xs
xsm
sm
md
lg

ลุ้นรักข้ามรั้ว ตอนที่ 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลุ้นรักข้ามรั้ว ตอนที่ 8

แก้วกัลยากับฮันนี่เดินคุยกันออกมาที่แปลงผัก สาวใช้ถามขึ้นทันที

“ตกลงจะปลูกผักต่อเหรอคะคุณนาย”
“ปลูกสิยะ ฉันคนจริง ทำอะไรทำจริง”
“แล้วไม่กลัวบ้านนั้นจะแกล้งเราอีกเหรอคะ”
แก้วกัลยาเบ้ปาก “ กลัวแล้วจะทำต่อเหรอ”
ขณะนั้นเสี่ยชาญที่อยู่ฝั่งบ้านเฮง ก็เดินเข้ามาดู
“ทำอะไรกันเหรอจ๊ะ สาวๆ”
แก้วกัลยามองค้อนอย่างไม่ค่อยพอใจ “ยุ่งอะไรด้วย”
“อ้าว อั๊วทักดีๆ นะเนี่ย”
แก้วกัลยายักไหล่แบบไม่แคร์ “ฉันจะตอบดีๆ เฉพาะลูกค้าร้านฉันเท่านั้น”
ฮันนี่รีบผสมโรง “Yeah อยากให้คุยดีด้วยก็มาร้านนี้สิคะ จะเทคแคร์ให้ถึงใจเลย”
ขาดคำ เฮงก็เดินออกมาพอดี
“นั่นแน่ะๆ แย่งลูกค้ากันอย่างนี้เลยเหรอจ๊ะ แม่นางเอกลิเก”
แก้วกัลยาสะบัดหน้าใส่ “ของฉันดีย่ะ ฉันไม่จำเป็นต้องแย่งลูกค้ากับใคร”
เฮงปรายตามองแก้วกัลยาทั่วร่าง “เหรอ ของยังดีอยู่เหรอ”
แก้วกัลยาร้องเสียงหลงขึ้นมาทันที “อ๊าย อย่ามามองฉันแบบนี้นะ ฉันหมายถึงอาหารย่ะ”
“ก็ว่าอยู่ ลูกสามแล้ว ไอ้นั้นมันไม่น่าจะดีแล้วล่ะนะ”
เฮงยิ้มกวนๆ เสี่ยชาญสะดุ้งโหยง
“เฮ้ย ไอ้นั้นที่ลื้อว่าหมายถึงอะไรวะ”
“กระดูกไง ยิ่งเข้าวัยทองแบบนี้กระดูกพรุนกันหมดแล้ว กินนมบำรุงกระดูกบ้างนะเจ๊”
เสี่ยชาญหายใจโล่งอก “ตวดอวดตวดใจหมด”
แก้วกัลยายืนกัดฟันสะกดอารมณ์โกรธ ฮันนี่รีบยุส่ง
“เอาเลยมั้ยคะคุณนาย คุณนายเปิด เดี๋ยวฮันนี่ตาม”
“ไม่ ฉันเป็นผู้ดี ฉันจะไม่ลดตัวลงไปทะเลาะตบตีให้เสียศักดิ์ศรีอีกแล้ว”
ฮันนี่ยกมือทาบอกอย่างมีจริต
“โอ้ มาย ก๊อด หมายความว่าคุณนายจะยอมแพ้?”
“ไม่ จากนี้ไป ฉันจะสู้ด้วยฝีมือการทำอาหาร ร้านฉันจะต้องชนะร้านไอ้หน้าปลาบู่นี่”
เฮงยิ้มขัน “เอาซี้ ถ้าจะวัดกันด้วยฝีมือ อั๊วก็พร้อมอยู่แล้ว”
เสี่ยชาญมองเฮงกับแก้วกัลยาสลับกัน
“เฮ้ย นี่หมายความว่าลื้อสองคนจะเลิกทะเลาะตบตีกันแล้วใช่มั้ยเนี่ย”
เฮงพยักหน้ารับ “ก็ถ้าจะวัดกันด้วยฝีมือการทำอาหาร อั้วก็ยินดี ไม่กลัวอยู่แล้ว”
แก้วกัลยามองเหยียด “ได้ แล้วจะได้เห็นดีกัน”
พูดจบทั้งคู่ก็เดินเข้ามาประจันหน้ากัน

เฮงนั่งอยู่กับเสี่ยชาญที่มุมโซฟา ก่อนที่ตี๋ใหญ่ ตี๋เล็ก หมวยเล็กและจางจะเดินเข้ามา
“โอเค ครบขา แจกไพ่เลย”
เสี่ยชาญพูดจบ จางก็นั่งลงกับพื้น วางเหรียญสิบสองเหรียญรอ
“แหล่มเลย ของผม 2 ขานะครับ”
“ ได้ เดี๋ยวอั้วเป็นเจ้าเอง” เฮงเผลอพูดออกไป แล้วก็นึกขึ้นได้ “จะบ้าเหรอ เรียกประชุม ไม่ได้เล่นไพ่” แล้วก็หันมาพูดกับเสี่ยชาญ “ลื้อนี่ก็ชอบชี้โพรงให้หมูป่า”
จางทำหน้างง ” ชี้โพรงให้กระรอกหรือเปล่าครับ”
“กระรอกบ้านป้าแกเหรอ อ้วนซะขนาดนี้” เฮงพูดแหย่เสี่ยชาญ
“เออน่า วันนี้อารมณ์ดี ขอเตียดตลกเนี้ยดนึง”
เฮงรีบบอก “ลื้อก็เตียดตลกท้วกวันนั่นแหละ อาชาญ”
ตี๋ใหญ่แทรกขึ้นมาบ้าง
“เหมือนเตี่ยจะมีเรื่องสำคัญมากนะครับเนี่ย เรียกมาซะครบเลย”
“ใช่ สำคัญมาก เพราะเตี่ยจะปรับกลยุทธ์ในการสู้กับไอ้พวกข้างบ้านนั่น”
หมวยเล็กตื่นเต้น “ปรับยังไงเหรอเตี่ย”
“ต่อไปนี้เราจะสู้กันด้วยฝีมือการทำอาหาร จะไม่มีการทะเลาะแบบไร้สาระอีกแล้ว”
ตี๋เล็กทำหน้าประหลาดใจ “โห นึกไงเนี่ยเตี่ย ถึงอ่อนข้อให้เค้าขนาดนี้”
เสี่ยชาญรีบตอบสวนขึ้นมา
“เตี่ยลื้อไม่ได้อ่อนข้อ แต่จะสู้กันอย่างสร้างสรรค์ สู้กันด้วยฝีมือน่ะ”
“ใช่ ลื้อต้องตั้งใจเร่งพัฒนาฝีมือนะตี๋เล็ก จะได้ช่วยเตี่ยสู้กับพวกบ้านนั้น”
“ครับเตี่ย”
ตี๋ใหญ่ยิ้มดีใจ “ดีเลยเตี่ย สู้กันอย่างสร้างสรรค์นี่แหละ ดีที่สุดแล้ว”
หมวยเล็กหัวเราะร่วน “สวดยวดไปเลยลวกเพี่ย”
เฮงมองเขม่น “ เฮ้ยๆ ลื้อ 2 คนดีใจออกนอกหน้าไปหน่อยรึเปล่า”
ตี๋ใหญ่รีบแก้ตัว
“ออกนอกหน้าอะไรล่ะเตี่ย อั๊วดีใจที่เราจะสู้กันอย่างสร้างสรรค์ สู้กันด้วยฝีมือ”
หมวยเล็กรับลูกต่อ
“ใช่ สู้กันแบบนี้ ผลประโยชน์น่ะตกไปที่ตัวลูกค้า ไม่ใช่ตบตีกันจนลูกค้าหายอย่างทุกวันนี้”
เสี่ยชาญหันมาทางเฮง “เอ้อ ลื้อนี่ก็จ้องแต่จะจับเผียดลูก”
“ไม่รู้ล่ะ บอกไว้ก่อนนะ ถึงเตี่ยจะปรับกลยุทธ์สู้กับบ้านนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกลื้อจะไปญาติดีกับพวกลูกๆบ้านนั้นได้นะ เข้าใจมั้ย”
ตี๋ใหญ่ ตี๋เล็ก หมวยเล็กรับคำพร้อมกัน “ครับ / ค่ะ”
เสี่ยชาญหันมาทางจาง
“ลื้อก็อีกคนนะอาจาง ห้ามไปก้อร่อก้อติกนังคนใช้บ้านนั้นเด็ดขาด”
“โห่เฮีย ถึงผู้หญิงจะไม่ใช่พิซซ่า แต่ผมก็เลือกหน้านะ จะบอกให้”
เสี่ยชาญหัวเราะชอบใจ “อั๊ยย่ะ หิวเพี้ยดซ่าขึ้นมาเลย สั่งเพี้ยดซ่ามากินดีกว่า”
เฮงรีบห้าม “ห้ามสั่ง มาร้านอั๊ว ก็ต้องกินอาหารร้านอั๊วสิ”
เสี่ยชาญทำหน้าเซ็ง
“ก็ไปทำเร็วๆ สิ อั๊วสั่งไปตั้งนานแล้ว ยังไม่ได้เกียนอะไรซักอย่าง”
“ไปตี๋เล็ก ขยำข้าวให้เสี่ยกัน”
เฮงพูดจบก็เดินนำตี๋เล็กและจางออกไป เสี่ยชาญรีบพูดไล่หลัง
“เฮ้ย อั๊วไม่ใช่แมว ไม่ต้องมาแซว”
เฮงตะโกนออกมาจากด้านหลัง “หมา”
ตี๋ใหญ่กับหมวยเล็กอมยิ้มเล็กๆ โล่งใจที่สถานการณ์ของทั้ง 2 บ้านเริ่มจะดีขึ้น

ทางด้านแก้วกัลยา ก็เรียกหญิงใหญ่ ชายเล็ก และฮันนี่มารับฟังกลยุทธ์ในการต่อสู้กับบ้านเฮงเหมือนกัน
“แม่บอกไว้เลยนะ ถึงแม่จะเลิกทะเลาะกับไอ้พวกบ้านนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าศึกครั้งนี้จะจบ เรายังต้องแข่งขันกันต่อไป”
หญิงใหญ่ยิ้มดีใจ “ดีแล้วค่ะแม่ แข่งกันด้วยฝีมือการทำอาหารนี่แหละ ถึงจะสมศักดิ์ศรีที่สุด”
“ใช่ครับ ถ้าเราชนะ มันจะเป็นชัยชนะที่น่าภูมิใจกว่าไปตบตีกับเค้าเยอะเลย”
พอชายเล็กพูดจบ ฮันนี่ก็พูดต่อทันที
“ฮันนี่ก็เห็นด้วยนะคะ ไอ้ที่ตบตีด่าทอกันอย่างที่ผ่านมาเนี่ย พวกไม่มีการศึกษาเค้าทำกันค่ะ พวกไร้จิตสำนึก พวกไม่สร้างสรรค์ โลว์คลาสสุดๆ”
ฮันนี่พูดคำนึง แก้วกัลยาก็สะดุ้งทีนึง
“พอเถอะฮันนี่”
“พอทำไมคะ ฮันนี่ยังด่ามันไม่หนำใจเลย”
แก้วกัลยามองค้อน “ก็ไอ้ที่ด่าเนี่ย มันกระทบฉันด้วย ยู โน๋ว์”
“อุ๊บส์ ซอรี่ค่ะ”
“อีกเรื่องที่สำคัญ ถึงแม่จะเลิกตบตีกับไอ้พวกบ้านนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกๆ จะไปคุยดีกับ
ไอ้ลูกบ้านนั้นได้นะเข้าใจมั้ย”
หญิงใหญ่กับชายเล็กรีบรับคำ แก้วกัลยาพูดต่อ
“ตอนนี้หญิงเล็กลงทะเบียนเรียนด้านอาหารอย่างจริงจังแล้ว ต่อไปคงจะช่วยแม่ได้มาก”
“ถ้าอยากได้ผู้ช่วยอีกแรง คุณนายส่งฮันนี่เรียนอีกคนสิคะ”
“เรียนที่ไหนดีล่ะ” แก้วกัลยาย้อนถาม
“เลอ กอร์ ดอง เบลอมั้ยคะ จบมานี่ดังแน่นอน”
“เหรอ แล้วถ้าฉันส่งแกเรียนจนจบออกมา แล้วแกดังเปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง แกจะไปจากฉันมั้ย”
ฮันนี่รีบตอบแบบไม่ต้องคิด
“โอ๊ย ฮันนี่ไปตั้งแต่เปรี้ยงแรกแล้วล่ะค่ะ เปิดร้านเอง ดี๊ดีอ่ะ”
แก้วกัลยามองค้อน “จ้ะ ดีออก”
“สรุปว่าจะส่งฮันนี่เรียน?”
แก้วกัลยาส่ายหัวดิก “ไม่ส่ง โอเค้”
ฮันนี่เสียอ่อย หน้าจ๋อย “โอเค”
แก้วกัลยามองค้อนฮันนี่ ส่วนหญิงใหญ่กับชายเล็กแอบทำสีหน้าเบาใจขึ้น

ภรณีที่เดินเข้ามาที่โต๊ะทำงานพร้อมกับหญิงใหญ่ เห็นขนมเปี๊ยะวางอยู่บนโต๊ะพร้อมกระดาษเขียนข้อความ
“Have a nice day นะ”
“อุ๊ยตายแล้ว ดูซิว่าภรณีได้อะไรจากบัดเดอร์ ขนมเปี๊ยะค่า”
หญิงใหญ่พลอยดีใจแทน “ก็ดีนะ อยู่ท้องดีจะตาย”
“ค่า ดีออก Have a nice day นะ ค่ะ เวรี่ไนซ์มากค่ะ ได้ขนมเปี๊ยะ”
ส่วนหญิงใหญ่ก็หันมาเห็นคิทแคทชาเขียววางอยู่บนโต๊ะพร้อมกระดาษเขียนข้อความ “runrunrunrunrunrunrunrunrunrunrunrunrunrunrunrunrun”
ภรณีหันมาแซว “เฮ้ย คิทแคทชาเขียว ไฮโซโก้เก๋อ่ะแก”
หญิงใหญ่แอบเบ้ปาก “ไฮโซอะไรล่ะ ซูเปอร์มาร์เก็ตมีขายเยอะแยะ”
“แหม เทียบกับขนมเปี๊ยะฉัน มันก็สวรรค์ชั้นเจ็ดกับนรกอเวจีนั่นแหละค่ะ”
หญิงใหญ่หยิบโน้ตขึ้นมาอ่าน “เขียนอะไรมาเนี่ย”
“รันรึเปล่าแก”
“เออ แล้วทำไมเขียนติดกันแบบนี้ล่ะ”
“ฉันว่ามันต้องตีความ รันติดกัน รันไม่เว้นวรรค” ภรณีคิดๆ แล้วก็ปิ๊งขึ้นมา “รันไม่เว้นวรรค รักไม่เว้นวัน”
หญิงใหญ่รีบพลิกกระดาษโน้ตไปอีกหน้า มีเฉลยอยู่ “รันไม่เว้นวรรค รักไม่เว้นวัน :) ”
ภรณีร้องเสียงหลง “ฮิ้ว”
“จะเสียงดังทำไมเนี่ย อายเค้า”
“ข้อความมีลูกเล่นให้คิดจินตนาการแบบนี้ ฉันว่าเป็นใครไม่ได้ นอกจากผู้ช่วย”
หญิงใหญ่ทำหน้าแบบไม่ค่อยเชื่อ “เหรอ”
“เออสิ แล้วครั้งก่อนแกส่งคิทแคทให้ผู้ช่วยไม่ใช่เหรอ นี่ส่งคิทแคทชาเขียวมาแบบนี้ เหมือนแอบรู้ว่าแกเป็นบัดเดอร์อย่างนั้นแหละ”
หญิงใหญ่สะดุ้งตกใจ “เฮ้ย จริงเหรอ”
“อย่าเพิ่งตื่นตูม อาจจะบังเอิญก็ได้”
จังหวะนั้นอัครเดชก็ขนแฟ้มงานมาวางที่โต๊ะทำงานใหม่ ภรณีหันไปเห็นก็ร้องทัก
“อ้าว ย้ายศาลอีกแล้วเหรอคะคุณอัครเดช”
“ย้ายโต๊ะ ไม่ได้ย้ายศาล”
ภรณีหัวเราะขำ
“แหม ก็เห็นย้ายที่ไปเรื่อยเป็นสัมพเวสีไม่มีศาลเลยนี่คะ อีกหน่อยคงย้ายแผนก”
อัครเดชทำท่ากร่าง “คนเก่งอย่างฉันอยู่แผนกไหนก็รุ่ง”
“หรา งั้นลองย้ายไปเป็นรปภ.มั้ยล่ะ ฉันจะดูซิว่าจะรุ่งแค่ไหน”
หญิงใหญ่เห็น 2 คนเหน็บกันไปมา ก็พูดเย้า
“ 2 คนนี้ก็กัดกันอย่างกับพระเอกนางเอกในละคร ระวังจะรักกันนะ”
อัครเดชหยิบกรรไกรที่โต๊ะ แล้วเดินมาวางบนโต๊ะภรณี
“พกกรรไกรติดตัวไว้บ้างก็ดีนะครับ”
ภรณีมองอย่างรู้ทัน
“หึ จะบอกว่าเราจะได้ไม่ต้องห่างกรรไกรว่างั้นเหอะ มุกกูเกิ้ลอย่ามาเล่นกับฉัน ฉันไม่เคลิ้ม
หรอกย่ะ”
อัครเดชรีบส่ายหัว “เปล่า จะได้เอาไว้เล็มขนจมูกบ้าง แพลมเชียะ”
พูดจบก็เดินกลับโต๊ะไป
“อ๊าย ไอ้..”
ภรณีโกรธจนด่าไม่ถูก จังหวะนั้นตี๋ใหญ่ก็เดินออกจากห้องทำงานมาหาหญิงใหญ่
“ยุ่งอยู่หรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ มีอะไรให้ฉันทำเหรอคะ”
“เข้าไปคุยกับผมในห้องแป๊บนึงสิ ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
หญิงใหญ่ยิ้มรับ “ได้ค่ะ”

ตี๋ใหญ่พยักหน้าแล้วเดินกลับไปที่ห้อง หญิงใหญ่กับภรณีมองหน้ากันลุ้นๆ ว่าฝ่ายนั้นจะคุยเรื่องอะไร

ตี๋ใหญ่นั่งดูแฟ้มงานอยู่ในห้องทำงาน พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา

“เชิญครับ”
ขาดคำหญิงใหญ่ก็เปิดประตูเข้ามา
“นั่งสิ”
หญิงใหญ่นั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้า แล้วถามขึ้นมาทันที
“มีงานอะไรให้ฉันทำเหรอคะ”
“ไม่มีหรอก ผมเรียกคุณมาเพื่อจะขอโทษ”
“เรื่อง?”
“ทุกเรื่องที่เตี่ยกับน้องผมทำให้บ้านคุณวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้น่ะ”
หญิงใหญ่ยิ้มเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“โอ๊ย ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกคุณ แม่กับน้องฉัน ก็มีส่วนกับเรื่องวุ่นวายครั้งนี้”
“นั่นแหละ ไหนๆ เราก็ตกลงที่จะแข่งขันกันอย่างสร้างสรรค์แล้ว ผมก็อยากจะขอโทษกับเรื่องที่ผ่าน มาหน่อยน่ะ จะได้ไม่มีอะไรคาใจกันอีก”
“โอเค ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ขอโทษแทนแม่กับน้องฉันตรงนี้เลยแล้วกัน”
“ครับ จากนี้ไปเราจะอยู่กันอย่างสันติ และแข่งขันกันอย่างสร้างสรรค์”
ตี๋ใหญ่ยื่นมือไปตรงหน้า หญิงใหญ่ทำหน้างง
“อะไรอ่ะ”
“เช็คแฮนด์ไง ตกลงกันได้แล้วก็จับมือสิ หรือว่ากลัวผิดผี”
“จะบ้าเหรอ ฉันไม่ใช่เด็กดอยซะหน่อย”
หญิงใหญ่พูดจบก็ยื่นมือไปจับมือกับตี๋ใหญ่ ทั้งคู่มองตากันซึ้งๆ จนหญิงใหญ่เริ่มเขินและตื่นเต้น
“ตื่นเต้นเหรอ”
หญิงใหญ่รีบทำหน้านิ่ง “เปล่าซะหน่อย”
“หัวใจคุณเต้นแรง แล้วเหงื่อก็เริ่มออกที่ฝ่ามือ”
หญิงใหญ่มองที่มือตัวเอง พอเห็นว่านิ้วชี้ตี๋ใหญ่จับที่ตำแหน่งชีพจร ก็รีบดึงมือออก
“สอดรู้สอดเห็น”
พูดจบก็รีบลุกเดินออกจากห้องไป ตี๋ใหญ่ยิ้มด้วยความรู้สึกดีๆ ที่ดีกับหญิงใหญ่

ฟากตี๋เล็กก็อยู่ในครัวที่ร้านเฮง กำลังหย่อนกระดูกหน้าแข้งหมูลงหม้อต้มน้ำซุป จังหวะนั้นมือถือก็ดังขึ้นมา
ตี๋เล็กดูเบอร์ก่อนจะกดรับ “เอ้อ..ว่า?”
เอกเพื่อนตี๋เล็ก เดินคุยโทรศัพท์อยู่ที่ทางเดินหน้าห้องในมหาวิทยาลัย
“เฮ้ย อยู่ไหนเนี่ยเมิง”
ตี๋เล็กคุยโทรศัพท์ไปด้วย คนซุปในหม้อไปด้วย“อยู่บ้านดิ มีไรวะ”
“อยู่บ้าน วันนี้มีจับบัดดี้ทำวิจัยกันนะเว้ย ลืมเหรอวะ”
“ไม่ลืม แต่ที่ร้านยุ่งๆ ว่ะ บอกอาจารย์ให้หน่อย วันนี้เข้าสาย”
“เออ งั้นกูไปเป็นบัดดี้กับน้องกิ๊กแล้วกันนะ ส่วนมึงจะคู่กับใครก็แล้วแต่บุญแต่กรรมแล้วกัน”
ตี๋เล็กรีบตัดบท “เออ กูคู่กับใครก็ได้ มีเรื่องบอกแค่นี้ใช่ป่ะ กำลังทำงานอยู่ เออ แล้วเจอกัน”
ตี๋เล็กรีบกดวางสายแล้วปิดฝาหม้อ พร้อมกับที่จางเดินหิ้วถุงผักเข้ามา
“เฮียตี๋เล็กมีแบงค์ห้าร้อยสองใบมั้ยครับ”
ตี๋เล็กหยิบเงินให้ “มีสิ จะแลกไปทอนลูกค้าเหรอ”
“เปล่าครับ จะยืมน่ะ พอดีช็อตนิดหน่อย”
ตี๋เล็กรีบเก็บเงินเข้ากระเป๋า “ตลกเนอะ เหอะๆ”
จางทำหน้าเซ็ง ขณะที่เฮงเดินเข้ามา ด้วยท่าทางง่วงๆ เพลียๆ
“เป็นไรครับเฮีย ท่าทางเพลียๆ”
“เมื่อคืนนอนไม่หลับน่ะสิ เดี๋ยวหลับเดี๋ยวตื่นตลอดคืน ไม่รู้เป็นอะไร”
“ฝันว่ากินกาแฟรึเปล่าเตี่ย”
“2 แก้ว จะบ้าเหรอไอ้ตี๋เล็ก กินกาแฟในฝันแล้วนอนไม่หลับ ใครเค้าเป็นกัน”
จางรีบเสนอตัว “ถ้าเฮียหลับๆ ตื่นๆ แบบนี้ ผมมีวิธีแก้ครับ”
“ทำไงเหรออาจาง”
“นี่เป็นตำราโบร่ำโบราณเลยนะครับ ถ้าเฮียอยากรู้ ผมขอยืมห้าร้อย แล้วผมจะบอก”
เฮงหลวมตัว “ได้ผลแน่นะ”
“ร้อยเปอร์เซ็นต์”
เฮงรีบยื่นเงินให้จางห้าร้อย “อ่ะ ว่ามาอั๊วต้องทำยังไง”
“ง่ายนิดเดียว ไปซื้อผ้าอนามัยมาใส่ก่อนนอน” จางตอบหน้าตาเฉย
“เฮ้ย อั๊วเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ชะนี”
“อ้าว ไม่เคยได้ยินเหรอเฮีย ที่เค้าว่าใส่แล้วหลับสนิทตลอดคืนน่ะ”
จางทำหน้าทะเล้น รีบกำเงินเดินออกไป ปล่อยให้เฮงยืนงง
“เฮ้ยตี๋เล็ก มันใช้ได้จริงเหรอวะ”
“เตี่ยก็ลองซื้อมาใส่ดูสิ”
ตี๋เล็กพูดจบก็เดินยิ้มออกไป เฮงยังงงๆ อยู่ว่าใช้ได้ผลจริงเหรอ

ทางด้านเอกกับกลุ่มนักศึกษาชาย-หญิง ก็ทยอยเดินออกจากห้องเรียน หญิงเล็กเดินมาที่หน้าห้อง มองเข้าไปข้างใน พอเห็นอาจารย์ยืนอยู่ ก็รีบเดินเข้าไปพบ
“สวัสดีค่ะอาจารย์”
“อ้าว ทำไมเพิ่งมาล่ะ รู้หรือเปล่าว่าวันนี้อาจารย์สั่งงาน”
“ทราบค่ะ แต่พอดีหนูติดธุระสำคัญจริงๆ ค่ะอาจารย์ หนูยังทำงานส่งได้ใช่มั้ยคะ”
“ทำได้ แต่เค้าจับคู่บัดดี้กันไปหมดแล้วน่ะสิ”
หญิงเล็กหน้าเหวอ “อ้าว”
“เอ๊ย เดี๋ยวๆ มีคนนึงที่ไม่ได้มาจับคู่บัดดี้ในวันนี้ เดี๋ยวเธอคู่กับนายคนนี้เลยแล้วกัน”
หญิงเล็กยิ้มดีใจ “ได้ค่ะอาจารย์ หนูคู่กับใครก็ได้ค่ะ”
“ดี เธอกับบัดดี้เธอ ทำวิจัยในหัวข้อสตรีทฟู้ด เสน่ห์ของอาหารไทยในสายตาชาวต่างชาตินะ”
“สตรีทฟู้ด อาหารข้างถนนน่ะเหรอคะ”
“ใช่ แล้วบัดดี้เธอก็คือคนนี้”
อาจารย์หยิบกระดาษรายชื่อมาขีดไฮไลท์ แล้วยื่นกระดาษรายชื่อให้ดู หญิงเล็กเห็นชื่อแล้วอึ้งไป

หญิงใหญ่นั่งทำงานอยู่ อัครเดชก็เดินเข้ามา แล้วยื่นเครปเค้กพร้อมกับกระดาษโน้ตให้
“มีคนฝากมาให้ครับ”
หญิงใหญ่ทำหน้าแปลกใจ “ ใครเหรอเดช”
“ถ้าบอกก็รู้สิ ว่าใครเทคแคร์เธออยู่”
พออัครเดชเดินกลับโต๊ะไป ภรณีก็รีบลุกมาหา
“โอ้โห เครปเค้กอ่ะแก น่ากินมาก”
หญิงใหญ่หยิบโน้ตมาอ่าน
“เมื่อคุณยิ้มแล้วโลกจะสว่างไสว ปล.คืนนี้ ผมคงต้องปิดม่านนอน เพราะคืนนี้คุณคงอ่านข้อความนี้ แล้วยิ้มไปกับมัน”
ภรณีทำหน้ากระดี๊กระด๊า “โห อบอุ่นอ่ะแก นี่ วันนี้ฉันเห็นไอ้อัครเดชเข้าออกห้องผู้ช่วยอยู่หลาย รอบ ฉันว่าผู้ช่วยต้องใช้ให้มันเอาเครปนี่มาให้แกแน่”
“แกว่างั้นเหรอ” หญิงใหญ่ย้อนถาม
“เปอร์เซ็นต์สูงมาก”
หญิงใหญ่คิดหนัก เพราะเตรียมของให้ตี๋ใหญ่ไว้ แต่ยังไม่มีจังหวะจะให้
“เครียดอะไรวะแก”
“ฉันเตรียมของไว้ให้เค้า แต่ยังไม่มีจังหวะจะให้เลยน่ะ”
ภรณีหยุดคิดครู่หนึ่ง “ให้ฉันเอาเข้าไปให้มั้ยล่ะ”
“จะดีเหรอ ฉันกลัวเค้าเห็นแกเอาเข้าไปให้แล้วจะสงสัยว่าฉันฝากมาน่ะ”
“ก็ไม่ต้องให้เค้าเห็นฉันสิยะ”
หญิงใหญ่ทำหน้างง “ทำไงอ่ะ”
“ล่อเสือออกจากถ้ำไง”
หญิงใหญ่ยิ่งงงหนัก ตรงข้ามกับภรณีที่ยิ้มกริ่ม แบบมีแผนการในใจ

เสียงเคาะประตูห้องทำงานของตี๋ใหญ่ดังขึ้นมา
“เชิญครับ”
หญิงใหญ่เปิดประตูเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ฉันสั่งพิซซ่ามาน่ะ ก็เลยมาชวนคุณไปกินด้วยกัน”
“เอาเลยคุณ ผมยังไม่หิว ขอบคุณนะที่ชวน”
หญิงใหญ่รีบคะยั้นคะยอ
“ไม่หิวก็ต้องกินนะคุณ กินผิดเวลาเดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะหรอก”
ตี๋ใหญ่ขมวดคิ้ว สงสัย “คุณดูเป็นห่วงผมนะเนี่ย”
หญิงใหญ่อึกอัก “อ้าว ไหนๆ เราก็ปรับความเข้าใจ จับมือสงบศึกกันแล้ว มีอะไรฉันก็อยากแบ่งปันคุณตามประสาเพื่อนร่วมงานที่ดี”
“แค่นี้?”
“จะเอาแค่ไหนล่ะคะ เร็วๆ ฉันหิว”
“ผมก็คิดว่าคุณจะเป็นโรคกระเพาะ”
“โรคกระเพาะ?”
ตี๋ใหญ่ทำหน้าทะเล้น “กระเพราะว่าห่วงใยไง”

พูดจบก็ลุกเดินออกจากห้อง หญิงใหญ่เขินแต่พยายามเก็บอาการ
 
อ่านต่อหน้า 2

ลุ้นรักข้ามรั้ว ตอนที่ 8 (ต่อ)

เอกนั่งเปิดหนังสืออ่านอยู่ที่โต๊ะหน้าตึก ตี๋เล็กเดินหน้าเครียดๆ เข้ามานั่งข้างๆ

“ไงเมิง ไปหาอาจารย์มารึยัง”
ตี๋เล็กพยักหน้าเซ็งๆ “ไปมาล่ะ”
“หน้าเครียดแบบนี้ อย่าบอกว่าอาจารย์ไม่ให้ทำงาน”
“ให้ทำ”
เอกรีบถามต่อ “ให้ทำแล้วทำไมเซ็งๆ วะ”
ตี๋เล็กรีบตอบ โดยไม่ทันเห็นหญิงเล็กที่เดินเข้ามาทางด้านหลัง
“ก็เซ็งบัดดี้อ่ะดิ คนตั้งเยอะตั้งแยะไม่เจอ มาเจอยัยนี่ได้ ไงก็ไม่รู้”
เอกเห็นหญิงเล็กยืนอยู่ ก็รีบกระซิบถาม
“ยัยนี่ที่มึงว่า คือยัยนั่นรึเปล่าวะ”
“ยัยไหนวะ”
ตี๋เล็กหันไปมองเจอหญิงเล็กมองค้อน
“งานนี้แยกย้ายกันทำก็ได้นะ ไอ โด๊น แคร์”
ตี๋เล็กเบ้ปากใส่ “ไม่จำเป็น ผมแยกแยะออกว่าอันไหนเรื่องส่วนตัว อัน ไหนเรื่องงาน”
“หรา แล้วเมื่อกี๊นี้ใครเห่า เอ้ย ใครหอน เอ้ย ขอโทษๆ ใครพูดนะว่าเซ็งบัดดี้ คนตั้งเยอะตั้งแยะไม่ เจอ มาเจอยัยนี่ได้ไงก็มิรู้”
ตี๋เล็กรีบแก้ตัว
“ผมแค่บ่นกับเพื่อนผม สุดท้ายแล้วผมก็แยกแยะออก ว่าอันไหนงาน อันไหนเรื่องส่วนตัว”
“โอเค แล้วนายมีเบอร์มั้ย”
“ก็มีบ้างเวลานอนน้อย วันนี้ก็เบลอๆ อยู่”
ตี๋เล็กพูดแล้วก็ทำท่าหาวหวอดๆ
“ไม่ใช่อาการเบลอ ฉันหมายถึงเบอร์โทร”
“อ่อ เอาโทรศัพท์เธอมาสิ”
หญิงเล็กรีบส่งโทรศัพท์ให้ตี๋เล็กกดโทรศัพท์ แล้วยิงเบอร์เข้าเครื่องตัวเอง
“ที่ขอเบอร์เนี่ย เรื่องส่วนตัวหรือเรื่องงานจ๊ะ”
“เรื่องงานย่ะ”
หญิงเล็กพูดแล้วก็รีบดึงโทรศัพท์คืน แล้วเดินออกไปทันที ตี๋เล็กยิ้มกรุ้มกริ่ม

หญิงใหญ่ยืนเล็มกินพิซซ่าทีละนิดๆ ตี๋ใหญ่ที่ยืนกินอยู่ด้วยกัน หันมาเห็น ก็สงสัย
“นี่ ชวนผมมากินหรือมาดมไม่ทราบ”
“คุณก็กินไปสิ ยุ่งอะไรกับฉันล่ะ”
“ก็ไหนว่าหิวไง เล็มแบบนี้เมื่อไหร่จะอิ่ม”
หญิงใหญ่รีบแก้ตัว “ฉันเป็นผู้หญิงนะ จะให้กินตะกละตะกลามแบบผู้ชายรึไง”
“อันนี้ก็เรียบร้อยไป กินเร็วๆ เข้า จะได้ไปทำงานต่อ”
ว่าแล้วก็หยิบพิซซ่าให้หญิงใหญ่เพิ่ม “กินให้หมด หิวไม่ใช่เหรอ”
“มันเยอะไป”
“วันนี้มีเอกสารให้ผมเซ็นหรือเปล่า”
หญิงใหญ่รีบบอก “กำลังเตรียมอยู่ค่ะ เดี๋ยวจะเอาเข้าไปให้เซ็นช่วงบ่าย”
“ถ้ากินไม่หมด ผมไม่เซ็น”
หญิงใหญ่ร้องตกใจ “เฮ้ย”
ตี๋ใหญ่หัวเราะขำ ก่อนจะหยิบพิซซ่าขึ้นมาขอชน “อ่ะ พัทยา”
“ชน”
ตี๋ใหญ่กินพิซซ่าต่อ หญิงใหญ่มองพิซซ่าที่กองอยู่ข้างหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เสียงหญิงใหญ่ล้วงคออ้วกดังมาจากในส้วม ภรณีเดินเข้ามาล้างมือได้ยินเสียงก็บ่นพึมพำกับตัวเอง
“สงสัยเบ่งทางก้นไม่ออก เลยเบ่งออกทางปาก”
เสียงอ้วกดังขึ้นอีก ตามด้วยเสียงกดชักโครก ก่อนที่หญิงใหญ่จะเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ
ภรณีหน้าเจื่อน
“อ้าว เสียงเมื่อกี๊นี้ แกเองเหรอ”
“ใช่ ทำไมเหรอ”
“ฉันต้องถามแกมากกว่ามั้ง เสียงโอ๊กอ๊ากๆ ซะขนาดนั้นน่ะ แกท้องเหรอ”
“ 3 เดือน เย้ย! ไม่ได้ท้อง”
“ไม่ได้ท้องแล้วเป็นไรวะ ไม่สบายเหรอ” ภรณีย้อนถาม
“เปล่า เมื่อกี๊นายนั่นบังคับให้ฉันกินพิซซ่าเข้าไปตั้งเยอะ แป้งทั้งนั้น ฉันกลัวอ้วน”
“แหม ทีหลังแกจะใช้แผนนี้อีก ก็สั่งสลัดผักมาสิยะ กินให้ท้องแตกตายก็ไม่อ้วน”
หญิงใหญ่มองค้อน ก่อนจะรีบถาม “แล้วของฉันล่ะ”
“อยู่บนโต๊ะผู้ช่วยเรียบร้อยแล้ว”
“โอเค”
ภรณีทำหน้าล้อๆ ก่อนจะพูดแหย่
“ทุกครั้งที่เหนื่อยและท้อแท้ ก้มมองที่คีย์บอร์ดนะ แล้วจะเห็น I อยู่ข้างๆ U เสมอ”
ขาดคำภรณีก้มลงอ้วกที่อ่างล้างหน้า หญิงใหญ่รีบทุบลงกลางหลัง
“โอ๊ย เค้ามีแต่ลูบหลังให้กันไม่ใช่เหรอ”
หญิงใหญ่มองค้อน “แอบอ่านข้อความฉันเหรอ”
“แหม โน้ตแกติดหราซะขนาดนั้น คนตาบอดเท่านั้นแหละ ที่จะมองไม่เห็นน่ะ”
หญิงใหญ่อึกอัก “ฉันก็เขียนล่อเหยื่อไปงั้นแหละ สุดท้ายแล้วนายนั่นจะโดนฉันหักอกดังเป๊าะ”
“หรา ระวังจะติดกับดักตัวเองนะตัวเธอ”
“บ้า”
หญิงใหญ่พูดจบก็รีบเสเปิดก๊อกน้ำล้างมือ ภรณีมองอาการอย่างพยายามค้นหา อยากรู้ว่าเพื่อนสาวจะคิดอะไรกับตี๋ใหญ่บ้างมั้ย

ตี๋ใหญ่เปิดแฟ้มงานที่กองสุมอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเห็นช็อคโกแล็ตแท่งมีกระดาษโน้ตแปะวางอยู่
“ทุกครั้งที่เหนื่อยและท้อแท้ ก้มมองที่คีย์บอร์ดนะ แล้วจะเห็น I อยู่ข้างๆ U เสมอ :P”
ตี๋ใหญ่เหลือบไปที่แป้นคีย์บอร์ด เห็นตัวอักษร I กับ U อยู่ติดกัน แล้วก็แอบอมยิ้มอย่างรู้สึกดี
“ใครนะ”
พลางพยายามครุ่นคิดว่าใครคือคนเทคแคร์ตัวเองอยู่

เฮงนั่งลงกุมขมับอยู่ที่โซฟา หมวยเล็กนั่งลงข้างๆ นวดไหล่ให้อย่างเอาใจ
“อย่าเครียดน่าเตี่ย”
เฮงถอนใจเฮือก “ไม่ให้เครียดได้ไง วันนี้ลูกค้ายังน้อยอยู่เลย”
“ก็ทะเลาะกับบ้านนั้นซะวุ่นวาย ลูกค้าก็หนีหมดสิเตี่ย”
หมวยเล็กพูดเสร็จ ตี๋ใหญ่ก็เดินเข้ามา
“อั๊วเก็บโต๊ะเสร็จหมดแล้วนะเตี่ย มีอะไรให้อั๊วทำอีกมั้ย”
หมวยเล็กรีบบอก
“ช่วยมาทำใจให้เตี่ยหน่อยสิเฮีย ดูสิ คิ้วชนกันจนหน้ายู่เป็นหมาบลูด็อกละเนี่ย”
เฮงหันไปทำแฮ่ใส่ หมวยเล็กก็แฮ่กลับ ตี๋ใหญ่รีบตะโกนเรียกจาง
“จาง เอาน้ำร้อนมาขันนึงซิ”
หมวยเล็กมองค้อนพี่ชาย “เย้ย นี่คน ไม่ใช่แมวเปอร์เซีย”
เฮงรีบท้วง “หมา แฮ่”
ตี๋ใหญ่กับหมวยเล็กหัวเราะขำ พยายามสร้างบรรยากาศไม่ให้เครียด ทำเอาเฮงพลอยอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง พอเห็นจางก็เดินออกมาจากครัว ก็รีบถามทันที
“ทำความสะอาดในครัวเรียบร้อยแล้วรึยัง”
“เรียบร้อยครับเฮีย วันนี้ลูกค้าน้อย ครัวแทบไม่เลอะเลยครับ”
เฮงได้ฟังก็กุมขมับ หน้าเครียดอีกรอบ ตี๋ใหญ่หันไปทำหน้าดุใส่จาง
“สะกิดติ่งเครียดเตี่ยอีกละ อุตส่าห์บิ๊วกันจนหาย”
“เดี๋ยวผมบิ๊วต่อให้ครับ”
ขาดคำจางก็เดินเข้าไปนวด แต่กลับเจอเฮงถีบกระเด็นออกมาชนกับเสี่ยชาญที่เดินเข้ามา จน
จุกตัวงอ
“เป็นไงบ้างเสี่ย” จางถามอย่างเป็นห่วง
“ทั้งเจียบทั้งจวกน่ะสิ ถามมาได้”
ตี๋ใหญ่รีบถามต่อ “เสี่ยจะมากินข้าวเหรอครับ”
“ใช่ แล้วนี่เปียดร้านแล้วเหรอ”
หมวยเล็กรีบตอบแทน “ค่ะ วันนี้ลูกค้าน้อย เลยปิดเร็วนิดนึง”
“เอางี้ เดี๋ยวผมไปดูในห้องน้ำให้ ว่าพอเหลืออะไรให้กินได้บ้าง” จางรีบเสนอตัว
“ดี ถ้ามีก็ไม่ต้องราดนะ เดี๋ยวอั้วเข้าไปเกียนเอง”
เสี่ยชาญพูดจบก็ถีบจางไปหนึ่งที
“โอ๊ย ถีบผมทำไมอ่ะเสี่ย”
“อั๊วเพื่อนเล่นเหรอ ลามปามใหญ่แล้ว”
“เห็นเฮียเครียดอยู่ ก็อยากให้เฮฮา”
เฮงไม่ขำด้วย “ไม่เฮฮาอะไรทั้งนั้นแหละ หงวดเหงียดโว้ย”
“ใจเยียนๆ น่าอาเฮง ลื้อกับอาแก้วตกลงสงบศึกกันแล้ว เดี๋ยวพอสถานการณ์สงบ ลูกค้าก็กลับมาเองแหละ”
ตี๋ใหญ่พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่เตี่ย เตี่ยใจเยียนๆ เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเอง”
“เฮ้ย พูดเลียนแบบอั๊วกันใหญ่แล้ว เดี๋ยวอั๊วเก็บค่าลิขเสียดนะเว้ย”
“ไปจดลิขเสียดก่อน แล้วค่อยมาว่ากันครับ”
หมวยเล็กมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะถามโพล่งขึ้นมา
“เอ้อ แล้วเฮียตี๋เล็กล่ะ ทำอะไรอยู่”
จางรีบตอบ “อ๋อ เฮียตี๋เล็กออกไปข้างนอกครับ บอกว่ามีธุระ”
“เอ้อ งั้นอั๊วขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะ”
พูดเสี่ยชาญพูดจบ ตี๋ใหญ่ก็พูดต่อทันที
“เฮ้ย หิวขนาดนั้นเลยเหรอเสี่ย”
“อั๊วปวดท้อง ไม่ได้เข้าไปหาของเกียน”

เสี่ยชาญรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ ขณะที่เฮงยังนั่งหน้าเครียด

ทางด้านแก้วกัลยาก็นั่งดมยาดม โดยมีหญิงใหญ่กับชายเล็กคอยพัดคอยนวดอยู่ข้างๆ

“โอ๊ย วันนี้ร้านเงียบอย่างกับป่าช้า จะไหวมั้ยช้าน”
“ธรรมดาค่ะแม่ ก็แม่เพิ่งทะเลาะกับบ้านนั้นซะยับเลย ลูกค้าก็ต้องแตกตื่นกันอยู่แล้ว”
แก้วกัลยามองค้อนลูกสาว
“ลูกพูดเหมือนแม่ผิดคนเดียว แม่ปวดใจนะเนี่ย แม่ปวดใจ”
“เอาพารามั้ยครับ” ชายเล็กรีบพูดเอาใจ
“ 2 เม็ด จะบ้าเหรอ แม่ปวดใจไม่ได้ปวดหัว”
“ใจเย็นค่ะแม่ ตอนนี้แม่กับบ้านโน้นตกลงกันแล้วว่าจะ ไม่ทะเลาะกัน จะแข่งขันกันอย่างสร้างสรรค์แล้วนี่คะ”
“ใช่ครับ เดี๋ยวพอเรื่องสงบ ลูกค้าก็ทยอยกลับมาเองแหละแม่”
จังหวะนั้นฮันนี่ก็เดินถือแก้วกาแฟร้อนมาให้
“กาแฟได้แล้วค่ะคุณนาย”
แก้วกัลยารับถ้วยกาแฟมาดู เห็นชั้นนมข้นอยู่ที่ก้นแก้ว
“อ้าว ชงแล้วทำไมไม่คนมาให้ฉันเลยล่ะ”
ฮันนี่ทำท่าขึงขัง “อ๋อ ปกติฮันนี่เป็นคนไม่ยอมคนน่ะค่ะ แอม ไฟท์เตอร์ ยูโน๋วว์”
แก้วกัลยามองอย่างรำคาญ “yeah เดี๋ยวไฟท์เตอร์จะเจอไฮเตอร์”
“คุณนายจะซักผ้า?”
“ซักปากแกนี่แหละ อย่ามากวนโมโห คนกำลังเครียด”
ฮันนี่หน้าเจื่อน “แอม ซอรี่ค่ะ”
หญิงเล็กที่เดินลงมาจากบนบ้าน รีบเข้ามาบอกแม่
“แม่คะ หนูออกไปทำรายงานกับเพื่อนแป๊บนึงนะคะ”
“กลับดึกมั้ยลูก”
“ไม่ดึกล่ะค่ะ เช้าเลย”
แก้วกัลยาเผลอพยักหน้าหงึก “ดี จะได้ใส่บาตรเป็นเพื่อนแม่ เย้ย”
หญิงเล็กยิ้มขำ “ล้อแม็กน่า”
“ล้อเล่นค่ะ” ฮันนี่รีบพูดท้วง
“ไม่ดึกหรอกค่ะแม่ เดี๋ยวก็กลับแล้ว”
แก้วกัลยาพยักหน้าให้ลูกสาว “โอเค ระวังตัวด้วยล่ะ”
“ค่ะแม่”
พอหญิงเล็กเดินออกไป แก้วกัลยาก็ดมยาดมต่อ หญิงใหญ่กับชายเล็กช่วยกันดูแลปรนนิบัติแม่

หญิงเล็กกับตี๋เล็กเดินมาที่นั่งร้านส้มตำ ต่างคนต่างมีสมุดโน้ตมาคนละเล่ม
“นายกินอะไร”
ตี๋เล็กรีบตอบ “ส้มตำปูปลาร้า”
หญิงเล็กเตรียมจด “เผ็ดมั้ย”
“ยังไม่ได้กิน จะรู้ได้ไงว่าเผ็ดหรือไม่เผ็ด”
“ฉันหมายถึงนายน่ะ กินเผ็ดหรือไม่เผ็ด”
“อ๋อ เผ็ดปานกลาง”
ตี๋เล็กทำหน้าทะเล้นใส่ โดยไม่รู้ว่าหญิงเล็กเขียนที่เมนูว่าเผ็ดมาก
“โอเค เอาอะไรอีก”
“ลาบปลาดุกล่ะกัน”
หญิงเล็กรีบท้วง “เฮ้ย เอาอย่างอื่นได้ป่ะ เมื่อวานฉันเพิ่งไปปล่อยปลาดุกมาเอง”
“ลาบปลาช่อนก็ได้”
“อุ๊ย นึกขึ้นได้ ตอนปล่อยปลาดุกมีปลาช่อนติดมาตัวนึง”
ตี๋เล็กทำหน้าเซ็ง “งั้นลาบหมู”
“เมื่อกี๊นายไม่เห็นรถขนหมูไปเชือดเหรอ แววตามันเศร้ามากเลยนะ นายนี่ใจบาปหยาบช้าสุดๆ”
“งั้นเปลี่ยนร้าน ไปหาโรงเจกินมังสวิรัติกัน”
“แต่มันไม่ใช่สตรีทฟู้ดนี่”
ตี๋เล็กส่ายหน้าเอือมๆ “งั้นเธอสั่งเองแล้วกัน แล้วแต่เลย”
“โอเค งั้นเอาส้มตำไทยกับซุปหน่อไม้อีกอย่างแล้วกัน”
หญิงเล็กรีบจดรายการอาหาร ตี๋เล็กมองอย่างขัดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

“ทุกครั้งที่เหนื่อยและท้อแท้ ก้มมองที่คีย์บอร์ดนะ แล้วจะเห็น I อยู่ข้างๆ U เสมอ :P”
ตี๋ใหญ่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน พลางก้มมองที่คีย์บอร์ด ก่อนจะอมยิ้มเล็กๆ พลันแล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เข้ามาได้ครับ”
หมวยเล็กเปิดประตูเข้ามา “ยุ่งอยู่เปล่า”
“ก็เห็นบินอยู่ 2-3 ตัวนะ ว่าจะเอายามาฉีดอยู่”
“ถามว่ายุ่ง ไม่ใช่ยุง ตลกนะเราเนี่ย”
พูดพลางหันไปเห็นช็อคโกแล็ตกับกระดาษโน้ตวางอยู่ ก็รีบหยิบโน้ตขึ้นมาอ่าน ก่อนจะแล่บลิ้นล้อพี่ชาย ตี๋ใหญ่รีบดึงโน้ตคืนไป
“ซนล่ะๆ”
“ใครเขียนให้เฮียเนี่ย”
“เพื่อนที่ออฟฟิศ พอดีเล่นบัดดี้กันอยู่”
“เหรอ แล้วลูกสาวข้างบ้านเรา เค้าเล่นด้วยรึเปล่าอ่ะ”
“เล่นสิ ทำไมเหรอ”
หมวยเล็กทำหน้าตาย “ไม่ทำไมหรอก แค่อยากรู้ว่าอยู่ออฟฟิศเดียวกับเค้า แล้วเป็นไงบ้าง โอเค
รึเปล่า”
“ก็โอเคนะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน”
หมวยเล็กนิ่งไปเล็กน้อย พยายามหาทางเข้าประเด็นสำคัญ ที่เตี๊ยมกันมากับชายเล็ก
“แล้วทำไมเฮียถึงไม่ทะเลาะกับเค้าบ้างเลยล่ะ”
“อ้าว แล้วจะให้เฮียทะเลาะกับเค้าเพื่ออะไรล่ะ”
“ไม่รู้เหรอ ก็เห็นเตี่ยกับเฮียตี๋เล็กเปิดศึกกับเค้าไม่เว้นแต่ละวัน หมวยก็คิดว่าเฮียตี๋ใหญ่จะเอากับเค้าด้วย”
ตี๋ใหญ่ส่ายหน้าหงึก “ไม่หรอก ทุกวันนี้เฮียก็หาทางให้บ้านเรากับบ้านเค้าอยู่กันอย่างสันติอยู่”
หมวยเล็กเผลอยิ้มดีใจออกนอกหน้า “จริงเหรอเฮีย”
“จริงสิ เฮียจะปล่อยให้เราสู้อยู่คนเดียวได้ไง”
หมวยเล็กสะดุ้งตกใจ “เฮ้ย นี่เฮียรู้อะไรมาเนี่ย”
“ก็รู้แค่ว่าเรากับลูกชายข้างบ้าน แกล้งทะเลาะกันเวลาอยู่ต่อหน้าเตี่ยกับเฮียน่ะสิ”
หมวยเล็กหน้าเจื่อน “ตายล่ะ นี่หมวยเล่นละครไม่เนียนเหรอเนี่ย”
“ไอ้เนียนน่ะเนียน แต่ไม่เนียนพอที่จะตบตานักบริหารอย่างเฮียได้หรอก”
หมวยเล็กยิ้มจ๋อยๆ

ทางด้านหญิงใหญ่ก็กำลังนั่งอ่านกระดาษโน้ตที่อยู่ในมือ
“เมื่อคุณยิ้มแล้วโลกจะสว่างไสว ปล.คืนนี้ผมคงต้องปิดม่านนอน เพราะคืนนี้คุณคงอ่านข้อความนี้ แล้วยิ้มไปกับมัน :)”
หญิงใหญ่ที่เริ่มสงสัยว่าตี๋ใหญ่อาจจะเป็นบัดเดอร์จริงๆ เลยมโนว่าเป็นเสียงตี๋ใหญ่กำลังอ่านข้อความนั้นอยู่ แล้วก็เผลออมยิ้มเล็กๆ อย่างรู้สึกดีกับข้อความที่ได้รับ ก่อนที่จะแหวกม่านออกนิดหนึ่ง พอให้ส่องไปที่ห้องตี๋ใหญ่ได้ แต่ห้องของอีกฝ่ายกลับปิดม่านอยู่
“จะใช่มั้ยนะ?”
หญิงใหญ่แอบรำพึงกับตัวเอง พอเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา ก็ถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย
“ใครอ่ะ”
“เล็กเองครับ”
“เข้ามาสิ”
หญิงใหญ่พูดพร้อมกับรีบเก็บขนมกับโน้ตซ่อนไว้ พร้อมกับที่ชายเล็กเปิดประตูเข้ามา
“ยุ่งอยู่รึเปล่าครับ”
“ไม่หรอก มีธุระอะไรกับพี่หรือเปล่า”
“ไม่มีหรอกครับ เหงาๆ อยากหาเพื่อนคุย”
หญิงใหญ่มองน้องชายแบบแปลกๆ
“มาแปลกแฮะ ทุกทีไม่เห็นจะเข้ามาคุยกับพี่”
ชายเล็กครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหาทางเข้าแผนที่เตรียมมา
“แหม ก็เมื่อก่อนบ้านเราไม่ได้วุ่นวายอย่างทุกวันนี้นี่ เฮ้อ เรารึอุตส่าห์เป็นห่วง กลับมาจับผิดกัน
ซะนี่”
“ค่า เป็นห่วงอะไรพี่เหรอคะ”
“ก็เป็นห่วงตอนพี่ไปทำงานน่ะสิ ไม่รู้ว่าเจอลูกชายบ้านนั้น โขกสับบ้างรึเปล่า”
หญิงใหญ่รีบส่ายหัว “โขกสับอะไรล่ะ ไม่มีหรอก”
“อ้าวเหรอ พี่กับเค้าไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลย?”
“ไม่มีหรอก แค่แม่กับหญิงเล็กมีเรื่องกับเค้าก็วุ่นวายพอล่ะ อย่าให้พี่ต้องไปผสมโรงด้วยเลย”
“หมายความว่าพี่ก็อยากให้บ้านเรากับบ้านเค้าสงบศึกกัน”
หญิงใหญ่พยักหน้ารับ “จะทะเลาะกันให้ได้อะไรล่ะ อยู่กันอย่างสงบๆแหละดีแล้ว”
“นั่นดิ”
ชายเล็กแอบยิ้มกรุ้มกริ่ม

ตี๋เล็กกระดกน้ำพรวดเพราะความเผ็ด หญิงเล็กแกล้งทำหน้าปกติเหมือนไม่มีอะไร
“ผมว่าผมสั่งเผ็ดกลางนะ”
“นี่นาย นิ้ว 5 นิ้วเรายังไม่เท่ากันเลย นับประสาอะไรกับน้ำหนักมือแม่ค้า แต่ละร้านมันก็ไม่เท่ากันหรอก”
ตี๋เล็กสูดปากเร่าๆ “โห่ นี่ก็หนักเกิ๊น”
หญิงเล็กแอบอมยิ้มสะใจเล็กๆ ตี๋เล็กหยิบสมุดมาเปิดแล้วจดอะไรยิกๆ
“นายจดอะไรอ่ะ”
“เสน่ห์ของสตรีทฟู้ดในสายตาชาวต่างชาติไงล่ะ”
“คืออะไร” หญิงเล็กย้อนถาม
“ความจัดจ้านถึงใจ”
“เหรอ?”
“ถ้าเธอเป็นชาวต่างชาติแล้วอยากกินส้มตำ เธอจะ เลือกกินที่ไหน ระหว่างข้างถนนแบบนี้กับโรงแรมหรูๆ”
หญิงเล็กตอบโดยไม่ต้องคิด “ก็ต้องข้างถนนสิ กินในโรงแรมจะได้ฟิลลิ่งอะไรล่ะ”
ตี๋เล็กพูดใส่อารมณ์แบบอาจารย์เฉลิมชัย
“นี่ไง เพราะความจัดจ้านถึงใจมันก็เลยกลายเป็นฟิลลิ่ง ความเผ็ดร้อนมันคือรากของวัฒนธรรมอาหารบ้านเรา”
ชาวบ้านเริ่มหันมามอง ตี๋เล็กไม่สนใจ ยังคงพูดต่อ
“มันคือจิตวิญญาณ มันคืออัตลักษณ์ ที่ชาวต่างชาติต้องการจะหยั่งถึง”
ทุกคนในร้านเริ่มมองมา หญิงเล็กก้มหน้าอาย
“เป็นไง บทวิเคราะห์เราดีมั้ย”
หญิงเล็กมองค้อน “ย่ะ ดีออก”
ว่าแล้วก็หันไปเคลียร์กับชาวบ้านที่ยังงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เอ่อ ขอโทษแทนเพื่อนหนูด้วยนะคะ เพื่อนหนูเค้าเมาพริกค่ะ”
ตี๋เล็กร้องโวยวายขึ้นมาทันที
“เฮ้ย เราไม่ได้เมาพริก เราได้ฟิลลิ่ง”
“วิเคราะห์ไปเงียบๆ ถ้าไม่เงียบ ฉันกลับ”
ตี๋เล็กแบะปากใส่ “กลับไปก็ได้นะ ไม่เห็นเธอจะวิเคราะห์อะไรบ้างเลย กินอย่างเดียว”
“ฉันคิดอยู่ในหัวสมองย่ะ”
พูดพลางทำท่าเปิดสมุดทำเป็นจดบ้าง ส่วนตี๋เล็กก็คิดวิเคราะห์ของตัวเองไป

ชายเล็กกับหมวยเล็กย่องมาเจอกันที่ริมรั้ว
“เป็นไงบ้าง”
หมวยเล็กรีบบอก “คุยกับเฮียมาละ เฮียไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพี่สาวเธอเลย แล้วก็พยายามหาทางให้อยู่กันอย่างสันติด้วย”
ชายเล็กยิ้มดีใจ
“เหมือนกันเลย พี่หญิงใหญ่ก็อยากจะให้บ้านเรากับบ้านเธออยู่กันอย่างสันติ แล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเฮียเธอด้วย”
“โอเค ถ้าอย่างนั้น แผนการของเราก็อาจจะไม่ยากอย่างที่คิดไว้”
“ใช่ ถ้าเราได้พี่หญิงใหญ่กับเฮียเธอมาเป็นกองหนุน อะไรๆก็จะง่ายขึ้นเยอะเลย”
หมวยเล็กยิ้มรับ “ต่อไปก็ต้องลุ้นเฮียตี๋เล็กกับพี่หญิงเล็กเธอนี่แหละ ถ้าลดความแรงลงมาได้ก็ดีเลย”
“แค่คิดก็ยากล่ะ”

ชายเล็กกับหมวยเล็กทำท่าคิดหนัก
 
อ่านต่อตอนที่ 9
กำลังโหลดความคิดเห็น