ลุ้นรักข้ามรั้ว ตอนที่ 5
ลูกค้าร้านเฮงนั่งกันเต็มร้านแต่เช้า ตี๋ใหญ่กับจางช่วยกันเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะเสี่ยชาญ
“อ้าว วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ” เสี่ยชาญหันมาถาม
“วันนี้วันเสาร์ครับเสี่ย”
“อ่อ ออฟฟิศเปียด”
ตี๋ใหญ่ยิ้มขำ “ไม่เปียดครับ ออฟฟิศแห้งสนิทครับเสี่ย”
“อั๊วหมายถึงเปียด ไม่ใช่เปียก”
จางรีบอธิบาย “ออฟฟิศปิดน่ะครับ”
“ง่ะ ถั่วต้ม”
“ที่ร้านมีแต่ถั่วทอดครับเสี่ย”
เสี่ยชาญหันมาถลึงตาใส่จาง “อั๊วหมายถึงถั่วต้ม ถั่วต้มนะค้าบน่ะ ไม่ใช่ถั่วต้ม พูดกับพวกลื้อนี่ปวดหัว กินข้าวดีกว่า”
จังหวะนั้นเฮงก็เดินออกมา
“ตี๋เล็กไปไหนเนี่ย ทำไมไม่มาช่วยงานในครัว”
“คุณตี๋เล็กออกไปข้างนอกแล้วครับเฮีย”
เฮงทำหน้าสงสัย “ออกไปข้างนอก ไปไหน”
“เห็นบอกว่าไปมหาลัยครับเฮีย”
“วันนี้วันเสาร์ อีมีเรียนด้วยเหรอ” เฮงยังข้องใจ
“คงจะมีเรื่องสำคัญจริงๆ ล่ะมั้งเตี่ย ไม่งั้นตี๋เล็กไม่ไปหรอก” ตี๋ใหญ่ช่วยอธิบาย
“รู้ก็รู้ว่าเสาร์ อาทิตย์ที่ร้านคนจะเยอะ ทำไมไม่อยู่ช่วยกันหน่อย”
“ผมก็ทักแล้วนะครับว่าวันนี้คนจะเยอะ แต่คุณตี๋เล็กบอกว่าวันนี้คุณตี๋ใหญ่อยู่ช่วย คงไม่มีอะไรหรอก”
“อาตี๋เล็กอีพูดแค่นี้จริงเหรอ” เฮงหันมาจ้องหน้าจาง
“เอ่อ แค่นี้แหละครับ เฮียจะเอาแค่ไหนล่ะ” จางทำหน้าอึกอัก
“พูดออกมาให้หมด ใส่ฟิลลิ่งด้วย พูดจาไม่มีฟิลลิ่งเลย”
“โอเคครับ คุณตี๋เล็กบอกว่า” จางพูดแบบใส่ฟิลลิ่งเต็มที่ “ก็เรื่องของเตี่ยสิ ยังไงเตี่ยก็มีเฮียตี๋ใหญ่อยู่ช่วยแล้วจะกลัวอะไรล่ะ เชื่อมั่นกันนักไม่ใช่เหรอ ก็ช่วยกันไปแล้วกัน”
“นี่อาตี๋เล็กมันใส่ฟิลลิ่งแบบนี้เลยเหรอ”
“เปล่าครับ นี่ฟิลลิ่งผม” ตี๋ใหญ่ตอบหน้าตาเฉย
“อ้าว แล้วใส่ฟิลลิ่งลื้อมาหาหอกอะไร”
“ก็เฮียบอกให้ใส่ฟิลลิ่ง ไม่ได้บอกนี่ใส่ฟิลลิ่งใคร” จางทำหน้ายียวน
เฮงส่ายหน้าเซ็งๆ “ไปๆ ไปทำงานในครัวโน้น งานยิ่งยุ่งๆ อยู่”
จางรีบเดินเข้าไปในครัว ตี๋ใหญ่รีบเดินตามไป
“ไงล่ะ ขาดอาตี๋เล็กไปคนนึงนี่เครียดเลยเหรอ” เสี่ยชาญหันมาถาม
“เครียดไร ไม่เครี้ยด” เฮงตอบกลบเกลื่อน
“ออกมาเอะอะโวยวายเนี่ยนะไม่เครียด เห็นมั้ย มีอาตี๋ใหญ่อยู่ช่วยงานก็ไม่เห็นลื้อจะสบาย ต้องวิ่งออกมาเรียกหาอาตี๋เล็กเนี่ย ทีนี้รู้หรือยังว่าใครที่สำคัญกว่า”
เฮงจี้ใจดำ ก็รีบตัดบท “เกียนๆ เข้าไปเถอะ ไม่ต้องพวดมาก”
พูดจบก็เดินกลับเข้าครัวไป เสี่ยชาญส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจแทน
ทางด้านแก้วกัลยากับหญิงเล็ก ก็กำลังนั่งอาราธนาขวดน้ำมนต์ 2ขวด หญิงใหญ่กับชายเล็กเดินออกมาเห็นพอดี
สวดเสร็จ 2 แม่ลูกก็กระดกขวดน้ำมนต์ขึ้นดื่ม
“ดื่มน้ำอะไรคะคุณแม่ ทำไมต้องพนมมือก่อนดื่มด้วย” หญิงใหญ่ถามอย่างสงสัย
“น้ำมนต์ลูก เอาหน่อยมั้ย”
“ไม่ล่ะค่ะ ไม่รู้จะดื่มเพื่ออะไร”
หญิงเล็กนั่งหน้าหงิก “พี่หญิงใหญ่เค้าไม่ดวงซวย เจอไอ้ลามกสองตัวนั่นลวนลามเหมือนเรานี่คะแม่”
หญิงใหญ่มองหน้าแม่กับน้องสาวแล้วพูดขึ้นมาตรงๆ
“แต่ได้ข่าวว่าฝ่ายเราปลอมตัวไปแกล้งเค้าก่อนนะ”
“นี่ ไม่ต้องมาเข้าข้างมันเลยนะ” แก้วกัลยาดุ
“แต่ผมเห็นแม่กับพี่หญิงเล็กอาบน้ำมนต์เก้าวัดไปทีนึงแล้วไม่ใช่เหรอ” ชายเล็กถามขึ้นมาบ้าง
“แค่อาบมันยังไม่พอหรอกชายเล็ก มันต้องกินเข้าไปล้างข้างในด้วย”
หญิงเล็กพยักหน้ารับ “ใช่ ความเฮงซวยจากไอ้คนบ้านนั้นมันก็เหมือนแบคทีเรีย เชื้อราในร่มผ้าน่ะ มันซึมเข้าตามรูขุมขนได้”
“อ้าว ถ้างั้นก็ใช้ซีม่ามาทาสิ กินน้ำมนต์ทำไม” ชายเล็กถามต่อ
หญิงใหญ่หัวเราะร่วน “เออใช่ ฮ่าๆๆ”
หญิงเล็กมองน้องชายค้อนๆ “พี่เปรียบเปรยความซวยคนบ้านนั้นเป็นเชื้อโรคย่ะ แอร๊ย นึกถึงแล้วยังขยะแขยงไม่หาย”
2 แม่ลูกไม่สนใจ กระดกดื่มน้ำมนต์ล้างซวยกันต่อ หญิงใหญ่มองแบบเซ็งๆ
“น้ำยาล้างห้องน้ำมั้ย รับรองเชื้อโรคตายเรียบ”
แก้วกัลยาหันมาทำตาดุใส่ลูกสาวคนโต “คนจะตายไปด้วยน่ะสิ พูดไม่คิดเลย”
หญิงใหญ่กับชายเล็กหัวเราะกันสนุกสนาน
ฟากตี๋เล็กก็กำลังนั่งจดแลคเชอร์อยู่ในห้องเรียน ที่ผนังหน้าห้องมีภาพสไลด์การปลูกผักออแกนิก
ประกอบการสอน
“การปลูกผักให้มีกินอย่างสม่ำเสมอ อาจารย์มีทริคง่ายๆ เลยคือ เราต้องแบ่งพื้นที่ในการปลูกออกเป็นห้าส่วน โดยเราจะปลูกสัปดาห์ละหนึ่งส่วนนะครับ ปลูกไปเรื่อยๆ ทุกสัปดาห์ พอเราเริ่มปลูกในส่วนที่ห้า ผักที่ปลูกในส่วนแรกก็จะเก็บทานได้แล้ว ซึ่งเราจะมีผักให้เก็บกินทุกๆสัปดาห์”
ตี๋เล็กวาดภาพแปลงผักคร่าวๆ เป็นห้าส่วนตามที่อาจารย์บอกอย่างสนอกสนใจ
“ตอนนี้กระแสผักออแกนิกหรือผักปลอดสารพิษกำลังได้รับความนิยม และมีราคาสูงกว่าผักทั่วๆ ไปมาก ฉะนั้นถ้าเราจะใช้จุดขายนี้ในการทำธุรกิจอาหาร เราก็ต้องซื่อสัตย์กับผู้บริโภค หลังจากเก็บผักแล้ว ดูแลดินด้วยการใส่ปุ๋ยหมักห้ามใช้สารเคมีใดๆ เด็ดขาด เพื่อที่เราจะได้เรียกอาหารของเราเป็นอาหารออแกนิกได้อย่างเต็มภาคภูมิ”
ตี๋เล็กจดยิก สีหน้ามุ่งมั่นจริงจัง
แก้วกัลยากับหญิงใหญ่เดินคุยกันออกมาบริเวณสนามข้างบ้าน
“เดี๋ยวบริเวณนี้แม่จะทำแปลงผักปลอดสารพิษ ลูกคิดเห็นยังไงบ้าง”
“ดีค่ะแม่ ตอนนี้กระแสผักออแกนิคกำลังเป็นที่นิยมเลย ถ้าเราทำได้ ก็จะเป็นจุดขายอย่างดีให้กับร้านเราเลย”
อีกด้านหนึ่งเฮงก็เดินคุยออกมาพร้อมกับตี๋ใหญ่
“เดี๋ยวตรงนี้เตี่ยจะทำสวนน้ำผุดนะ จะได้เสริมฮวงจุ้ยร้านเรา”
แล้วเฮงกับแก้วกัลยาก็หันหน้ามาเจอหน้ากัน
“อ้าว สวัสดีครับ คุณสมชาย”
แก้วกัลยาโวยกลับ “สมชายป้าแกสิ”
“ป้าอั๊วชื่อกิมไล้ ไม่ใช่สมชายเว้ย” เฮงหัวเราะขำ
“มาว่าเรื่องสวนน้ำผุดกันต่อดีกว่าเตี่ย เตี่ยจะให้มันผุดยังไง ผุดตรงไหน เดี๋ยวอั๊วจะได้ไปคุยกับคนออกแบบ”
ตี๋ใหญ่ถามเพื่อตัดบท แก้วกัลยาพูดสวนทันที
“อ่อ นี่จะทำฮวงซุ้ยแล้วเหรอ”
“ฮวงจุ้ยโว้ย” เฮงถลึงตาใส่
“ไม่เอาน่ะแม่ เรามาคุยเรื่องสวนผักออแกนิกกันดีกว่า”
เฮงยิ้มเยาะ “โห จะปลูกผักออแกนิกเลยเหรอ”
“เออ แล้วจะทำไม”
“ไม่ทำไมหรอก ไปหัดปลูกถั่วงอกให้ขึ้นก่อนมั้ย”
แก้วกัลยาสะบัดหน้าเบ้ปากใส่
“ฉันไม่ใช่เด็กปอสามปอสี่ ที่จะต้องมานั่งปลูกถั่วงอก”
“เหรอ แล้วอั๊วจะรอดูแล้วกัน ว่าผักลื้อจะขึ้นหรือว่าจะเหี่ยวเหมือน....”
เฮงพูดไป ก็มองแก้วกัลยาหัวจรดเท้า
“อ๊าย เหมือนอะไร พูด”
“เค้ามองมาขนาดนั้นจะให้เค้าพูดอีกเหรอคะแม่” หญิงใหญ่เอียงหน้ามากระซิบ
“นี่ลูกหาว่าแม่เหี่ยว?”
“เปล่าค่ะ หนูเห็นเค้ามองขนาดนั้นก็ไม่อยากให้พูดออกมาให้แม่เจ็บน่ะ”
เฮงหัวเราะสะใจ “ถ้าอย่างนั้นอั้วไม่ต้องพูดละนะ ฮ่าๆ”
“เออ แล้วอย่ามาปลูกผักตามฉันก็แล้วกัน”
“เอาเลย อั๊วไม่ชอบเดินทับรอยใครอยู่แล้วโว้ย” เฮงตะโกนเสียงดัง
“แล้วฉันจะคอยดู”
“ดึกๆ ข้างนอกนี่ยุงเยอะ เดี๋ยวต่อไปเอายาฉีดยุงออกมาฉีดบ่อยๆ นะตี๋ใหญ่”
พูดจบเฮงก็เดินกลับเข้าบ้านไป แก้วกัลยาโวยวายขึ้นมาทันที
“ไอ้บ้า เอายาฉีดยุงมาฉีดแล้วผักฉันมันจะปลอดสารพิษมั้ยเนี่ย”
ตี๋ใหญ่เดินตามเฮงเข้าบ้านไป แก้วกัลยาหัวเสียยืนกระทืบเท้าปึงปังไป หญิงใหญ่ส่ายหน้าอย่าง
อ่อนอกอ่อนใจ
หญิงเล็กเดินนำก้อยเดินมาตามทางเดินหน้าห้องอย่างเร่งรีบ
“นี่ ควายหายรึไงยะ เดินรอกันมั่งดิ”
“แกก็เดินเร็วๆ สิ เดี๋ยวก็สอบไม่ทันกันพอดี”
ขาดคำตี๋เล็กก็โผล่ออกมาจากห้องเรียนชนเข้าเต็มๆ หญิงเล็กทำท่าหงายหลัง แต่ตี๋เล็กจับข้อมือรั้งไว้ไม่ให้ล้ม ก่อนจะดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
หญิงเล็กมองอย่างตกใจ “นาย” แล้วรีบดันตัวออกจากตี๋เล็ก
“อ้าว นึกว่าใคร สวัสดีฮะ คุณทัดดาว”
ตี๋เล็กพูดยิ้มๆ ก้อยหน้าเหรอ
“เฮ้ย เปลี่ยนชื่อตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
“ฉันไม่ได้เปลี่ยน ไอ้นี่มันกวนฉันอยู่”
ก้อยยิ่งฟังก็ยิ่งงง “กวนเรื่อง?”
“ก่อวีรกรรมอะไรไว้ ไม่เล่าให้เพื่อนฟังหน่อยเหรอ” ตี๋เล็กทำหน้ายียวน
“ฉันจะเล่าหรือไม่เล่ามันก็เรื่องของฉัน”
“โอเคๆ แต่ได้ข่าวว่าเมื่อวานถึงกับอาบน้ำมนต์กันเลยเหรอ”
หญิงเล็กเบะปากใส่ “สัมผัสเชื้อโรคต้องฆ่าเชื้อฉันใด สัมผัสตัวซวยก็ต้องอาบน้ำมนต์ล้างซวยฉันนั้น”
ก้อยยังไม่หายงง
“เฮ้ย ฉันอยากรู้แล้วว่าเรื่องอะไร เล่าเลยๆ ไม่ต้องสอบล่ะ”
“เฮ้ย สอบ”
หญิงเล็กจูงมือก้อยจะรีบเดินไปสอบ ตี๋เล็กแกล้งขยับขวาง
“เอ้า จะไปทางไหนแน่คุณ”
หญิงเล็กขยับไปทางไหนตี๋เล็กก็แกล้งขยับตาม สุดท้ายหญิงเล็กตัดสินใจเตะผ่าหมากจนตี๋เล็ก
ลงไปกองกับพื้น
“อุ๊ย โดนตัวซวยอีกล่ะ แต่ก็ยอมนะ บาย”
หญิงเล็กรีบจูงก้อยเดินออกไป ทิ้งให้ตี๋เล็กนั่งจุกอยู่กับพื้น
ส่วนคู่ของชายเล็กกับหมวยเล็กก็เดินดูของและมาเจอกันกลางตลาด เสี่ยชาญยืนเลือกของอยู่ใกล้ๆ แต่ทั้งคู่ไม่ทันเห็น
“อ้าว หวัดดี” ชายเล็กร้องทัก พลางหันมองซ้ายขวา หน้าหลัง “มาคนดียวเหรอ”
“อื้อ วันนี้เฮียตี๋เล็กอู้งาน เตี่ยต้องขลุกอยู่ในครัวทั้งวันแน่”
จนเมื่อเสี่ยชาญหันมาชำเลืองมอง แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่เห็น
“แม่เราก็ไปธุระเรื่องร้าน พี่หญิงเล็กก็ไปมหาลัย คงไม่มีใครมาเห็นเราคุยกันแน่”
จังหวะนั้นเสี่ยชาญก็หันมาและก้าวมายืนตรงกลางระหว่างหมวยเล็กกับชายเล็ก
“มีสิ อั๊วนี่ไง”
ทั้งคู่เปลี่ยนจากการคุยดีๆ มาด่ากันโดยมีเสี่ยชาญยืนอยู่ตรงกลาง
“นี่ ไอ้หน้าควายป่วย มายืนเกะกะอะไรตรงนี้เนี่ย”
“ทำไม ตรงนี้มันที่เธองั้นเหรอ ไอ้จิ้งเหลนตกมัน”
หมวยเล็กกระแทกเสียงกลับ “ไม่ใช่ที่ฉันแล้วจะทำไม ไอ้หนอนเพลี้ยไฟ”
“ฉันก็มีสิทธิจะยืนตรงนี้ได้ไง ไอ้พยาธิใบไม้ในตับ” ชายเล็กไม่ยอมอ่อนข้อ
เสี่ยชาญมองทั้งคู่อย่างรู้ทัน
“เดี๋ยวๆ ลื้อ 2 คนเลิกแกล้งทะเลาะกันได้แล้ว ด่าผ่านอั๊วกันไปมา จนอั๊วจะแปลงร่างเป็นตัวประหลาดอยู่แล้วเนี่ย”
หมวยเล็กหน้าเหรอ “เสี่ยรู้?”
“รู้สิ อั๊วยืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว”
“เสี่ยอย่าไปบอกแม่ผมนะ” ชายเล็กรีบบอก
“ไม่บอกหรอก อั๊วก็อยากให้เตี่ยกับแม่ลื้อคุยดีกันได้ซะที ทุกวันนี้เบื่อจะแย่อยู่แล้ว”
“เหรอ ถ้าอย่างนั้นเสี่ยก็น่าจะหาทางสมานฉันท์ไว้บ้างแล้วสิ”หมวยเล็กถามขึ้นมาทันที
“ตอนนี้มีอยู่วิธีนึง”
ชายเล็กตื่นเต้น “ยังไงครับ”
“คืนนี้ลื้อ 2 คนเข้านอนแต่หัวค่ำนะ”
หมวยเล็กทำหน้าสงสัย “ตื่นเช้ามาแล้ว 2 บ้านจะสมานฉันท์กันงั้นเหรอคะ”
“เปล่า เข้านอนแต่หัวค่ำแล้วฝันกันไปก่อน อยากจะรักกันขนาดไหนก็ฝันกันเอานะ”
เสี่ยชาญพูดจบก็เดินออกไปหน้าตาเฉย หมวยเล็กกับชายเล็กพากันเซ็ง
“ไม่ เตี่ยจะไม่มีวันปลูกผักปลอดสารพิษที่บ้านเด็ดขาด”
เฮงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ตี๋เล็กรีบอธิบาย
“ทำไมล่ะเตี่ย เราจะได้ไม่ต้องไปซื้อผักคนอื่นให้เปลืองเงิน แถมเรายังได้จุดขายเรื่องผักปลอดสารพิษอีกด้วยนะ”
เฮงยืนยัน “บอกแล้วไง ยังไงเตี่ยก็ไม่ปลูก”
“เพราะอะไรล่ะเตี่ย ผมไม่เห็นว่ามันจะมีข้อเสียตรงไหนเลย”
ตี๋ใหญ่เดินเข้ามาพอดี เฮงมองหน้าลูกชายคนรองเขม็ง
“ลื้อจะรู้เหตุผลไปทำไม”
“ต้องรู้สิเตี่ย ผมอุตส่าห์ตั้งใจพัฒนาร้านของเรา แต่เตี่ยกลับไม่ยอม ทั้งๆ ที่มันไม่มีอะไรเสียหาย มันใช่หรือเปล่าล่ะ”
“อั๊วไม่อยากทำตามไอ้พวกบ้านข้างๆ น่ะ จบมั้ย” เฮงทำหน้าไม่พอใจ
“เหตุผลแค่นี้เองเหรอเตี่ย”
“ใช่ เหตุผลแค่นี้แหละ”
ตี๋ใหญ่ยืนฟังอยู่นาน รีบพูดขึ้นมาบ้าง “แต่อั๊วว่าไอเดียของตี๋เล็กก็ดีนะเตี่ย”
“ดีแต่อั๊วจะไม่ทำ อั๊วจะไม่ยอมเป็นขี้ปากพวกบ้านนั้นเด็ดขาด”
ตี๋เล็กทำหน้าเซ็ง “งั้นก็แล้วแต่เตี่ยเหอะ อั๊วขัดเตี่ยไม่ได้อยู่แล้วนี่”
“ลื้อเอาเวลาว่างๆ มาช่วยงานที่ร้านเหอะ วันนี้ก็หายหัวไปทั้งวัน รู้หรือเปล่าว่าร้านยุ่งกันแค่ไหน”
“ก็เฮียอยู่ช่วยอยู่แล้วนี่ เตี่ยจะกลัวอะไรล่ะ” ตี๋เล็กพูดประชด
“ถ้าอาตี๋ใหญ่อยู่ช่วยแล้ว ลื้อไม่ต้องอยู่ช่วยงั้นเหรอ”
“ก็ไม่รู้สิ เห็นเตี่ยเชื่อมั่นในตัวเฮียเค้ามากกว่าอั๊วเยอะเลยนี่”
ตี๋เล็กพูดอย่างน้อยใจ แล้วเดินหนีไปหน้าบ้านไป
“เฮ้ยไอ้ตี๋เล็ก กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อนนะ”
“เอาน่ะเตี่ย ปล่อยตี๋เล็กไปก่อนเถอะ”
เฮงเดินเข้าบ้านสีหน้าหงุดหงิด ตี๋ใหญ่มองตามด้วยสีหน้ากังวล เป็นห่วงความรู้สึกของน้องชาย
ตี๋เล็กเดินออกมาจากบ้านสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมๆ กับที่หมวยเล็กกลับมาจากข้างนอก
“ทะเลาะกับเตี่ยอีกแล้วเหรอเฮีย”
“รู้ได้ไง” ตี๋เล็กย้อนถาม
“อับดุลบอก”
ตี๋เล็กทำหน้างง “อับดุลไหน?”
“นี่ไง อับดุลเอ้ย เอ้ย ผู้ชายรู้จัก รู้จัก ผู้หญิงรู้จัก ไม่อยากรู้จัก อ้าว ทำไมล่ะ อับดุลเป็นเกย์ ไม่ชอบชะนี แฮ่”
หมวยเล็กสาดมุกใส่ แต่ตี๋เล็กแต่เงียบกริบ ไม่ขำด้วย
“ท่าจะเรื่องใหญ่ บอกหมวยได้มั้ยว่าทะเลาะอะไรกับเตี่ย”
ที่ฝั่งบ้านแก้วกัลยา หญิงใหญ่ก็เดินออกมาพอดี
“เฮียจะปลูกผักออแกนิกไว้ทำอาหารที่ร้านน่ะ แต่เตี่ยไม่ยอมให้ปลูก เพราะกลัวว่าจะไปเลียนแบบบ้านข้างๆ”
หญิงใหญ่ได้ยินก็หันไปมอง ก่อนจะซุ่มฟังเรื่องราวโดยที่อีกฝ่ายไม่เห็น
“โห เหตุผลแค่เนี้ยะ”
“นั่นดิ เฮียอุตส่าห์จะสร้างจุดขายให้ร้าน แต่เตี่ยก็พังทุกอย่างทิ้งหมด”
หญิงใหญ่มองตี๋เล็ก ด้วยความรู้สึกที่ดี ที่ดูเป็นคนตั้งใจจริง จังหวะนั้นตี๋ใหญ่ก็เดินออกมา
“เอาน่ะตี๋เล็ก ถ้าเตี่ยใจเย็นเมื่อไหร่ เฮียจะช่วยพูดกับเตี่ยให้อีกที”
“ใช่สิ ยังไงเตี่ยก็ฟังเฮียคนเดียวอยู่แล้วนี่ อั๊วออกความเห็นอะไรไป เตี่ยก็ไม่สนใจหรอก”
ตี๋เล็กพูดจบก็เดินเข้าบ้านไป ตี๋ใหญ่นิ่งๆ เพราะรู้ว่าน้องกำลังน้อยใจ
“เฮียคงน้อยใจเตี่ยน่ะ เดี๋ยวหมวยเข้าไปคุยกับเฮียก่อนนะ”
หมวยเล็กเดินตามเข้าบ้านไป ตี๋ใหญ่ยืนถอนใจอยู่เงียบๆ คนเดียว หญิงใหญ่แอบมองด้วยความรู้สึกเห็นใจ
จู่ๆ เสียงที่ช็อตยุงก็ดังลั่น ตี๋ใหญ่สะดุ้งโหยง พอหันไปมอง ก็เห็นจางเดินออกมาพร้อมเครื่องช็อตยุง
“ตกใจอะไรครับคุณตี๋ใหญ่”
จางพูดพร้อมกับกดที่ช็อตยุง ตี๋ใหญ่สะดุ้งเล็กน้อย เหมือนมีอาฟเตอร์ช็อก หญิงใหญ่แอบขำ
“ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ” ตี๋ใหญ่ถามจาง
“เพิ่งล้างจานในครัวเสร็จครับ เดี๋ยวจะกลับแล้ว คุณตี๋ใหญ่มายืนแบบนี้ยุงไม่กัดเหรอ เอาที่ช็อตยุงมั้ย”
จางยื่นที่ช็อตยุ่งให้ ตี๋ใหญ่ยังหลอนอยู่ ส่ายหน้าแล้วรีบเดินเข้าบ้านไป หญิงใหญ่หัวเราะพร้อมครุ่นคิดว่ามีเรื่องจะแกล้งตี๋ใหญ่แล้ว
หญิงเล็กนั่งทาครีมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ครู่หนึ่งหญิงใหญ่ก็เคาะประตู แล้วเดินเข้ามา
“ทำไรอยู่คุณน้อง”
“ทำสวยอยู่ค่ะ”
“ไม่ทำยันเช้าเลยเหรอเนี่ย”
หญิงเล็กแกล้งทำหน้างอ “แรง”
“หยอกเล่น”
หญิงเล็กทำหน้ากวน “หึ หนูหมายถึงกลิ่นตัวพี่น่ะแรงมาก ไปอาบน้ำไป๊”
“แหม สวนทันควันเลยนะยะ”
“ไม่ได้สิ ต้องฝึกไว้ปะทะคารมกับคนบ้านนั้น”
หญิงใหญ่ถอนหายใจเล็กน้อย นึกถึงความขัดแย้งของสองบ้านแล้วก็เหนื่อยใจ
“นี่เราจะต้องทะเลาะกันไปถึงเมื่อไหร่นะ”
“ก็จนกว่าจะย้ายกันไปข้างนึงล่ะมั้ง”
“โห นี่เราโกรธเกลียดกันถึงขั้นนั้นเลยเหรอเนี่ย” หญิงใหญ่ทำหน้าไม่อยากจะคิด
“เอ๊ะ อยู่ๆ ก็มาทำใจอ่อน ยังไงซะแล้วเนี่ย”
“ใจอ่อนอะไร พี่แค่อยากรู้ว่าสุดท้ายเราจะทะเลาะกันไปถึงขั้นไหน”
หญิงเล็กมองพี่สาวอย่างจับผิด
“ไม่ใช่ได้ทำงานใกล้ชิดกับนายตี๋ใหญ่นั่นแล้วไปสป๊ากกันเข้าล่ะ”
“บ้า สป๊ากสเปิ๊กอะไร คนนะไม่ใช่ปลั๊กไฟ”
“หรา”
“นี่ พี่ซีเรียสอยู่นะ เมื่อกี๊พี่ไปได้ยินลูกบ้านโน้นเค้าคุยกัน นายตี๋เล็กที่เราจงเกลียดจงชังเค้าอยู่น่ะ เค้าน่าสงสารออก”
หญิงเล็กทำหน้าสงสัย “น่าสงสารยังไง”
“ก็เค้าชอบทำอาหาร แล้วก็หวังจะสืบทอดร้านอาหารต่อจากเตี่ย แต่เตี่ยเค้าไม่เชื่อมือ เชื่อแต่ลูกชายคนโตคนเดียวน่ะสิ”
“โถถังกาละมังหม้อไห น่าสงสารอ่ะ”
หญิงเล็กแกล้งทำบีบน้ำตาประหนึ่งว่าเสียใจมาก
“ทำเป็นเล่นตลอด ไม่คุยด้วยล่ะ เสียเวลา”
หญิงใหญ่พูดจบก็เดินออกไป หญิงเล็กครุ่นคิดถึงคำพูดของพี่สาวเมื่อครู่ ว่าจะทะเลาะกันไปถึงไหนเมื่อไหร่ ?
อ่านต่อหน้า 2
ลุ้นรักข้ามรั้ว ตอนที่ 5 (ต่อ)
เช้าวันใหม่ ขณะที่เสี่ยชาญยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ หมวยเล็กกับชายเล็กจะเดินเข้ามาหา
“หวัดดีค่ะเสี่ย/ หวัดดีครับ”
ทั้งคู่ยกมือไหว้ทักทาย เสี่ยชาญยกมือรับไหว้
“หวัดดีลูก มาหาอั๊วถึงบ้าน มีอะไรสำคัญรึเปล่าเนี่ย”
“ก็ว่าจะมายืมเงินเสี่ยไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่หน่อยน่ะครับ”
ชายเล็กพูดล้อๆ เสี่ยชาญแกล้งทำหน้าเหรอหรา
“เฮ้ย มึงใครวะเนี่ย ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลย”
“แหม เมื่อกี๊ยังเรียกลูกอยู่เลย” ตี๋เล็กยิ้มขำ
“ก็ลูกเสือกยืมตังค์ อั๊วก็ต้องตัดหางปล่อยวัดก่อนแหละ”
“ไม่ได้มายืมตังค์อะไรทั้งนั้นแหละค่ะ ที่มาเนี่ยก็จะบอกเสี่ยว่า หมวยคิดวิธีทำให้ 2 บ้านเลิกทะเลาะกันได้แล้ว” หมวกเล็กพูดอย่างมั่นใจ
“เฮ้ย พูดเป็นเล่นน่ะ”
“ไม่เล่นนะเสี่ย หมวยเล็กเล่าให้ผมฟังแล้ว ผมว่าน่าจะได้ผลเลยแหละ” ชายเล็กช่วยยืนยัน
“ไหน ลื้อจะทำยังไง เล่าให้อั้วฟังซิ”
“ทำยังไงเดี๋ยวหมวยเล่าให้ฟัง แต่เสี่ยติดต่อซินแสให้มาช่วยหน่อยแล้วกัน”
“นี่ต้องถึงมือซินแสเลยเหรอเนี่ย ลื้อจะทำอะไรของลื้อวะ อาหมวยเล็ก”
“เออน่า เดี๋ยวก็รู้”
หมวยเล็กพูดอย่างมั่นใจ แต่เสี่ยชาญยังงงๆ อยู่
ซินแสดูลายมือเฮงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตี๋ใหญ่ หมวยเล็ก เสี่ยชาญและจางรายล้อมอยู่ข้างๆ
“ปีนี้ชงนะลื้อเนี่ย”
เฮงรีบบอก “เฮ้ย ไม่นะซินแส ตั้งแต่ต้นปีมาอั้วไม่เคยชงเลย ใช้ให้ลูกชงตลอด”
“อ่อ ลูกท่าจะชงอร่อยสินะ”
ตี๋ใหญ่รีบรับมุก “ก็พอได้ครับ จะรับซักแก้วมั้ยล่ะครับ”
“กาแฟ 2 น้ำตาลไม่ต้องเยอะ เดี๋ยวเบาหวานขึ้น เย้ย อั๊วกำลังพูดถึงดวงชง ไม่ใช่ชงกาแฟ”
เสี่ยชาญยกนิ้วให้ “แหม ซินแสก็เคลิ้มอย่างกับมืออาชีพ สวดยวดจริงๆ“
จางทำหน้าเศร้า เหมือนจะร้องไห้
“โธ่เฮีย เห็นกันอยู่หลัดๆ ไม่น่าเลย”
“กูยังไม่ตาย” เฮงหันไปจวาดลูกน้อง
“ขอโทษครับ”
“แล้วเตี่ยต้องทำยังไงถึงจะหายชงคะซินแส” หมวยเล็กทำทีหันไปถามซินแส
“ลื้อต้องเลิกพูดคำหยาบ”
“เลิกพูดคำหยาบ?” เฮงเลิกคิ้วสงสัย
“ใช่ ห้ามพูดหยาบคาย ไม่ว่าจะกับใครทั้งนั้น”
“มันมีวิธีแก้ชงแบบนี้ด้วยเหรอ”
ซินแสพูดอย่างเป็นหลักการ
“การพูดดีถือเป็นกุศลอย่างหนึ่ง ฉะนั้นยิ่งพูดดีไม่หยาบคาย ก็ถือเป็นการสะสมบุญกุศลให้ชีวิตเราเจริญรุ่งเรือง”
“ห้ามอั๊วพูดหยาบคายนี่ยากมากเลยนะ เดี๋ยวอั๊วไปทำบุญถวายสังฆทานเอาก็ได้ บุญเยอะกว่าอีก”
เฮงลุกเดินออกไป พลางมองหาตี๋เล็ก
“นี่อาตี๋เล็กมันหายหัวไปไหนอีกแล้วเนี่ย งานการไม่ทำแล้วใช่มั้ย เก๋าเจ้ง”
ด่าจบ เฮงก็เดินชนโต๊ะอย่างแรง ตี๋ใหญ่กับหมวยเล็กรีบเข้าไปดูอาการ
“เป็นไรมั้ยเตี่ย”
“เจ็บอยู่ อย่าเพิ่งถาม”
ซินแสรีบบอก
“เห็นมั้ย อั๊วบอกแล้วว่าห้ามพูดคำหยาบ มันเป็นวิธีเดียวที่ลื้อจะพ้นจากเคราะห์ร้ายครั้งนี้ไปได้”
เสี่ยชาญแกล้งทำหน้าจริงจัง “ลองเชื่อซินแสดูสักครั้งนะอาเฮง เชื่ออั๊ว”
“สรุปให้เชื่อซินแสหรือเชื่อเสี่ยเนี่ย” จางพูดแทรกขึ้นมา
“ก็เชื่อซินแสไง อั๊วพูดเผียดตรงไหน”
“ก็เสี่ยบอกเชื่อซินแสดูสักครั้งนะอาเฮง เชื่ออั๊ว สรุปให้เชื่อซินแสหรือเชื่อเสี่ย”
จางต่อปากต่อคำไม่หยุด เฮงหน้าเจื่อน เริ่มเชื่อตามคำซินแสพูด หมวยเล็กแอบอมยิ้มลุ้นๆ
แก้วกัลยาตกใจ หลังจากรู้คำทำนายจากซินแส
“อะไรนะซินแส จะให้ฉันเลิกพูดคำหยาบเนี่ยนะ”
“ใช่ ถ้าลื้อและคนในครอบครัวเลิกพูดคำหยาบได้ ร้านอาหารของลื้อก็จะเจริญรุ่งเรือง ขายดีเป็นเทน้ำเททิ้ง”
หญิงเล็กรีบท้วงขึ้นมา “เอ่อ มันดีใช่มั้ยคะ ไอ้เทน้ำเททิ้งเนี่ย”
“นั่นสิคะ ฟังดูเหมือนไม่ดียังไงไม่รู้” แก้วกัลยาแอบกังวล
“อั๊วเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ ร้านของลื้อต่อไปจะต้องขายดีสุดๆ”
“เมื่อกี๊ซินแสบอกว่าทุกคนในครอบครัว ก็ห้ามพูดคำหยาบด้วยเหรอคะ”
หญิงใหญ่ถามขึ้นมาบ้าง
“ใช่ ทุกคนในบ้านจะต้องเลิกพูดคำหยาบ”
“ก็ไม่น่ายากนะ จริงมั้ยครับแม่” ชายเล็กหันไปถามแม่
“แม่ว่ามันแปลกๆ อยู่นะ เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยินวิธีแก้เคล็ดแบบนี้นี่แหละ”
“แล้ว ถวายสังฆทานหรือสะเคาะเดาะ”
หญิงเล็กพูดหน้าตาเฉย ทุกคนรีบพูดพร้อมกัน “สะเดาะเคราะห์”
“กำลังร้อนใจค่ะ เลยพูดผิดๆ ถูกๆ ถ้าสะเดาะเคราะห์หรือถวายสังฆทานอะไรอย่างนี้ไม่ดีกว่าเหรอคะซินแส”
ซินแสรีบอธิบาย หน้าตาขึงขังจริงจัง
“ไม่ได้ วิธีเดียวที่พวกลื้อจะเจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขึ้น มีอยู่อย่างเดียวคือเลิกพูดคำหยาบ ไม่เช่นนั้นทุกคนจะพบกับความวิบัติ”
แก้วกัลยา หญิงใหญ่ หญิงเล็ก หน้าเครียด มีชายเล็กแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว
เสี่ยชาญยกน้ำมาให้ชายเล็กกับหญิงเล็กที่มานั่งคุยกันในบ้าน
“โห เป็นถึงอาเสี่ย รับแขกด้วยน้ำเปล่าเนี่ยนะ” ชายเล็กพูดกวนๆ
“แล้วลื้อจะเกียนน้ำอะไรล่ะ”
“น้ำแฟนต้า โคล่า เป๊กซี่ อะไรก็ได้ครับ ให้มันสมฐานะเสี่ยชาญนิดนึง”
“ถ้าไม่มี เอาน้ำส้วมก็ได้เสี่ย” หมวกเล็กพูดขึ้นมาบ้าง
เสี่ยชาญรีบลุกขึ้น “ได้ เดี๋ยวอั๊วไปตักให้ในชักโครก”
“เย้ย หนูหมายถึงน้ำส้มน่ะเสี่ย”
“ล้อเลียนอั๊ว งั้นเกียนน้ำเปล่าไปนี่แหละ”
ทั้งคู่จึงจำใจกินน้ำเปล่ากันไป
“อั๊วไม่มั่นใจเลย ว่าอาเฮงกับอาแก้วจะไม่พูดจาหยาบคายใส่กันได้”
เสี่ยชาญยังกังวลอยู่
“นั่นดิ คนเคยเจอหน้าก็ด่าใส่กันตลอด มันจะอดใจไหวเหรอ”
ชายเล็กก็ยังแอบหวั่นใจ แต่หมวยเล็กยืนยัน
“ไม่ลองก็ไม่รู้ อย่างน้อยๆ ไม่หยาบคายใส่กันได้สักพักนึงก็อาจจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้นบ้าง”
ชายเล็กกับหมวยเล็กมองหน้ากันยิ้มๆ เสี่ยชาญเห็นแล้วรู้สึกแปลกใจ
“เอ้อ ลื้อ 2 คนนี่ก็แปลกนะ คนอื่นเค้าทะเลาะกันปาวๆ แต่ลื้อ 2 คนกลับมาญาติดีกันซะนี่ ถามจริง
ปิ๊งกันเหรอ”
ทั้งคู่เผลอตอบออกมาพร้อมกัน “ครับ / ค่ะ เย้ย”
“ไม่ใช่ค่ะ หมวยก็แค่อยากอยู่สงบๆ ไม่ต้องทะเลาะกับใคร”
“ครับ ผมก็ไม่ชอบทะเลาะกับใครเหมือนกัน”
เสี่ยชาญแอบมองทั้งคู่อย่างพินิจพิจารณา แต่ทั้งคู่ก็ไม่แสดงอาการอะไรออกมาเป็นพิเศษ
ตี๋ใหญ่เดินออกมาข้างบ้านพร้อมสมุดบันทึกและปากกา พร้อมกับร่างแบบสวนน้ำผุดคร่าวๆ ลงในสมุดบันทึก
หญิงใหญ่เดินออกมาจากบ้าน เห็นตี๋ใหญ่กำลังร่างแบบสวนเคร่งเครียด ก็รีบเดินกลับเข้าบ้านไป
ครู่หนึ่งเสียงช็อตไฟฟ้าก็ดังขึ้น ตี๋ใหญ่ที่กำลังร่างแบบอยู่ ตกใจจนโยนสมุดบันทึกลอยเคว้ง
“เฮ้ย”
หญิงใหญ่ขำก๊าก ตี๋ใหญ่หันมาเจอ ก็ทำหน้าฉุน
“คุณ”
“ขวัญเอ้ยขวัญเรียมนะ”
“นี่แกล้งผมเหรอ”
หญิงใหญ่ลอยหน้าลอยตา “แกล้งอะไร้ ฉันช็อตยุงอยู่ ยุงมันชุมน่ะ”
พูดไปก็แกล้งกดที่ช็อตยุงแล้วปัดมาใกล้ๆ ตี๋ใหญ่
“นี่ ถ้าจะใกล้ขนาดนี้ ก็เอาให้โดนไปเลยมั้ย”
“อ้าว โดนได้เหรอ”
ขาดคำ หญิงใหญ่ก็เอาที่ช็อตยุงไปแตะแขนตี๋ใหญ่แล้วกด เสียงช็อตดังเปรี๊ยะ ตี๋ใหญ่เป็นลมหมดสติไปทันที
หญิงใหญ่ตกใจ
“เฮ้ย คุณ คุณเป็นอะไรเนี่ย คุณ แค่นี้ถึงกับสลบเลยเหรอเนี่ย”
ตี๋ใหญ่ยังนอนนิ่ง หญิงใหญ่ตัดสินใจปีนรั้วข้ามไปดู แล้วประคองตี๋ใหญ่ขึ้นมา
“คุณ คุณเป็นยังไงบ้างอ่ะ”
จู่ๆ ตี๋ใหญ่ลืมตาขึ้นพร้อมกับโอบกอดหญิงใหญ่ไว้แน่น
“นี่ช็อตผมจริงเลยเหรอเนี่ย 2 ครั้งแล้วนะคุณ”
“นี่ ปล่อยฉันนะ”
หญิงใหญ่พยายามดิ้น แต่ตี๋ใหญ่ยิ่งกอดแน่น
“เป็นสาวไฟแรงสูงรึไง”
“ไม่ปล่อยใช่มั้ย”
หญิงใหญ่ใช้ปากเป่าลมแรงๆ ไปที่ตา ตี๋ใหญ่แสบตา จนเผลอปล่อยมือ หญิงใหญ่หลุดไปได้ ก็รีบข้ามรั้วกลับไปฝั่งบ้านตัวเอง
“พวกฉวยโอกาส เหมือนพ่อกับน้องไม่มีผิด”
“คุณก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน เหมือนแม่กับน้องคุณไม่มีผิด”
หญิงใหญ่เถียงไม่ออก “ครั้งหน้าจะไม่ใช่ที่ช็อตยุงแน่ คอยดู”
ขาดคำก็เดินกลับเข้าบ้านไป ตี๋ใหญ่ยิ้มขำ
“แหน่ะ หาเรื่องช่วยผมพิมพ์งานอีกอะเด๊”
“ไอ้บ้า” หญิงใหญ่ตะโกนด่ากลับมา
เฮงเลือกซื้อผักอยู่ที่ตลาด พักใหญ่แก้วกัลยาก็เดินผ่านมา 2 คนเจอหน้ากันจังๆ และกำลังจะอ้าปากด่ากัน แต่พอต่างคนต่างนึกถึงคำทำนายของซินแส ก็เลยต้องกัดฟันยิ้มแย้มและทักทายกัน
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ”
เสี่ยชาญ หมวยเล็ก ชายเล็กเดินเข้ามาในตลาด พอเห็นเฮงกำลังเผชิญหน้ากับแก้วกัลยาก็ตกใจ
“เฮ้ย นั่นเตี่ยกับแม่ลื้อประจันหน้ากันอยู่โน้น”
ชายเล็กรีบจูงมือหมวยเล็ก “รีบไปดูกันเถอะ”
“เดี๋ยว แยกย้ายกันไปสิ จะจูงกันไปให้โดนด่าเหรอ”
ทั้งคู่แยกกันไปคนละทาง เสี่ยชาญยืนงง
“อ้าว แล้วอั๊วจะตามใครไปดีวะเนี่ย เลือกไม่ถวกเลย”
ทางด้านแก้วกัลยากับเฮง ก็ยังแกล้งฉีกยิ้มให้กันอยู่
“ซื้อผักเหรอคะ”
“มาร้านผัก คงซื้อหอยแครงมั้งครับ”
หมวยเล็กกับชายเล็กเดินเข้ามา เสี่ยชาญตามมาติดๆ
“แหม เป็นถึงเถ้าแก่ ต้องมาเดินซื้อผักเอง หรือว่าที่ร้านลูกค้าไม่เข้า ก็เลยมาช้อปปิ้งผักแก้เบื่อคะ”
แก้วกัลยาไม่วายเหน็บ ชายเล็กรีบพูดเตือน
“ไม่เอาน่ะแม่ ซินแสเตือนอะไรไว้ลืมแล้วเหรอ”
“ไม่ลืม แม่ก็ไม่ได้พูดจาหยาบคายเลยนี่ลูก”
เฮงโต้กลับมาแบบนิ่งๆ
“ที่ร้านลูกค้าเข้าเยอะครับ แต่พอดีว่าพ่อครัวเก่งๆ เราเยอะ ก็เลยออกมาเดินเล่นให้สุนัขอิจฉาเล่น”
หมวยเล็กรีบสะกิดเตือน
“เตี่ย”
“เตี่ยหยายคาย? ไม่นะ”
เสี่ยชาญมองทั้งคู่แบบเซ็งๆ
“แหม ลื้อสองคนนี่ศรีธนญชัยมาเกิดชัดๆ ซินแสห้ามพูดคำหยาบก็ยังสรรหาคำมาด่ากันได้”
“อั๊วไม่ได้ด่าใครเลยนะ ตรงข้าม อั๊วนี่หวังดีกับคุณแก้วเสียด้วยซ้ำ คุณแก้วครับ พอดีที่ร้านมีเมนูของหวานใหม่ เป็นสตอเบอรี่ลอยแก้ว ได้ข่าวว่าคุณแก้วนี่ชอบสตอเบอรี่มาก ยังไงผมจะเอาใส่ถ้วยไปให้ชิมนะครับ”
หมวยเล็กรีบดึงมือเตี่ย “กลับบ้านกันดีกว่าเตี่ย”
“ขอบคุณนะคะ พอดีที่บ้านก็จะทำทองหยอดอยู่พอดี ยังไงพรุ่งนี้จะใส่บาตรไปให้ชิมแล้วกันนะคะ”
แก้วกัลยาพูดกลัยไปแบบยิ้มๆ ชายเล็กรีบกระตุกแขนแม่
“ไปครับแม่ กลับบ้านกันเถอะ”
ชายเล็กกับหมวยเล็กรีบจูงแม่กับเตี่ยตัวเองกลับบ้าน เสี่ยชาญส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
ทางด้านตี๋ใหญ่ก็กำลังซอยต้นหอมอยู่ในครัว ท่าทางเก้ๆ กังๆ โดยมีจางยืนเด็ดกะเพราอยู่ใกล้ๆ
“นี่จะซอยต้นหอมกองนี้เสร็จเมื่อไหร่ครับเนี่ย”
“สักตี 3 ก็น่าจะเสร็จนะ”
“โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปเที่ยวโรงเบียร์รอ โรงเบียร์ปิดเดี๋ยวผมกลับมาล้างเขียงให้”
ตี๋ใหญ่ทำหน้าม่อย “เอาน่า เห็นใจมือใหม่หัดซอยหน่อย”
“ฝึกซอยบ่อยๆ เดี๋ยวเอวก็ดี” จางพูดสองแง่สองง่าม
“เฮ้ย” ตี๋ใหญ่ตกใจ
“เดี๋ยวข้อมือก็ดีครับ พูดผิดไปนิด”
จังหวะนั้นตี๋เล็กก็เดินเข้ามาในครัว จางรีบหันไปทัก
“กลับมาแล้วเหรอครับคุณตี๋เล็ก”
ตี๋เล็กไม่ตอบ กลับย้อนถาม “เตี่ยล่ะ”
“เฮียออกไปทำธุระที่ธนาคารน่ะครับ วันนี้นี่ยุ่งกันมากเลยนะครับ คุณตี๋เล็กน่าจะอยู่ช่วยกัน”“ฉันอยู่แล้วจะช่วยอะไรได้” ตี๋เล็กพูดประชด
“ช่วยได้สิครับ แหม อย่าดึงไปดราม่าสิ”
“เดี๋ยวพี่ขอคุยกับตี๋เล็กนิดนึง จางออกไปดูความเรียบร้อยข้างนอกก่อนไป”
ตี๋ใหญ่หน้าจาจริงจัง จางรีบเดินออกไป
“เฮียมีอะไรจะคุยกับอั๊วเหรอ”
“เฮียรู้ว่าเราน้อยใจเตี่ย แล้วก็พาลมาน้อยใจเฮียด้วย”
“อั๊วไม่ได้พาลซะหน่อย อั๊วแค่เครียดๆ ไม่อยากจะคุยอะไรกับใคร” ตี๋เล็กทำท่าทางเซ็งๆ ประกอบคำพูด
ตี๋ใหญ่ตบไหล่น้องเป็นเชิงปลอบใจ
“เฮียรักน้องทุกคนนะ ส่วนลื้อ เฮียมั่นใจว่าต่อไปลื้อจะบริหารร้านอาหารต่อจากเตี่ยได้แน่นอน”
“แต่เตี่ยมั่นใจในตัวเฮียมากกว่าอั๊ว”
“เรื่องนี้ลื้อต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองนะ เอาเป็นว่าเฮียจะช่วยผลักดันลื้อเอง ไม่ต้องห่วง”
“เฮียไม่อยากทำร้านอาหารต่อจากเตี่ยจริงๆ เหรอ”
ตี๋เล็กย้อนถาม ตี๋ใหญ่ส่ายหน้ายิ้มๆ
“ดูต้นหอมพวกนี้สิ เฮียซอยมาครึ่งชั่วโมงเพิ่งจะได้แค่นี้ ไม่ไหวมั้ง”
“แต่เฮียไม่จำเป็นต้องทำอาหารเป็นซะหน่อย”
“คนทำอาหารไม่เป็น เวลาสั่งงานลูกน้อง คงไม่มีพลังเท่ากับคนทำอาหารเก่งสั่งงานลูกน้องหรอก
จริงมั้ย”
ตี๋ใหญ่พูดอย่างจริงจัง ตี๋เล็กพยักหน้ารับ
“โอเคเฮีย อั๊วจะพิสูจน์ตัวเองให้เตี่ยเห็นให้ได้ล่ะกัน”
ตี๋ใหญ่ตบไหล่น้องชายอย่างชื่นชม
เฮงกับหมวยเล็ก และแก้วกัลยากับชายเล็กกลับจากตลาดมาหยุดลับฝีปากกันต่อที่หน้าบ้าน
“เอ๊ ร้านอาหารเมื่อไหร่จะได้ฤกษ์เปิดซะทีล่ะครับ อั๊ว เอ้ย กระผมนี้รอน้านนานแล้วนะครับ”
“รออีกไม่นานหรอกค่ะ ร้านดิฉันกำลังจะเปิดในอีกไม่กี่วันนี้แหละ คุณหน้าปลาบู่ชนเขื่อน”
ชายเล็กรีบกระตุกแขนเตือนแม่
“แม่ ลืมคำเตือนของซินแสไปแล้วเหรอครับ”
“แล้วมีคำไหนที่หยาบคายมั้ยล่ะคะลูก ไม่มี้”
“รีบเปิดเร็วๆ นะครับ แต่ถ้าคุณล้มเหลว ทำอาหารสุนัขไม่รับประทาน ยังไงก็มาเอาพ่อครัวของกระผมไปช่วยสอนได้นะครับ”
“เตี่ย” หมวยเล็กทำเสียงดุเตือน
“เตี่ยพูดสุภาพทุกคำ ไม่มีคำไหนหยาบคายเลยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะหนู คุณน้าไม่ถือสาหรอกนะคะ เพราะคุณพ่อหนูเนี่ย เป็นประเภทคนชาติสุนัข
ปากก็เลยสุนัขแบบนี้เป็นธรรมดาค่ะลูก”
แก้วกัลยาพูดยิ้มๆ
“โหแม่ มันเหมือนไม่หยาบ แต่มันย้าบบหยาบนะแม่ พาเตี่ยเธอเข้าร้านเถอะ เราก็จะพาแม่เข้าบ้านเหมือนกัน”
ชายเล็กกับหมวยเล็กพยายามจูงแม่กับเตี่ยตัวเองเข้าบ้าน แต่เฮงยังไม่ยอมเข้าง่ายๆ
“แหม ปากคุณแก้วก็มิต่างอะไรกับอุจจาระเลยนะครับ”
แก้วกัลยาก็ไม่ยอมเหมือนกัน
“ค่า ปากคุณเฮงก็ใช่ย่อยนะคะ เหมือนสัมพะเวสีเจาะปากมาพูดน่ะค่ะ”
“ครับ ดีออก” เฮงพูดเน้นๆ
“ค่ะ คุณแบคทีเรียที่ขึ้นตามข้างขา”
ชายเล็กกับหมวยเล็กช่วยกันลากแม่กับเตี่ยเข้าบ้าน
ชายเล็กหลบมาคุยโทรศัพท์กับอยู่ในครัว ระหว่างคุยก็มองซ้ายมองขวา กลัวใครเข้ามาได้ยิน
“ฮัลโหล ที่บ้านเธอเป็นไงบ้างอ่ะ เหรอ น่าเสียดายเนอะ อุตส่าห์คิดแผนกันขึ้นมาได้”
หญิงเล็กเข้ามาในครัว ได้ยินน้องชายคุยโทรศัพท์ก็เลยแอบฟัง
“แล้วเตี่ยเธอพูดอะไรถึงแม่เราอีกบ้าง โอ้โห นี่ขนาดให้ซินแสบอกห้ามพูดคำหยาบแล้วนะ ก็ยังขุด
คำสุภาพมาด่ากันได้ เชื่อเค้าเลยจริงๆ”
หญิงเล็กแอบบ่นเบาๆ “เรื่องซินแสเป็นเรื่องกุขึ้นเหรอ?”
“เออนั่นดิ เสียตังค์จ้างซินแสฟรีๆ เลยมั้งเนี่ย”
ชายเล็กทำหน้าเซ็ง หญิงเล็กทนไม่ไหว รีบเดินเข้าไปดึงโทรศัพท์จากมือน้องชาย
“พี่หญิงเล็ก”
หญิงเล็กมองหน้าน้องชายตาเขม็ง ชายเล็กหน้าเจื่อน
หมวยเล็กทำหน้างงที่อยู่ๆ สายก็ตัดไป
“ฮัลโหลๆ อะไรเนี่ย อยู่ๆก็ตัดสาย”
“ก็โทรกลับไปใหม่สิ”
“นั่นสิ ทำไมไม่โทรกลับไปนะ เย้ย”
หมวยเล็กหันไป ก็เจอเฮงยืนซุ่มอยู่ด้านหลัง
“เตี่ย มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“ไม่ต้องถาม อั๊วได้ยินหมดแล้ว”
หมวยเล็กอึกอัก “เอ่อ หมดยังไงอ่ะเตี่ย”
“ก็เรื่องซินแสนั่นไง ลื้อร่วมมือกับไอ้ลูกบ้านนั้นมาหลอกอั๊วงั้นเหรอ”
“หมวยอยากให้เตี่ยเลิกทะเลาะกับเค้าน่ะเตี่ย หมวยอยากคืนความสุขให้กับทุกๆ คนในบ้าน”
“ลื้อไม่ต้องคืนความสุขให้กับใครทั้งนั้น อั๊วจะไม่มีวันญาติดีกับคนบ้านนั้นเด็ดขาด”
เฮงพูดขึงขัง ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป หมวยเล็กตะโกนไล่หลัง
“เตี่ยจะไปไหน เฮียตี๋ใหญ่ เฮียตี๋เล็ก เตี่ยจะมีเรื่องแล้ว ลงมาเร็ว”
แล้วหมวยเล็กรีบตามเฮงออกไป
เฮงกับแก้วกัลยาเดินออกมาประจันหน้ากันที่ข้างรั้ว
“ไง ไอ้งิ้วหลงโรง รู้ความจริงแล้วสิท่า ถึงได้เดินหูตั้งหางตกออกมาแบบนี้น่ะ”
“แหม ถ้าอั๊วหมาบ้า ลื้อก็หมาขี้เรื้อนนั่นแหละ”
หมวยเล็ก ตี๋ใหญ่ ตี๋เล็กรีบวิ่งตามเฮงออกมา
“อ๊าย แกนั่นแหละ หมาขี้เรื้อน ทั้งบ้า ทั้งเรื้อน”
หญิงใหญ่ หญิงเล็ก ชายเล็ก รีบวิ่งออกมารายล้อมแก้วกัลยา
“ไม่เอาค่ะแม่ ดึกแล้ว เข้าบ้านเถอะค่ะ” หญิงใหญ่ดึงแขนแม่
“ยังไม่เข้า วันนี้เจอหน้าไอ้งิ้วนี่ ด่าไม่ได้แล้วอึดอัดมาก แม่ขอระบายหน่อยเถอะ”
เฮงมองหน้าอย่างเอาเรื่อง “เอาซี้ อั๊วก็อยากระบายเหมือนกันโว้ย”
ตี๋ใหญ่รีบปราม
“พอเถอะเตี่ย ดึกแล้วเกรงใจชาวบ้านชาวช่องเค้า”
“ไม่ไหวจะเกรงใจแล้ว เห็นหน้านังนี่แล้วอารมณ์มันขึ้น”
แก้วกัลยาสวนกลับ “ขึ้นวอใช่มั้ยล่ะ”
“นี่คนเว้ย ไม่ใช่หมีแพนด้า” เฮงพุดหน้าตาเฉย
“คางคกโว้ย”
เฮงโมโหจะปีนรั้วไปมีเรื่องกับแก้วกัลยา ลูกๆ ทั้งสองบ้านก็ช่วยดึงกันวุ่นวาย
เฮงด่าไฟแล่บ “@@!#$#@^#&$&I*&^(*&)*(_*)++(“
แก้วกัลยาด่ากลับ “^^^%@$%!$%@$&^%(*^()(_*)+_)(“
หญิงใหญ่หันมองตี๋ใหญ่
“นี่ จะปล่อยให้แม่ฉันกับเตี่ยนายด่ากันอยู่อย่างนี้เหรอ ทำอะไรซักอย่างสิ”
“จะให้ทำยังไงล่ะคุณ”
ชายเล็กรีบบอก “อุ้มเลยครับ ช่วยกันอุ้มเข้าบ้านไปเลย”
ลูกๆ ทั้ง 2 บ้านช่วยกันลากเฮงกับแก้วกัลยาเข้าบ้านไป บรรยากาศวุ่นวายสุดๆ
อ่านต่อตอนที่ 6