ลุ้นรักข้ามรั้ว ตอนที่ 2
ลูกค้าผู้ชายคนหนึ่ง เดินมาหยิบขนมใส่ใส้ขนาดเล็ก 4 ห่อ แล้วยื่นแบงค์ 20 ให้กับหญิงชราเจ้าของร้าน พลางทำท่าจะหันหลังเดินออกไป โดยไม่รอเงินทอน หญิงชรารีบคว้าข้อมือไว้
“พ่อหนุ่ม”
ลูกค้าหนุ่มพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องทอนนะยาย ถือว่าช่วยกัน”
หญิงชราลำบากใจ “เอ่อคือว่า...”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับคุณยาย ถือว่าผมช่วยอุดหนุนคุณยายก็แล้วกัน อย่าลำบากใจเลยครับคุณยาย ผมสงสารคุณยายนะครับ”
ยายเจ้าของร้านลุกขึ้นถลกผ้าถึงทันที
“ถ้ามึงจะสงสารกู ก็จ่ายเพิ่มอีก 5 บาทสิวะ กูขายห่อละ 25 มึงจ่ายกูขาดมาแล้ววันนึงแล้วนะไอ้ห่านเอ๊ย”
ลูกค้าหนุ่มหน้าแตกเป็นเสี่ยง รีบจ่ายเงินให้หญิงชราทันที จังหวะเดียวกับหญิงใหญ่เดินถือตะกร้าเคียงคู่มากับแก้วกัลยา ผ่านร้านขนมพอดี
“หญิงใหญ่ ลูกรู้ไหมจ๊ะว่าขนมไทยที่มีรูปลักษณ์และรสชาติดีนั้น จะต้องทำด้วยกระบวนการที่ประณีต”
หญิงใหญ่มองหน้าแม่ แล้วฟังอย่างตั้งใจ
“อีกหน่อยหญิงใหญ่ต้องเป็นผู้สืบทอดสูตรการทำอาหารชาววังจากแม่นะ”
หญิงใหญ่ยิ้มกว้าง “ขนมร้านนี้หน้าตาก็ดูน่ากินนะคะแม่”
“โอ๊ย นี่ยังธรรมดาลูก ถ้าแม่ทำนะสวยกว่านี่เยอะ”
หญิงชราหันมาถลึงตามอง
“เออ งั้นก็กลับไปทำกินเองสิ อย่ามายืนติกันแบบนี้ ลูกค้ากูหนีหมด ไป๊”
แก้วกัลยารีบจูงหญิงใหญ่เดินออกไป
ตี๋ใหญ่ทำหน้าเซ็งๆ ในระหว่างที่ต้องยืนรอหน้าร้านผักกับเฮง
“ผักของอั๊วได้หรือยัง”
เฮงตะโกนถามเจ้าของร้าน
“ลูกค้าเก่าลูกค้าแก่อย่างเฮียเฮง อั๊วเตรียมไว้ให้แล้ว”
“อั๊วแค่เก่า ยังไม่ได้แก่ แล้วเอาคะน้าเพิ่มมาสักโลด้วย”
พ่อค้าย้อนถามยิ้มๆ “เอาคะน้าอะไรดี คะน้าวิศวะ คะน้าบริหาร หรือว่าคะน้านิเทศ”
“มีคะน้าปฏิวัติมั้ย”
เฮงตอบยียวนกลับไป ทำเอาพ่อค้าเงียบกริบ หันซ้ายหันขวาท่าทางกลัวๆ ก่อนจะหยิบคะน้าใส่ถุงเงียบๆ
ตี๋ใหญ่เหลือบไปเห็นหญิงใหญ่อยู่กับแก้วกัลยา เลยอาศัยช่วงจังหวะที่เฮงกำลังจ่ายเงิน แอบเดินออกไปหา
“เอ้อ แม่ลืมซื้อส้มเลยลูก”
แก้วกัลยาที่เดินๆ อยู่ จู่ๆ ก็หันมาบอกกับลูกสาว
“เดี๋ยวหนูไปซื้อให้เอง เอากี่โลคะ”
“โลนึงก็พอลูก เดี๋ยวแม่ดูของรออยู่แถวนี้แหละ”
หญิงใหญ่รีบคำแล้วรีบเดินออกไป
หญิงใหญ่ก้มหน้าเลือกส้มอยู่ที่ร้าน พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที ก็เห็นตี๋ใหญ่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
“หวัดดีครับ มาซื้อส้มเหรอ”
“เลือกส้มอยู่เนี่ย ซื้อคะน้ามั้ง”
หญิงใหญ่ตอกกลับ ตี๋ใหญ่ยิ้มรับ พยายามพูดดีด้วย ระหว่างนั้นก็เลือกผลไม้ไปด้วย
“เอ้อ ไอ้ที่คุณเล่นเมื่อคืนเค้าเรียกว่าอะไรนะ”
“คุณพูดถึงอะไร” หญิงใหญ่ทำหน้างง
“ก็ไอ้ที่คุณสีอี๊อ่อ อี๊อ่อเมื่อคืนนี้ไง เค้าเรียกอะไรเหรอ”
“ซออู้ย่ะ”
ตี๋ใหญ่ยิ้มขำ ก่อนจะรีบแซวกลับ
“ชอบเล่นดนตรีไทยเหรอ ฉิ่งฉับอะไรอย่างนี้ ชอบป่าว”
หญิงใหญ่ไม่ยอมแพ้
“ไม่ชอบ ชอบสีซออย่างเดียว ยิ่งสีซอให้ควายฟังเนี่ย ยิ่งชอบเลย”
ตี๋ใหญ่หน้าเจื่อน “แร้ง”
“เหรอ นี่แค่เบาะๆ นะ”
ตี๋ใหญ่ได้ที รีบสวนกลับ
“ผมหมายถึงกลิ่นตัวน่ะ นี่แค่เบาะๆ เหรอ โห ของจริงกลิ่นคงขมคอเลยสินะ”
หญิงใหญ่หันขวับไปจ้องหน้า เตรียมเอาเรื่อง
“อ๊าย นี่จะมีเรื่องกันใช่มั้ย”
“เอาต้มจืดหรือต้มยำหมูกรอบ หมูแดง ปู ร้านผมมีหมด”
“มีเรื่อง ไม่ใช่หมี่เหลือง”
หญิงใหญ่ทำท่าจะเอาเรื่องตี๋ใหญ่ แต่เสียงแก้วกัลยาดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ไอ้งิ้วหลงโรง ไปเลยนะ ฉันไม่อยากจะเสวนาด้วย”
ขาดคำ เสียงเฮงก็สวนกลับมา
“แหม อยากเสวนาด้วยตายล่ะ ยัยลิเกหลงวิก”
ตี๋ใหญ่กับหญิงใหญ่ตกใจ พูดขึ้นมาพร้อมกัน
“พ่อ" / "แม่”
จากนั้นทั้งคู่ก็รีบวิ่งตามเสียงโหวกเหวกโวยวายไปห้ามทัพพ่อกับแม่ของแต่ละฝ่าย
“มีเรื่องอะไรกันคะแม่”
แก้วกัลยาหน้าตาบึ้งตึง “ก็ไอ้งิ้วหลงโรงนี่สิ มากวนประสาทแม่”
เฮงเอาปากเบะ “ใครกวนประสาทใครกันแน่ ยัยลิเกหลงวิก”
ตี๋ใหญ่รีบห้ามเตี่ย “ใจเย็นเตี่ย อายเค้ามั้ยเนี่ย”
“อายทำไม คนเยอะแยะ”
แก้วกัลยายิ้มเยาะ “อ๋อ หน้าด้านว่างั้น”
หญิงใหญ่พยายามปรามแม่ “ไม่เอาน่ะแม่ ใจเย็นๆ สิคะ”
ตี๋ใหญ่รีบพนักหน้าเห็นด้วย
“ใช่ครับ โตแล้วนะเนี่ย ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ เลย”
ได้ผล หญิงใหญ่หันขวับมาทันที
“อ้าว เรื่องอะไรมาว่าแม่ฉันเนี่ย”
“ว่าตอนไหน ยังไม่ทันแก่เลย หูไม่ดีแล้วเหรอ”
หญิงใหญ่อารมณ์ขึ้น “โห หลอกด่าฉันแก่เหรอ”
ตี๋ใหญ่ยิ้มขำ “เปล่า ไม่ได้ด่าสักหน่อย อย่าร้อนตัวสิ”
“ขำแบบนี้หลอกด่าฉันแน่”
หญิงใหญ่ยอมไม่ได้เรื่องความแก่ เลยปรี่เข้าจะมีเรื่องกับตี๋ใหญ่ แต่แก้วกัลยารีบปรามไว้
“ใจเย็นลูก ท่องไว้ค่ะ กุลสตรี กุลสตรี”
เฮงเองก็หันมาทางลูกชาย
“อะไรวะเนี่ย เมื่อกี๊ยังห้ามเตี่ยอยู่เลย นี่จะมีเรื่องเองซะแล้ว”
ทันใดนั้นเสี่ยชาญก็เดินออกมาจากร้าน
“เฮ้ย ใครเอาน้ำร้อนมาสาดสองคนนี้ทีซิ”
เฮงรีบบอก “เฮ้ย ลูกอั๊วคนเว้ย ไม่ใช่นกเพนกวิน”
“อั๊วหมายถึงหมานี่แหละ”
ตี๋ใหญ่เผลอตัว หอนรับ “บรู๋ววว์ เย้ย ผมไม่ใช่หมา”
หญิงใหญ่ยิ้มเย้ยๆ
“แต่ปากนี่ใช่เลยนะ กลับบ้านกันเถอะแม่ เดี๋ยวหนูไปทำงานไม่ทัน”
ด่าเสร็จก็รีบจูงแก้วกัลยากลับบ้านไปตี๋ใหญ่เซ็งที่เอาคืนไม่ทัน เสี่ยชาญหันมาถาม
“นี่ลื้อกับบ้านโน้นจะอยู่กันสงบสุขได้มั้ยเนี่ย อาเฮง”
“ไม่มีทาง ตราบใดที่ยัยลิเกหลงวิกยังอยู่ที่บ้านหลังนั้น ชุมชนนี้จะไม่มีวันสงบสุขแน่”
เฮงตอบเสร็จก็เดินกระฟัดกระเฟียดออกไป
เสี่ยชาญรีบพูดต่อ “ลื้อช่วยคว.....”
ตี๋ใหญ่ตกใจ รีบเอามือปิดปากเสี่ยชาญ
“อย่าพูดออกมา อั๊วรู้มาอาชาญจะให้อั๊ว “คุย” ใช่ไหม”
“ใช่ลื้อเข้าใจถูกแล้ว ลื้อไปคว...”
ตี๋ใหญ่รีบเอามือปิดปากแทบไม่ทัน
“อย่าๆ อย่าพูดออกมา ให้เลี่ยงไปใช้คำว่าตุ๊ดตู่แทน”
เสี่ยชาญทำหน้างง “ฮะ ตุ๊ดตู่อะไรของลื้อวะ”
“เอาน่า สมมติ”
เสี่ยชาญพยักหน้าเออออ “งั้นลื้อช่วยไปตุ๊ดตู่เตี่ยลื้อด้วย”
“โอเคครับ แล้วอั๊วจะตุ๊ดตู่เตี่ยให้”
ตี๋ใหญ่พูดจบก็รีบเดินตามเฮงไป เสี่ยชาญมองตามไปงงๆ
“ตุ๊ดตู๋อะไรของมันวะ”
หญิงใหญ่รีบวิ่งเข้ามาในห้องทำงานรวมหน้าตาเลิ่กลั่ก แต่ทั้งห้องกลับมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลย
“หญิง ทำไมแกมาสายขนาดนี้”
พอหันไปมองด้านหลัง ก็เห็นภรณีเดินมาหยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะทำงาน
“รีบไปเลย เค้าเข้าประชุมกันหมดแล้ว”
ทั้งคู่รีบวิ่งออกไปห้องทำงานไปทันที
ภายในห้องประชุม ทุกคนนั่งประชุมที่โต๊ะยาว ธวัชชัยกับอานนท์มองไปทางตี๋ใหญ่ที่นั่งหัวโต๊ะ ด้านหลังของตี๋ใหญ่เป็นจอรับภาพขนาดใหญ่
หญิงใหญ่กับภรณีเปิดประตูเข้ามาในห้องประชุม ตี๋ใหญ่เงยหน้าขึ้นจากจอโน้ตบุ๊ค พอหญิงใหญ่เห็นตี๋ใหญ่ก็ทำหน้าตกใจ
“คุณ”
ภรณีรีบเดินนำหญิงใหญ่ไปนั่งที่โต๊ะ ฝั่งตรงข้ามกับธวัชชัยและอานนท์
“ผมมองว่าการลงไปสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้บริโภคโดยตรงจะได้ผลดีที่สุด”
ตี๋ใหญ่จ้องหน้าหญิงใหญ่ ก่อนจะพูดต่อ
“หวังว่าทุกคนคงจะเข้าใจตรงกันนะครับ ผมเป็นคนชอบคิดวิเคราะห์ และการมีข้อมูลเชิงลึกจะทำให้เราทำงานไม่ผิดพลาด และที่สำคัญ ผมเป็นคนตรงต่อเวลามาก เพราะผมไม่ชอบให้คนอื่นต้องมารอผมแค่คนเดียว”
หญิงใหญ่หน้าเจื่อน เถียงไม่ออก ตี๋ใหญ่ยิ้มกริ่มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
หญิงใหญ่ยืนล้างมืออยู่ในห้องน้ำข้างๆ กับภรณี พลางตะโกนด่า ด้วยความอัดอั้น
“ไอ้ตี๋ปากปลาร้า”
ภรณีรีบเอามือจุ๊ปาก
“ชู่ว์ พูดเบาๆ หน่อยสิยะ เค้าเป็นหัวหน้าแกนะ”
หญิงใหญ่เบะปาก
“หัวหน้าแล้วไง ไม่ใช่พ่อใช่แม่ซะหน่อย”
“พ่อแม่ไล่แกออกจากงานไม่ได้ แต่หัวหน้าไล่แกออกจากงานได้ จบป่ะ?”
หญิงใหญ่อึกอักเถียงไม่ออกในข้อนี้ ภรณีทำหน้าเคลิ้มก่อนจะพูดต่อ
“แล้วที่สำคัญ เค้าออกจะสุภาพนุ่มนวลอย่างกับอาบน้ำยาปรับผ้านุ่มมาจากบ้านงั้นแหละ..แอร้ย”
หญิงใหญ่มองค้อน
“เดี๋ยวนี้แกเห็นผู้ชายดีกว่าฉันแล้วใช่มั้ย”
“ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ มันเป็นตลอดเว..ย่ะ แหม อายุปูนนี้แล้ว จะให้เห็นชะนีดีกว่าผู้ชายหรา”
หญิงใหญ่ทำหน้าเซ็ง
“ทำไมถึงได้ซวยอย่างนี้นะ ต้องเจอไอ้ตี๋ที่บ้านยังไม่พอ ตามมาหลอกหลอนถึงที่ทำงานอีก ตกลงต้องเจอกัน 24 ชั่วโมงเลยใช่มั้ยเนี่ย”
“นี่คนหรือเซเว่นเนี่ย สงสัยต้องไปแวะซื้อขนมจีบซะหน่อยละ หิวเมื่อไหร่จะแวะไปนะคะ”
ภรณีทำหน้าเคลิ้มกระดี๊กระด๊า ส่วนหญิงใหญ่สีหน้าเคร่งเครียด
เฮงกำลังเดินคุยกับซินแส ที่ใช้แซ่ปัดไปมารอบๆ บ้านทำท่าเหมือนกำลังปัดรังควาญ
“นี่ซินแสกำลังปัดรังควาญสิ่งไม่ดีอยู่เหรอครับ”
ซินแสตอบหน้าตาเฉย “เปล่า อั้วปัดแมลงวัน เยอะเหมือนกันนะเนี่ย”
“แหม คิดว่าจะมีของดี”
ซินแสปัดรังควาญไปเรื่อยๆ เฮงรีบพูดต่อ
“อั๊วทำตามที่ลื้อบอกแล้วนะอาซินแส”
“ดีๆ อีกไม่นานพวกลื้อก็จะเฮง เฮง เฮง ยิ่งๆขึ้นไป”
เฮงหัวเราะเสียงดั’งลั่น
“ฮ่า ฮ่า ขอบใจมากนะอาซินแส”
ในเวลาเดียวกัน แก้วกัลยาที่กำลังคุมแววรดน้ำต้นไม้อยู่ใกล้ๆ รั้ว ได้ยินเสียงดังโหวกเหวกมาจากฝั่งบ้านเฮงจึงหันไปมอง ก่อนจะได้ยินเสียงซินแสดังออกมา
“ร้านของลื้อมีแต่เฮงๆๆ แต่ร้านข้างๆ นี่สิ ฮวยจุ้ยไม่ดี ทำมาค้าขายอะไรก็ไม่ขึ้น”
แก้วกัลยาได้ฟังถึงกับชะงักไป จนเฮงกับซินแสเดินออกมา
“ไอ้หยา แย่ขนาดนั้นเลยหรออาซินแส” เฮงทำท่าตกใจ
“ก็ใช่น่ะสิอาเฮง
แก้วกัลยาตะโกนข้ามรั้วมาทันที
“นี่อย่ามาพูดมั่วๆนะ เป็นซินแสจริงหรือเปล่าเนี่ย”
เฮงยิ้มขำ
“นี่ลื้อไปอยู่หลังเขาที่ไหนมา ถึงไม่รู้จักซินแสเชาผู้โด่งดัง”
แต่แก้วกัลยาไม่ขำด้วย “ก็หลังเขาสองข้างของแกนั่นแหละ”
“อั๊วไม่ใช่กวาง”
แก้วกัลยาสวนกลับ “ควาย”
เฮงสะดุ้ง ซินแสรีบหันหน้าไปทางแก้วกัลยา แล้วตีสีหน้าเคร่งขรึม
“อั๊วพูดจริงๆ ฮวงจุ้ยบ้านลื้อมันไม่ดี แล้วยิ่งคนที่มาเช่าบ้านไม่มีดวงตกฟากแบบเดียวกับอาเฮง โหงวเฮ้งไม่ดีแบบนี้”
เฮงยืดอกอย่างภูมิใจ “พูดไปเลยว่าโหงวเฮ้งอั้วดียังไง”
“คิ้วนี่โค้งได้รูปอย่างกับพญาหงส์ ดวงตามีอำนาจราวกับพญาอินทรี จมูกดูน่าเกรงขามอย่างกับราชสีห์ เรียวปากนี่คมได้รูปอย่างกับพญามังกร”
แววที่ยืนเงียบอยู่นาน รีบพูดแทรกขึ้นมา
“แหม ใบหน้านี่แหล่งรวมสารพัดสัตว์เลยนะคะ”
เฮงถลึงตามองอย่างไม่พอใจ
“ปากดีกันไปเถอะ ถ้าไม่อยากเจ๊งหมดตัวก็ปล่อยบ้านหลังนี้ให้อั๊วซะแล้วไปหาบ้านใหม่อยู่”
แก้วกัลยาส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ
“ไม่ ยังไงฉันก็จะอยู่ที่บ้านหลังนี้”
“ใช่ หน้าด้าน หน้าทนไว้ค่ะคุณนาย อย่าไปยอม”
แววพูดหน้าตาเฉย แก้วกัลยาหันมาถลึงตามอง
“ฉันจะไม่ทนแกนี่แหละ หลอกด่าฉันรึเปล่าเนี่ย”
แววหน้าจ๋อย “เปล่าค่ะ”
“ยังไงฉันก็จะไม่ออก แล้วร้านอาหารของฉันจะทำให้ร้านของลื้อเจ๊งไม่เป็นท่า คอยดู”
แก้วกัลยายิ้มเย้ยเฮงแล้วเดินออกไป
เฮงทำหน้าเครียดที่อีกฝ่ายดูไม่หวั่นไหวอย่างที่คิด ขณะที่แก้วกัลยาเดินเข้ามายืนคิดหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“จะแก้ฮวงจุ้ยยังไงดีล่ะเนี่ย”
เฮงเดินนำซินแสมาที่หน้าร้าน ก่อนจะยื่นธนบัตรให้
“นี่เงินค่าจ้างของลื้อ เล่นละครได้ดีมาก”
“ขอบคุณมากเฮีย”
“ยัยผู้ดีนั่นต้องเชื่อแน่ๆ ว่าลื้อเป็นซินแส ป่านนี้คงจะกลัวจนตัวสั่นหมดเลี้ยว”
เฮงหัวเราะอย่างสะใจ จางที่เดินเข้ามาไม่รู้เรื่อง พลอยผสมโรงหัวเราะไปด้วย
“ลื้อขำอะไร” เฮงทำหน้างง
“ก็ขำตามเฮียน่ะครับ เฮียขำอะไรขอขำด้วย เสียจังหวะขำหมด เอาใหม่ พร้อมกันนะ สาม สี่”
เฮง จาง ซินแสหัวเราะพร้อมกันอย่างสะใจ จนลูกค้าในร้านต่างหันมองแบบงงๆ
แก้วกัลยายกน้ำมนต์จากในถังน้ำแกลลอนเทใส่ในขันเงินขนาดใหญ่ บนโต๊ะวางก้านมะยมไว้อยู่
ครู่หนึ่งชายเล็กก็เดินเข้ามา
“ทำอะไรครับแม่”
“น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากหลวงพ่อ แม่จะเอาไปพรมให้ทั่วบ้านเลย”
ชายเล็กมองถังน้ำมนต์แล้วพูดต่อ
“เยอะขนาดนี้เรียกว่าเอามาล้างบ้านดีกว่ามั้ยฮะ”
“ชายเล็ก แม่ซีเรียสนะ”
แก้วกัลยาพูดแล้วก็แกล้งสะบัดน้ำมนต์ใส่หน้า ชายเล็กรีดร้องเสียงดัง
“ว้าย ชายเล็กผีเข้า”
ชายเล็กส่ายหน้า “เปล่าฮะ ชายแสบตา”
“หายใจหมด เร็วๆ ยกขันน้ำมนต์ออกไป เร็วเข้า”
ชายเล็กถือขันน้ำมนต์ออกไป แก้วกัลยาเดินตามไปติดๆ ก่อนจะเอาก้านมะยมจุ่มลงไปในขัน แล้วเดินพรมไปทั่วบ้าน
“รวย รวย รวย”
เฮงมากอดอกยืนดูแก้วกัลยารดน้ำมนต์บ้าน จางยืนอยู่ข้างๆ
“ไหนบอกว่าไม่กลัว ไม่เชื่อไง”
เฮงหัวเราะเสียงดัง แก้วกัลยาสวนกลับทันควัน
“ฉันไม่เชื่อหมอดู แต่นี่มันน้ำมนต์ของพระย่ะ”
“หรา”
“เออ”
จางหันมาบอกกับเฮง
“ขึ้นเสียงใส่เฮียแบบนี้ ทำเหมือนเฮียเป็นพวกกักขระไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่ให้เกียรติกันเลย”
เฮงไม่ใจจาง หันมาพูดต่อ
“จะบอกให้ ต่อให้ใช้ของศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ก็ไม่ช่วยแก้ฮวงจุ้ยที่บ้านลื้อได้หรอก เพราะคนอยู่
โหงวเฮ้งมันไม่ดี”
“มันว่าคุณแม่หน้าตาอัปลักษณ์ ไม่มีสง่าราศี เป็นคนกาลีบ้านกาลีเมืองฮะ” ชายเล็กหันมาบอกแม่
“ได้ไม่ได้เดี๋ยวก็รู้ ไอ้งิ้วหลงโรง”
จางช่วยแปลไทยเป็นไทย “โห มันว่าเฮียเป็นพวกงิ้วเสียงดัง เอะอะโวยวาย ปากไม่มีหูรูดเลยครับ”
“แล้วอั๊วจะคอยดู ยัยลิเกหลงวิก”
ชายเล็กเอียงหน้ามาบอกแม่
“มันว่าคุณแม่เชย บ้านนอกคอกนา ไม่มีสมบัติผู้ดีฮะ”
แก้วกัลยาพยักหน้า “ตอนแรกฉันก็โกรธไอ้งิ้วนั่นหรอกนะ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ล่ะ”
“คุณแม่โกรธใครฮะ”
“แกนี่แหละ”
แก้วกัลยาคว่ำขันน้ำมนต์ใส่ชายเล็กแล้วเดินเข้าบ้านไป
จางเห็นแล้วก็หันมาพูดต่อ
“โห คว่ำขันใส่เฮียแบบนี้ จะบอกว่ากรวดน้ำคว่ำขัน กะไม่เผาผีกันเลยนะครับ เฮ้ย นี่มันว่าเฮียเป็นผี เป็นสัมภเวสีเลยนะ”
“เดี๋ยวลื้อจะโดนอีกคน เรื่องขยายความหลอกด่าน่ะเก่งนัก”
พูดจบเฮงก็เดินกลับเข้าบ้านไป
หญิงใหญ่เดินแช็ทโทรศัพท์เข้ามาในออฟฟิศด้วยความมั่นใจ และชำนาญงาน ทั้งยกขาหลบไม้กวาดแม่บ้าน ทั้งเดินหลบคนที่เดินสวนมาอย่างคล่องแคล่ว พนักงานต่างมองด้วยความทึ่ง หญิงใหญ่ยิ้มกริ่มอย่างย่ามใจ และยังคงเดินไปแชทไปอย่างมาดมั่น
ทันใดนั้น ตี๋ใหญ่ที่เหน็บแฟ้มงานที่รักแร้ ก็เปิดประตูออกมาจากห้องข้างๆ หญิงใหญ่กระแทกเข้ากับประตูอย่างจัง จนเสียหลักล้มลงไปกับพื้น
“โอ๊ย”
ตี๋ใหญ่ตกใจ “เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เจ็บดิ ถามได้ เปิดประตูอีท่าไหนของคุณเนี่ย”
“ผมก็เปิดปกติของผมนะ ไม่ได้ใช้เท้าเปิดหรือตีลังกาเปิดซะหน่อย .คุณแหละเดินยังไง”
ตี๋ใหญ่มองที่โทรศัพท์หญิงใหญ่ เห็นโปรแกรมไลน์เด้งขึ้นมาไม่หยุด
“อ่อ คงจะมัวแต่แชท ก็เลยไม่ดูทางสิท่า”
หญิงใหญ่มองค้อน “แมนมาก”
“ผมแมนทั้งแท่งอยู่แล้วล่ะ”
“เหน็บอยู่ยังไม่รู้ตัว”
“รู้สิ ผมเหน็บมาตั้งแต่เข้าบริษัทแล้ว”
ตี๋ใหญ่พูดพลางมองแฟ้มที่เหน็บอยู่ หญิงใหญ่ทำหน้าเซ็ง
“ฉันหมายถึงเหน็บแนม ไม่ใช่เหน็บแฟ้ม”
ตี๋ใหญ่รีบยื่นมือให้ “มา ผมช่วย”
หญิงใหญ่กำลังจะจับมือกับตี๋ใหญ่ แต่แล้วก็ชะงักไป
“กุลสตรีเค้าไม่จับมือถือแขนกับผู้ชายง่ายๆ หรอก”
“แต่กุลสตรีที่ดีก็ต้องพูดจาไพเราะด้วยไม่ใช่เหรอ”
หญิงใหญ่ยื่นมือให้ตี๋ใหญ่ฉุดตัวเองขึ้น ก่อนจะแกล้งออกแรงดึงตี๋ใหญ่หน้าคะมำไปนั่งที่พื้นแทน แล้วตัวเองลุกขึ้นยืน
“อุ๊ย ขอโทษนะคะ พอดีน้ำหนักเยอะน่ะค่ะ”
พูดจบหญิงใหญ่ก็สะบัดหน้าเดินจากไป
“ตกลงว่าเราต้องเจอกันทั้งกลางวันกลางคืนเลยใช่มั้ยเนี่ย”
ตี๋ใหญ่บ่นกับตัวเอง จังหวะนั้นภรณีก็เดินมากดลิฟต์พอดี
“ว้ายตายแล้ว เป็นอะไรไปคะผู้ช่วย”
“อ๋อ สะดุดล้มนิดหน่อยน่ะครับ”
“สะดุดล้มหรือว่าสะดุดรักคะ มาค่ะ เดี๋ยวณีช่วย”
ภรณีช่วยประคองตี๋ใหญ่ พร้อมกับฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งไปด้วย
หญิงใหญ่เดินสะพายกระเป๋าเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่บ้าน ขณะที่ชายเล็ก หญิงเล็ก กับแก้วกัลยานั่งดูโทรทัศน์กันอยู่
“หน้ามุ่ยเชียว ทะเลาะกับใครมาเหรอ” หญิงเล็กหันมาถาม
“จะมีใครก็ไอ้ตี๋ข้างบ้านเราอ่ะดิ ดันทำงานที่เดียวกับพี่”
แก้วกัลยาทาบอกตกใจ “จริงเหรอลูก”
“ค่ะแม่”
“ทำที่เดียวกันก็หาเรื่องทำให้มันโดนไล่ออกไปเลยลูก เดี๋ยวแม่ช่วย”
หญิงเล็กรีบเอาด้วย “ค่ะ เดี๋ยวน้องช่วยอีกแรง”
“ช่วยอะไรล่ะ เค้าเป็นถึงผู้ช่วยผู้จัดการ คนที่จะโดน น่าจะเป็นพี่มากกว่า”
แก้วกัลยายิ่งตกใจหนัก
“เฮ้ย ลูกไอ้งิ้วหลงโรงนั่นอะนะ เป็นถึงผู้ช่วยผู้จัดการ”
ชายเล็กรีบบอก “แต่ชายก็ดูเค้ามีสง่าราศีออกนะฮะ”
แก้วกัลยามองค้อน “อยากเจอน้ำมนต์อีกรอบมั้ย”
“พอแล้วฮะ เจอไปหมดขันขนาดนั้น ชายคงไม่ต้องเข้าวัดอีกนาน”
“ใช่ เข้าอีกทีก็มีรถลาก แถมคนแห่ตามอีกเป็นขบวน”
ชายเล็กพูดต่อทันที
“เดินวน 3 รอบก็ขึ้นเผาเลย บ้าเหรอครับ นั่นมันแห่ศพฮะ”
พูดจบเดินออกไปเซ็งๆ หญิงเล็กรีบหันมาถาม
“เค้าตำแหน่งเหนือกว่าแบบนี้ พี่จะเอาอะไรไปสู้รบปรบมือกับเค้าล่ะเนี่ย”
หญิงใหญ่คิดหนัก แก้วกัลยาก็พลอยเครียดไปด้วย
“จริงเหรอ ลูกนังลิเกหลงวิกเนี่ยนะทำงานที่เดียวกับลื้อ”
เฮงหันมาถามตี๋ใหญ่ ด้วยอารามทั้งแปลกใจ ทั้งตกใจ
“ครับเตี่ย”
“แล้วอีทำตำแหน่งอะไร”
“ก็พนักงานขายน่ะครับ”
เฮงยิ้มอย่างสะใจ
“อ้าว ตำแหน่งลื้อก็สูงกว่าน่ะสิ เอาล่ะ ต่อไปได้มีเรื่องคุยกันสนุกปากแน่ ฮ่า ฮ่า”
“กลิ่นอะไรอะเตี่ย ห้อม หอม”
เฮงสูดจมูกตาม
“ไม่รู้สิ อาตี๋เล็กยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แล้วกลิ่นมันมาจากไหนวะ”
“มาจากบ้านข้างๆ แน่เลย กลิ่นน้ำพริกหอมมาก”
ขาดคำเฮงก็เขกหัวเป๊กใหญ่
“เขกแรงขนาดนี้ ไม่เตะก้านคอเลยล่ะเตี่ย”
“อ้าว เตะได้เหรอ”
เฮงง้างเท้าทำท่าจะเตะจริง
“เย้ย อั้วล้อเล่น”
“ต่อไปห้ามลื้อพูดชื่นชมอีพวกลิเกให้อั๊วได้ยินอีก เข้าใจมั้ย”
ตี๋ใหญ่รับคำ เฮงยิ้มกริ่มกริ่มอย่างมีแผนการในใจ
บนโต๊ะทำครัว มีน้ำพริกลงเรือวางอยู่ พร้อมด้วยแครอท มะเขือเปราะ มะเขือม่วง แตงกวา และฟักทอง
แก้วกัลยากำลังแกะสลักแครอทอย่างประณีต หญิงเล็กทำหน้าเซ็งขณะดู
“วันนี้แม่ทำน้ำพริกลงเรือ เลยอยากจะสอนลูกให้ฝึกแกะสลักผักด้วย หัดเอาไว้วันหน้าจะได้เป็น
แม่ศรีเรือน”
หญิงเล็กทำหน้าเบ้ “เป็นเสาเรือนก็พอแล้วมั้งแม่”
“เอ หญิงใหญ่หายไปไหนนะ น่าจะมาฝึกพร้อมๆ กันเลย”
หญิงเล็กยิ้มเจ้าเล่ห์ “เดี๋ยวหนูไปตามพี่หญิงให้นะแม่”
“จ้ะ รีบไปรีบมาล่ะ”
หญิงเล็กถอนหายใจโล่งอก แล้ววิ่งปรู๊ดออกไปนอกห้องทันที
หญิงใหญ่กำลังยืนน้ำรดต้นไม้ที่ข้างรั้ว ขณะที่น้ำจากสายยางกระเด็นไปโดนตี๋ใหญ่ที่อยู่บริเวณรั้วอีกฝั่ง โดยทีเธอไม่เห็น
ตี๋ใหญ่โผล่พรวดขึ้นมาจากพุ่มไม้ ในเขตบ้านของตัวเอง หญิงใหญ่ตกใจ หลับหูหลับตาฉีดน้ำใส่เต็มๆ
“ว้าย อย่ามาหลอกฉันเลยนะ ไปที่ชอบๆ เถอะ”
“นี่คุณ มาฉีดน้ำใส่ผมทำไมเนี่ย”
หญิงใหญ่ค่อยๆ ลืมตา เห็นตี๋ใหญ่เปียกไปทั้งตัว ก็รีบหันไปปิดก๊อกน้ำ
“เห็นผมเป็นต้นไม้รึไงคุณ เอาซะชุ่มเลยเนี่ย”
“ถ้าคุณเป็นต้นไม้ อย่างคุณคงเป็นต้นงิ้วนั่นแหละ”
หญิงใหญ่พูดสะบัดๆ แคต่ตี๋ใหญ่ยิ้มขำ
“เหรอ จะมาลองปีนต้นงิ้วหน่อยมั้ยล่ะ”
“ไม่มีทาง อย่างฉันตายไปก็ขึ้นสวรรค์อยู่แล้ว”
“เหรอ ขึ้นดีๆ แล้วกันนะ เดี๋ยวลื่นลงนรกขึ้นมาล่ะแย่เลย”
ตี๋ใหญ่ค่อปากต่อคำ หญิงใหญ่เปิดก๊อกน้ำอีกครั้ง แล้วหันสายฉีดน้ำใส่
“ปากดีนัก เอาน้ำล้างปากหน่อยแล้วกัน”
ตี๋ใหญ่ไม่ยอมแพ้ เปิดก๊อกน้ำบ้านของตัวเอง และหันสายฉีดน้ำไปทางหญิงใหญ่บ้าง
“คิดว่ามีสายฉีดแค่คนเดียวหรือไง”
ทั้งคู่ใช้สายยางฉีดน้ำสู้กันอย่างดุเดือด จนเนื้อตัวเปียกปอนทั้งคู่
ตี๋ใหญ่เข้ามาเปลี่ยนเสื้อในห้องนอน จังหวะที่ถอดเสื้อออก พอเปิดม่านไป ก็เห็นหญิงใหญ่ ที่ยืนอยู่ที่ระเบียงหน้าห้อง รีบเอามือปิดตา
“ไอ้บ้า ไอ้ลามก”
หญิงใหญ่ค่อยๆ เอามือออกจากหน้า เห็นตี๋ใหญ่เบ่งกล้ามโชว์อยู่ในห้อง
“อ๊าย ไอ้โรคจิต”
หญิงใหญ่รีบเดินเข้าห้องนอนแ แล้วรูดม่านปิดทันที
“ย้ายห้องดีมั้ยเนี่ย โอ๊ย”
แก้วกัลยากำลังจัดภาชนะทำครัว พลางทำหน้าครุ่นคิด
“เอ ทำอะไรไว้กินมื้อเช้าดีนะ”
พอเหลือบหันไป ก็เห็นชายเล็กที่พอกหน้าขาว กำลังเดินเข้ามา
“อุ๊ย! นั่นหน้าหรือกระดาษเอสี่ลูก ขาวจังเลย”
“ชายกำลังพอกหน้าอยู่ครับ ผิวหน้าจะได้เด้งๆ ออร่าสาดกระจาย”
“เอ่อ ชายนี่เป็นคนดูแลผิวดี๊ดีนะจ๊ะ ขนาดพี่หญิงใหญ่ หญิงเล็กยังไม่เคยพอกหน้าเลย”
พูดไปก็หยิบหม้อออกมา ชายเล็กรีบพูดเอาใจ
“นี่คุณแม่กำลังจะทำอาหารใช่มั้ยครับ ให้ชายช่วยนะฮะ”
“มันเป็นเรื่องของผู้หญิงเขานะลูก”
ชายเล็กทำหน้างอนๆ “แต่ชายชอบ”
แก้วกัลยาตกใจ
“อุ๊ยตายแล้ว พอกหน้า ชอบทำอาหาร ไม่ใช่ใช่มั้ยลูก”
“อะไรเหรอฮะคุณแม่”
“เอ่อ ชายชอบสีอะไรจ๊ะ”
“สีชมพูก็สวยดีนะครับคุณแม่ สีม่วงก็โอเค” ชายเล็กตอบหน้าตาเฉย
“งั้นแม่จะไม่อ้อมค้อมแล้วนะ แม่ถามจริงๆนะลูก ชายเล็กชอบผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย”
ชายเล็กรีบตอบ
“ผู้หญิงสิครับ แต่ต้องไม่ใช่ผู้หญิงแบบยัยบ้านโน้นนะ”
แก้วกัลยาโล่งอก “เฮ้อ แล้วไป งั้นมาช่วยแม่ทำกับข้าวแล้วกัน”
ชายเล็กทำท่าดีดดิ้น
“แอร๊ย คุณแม่จะให้ชายทำกับข้าวจริงๆ เหรอฮ้า”
แก้วกัลยาอ้าปากค้าง ตกใจกับลีลาของชายเล็ก
“ล้อเล่งน่า ฮ่า ฮ่า”
อีกด้านหนึ่งตี๋เล็กกำลังต้มจับฉ่ายอย่างตั้งใจ โดยมีเฮงยืนอยู่ข้างๆ
“ต้มจับฉ่ายจะให้อร่อย มันต้องใส่น้ำตาลปี๊บ ใช้เกลือแทนน้ำปลา อั๊วต้มสูตรนี้มาสามสิบปีแล้ว”
“อั๊วจะจำสูตรเตี่ยให้ได้ทุกสูตรเลย”
เฮงทำหน้าเซ็ง
“เกาซี่เกาซา อั๊วล่ะอยากจะให้อาตี๋ใหญ่สนใจการทำอาหารเหมือนกับลื้อเหลือเกิน อั๊วจะได้วางใจให้อีสืบทอดกิจการ”
“เตี่ยควรจะไปตรวจสายตาบ้างนะ”
เฮงทำหน้างง “ตรวจทำไม”
“อั๊วรู้สึกว่าเตี่ยจะมองข้ามอั๊วบ่อย อั๊วช่วยงานเตี่ยมาตลอด แต่เตี่ยก็ยังจะยกร้านให้กับเฮีย”
เฮงรีบบอก
“มันไม่เกี่ยวกับว่ามองข้ามหรือไม่มองข้าม แต่ว่าหน้าที่สืบทอดกิจการของครอบครัวมันเป็นของลูกชายคนโต ระหว่างนี้ลื้อฝึกปรือฝีมือไปก่อนก็ได้”
ตี๋เล็กถอนใจเซ็ง เฮงยังคงพูดต่ออย่างมาดมั่น
“ยังไงอั๊วก็ต้องทำให้อาตี๋ใหญ่เปลี่ยนใจมาทำร้านให้ได้ แต่ก่อนอื่นเราต้องหาทางกำจัดไอ้พวกลิเกบ้านนั้นให้ได้ก่อน อาตี๋เล็ก ลื้อฟังให้ลีๆ นะ ต่อไปนี้ อั๊วขอเปิดศึกอย่างเป็นทางการขับไล่ไอ้พวกผู้ดีไปให้พ้นทางบ้านหลังนั้นให้สำเร็จภายใน 3 วัน”
“แล้วถ้าเกิน 3 วันล่ะ” ตี๋เล็กย้อนถาม
“ก็เป็น 4 วัน”
“แล้วถ้าเกิน 4 วันล่ะ” ตี๋เล็กถามอีก
“ก็เป็น 5 วัน เว้ย อาตี๋เล็ก ลื้อจะกวนใจอั๊วทำไม ยังไงๆ อีพวกผู้ดีก็อยู่ไม่รอดถึง 3 วันหรอก ไม่เชื่อลื้อคอยดู”
อ่านต่อตอนที่ 3