็คืออาจารย์ดำ ที่กำลังหลับตายืนนิ่ง สวดบริกรรมคาถาอยู่กลางถนนอย่างมีสมาธิ
รถเอกราชขับพุ่งใกล้เข้ามาๆ อาจารย์ดำยิ่งนิ่ง เสียงบริกรรมคาถายิ่งหนักแน่น แน่วแน่ และกล้าแกร่ง
ประวิทย์ที่โดนบีบคออาการเริ่มแย่แล้ว ปริมลดากับหงส์หยกได้แต่กรีดร้องด้วยความกลัว
ตุลเทพรีบก้มตัวเตรียมรับการปะทะเต็มที่
เสียงบริกรรมคาถาของอาจารย์ดำดังเข้ามาในรถ เอกราชที่กำลังขับรถอยู่ชะงัก ก่อนจะคลายมือออก ประวิทย์ที่ได้สติรีบตะโกนเตือน
“เอกราชระวัง”
เอกราชที่ได้สติ ก็รีบเหยียบเบรคเอี๊ยดตรงหน้าอาจารย์ดำที่ยืนอยู่พอดิบพอดี
จอมขมังเวทย์ลืมตามองขึ้นไปบนหลังคารถ เห็นผีริลณียืนจ้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัว ทั้งสองจ้อง
ตาสู้กันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
อาจารย์ดำบริกรรมคาถา แล้วจ้องไป ริลณีกรีดร้องเจ็บปวด จนทนไม่ไหว ต้องหายตัวไปจากตรงนั้น

กลุ่มชายโฉดหญิงชั่ว มองด้วยความศรัทธา

สมหมายวิ่งนำหน้าหมูหวานเข้ามา ก่อนจะรีบยื่นกุญแจให้เตชิน

“นี่ครับ กุญแจไขห้องน้ำ”
เตชินรับกุญแจมา แล้วรีบเดินไปที่หน้าประตูกำลังจะไข แต่ล็อกด้านในประตูถูกปลดออก ก่อนประตูจะค่อยๆ เปิดออก ริลณียืนหน้านิ่งๆ เรียบๆ มองทุกคน
“ริน คุณเป็นอะไรรึเปล่า ผมเคาะประตูเรียกคุณตั้งนาน ทำไมคุณไม่ตอบกลับผมบ้าง รู้มั้ยว่าผมเป็นห่วง”
ริลณีพูดแก้ตัว “รินคงอาบน้ำเพลิน เลยไม่ได้ยิน”
“เป็นไปไม่ได้หรอก ผมเรียกคุณดังลั่นบ้านขนาดนั้น รินทำอะไรกันแน่”
“รินอาบน้ำอยู่จริงๆ นะคะ”
หมูหวานหันไปกระซิบพูดกับสมหมาย
“อาบน้ำอะไรไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเช้าคุณรินก็ใส่ชุดนี้นะ อุ๊บ”
สาวใช้จอมแก่นรีบปิดปาก เมื่อเห็นเตชินและริลณีได้ยินสิ่งที่เธอพูด
เตชินหันมามองชุดริลณีหน้าเครียด หมูหวานคิดว่าต้องเกิดเรื่องแน่รีบลากพ่อออกไปทันที
“ทำไมรินต้องโกหกผมด้วย”
เตชินพูดด้วยอารมณ์ผิดหวัง ก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทางโกรธ ริลณีตกใจรีบเดินตามไปทันที

อาจารย์ดำเดินนำเอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ ปริมลดา และหงส์หยกเข้ามาในคอนโดกว้าง ที่ตกแต่งแบบทันสมัย แม้จะดูลึกลับ แต่ก็มีรสนิยม จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นตำหนักหมอผี
“อาจารย์ไปช่วยพวกเราได้ยังไงครับ รู้ได้ยังไงว่าพวกเราเดือดร้อน”
เอกราชถามขึ้นมาด้วยความสงสัย อาจารย์ดำหันมามองทุกคนยิ้มๆ
“ฉันนั่งสมาธิเพ่งกระแสจิต แล้วรู้ว่านายกำลังเดือดร้อนก็เลยรีบไปช่วย อย่าลืมสิ นายเป็นลูกค้าระดับวีไอพี ฉันมีหน้าที่ดูแลคุ้มครองนาย ทั้งจากสิ่งที่มองเห็น และมองไม่เห็นอยู่แล้ว”
อาจารย์ดำพูดพร้อมกับตบบ่าเอกราชเบาๆ
“ขอบคุณอาจารย์มากนะครับ ถ้าอาจารย์มาไม่ทัน ผมกับเพื่อนคงต้องตายแน่ๆ”
จอใขใงเวทย์มองหน้าทุกคนด้วยความแปลกใจ
“แล้วทำไมผีตนนั้นถึงตามทำร้ายทุกคนขนาดนี้”
ทุกคนไม่มีใครกล้าพูด จนเอกราชต้องตัดสินใจโกหกออกไป
“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันครับ มันตามเล่นงานพวกเรามาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”
“แต่ปกติ ผีจะไม่ทำร้ายคนที่ไม่มีเวรกรรมต่อกันนะ”
อาจารย์ดำจ้องหน้าทั้ง 5 คนเหมือนจะรู้อะไร ทุกคนหน้าเสีย
“พวกเธอคงไปทำอะไรผีตัวนั้นไว้โดยไม่รู้ตัวแน่”
ทั้งหมดโล่งอก ที่อาจารย์ดำยังไม่รู้ความจริง ประวิทย์ถามขึ้นมาอย่างร้อนใจ
“แล้วพวกเราควรจะทำยังไงละครับ”

เตชินเดินออกมาด้วยความโมโห ริลณีพยายามจะตามเข้าไปอธิบาย
“เดี๋ยวก่อนสิคะเตชิน ฟังรินอธิบายก่อน”
“ผมบอกรินแล้วใช่มั้ย ว่าเรื่องอะไรผมก็รับได้ทุกเรื่อง แล้วทำไมรินถึงไม่บอกความจริง รินมีอะไร ทำไมถึงต้องปิดบังผมตลอดเวลา รินไม่เคยไว้ใจ ไม่เคยเห็นผมพึ่งพาได้เลยใช่มั้ย”
ริลณีหน้าเศร้า “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะเตชิน คุณคือคนเดียวที่รินไว้ใจ”
เตชินเข้าไปจับไหล่ทั้งสองข้างของริลณีไว้ แล้วจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวยของเธอ
“งั้นบอกผมว่าเมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้น รินเข้าไปอยู่เงียบๆ ในห้องน้ำทำไมตั้งนาน”
ริลณีอึกอักพูดไม่ออก “เอ่อ คือ ริน”
เตชินยิ่งโกรธ ปล่อยแขนออกจากไหล่ริลณีทันที
“ผมเข้าใจแล้วหละ รินไม่ไว้ใจผมจริงๆ”
พูดเสร็จก็เดินลงบันไดบ้านไป ริลณีพยายามจะเรียกเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมหันกลับมา เธอถึงกับทรุดลงไปกองที่พื้นด้วยความเจ็บปวดหัวใจ

ของขลัง 5 ชิ้น รวมกันเป็น 5 แฉก ถูกเผาอยู่บนเปลวไฟร้อน ตรงหน้าอาจารย์ดำในชุด
สีขาว ที่กำลังสวดคาถาปลุกเสกของขลังทำพิธี โดยมีเอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ ปริมลดาและหงส์หยกนั่งมองอย่างใจจดใจจ่อ
หลังจากนั้นจอมขมังเวทย์ก็หยิบของทั้งห้าอย่างโยนใส่เปลวไฟเพื่อทำพิธี เปลวไฟลุกพรึ่บ
“ของขลัง 5 แฉก 5 ชิ้น ถูกปลุกด้วยของมวลสาร 5 สิ่ง 1. ผงชอล์กจากการเขียนอักขระ
เลขยันต์ 2.น้ำมันว่าน 3.ไม้มะยมตายพราย 4.สายสินธุ์อาคมเจ็ดวัด และ 5. เลือดเจ้าของเครื่องราง 5 คนที่รวมเป็นหนึ่งเดียว”
หงส์หยกได้ฟังอย่างนั้นก็หน้าเสีย
“อย่าบอกนะคะว่า อาจารย์จะเอาเลือดของพวกเรา 5 คน”
ปริมลดารีบส่ายหน้าหนี “ไม่เอาหรอก เจ็บจะตาย หนูไม่อยากเจ็บหรอกนะ”
ตุลเทพนึกรำคาญ จนต้องหันมาทำหน้าดุใส่
“อย่าเรื่องมากได้มั้ย จะยอมเจ็บนิดเดียว หรือว่าโดนนังผีนั่นฆ่า ก็เลือกเอาเองก็แล้วกัน อาจารย์ครับ ผมพร้อม”
ขาดคำก็หยิบมีดขึ้นมากรีดนิ้วตัวเอง ก่อนจะปล่อยให้เลือดหยดลงในแก้วที่อาจารย์ดำวางไว้ จากนั้นก็ยื่นมีดให้เอกราช และประวิทย์กรีดต่อ ปริมลดาและหงส์หยก แม้ทีแรกจะไม่กล้าแต่สุดท้ายก็ยอมตัดใจกรีดเลือดตัวเองหยดลงในแก้วจนครบทั้ง 5 คน
อาจารย์ดำหยิบแก้วเลือดเทลงในเปลวไฟ เห็นไฟลุกฟู่ ก่อนจะหลับตาบริกรรมคาถาอย่างมีสมาธิแน่วแน่ พลันร่างในชุดสีขาวก็เริ่มกระตุกๆ สั่นๆ แรงขึ้นๆ จนฟุบตัวพับลงไปบนพื้น พร้อมกับไฟที่เผาเครื่องรางดับวูบไป
เอกราช ประวิทย์ ปริมลดา หงส์หยก สะดุ้งตกใจ ตุลเทพค่อยๆ ชะโงกหน้าเข้าไปมอง จู่ๆ อาจารย์ดำก็เงยหน้าขึ้น ทำเอาฝ่ายแรกตกใจจนแทบหงายหลัง
“ตราบใดที่เครื่องรางยังครบ 5 แฉก ก็ไม่มีทางที่ผีร้ายตัวไหนจะทำอะไรทุกคนได้”
อาจารย์ดำพูดพลางหยิบเครื่องราง 5 แฉก แจกให้ทุกคน คนละ 1 แฉก
“จำเอาไว้ เก็บเอาไว้ติดตัว ห้ามถอดเป็นอันขาด”

ทุกคนรีบรับเครื่องรางมาถือไว้ อาจารย์ดำยิ้มอย่างมั่นใจ

รถของปริมลดาแล่นเข้ามาจอดที่หน้าร้านขายหมูของหงส์หยกที่ปิดประตูเรียบร้อยแล้ว

ปริมลดาเดินลงจากรถมาพร้อมกับหงส์หยก ก่อนจะมองเครื่องราง 5 แฉกของตัวเองด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจ
“แกว่าไอ้เครื่องรางอะไรเนี่ยมันจะได้เรื่องแน่เหรอ ฉันว่าอาจารย์นั่นดูแปลกๆ”
“ถ้าแปลกจริง เอกราชเค้าคงไม่จ้างไว้เป็นที่ปรึกษาบริษัทเค้าหรอกน่า จำไม่ได้เหรอ
ตอนที่ไปเปิดโรงแรมเอกราช เค้าก็ทักว่าชมพูผีเข้า”
“เออใช่ คิดไปถึงวันนั้น ฉันมีเรื่องคาใจอยู่อย่าง ที่ผีนังริลณีมาบอกแกว่า อย่ายุ่งกับผัวของมัน ใครคือผัวมัน แล้วแกไปยุ่งกับใคร”
หงส์หยกตกใจหน้าตาหลุกหลิก รีบทำเนียนตอบเหมือนไม่มีอะไร
“แค่ตรรกะว่าฉันไปยุ่งผัวของผีมันก็เพี้ยนแล้ว ผีที่ไหนจะมีผัว ใช่มั้ย”
“เออก็จริง นังผีนั่น มันโง้ โง่เนอะหนังหน้าอย่างเธอ ถ้าไปแซะผู้ชายก่อน ผู้ชายเค้าคงสยองยิ่งกว่านังผีนั่นหลายเท่า”
ปริมลดาพูดอย่างสะใจ โดยไม่เห็นมือหงส์หยกกำแน่นเพราะโกรธ แต่หน้ายังยิ้มแย้มเหมือนไม่รู้สึกอะไร ฝ่ายแรกยังเพ้อต่อ
“แต่คิดถึงวันนั้นแล้วเจ็บใจเรื่องเตชิน ไม่น่าพลาด”
“ไว้เธอก็ค่อยหาแผนใหม่แล้วกันเนอะ ฉันเข้าบ้านก่อนนะ ง่วง”
ปริมลดาพยักหน้าให้ ก่อนจะเดินกลับขึ้นรถ หงส์หยกทำเป็นยิ้มแย้มยืนรอส่ง แต่ทันทีที่รถแล่นออกไป รอยยิ้มนั้นก็เปลี่ยนเป็นร้าย
“ชิ!!ตะกี้ไม่น่าเชือดแค่นิ้วเลย น่าจะเชือดคอแกให้ขาดซะเลยนะนังปริมลดา เอาน่ะ จะช้าหรือเร็วแกก็เสร็จฉันอยู่ดีล่ะ อีโง่”

หงส์หยกเดินเข้ามาในบ้าน ป๊าที่แต่งตัวหล่อกำลังจะออกไปข้างนอก หันมาเห็นก็รีบเดินเข้าไปแบมือของเงินทันที
“ขอเงินปะป๊า ไปทำทุนสักพันสองพันสิ”
“เมื่อไหร่จะเลิกเข้าบ่อนสักทีเนี่ย หนูไม่มีเงินจะตามไปจ่ายหนี้ให้ป๊าแล้วนะ”
หงส์หยกทำหน้าหงุดหงิด
“ก็คราวที่มันพลาด แต่คราวนี้รวยแน่ ชัวร์ เร็วสิ ป๊าจะรีบไป “
หงส์หยกส่ายหน้ายิก “หนูไม่มีจริงๆ”
“ก็เพราะลื้อเอาเงินไปแต่งตัวงซะเว่อร์ เป็นการลงทุนที่เสียเปล่ามาก”
หงส์หยกของขึ้นทันที “ป๊าพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
“เอ้า ก็ลื้อแต่งตัวขนาดนี้ ยังไม่มีผู้ชายสนใจเลย สู้เอาเงินมาให้อั๊วไปต่อทุนยังจะคุ้มค่ากว่า เฮ่อ”
ป๊าพุดแล้วก็เดินส่ายหน้าออกไปด้วยความผิดหวัง หงส์หยกที่โดนดูถูกโกรธจนตัวสั่น ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องนอน แล้วปิดประตูกระแทกปัง คำดูถูกของปริมลดา และป๊ายังก้องในนหู
“ดูถูกกันนักใช่มั๊ย คอยดูเถอะ หน้าอย่างฉันนี่แหละ จะหาผู้ชายดีๆ มาให้ดูเอง”
หงส์หยกหยิบโทรศัพท์เปิดรูปที่ถ่ายไว้แบล็คเมล์เตชินขึ้นดู ก่อนจะยิ้มร้ายอย่างสะใจ

เตชินนั่งอยู่ข้างเตียง มองสร้อยที่กำลังขยับแขนขยับขาให้จิตรา ด้วยสายตาเหม่อๆ เหมือนกำลังมีเรื่องครุ่นคิด
“คุณหมอบอกว่าคุณหญิงฟื้นตัวเร็วมาก พยายามฝึกพูด ขยันทำกายภาพไม่มีบ่นเลยค่ะ สร้อยว่าที่คุณหญิงอยากหาย เพราะมีเรื่องอยากบอกคุณเตชินแน่นอนเลยค่ะ คุณเตชินคะ คุณเตชิน”
เตชินสะดุ้งโหยง “มีอะไรครับพี่สร้อย”
“โหย สร้อยพูดตั้งยาว ไม่ฟังสร้อยสักนิด”
จิตราพยายามขยับมือไปจับมือเตชินเอาไว้ และพยายามจะพูดกับลูกชาย ว่าริลณีเป็นผี แต่เสียงก็อ้อแอ้ฟังไม่ได้ศัพท์
“คุณแม่พูดว่าอะไรเหรอครับ”
สร้อยส่ายหน้า “สร้อยก็ไม่รู้หรอกค่ะ แต่สร้อยเห็นพูดแบบนี้ทั้งวัน ทุกวัน”
“คุณแม่ อยากจะพูดอะไรกับผมใช่มั้ยครับ”
จิตราจับมือลูกชายแน่นขึ้น พร้อมกับพยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบ
“คุณแม่อยากจะพูดอะไรครับ ลองพูดช้าๆ นะครับ ผมจะลองฟัง”
จิตรามองหน้าเตชิน ก่อนจะขยับปากพูด อย่างตั้งใจ แม้เสียงจะยังฟังออกมาไม่รู้เรื่อง แต่ก็พอจับใจความได้ว่า “ริลณี”
สร้อยพยายามฟัง “สร้อยฟังออกแล้วๆ คุณหญิงจะพูดว่า ริลณีใช่มั้ยคะ”
จิตรายิ้มดีใจ รีบพยักหน้าช้าๆ เป็นเชิงตอบรับ เตชินมองอย่างแปลกใจ
“ริลณี รินทำไมเหรอครับคุณแม่”
จิตราพยายามพูดคำว่าเป็นผี แต่ก็ฟังไม่ร้เรื่อง
“ว่าไงครับพี่สร้อย คุณแม่พูดว่าอะไร”
2 แม่ลูกมองลุ้น มั่นใจว่าสร้อยฟังออกแน่
“สร้อยก็ฟังไม่ออกค่ะ ไว้สร้อยจะพยายามแกะโค้ทลับให้ได้นะคะ”
เตชินทำหน้าเซ็งไม่รู้ว่าจิตราพยายามจะบอกว่าริลณีทำอะไร ? ทันใดนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก่อนจะเห็นว่าหงส์หยกเป็นคนโทรมา
“เดี๋ยวผมมานะครับคุณแม่”
พุดพลางรีบลุกขึ้นเดินออกไป จิตรามองตามด้วยสายตาที่เป็นห่วง อยากบอกความจริงเรื่องที่ “ริลณีเป็นผี” ให้ลูกชายรู้โดยเร็ว

เตชินเดินเลี่ยงออกมา กดรับโทรศัพท์หงส์หยกด้วยความแปลกใจ
“สวัสดีครับ คุณหงส์หยก มีอะไรรึเปล่าครับ”
หงส์หยกที่อยู่ทางปลายสายนั่งอยู่บนโต๊ะในห้องนอน กำลังใช้คอมพิวเตอร์แต่งภาพตัวเองกับ
เตชินบนเตียง
“หงส์หยกมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับคุณเตชินค่ะ พรุ่งนี้คุณเตชินว่างมั้ยคะ”
“เรื่องสำคัญอะไรเหรอครับ”
“เรื่องนี้ คุยทางโทรศัพท์ไม่ได้หรอกค่ะ”
เตชินทำหน้าแปลกใจ “ทำไมล่ะครับ”
“ก็เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญของเรา 2 คนน่ะสิคะ”
“พอจะบอกก่อนได้มั้ยครับ ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร”
“คืนงานเปิดตัวโรงแรมของเอกราชค่ะ”
ภาพเสื้อผ้าของผู้หญิงที่กองอยู่กับพื้นในห้องตอนที่เขาตื่นขึ้นมาแว่บเข้ามาในหัว เตชินหน้าเครียด รู้สึกกังวลขึ้นมาทันที

“งั้นก็ไม่มีปัญหาครับ คุณหงส์หยกจะนัดผมที่ไหน"

หงส์หยกกดวางโทรศัพท์ด้วยความพอใจ สายตาแลเลยไปที่รูปในจอคอมพิวเตอร์ที่แต่งเสร็จพอดี

“รูปนี้แหละที่จะเปลี่ยนชีวิตของฉัน”
พูดจบก็ยิ้มสะใจ แล้วกดปิดคอมพิวเตอร์ ทันทีที่หน้าจอดับ เหลือแต่จอสีดำ เห็นเงาสะท้อนของผีริลณีอยู่ข้างหลัง หงส์หยกตกใจรีบหันขวับไปดู เจอผีริลณียืนจ้องด้วยสายตาโกรธแค้น
“กู บอก แล้ว ใช่ มั๊ย ว่า อย่า ยุ่ง กับ ผัว กู”
พูดเสร็จก็ใช้มือจะแทงทะลุเข้าไปที่หน้าอกข้างซ้าย ตั้งใจจะควักหัวใจออกมา แต่มือกลับไปโดนเครื่องราง 5 แฉกที่หงส์หยกใส่อยู่ แสงจากเครื่องรางสำแดงอิทธิฤทธิ์ วิญญาณแค้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะหายแวบไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
หงส์หยกที่นั่งอึ้งกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า พลางก้มมองเครื่องราง 5 แฉก อย่างไม่อยากเชื่อ

ผีริลณีปรากฏร่างที่บนระเบียงบ้าน ในสภาพสะบักสะบอม และเจ็บปวด สมหมายที่เดินตรวจดูความเรียนร้อยภายในบ้านผ่านมาเห็น รีบหันไปมอง ก่อนจะเห็นร่างนั้นกลายสภาพกลับเป็นสาวสวยตามปกติ แล้วเดินเข้าบ้านไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สมหมายอึ้งช็อก อยากจะแหกปากตะโกนร้องแต่ไม่กล้า ต้องเอากำปั้นยัดปากตัวเองเอาไว้
แล้วรีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง รีบเก็บเสื้อผ้าข้าวของทุกอย่างลงกระเป๋าอย่างเร็วจี๋ หมูหวานที่กำลังจะนอนถึงกับตกใจ กำลังจะอ้าปากถาม แต่ถุกพ่อยกมือห้ามไว้
“ไม่ต้องถาม รีบเก็บของใส่กระเป๋า แล้วไปจากบ้านนี้ให้เร็วที่สุด”
“จะไปคืนนี้เลยเนี่ยนะพ่อ”
สมหมายพูดไปเก็บของไป “ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“อย่าบอกนะว่า พ่อเจอ...”
“เจอเต็มชัด จัดเต็ม ยิ่งกว่าจอ HD อีก”
หมูหวานตบเข่าฉาด “ก็หนูบอกแล้ว พ่อไม่เชื่อ”
“ตอนนี้กูเชื่อแล้ว รีบไปเก็บกระเป๋าเถอะ กูกราบ”
ขาดคำเสียงหมาก็พร้อมใจกันหอนระงม 2 พ่อลูกมองหน้ากัน ก่อนจะรีบช่วยกันเก็บกระเป๋าทันที

ริลณียืนอยู่หน้ากระจก ยืนมองข้าวของเครื่องใช้ของเตชินด้วยความเศร้าใจ ก่อนจะค่อยๆ ใช้มือสัมผัสของเหล่านั้น ก่อนจะหยิบหวีขึ้นมาจูบ พร้อมกับน้ำตาที่รินไหลด้วยความเจ็บปวด
ภาพสะท้อนในกระจก คือภาพผีที่น่าเกลียดน่ากลัว
“ถ้าคุณรู้ว่าริน ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด คุณจะยังรักริน แล้วอยากอยู่กับรินรึเปล่าคะ เตชิน”

ริลณีจ้องภาพสะท้อนตัวเองด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความรันทดหดหู่ใจเหลือคณา

อ่านต่อหน้า 2

นางชฎา ตอนที่ 12 (ต่อ)

บ้านทรงไทยยามไร้แสงไฟก็ดูน่ากลัว น่าสยดสยองอยู่แล้ว เสียงร้องไห้โหยหวน ชวนขนลุกของผีริลณีดังออกมาจากข้างในบ้าน ยิ่งเพิ่มความน่าสะพรึงให้กับบ้านหลังนี้มากยิ่งขึ้น

เสียงร้องไห้อย่างโหยหวนของริลณีดังแว่วเข้ามา เตชินที่นอนฟุบนอกอยู่ข้างเตียงจิตราสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ
“ริน”
สร้อยหันมองเตชินด้วยความตกใจ จิตรามองลูกชายอย่างเป็นห่วง พยายามพูด แต่ก็ฟังเข้าใจยากเต็มที “เป็น อะ ไร”
“คุณหญิงถามว่าคุณเตชินเป็นอะไรค่ะ” สร้อยช่วยแปล
“ผมฝันร้ายถึงรินนิดหน่อยครับ”
จิตราทำหน้าไม่สบายใจ จังหวะนั้นณรงค์ก็เดินเข้ามาในห้อง พลางมองลูกชายอย่างรู้ทัน
“ทะเลาะอะไรกันมาล่ะสิ ถึงได้เครียดจนนอนฝันแบบนี้”
เตชินรีบหลบตา “ก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันมากหรอกครับ”
“ถ้าไม่มากจริง แกคงไม่หนีมานอนเฝ้าแม่ทั้งคืนแบบนี้หรอกมั้ง”
เตชินก้มหน้านิ่งไม่ตอบ แต่ทุกคนในห้องรู้ว่าใช่ ณรงค์เดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า
“ถ้ามีปัญหาก็อย่าปล่อยไว้จนกลายเป็นเรื่องบาดหมาง ควรจะเคลียร์กันให้จบ ไม่ใช่หลบมาที่นี่ รีบกลับไปหาแฟนแกซะ อย่าปล่อยให้เค้าคิดมากอยู่คนเดียว”
เตชินเงยหน้ามองพ่อ แล้วก็คิดได้
“ผมใจร้อนไปหน่อย น่าจะคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่น่าทิ้งเค้าไว้คนเดียวอย่างนั้นจริงๆ งั้นผมรีบกลับไปหารินนะครับ ป่านนี้ใจเสียแย่”
ขณะกำลังขยับจะลุกขึ้น ถูกจิตราคว้าข้อมือไว้ไม่ยอมให้ไป ทั้งพยายามดึงรั้ง และพูดอะไรบางอย่างแต่ฟังไม่รู้เรื่อง
โดยคุณหญิงอยากบอกลูกชายว่า “อย่าไปๆๆ ริลณีเป็นผี”
“คุณแม่จะพูดอะไรเหรอครับ”
สร้อยรีบส่ายหน้า “อันนี้สร้อยก็ฟังไม่รู้เรื่องค่ะ”
จิตราพยายามพูดซ้ำไปซ้ำมาไม่ยอมหยุด แถมยังไม่ยอมปล่อยมือเตชิน จนณรงค์ต้องเข้าไปปลอบ
“ปล่อยลูกไปเถอะคุณ ลูกเลือกแล้ว ยังไงก็คงเปลี่ยนแปลงไม่ได้”
จิตรายังพูดซ้ำๆ ทั้งที่ไม่มีใครฟังรู้เรื่อง
“ลูกไปเถอะ เดี๋ยวพ่อดูแลแม่เค้าเอง”
เตชินแม้จะห่วงแม่ไม่น้อย แต่จำใจต้องเดินออกไป จิตรายังพยายามพูดว่าริลณีเป็นผีๆ ไม่หยุด จนณรงค์และสร้อยต้องพยายามปลอบกว่าจะสงบได้

สร้อยเดินออกมาหน้าห้องพยายามครุ่นคิด เสียงจิตราที่โวยวายดังก้องในหัว
“ริลณีเป็นผี ๆ”
“ทำไมคุณหญิงถึงพูดประโยคซ้ำๆ แบบนั้นตั้งแต่เมื่อคืน หรือว่าคุณหญิงอยากจะบอกคุณเตชิน เกี่ยวกับเรื่องคุณริน แต่มันอะไร ทำไมถึงฟังไม่ออกสักที”

เตชินวิ่งขึ้นมาบนบ้านทรงไทยที่เงียบสงัด วิ่งปราดไปเปิดประตูห้องนอน แล้วก็พบว่าภายในห้องว่างเปล่า ริลณีไม่ได้อยู่ในห้องนั้น เขาตกใจ ลนลาน รีบวิ่งไปดูทั่วบ้าน แต่ก็ไม่พบ
“คุณคงไม่ได้โกรธ แล้วหนีผมไปนะริน”
เตชินรู้สึกใจเสียและโกรธตัวเอง กลัวว่าริลณีจะไม่อยู่จริงๆ แต่แล้วเสียงร้องไห้ของเธอก็ดังแว่วเข้ามา เขารีบเดินตามเสียงไปทันที ก่อนจะเห็นริลณีนั่งร้องไห้อยู่บนหลุมฝังศพของตัวเอง เขามองภาพนั้นแบบ อึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงค่อยๆ เดินเข้าไปหาริลณีที่กำลังร้องไห้ ด้วยความรู้สึกผิด
“ริน ทำไมรินถึงมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้ อย่าบอกนะว่ารินนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคืน”
ริลณีเงยหน้ามองเตชินด้วยสายตาปวดร้าว
“จะอยู่เมื่อกี๊ อยู่ทั้งคืน หรืออยู่รอคุณมานานแสนนานตรงนี้ ก็ไม่มีความหมายกับคุณไม่ใช่เหรอคะ”
เตชินได้ฟังก็รู้ว่าริลณีโกรธและประชด รีบเข้าไปนั่งตรงหน้าและจับมือไว้
“ริน ผมขอโทษ ผมผิดเองที่ทิ้งคุณไปแบบนั้น”
ริลณีก้มหน้าเศร้า
“รินต่างหากที่ผิดเอง ถ้ารินไม่กลับมาหาคุณ มาอยู่กับคุณ คุณก็คงไม่โกรธ ไม่เกลียดรินแบบนี้”
“ผมจะโกรธ เกลียด คนที่ผมรักได้ยังไง ผมสัญญานะครับ ว่าจะไม่ทิ้งรินให้อยู่คนเดียว แล้วก็จะไม่ทำให้รินร้องไห้อีกแล้ว”
พูดพลางเอื้อมมือไปปาดเช็ดน้ำตาให้
“ขอให้คุณรู้นะคะเตชิน ว่าเหตุผลเดียวที่รินยังมีชีวิตอยู่ ก็เพราะคุณคนเดียวเท่านั้น และเหตุผลเดียวที่รินจะไป ก็คือคุณไม่รักและไม่ต้องการรินแล้ว”
“มันจะไม่มีวันเป็นแบบนั้นเด็ดขาด รินก็รู้ว่าผมไม่มีวันจะเลิกรักริน จะไม่มีอะไรพรากเรา 2 คนไปได้ แม้แต่ความตายไม่ใช่เหรอ”
ริลณีพยักหน้า แววตาโศก “ใช่ค่ะ ไม่มีอะไรพรากเราได้ แม้แต่ความตายจริงๆ”
“งั้นรินหายโกรธผมแล้วนะครับ”
ดวงตาที่มุ่งมั่นของเตชินมองไปที่ดวงตาคู่สวยของริลณี
“รินไม่เคยโกรธคุณเลย”
“งั้นแสดงว่าเรา 2 คนไม่โกรธกันแล้วนะครับ”
เตชินเช็ดน้ำตาให้ริลณี มองหน้ากันด้วยความเข้าใจ แล้วก็โผกอดกันแน่น แววตาผีของริลณี ฉายแววแห่งความสุขและอิ่มใจ

ห้องนอนสมหมาย หมูหวาน ถูกเก็บข้าวของจนกระจุยกระจาย เตชินมองด้วยความแปลกใจ
“แล้ว 2 คนนี้หายไปไหน ทำไมอยู่ๆหายไปโดยที่ไม่บอกผม”
ริลณีรีบบอก “เค้าหนีออกไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วล่ะค่ะ”
“หนีไป เค้าจะหนีไปทำไม ผมไม่เข้าใจ”
“เค้าคงจะเจออะไรที่เค้าไม่อยากเจอมั้งคะ ก็ดีแล้วละค่ะ คนที่ชอบยุ่ง สาระแนเรื่องคนอื่นแบบนั้น ออกไปซะได้ก็ดี ไม่อย่างนั้นคงต้องเจอดีเข้าสักวัน”
ริลณีพูดเสร็จก็ยิ้มด้วยแววตาที่น่ากลัว เตชินที่เงยหน้ามาเห็นพอดี ถึงกับชะงักตกใจ
“มีอะไรรึเปล่าคะเตชิน”
เตชินมองริลณีอีกครั้ง ก่อนจะเห็นว่าแววตาที่น่ากลัวนั้นหายไป กลายเป็นแววตาปกติ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมคงตาฝาด รินจะให้ผมหาคนใหม่มั้ยครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ยิ่งคนเยอะเรื่องยิ่งแยะ อยู่กันเงียบๆ 2 คนน่ะดีแล้วค่ะ”

ริลณียิ้มอย่างสุขใจ ตรงข้ามกับเตชินที่แอบรู้สึกแปลกๆ กับแววตานั้นของเธอ

“อะไรนะ อยู่ดีๆ 2 พ่อลูกก็หอบข้าวหอบของออกมาจากบ้านริน”

เฟื่องฟ้าโวยวายเสียงดังลั่น จนชมพูและเอทีเอ็มที่กำลังช่วยกันจัดขนมใส่จานให้เด็กๆ หันมามองหน้าพร้อมกัน
“แล้วทำไมเธอต้องตื่นเต้นจนเว่อร์แบบนั้นด้วย” เอทีเอ็มทำหน้างง
“เอ้า แล้วนายไม่คิดว่าแปลกเหรอ อยู่ดีๆ คน 2 คน หนีออกจากบ้านมาดึกๆ ดื่นๆ แสดงว่าต้องไปเจออะไรดีๆ มาแน่”
“พอเลยๆ เอะอะก็ตบเข้าเรื่องผีตลอด ถ้าบ้านนั้นมีผีจริง แล้วรินจะอยู่ได้ยังไง”
เฟื่องฟ้าอึกอัก
“ก็รินอาจจะไม่เจอผี เพราะริน เอ่อ...”
“นี่ จะพูดอะไรให้คิดหน่อยนะ รินทำไม” เอทีเอ็มถามย้ำ
“พูดไปนายก็คงไม่เชื่อ เอาไว้ฉันหาหลักฐานสิ่งที่ฉันคิดได้ก่อน แล้วฉันจะบอกนาย นี่ชมพู ฉันขอไปคุยกับพี่สมหมายกับหมูหวานหน่อยได้มั้ย ฉันอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ชมพูหน้าเครียดๆ เหมือนมีเรื่องขบคิด
“ก็เอาสิ แต่พวกเค้าจะบอกรึเปล่าไม่รู้นะ เพราะฉันถามเค้าก็ไม่ยอมบอกอะไร”
“ไม่มีปัญหา เรื่องนั้นฉันจัดการได้”
เอทีเอ็มรีบหันมาถามชมพูด้วยความเป็นห่วง
“ไม่สบายรึเปล่า ดูหน้าเครียดๆ ตั้งแต่มาแล้ว”
ชมพูดูอึดอัด ท่าทางเหมือนมีอะไร “เอ่อ คือ ....”
“ที่เธอมาที่นี่ เธอไม่ได้อยากเอาขนมมาแจกเด็กๆ อย่างเดียวใช่มั้ย”
ชมพูหน้าเศร้า เอทีเอ็มรู้ได้ทันว่าอีกฝ่ายมีเรื่องมาแน่ๆ

จากนั้นทั้งคู่ก็หลบมานั่งคุยกันริมน้ำ เอทีเอ็มมองหน้าชมพูที่ดูเครียดและเศร้าใจ
“ตั้งแต่วันนั้น ฉันก็พยายามคิดนะ ว่าฉันรู้สึกยังไงกับพี่เตชินกันแน่ แล้วฉันก็ได้คำตอบว่าฉัน
ลืมเค้าไม่ได้จริงๆ”
เอทีเอ็มพยายามซ่อนความรู้สึกเศร้าเอาไว้ “แต่เธอก็ไม่ได้ฝันเห็นรินเป็นผีอีกใช่มั้ย”
“ไม่ได้ฝัน แล้วทุกครั้งที่ฉันคิดถึงเรื่องริน ฉันจะเจ็บแผลที่มือมากๆ บางทีแผลนั้นก็มีเลือด
ไหลออกมาแบบไม่มีสาเหตุ แบบนี้ไง”
ชมพูพูดพลางแบมือให้ดูแผล เอทีเอ็มค่อยๆ จับมือมาดูใกล้ๆ อย่างพิจารณา ก่อนจะเห็นว่ารอบๆ แผลมีเลือดแดงซึมๆ ออกมา จึงรีบเอาทิชชูซับเลือดให้ด้วยความเป็นห่วง
“นายว่ามันแปลกๆ รึเปล่า”
“มันก็แปลกทุกเรื่องน่ะแหละ แต่มีเรื่องเดียวที่ไม่แปลก คือเรื่องที่เธอยังไม่ลืมคุณเตชิน”
เอทีเอ็มพูดเองก็เศร้าเอง แต่ต้องพยายามทำตัวเหมือนปกติ
“ฉันควรจะทำยังไงดีเอทีเอ็ม”
“เรื่องแปลกๆ ที่เกิดกับเธอ สังเกตมั้ยว่า ทุกเรื่อง มันเกี่ยวกับ... ริน”
ชมพูที่ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนได้ฟังถึงกับอึ้ง เอทีเอ็มรีบถามตรงๆ
“ถามจริงๆ เถอะ เธอเคยมีปัญหาอะไรกับรินรึเปล่า”
“ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้จริงๆ เรา 2 คนเป็นเพื่อนกันจะมีปัญหาอะไรกันได้ยังไง”
“แต่ฉันเหมือนจะจำได้นะ ก่อนปิดเทอมสุดท้าย ช่วงที่พวกเธอ 2 คนซ้อมรำเพื่อเตรียมตัวประกวด ฉันว่าช่วงนั้นพวกเธอ 2 คนดูแปลกๆ บางทีถ้าเธอจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ เธออาจจะได้คำตอบของสิ่งที่เธอถาม
ก็ได้นะ”
ชมพูมองหน้าเอทีเอ็มอย่างครุ่นคิด

ฝ่ายปริมลดานอนใส่แว่นดำนอนอ่านบทอยู่บนเก้าอี้เอนหลังในกองถ่ายละคร ถึงกับทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมา มองหน้าหงส์หยกอย่างไม่อยากจะเชื่อหู
“ว่าไงนะ ผีริลณีมันตามไปหลอกเธออีกแล้วเหรอ”
“ใช่ แต่พอมือมันสัมผัสโดนเครื่องรางห้าแฉกของอาจารย์ดำ นังผีนั่นมันก็หายไปเลยนะ”
“แล้วมันก็ยังไม่กลับมาวอแวเธออีก”
“มันคงไม่กล้าแล้วหละ เครื่องรางอาจารย์ดำเจ๋งจริงๆ ฉันถึงต้องรีบมาบอกเธอไงลดา”
ปริมลดามองเครื่องรางที่เธอเองก็ใส่อยู่ที่คอเหมือนกันอย่างทึ่งๆ ก่อนจะมองหน้าหงส์หยกอย่างรู้ทัน
“รีบมาบอก หรือว่าอยากยืมกระเป๋าฉันกันแน่”
“แหม..มันก็ทั้ง 2 อย่างน่ะแหละ”
ปริมลดาจ้องหน้าอย่างจับผิด
“แต่ฉันสงสัย ทำไมผีนั่นมันถึงคอยตามเล่นงานเธออยู่คนเดียว หรือว่าเธอยังไปยุ่งกับผัวมัน แล้วที่ลงทุนมายืมกระเป๋าสวยฉัน เพราะจะเอาไปแต่งสวยเดทกับผู้ชาย มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ ใช่มั้ย”
หงส์หยกตกใจ รีบปฎิเสธปากคอสั่น
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ อยู่ดีๆ มาคิดมากทำไมเนี่ย”
“ก็คำพูดนังผีนั่นมันสะดุดใจฉัน แล้วท่าทางเธอก็ดูแปลกๆ ผู้หญิงที่ไม่คิดจะยั่วผู้ชาย คงไม่ลุกมาแต่งตัวสวย ทาลิปสีสดแบบนี้หรอก”
หงส์หยกรีบตอบกลบเกลื่อน
“ก็บอกแล้วไงว่าต้องไปงาน ลดาเอากระเป๋ามาให้ฉันสักทีเถอะ ฉันจะรีบไป เดี๋ยวไม่ทันนัด”
ปริมลดารีบหยิบกุญแจรถขึ้นมาชู
“อยู่ในรถ ถ้าอยากได้ก็ไปหยิบเอง”
พูดเสร็จก็โยนกุญแจรถลงพื้น หงส์หยกโมโห แต่ต้องจำใจก้มเก็บ
“อ้อ แล้วขนเสื้อที่แขวนในรถลงมาให้หมดด้วย ฉันจะให้พวกคอสตูมเลือกว่าจะเอาชุดไหนใส่ในละคร”
ปริมลดาสั่งเสร็จ ก็เอนหลังลงนอนบนเก้าอี้เอนหลัง หยิบบทขึ้นมาอ่านหน้าตาเฉย หงส์หยกแม้จะโกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“ได้สิจ๊ะลดา เรื่องแค่นี้ ฉันทำให้เพื่อนได้อยู่แล้ว”
หงส์หยกจำใจต้องวางกระเป๋าหิ้วไว้แถวนั้น แล้วเดินบ่นปากขมุบขมิบออกไป โดยที่ปริมลดาไม่เห็น
“คอยดูเถอะนังปริมลดา เตชินเป็นของฉันเมื่อไหร่ นางเอกสมองกลวงอย่างเธอมีเงิบแน่”
คิดถึงตรงนี้ก็หัวเราะเบาๆ อย่างสะใจ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะของใครอีกคนดังซ้อนเข้ามา หงส์หยกตกใจรีบมองตามหาเสียง แต่ไม่เห็นใคร นอกจากหญิงสาวคนหนึ่ง เดินสวนไปอย่างเร็วๆ เห็นแค่ผมยาวสลวยผ่านหน้าไปไวๆ
“ผู้หญิงผมยาวแบบนั้น มีเยอะแยะไป ไม่ใช่นังริลณีหรอก แต่ถึงใช่จริงมันก็ทำอะไรเราไม่ได้”
หงส์หยกกำเครื่องรางแน่น ก่อนจะยิ้มหน้ามั่นเดินออกไป
ที่แท้ผู้หญิงที่เดินสวนไป ก็คือริลณี ที่หยุดเดิน มองตามไปด้วยสายตาที่น่ากลัว

“อย่ามั่นใจให้มากนักหงส์หยก คนที่ฉลาดในโลกนี้ ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวหรอก”

ปริมลดานอนอ่านบทอยู่บนเก้าอี้ โดยไม่เห็นว่าริลณียืนอยู่ข้างหลัง รู้แต่ว่ารู้สึกหนาวขึ้นมาฉับพลัน

“ทำไมอยู่ดีๆ ถึงรู้สึกหนาวขึ้นมาซะงั้น”
จังหวะเอื้อมมือจะไปหยิบผ้าพันคอผืนใหญ่ๆ มาคลุมตัว แต่กระเป๋าของหงส์หยกวางทับไว้ พอดึงผ้าข้างใต้ออกมา กระเป๋าก็ร่วงลงพื้น ข้าวของเกลื่อนกระจาย ปริมลดาหงุดหงิด แต่ก็ต้องลุกขึ้นมาเก็บ
ทันใดนั้นเสียงข้อความก็เตือนเข้ามือถือของหงส์หยก ครั้งแรกปริมลดาไม่ได้สนใจ แต่ผีริลณีที่ยืนอยู่ข้างหลัง รีบก้มลงไปกระซิบข้างหูเบาๆ
“อ่านข้อความสิ แล้วเธอจะได้รู้อะไรดีๆ อ่านสิ”
อยู่ดีๆ ปริมลดาก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที จึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าข้อความที่เพิ่งถูกส่งมานั้น มาจากเตชิน ก็นึกแปลกใจ
“เตชินจะส่งข้อความมาให้นังหงส์หยกทำไม”
ปริมลดารีบกดอ่าน เห็นข้อความ
“วันนี้ติดธุระสำคัญ ขอเลื่อนนัดเป็นวันอื่น”
อ่านจบก็กำมือถือแน่น “นังหงส์หยก มันแอบนัดเตชินทำไม แล้วทำไมต้องโกหกเราด้วย”
ผีริลณีที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก้มลงไปกระซิบข้างหูเบาๆ อีกครั้ง
“เปิดดูในรูปภาพ แล้วเธอจะรู้ว่าทำไม เปิดดูสิ ปริมลดา เปิดดู”
ปริมลดาตัดสินใจเปิดมือถือหงส์หยก และเปิดไปในรูปภาพ เลื่อนดูภาพไปเรื่อยๆ แล้วถึงกับอึ้ง ช็อก เมื่อเห็นภาพอะไรบางอย่างในนั้น
ผีริลณีที่ยืนอยู่ข้างหลังยิ้มสะใจ แล้วหายตัวไป

หงส์หยกแต่งตัวสวย เซ็กซี่ แต่งหน้าจัดเต็ม ถือกระเป๋าราคาแพงที่ยืมปริมลดามา เดินเฉิดฉายมาตามทางเดินของโรงแรมอย่างมั่นใจ พลางเหลือบมองนาฬิกาเห็นว่ายังไม่ถึงเวลานัด
“อีก 5 นาที ตบแป้ง&เติมปากอีกนิดดีกว่า นะคะ คุณเตชินของฉัน”
เมื่อเห็นห้องน้ำอยู่ข้างหน้า ก็รีบเดินเข้าไปทันที

หงส์หยกเดินเข้ามาในห้องน้ำที่ไม่มีใครเลย มีเพียงห้องน้ำห้องเดียวที่มีประตูปิดอยู่ ก็รีบเดินไปสำรวจความเรียบร้อยที่หน้ากระจก หยิบแป้งมาตบซับมัน จู่ๆ ก็เห็นเงาสะท้อนกระจกเหมือนข้างหลังจะมีคนยืนอยู่ หงส์หยกตกใจรีบหันขวับไปมอง เมื่อไม่เห็นใคร ก็รีบจับเครื่องราง 5 แฉกของตัวเองไว้แน่นเพื่อความแน่ใจ ก่อนจะหยิบลิปสติกมาเติมปาก สักพักสายตาก๋เหลือบไปมองเงาสะท้อนที่ประตูห้องน้ำห้องที่ปิดข้างหลัง เห็นเหมือนนิ้วมือที่ทาเล็บแดง กำลังค่อยๆ ไต่ออกมาจากประตูด้านใน หงส์หยกได้แต่ยืนอึ้ง ช็อก
ทันใดนั้นประตูทางเข้าห้องน้ำก็เปิดออก หงส์หยกสะดุ้ง รีบหันไปมอง เห็นกลุ่มผู้หญิงเดินเข้ามา จึงรีบมองไปที่ประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ แล้วก็พบว่าจริงๆ แล้วประตูห้องน้ำนั้นเปิดอยู่ตั้งแต่เข้ามาแล้ว หงส์หยกเริ่มกลัวรีบเดินออกจากห้องน้ำไป
กลุ่มผู้หญิงที่เดินเข้ามาเห็นที่หน้ากระจก ก็ตกใจ เพราะบนกระจก มีข้อความจากเลือดสีแดงสดเขียนไว้ว่า
“มึงยุ่งกับผัวกู มึงต้องตาย”

หงส์หยกเดินหน้าตื่นๆ เข้ามาในห้องอาหารหรู บริกรรีบออกมาต้อนรับ
“ไม่ทราบว่าจองโต๊ะไว้รึยังครับ”
“จองไว้แล้ว ชื่อเตชิน”
บริกรทำหน้าแปลกๆ “เชิญด้านในครับ มีคนมารอที่โต๊ะนั้นแล้วครับ”
พูดพลางเดินนำไปที่โต๊ะ หงส์หยกเดินยิ้มเข้าไปแต่แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าคนที่นั่งรออยู่ คือ ปริมลดา ไม่ใช่เตชิน
“ละ ลดา เธอมาได้ไงเนี่ย”
ปริมลดายิ้มร้าย
“ถ้าฉันไม่บังเอิญเห็นข้อความที่เตชินส่งมาเลื่อนนัดเธอ แล้วไม่บังเอิญเจอไปเจอรูปแสนต่ำไร้รสนิยมนั่น ฉันก็คงสงสัยอยู่ว่าทำไมแผนการของฉันไม่สำเร็จ แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว เพราะฉันมีนังเพื่อนทรยศอย่างแกคอยหักหลังอยู่ตลอดเวลาน่ะสิ นี่แกคงคิดละสินะ ว่าไอ้รูปที่แกนอนอยู่บนเตียงกับเตชินโง่ๆ นั่น จะจับเค้าได้ ฉันบอกเลยนะ ต่อให้เค้าได้แกจริงๆ แล้วตื่นมาเห็นแกนอนข้างๆ เค้าก็ไม่มีวันเอาแก เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะนังลูกอาแปะขายหมูในตลาดน้ำคลำดำเหม็นอย่างแก ไม่คู่ควรกับเค้า”
หงส์หยกโกรธจนทนไม่ไหว
“แล้วนังดาราสำส่อน นอนกับผู้ชายไม่เลือกอย่างแก เหมาะสมกับเค้างั้นสิ เค้าก็ไม่เอาแกเหมือนอย่างฉันน่ะแหละ”
“นี่แกกล้าด่าฉันเหรอ ถ้าฉันรู้ว่าแก สันดานงูพิษแบบนี้แล้วล่ะก็ ฉันจะไม่มีวันยอมลดตัวงลงไปเป็นเพื่อนกับนังลูกเจ๊กขายหมูอย่างแกเด็ดขาด”
หงส์หยกเบ้ปากใส่
“คนอย่างแกน่ะนะ คิดว่าฉันเป็นเพื่อน อย่ามาพูดให้ตัวเองดูดีหน่อยเลย แกคบฉันเพราะฉันเป็นคนเดียวที่ยอมทำให้เธอทุกอย่าง เป็นขี้ข้า ขี้ทาส ให้แกจิกใช้สารพัด พอกันที ฉันจะไม่อยู่ใต้เท้าใคร ไม่มีใครมาบังคับฉันได้อีกแล้ว”
“อ๋อ ปีกกล้าขาแข็ง กล้าจับผู้ชายมาเป็นผัวด้วยตัวเองแล้วล่ะ ถึงได้ผยองคิดว่าตัวเองแน่นักละสิ นังหน้าปลวก ถึงแกจะไม่อยากคบฉัน แต่ฉันก็ไม่ให้อภัยที่แกสตอเบอแหลฉันมาตลอดหรอก”
ขาดคำปริมลดาก็เดินรี่เข้าไปตบหงส์หยกจนล้มคว่ำไปกองกับพื้น ฝ่ายหลังลุกขึ้นตบคืน จนหน้าคว่ำลงไปกองกับพื้นเหมือนกัน
“ตบคนอื่นเค้ามาเยอะ เจอลูกอาแปะขายหมูอย่างฉันตบสักครั้ง เป็นไงล่ะ”
“อีหงส์เน่า อีหน้าปลวก อีจั๊กกะแร้ดำ แกกล้าตบฉันงั้นเหรอ”
หงส์หยกจิกตาร้ายใส่
“มากกว่านี้ฉันก็กล้า อยากตบหน้าแกให้ซิลิโคนเต้นระริกๆ เหมือนเวลาแกตัวสั่นอยากมีผัวมานานแล้ว”
“ทำมาว่าคนอื่น แกก็สั่นพอๆ กับฉันนั่นแหละ แต่น่าสมเพชตรงที่แกสั่นแล้วไม่มีใครอยากเอา
นังหน้าเน่าอย่างแก”
หงส์หยกทนไม่ได้ จะเข้าไปตบซ้ำ ปริมลดารีบลุกขึ้นไปตบก่อน

ทั้ง 2 คนตบกันไปตบกันมาอย่างไม่มีใครยอมใคร

เอกราชกำลังเซ็นเอกสาร เงยหน้ามองประวิทย์อย่างแปลกใจ

“ว่าไงนะ ปริมลดากับหงส์หยกเนี่ยนะ ตบกันที่โรงแรม”
“เรื่องเป็นยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่าปริมลดาโทร.มาขอให้นายช่วยไปประกันตัว แล้วปิดข่าวให้ที เค้ากลัวว่าจะมีปัญหากับละครที่กำลังจะเปิดกล้อง”
“ถ้ารู้ว่ามีปัญหา แล้วทำทำไม สุดท้ายก็มาเดือดร้อนฉันทุกที”
เอกราชวางปากกาลงบนโต๊ะ ด้วยความโมโห ก่อนจะรีบลุกออกไป

ปริมลดาและหงส์หยกในสภาพต่างสะบักสะบอมไม่แพ้กัน นั่งอยู่คนละมุมที่โต๊ะสอบสวนบนโรงพัก ตุลเทพที่ยืนมองอยู่ ส่ายหน้าเซ็งๆ
“ผู้หญิงนี่น่าเบื่อ กะอีแค่ผู้ชายคนเดียว ทำไมต้องมีเรื่องกันขนาดนี้”
ปริมลดาหันไปมองหน้าหงส์หยกอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
“มันไม่ใช่แค่เรื่องผู้ชายคนเดียว แต่มันเป็นเรื่องที่นังหน้าปลวกแทงข้างหลังฉันมาตลอดต่างหาก”หงส์หยกยิ้มเยาะ “ก็แกมันมัวแต่โง่ดูไม่ออกเองนี่”
“หนอยนังหน้าปลวก แกว่าฉันโง่เหรอ”
หงส์หยกลุกขึ้นชี้หน้าไม่ยอมแพ้
“คำก็ปลวก สองคำก็ปลวก แกสวยตายแล้วนี่ ถ้าไม่หลอกเงินผู้ชายไปศัลยกรรมมาทั้งตัว แกก็ปลวกเหมือนฉันน่ะแหละ”
ปริมลดาทนไม่ไหว กระโดดขึ้นโต๊ะ ก่อนจะลงไปตบหงส์หยกด้วยความแค้น ทั้ง 2 คนตบกันนัวบนพื้น ตุลเทพไม่พยายามจะแยก ได้แต่นั่งกระดิกเท้ากอดอกมองทั้งคู่ตบกันอย่างเบื่อหน่าย
ระหว่างนั้นเอกราชกับประวิทย์ก็เปิดประตูเดินเข้ามาพอดี
“หยุดสักทีเถอะ ถ้าไม่หยุด ฉันจะไม่ช่วยพวกเธออีกแล้ว”
ได้ผล 2 มือตบรีบหยุดแล้วผละออกจากกัน ก่อนจะรีบแย่งกันลุกไปหาเอกราช
“ตำรวจจะไม่จับฉันขังคุกใช่มั้ย ประวัติฉันจะยังสะอาดหมดจดเหมือนเดิม”
หงส์หยกถามอย่างร้อนใจ ปริมลดาถามบ้าง
“แล้วพวกนักข่าวจะไม่ลงข่าวเรื่องนี้ใช่มั้ย ถ้ามีข่าวอีก ฉันโดนปลดจากนางเอกละครแน่”
ประวิทย์รีบบอก
“เรื่องนักข่าว เอกราชจัดการให้หมดแล้ว ส่วนเรื่องตำรวจ พวกเธอ 2 คนก็ต้องโดนปรับค่าทะเลาะวิวาท”
“แล้วก็อย่ามีเรื่องกันอีก เพราะต่อไปฉันจะไม่ช่วยใครอีก แยกย้ายกันไปได้แล้ว”
เอกราชตวาดเสียงดัง พยักหน้าให้ประวิทย์พาหงส์หยกออกไปจากห้อง ปริมลดาไม่วายตะโกนด่าไล่หลังด้วยความแค้น
“ที่ผ่านมาบุญแค่ไหนแล้ว ที่คนอย่างฉันลดตัวลงมาเป็นเพื่อนกับเธอ แต่เธอก็ยังหักหลังฉันได้ ต่อไปนี้ อย่าแม้แต่คำว่าเพื่อนเลย แม้แต่คำว่าศัตรู เธอก็ต่ำต้อยเกินกว่าจะมาเป็นศัตรูกับฉันได้”
ปริมลดามองหงส์หยกด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างที่สุด หงส์หยกโกรธมาก จะหันกลับมาเอาเรื่อง แต่ถูกประวิทย์รีบพาออกจากห้องไป
“เธออยู่ในห้องนี้ก่อน ให้นักข่าวกลับไปหมดก่อนแล้วค่อยออกไป”
เอกราชหันมาบอกปริมลดา แล้วเดินนำตุลเทพออกจากห้องไป ปริมลดาแบมือที่กำเครื่องรางห้าแฉกอยู่ออก ก่อนจะย้อนนึกถึงจังหวะที่ตบกับชุลมุนอยู่ เธอฉวยจังหวะดึงเครื่องรางนั้นติดมือมา โดยที่หงส์หยกไม่รู้ตัว
ปริมลดามองเครื่องรางห้าแฉกของหงส์หยกแล้วยิ้มร้าย ก่อนจะทิ้งเครื่องรางนั้นลงกับพื้น แล้วใช้เท้าเหยียบ จนแตกละเอียด
“คนอย่างแก ต่ำต้อย จนไม่ควรที่จะอยู่บนโลกนี้ร่วมกับฉัน นังหงส์หยก”
เครื่องราง 5 แฉกของหงส์หยกแหลกเละคาเท้า ปริมลดาหัวเราะสะใจ โดยไม่เห็นว่าผีริลณีที่ยืนอยู่ไม่ไกล จ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด แล้วหัวเราะอย่างสะใจยิ่งกว่า

ฝนตกฟ้าคะนอง ลมพายุกรรโชกรุนแรง หงส์หยกขับรถจะกลับบ้าน หน้าตาร้ายกาจ มือกำพวงมาลัยแน่นด้วยความโกรธ
“ก็คอยดูแล้วกันนังปริมลดา ว่าคนต่ำอย่างฉัน จะฉุดแกร่วงตกสวรรค์ลงมาได้รึเปล่า”

ฟากเตชินรีบเดินไปปิดหน้าต่างห้อง ก่อนจะกลับมานั่งดูโทรทัศน์ข้างริลณี ในห้องนั่งเล่น ภาพในทีวีเป็นข่าวอาชญกรรม โดยมีผู้ประกาศข่าวกำลังรายงาน ในหัวข้อข่าว “2 เพื่อนรักฆ่ากันตาย”
“เมื่อวานนี้ ได้เกิดเหตุสลดใจ 2 เพื่อนรักที่คบกันมานานกว่าสิบปี ทะเลาะกันเพราะผู้ชายเพียงคนเดียว ก่อนที่ทั้งคู่จะมีปากเสียงกันรุนแรง และฆ่ากันตายในที่สุด”
เตชินได้ฟังข่าวแล้วรู้สึกสลดใจ
“คนเรานี่แปลกนะ เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน ทะเลาะกันเรื่องผู้ชายแค่เนี้ย ก็ถึงกับฆ่ากันได้”
ริลณีนั่งฟัง แล้วก็ยิ้มบางๆ “ยังมีอะไรเกี่ยวกับเพื่อนเลวๆ ที่คุณคาดไม่ถึงอีกเยอะค่ะ”
“อะไรบ้างครับ”
“เพื่อนหลอกเพื่อนไปข่มขืน เพื่อนรักหักหลังเพื่อนเพราะแค้นเรื่องผู้ชาย หรือแม้แต่เพื่อนฆ่าเพื่อนเพียงเพราะความสะใจ คุณไม่เชื่อรินใช่มั้ยล่ะ”
“ก็ไม่อยากจะเชื่อ คนที่เป็นเพื่อนกันจะทำกันได้ขนาดนั้นเลยเหรอ”
ริลณีพยักหน้าช้าๆ
“มนุษย์เรายังทำร้ายกันได้อีกเยอะค่ะ ทำกันได้อย่างเลือดเย็นจนคุณคาดไม่ถึงจริงๆ ตอนนี้รินเลยไม่เคยชื่อใจใครหน้าไหน โดยเฉพาะคนที่เรียกตัวเองว่าเพื่อน เพราะคนพวกนั้นเวลาทำให้เราเจ็บ มันเจ็บยากที่จะลืมจริงๆ”
“ผมอยากรู้จัง ว่าเพื่อนคนไหน ที่ทำให้รินเจ็บมากจนรินต้องจำฝังใจขนาดนี้”
ริลณีแอบจิกตาร้าย
“เพื่อนที่เรารักมากไงคะ ยิ่งรักมาก ก็ยิ่งเจ็บมาก และยิ่งเจ็บมาก ก็ยิ่งต้องจัดคืนให้อย่างสาสมมากเท่านั้น”
สิ้นเสียงริลณี ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยง

แสงฟ้าที่วาบผ่านเข้ามา ทำให้แววตาของเธอที่เตชินเห็นดูน่าสะพรึงกลัว แม้ใบหน้าจะสวยงามเพียงใดตาม

อ่านต่อหน้า 3

นางชฎา ตอนที่ 12 (ต่อ)

อีกฟาก เอกราช ตุลเทพ และประวิทย์ เดินไปเดินมาครุ่นคิดอยู่ในร้านอาหารของประวิทย์ มีปริมลดานั่งหน้าเครียดอยู่ด้วย

“ไม่ต้องห่วงหรอน่า นังนั่นไม่กล้าเอาเรื่องที่เราช่วยกันฆ่าริลณีไปบอกใครหรอก”
“เธอจะมั่นใจว่ายายนั่นจะไม่พูด ในเมื่อพวกเราไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกันแล้ว”
เอกราชย้อนถาม ปริมลดาเบ้ปาก
“ก็ถ้ามันพูดว่าเราผิด มันก็ต้องผิดด้วย เชื่อเถอะ ถ้ายายนั่นคิดจะแก้แค้นฉัน มันไม่มีทางเอาเรื่องนี้มาเล่นนงานแน่”
“ที่ปริมลดาพูดก็จริง เค้าคงไม่มีทางทำเรื่องที่ตัวเองเดือนร้อนแน่ๆ”
ประวิทย์หันมาบอก
“แต่ฉันไม่ค่อยแน่ใจ” เอกราชพูดพลางหันมองตุลเทพ “ยังไงนายตามดูยายนั่นหน่อยแล้วกัน ถ้าทำอะไรให้ไม่น่าไว้ใจ รีบบอกฉัน ฉันจะจัดการเอง”
ปริมลดาทำหน้าเซ็ง “ก็แค่ยายหงส์หยกคนเดียว ไม่เห็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่”
เอกราชได้ยินก็รีบเข้าไปผลักปริมลดาบีบปากด้วยความโมโห
“ถ้ายายนั่นไม่รู้ความลับที่เป็นความตายของพวกเรา ฉันก็ไม่แคร์หรอก”
ขาดคำก็สะบัดมืออกมา ปริมลดาหน้าจ๋อย ไม่กล้าพูดอะไรอีก
“แล้วเรายังต้องสืบเรื่องแฟนไอ้เตชินอะไรนั่นรึเปล่า” ตุลเทพถามโพล่งขึ้นมา
“ต้องสืบสิ ไม่อย่างนั้น เราก็ไม่รู้ว่าการตายของเชิงชายกับผีริลณีนั่น เกี่ยวข้องกับแฟนของเตชินยังไง”
ประวิทย์รีบบอก เอกราชหันมาถาม
“แล้วเรามีแผนรึยัง”
“ฉันมี”
ตุลเทพมองหน้าทุกคน ก่อนจะยิ้มอย่างมั่นใจ

ชัชนั่งจิบน้ำเปล่าอยู่ที่โต๊ะอาหาร ท่าทางเครียด พอเห็นเอกราช ตุลเทพและประวิทย์ เดินเข้ามาพร้อมกัน ก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ
“นี่ไงครับ ตุลเทพ เจ้าของบึงเล่นกีฬาทางน้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศตอนนี้”
ประวิทย์รีบแนะนำ เอกราชช่วยอธิบายต่อ
”ตุลเทพอยากขยายสถานที่เล่นกีฬาออกไปอีก 5 ไร่ ก็เลยอยากได้คนช่วยออกแบบ นี่ไง คุณชัช”
ชัชกับตุลเทพจับมือทักทายกันอย่างยินดี
“เอกราช กับประวิทย์ ชมคุณไม่ขาดปาก บอกว่าคุณช่วยคุณเตชิน เรื่องการซ่อมแซมโรงแรมด้วย”
ชัชยิ้มอายๆ
“ผมไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอกครับ ผมแค่หาข้อมูลกับให้คำแนะนำนิดหน่อย”
“คนที่ทำงานเก่ง ต้องมีผู้สนับสนุนเบื้องหลังที่เก่งด้วยถึงจะทำงานกันได้”
“แหม ถ้าชมกันอย่างนี้ ผมก็อายเป็นนะครับ”
ตุลเทพรีบพูดเข้าเรื่อง
“และเพราะผม เห็นว่าคุณเก่ง ผมถึงอยากจะช่วยคุณมากทำงานให้ผม หวังว่าคุณคงไม่ปฎิเสธนะครับ”
ชัชมองหน้าทุกคนยิ้มเรี่ยราด พยักหน้าตอบรับแทนคำตอบ
ระหว่างนั้นเตชินพยายามกดโทรศัพท์หาชัช แต่โทร.เท่าไหร่ชัชก็ไม่รับสาย

แก้วเหล้า 4 ใบถูกยกขึ้นชนกลางอากาศ ชัชหัวเราะชอบใจท่าทางมีความสุข

“งานนี้ผมคงจะดึงมาช่วยงานด้วย เพราะเรา 2 คนทำงานด้วยกันมาตลอด หวังว่าคุณตุลเทพคงไม่มีปัญหานะครับ”
“ยินดีครับ ได้คนเก่งมาช่วยทำงานให้แบบนี้ ผมก็เบาใจ ขอบใจนะเอกราช ที่ช่วยหาคนเก่งๆมาให้”
ชัชหัวเราะชอบอกชอบใจ เอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ แอบสบตากันเหมือนมีอะไรบางอย่าง
ตุลเทพยิ้มรับก่อนตัดสินใจพูด
“ท่าทางคุณชัชสนิทกับคุณเตชินมากเลยนะครับ”
“ก็สนิทกันมาตั้งแต่เรียนมัธยม จนเข้ามาหาวิทยาลัย จนถึงตอนนี้ก็ยังสนิทกันอยู่ครับ”
“แสดงว่าไม่มีเรื่องไหนของคุณเตชินที่คุณชัชไม่รู้” ประวิทย์รีบถามหยั่งเชิง
“แน่นอนสิครับ ก็เตชินมันเป็นเพื่อนรักของผมนี่ครับ”
เอกราชถามต่อทันที
“งั้นแสดงว่าคุณชัชก็รู้น่ะสิครับ ว่าแฟนของคุณเตชินเป็นใคร ผมเห็นคุณเตชินพูดถึงหลายครั้ง ยังไม่เคยเจอตัวจริงเลย”
ชัชทำหน้างง
“อ้าว ก็ไหนเตชินเล่าให้ผมฟังว่า พวกคุณเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของแฟนมันไม่ใช่เหรอครับ”
เอกราชขมวดคิ้ว “เพื่อนเรียนมหาวิทยาลัย ไม่น่าเป็นไปได้”
“เป็นไปได้สิครับ ก็แฟนเจ้าเตชินน่ะ เป็นเพื่อนสนิทน้องชมพูมาตั้งแต่มหาวิทยาลัย”
เอกราช ตุลเทพ ประวิทย์ เริ่มทำหน้าเหวอ
“อย่าบอกนะครับ ว่าคุณไม่รู้จัก 2 นางรำที่สวยที่สุดในมหาวิทยาลัย น้องชมพูสวยน่ารัก รำตัวนาง ส่วนริลณีสวยหวานจับใจรำตัวพระ ไงครับ”
ทั้ง 3 คนได้ยินชื่อริลณีถึงกับอึ้ง แต่ชัชไม่ทันสังเกต
“อ้าว ยังไม่งงๆ โหย บอกใบ้ขนาดนี้ยังไม่เก็ตอีก เฉลยก็ได้ครับ แฟนของเจ้าเตชิน คือคนที่รำตัวพระ ชื่อริลณีไงครับ”
ประวิทย์ทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ “นี่คุณพูดจริงพูดเล่นครับ”
“พูดจริงสิครับ 2 คนนั่นคบกันตั้งแต่ตอนเรียน ตอนนี้ก็มาอยู่ด้วยกัน อีกไม่นานก็คงแต่งงานกัน เป็นคู่สวยหล่อ ที่ไม่มีใครเหมาะสมกันไปมากกว่าแล้ว”
ชัชพูดไปหัวเราะไป โดยไม่ได้สังเกตเห็นหน้าอีก 3 คน ที่ช็อกกับเรื่องที่ได้ยินยิ่งกว่าเห็นผี


พอแยกกับ 3 คนนั้นแล้ว ชัชก็รีบโทร.กลับหาเตชินทันที
“ว่าไงวะ ไอ้เตโทร.มาตั้งหลายครั้งมีอะไร”
เตชินที่อยู่ที่บ้นทรงไทย กำลังแอบหลบมุมคุยโทรศัพท์เหมือนไม่อยากให้ใครเห็น
“ฉันมีเรื่องอยากปรึกษาแกหน่อยว่ะ”
“มีเมียก็ปรึกษาเมียสิวะ จะมาปรึกษาเพื่อนทำไม”
เตชินทำหน้ายุ่ง “อย่ากวนได้มั้ย ฉันมีเรื่องสำคัญอยากปรึกษาจริงๆ”
ชัชที่จับได้ว่าน้ำเสียงได้อีกฝ่ายกำลังเครียด ก็รู้สึกแปลกใจ “แกเครียดอะไรของแกวะ”
“เรื่องนี้เล่าทางโทรศัพท์ไม่ได้ เอาไว้ฉันจะรีบไปพบแกก็แล้วกัน”
“ก็ดีเหมือนกัน ฉันก็มีเรื่องจะปรึกษาแกเกี่ยวกับโปรเจกต์งานของคุณตุลเทพด้วย”
เตชินทำหน้างง “โปรเจกต์อะไรวะ”
“เค้าจะขยายสนามกีฬาทางน้ำ เลยให้ฉันไปช่วยออกแบบ ฉันจะชวนแกช่วยทำด้วย แต่ก็น่าแปลกนะ วันนี้เค้าเรียกฉันไปคุย ฉันก็นึกว่าเค้าจะพูดรายละเอียดงาน แต่เค้าไม่พูดว่ะ เค้าถามฉันอยู่เรื่องเดียว”
“เรื่องอะไรวะ”
“เรื่องรินว่ะ”

เตชินได้ฟังชัชพูดแบบนั้น ก็นึกแปลกใจว่าตุลเทพจะถามเรื่องริลณีทำไม

เอกราชชะงัก หันมามองหน้าตุลเทพกับประวิทย์
“ริลณีเป็นแฟนเตชินงั้นเหรอ”
“นั่นสิ ไม่อยาจะเชื่อ คนจะเป็นแฟนกับผีได้ยังไง หรือไอ้อ้วนนั่นมันเพ้อเจ้อ”
ตุลเทพเดาไปเรื่อย ประวิทย์รีบแย้ง
“ไม่มีทาง ไอ้หมอนั่นเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเตชิน ไม่มีทางจะเอาเรื่องล้อเล่นไร้สาระมาพูดกับคนที่กำลังจะจ้างงานให้เสียเครดิตหรอก”
“แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง เตชินจะคบอยู่กับผี แค่คิดก็ขนหัวลุกแล้ว” ตุลเทพยังไม่หายข้องใจ
“หรือว่ามันไม่รู้ ว่านังนั่นตายไปแล้ว”
เอกราชตั้งข้อสังเกต ประวิทย์รีบพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็เป็นไปได้นะ เพราะเชิงชายคิดว่าเตชินไม่รู้เรื่องนี้ เลยพยายามจะเอาเรื่องนี้ไปขู่เอาเงินกับเตชิน แต่ผีริลณีกลัวความลับแตก ก็เลยตามไปฆ่าซะก่อน”
ตุลเทพเริ่มปะติดปะต่อเรื่อง
“ใช่ เหมือนที่ริลณีตามไปขู่หงส์หยก เพราะหงส์หยกพยายามยุ่งกับเตชิน แต่ยายนั่นไม่กล้าบอก เพราะกลัวว่ายายลดาจะรู้ว่าไปยุ่งกับเตชินอยู่”
“งั้นแสดงว่า เตชินกับผีริลณีก็อยู่ด้วยกันจริงๆ แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีล่ะ” ประวิทย์หน้าเครียด“ทำยังไงน่ะยังไม่รู้ แต่ฉันว่าพวกเราเจอจุดอ่อนของนังผีนั่นแล้วละ”

เอกราชบอกขณะหันไปมองหน้าตุลเทพกับประวิทย์ แล้วยิ้มชั่วอย่างสะใจออกมา

เตชินกำลังจะออกไปข้างนอก หยุดยืนคุยกับริลณีที่เดินมาส่งข้างรถด้วยท่าทางสวีตหวาน โดยไม่รู้ว่าประวิทย์ได้ซุ่มอยู่ในรถที่จอดอยู่อีกด้านหนึ่ง แอบถ่ายภาพทั้งคู่

ประวิทย์ตะลึงตะไลเมื่อมองผ่านเลนส์กล้อง โดยไม่อยากจะเชื่อสายตา
“นั่นมัน ริลณีจริงๆ ด้วย”
ประวิทย์ทั้งอึ้ง ทั้งช็อก ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรัวๆ ด้วยมืออันสั่นระริก

ริลณีจัดเสื้อดูความเรียบร้อยให้เตชินที่มองมาอย่างรู้สึกผิดนิดๆ
“ผมสัญญานะครับว่าจะไปไม่นาน ไม่อยากทิ้งให้รินอยู่บ้านคนเดียวเลย”
“รินอยู่ที่นี่คนเดียวมานานแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัว”
เตชินขมวดคิ้วแปลกใจ ริลณีรีบพูดแก้ตัว
“รินหมายถึง รินอยู่ที่นี่คนเดียวจนชินน่ะค่ะ”
“ก่อนหน้านี้ ผมคงทำงานหนักไป ไหนจะเรื่องคุณแม่อีก ปล่อยให้รินอยู่คนเดียวบ่อยๆ ขอโทษ
นะครับ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ แค่ได้อยู่ใกล้ๆ คุณแบบนี้ รินก็มีควาสุขแล้ว”
ริลณีซบหน้าลงกับอกแกร่งของเตชินอย่างอบอุ่น มีสุขล้น พลันก็แว่วยินเสียงรัวกดชัตเตอร์ดังก้องเข้ามาในหู ผีสาวเหลียวขวับจ้องเขม็งไปตามเสียง
ประวิทย์ยกกล้องรัวชัตเตอร์ไม่หยุด ภาพจากหน้าจอเห็นริลณีค่อยๆ จ้องเขม็งจิกตาร้ายเข้ามาในกล้อง ด้วยดวงตาผีอันน่ากลัว น่าสยอดสยอง คนแอบถ่ายผงะ ตกใจ มือสั่น จนกล้องตกพื้น จังหวะที่ก้มตัวลงเก็บ พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นริลณีที่ยังยืนอยู่ที่เดิมจ้องเขม็งมาทางรถที่เขาอยู่เหมือนรู้ตัวแล้ว เกย์อีแอบรีบเก็บข้าวของ สตาร์ตรถ แล้วลนลานขับรถออกไปจากตรงนั้นทันที

เตชินผละเดินมาขึ้นรถ ริลณียิ้มแย้มตามมาส่งเหมือนไม่มีอะไร พูดเสียงหวานอ้อนในที
“จะให้รินรอทานข้าวมั้ยคะ”
“แล้วผมจะโทร.มาบอกนะครับ”
เตชินหอมแก้มริลณีที่ยิ้มอย่างมีความสุข ก้าวขึ้นรถ แล้วขับออกจากบ้านไป
ทันทีที่เตชินขับรถพ้นไป ใบหน้าที่ยิ้มแย้มสวยสุขสมของริลณี ก็เปลี่ยนเป็นโกรธขึ้งขึ้นมาราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ เหลียวมองไปตามทางรถของประวิทย์ที่ขับออกไปด้วยความแค้น
“พวกมึงยังไม่คิดจะเลิกยุ่งกับกูใช่มั้ย”

ประวิทย์ขับรถหนีมาอย่างรวดเร็ว พอมองไปที่นอกรถ ก็เห็นริลณียืนอยู่ข้างถนนจ้องมองเขม็ง ยกมือชี้หน้าโวยวายด้วยความโมโหสุดขีด
“มึงตามมายุ่งกับกูอีกทำไม”
ประวิทย์ตกใจกลัว เร่งความเร็วหนีไป แต่เมื่อมองไปข้างหน้าก็เห็นริลณีมายืนขวางทางชี้หน้า และจ้องมาด้วยแววตอาฆาตแค้นอีก ใบหน้าสวยๆ เริ่มกลายเป็นหน้าผี
“มึงอยากตายเหมือนไอ้เชิงชาย ใช่มั้ย”
ประวิทย์พยายามขับรถหนี แต่ไม่ว่าจะขับไปทางไหนก็เห็นริลณียืนชี้หน้าจ้องมาจากข้างทางเสมอ
“ริลณีอย่ามายุ่งกับฉัน ฉันแค่ทำตามคำสั่ง”
ริลณีตะโกนสวนกลับไป
“แกมันไม่มีสมอง ยอมทำตามคำสั่งมัน ทั้งๆ ที่รู้ว่าผิด แกคิดว่าทำอย่างนั้นแล้วมันจะรักแกรึไง มันไม่มีวันรักแกหรอก”
วิญญาณแค้นหัวเราะเยาะน้ำเสียงหลอนๆ ประวิทย์รีบเหยีบบคันแร่งจนมิดด้วยความกลัว
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
ประวิทย์ขับหนี แต่มองไปข้างทางก็ยังเห็นริลณียืนจ้องมือชี้หน้าอยู่ตลอด จนเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองขับวนเป็นวงกลมวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น
เสียงหัวเราะและภาพริลณีเริ่มหลอกหลอนไปทุกที่ ประวิทย์พยายามตั้งสติ ยกมือกุมเครื่องรางห้าแฉกที่คอ
“ช่วยผมด้วย ช่วยให้อีผีนี่มันไปจากผมสักที”
จู่ๆ รถก็เบรกเอี๊ยด ประวิทย์ลืมตาขึ้น พบว่าผีริลณีหายไปแล้ว ทุกอย่างเป็นปกติ พอมองไปข้างนอก ก็เห็นแม่น้ำอยู่ข้างหน้า เขานึกแปลกใจ รีบเปิดประตูรถออกมาลงมา เห็นว่ารถของตัวเองแล่นมาหยุดที่ขอบถนน อีกนิดเดียวก็จะตกลงแม่น้ำอยู่แล้ว ประวิทย์ตกใจรีบจับเครื่องรางห้าแฉกถอนหายใจเข่าอ่อนทรุดลงอย่างหมดแรง
“เกือบไปแล้ว”

ถัดมา เอกราชและตุลเทพ ดูรูปจากกล้องที่ประวิทย์ถ่ายมา หน้าตาเคร่งเครียดทั้งคู่
“นี่ถ้าฉันไม่ได้ฆ่าแล้วฝังมันลงดินกับมือ ฉันคงไม่เชื่อนะว่ามันจะเป็นผี”
ตุลเทพพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาเอกราชทำหน้าแปลกใจ
“ก็ไม่น่าแปลกที่ไอ้เตชินมันจะไม่รู้”
“จะว่าไปมัน ก็ดีนะ ทุกคนก็ไม่มีทางรู้ว่าริลณีตาย พวกเราก็ไม่มีความผิด”
ประวิทย์พูดขึ้นมาบ้าง เอกราชหันมาย้อนถาม
“แต่นังผีนั่น มันตามแก้แค้นพวกเรา ที่โดนเมื่อกี๊ยังไม่เข็ดรึไง ยังไงเราก็ต้องจัดการกับมัน ก่อนที่มันจะทำร้ายพวกเราอีก”
“แต่มันทำร้ายเราไม่ได้แล้ว เครื่องรางช่วยได้” ประวิทย์ยังขนลุกไม่หายที่รอดตายมาอย่างหวุดหวิด เอกราชพูดแย้งขึ้นมาอย่างไม่ไว้ใจ
“จำเรื่องแหวนได้มั้ย เราคิดว่ามันจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่สุดท้ายก็พลาด เพราะฉะนั้นเราจะต้องไม่พลาดอีก”
“แล้วนายจะทำยังไง นายจะให้อาจารย์ดำ ช่วยจัดการริลณีงั้นเหรอ” ตุลเทพย้อนถาม
“ฉันกลัวว่า ถ้าเราไปยุ่งกับอาจารย์ดำมากๆ เค้าจะรู้ความจริงน่ะสิว่าที่ทำไมนังผีนั่นถึงตามแค้นพวกเราขนาดนี้”
ตุลเทพหน้าเครียด ประวิทย์พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ อาจารย์ดำเป็นคนฉลาด เค้าต้องรู้แน่”
“แต่เราก็ปราบผีเองไม่ได้นะเว้ย โดยเฉพาะผีนังนั่น โคตรจะเฮี้ยน”
เอกราชมองหน้าประวิทย์ และตุลเทพ พลางบอกอย่างมั่นใจว่า

“มันต้องมีวิธี”

ชัชกดล็อกประตูห้องพักของตัวเองเสร็จ ก็หันมามองหน้าเตชินที่นั่งหน้าเครียดอยู่บนโซฟาด้วยความแปลกใจ

“เรื่องอะไรของแกวะ ไอ้เต ถึงกับต้องปิดล็อกห้องคุยแบบนี้”
เตชินทำหน้าลำบากใจ “ฉันอยากจะปรึกษาแกเรื่อง...เรื่องริน”
“เฮ้ย! ทำไมต้องทำซีเรียสขนาดนั้นวะ”
“มันก็ไม่ได้ซีเรียส”
ชัชเดินเข้าไปเลื่อนเก้าอี้ท่นั่งตรงหน้าเตชิน
“โห่! ไม่ได้ซีเรียส? ดูหน้าแกซิ อ่ะๆ ว่ามา”
“คือฉันมีความรู้สึกว่า... รินดูแปลกๆ”
“แปลกยังไงวะ”
เตชินมองหน้าชัช ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

เริ่มจากเหตุการณ์ในวันหนึ่ง เตชินกำลังขนกระจกบานใหญ่ขนาดเต็มตัวลงมาจากในบ้าน หลังจากที่ขนลงมาก่อนหน้านี้แล้วหลายขนาด หลายบานกองรวมกันอยู่ที่พื้น
ริลณียืนจ้องกองกระจกอยู่ รีบเข้าไปช่วยเช็ดเหงื่อ พลางมองเขาอย่างขอบคุณ
“2-3 วันก่อน รินเค้าขอให้ฉันเอากระจกทุกบานในบ้านฉันไปทิ้ง พอฉันถามเหตุผล เค้าก็ไม่ยอมบอกเอาแต่ร้องไห้ ฉันไม่อยากขัดก็เลยยอมเอาไปทิ้ง”
เตชินเล่าหน้าเครียด
“เค้าเป็นผู้หญิง อยู่บ้านคนเดียว อาจจะเคยเห็นอะไรน่ากลัวๆ ในกระจกเปล่า คนบางคนเค้าก็กลัวนะกระจกเว้ย”
ชัชพยายามพูดปลอบ
“เรื่องนั้นฉันก็พอเข้าใจอยู่ แต่จากที่ฉันเห็น รินไม่น่ากลัวกระจกอย่างเดียวนะ”
เตชินเล่าต่อ ถึงตอนที่ริลณีเช็ดเหงื่อให้เขาเสร็จ จังหวะที่เขาจะเดินออกไป เธอก็มองไปในกระจก แล้วเอาไม้มาทุบๆ จนกระจกแตกละเอียด เขาหันมามองอย่างแปลกใจ
ชัชที่ได้ฟังก็ถึงกับอึ้ง พยายามหาคำตอบให้กับเรื่องที่เตชินเล่า
“แมงมุม น้องรินเห็นแมงมุมเกาะที่กระจก แล้วกลัวแมงมุมมาก ก็เลยเอาไม้ฟาดๆ ให้แมงมุมตายไง ชัวร์”
เตชินหน้าเครียด
“ถ้าวันนั้นเห็นแมงมุมก็โอเค แต่วันอื่นล่ะ ฉันรู้สึกว่าหมูนี้ รินโกรธง่าย โมโหร้าย แล้วเวลาที่โกรธ ดวงตารินมันเปลี่ยนไป ดูน่ากลัวมากๆ”

เตชินเล่าต่อจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาแอบเห็นดวงตาริลณี ที่กำลังยืนนิ่งมองกระจกที่เพิ่งทุบแตกละเอียด ดูน่ากลัว เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และความแค้น
เขาจ้องมองดวงตาคู่นั้น แล้วก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

ชัชครุ่นคิด ก่อนจะพยายามหาคำตอบให้เพื่อน
“ก็น้องรินเค้าตาโตขนาดนั้น เวลารู้สึกอะไรมันก็แสดงออกชัด เวลาเค้าจ้องบอกรัก ก็หวานเยิ้ม เคลิ้มฝันเลยไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่ อันนี้ฉันยอมรับว่าอาจจะคิดมากไปเอง แต่ถ้าแกได้เห็นแววตารินแบบที่ฉันเห็น”
ชัชรีบพูดแทรกแบบกลัวๆ “ฉันว่า ฉันเคยวะ โคตรน่ากลัวเลย คนตาโตก็งี้แหละ อย่าคิดมาก”
เตชินถอนหายใจเฮือก
“แล้วเรื่องสุดท้าย...”
“เฮ้ย! ยังไม่หมดอีก นี่แกท่าทางอัดอั้นตันใจมากนะ”
“เรื่องอื่นไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ฉันเครียดมากที่สุด ฉันพยายามคิดหาเหตุผลมาตลอด แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก ก็คือ…”

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาตีสามวันหนึ่ง
เตชินสะดุ้งตื่นขึ้นมา ก่อนจะงัวเงีย หันไปมองข้างเตียงด้านข้างที่ว่างเปล่า เพราะริลณีไม่อยู่บนที่นอน
“คือ รินเค้าชอบหายตัวไปเฉยๆ ไม่รู้หายไปไหน”
เตชินเดินตามหาทั่วบ้าน รวมทั้งในห้องน้ำ แต่ก็ไม่มีใครอยู่ในนั้น
“ฉันเดินตามหาจนทั่วบ้าน ดูทุกห้อง ทุกที่ก็หาไม่เจอ”
เตชินเดินกลับเข้ามาในห้องนอน เห็นว่าริลณีนอนหลับนิ่ง ดูมีความสุขอยู่บนเตียงตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แล้วเค้าก็จะกลับมา ราวกับว่าไม่ได้หายไปไหน ฉันก็เคยถามเค้าหลายครั้ง แต่ฉันก็ไม่เคยได้คำตอบว่าเค้าหายไปไหนสักที จนมันทำให้ฉันรู้สึกว่า รินมีความลับบางอย่างกับฉัน”
เตชินหันมองหน้าชัช จนฝ่ายหลังพลอยเครียดตาม
“เรื่องนี้ฉันก็หาคำตอบให้แกมาสบายใจไม่ได้ว่ะ แต่คนเราอยู่ๆ มันจะหายไปเฉยๆ โดยไม่มีสาเหตุไม่ได้ ถามจริงๆ ว่ะไอ้เต แล้วแกคิดจะหาคำตอบเรื่องนี้มั้ย”
“จะให้ทำยังไง ก็ถามแล้วเค้าไม่ตอบ”
“ถ้าเค้าไม่ตอบแกก็แอบตามไปดูสิ”
เตชินที่ก้มหน้าอยู่ เงยหน้ามองชัชอึ้งๆ
“มันจะดีเหรอ มันเหมือนฉันไม่ไว้ใจรินนะ”
“แต่ที่แกมานั่งเครียดอยู่นี่ มันก็บั่นทอนชีวิตคู่เหมือนกัน สู้ตามให้รู้ไปดีกว่า ฉันว่าจริงๆ มันก็คงไม่มีอะไรหรอก เพราะรินเค้ารักแกจะตาย”
“ไอ้เรื่องมีคนอื่น ฉันไม่คิดอยู่แล้ว”
“อย่าบอกนะ ว่าแกกลัวจะตามไปเจออย่างอื่นที่ช็อกมากกว่า” ชัชย้อนถาม
“ถึงจะเจออะไรฉันก็รับได้”

“ถ้าแกแน่ใจอย่างนั้น เดี๋ยวฉันช่วยแกเอง”

อีกฟาก ปฏิบัติการเอาคืนของหงส์หยกเริ่มขึ้น เวลานี้ โต้ง ผู้กำกับหื่น กำลังรื้อค้นของในตู้ โดยมีหงส์หยกที่แต่งตัวสวยเซ็กซ์ ยืนกอดอกมองลุ้นอยู่ ครู่หนึ่งฝ่ายแรกก็หยิบกล่องใบขนาดย่อมใบหนึ่งออกมาจากตู้ พลางยิ้มร้ายๆ หน้าตากรุ้มกริ่ม

หงส์หยกตื่นเต้น “อย่าบอกนะว่าของทุกอย่างอยู่ในนี้”
“ใช่ ในนี้แหละ คือของที่จะทำให้นางเอกอันดับหนึ่งอย่างนังปริมลดา ร่วงตกจากฟ้าลงมาไม่มีค่า แม้กระทั่งเป็นตัวประกอบ”
จังหวะจะรีบแย่งกล่องมาดู แต่กลับถูกโต้งถือโอกาสรวบตัว หงส์หยกตกใจรีบสะบัดตัวหลุดออกมา แต่ตั้งสติได้ ไม่โวยวายออกมา เพราะยังต้องการให้อีกฝ่ายช่วย
“ถ้าไม่ให้ดู แล้วจะรู้ได้ไงว่าของที่พี่มี ไม่ใช่แค่ราคาคุย”
“พี่เคยตั้งกล้องแอบถ่ายไว้ในบ้านปริมลดา ตอนแรกว่าจะถ่ายตัวเองสนุกๆ แต่ตอนหลังได้กิ๊กยายปริมลดาเป็นสิบ คบมาตั้งหลายปี เพิ่งรู้ว่ายายนี่ มั่วมาก”
หงส์หยกยิ้มเยาะ “เค้าก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เรียนแล้ว”
“แล้วก็ยังมีคลิปที่ปริมลดาไล่ตบกิ๊กพี่ ด่าตัวประกอบในกองถ่าย วีนนักแสดงด้วยกันเอง ใครได้เห็นคลิปพวกนี้ ภาพนางเอกที่แสนดีของปริมลดาต้องป่นปี้แน่ๆ”
“พี่นี่น่ากลัวนะเนี่ย แอบถ่ายไว้หมดเลย”
หงส์หยกมองอย่างเริ่มกลัวนิดๆ โต้งเดินเข้าไปจ้องรูปร่างในชุดเซ็กซี่ หน้าตาหื่น
“ถ้านังลดา ไม่คิดจะถีบหัวส่งพี่ พี่ก็ไม่ทำแบบนี้หรอก อุตส่าห์ดันจนได้ดี ไม่รู้จักบุญคุณกันบ้างเลย”
“เราถึงต้องทำให้มันเจ็บปวดเหมือนกับที่มันทำกับพวกเราบ้างไงคะ”
โต้งขยับตัวเข้าไปชิด พร้อมกับใช้นิ้วมือลูบไล้ไปบนตัวหงส์หยก
“พี่ดีใจนะ ที่น้องหงส์หยกเป็นพวกเดียวกับพี่ ช่วยให้พี่แก้แค้น”
หงส์หยกมองมือโต้งอย่างขยะแขยง แต่ต้องทนไว้ ได้แต่บ่นพึมพำ
“ใครว่าฉันช่วยแก แกต่างหากที่ต้องช่วยฉัน”
ก่อนจะหันไปตีหน้าฉีกยิ้มหวานให้ “งั้นก็เปิดกล่องให้ดูก่อนสิคะ ว่ามีอะไร จะได้แน่ใจว่าใช้ได้จริง”
โต้งยื่นกล่องให้ หงส์หยกรีบรับไปอย่างดีใจ ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะวางกล่องลงเปิดออกดู เห็นม้วนวิดีโอเล็กหลายม้วน ขณะที่กำลังดูของในกล่อง โต้งก็ถือโอกาสเข้ามากอดไว้
หงส์หยกตกใจ “พี่จะทำอะไรน่ะ”
“ก็ไหนๆ เราจะร่วมมือกันแล้ว ก็น่าจะร่วมกายร่วมใจกันให้ถึงที่สุด ถึงน้องหงส์หยกจะไม่สวย แต่หุ่นก็เซ็กซี่เร้าใจไม่แพ้ใครเลยนะ”
“จะบ้าเหรอ ปล่อยสิ ฉันไม่ใช่ยายปริมลดานะ ที่จะยอมเอาตัวเข้าแลก”
โต้งปล่อยมืออย่างไม่แคร์ รีบเก็บข้าวของทุกอย่างลงกล่อง แล้วถือกล่องเอาไว้
“งั้นก็ไปหาคนอื่นก็แล้วกัน เพราะกฎของพี่ คือยื่นหมูยื่นแมวเท่านั้น”
หงส์หยกยืนอึ้ง ด้วยความโกรธ โต้งพูดอย่างเป็นต่อ
“หรือถ้าฉันเอาของพวกนี้ไปขายให้ยายลดา ก็น่าจะได้เงินเยอะอยู่น้า”
หงส์หยกรีบพูดแทรกทันที
“ตกลง อะไรที่ทำให้นังนั่นตกลงจากฟ้าได้ ฉันยอมทั้งนั้น”
โต้งยิ้มย่อง พร้อมกับใช้มือเช็ดมุมปาก

ผ่านไปสักระยะ หงส์หยกค่อยๆ หยิบเสื้อผ้าและกระโปรงที่ถูกถอดกองไว้ข้างเตียงมาแต่งตัว พลางปรายตามองโต้งที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้า นอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงด้วยความรังเกียจปนขยะแขยง
“คนอะไรก็ไม่รู้ สกปรก โสโครก ไม่รู้นังปริมลดา ยอมนอนกับแกอยู่ได้ยังไงตั้งนาน อี๋”
บ่นเสร็จก็รีบเดินไปหยิบกล่องที่วางอยู่ในห้อง แล้วมองอย่างพอใจ
“ฉันลงทุนขนาดนี้แล้ว แกไม่มีวันรอดแน่ นังปริมลดา”
จากนั้นก็รีบเอากล่องใส่กระเป๋า แล้วเดินเริดๆ เชิดๆ ออกไป

หงส์หยกเปิดประตูออกมาจากห้องของโต้ง เห็นป้าที่ดูแลคอนโด กับช่างกำลังช่วยกันซ่อมกล้องวงจรปิดตรงทางเดินอยู่ แต่ดูเหมือนช่างจะซ่อมไม่ได้
“ซ่อมไม่ได้อย่างนี้ เอาตัวใหม่มาเปลี่ยนให้เลยดีกว่ามั้ย”
ช่างรีบพยักหน้าแบบกลัวๆ พร้อมกับรีบเก็บของ ป้าหันมาเห็นหงส์หยกเดินออกมาจากห้องโต้ง ก็มองอย่างดูถูก
“นี่ถ้ากล้องตัวนี้ไม่เสียนะ ฉันคงได้ทั้งภาพนางเอก นางรอง ตัวร้าย ตัวประกอบ ไอ้พวกอยากตะกายดาวทั้งหลายไปขายหนังสือเม้าท์ดาราได้เงินรวยไปแล้ว”
พูดเสร็จก็เดินนำหน้าช่างออกไป หงส์หยกมองตามอย่างไม่พอใจ ก่อนจะเงยหน้ามองกล้องวงจรปิดแล้วยักไหล่สะใจ
“ฮึ ดี จะได้ไม่มีหลักฐาน”
หงส์หยกเดินเชิดออกไป โดยไม่เห็นว่า อยู่ดีๆ กล้องวงจรปิดที่เสีย ก็เกิดใช้การได้ขึ้นมา กล้องนั้นจับภาพหงส์หยกที่เดินผ่านกล้องไปทุกฝีก้าว

พร้อมเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าสยองอย่างที่สุดของผีริลณี

อ่านต่อหน้า 4

นางชฎา ตอนที่ 12 (ต่อ)

รถเตชินแล่นเข้ามาจอดในบ้าน ชัชเปิดประตูลงมาจากรถถึงกับชะงักกึก เพราะได้กลิ่นเหม็นเน่าอย่างรุนแรงจนต้องรีบปิดจมูกทันที

“โหย ไอ้เต ทำไมบ้านแกมันถึงได้เหม็นแบบนี้วะ”
เตชินที่เพิ่งลงจากรถ ทำหน้าแปลกใจ
“เหม็นอะไรวะ ไม่เห็นได้กลิ่นเลย”
“ก็กลิ่นอย่างกับศพเน่า ฉุนกึ้กขนาดเนี้ย แกไม่ได้กลิ่นได้ไง จมูกพิการรึไงวะ”
เตชินพยายามมองหาที่มาของกลิ่น “หรือว่ามีหนูเข้ามาตาย”
“กลิ่นขนาดนี้ คงไม่ตายตัวเดียว สงสัยตายเป็นฝูง”
ชัชพยายามดมหาที่มาของกลิ่น เดินตามกลิ่นไปเรื่อยๆ จนไปเจอริลณีที่เดินออกมายืนหน้านิ่งอยู่ เขาถึงกับชะงัก ทำหน้าแปลกๆ
เตชินรีบเดินเข้าไปหาริลณี
“ชัชจะมานอนค้างบ้านเราด้วย เพราะมันให้พี่ช่วยทำ .....”
เตชินยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ชัชที่ยืนอยู่ตรงหน้าริลณี ก็รีบวิ่งไปอ้วก
“แกเป็นอะไรมากรึเปล่าวะ”
ริลณีจะเดินตามเตชินเข้าไปดูด้วย แต่ชัชยกมือห้ามเอาไว้ให้เข้ามา
“ขอโทษนะครับน้องริน อย่าเพิ่งเข้ามาใกล้พี่ พี่ได้กลิ่นอะไรแปลกๆ จากน้องริน แล้วพี่แบบว่าทนไม่ไหวน่ะครับ มันเหม็นมาก”
ชัชพูดไปก็อ้วกไป ริลณีหน้าเสีย เตชินเดินเข้ามาดมใกล้ๆ ตัว
“ก็ไม่เห็นจะได้กลิ่นอะไรเลย ตัวรินหอมจะตาย”
“แต่ฉันได้กลิ่นจริงๆ นะเว้ย กลิ่นสาปเน่า เหมือน...”
ชัชจะพูดคำว่า ”ศพ” แต่ไม่กล้าพูด ยิ่งเห็นหน้าริลณีที่จ้องมาด้วยความโกรธ ก็ยิ่งรู้สึกสยอง
“เอ่อ คือ ขอโทษนะครับ พี่เสียมารยาทจริงๆ ที่พูดแบบนั้น”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวรินไปเอาน้ำมาให้ พี่เตชินดูแลพี่ชัชก่อนนะคะ”
พอริลณีเดินออกไป ชัชก็รู้สึกดีขึ้นมาทันที
“เฮ้ย! กลิ่นเหม็นสุดๆ หายไปแล้ว แต่มันก็ยังมีกลิ่นเหม็นอยู่ดี”
“กลิ่นอะไรของแก ฉันไม่ได้กลิ่นจริงๆ”
ชัชทำจมูกฟุดฟิด
“มันเป็นกลิ่นแบบคนที่มีสัมผัสที่หกอย่างฉันจะได้กลิ่นเท่านั้นว่ะ ฉันว่าบ้านแก มีอะไรแปลกๆ แล้วว่ะ”
“แปลกบ้าอะไรวะ แล้วไอ้ที่แกบอกได้กลิ่นเหม็นๆ มันกลิ่นอะไรของแก”
“กลิ่นสาปสางของวิญญาณ”

ชัชพูดหน้าเครียด ในขณะที่เตชินยังไม่เข้าใจว่าเพื่อนหมายถึงอะไรกันแน่

ริลณีหยิบแก้วน้ำมาวางบนถาด แต่คำพูดของชัชก็ดังก้องในหู ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห รีบเปิดเสื้อตัวเองออกดู พบว่าใต้เสื้อที่ปกคลุมร่างกายอยู่ เห็นเป็นผิวที่เน่าเละเฟะ จนหนอนขึ้น กระจายไปทั่วร่างมากยิ่งกว่าเดิม

ผีสาวทั้งโกรธ ทั้งเจ็บปวด จนต้องกรีดร้องอย่างรับไม่ได้
“ไม่”
สิ้นเสียง แก้วน้ำที่วางบนโต๊ะ และข้าวของอื่นๆ ในห้อง ก็แตกกระจุยด้วยแรงโทสะ

เสียงข้าวของแตกดังโครมครามมาจากห้องด้านใน เตชินกับชัชที่กำลังเดินเข้าบ้าน ถึงกับชะงักหัน มองหน้ากัน
“เสียงอะไรวะเนี่ย”
เตชินนิ่งคิดแล้วมองไปด้านใน “ริน”
จากนั้นก็รีบวิ่งนำชัชเข้าไปทันที

เตชินรีบวิ่งนำชัชเข้ามาในห้องครัว แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นริลณียืนอยู่ท่ามกลางข้าวของที่แตกกระจายเกลื่อนห้องไปหมด
“เกิดอะไรขึ้นน่ะริน”
ริลณีได้สติ มองไปรอบๆ อย่างตกใจ
“เอ่อ เมื่อกี๊รินเหมือนจะเป็นลม มือคงจะไปโดนของตกลงมามั้งคะ รินขอโทษนะคะ เดี๋ยวรินจะรีบเก็บ”
เตชินรีบห้ามไว้
“รินรีบออกมาจากตรงนั้นดีกว่า เดี๋ยวเกิดเป็นลมล้มไปโดนเศษแก้วจะลำบากนะครับ”
ชัชที่ยังปิดจมูกอยู่ มองเศษแก้วที่กระจายเกลื่อนกลาด อย่างพิจารณา แล้วพึมพำเบาๆ
“มือปัดยังไงวะ มันถึงได้แตกกระจายเต็มห้องแบบนี้”
เตชินรีบผ่าดงเศษแก้วเข้าไปจับมือริลณีไว้ พยายามพาเธอออกมา แต่ขณะที่เดินอยู่ เขาเผลอไปเหยียบเศษแก้วอันใหญ่เข้าอย่างจัง จนร้องโอ๊ยเสียงดัง พร้อมกับทำท่าจะล้มลงไปที่พื้น ริลณีรีบประคองไว้ ขณะที่ชัชรีบเดินเข้าช่วยประคองปีกอีกข้าง
“จะเข้าไปช่วยคนอื่น แต่เจ็บซะเองเนี่ย อายเค้ามั้ยเนี่ย”
ทั้งคู่ช่วยกันประคองเตชินออกมาจากดงเศษแก้วที่แตกมานั่งพัก
“แผลใหญ่นะเนี่ย สงสัยต้องพาไปเย็บแผลที่โรงพยาบาลแล้วมั้งครับ”
ชัชดูแผลแล้วพูดขึ้นมา ริลณีหน้าเสีย
“โรงพยาบาล?”
“ทำไมเหรอครับ น้องรินมีปัญหาอะไรกับโรงพยาบาลรึเปล่า”
เตชินได้ยินก็ชักโมโห
“จะมีได้ยังไง ทำไมนายชอบถามอะไรรินแปลกๆ วะ”
“เอ้า ก็ฉันเห็นรินเค้าทำหน้าเหมือนไม่อยากไป ก็เลยถามดู”
ริลณีมองชัชอย่างไม่พอใจ
“รินแค่ไม่ชอบไปเจอคนเยอะๆ แต่ถ้าจำเป็นรินก็ไปได้ค่ะ”
“งั้นก็รีบไปกันเถอะครับ เดี๋ยวไอ้เตจะเลือดออกหมดตัวซะก่อน”
ทั้งคู่รีบช่วยกันประคองเตชินออกไป ขณะที่ริลณีทำหน้าเครียด

ริลณีและชัช ยืนรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยความกังวลใจ ชัชยังคงปิดจมูกเหม็นอยู่ ในขณะที่ริลณีหน้าเครียด มองอีกฝ่ายอย่างไม่สบายใจ
“ยังไม่หายเหม็นอีกเหรอคะ”
“สงสัยพี่จะโดนวิญญาณตามแล้วล่ะ เพราะไอ้ที่ได้กลิ่นอยู่เนี่ย มันไม่ใช่กลิ่นธรรมดา เป็นกลิ่นสาปสางของวิญญาณ อุ๊บ ไอ้เตมันบอกไม่ให้พูดกับน้องรินเรื่องนี้ มันกลัวน้องรินจะกลัว”
“รินไม่กลัวหรอกค่ะ” ริลณีพูดด้วยแววตาน่ากลัว “ ผีไม่ร้าย ถ้าคนไม่ร้ายก่อน”
“แต่น้องรินก็ต้องระวังไว้บ้าง ผีกับคนน่ะรู้คนละภพ เราไม่มีวันเข้าใจว่าผีคิดอะไรหรอก”
“เค้าก็คิดไม่ต่างกับเราหรอกค่ะ ยังวนเวียนอยู่ในรัก โลภ โกรธ หลง เหมือนกัน”
“น้องรินพูดเหมือนคนมีซิกซ์เซนส์เลยนะครับ หรือว่าน้องรินจะมีเหมือนกัน” ชัชย้อนถาม
“รินไม่อยากมีหรอกค่ะ บางทีการไม่รู้ ไม่เห็น หรือไม่พยายามยุ่งเกี่ยวกับพวกเค้า มันคงจะดีกว่า เพราะวิญญาณเค้าอาจจะไม่พอใจ ที่เราไปสอดรู้สอดเห็น เรื่องที่ไม่ควรรู้ของเค้าก็ได้”
ริลณีพูดพลางมองหน้าชัช แล้วยิ้มน่ากลัว
“แล้วถ้าดวงวิญญาณเค้าโกรธขึ้นมาจริงๆ ถึงจะมีเซนส์เรื่องผีแค่ไหน ก็ตายได้เหมือนกัน”
ชัชได้ฟัง ก็ถึงกับสะดุ้งโหยง
“เอ่อ ..พี่รู้สึกเหมือนโดนขู่ยังไงก็ไม่รู้ พี่ว่าพี่ไปดูไอ้เตมันดีกว่า ป่านนี้หมอทำแผลเสร็จแล้วมั้ง”
ขาดคำก็รีบเดินห่างออกมาด้วยความรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด มายืนอยู่หน้าทางเข้าประตูหน้าห้องฉุกเฉินที่ยังเปิดไปเปิดมาเพราะมีคนเข้าๆ ออกๆ อยู่
ชัชยืนชะเง้อมองอยู่หน้าห้อง หันไปมองริลณีบ้าง จังหวะที่มองนั้น ประตูกระจกหน้าห้อง ถูกเปิดค้างไว้ ชัชเห็นเงาสะท้อนร่างผีของริลณี ถึงกับช็อก

พอจะมองให้แน่ใจอีกครั้งประตูก็ปิดไปก่อน เขาหันมาด้วยสีหน้าครุ่นคิด ไม่อยากจะเชื่อสายตา

ริลณีประคองเตชินที่ทำแผลเรียบร้อยลงมาจากรถซึ่งจอดที่หน้าบ้านทรงไทย ชัชเดินตามลงมาจากที่นั่งคนขับ หน้าตาดูซีดๆ จ๋อยๆ จนเตชินถึงกับเอ่ยปากทัก

“เป็นไรวะ นั่งเงียบมาตลอดทางเลย โดนหมอที่โรงพยาบาลด่ารึไง”
ชัชรีบเออออ “อ๋อๆๆ ชะ ใช่”
“แล้วแกหายเหม็นอะไรที่เหม็นแล้วใช่มั้ย”
ชัชเหลือบมองริลณีอย่างหวาดกลัว
“หายแล้ว ตอนนี้หอม หอมมาก กลิ่นมาดามหอมชื่นใจเลย”
พูดพลางพยายามหัวเราะกลบเกลื่อน จนเตชินและริลณีรู้สึกแปลกๆ
ริลณีหันมาบอกเตชิน “ขึ้นไปพักผ่อนเถอะค่ะ” จากนั้นก็หันมาถามชัช “คืนนี้พี่ชัชยังอยากจะนอนที่นี่มั้ยคะ”
ชัชรีบปฎิเสธปากคอสั่น
“มะ.มะ...ไม่ดีกว่า ไว้วันอื่นแล้วกัน วันนี้นึกได้ว่ามีงานนิดหน่อย”
เตชินรีบดึงชัชไว้ แล้วแอบกระซิบ
“แล้วที่แกจะช่วยฉันแอบตามรินละวะ”
ชัชรีบกระซิบปากคอสั่น “ฉันว่าแกอย่าตามเลยว่ะ มันน่าจะปลอดภัยกว่า”
“ปลอดภัยจากอะไรวะ”
เตชินทำหน้างง ชัชอยากจะพูดต่อ แต่เหลือบเห็นริลณียืนจ้องเอาเรื่องอยู่ เลยรีบตัดบท
“งั้นฉันกลับก่อนนะ น้องรินพาไอ้เตเข้าบ้านไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่ปิดประตูบ้านให้”
ริลณีรีบพาเตชินเดินเข้าบ้านไป ชัชทำทีเดินออกมาแล้ว เห็นว่าทั้งคู่ไม่อยู่แล้ว ก็หยุดที่ถนนหน้าบ้าน แล้วหันมาจ้องบ้าน
“เอาวะ ไอ้เต ขอฉันพิสูจน์เป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน”
พูดพลางรีบกางขาออก ก่อนจะก้มมองลอดหว่างขาเพื่อมองบ้านเรือนไทย ภาพที่เห็น ทำให้เขาถึงกับช็อกตาค้าง เมื่อบ้านทรงไทยอันสวยงามกลายเป็นบ้านรกร้างน่ากลัว และก้อนเมฆที่ลอยอยู่เหนือบ้าน ก็ดำทะมึน ราวกับว่าบ้านหลังนี้มีอาเพศแล้ว
“ไอ้เต”

ชัชพึมพำด้วยความเป็นห่วงเพื่อน

ริลณีพาเตชินไปนั่งบนเก้าอี้โซฟา
“เดี๋ยวรินไปเอาน้ำให้คุณทานยานะคะ”
จังหวะกำลังจะเดินออกไป ประสาทก็รับรู้ เมื่อแว่วได้ยินเสียงของปริมลดาโวยวายดังเข้ามา
“อะไรนะคะ พวกนั้นคิดจะรวมหัวกันแฉลดาเหรอคะ”
ริลณีที่ได้ยินเสียงนั้นก็แอบยิ้มสะใจ ก่อนจะรีบหันไปบอกเตชิน
“สงสัยรินจะลืมถุงยาไว้ในรถ คุณดูทีวีไปก่อนนะคะ เดี๋ยวรินไปเอายาแล้วก็เอาน้ำมาให้ “
ขาดคำก็เดินไปนอกห้องแล้วก็หายตัวไป เตชินหันมามองอีกครั้ง ก็ต้องแปลกใจ ที่ริลณีหายตัวไปอีกแล้ว

ปริมลดาเดินโทรศัพท์ไปมาอยู่ในห้อง ท่าทางดูหงุดหงิด แต่แกล้งปั้นน้ำเสียงให้ดูเรียบร้อย แสนดี
“ลดาไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าทั้งอดีตแฟน และอดีตเพื่อนรักจะทำกับลดาแบบนี้ได้ ขอบคุณนะคะ
พี่ส้มเช้งที่โทรมาบอก รู้ไว้ตอนนี้ ลดาจะได้หาทางแก้แค้น เอ๊ย ไม่ใช่ค่ะ หาทางแก้กลับทัน ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ขอบคุณจริงๆ”
ทันทีที่วางโทรศัพท์ปุ๊บ ปริมลดาก็กรีดร้องลั่น หยิบข้าวของใกล้มือปาระบายอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความโกรธ
“หนอยอีพวกสารเลว พวกมึงคิดจะเอาคลิปฉันมาแฉงั้นเหรอ ไอ้พวกชั้นต่ำ แกกล้าแอบถ่ายคลิปฉันงั้นเหรอ ทำไมพวกแกไม่ตายๆ ไปสักที แล้วฉันจะทำยังไงดี ถึงจะจัดการไอ้ 2 คนนั้นได้ ฉันควรจะทำยังไงดี” จู่ๆ คอมพิวเตอร์ที่ถูกเปิดวางอยู่บนโต๊ะ ก็มีเสียงเตือนว่ามีเมลเข้ามา ปริมลดาหันไปมองแล้วรีบเดินเข้าไปดู
“ทำไมถึงไม่มีชื่อคนส่ง แล้วหัวข้อเมล ขอให้สนุกกับการแก้แค้น”
ปริมลดายิ่งแปลกใจ ก่อนจะรีบเปิดอีเมลนั้นดู เห็นว่าในเมล เป็นไฟล์ภาพหลายภาพ รวมทั้งมีคลิปวิดีโอหลายคลิปด้วย
“ไฟล์ภาพกับคลิปวิดีโอ?”

พอกดคลิปดู ก็ต้องเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า

ชมพูกับเฟื่องฟ้าช่วยกันประคองจิตราฝึกเดิน โดยมีเอทีเอ็มคอยให้กำลังใจอยู่ใกล้ๆ

จิตราค่อยๆ ก้าวเท้าเดินอย่างช้าๆ แต่มั่นคง สองสาวมองลุ้นพลอยตื่นเต้นไปด้วย
“คุณป้าอดทนอีกนิดนะคะ ถ้าคุณป้าเดินไปถึงเก้าอี้ตัวนั้น จะถือว่าเป็นสถิติใหม่ของอาทิตย์นี้เลยนะคะ”
จิตราพยายามก้าวอย่างยากเย็น ในที่สุดก็เดินไปถึงเก้าอี้ตัวนั้นสำเร็จ ชมพู เฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม กระโดดโลดเต้นดีใจกันสุดๆ
จิตรานั่งพักเหนื่อยบนเก้าอี้ มองทั้งสามด้วยความซึ้งใจ พยายามยามพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“ขะ ขะ ขอบ จะ...จะ...ใจ”
เฟื่องฟ้าตื่นเต้น “คุณหญิง คุณหญิงพูดเป็นคำได้แล้วนะคะ”
จิตราพยายามจะจับมือเฟื่องฟ้า เอทีเอ็ม พยายามจะพูดอีกครั้ง
“ขอบ ใจ...มะ...มาก”
“พวกเรายินดีมากครับ ที่พวกเรา 2 คนมาเยี่ยม มาช่วยดูแลคุณหญิงแบบนี้ เพราะอยากให้คุณหญิงหายเร็วๆ ไงครับ”
เอทีเอ็มกับเฟื่องฟ้ายิ้มอย่างจริงใจ
จิตรารู้สึกผิดพยายามจะพูดอีกคำ แต่ยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ชมพู เอทีเอ็ม และเฟื่องฟ้ามองหน้ากันงงๆ เพราะไม่รู้ว่าพูดว่าอะไร จังหวะนั้นสร้อยก็เดินเข้ามา
“คุณหญิงบอกว่า ขอโทษ ค่ะ”
เฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็มมองหน้ากันอึ้งๆ ไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะพูดคำนี้ออกมา จิตรามองด้วยทั้งคู่ความรู้สึกผิดจริงๆ
“อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปค่ะ พวกหนู 2 คนความจำสั้น จำอะไรไม่ค่อยได้หรอกค่ะ”
จิตราพยายามจะพูดว่า “อยากขอโทษริลณีด้วย” แต่ยังเป็นประโยคที่ฟังไม่ออก ชมพูเข้าใจว่าฝ่ายนั้นจะพูดขอโทษเฟื่องฟ้ากับเอทีเอ็มอีก
“คุณป้าไม่ต้องกังวลนะคะ 2 คนนี้เค้าไม่โกรธจริงๆ ไม่งั้นวันนี้เค้าไม่ทำขนมอร่อยๆ มาเยี่ยมคุณป้าหรอกค่ะ เดี๋ยวชมพูไปเอามาให้คุณป้าทานนะคะ”
ชมพูรีบลุกออกไป เอทีเอ็มรีบลุกตามไปช่วย จิตรายังพยายามพูด ”อยากขอโทษริลณีด้วย” ไม่ยอมหยุด จนเฟื่องฟ้าต้องหันไปถามสร้อย
“คุณหญิงพูดว่าอะไรคะ หนูฟังไม่ออกจริงๆ”
“สร้อยก็ฟังไม่ออกทุกคำนะคะ รู้แต่ว่ามีคำว่าขอโทษ แล้วก็คำว่าริลณีค่ะ“
เฟื่องฟ้าหันมองหน้าจิตราอย่างแปลกใจ
“ขอโทษ ริลณีงั้นเหรอ”

ชมพูหันมองหน้าเอทีเอ็ม ที่มาช่วยกันแกะขนมใส่จานด้วยความรู้สึกสงสัย
“ทำไมคุณป้าต้องขอโทษนายกับเฟื่องฟ้าด้วย มีเรื่องอะไรกันเหรอ”
เอทีเอ็มคิดไปถึงเหตุการณ์ที่จิตราเคยส่งคนมาเผาบ้านเด็กกำพร้า และเหตุการณ์ที่เอาคนมาอาละวาดตามหาริลณีที่บ้านเด็กกำพร้า แล้วก็ยิ้ม เหมือนไม่มีอะไร
“เรื่องมันผ่านมาแล้ว ไม่มีอะไรต้องจำแล้วหละ”
“แสดงว่าคุณป้าคงเคยทำอะไรไม่ดีกับพวกนายใช่มั้ย”
“จะว่าอย่างนั้นมันก็ใช่ แต่ส่วนใหญ่ที่คุณหญิงทำเกี่ยวกับรินทั้งนั้นแหละ ท่านไม่อยากให้รินยุ่งกับคุณเตชิน”
ชมพูได้ยินก็ถึงกับอึ้งไป “จริงเหรอ”
“แต่ยังไงรักแท้ก็เอาชนะทุกอย่างได้ แล้วฉันคิดว่ารินคงจะยกโทษและอโหสิกรรมให้คุณหญิงหมดแล้ว ถ้ารินไม่โกรธ แล้วพวกเราจะมาโกรธทำไม”
“พวกนายใจดีกันจัง”
“เด็กกำพร้าอย่างพวกเรา ถ้ามัวแต่ยึดติดกับอดีตที่เจ็บปวด ก็คงไม่สามารถก้าวไปในอนาคตที่งดงามได้ เป็นไงคมมั้ย”
เอทีเอ็มยิ้มขำ
“คมจนบาดนิ้วเลยแหละ”
ชมพูหัวเราะเบาๆ จนเผลอเอาส้อมที่ถือไว้จิ้มนิ้วตัวเองเข้าอย่างจัง เอทีเอ็มตกใจ รีบคว้ามือเธอมาดูด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“ไม่ได้เป็นอะไร ส้อมจิ้มนิ้วนิดเดียวเอง ตกใจไปได้”
ชมพูมองมืออีกฝ่ายที่จับมือเธอไว้แน่น เอทีเอ็มเขินรู้ตัวว่าแสดงออกโอเว่อร์ไปหน่อย รีบปล่อยมือก่อนจะยิ้มแหยๆ
“ก็นึกว่าคำพูดฉันจะคมจนบาดนิ้วเธอจริงๆ”
ชมพูส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วก็ก้มหน้าจัดขนมต่อไปไม่คิดอะไร เอทีเอ็มแอบมองอย่างเขินอาย ที่เผลอแสดงความรู้สึกออกไป โดยไม่ตั้งใจ

เฟื่องฟ้ากับสร้อยช่วยกันเข็นจิตราที่นั่งบนรถวีลแชร์ พาเดินเล่นชมดอกไม้ในสวน
“เดี๋ยวสร้อยเข้าไปช่วยคุณชมพูกับคุณเอทีเอ็มยกของว่างมาตรงนี้ก่อน ฝากคุณเฟื่องฟ้าดูแลคุณหญิงสักครู่นะคะ”
“ได้ค่ะพี่สร้อย”
พอสร้อยเดินออกไป เฟื่องฟ้าก็เข้าไปเข็นรถจิตราแทน ขณะที่เข็นก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่างหน้าเครียด ก่อนจะตัดสินใจเข็นรถมาหยุดตรงต้นไม้ที่ดูลับตาคน แล้วเดินไปนั่งตรงหน้าจิตรา
“คุณหญิงคะ หนูรู้ว่าคุณหญิงยังพูดได้ลำบาก แต่หนูมีเรื่องสำคัญ เกี่ยวกับริลณีที่ต้องถามคุณหญิง ถ้าเรื่องที่หนูพูดถูกต้อง ขอให้คุณหญิงพยักหน้า แต่ถ้าไม่ใช่คุณหญิงก็ส่ายหน้า ได้มั้ยคะ”
จิตราทำหน้าตาตกใจและกลัวเล็กน้อย เมื่อจะถูกถามเรื่องริลณี แต่ก็พยักหน้าตกลง
“คุณหญิง รู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับริลณีใช่มั้ยคะ”
จิตราพยักหน้ารับ หน้าตาตื่นๆ กลัวๆ
“คุณหญิงรู้ใช่มั้ยคะ ว่าริลณีเป็นอะไร”
จิตราหน้าตื่นกลัวยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วพยายามจะพูดอย่างยากเย็น
“ริลณีเป็นผี ริลณีเป็นผี”
เฟื่องฟ้าพยายามฟังเพื่อจับใจความ “คุณหญิงพูดว่าอะไรนะคะ”
จิตราพยายามพูดช้าลง “ริล ณี เป็น ผี”
เฟื่องฟ้าพยายามแกะคำพูดช้าๆ
“ริลณี เป็น...“
เมื่อเฟื่องฟ้าทวนคำ จิตราก็จะพยักหน้าว่าใช่ พอกำลังจะพูดคำสุดท้าย ก็ต้องชะงัก หันมองหน้าจิตรา ที่พยักหน้าช้าๆ ว่าใช่ อย่างที่คิดนั่นแหละ

เฟื่องฟ้าสิ้นข้อกังขาในใจแล้ว

อ่านต่อตอนที่ 13
กำลังโหลดความคิดเห็น