ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 9
บุรุษพยาบาลเข็นรถ โสมสุภางค์นอนหมดสติ พยาบาลวิ่งตามมาอย่างรีบเร่ง โดยมีเถาว์เครือวิ่งร้องไห้ตามไป ปากพร่ำคร่ำครวญ
“อย่าตายนะ โสมสุภางค์ หนูต้องไม่ตาย อย่าตายนะลูก แม่ขอร้อง อย่า อย่าตาย”
พยาบาลปิดประตูห้องฉุกเฉิน เถาว์เครือวิ่งมาถึงประตู ร้องไห้
“อย่าตายนะ อย่าตาย ปฐวี ช่วยฉันด้วย อย่าให้ลูกฉันตายนะ นังชิดชบามันฆ่าลูกฉัน มันผลักโสมสุภางค์ตกบันได”
ปฐวีเดินเข้ามาด้วยแววตาบอบช้ำ แค้น
“ชิดชบา”
ชิดชบายืนคว้างอยู่กลางห้องโถง ค่อยๆ ก้มลงมองมือของตนเองด้วยท่าทีงงงัน
“ฉันหรือ ฉันเป็นคนผลักโสมสุภางค์ตกบันได ฉันหรือ”
ระริน และยุวดีแล่นถลาเข้ามา ต่างตื่นตระหนกเมื่อรู้ว่าโสมสุภางค์ตกบันได ต่างเชื่อว่าเป็นการกระทำของชิดชบา
“ไม่ใช่เธอแล้วจะใครล่ะ ถ้ามีใครสักคนอยากจะฆ่าโสมสุภางค์ ก็คงต้องเป็นเธอ” ระรินประณาม
“ใช่ เธอเพิ่งจะไปอาละวาดในงานแต่งงาน ไม่ใช่เธอแล้วจะใคร เธอผลักโสมสุภางค์ตกบันได”
ยุวดีซ้ำเติม ชิดชบาค่อยๆ ก้มลงมองมือของตัวเอง เริ่มหวาดกลัว
“โสมสุภางค์”
แพทย์และพยาบาลพยายามช่วยชีวิตโสมสุภางค์ด้วยการปั๊มหัวใจ สัญญาณการเต้นของหัวใจที่อ่อนมาก เริ่มกระเตื้องขึ้น
ปฐวีเดินไปมาหน้าห้องฉุกเฉิน ว้าวุ่น ห่วงใย ขณะที่เถาว์เครือนั่งก้มหน้านิ่ง ค่อยๆ เหลือบตามองปฐวีอย่างมีพิรุธ แพทย์เปิดประตูออกมา ปฐวีผวาเข้าไปหา ขณะที่เถาว์เครือค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เนื้อตัวสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว
“คุณหมอ”
“คุณโสมสุภางค์พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่”
“พ้นขีดอันตราย ลูกฉันปลอดภัยแล้วใช่มั้ยคะ”
“แต่ มีอะไรหรือครับคุณหมอ”
“คุณโสมสุภางค์อาจจะเดินไม่ได้ สักพัก”
ปฐวีตกใจ
“เดินไม่ได้”
เถาว์เครือตื่นตระหนก
“ลูก ลูกของฉันจะพิการหรือ”
ชิดชบาเดินไปมาด้วยความเสียใจ สับสน รู้สึกผิด งงงัน และห่วงใยโสมสุภางค์ ปฐวีเดินเข้ามา จ้องมองชิดชบาด้วยตาขุ่นขวาง โกรธแค้น ชิดชบาโผเข้าหาปฐวี ถามด้วยความห่วงใย
“คุณโสมสุภางค์เป็นยังไงบ้าง”
“ยังไม่ตาย”
ปฐวีเปิดประตูเข้ามา กระชากร่างของชิดชบาด้วยความโกรธ
“แต่กำลังจะกลายเป็นคนพิการ คุณผลักโสมสุภางค์ตกบันได เพราะคุณเกลียดโสมสุภางค์ คุณทำลายงานแต่งงานของเรายังไม่พอ คุณยังคิดฆ่าโสมสุภางค์”
“ฉัน ไม่ ไม่ใช่”
“คุณใส่ชุดดำ ถือพวงหรีดเข้าไปในงานแต่งงานของผม มีใครเชื่อบ้างว่าคุณไม่ได้จงใจฆ่าโสมสุภางค์ คุณทำให้โสมสุภางค์กลายเป็นคนพิการ”
“ฉันหรือ”
ปฐวีเขย่าตัวชิดชบา แผดเสียงใส่หน้าอย่างเสียสติ
“ผมจะจับคุณเข้าคุก ข้อหาพยายามฆ่า”
“ไม่นะ ฉันไม่ได้ฆ่า ถึงฉันจะเลวแค่ไหน ถึงฉันจะเป็นนางบำเรอของคุณ ฉันก็ไม่ฆ่าผู้หญิงด้วยกันเพราะคุณ”
“คุณฆ่าโสมสุภางค์”
เถาว์เครือลนลานเข้ามา หลบฟังด้วยความร้อนใจ
“ผมจะแจ้งความจับคุณ”
“ปฐวี”
ชิดชบาอุทานอย่างตื่นตระหนก เถาว์เครือถอนหายใจโล่งอกที่ปฐวีเชื่อว่าเป็นความผิดของชิดชบา
หม่อมจรัสเรืองโยนหนังสือที่มีข้อความ “ฆ่าเจ้าสาวนักธุรกิจดัง ตำรวจเชื่อปมชู้สาว” น้ำเสียงของหม่อมจรัสเรืองเกรี้ยวกราด ขณะที่อุราศรีขุ่นเคืองไปด้วย
“ไม่เชื่อหรือ ใครๆ เขาก็เชื่อกันทั้งนั้นรวมทั้งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ แม่ชิดชบาเพิ่งจะไปก่อเหตุทุเรศทุรัง ใส่ชุดดำถือพวงหรีดไปประจานกลางงานแต่งงาน แล้วทำไมชายเอี่ยวถึงไม่เชื่อว่า แม่นั่นจะไม่ผลักหนูโสมสุภางค์ตกบันได”
“เชื่อเสียเถอะค่ะ ตำรวจยังเชื่อว่าชิดชบามีแรงบันดาลใจที่จะจงใจฆ่า ผู้หญิงคนนี้ใจร้ายเหมือนแม่มด”
“ใช่ คุณปฐวีเขาแจ้งจับชิดชบาแล้ว”
อรุณณรงค์ร้อนใจ
“คุณปฐวี”
“ใช่ค่ะ เขาแจ้งจับชิดชบาข้อหาพยายามฆ่า ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณก็ไปที่สถานีตำรวจซีคะ คุณจะได้เห็นผู้หญิงคนนั้นเป็นฆาตกร”
อรุณณรงค์หันมามองหน้าอุราศรีด้วยความตกใจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวชิดชบาซึ่งสวมกุญแจมือไปขึ้นรถ ผ่านจำเรียงและสมควร ที่มองมาด้วยความลังเล ตลับนาควิ่งตามออกมา
“ชิดชบา ไม่ ป้าไม่เชื่อหรอกว่าหนูจงใจผลักโสมสุภางค์ตกบันได มันอาจจะเป็นแค่อุบัติเหตุ”
"คุณจะมารู้ดีมากกว่าฉันได้ยังไง คุณไม่อยู่บ้าน แล้วฉันก็อยู่ในที่เกิดเหตุ"
เถาว์เครือยืนกราน
“หลานสาวของฉันไม่ใช่คน”
เถาว์เครือตัดบท
“คนที่เป็นนางบำเรอได้ แล้วก็ใส่ชุดดำถือพวงหรีดเข้าไปทำลายงานแต่งงานของลูกสาวฉันได้ ทำไมจะเป็น
ฆาตกรไม่ได้ล่ะ”
ชิดชบาขึ้นรถตำรวจ เฉวียงตามขึ้นไป
“นายสมควร เอารถออก ฉันจะไปร่วมเป็นพยาน ชี้ความผิดของหลานสาวคุณตลับนาค”
เถาว์เครือขึ้นรถของสมควรตามรถตำรวจออกไป ตลับนาคตื่นตกใจ จำเรียงเข้ามาจับมือตลับนาคไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว
“ทำยังไงดีล่ะคะคุณป้า คุณชิดชบาถูกจับไปแล้ว”
“ฉัน ฉัน”
“คุณป้าเชื่อมั้ยคะ ว่าคุณชิดชบาเป็นคนผลักคุณโสมสุภางค์ตกบันได”
“ฉัน”
ตลับนาคเริ่มลังเล
แพรวาขับรถเข้ามาจอดในลานจอดรถของโรงพยาบาลอย่างรีบร้อน ธวัชพงษ์ยืนรออยู่อย่างเคร่งเครียด
“ผมไม่อยากเชื่อว่า”
“คุณเชื่อหรือไม่เชื่อ ตอนนี้คงไม่สำคัญแล้วล่ะ มันอยู่ที่ตำรวจจะเชื่อข้อกล่าวหาของคุณปฐวีมั้ย”
“แต่เรื่องนี้มันแปลกๆ นะครับ”
“มันแปลกยังไง อะไรๆ มันก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะชิดชบามีแรงบันดาลใจที่จะฆ่า”
“คุณหมอ ไม่ใช่ ผมเชื่อว่าไม่ใช่”
“งั้นก็เอาความเชื่อของคุณ ไปแสดงให้ตำรวจเขาเชื่ออย่างที่คุณเชื่อให้ได้ คุณจะได้ช่วยชิดชบา ถอยไป ฉันจะไปดูโสมสุภางค์”
แพรวาผลักอกธวัชพงษ์อย่างชิงชัง ก่อนเดินขึ้นตึกไป
“คุณหมอ หรือว่า”
ธวัชพงษ์เริ่มสับสน ลังเล
ยุวดี และระริน ถือกระเป๋าเสื้อผ้าลงมาจากตึกอย่างรีบร้อน บุญถิ่นกำลังเดินขึ้นตึก ชะงัก
“ฉันไม่อยู่แล้ว ฉันไม่อยากยุ่งกับตำรวจ”
ระรินโวยวาย
“ฉันก็เหมือนกัน ฉันไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเรื่องฆ่ากันเลยนะ ฉันกลับไปอยู่ที่ห้องเช่าฉันดีกว่า”
“ฉันก็เหมือนกัน ขืนอยู่ต่อไปมีหวังตำรวจมาเรียกไปสอบปากคำแน่”
“ไปเถอะ”
ระรินและยุวดี รีบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าออกไป บุญถิ่นมองตามไปอย่างเงียบๆ เคร่งเครียด จำเรียงเดินลงมา
“เก็บข้าวของไปกันหมดแล้วน้า ทิ้งขยะไว้เกลื่อนห้อง นังพวกนี้มันไม่มีสมบัติผู้ดีเลยจริงๆ น้า น้าสมควรกลับมาหรือยัง”
“ยัง”
“ไม่อยากเชื่อเลย ว่าคุณชิดชบาจะผลักคุณโสมสุภางค์ตกบันได แต่มันก็น่าคิดอยู่นะ หนังสือพิมพ์ยังลงข่าวกับรูป ที่คุณชิดชบาใส่ชุดดำ ถือพวงหรีดไปอาละวาดในงานแต่ง น้า น้าว่า”
บุญถิ่นผลุนผลันเดินกลับเรือนคนใช้ไป จำเรียงมองด้วยความแปลกใจ
“น้า”
บุญถิ่นเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วรีบล็อคประตู จำเรียงเข้ามาเขย่าประตู เคาะถี่ๆๆ
“น้า น้าบุญถิ่น น้า เอ๊ะ น้าบุญถิ่นเป็นอะไรน่ะ ทำท่าเหมือนอยากขังตัวเองในคุก ทำไมล่ะ”
ปฐวียืนมองโสมสุภางค์ ซึ่งยังอยู่ในห้องไอซียูด้วยความเสียใจ ห่วงใย
แพรวาเดินเข้ามา มองไปยังร่างที่ยังอยู่ในเครื่องช่วยชีวิตของโสมสุภางค์ก่อนหันกลับมามองปฐวีด้วยความโกรธ
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ย ถ้าโสมสุภางค์เป็นอะไรไป มันเป็นความผิดของคุณ คุณไม่เคยให้อะไรโสมสุภางค์ นอกจากความทุเรศ แม้แต่งานแต่งงาน”
“ใช่ มันเป็นความผิดของผมเอง ผมไม่รู้ว่าเรื่องทุเรศๆ นั่นมันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ผมสัญญาว่า ผมจะเอาผิดคนที่ทำร้ายโสมสุภางค์ให้ถึงที่สุด”
“ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นนางบำเรอของคุณอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ ถึงชิดชบาจะเป็นนางบำเรอของผม ผมก็จะเอาชิดชบาเข้าคุกให้ได้”
ปฐวีชิงชังชิดชบาอย่างมาก
อรุณณรงค์นั่งอยู่ในรถ มองชิดชบา ธวัชพงษ์ และเฉวียง ที่กำลังเดินลงมาจากสถานีตำรวจหลังประกันตัว
“ผมใช้โฉนดที่สวนของคุณตลับนาคประกันตัวคุณออกมาสู้คดี ถ้าคุณยืนยันว่าไม่ได้ทำความผิด เราก็จะสู้ด้วยความจริง”
“แล้วคุณลุงเชื่อหรือเปล่าคะ ว่าหนูไม่ได้ทำ”
“ผมเชื่อว่าคุณไม่ได้ทำ”
เฉวียงยกมือขึ้นปรามธวัชพงษ์
“ผมเป็นทนาย ผมต้องเชื่อความจริง แล้วทำให้ศาลท่านเชื่อว่าคุณเป็นผู้บริสุทธิ์”
“คุณไม่ได้ทำ ถึงคุณจะทำเรื่องบ้าๆ ในงานแต่งงานของเขา คุณไม่ได้ทำใช่มั้ย”
“ธวัชพงษ์ ฉัน ฉัน”
ชิดชบาน้ำตาคลอ รู้สึกหวาดกลัว
“ฉันไม่รู้”
“คุณไม่รู้ไม่ได้ คุณต้องรู้ นี่ตัวตนของคุณนะ ตัวของคุณ ความคิดของคุณ สติของคุณ คุณต้องมีสติ”
“ฉัน”
“ผมว่าคุณอย่ายุ่งกับลูกความของผมเลย คุณเป็นคนอื่นที่มีแต่ความเชื่อ ผมกับลูกความของผมต้องทำให้ศาลท่านเชื่อว่า เราไม่ใช่ฆาตกร ไปครับ”
เฉวียงกันชิดชบาจากธวัชพงษ์ ไปขึ้นรถ ธวัชพงษ์ถอนหายใจหนักๆ ก่อนหันมาเห็นอรุณณรงค์อยู่ในรถ
“คุณชายอรุณณรงค์”
อรุณณรงค์ขับรถเข้ามาจอดในวัง ลงมาเผชิญหน้าหม่อมจรัสเรืองและอุราศรีที่ต่างมึนตึง
“ไง แม่ฆาตกรเลือดเย็นนั่นเป็นยังไงบ้าง”
“คุณปฐวีพบนักข่าว ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ เขายืนยันจะเอาผิดชิดชบาให้ได้”
“ใครต่อใคร ถล่มด่าชิดชบากันทั้งเมือง มีการแชร์กันให้ว่อนเน็ตไปหมด ผู้หญิงคนนี้ถูกสาปแช่งเหมือนปีศาจ”
“แล้วชิดชบาเป็นยังไงบ้างคะ”
“ผมไม่ได้พบชิดชบาหรอกครับ”
“อ้าว ก็ไหนว่า”
“ผมควรรักชื่อเสียงของตัวเอง มากกว่าเห็นใจคนอื่น เพราะเกียรติกับอนาคตของผมสำคัญกว่า อย่างที่หม่อมแม่สอนยังไงล่ะครับ”
อรุณณรงค์เดินขึ้นตึกไป
“ชายเอี่ยว”
อุราศรีเมินไปด้วยสีหน้ามึนตึง เพราะรู้ว่าอรุณณรงค์ประชด
ชิดชบาเปิดประตูห้องนอนเข้ามา ทรุดตัวลงนั่งที่เตียงนอนด้วยท่าทีอ่อนล้า เศร้าหมอง ตลับนาคเปิดประตูเข้ามา
“เก็บข้าวของและกลับบ้านสวนกับป้าเถอะ กลับไปตั้งหลักที่นั่น เพราะคดีนี้ มันคงจะยาว”
“ไม่ค่ะ เกมยังไม่จบ นี่เป็นเพียงเกม”
“ชิดชบา พอเสียทีเถอะ ไอ้บ้านบ้าบอนี่ทิ้งไป อย่าเอาชีวิตมาทิ้งแถมบ้านเก่าๆ หลังนี้เลย กลับฝรั่งเศส ไปทำมาหากิน ไปดำรงชีวิตอย่างที่หลานเคยเป็น ไปเร่ร่อนอยู่ตามข้างถนน ยังดีกว่าอยู่ให้เขาเหยียบย่ำ”
“คุณป้าเชื่อหรือคะ ว่าหนูเป็นฆาตกร”
“ป้าไม่เชื่อว่าหลานจะทำได้ แต่เราไม่มีหลักฐานอะไร จะไปสู้กับคำกล่าวหาของพวกเขา คุณนายเถาว์เครือเป็นแม่ ปากคำของคุณนายเถาว์เครือตำรวจให้น้ำหนักอยู่แล้ว แล้วหนูรอดหรือ”
ทั้งสองโผเข้ากอดกัน ร่ำไห้
“หนูเปล่านะ หนูไม่ได้ทำ หนูแค่”
“แล้วใครจะเชื่อล่ะ ในเมื่อใครๆ ก็เห็นหนูเป็นนางมารร้าย ชุดดำนั่น พวงหรีดนั่น โธ่ ชิดชบา ใครจะช่วยหนูได้ ใครจะช่วยได้ล่ะ”
ทั้งสองต่างกอดกันร้องไห้
สมควรและบุญถิ่นนอนหันหลังให้กัน บุญถิ่นกระวนกระวายพลิกตัวไปมา ขณะที่สมควรนอนไม่หลับ
“เป็นอะไรวะบุญถิ่น ข้าเห็นเอ็งกระสับกระส่ายเหมือนไฟลนมาตั้งแต่เมื่อเช้า”
“เปล่า”
“ข้าก็นอนไม่หลับว่ะ คุณปฐวีคงไปนอนที่คอนโด คุณนายเถาว์เครือก็ไปเฝ้าคุณโสมสุภางค์ที่โรงพยาบาล ส่วนคุณชิดชบา”
“นี่ เลิกเห่าเสียทีเถอะ หนวกหู คนจะนอน”
“ไม่ได้เห่า แต่บ่นให้ฟัง ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณชิดชบาจะใจร้ายใจดำ ผลักคุณโสมสุภางค์ตกลงมาจากบันได คงจะมีเหตุเรื่องหึง ที่เจ้านายแต่งงานกับคุณโสมสุภางค์ ถึงจะได้ประกันตัว แต่ในที่สุดคุณชิดชบาก็ต้องติดคุกแน่”
บุญถิ่นร้อนใจ รู้สึกผิด
เถาว์เครือเดินไปมาทั้งร้อนใจ กลัว และห่วงโสมสุภางค์ เธอชะงักเมื่อเห็นชิดชบาเดินเข้ามา
“แก แกมาทำไม”
“ฉันมาดูว่า อาการของคุณโสมสุภางค์เป็นยังไงบ้าง”
“ยังไม่ตาย ไม่ต้องเร่งวันเร่งคืนลูกของฉันหรอก ควรจะเอาเวลาไปปรึกษาทนายว่าจะสู้คดียังไง”
“คุณนายก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนบันไดคืนนั้น”
“ฉันรู้กับที่คนอื่นรู้ไม่เหมือนกัน เธอมีหน้าที่ต้องแก้ข้อกล่าวหา ไปซี บอกกับตำรวจว่าฉันเป็นคนทำให้ลูกตกบันได ไม่มีใครเชื่อเธอหรอก ฉันเป็นแม่ที่รักแล้วก็อยู่เคียงข้างลูกตลอดเวลา ฉันจะทำอย่างนั้นเพื่ออะไร กลับไปซะ ถ้าเข้าใกล้โสมสุภางค์ ฉันจะร้องดังๆ”
“คุณนาย”
“หรือจะให้ฉันร้องเดี๋ยวนี้”
เถาว์เครือกระซิบขู่ ชิดชบาถอยออกไป สวนทางกับชัยยงค์ ชัยญา และถกล
“คุณเถาว์เครือ”
“โอ คุณชัยยงค์ ทำไมคุณเพิ่งมา คุณรู้มั้ย ฉัน ฉัน ฉันกำลังจะคลั่งตายอยู่แล้ว”
ชัยยงค์โอบไหล่เถาว์เครือ ดึงมาซบที่ไหล่ แต่ดวงตากลับยิ้มเยาะ
“ผมมาแล้ว ยอดรัก”
ชัยญาและถกลหันมาสบตากันอย่างขบขัน
ชัยยงค์เดินนำหน้าชัยญาและถกลกลับมาที่รถด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์
“ไม่นึกเลย ว่ามันจะเข้าที่เข้าทางอย่างนี้ ต่อไปนี้ ฉันจะเป็นคนสำคัญของคุณเถาว์เครือ ส่วนชิดชบาจะกลายเป็นฆาตกร แล้วในที่สุดก็ต้องย้ายที่อยู่เข้าไปอยู่ในคุก”
“พ่อรู้มั้ยว่าความจริงมันเป็นยังไง”
“ใครจะอยากรู้ความจริง ฉันรู้แค่ชิดชบาเป็นคนผิดก็พอแล้ว ความจริง ใครจะผลักใครก็ช่างหัวมันประไรล่ะ ประโยชน์ที่เราได้ทางอ้อม คือเขี่ยชิดชบาออกไปจากบ้านหลังนั้น”
“ครับ พ่อ”
ทั้งหมดขึ้นรถออกไป ธวัชพงษ์โผล่ขึ้นมาระหว่างแนวจอดรถ ครุ่นคิด
ปฐวีขับรถเข้ามาจอดตรงหน้าชิดชบา ก่อนเดินเลยขึ้นตึกไป โดยไม่มองหน้าชิดชบาเลยแม้แต่น้อย ชิดชบามองด้วยความเจ็บปวด
เฉวียงเอนกายนิ่งฟังอย่างเฉยเมย ชิดชบานั่งไขว่ห้างอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานของเฉวียง
“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุ อย่างที่หนูเล่าให้คุณลุงฟัง หนูเล่าหมดเปลือกแล้วละค่ะ คุณลุงไม่เชื่อหนูหรือคะ”
“ก็อย่างที่ผมบอกคุณหนู ผมจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่สำคัญ แต่เราต้องทำให้ศาลท่านเชื่อว่า มันเป็นอุบัติเหตุ แต่ทำไมคุณถึงได้เชื่อว่ามันเป็นอุบัติเหตุล่ะ”
“ไม่มีแม่คนไหน ฆ่าลูกได้หรอกค่ะ คุณเถาว์เครือเป็นม่าย ก็เลี้ยงลูกมาจนโต คุณนายเถาว์เครือทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีความสุข ยอมให้ลูกแต่งงานกับผู้ชายที่มีนางบำเรอ ก็เพราะมันเป็นความต้องการของลูก ทำไมศาลท่านจะไม่เชื่อความจริงล่ะคะคุณลุง”
“เพราะศาลท่านต้องฟังคำให้การของคนเป็นแม่ คุณนายเถาว์เครือเป็นคนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์บนบันไดวนนั่น ชิดชบา”
“คะ”
“ลุงว่าหนูกำลังอยู่ในฐานะลำบากนะ”
ชิดชบาตื่นตระหนก หวาดกลัว
“แต่หนูไม่ได้ฆ่านะ ถึงหนูจะดูเลว ดูชั่ว ดูเหมือนผู้หญิงแพศยา แต่หนูก็ไม่ใช่ฆาตกร ไม่ใช่”
ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 9 (ต่อ)
ปฐวีนั่งเงียบๆ ที่ห้องทำงาน ระรินถือถ้วยกาแฟ ยุวดีถือแก้วน้ำเย็น ต่างเข้ามาอย่างเงียบๆ หวั่นๆ
“เอ่อ ฉันย้ายออกมาแล้วล่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้ลาคุณปฐวี เอ่อ คือว่า ฉัน”
ระรินอึกอัก
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ ใครจะกล้าอยู่ตอนที่มีเรื่องยุ่งๆ ฉันกลัวค่ะ คุณปฐวีไม่ได้โกรธเราสองคนนะคะ”
ยุวดีเสียงอ่อยๆ ปฐวีหลับตาลง สะกดกลั้นอารมณ์
“ออกไป”
“เอ่อ”
“ค่ะ”
สองสาวรีบออกไป ปฐวีลืมตาขึ้นอย่างคั่งแค้น ปัดแก้วกาแฟและแก้วน้ำกระเด็นกระจายไป
ปฐวีกลับมาบ้าน หมุนตัวไปรอบๆ ด้วยแววตาขุ่นขวาง โกรธ ส่งเสียงตะโกน
“ผมเกลียดคุณ เกลียด ผมน่าจะฆ่าคุณ เหมือนอย่างที่ผมทำให้พ่อคุณฆ่าตัวตาย มันลูกเสือลูกจระเข้ คุณเป็นลูกเขา คุณถึงได้มีเขี้ยวมีเล็บเหมือนเขา”
ชิดชบาแอบอยู่ นิ่งฟังด้วยความหวาดกลัว
“ผมจะเอาคุณเข้าคุก แล้วยึดบ้านหลังนี้ คุณจงใจฆ่าโสมสุภางค์ คุณจะต้องเข้าคุก”
ชิดชบาค่อยๆ เบี่ยงหน้าออกมาฟังให้ชัดเจน
“คุณรู้มั้ยว่าทำไมพ่อคุณถึงต้องตาย เพราะเขาฆ่าพ่อผม เขาโกงเพื่อน เขาทำให้พ่อของผมหมดเนื้อหมดตัวจนต้องฆ่าตัวตาย คุณรู้มั้ย ว่าหลังจากนั้นผมโตมายังไง”
ปฐวีน้ำตาคลอ ชิดชบาตื่นตกใจ
ธวัชพงษ์ขี่รถจักรยานยนต์มาด้วยความเร็ว ชิดชบายืนรออยู่ที่เขื่อนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เขามองชิดชบาด้วยความแปลกใจ
“ฉันเชื่อเรื่องที่คุณเล่าให้ฉันฟังแล้ว พาฉันไปที่ท่าข้าวนั่นได้มั้ย ธวัชพงษ์”
“คุณจะไปทำไม”
ชิดชบาก้มหน้า นิ่งนาน ก่อนเงยหน้าขึ้น ด้วยแววตาเจ็บปวด
“ฉันอยากเห็นที่ที่พ่อเขาฆ่าตัวตาย”
ธวัชพงษ์ขับรถจักรยานยนต์เข้ามาที่ท่าข้าว โดยชิดชบาซ้อนท้ายมาด้วย ชิดชบากวาดตามองไปรอบๆบริเวณ
“ที่นี่หรือ”
“ครับ ผมสอบถามจากคนเก่าๆ เดิมไม่ได้เป็นท่าข้าวใหญ่โตแบบนี้ แต่เป็นที่ที่เพื่อนสองคนล่องเรือค้าข้าวด้วยกัน พ่อของเขา กับคุณพ่อของคุณ คุณชิดชงค์”
“นี่หมายความว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันเป็นเกมล้างแค้นหรือ ฉันไม่เคยรู้เลยว่ามีที่ดินผืนนี้อยู่”
“คุณปฐวีได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ มันรวมอยู่ในทรัพย์สินที่ลงพนัน คุณพ่อคุณคงรู้ ว่านี่เป็นการล้างแค้น เขาถึงได้ฆ่าตัวตาย”
ชิดชบาสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว
“คุณพ่อ”
คืนนั้น ชิดชบาฝันถึงภาพ ชิดชงค์ยิงตัวตาย เธอสะดุ้งตื่น ผวาลุกขึ้นนั่ง เหงื่อโทรมไปทั่วใบหน้า ตื่นตระหนก
“พ่อ นี่ ฉันฝันร้ายหรือ ฉันฝันร้าย”
ชิดชบามองไปรอบๆ ตัวที่เต็มไปด้วยแสงสลัวของความมืด ด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
แพรวาจับมือโสมสุภางค์ไว้ บีบเบาๆ ด้วยความห่วงใย พยาบาลดูแลอยู่ใกล้ๆ โสมสุภางค์เริ่มรู้สึกตัว
“โสมสุภางค์ นี่ ฉันเอง”
โสมสุภางค์ลืมตาขึ้น จ้องมองแพรวา
“เธอรู้สึกตัวแล้ว รู้มั้ยว่าเธอหลับไปหลายวัน ฉันมาเฝ้าเธอทุกวัน เธอพ้นขีดอันตรายแล้ว โสม โสมสุภางค์”
เถาว์เครือเดินเข้ามา หน้ามึนตึง
“ออกไปก่อนเถอะ คุณหมอแพรวา ให้แม่ลูกอยู่ด้วยกัน คุณด้วย พยาบาล”
“ค่ะ”
พยาบาลรับคำ ออกไป เถาว์เครือมองแพรวานิ่งๆ แพรวาแปลกใจ
“ได้ยินมั้ย ขอให้ฉันอยู่กับลูกตามลำพัง”
“ค่ะ คุณแม่”
แพรวาเดินออกไป เถาว์เครือสบตาโสมสุภางค์อย่างบีบคั้น โสมสุภางค์จ้องมองแม่อย่างคนแปลกหน้า
“แม่ดีใจที่หนูฟื้นขึ้นมา อย่ามองแม่อย่างนั้น มันเป็นอุบัติเหตุนะ แต่เราจะหาประโยชน์จากอุบัติเหตุของเราสองแม่ลูก ด้วยการ ส่งนังชิดชบาเข้าคุก”
เถาว์เครือพูดด้วยความชิงชัง
บุญถิ่นหั่นผักอย่างเลื่อนลอย ครุ่นคิด จำเรียงเดินเข้ามาหน้าอมทุกข์
“น้า ไม่ต้องห่วงคุณโสมสุภางค์หรอก หมอเขาบอกว่าคุณโสมสุภางค์ปลอดภัยแล้ว”
บุญถิ่นเผลอตัวดีใจ
“งั้นหรือ งั้นก็ไม่มีใครฆ่าใครแล้วน่ะซี”
“มี คุณนายเถาว์เครือจะเป็นพยานปากสำคัญ ให้การปรักปรำว่าคุณชิดชบาเป็นคนผลักคุณโสมสุภางค์ตกบันได คุณปฐวีก็ร่วมด้วย คดีจะเป็นคดีเร็วๆ นี้แหละ”
บุญถิ่นสลดลง
“น้าคงจะพอใจแล้วใช่มั้ย เพราะน้าเป็นข้ารับใช้ของคุณเถาว์เครือกับคุณโสมสุภางค์นี่”
จำเรียงถอนหายใจก่อนเดินออกไป บุญถิ่นสลดลง คิดถึงสิ่งที่ชิดชบาทำให้ตัวเองในยามเจ็บป่วย
เถาว์เครือพยายามป้อนอาหารให้โสมสุภางค์ โสมสุภางค์เมินหนี นิ่งๆ เถาว์เครือสลดลง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นมึนตึง หันไปบอกกับพยาบาล
“คุณออกไปก่อน เอาอาหารนี่ออกไปด้วย”
“ค่ะ”
พยาบาลยกอาหารออกไป เถาว์เครือเปลี่ยนท่าทีอ่อนโยน
“หนูคงต้องอยู่ในโรงพยาบาลอีกพักใหญ่ แม่สั่งไม่ให้หมอแพรวาเข้าเยี่ยม เห็นว่าไม่จำเป็น หมอคนละสาขากันถึงดูแลกันก็ไม่มีประโยชน์ แต่แม่อนุญาตให้ปฐวีมาเยี่ยมหนู เขามาดูหนูทุกวัน รู้มั้ย”
โสมสุภางค์เฉยเมย เหนื่อยล้า หลับตาลง
“ต่อไปนี้หนูต้องเชื่อแม่ ทำตามที่แม่สั่ง แม่จะไม่ยอมให้หนูทำอะไรตามใจตัวเองอีกแล้ว แม่คนเดียวเท่านั้นที่รักหนู จำไว้ เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราแม่ลูก ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
ปฐวีเคาะประตูก่อนเปิดเข้ามา
“อ้อ แม่จะออกไปรอข้างนอกนะ”
เถาว์เครือเดินออกไป ปฐวีเข้ามา นั่งลงตรงหน้าโสมสุภางค์ จับมือไว้ด้วยท่าทีอบอุ่น ปลอบโยน
“หมอบอกว่าคุณดีขึ้น แต่ต้องใช้รถเข็นสักระยะหนึ่ง ไม่ต้องห่วงนะ เราแต่งงานกันแล้ว คุณพร้อมเมื่อไหร่เราจะจดทะเบียนสมรสกันทันที คุณต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรับรู้ว่า ผมจะทำยังไงกับคนที่พยายามฆ่าคุณ”
โสมสุภางค์หวั่นไหว
“โสม ไม่มีอะไรที่คุณต้องกลัวนะ ถ้าคุณยังไม่อยากพูดอะไรกับผมตอนนี้ก็ไม่ต้องพูด หลักฐานมัดตัวชิดชบา ผู้หญิงคนนั้นไม่รอดแน่”
ปฐวีชิงชัง
เถาว์เครือทรุดตัวลงนั่ง จิตใจว้าวุ่นกับท่าทีของโสมสุภางค์ ชัยยงค์เข้ามานั่งลงใกล้ๆ
“โสมสุภางค์ยอมร่วมมือกับคุณมั้ย”
“ฉันดูลูกไม่ออกหรอกค่ะ โสมสุภางค์ดูเฉยๆ กับฉัน ฉันก็บอกแล้วว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุ”
“คุณต้องทำให้โสมสุภางค์ร่วมมือกับเรา เอ้อ กับคุณ ประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการติดคุกของชิดชบาก็เห็นๆ อยู่ นี่เป็นโอกาสนะ ถ้าลูกของคุณไม่ฉวยโอกาส มันอาจจะไม่มีอีกเลยก็ได้”
แพรวาเดินเลี้ยวมุมมา ชะงักเมื่อเห็นชัยยงค์และเถาว์เครือสนิทสนมมีสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งต่อกัน
“ส่วนผม จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคุณ แต่ต้องให้เรื่องมันผ่านไปก่อน เราจะใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน อย่างที่ผมสัญญา”
“แต่ฉันกลัวว่า”
“เอาไว้ให้ชิดชบาติดคุกก่อน เราค่อยจัดการตามแผน ทีละขั้น ทีละขั้น”
เถาว์เครือถอนหายใจ
“ค่ะ ฉันจะทำตามแผนของคุณ”
แพรวาฟังด้วยความสงสัย
แพรวาเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน ยังคงสงสัยในท่าทีขอเถาว์เครือและชัยยงค์ ธวัชพงษ์นั่งรออยู่อย่างเคร่งเครียด
“คุณรู้จักนายชัยยงค์ดีแค่ไหน”
“คุณหมอก็รู้จักเขาหรือครับ”
“เขาเป็นคนดังของสังคมนี่ ใครๆ ก็รู้ว่าเขารวย แต่รวยแบบเขานี่ รวยมาได้ยังไง”
“เดี๋ยวนี้คนที่รวยปุบปับ รวยแบบไม่มีที่มาที่ไป ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเขาค้ายา ทำเรื่องผิดกฎหมาย หรือเป็นพวกนักการเมืองโกง คุณสงสัยอะไร”
“เอ่อ เปล่า”
“เขาเป็นนักพนัน มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นเซียนพนันกันทั้งพ่อทั้งลูก เขาเกี่ยวข้องอะไรกับคุณ”
“เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันหรอก แต่”
“มีอะไรหรือครับ”
“ไม่มีอะไร แต่คุณช่วยตามดูพฤติกรรมเขาหน่อยได้มั้ย ฉันสงสัยว่า เขาจะไม่หวังดีกับโสมสุภางค์”
แพรวากังวล ห่วงใย
อุราศรีจัดโต๊ะอาหารกลางวัน โดยมีหม่อมจรัสเรืองคอยช่วยอยู่ด้วยความชื่นชมในตัวอุราศรี อรุณณรงค์เปิดอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ด้วยความสนใจ
“มาทานกลางวันเถอะลูก เดี๋ยวคุณหญิงอุราศรีต้องไปธุระกับแม่ แม่เห็นชายเอี่ยวเหนื่อยมาเลยไม่ชวนไปด้วย นั่นอ่านข่าวอะไร”
“นี่เขายังไม่เลิกพูดกันเรื่องนั้นอีกหรือครับ”
“ข่าวชิดชบาหรือคะ”
“มันกลายเป็นเรื่องท็อคออฟเดอะทาวน์ไปแล้ว แล้วแม่ก็รู้มาว่าถึงตอนนี้เรื่องยังไปไม่ถึงศาล แต่คุณนายเถาว์เครือกับคุณปฐวี ก็ร่วมมือกันเอาเรื่องชิดชบาให้ถึงที่สุด เห็นจะต้องไปถึงศาลล่ะ”
“คุณป้าไปเยี่ยมคุณโสมสุภางค์หรือยังคะ”
“ยังเลย ป้าก็ฟังๆ ข่าวอยู่ เห็นว่าคุณเถาว์เครือยังไม่อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยม เพราะว่ากลัวแม่ชิดชบาจะเข้าไปตามฆ่าคุณโสมสุภางค์ในโรงพยาบาล”
“เหลวไหลครับหม่อมแม่ ใครจะทำอย่างนั้น”
“ว่าได้หรือ ขนาดชุดดำถือพวงหรีดเข้าไปในงานแต่งงาน แถมเมาแประยังกับขวดไวน์เคลื่อนที่ แม่คุณยังทำมาแล้ว แล้วทำไมจะทำเรื่องร้ายๆ ไม่ได้ล่ะ”
“ถ้าห่วงชิดชบา ทำไมไม่ไปแสดงความห่วงใยชิดชบาด้วยตัวเองล่ะคะ”
“ผมจะไป”
หม่อมจรัสเรืองตกใจ อรุณณรงค์ผลุนผลันออกไป
ตลับนาคปักดอกไม้ลงแจกันอย่างเลื่อนลอย กังวลห่วงใยชิดชบา เถาว์เครือเดินเข้ามาด้วยท่าทีปั้นปึ่ง ชิงชัง
“เอ๊ะ นี่คุณยังอยู่อีกหรือคะคุณตลับนาค ฉันคิดว่าคุณเก็บข้าวเก็บของ กลับบ้านสวนไปแล้วเสียอีก”
“คดีเพิ่งจะเริ่มต้น ไว้เรื่องถึงศาลแล้วศาลพิพากษาว่าหลานสาวของฉันเป็นฆาตกร ฉันจะย้ายไปทันที”
“เตรียมเก็บข้าวของไว้ก็ไม่เสียหายอะไรนะ ถึงเวลานั้นคุณจะได้ไม่ลนลาน รีบร้อน”
“ดูคุณมั่นใจนะ ว่าเกมมันจะไม่พลิก คดีนี้มันเป็นแค่เกม รอให้รู้แน่เสียก่อนไม่ดีหรือว่าใครผิดใครถูก”
เถาว์เครือสะดุ้ง มีพิรุธ
“มีหลักฐานมัดตัวชิดชบา สังคมก่นด่าหลานสาวของคุณทุกวี่ทุกวัน แล้วฉันก็จะเป็นพยานปากสำคัญที่ให้การต่อศาล รวมถึงปฐวีด้วย เขาโกรธที่โสมสุภางค์ถูกทำร้าย เขาเกลียดหลานสาวของคุณจนไฟสวาทเหลือแต่เถ้าล้วนๆ”
“เอาเถอะ ไว้ให้ถึงวันนั้น ถ้าหลานของฉันเดินเข้าคุก ฉันก็จะกลับไปทำหน้าที่ส่งปิ่นโต ว่าแต่คุณเถอะ คุณแน่ใจนะ ว่าคนที่จะเดินเข้าคุกไม่ใช่คุณ”
“คุณตลับนาค”
จำเรียงรีบเข้ามากระซิบ
“คุณป้าคะ คุณชายอรุณณรงค์มาค่ะ”
“ไปบอกเขาว่า ชิดชบาไม่ต้องการพบใคร”
“ค่ะ”
จำเรียงรีบออกไป เถาว์เครือแปลกใจ
“คุณชายอรุณณรงค์หรือ”
อรุณณรงค์กลับมาที่วังด้วยความเศร้าหมอง หม่อมจรัสเรืองโกรธ
“แม่จะช่วยให้ปากคำเป็นพยานในคดีนี้ ว่าแม่เห็นชิดชบาสวมชุดดำ ถือพวงหรีดเข้าไปทำลายพิธีแต่งงาน”
“หม่อมแม่”
“เราหลายๆ คนที่ไปในงานเลี้ยงจะให้การตรงกันว่าชิดชบาอาฆาตมาดร้าย แล้วทำไมจะผลักหนูโสมสุภางค์ ตกบันไดไม่ได้”
อรุณณรงค์มองหม่อมจรัสเรืองด้วยความตกใจ
“หม่อมแม่ ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์นอกจากคุณโสมสุภางค์นะครับ”
“แล้วคิดว่าโสมสุภางค์จะให้การยังไง โสมสุภางค์เดินไม่ได้ แต่ยังมีสติดีอยู่ ยังพูดได้ ใครจะไม่ฟังคนพิการ”
อรุณณรงค์หวั่นไหว
พยาบาลตรวจดูความเรียบร้อยของอุปกรณ์ช่วยชีวิตของโสมสุภางค์
“คุณอยู่คนเดียวได้นะคะ ฉันจะออกไปเบิกยาที่ห้องยาค่ะ”
โสมสุภางค์นอนนิ่งเฉย พยาบาลเดินออกไป โสมสุภางค์เริ่มร้องไห้ ดึงสายน้ำเกลือออก พยายามจะลุกขึ้นนั่ง จนพลัดตกเตียง ปฐวีเปิดประตูเข้ามาตกใจเมื่อเห็นโสมสุภางค์นอนอยู่หน้าเตียง
“โสมสุภางค์”
ปฐวีโผเข้าประคองโสมสุภางค์ เลือดที่ไหลออกจากทางสายยางนองทั่วพื้น
“พยาบาล เร็ว โสมสุภางค์ตกเตียง”
“ฉัน ฉันเดินไม่ได้แล้วใช่มั้ยคะ วี ฉันเดินไม่ได้แล้วใช่มั้ย”
“โสมสุภางค์ คุณ”
พยาบาล 2 คนรีบเปิดประตูเข้ามาประคองโสมสุภางค์
“คุณออกไปก่อน เรียกคุณหมอเร็ว”
ปฐวีเดินออกไป สวนทางกับทีมแพทย์และพยาบาลที่ผลักประตูเข้าไปอย่างเร่งรีบ เขายืนพิงผนังอย่างอ่อนล้า เริ่มโกรธแค้นชิดชบา
ชิดชบานั่งนิ่งอยู่หน้างานปั้น โดยมีเกรียงปาดดินวางอยู่ตรงหน้า ปฐวีกระแทกประตูเปิดเข้ามาด้วยความโกรธ
“ชิดชบา”
ชิดชบาเงียบ เศร้า
“เอาซีคะ คุณจะกรีดฉัน สับฉันเป็นชิ้นๆ หรือจะฆ่าฉันก็เชิญ ถ้ามันทำให้ฉันล้างบาปที่พ่อฉันทำกับพ่อคุณได้”
ปฐวีชะงัก
“ฉันฝันร้ายทุกคืน ฉันรู้แล้วว่าคนที่ติดอยู่กับฝันร้ายน่ะ มันทุกข์ทรมานแค่ไหน ฆ่าฉันเถอะ เมื่อฉันตาย ทุกอย่างจะจบ”
ปฐวีถอยหลัง ยกมือที่สั่นสะท้านขึ้นชี้หน้าชิดชบา
“เราจะเจอกันในศาล เราจะฟ้องคุณข้อหาพยายามฆ่าโสมสุภางค์”
ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 9 (ต่อ)
ธวัชพงษ์อ่านหนังสือพิมพ์หลายฉบับที่วางซ้อนๆ กันอยู่ บรรณาธิการเปิดประตูเข้ามาอย่างเงียบๆ ยืนมองท่าทีหมกมุ่นกับข่าวของธวัชพงษ์ครู่หนึ่ง ก่อนเดินเข้ามาหา
“มันเลยเถิดไปมั้ย นี่มันเยอะไปนะธวัชพงษ์ แกเริ่มต้นที่ขอพี่ทำสกู๊ปข่าวเรื่องการพนัน เพราะแกเห็นว่าสังคมต้องสะอาด พี่ให้แกทำ เพราะเห็นแก่ความตั้งใจดีของแก ใช่ การพนันน่ะมันขายทุกอย่าง มันยิ่งกว่าไฟไหม้หรือโจรปล้น แต่นี่แกไปไกลเกินไป”
ธวัชพงษ์เหลือบตาขึ้นมองบรรณาธิการด้วยความสงสัย
“พี่กำลังพูดถึงอะไรครับ”
“พูดถึงความตั้งใจจริงของแกที่มันเปลี่ยนไป แกเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีพยายามฆ่า”
“ผมเชื่อว่า ชิดชบาเป็นผู้ถูกกระทำ”
“หน้าที่ของแกคือการเป็นนักข่าว คือการเสนอความจริงที่เป็นความจริงล้วนๆ แกไม่มีสิทธิ์ยัดเยียดความคิดกับอารมณ์ความรู้สึกของแก ลงไปในเนื้อข่าว”
ธวัชพงษ์ร้อนรน
“แต่เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเกี่ยวเนื่องกันนะครับ เรื่องพนัน เรื่องพยายามฆ่า มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน”
“คำสั่งของพี่คือหยุด ถ้าแกยังแยกอารมณ์กับหน้าที่ออกจากกันไม่ได้ แกต้องหยุด”
“ผมไม่หยุด ผมมาไกลแล้ว ถึงเรื่องมันจะกลายเป็นว่า ผมยิ่งลึกยิ่งถลำ แต่ผมก็ทิ้งชิดชบาไม่ได้ มีความจริงอยู่ในเรื่องนี้ พี่เชื่อผมอีกครั้งเถอะครับ”
“ไม่”
“อีกครั้งเดียวเท่านั้น เพราะคนบริสุทธิ์ไม่ควรจะเดินเข้าคุก”
“แกบ้าไปแล้วหรือ แกคิดว่าแกเป็นอะไร นั่นเป็นเรื่องที่ศาลต้องพิสูจน์ถูกผิด ถ้าแกหยุดไม่ได้ ฉันจะถอดแกออกจากหน้าที่นักข่าว”
“เอ่อ”
ธวัชพงษ์ลังเล
ตลับนาคเดินออกมายืนเหนือบันได มองลงไป เห็นชิดชบาเดินกอดอกก้มหน้าไปมาด้วยความเศร้าหมอง
เธอจึงเดินลงไปหา
“ชิดชบา จะสี่ทุ่มแล้ว ทำไมยังไม่นอนล่ะลูก”
“หนูนอนไม่หลับค่ะ คุณป้า”
“ต้องกินให้ได้ นอนให้หลับ เพราะวันพรุ่งนี้หนูต้องใช้พลังสู้ปัญหา มันจะต้องผ่านไป หนูต้องผ่านมันไปให้ได้”
“เขาจะร่วมมือกันกล่าวหาหนู ว่าหนูพยายามฆ่าโสมสุภางค์ หนูฝันร้ายค่ะคุณป้า”
ชิดชบาเริ่มว้าวุ่นสับสน หวั่นกลัว
“หนูไม่กล้านอน หนูกลัวฝันร้าย”
“ฝันร้าย ฝันร้ายหรือ”
“ค่ะ หนูฝันเห็นพ่อฆ่าตัวตาย จริงหรือคะที่พ่อหักหลังเพื่อน โกงเพื่อน จนเพื่อนของพ่อต้องฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ใช่มั้ยคะ คุณป้า”
“ป้าก็ไม่รู้ ป้ากับชิดชงค์ไม่ได้ใช้ชีวิตใกล้กัน เราอยู่กันคนละที่ ป้ารู้แต่ว่าเขาร่ำรวย ประสบความสำเร็จ ป้าเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้เพื่อทำหน้าที่ดูแลบ้าน ป้าไม่เคยเข้าไปรู้เรื่องลึกๆ ของเขา แต่รู้ว่า เขาทำอะไรมาเยอะ รวมทั้งธุรกิจค้าข้าว”
ตลับนาคผ่อนน้ำเสียงลงด้วยความเศร้าหมอง
ธวัชพงษ์และชิดชบา มองเรือบรรทุกทรายที่เป็นแนวขบวนยาว ล่องผ่านไปในน่านน้ำเจ้าพระยา
“เมื่อก่อน ถนนยังตัดเข้ามาไม่ถึง คนค้าข้าวต้องบรรทุกข้าวลงเรือ ล่องลงมาจากปากน้ำโพมาขึ้นที่โรงสี สีแล้วบรรทุกลงเรือไปขึ้นท่าที่นนทบุรีหรือกรุงเทพฯ สมัยนั้นผู้คนขนส่งสินค้าเกษตรกันทางเรือ พอบ้านเมืองมีถนน มีรถบรรทุก วิธีการขนส่งก็เปลี่ยนไป ทำให้แม่น้ำเหลือแต่เรือทราย”
ชิดชบากวาดสายตาไปรอบๆ
“เขาไปขุดทรายมาจากไหน”
“จากแม่น้ำนี่แหละครับ ทรายจากแม่น้ำเป็นทรายน้ำจืดใช้เป็นทรายก่อสร้าง ย่านที่ยังขุดทรายได้ก็แถวบางไทร แถวอยุธยา สิงห์บุรี ชัยนาท เขาก็ขุดกันมานานแล้วล่ะครับ”
“เรือขนข้าวรูปร่างเป็นยังไง”
“เป็นเรือเอี้ยมจุ๊น เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยเห็นแล้วล่ะครับ ถนนทำให้วิถีชีวิตเก่าๆ ของคนเปลี่ยนไป ไม่มีเรือโดยสารแต่มีรถโดยสารแทน ข้าวก็ใช้รถบรรทุกขน แทนที่จะเป็นเรือ”
“แล้วโรงสีข้าวล่ะ หน้าตาเป็นยังไง”
“อะไรทำให้คุณสนใจเรื่องข้าว”
“ฉันควรรู้ไว้ไม่ใช่หรือ ว่าท่าข้าวนี่มีประวัติความเป็นมายังไง ถ้ามีเรื่องราวของเพื่อนสองคนรักกันฆ่ากัน ฉันก็ควรจะทำความรู้จักไว้ในฐานะ ที่ฉันเป็นผู้ไถ่บาป”
“ชิดชบา”
“ธวัชพงษ์ ฉันไม่มีใครเลยนะ คนรอบตัวฉันที่พอมี ก็เปลี่ยนเป็นคนแปลกหน้ากันไปหมด ฉันโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อน มีแต่คุณป้าคอยหวังดี”
“ไม่จริงครับ ยังมีคุณเฉวียงอีกคนที่พยายามหาทางให้คุณสู้ แล้วคุณก็ยังมีผม เป็นเพื่อน”
“อย่าทิ้งฉันนะธวัชพงษ์ อย่าทิ้งฉัน”
“ครับ ผมจะไม่ทิ้งเพื่อน”
ธวัชพงษ์มองชิดชบาอย่างปลอบโยน
ปฐวีมองโสมสุภางค์ผ่านกระจกของห้องไอซียู. มีแพทย์และพยาบาลดูแลอย่างใกล้ชิด เถาว์เครือเดินมาหา
“ต้องเป็นนางบำเรอของคุณแน่ ที่ฉวยโอกาสเข้ามาทำร้ายลูกฉันตอนที่พยาบาลไม่อยู่ โสมสุภางค์เพิ่งจะดีขึ้น ก็กลับมาทรุดลงอีก”
“ผมทราบ”
“คุณรับทราบอย่างเดียวไม่ได้นะ คุณต้องทำอะไรสักอย่าง เร่งคดีให้ถึงศาลเร็วๆ ไม่อย่างนั้นฉันกลัว”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น ตำรวจจะสอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง คนทุกคนที่อยู่ในบ้านในคืนเกิดเหตุ รวมทั้งคุณแม่ด้วย”
เถาว์เครือเริ่มร้อนใจ
“เอ่อ ฉันด้วยหรือ”
“ครับ ตำรวจต้องการความจริงก่อนชงเรื่องเสนอไปทางอัยการให้พิจารณาว่ามีเหตุอันควรฟ้องหรือไม่”
“ไม่มีเหตุได้ยังไง มันทำกับลูกของฉันซ้ำซากอย่างนี้แล้ว จะเอามันเข้าคุกไม่ได้หรือ”
“ผม พร้อมจะเป็นพยานปากสำคัญเพื่อกล่าวโทษชิดชบา”
ปฐวีโกรธ
ชัยยงค์กับชัยญา มาทานอาหารที่โรงแรม พลางคุยกันถึงคดีของชิดชบา
“แล้วถ้ามีการเรียกตัวพยานแวดล้อมเมื่อไหร่ ฉันพร้อมจะให้การต่อศาลว่าเห็นชิดชบาใส่ชุดดำ ถือพวงหรีดเข้าไปในงานแต่งงาน ได้ข่าวว่าหม่อมจรัสเรืองก็พร้อมที่จะพูดความจริง”
“ความจริงหรือครับ”
“ใช่ ก็แค่พูดตามที่เห็น แต่น้ำหนักมีพอที่จะเหวี่ยงชิดชบาเข้าคุก”
ชัยยงค์มีความสุข
“แล้วหลังจากนั้น ทุกอย่างจะอยู่ในมือของฉันผ่านคุณเถาว์เครือ”
ระหว่างนั้น ระรินควงนักธุรกิจจีนเข้ามาโดยไม่เห็นชัยญา ชัยญาเห็น เริ่มหึงระริน
“ขออย่าให้โสมสุภางค์ตายตอนนี้เลย ขอแค่พิการ ขอแค่ยังมีลมหายใจอยู่จนกว่าเราจะเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนั้นได้”
ชัยญาไม่ได้ฟัง ลุกไปกระชากระริน ตบคว่ำลง ระรินกรีดร้อง นักธุรกิจเข้าขวาง ปกป้องระริน
“คุณทำร้ายผู้หญิงทำไม”
“อย่าเสือก นี่เรื่องของกู”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณนะ คุณตบฉันทำไม”
“นัง”
ชัยยงค์เข้ามากระชากตัวชัยญาด้วยความโกรธ
“มานี่”
ชัยยงค์ลากชัยญาออกมาด้านนอก ตบหน้าลูกชายหลายครั้งด้วยความโกรธ
“แกเป็นบ้าไปแล้วหรือ ก็แค่ผู้หญิงผู้สำส่อน แกไปให้ราคามันทำไม แกรู้มั้ยถ้าแกเป็นข่าว แกจะทำลายความน่านับถือของฉัน”
“เอ่อ”
“คิด คิดเรื่องใหญ่ๆ อย่าคิดเรื่องเล็ก สมองของฉันนี่ ฉันคิดเรื่องใหญ่ฉันยังพลาดเลย อย่าโง่ ฉลาดไว้”
“ผมขอโทษ”
“ตอนนี้เราต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้บ้านหลังนั้นมา ต้องคิดอย่างเดียว ทำยังไงชิดชบาถึงจะติดคุก”
ชัยยงค์พูดด้วยแววตาเหี้ยมโหด
ธวัชพงษ์พาชิดชบามาที่โรงสีข้าวที่ทันสมัยที่สุด
“คนสมัยก่อนใช้วิธีลอกเปลือกของเมล็ดข้าวด้วยการตำแล้วฝัด”
“ฝัด”
“ผมก็ไม่ทราบว่าทำได้ยังไง มันเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านตั้งแต่โบราณ คือการแยกเปลือกออกจากเมล็ดข้าวด้วยการใช้กระด้งสะบัดเหวี่ยงให้เมล็ดข้าวลอยขึ้นลง ส่วนที่เป็นเปลือกมีน้ำหนักเบากว่าก็ปลิวไปกับลม เหลือแต่เมล็ดข้าวที่น้ำหนักมากกว่าอยู่ในกระด้ง แต่เดี๋ยวนี้มีเครื่องจักรสีข้าวแบบทันสมัย ทำงานได้เร็วกว่า ได้ปริมาณมากกว่า”
ธวัชพงษ์ก้มลงกอบเมล็ดข้าวสารที่สีแล้วขึ้นมา
“มันทำงานได้ดี แต่มันก็ขัดเอาวิตามินที่มีประโยชน์ทิ้งหมด เหลือแต่เมล็ดขาวๆ ที่เป็นแค่แป้ง”
ยาม 4 คน เดินตรงเข้ามา
“คุณต้องออกไปจากที่นี่”
“ผมเป็นนักข่าวครับ พี่ยาม”
“มีคำสั่งจากเจ้าของโรงสี ห้ามไม่ให้คุณเข้ามา คุณต้องออกไป เดี๋ยวนี้”
“เดี๋ยวก่อน ใครคือเจ้าของโรงสีนี่”
ชิดชบาสงสัย ยามตอบอย่างเย็นชา
“คุณปฐวี”
จำเรียงและบุญถิ่นจัดตั้งโต๊ะอาหารอย่างเนือยๆ ตลับนาคจัดวางแก้วน้ำ ปฐวีเดินเข้ามา ตลับนาคถามเหมือนเสียไม่ได้
“จะให้ตั้งมื้อค่ำเลยมั้ยคะ”
“เมื่อสองวันก่อนชิดชบาไปไหน”
“ฉันไม่ทราบค่ะ รู้แต่ว่า ชิดชบาออกไปข้างนอกทุกวัน”
“ถ้าอย่างนั้นคุณป้าก็คงจะยังไม่ทราบว่าหลานสาวของคุณป้าไปที่โรงพยาบาล จากนั้นก็พบว่าโสมสุภางค์ตกเตียง”
ตลับนาค จำเรียงและบุญถิ่นต่างตกใจ
“แล้วคุณโสมสุภางค์เป็นยังไงบ้างคะ”
“ต้องกลับเข้าไปอยู่ในห้องไอซียู ทั้งที่ก่อนหน้านี้อาการดีขึ้นมากแล้ว ผมไม่คิดเลยว่าหลานสาวของคุณป้าจะใจร้ายใจดำใจ โหดเหี้ยมอำมหิต รังแกคนที่ไม่มีทางสู้อย่างโสมสุภางค์”
บุญถิ่นหรุบตา แสดงอาการพิรุธอย่างเงียบๆ
“ชิดชบาน่ะหรือ”
“บอกชิดชบาด้วย ว่าผมจะไม่มีวันถอยเรื่องดำเนินคดี คนทำผิดจะต้องเข้าคุก”
ปฐวีเดินขึ้นบันไดไป ตลับนาคพึมพำเบาๆ อย่างห่วงใย
“โอ ชิดชบา”
บุญถิ่นเผลอตัวทำจานกระทบกัน ตลับนาคและจำเรียงต่างหันไปมอง
สมควรหาข้าวกินอยู่ในครัว หลังขับรถพาปฐวีกลับมา บุญถิ่นเดินนำหน้าจำเรียงเข้ามา
“ลุง คุณชิดชบาเห็นท่าจะแย่นะ เรื่องนั้นเรื่องนี้ประดังกันเข้ามา ล้วนแล้วแต่แก้ไม่ได้ทั้งนั้นเลย”
“ใช่ เห็นทีจะไม่รอดว่ะ โจทย์เยอะเหลือเกิน” สมควรเห็นด้วย
“ฉันก็ไม่รู้ว่าคุณชิดชบาผิดหรือถูก แต่ถ้าคุณชิดชบาติดคุกล่ะก็ หมดกันเลยชีวิต”
บุญถิ่นชะงัก หันมามองหน้าจำเรียงด้วยความรู้สึกผิด
ธวัชพงษ์ขับรถจักรยานยนต์มาส่งชิดชบาที่หน้าคฤหาสน์
“อย่าคิดมากเรื่องที่เราถูกไล่ออกมาจากโรงสีนั่นนะครับ คุณปฐวีเขาเป็นเจ้าของ เขามีสิทธิ์จะให้ใครเข้าใครออกก็ได้”
“ขอบใจมากนะธวัชพงษ์ อย่างน้อยฉันก็ได้รู้ว่าเขาเป็นเจ้าของที่นั่นด้วย เขาทำธุรกิจหลายอย่าง รวยอย่างมีที่ไปที่มา”
“มีอะไรคุณโทร.หาผมได้ทันที”
“ขอบใจอีกครั้งธวัชพงษ์ ฉันจะโทร.หาคุณ เอ้า เอาหมวกกันน็อคของคุณคืนไป”
“ครับ”
ธวัชพงษ์ขับรถจักรยานยนต์ออกไป ชิดชบาชะงักเมื่อเห็นอรุณณรงค์จอดรถรออยู่
“คุณชายอรุณณรงค์”
“ผมมาแสดงความจริงใจต่อคุณช้าไป แต่ผมก็อยากบอกว่าผมเป็นห่วงคุณ”
“คุณไม่น่าเสียเวลามาที่นี่เลยค่ะ มันจะมีผลกับชื่อเสียงของคุณ”
“ผมแบกชื่อเสียงเกียรติยศไว้ไม่ได้ตลอดเวลาหรอกครับ คดีของคุณ”
“กำลังจะเริ่มเมื่ออัยการเห็นควรฟ้อง”
“ไม่จริงใช่มั้ยครับ”
อรุณณรงค์จับมือชิดชบาไว้
“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันไม่จริง คุณไม่ได้ผลักโสมสุภางค์ตกบันได”
“ถ้าฉันทำเรื่องบ้าบอได้ร้อยแปดพันเก้า ทำไมฉันจะทำเรื่องนี้ไม่ได้ ปล่อยฉันเถอะค่ะ ฉันจะสู้ในแบบของฉันส่วนสังคมจะคิดยังไง ฉันหยุดความคิดของคนไม่ได้ ปล่อยฉันเถอะ”
“ชิดชบา ผมรักคุณนะ”
อรุณณรงค์จับมือชิดชบาขึ้นจูบ แต่ชิดชบารั้งมือกลับ ไพล่หลัง
“คุณชายเอี่ยว”
ปฐวีเดินออกมายืนที่ระเบียงคฤหาสน์ มองลงมาที่ชิดชบาและอรุณณรงค์
ชิดชบาเดินขึ้นบันไดอย่างช้าๆ เงียบเหงา สิ้นหวัง ปฐวียืนรออยู่เหนือบันได แววตาเย็นชา
“คุณชายอรุณณรงค์กลับไปแล้วหรือ”
“ค่ะ เขากลับไปแล้ว”
“เสียดายนะ ที่เขาไม่มีอำนาจหน้าที่ ที่จะใช้บารมีช่วยคุณให้รอดจากความผิดได้ เขาทำได้แค่แสดงความรักใคร่ ห่วงใยคุณ”
“เอ่อ ฉัน”
“วันนี้คุณไปที่โรงสีเพื่ออะไร”
“ฉันอยากรู้เรื่องราวของเพื่อนสองคนที่เคยล่องเรือค้าข้าวด้วยกัน”
“ทำไม”
“ถ้าพ่อฉันหักหลังเพื่อน จนเพื่อนต้องฆ่าตัวตาย ฉันก็ควรจะไถ่บาปของพ่อ ที่พ่อทำให้ชีวิตคุณลำบาก ฉันฝันร้าย ฉันรู้แล้วว่าฝันร้ายซ้ำซาก มันทรมานแค่ไหน ฉันกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะหลับตา คุณพอใจหรือยัง คุณปฐวี”
ชิดชบาผละไป ปฐวีพยายามปัดเยื่อใยที่มีต่อชิดชบาออกไป ฝืนตัวเองให้เข้มแข็ง
แพรวามาดูอาการโสมสุภางค์ด้วยความเป็นห่วง เถาว์เครือไม่พอใจ
“ฉันบอกหมอแล้วใช่มั้ยว่าฉันยังไม่อนุญาตให้ใครเข้าเยี่ยมลูกของฉัน ถึงจะเป็นหมอแพรวาก็ไม่ได้”
“คุณแม่ หนูเป็นเพื่อนของโสมสุภางค์นะคะ หนูก็ไม่เคยเห็นด้วยกับการแต่งงานมาตั้งแต่ต้นแล้ว คุณแม่ลืมไปแล้วหรือคะ”
“ก็ไม่มีใครเห็นด้วยแม้แต่ฉัน แต่เมื่อเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้ไปแล้ว ฉันก็มีหน้าที่ต้องปกป้องลูก”
“คุณแม่แน่ใจหรือว่า คุณแม่กำลังปกป้องโสมสุภางค์”
“พูดอย่างนี้เหมือนดูถูกฉันเลยนะ หมอแพรวา”
“หนูไม่ได้ดูถูกคุณแม่ แต่หนูรักคุณแม่ รักโสมสุภางค์ นายชัยยงค์ไม่ใช่คนที่น่าไว้ใจ”
“นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉันนะ”
“ถ้าเรื่องส่วนตัวของคุณแม่ เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของโสมสุภางค์ หนูจะถือว่าเป็นเรื่องของหนูด้วย เพราะหนูห่วงโสมสุภางค์ กลัวจะตกเป็นเหยื่อของคนพวกนี้”
“ออกไป แล้วอย่ามายุ่งกับลูกของฉันอีก ถ้าฉันเห็นหมอเข้าใกล้ลูกของฉัน ฉันจะแจ้งตำรวจว่า หมอแพรวาประทุษร้ายโสมสุภางค์”
เถาว์เครือยิ้มเยาะ
แพรวา และธวัชพงษ์ มานั่งกินก๋วยเตี๋ยวริมทาง ธวัชพงษ์เติมเครื่องปรุง ท่าทางรื่นเริง
“แล้วยังไงครับ มันก็แค่คำกล่าวหา คุณไม่ได้มีเจตนาอย่างสักหน่อย แล้วคุณหมอจะเสียใจทำไมครับ”
“ฉันเสียใจ เพราะฉันเป็นเพื่อนที่ดีของโสมสุภางค์มาตลอด คุณแม่ก็เห็นว่าเราคบกันมาตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย”
“อย่าคิดมากเลยครับ ตอนนี้คุณนายเถาว์เครืออาจจะสับสน หันซ้ายหันขวาไม่ถูก มีทั้งเรื่องร้ายกับเรื่องร้ายเข้ามาพร้อมๆ กัน เรื่องร้ายเรื่องที่หนึ่งก็คือ คุณโสมสุภางค์ป่วยหนัก”
“แล้วเรื่องร้ายเรื่องที่สองล่ะ”
“ก็เรื่อง นายชัยยงค์ เขามีเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นเซียนพนัน”
“แล้วคดีของชิดชบาไปถึงไหนแล้ว”
“ตำรวจกำลังสอบปากคำพยานเพื่อรอสรุปสำนวนส่งอัยการ ถ้าชิดชบาปฏิเสธ มันก็เป็นแค่ข้อกล่าวหา”
แพรวาฉุกคิด
“ข้อกล่าวหา อย่างที่ฉันโดนคุณแม่กล่าวหาว่าประทุษร้ายโสมสุภางค์ใช่มั้ย”
ตลับนาคดูแลจำเรียงและบุญถิ่นจัดโต๊ะอาหารเช้า ชิดชบานั่งรออยู่เงียบๆ ปฐวีเดินลงมาอย่างเฉยเมย
“ตำรวจจะเรียกตัวคนในบ้านนี้ไปให้ปากคำ คงไม่ต้องบอกนะว่าทุกคนควรจะพูดความจริง เพราะความจริงน่ะ พูดกี่ครั้งมันก็เหมือนกัน”
ปฐวีเดินออกไป จำเรียงเริ่มหวั่นกลัว
“ตำรวจต้องเรียกหนูไปสอบปากคำแน่ๆ เลยค่ะคุณป้า คุณชิดชบา ทำยังไงดีล่ะคะ”
“ก็พูดความจริง อย่างที่คุณปฐวีเขาบอก”
“ใช่ เพราะความจริงน่ะพูดกี่ครั้งก็เหมือนกัน ไม่เหมือนเรื่องโกหก มันต้องแต่งนิยายหลายครั้ง”
ชิดชบาพูดจบก็ผลุนผลันขึ้นบันไดไป ตลับนาคเป็นห่วง
“ชิดชบา”
“แต่ แต่หนูก็กลัวค่ะคุณป้า หนูเห็นก็แค่ตอนที่คุณโสมสุภางค์ตกลงมาแล้ว”
บุญถิ่นเงียบ นิ่ง มีพิรุธ
“ตอนนั้นหนูตกใจ เพราะเสียงคุณนายเถาว์เครือร้องลั่นบ้าน น้า น้าได้ยินมั้ย”
ตลับนาคหันไปมองบุญถิ่นด้วยความแปลกใจ
“อ้าว นี่บุญถิ่นก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยหรือ”
บุญถิ่นอึกอัก หวั่นๆ
ไม่สิ้นไร้ไฟสวาท ตอนที่ 9 (ต่อ)
ชัยญามาดักรอระรินที่รถป้ายแดง ระรินเดินมาแต่ไกล เปิดกระเป๋าหยิบกุญแจรถ โดยไม่เห็นชัยญา
“ไอ้เสี่ยหมูอู๊ดๆ นั่นมันคงเลี้ยงดีนี่ กินดี มีรถป้ายแดงใช้ แล้วก็คงจะซื้อบ้านให้อยู่ด้วยในเร็วๆ นี้”
“แล้วไง”
ระรินเชิดหน้า กระเป๋ายังเปิดค้าง
“รู้มั้ยว่าคนต่างชาติพวกนี้ต้องการจดทะเบียนกับผู้หญิงไทยเพื่ออะไร”
“หลอกไปขายแรงงาน ถือสัญชาติตามเมียเพื่อทำธุรกิจ ไม่ก็ มาใช้ชีวิตบั้นปลายบนค่าครองชีพราคาถูก”
“รู้นี่ แต่ท่าทางเธอมันจองหองไม่เหมือนกับระรินคนเดิมเลยนี่ ฉันใช้เธอไปขึ้นเตียงกับปฐวี เธอทำไม่สำเร็จ แล้วยังบังอาจแยกวง คนอย่างฉันถ้าฉันยังไม่อนุญาตให้ไป ผู้หญิงคนไหนจะไปไม่ได้”
“ฉันนี่ไง ไปแล้ว”
“ระริน”
ชัยญาถลันเข้ามาจะทำร้ายด้วยวิสัยป่าเถื่อน ระรินดึงมีดออกจากกระเป๋าถือ
“เข้ามา ระยะประชิดตัวนี่อย่างน้อยฉันก็ได้แผลหนึ่งล่ะ”
ชัยญาชะงัก ถอยออกด้วยความกลัว
“รู้มั้ย ผู้ชายที่คิดว่าจะขังผู้หญิงไว้ในคอกได้น่ะ ควาย เขาเลิกคิดกันอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ไอ้ควาย”
ระรินเน้นคำด่าเสียงแผ่ว
ชิดชบายืนอยู่ที่ระเบียง ซึมๆ มีขวดและแก้วไวน์วางอยู่ใกล้ๆ ตลับนาคเดินเข้ามา
“หยุดดื่มสักวันเถอะ สติจะได้กลับมาตั้งตัว รู้มั้ย วันนี้วันอะไร”
“วัน”
“ใช่ วันที่ตำรวจเขาจะเรียกตัวคนรับใช้ในบ้านนี้ ไปให้ปากคำเรื่องโสมสุภางค์”
“เอ่อ”
“ความจริงนี่บางทีเราก็ไม่รู้ว่ารูปร่างมันเป็นยังไงนะ คนหนึ่งเห็นความจริง ก็ใช่ว่าอีกคนจะเห็นเหมือนกัน”
“นี่แหละค่ะคุณป้าที่หนูกลัว ถ้าหนูติดคุกเพราะความจริงมันผิดเพี้ยนไป หนูจะทำยังไงดีคะ”
“ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้แล้ว เรื่องมันถลำลึกเข้ามาไกลเกินไป เราทำได้แค่ภาวนา ขอให้ความจริงมันเป็นความจริง”
ตลับนาคหวาดกลัว
จำเรียงนั่งรออยู่หน้าห้องสอบสวน เฉวียงนั่งอ่านเอกสารอยู่ใกล้ๆ ตำรวจเปิดประตูห้องสอบสวนออกมา
“จำเรียง นางสาวจำเรียง”
“หนู หนูเองค่ะ”
จำเรียงค่อยๆ ยกมือขึ้น สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“ไป ตำรวจเรียกไปให้ปากคำแล้ว” เฉวียงรีบบอก
“ค่ะๆๆ หนูเองค่ะ จำเรียง”
จำเรียงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน หวาดกลัวสุดขีดจนปัสสาวะราด
“อุ๊ย หนู หนู”
จำเรียงก้มลงมองที่พื้นอย่างตื่นตระหนก น้ำไหลนองออกมา
บุญถิ่นยืนทำกับข้าวอยู่มุมหนึ่ง ด้วยสีหน้าหวั่นๆ จำเรียงกลับมาบ้านเล่าให้สมควรฟัง
“ฉันน่ะ กลัวจนฉี่ราดเลยนะ ลุง พอตำรวจเขาเรียกฉันไปให้ปากคำเท่านั้นแหละ ทวารทั้งห้าของฉันเปิดหมดเลย”
“โธ่ ถุย แล้วอย่างนี้ตำรวจเขาไม่สงสัยหรือ ว่าเอ็งมีส่วนผลักคุณโสมสุภางค์ลงมา”
“เฮ้ย ฉันป่าวนะ ฉันได้ยินเสียงร้องของคุณนายดังลั่น ฉันก็วิ่งขึ้นไปดู ลุงก็รู้ ลุงวิ่งไปพร้อมๆ ฉัน”
“ก็ในเมื่อเอ็งไม่ได้ทำผิด เอ็งกลัวจนกลั้นไม่อยู่ทำไมวะ”
“ก็ไม่รู้ซิลุง ไว้ให้ตำรวจเขาเรียกลุงไปให้ปากคำ ลุงจะรู้ว่ามันน่ากลัวแค่ไหน ยิ่งคดีนี้เป็นคดีที่ต้องเอาคนทำผิดเข้าคุก การให้ปากคำของพยานอย่างเรานี่แหละที่สำคัญที่สุด”
จำเรียงทำท่าจะร้องไห้
“ฉันรักคุณชิดชบา เพราะคุณชิดชบารักพวกเรา เธอเป็นคนมีน้ำใจ มีเมตตา ไปนอกยังซื้อของมาฝากคนรับใช้ทุกคน คุณนายเถาว์เครือน่ะ มีสักครั้งมั้ย ไม่สับก็โขก ไม่โขกก็เหยียบ เห็นหัวคนเสียที่ไหน”
บุญถิ่นเริ่มร้อนใจ เกิดข้อเปรียบเทียบระหว่างชิดชบาที่เคยช่วยเหลือยามเจ็บป่วย กับเถาว์เครือที่ไม่เคยใยดี
อรุณณรงค์เดินตามหม่อมจรัสเรืองลงมาที่รถที่อุราศรีรออยู่ หม่อมจรัสเรืองมีความสุข ที่ได้ไปให้ปากคำซ้ำเติมชิดชบา
“หม่อมแม่จำเป็นต้องไปด้วยหรือครับ”
“ต้องไปซี ในเมื่อตำรวจเขามีหมายเรียกมาเรียกแม่ไปให้ปากคำ เรื่องงานแต่งงานวันนั้น แม่ปรึกษาทนายแล้ว เขาแนะนำให้พูดไปตามที่เห็น”
“หม่อมแม่ครับ นี่จะไม่ซ้ำร้ายชิดชบาเกินไปหรือครับ”
“มันเป็นหน้าที่ของตำรวจที่เขาต้องหาหลักฐานจากพยานแวดล้อม เขาจะได้ทำสำนวนส่งอัยการ ส่วนอัยการจะสั่งฟ้องหรือไม่ มันก็เป็นอีกเรื่องค่ะ”
“แม่ทำหน้าที่พลเมืองดี ดีนะ ที่เขาเรียกแม่ แต่ไม่ได้เรียกชายเอี่ยวไปด้วย ไม่อย่างนั้น”
“คุณชายอรุณณรงค์ก็คงจะลำบากใจ”
“แต่เขาก็เรียกตัวคุณชัยยงค์ให้ไปให้ปากคำด้วย เพราะคุณชัยยงค์อยู่ในงานเลี้ยงด้วย ไปกันเถอะ หนู”
“ค่ะ”
หม่อมจรัสเรืองขึ้นรถ อุราศรีขับรถออกไป อรุณณรงค์ร้อนใจ
“นายชัยยงค์หรือ”
ชัยยงค์เดินนำหน้าชัยญาและถกลลงมาจากสถานีตำรวจอย่างกระหยิ่มใจ
“ใช่ ฉันให้การชัดเจน ว่าฉันเห็นชิดชบาเมาแประเข้ามาในงาน ใส่ทั้งชุดดำ ถือทั้งพวงหรีดเหมือนมางานศพ ไม่ใช่งานแต่งงาน แค่นี้ น้ำหนักของคำพูดฉัน ก็ทำให้ความน่าเชื่อถือของชิดชบาเอียงวูบแล้ว”
ทั้งหมดเห็นหม่อมจรัสเรืองและอุราศรีเดินขึ้นสถานีตำรวจมา
“หม่อมจรัสเรืองนี่”
“หม่อมจรัสเรืองก็ถูกเชิญมาให้ปากคำด้วยหรือ”
“ผู้หญิงที่มากับหม่อมจรัสเรือง”
ชัยญาพึมพำเบาๆ มองอุราศรีด้วยความสนใจ เอียงหน้ามาถามถกลว่าอุราศรีเป็นใคร
ชิดชบาค่อยขยับตัว มีอาการเมาค้าง ตลับนาคเปิดประตูเข้ามา
“หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าตำรวจเรียกพยานในงานเลี้ยงไปให้ปากคำหลายปาก มีทั้งนายชัยยงค์ แล้วก็หม่อมจรัสเรือง”
“หม่อมจรัสเรืองหรือคะ”
“ฟังดูน่าจะไม่ดีเลยนะ ชิดชบา ทั้งนายชัยยงค์ทั้งหม่อมจรัสเรือง ล้วนแต่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของหนูทั้งนั้น”
“แต่หนูไม่ได้ ช่างเถอะค่ะ หนูยังนับถือความจริงอยู่ มันต้องผ่านไปได้ค่ะคุณป้า อย่างที่คุณป้าบอกหนู มันจะต้องผ่านไป”
ตลับนาคดึงชิดชบาเข้ามากอดปลอบ
“ป้าก็หวังว่ามันจะผ่านไป”
บุญถิ่นค่อยๆ โผล่หน้าออกมามองชิดชบาด้วยความสงสาร และรู้สึกผิดยิ่งขึ้น เธอรีบเดินลงบันได พยายามขับไล่ความรู้สึกผิดออกไปจากจิตใจ เถาว์เครือเดินเข้ามา
“อ้อ แก ฉันกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวฉันมีนัด แล้วต้องกลับไปเฝ้าลูก กุญแจห้องฉันอยู่ที่แก เดี๋ยวขึ้นไปไขให้ด้วย”
“คุณนายคะ”
“ฉันไม่อยู่ แกเข้าไปยุ่งกับของมีค่าของฉันหรือเปล่า ฉันจะขนกระเป๋าเครื่องเพชรไปด้วยก็ไม่ไว้ใจใคร คนสมัยนี้เห็นหน้าแล้วเชื่อใจใครได้ที่ไหน”
“เอ่อ คุณนายคะ บุญถิ่น เอ่อ จะลาออกค่ะ”
“ก็ไปบอกคุณตลับนาคซี มาบอกฉันทำไม หน้าที่จ่ายเงินเดือนเป็นหน้าที่ที่ปฐวีเขามอบหมายให้คุณตลับนาครับผิดชอบไม่ใช่หรือ”
“เอ่อ คุณนาย”
“ฉันไม่ให้ เงินน่ะมี แต่ไม่ให้ แกจะมีปัญหากับใครจนอยู่ไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน ไป ไปเอากุญแจมา”
“คุณนาย”
“ฉันจะขึ้นไปรอหน้าห้อง”
เถาว์เครือเดินขึ้นบันไดไป บุญถิ่นมองอย่างน้อยใจ
ธวัชพงษ์ขับรถจักรยานยนต์ สวมหมวกกันน็อค ปฐวีขับขึ้นมาเทียบ เปิดกระจก ธวัชพงษ์คมองด้วยความแปลกใจ ปฐวีเคร่งเครียด
“คุณนี่ไม่ยอมแพ้เลยนะ คุณพาชิดชบาไปที่นั่นเพื่ออะไร”
“คุณชิดชบามีสิทธิ์จะรู้ ว่าคุณกับคุณชิดชงค์มีเบื้องหน้าเบื้องหลังยังไง ถ้าคุณเอาคุณชิดชบาเข้าคุกได้ คนอยู่ในคุกจะได้มีเวลาสวดมนต์ เพื่ออโหสิกรรมให้คุณไงครับ”
ธวัชพงษ์ยักคิ้วให้แล้วบึ่งรถออกไป ปฐวีมองด้วยความโกรธ
เวลาต่อมา ธวัชพงษ์เดินหิ้วหมวกกันน็อคพร้อมกระเป๋ากล้องถ่ายรูปมาที่โต๊ะทำงานในกองบรรณาธิการ เริ่มเปิดกล้องออกมาตรวจดูภาพถ่าย บรรณาธิการนั่งมองอย่างเงียบๆ ก่อนเดินเข้ามาหา
“ธวัชพงษ์”
“ครับ พี่”
“ฉันขอไล่แกออก”
ธวัชพงษ์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ไล่ออก”
ปฐวีนั่งอยู่ในห้องเก็บไวน์ คลึงแก้วไวน์กับปลายคาง ยิ้มอยู่ในแววตาอย่างเยาะหยัน ชิดชบาเปิดประตูเข้ามาด้วยความโกรธ
“คุณทำอย่างนั้นทำไม”
“ผมมีเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน แล้วก็ของเพื่อนมีหุ้นอยู่ในหนังสือฉบับนั้น ที่ผมหยุดเขาก็เพื่อตัวของเขาเอง”
“ไอ้จิ้งจอก คุณมันหมาจิ้งจอกชัดๆ”
“แล้วคุณล่ะเป็นอะไร เป็นฆาตกรเลือดเย็นเหมือนพ่อของคุณ ตอนที่พ่อของผมผูกคอตาย แม่ทำศพของพ่อ ผมไม่เคยเห็นเงาของเพื่อนรักมาร่วมแสดงความเสียใจกับครอบครัวของเราเลย มันเหมือนกับสิ่งที่คุณทำกับโสมสุภางค์”
“คุณปฐวี”
ชิดชบาสะเทือนใจกับสิ่งที่ปฐวีกล่าวหา
“คุณผลักโสมสุภางค์ตกบันได ซ้ำยังตามไปทำร้ายโสมสุภางค์ถึงโรงพยาบาล”
ปฐวีขว้างแก้วไวน์แตกกระจายด้วยความโกรธ
“คิดดู ว่าคุณใจร้ายใจดำ อำมหิตโหดเหี้ยมเหมือนใคร”
“ฉัน ฉันไม่ได้”
“เลิกปั้นหน้ามารยาเสียทีเถอะ คุณมันแม่มด ท่าทางไร้เดียงสาของคุณตอนที่ผมพบคุณครั้งแรกที่ปารีสน่ะ มันหน้ากากชัดๆ”
“คุณ”
“ผมจะเอาคุณเข้าคุก คุกจะทำให้คุณสวดมนต์เป็น คุกจะทำให้คุณสำนึกผิดที่พ่อของคุณทำกับผม คุณทำกับโสมสุภางค์”
ปฐวีอาฆาตแค้น ผลุนผลันออกไป ชิดชบาอ่อนล้า ทรุดตัวลงนั่ง ซบหน้ากับฝ่ามือ ร่ำไห้
แพรวาหอบเอกสารเดินออกจากคลินิกมาที่รถ ธวัชพงษ์ยืนพิงรถอีกคันหนึ่ง มองแพรวายิ้มๆ
“ธวัชพงษ์”
“ผมตกงานแล้ว”
ธวัชพงษ์ยิ้มอย่างมีความสุข
“ทำไม”
เถาว์เครือใส่เสื้อคลุมอาบน้ำ เปิดตู้เลือกเสื้อผ้าที่จะสวม ก่อนเปิดลิ้นชักหยิบกล่องเครื่องประดับ หาสร้อยมุกแต่ไม่พบ คิดว่าบุญถิ่นขโมยไป จึงรีบไปที่ห้องคนใช้ แผดเสียงใส่บุญถิ่น
“สร้อยมุกของฉันอยู่ที่ไหน”
“สร้อยมุก”
“สร้อยอะไรครับคุณนาย”
“สร้อยที่เมียแกขโมยไปน่ะซี เสียแรงฉันไว้ใจให้ถือกุญแจห้องนอน เพราะไม่อยากให้คุณตลับนาคหรือนังจำเรียงเข้าไปยุ่ง”
จำเรียงเปิดประตูห้องข้างๆ ออกมายืนฟัง
“ฉันเพิ่งรู้ว่าฉันไว้ใจคนผิด”
“คุณนายคะ นี่มันเรื่องอะไรกันคะ”
“นั่นน่ะซีครับ จู่ๆ คุณนายก็มายืนด่าเมียผม นังบุญถิ่นมันไปทำผิดคิดร้ายอะไรกับคุณนาย”
“ยังมีหน้ามาออกรับแทนเมียอีก อยากจะเข้าคุกทั้งสองคนใช่มั้ย สร้อยไข่มุกของฉัน ไข่มุกเซาท์ซีจากตาฮิติ ราคาเส้นละเป็นแสน แกเอาของฉันไปไหนนังบุญถิ่น”
“สร้อยไข่มุก ฉันไม่รู้เรื่องจริงๆ ค่ะ”
“ต้องเป็นแกแน่ แกเป็นคนถือกุญแจ แกขโมยสร้อยไข่มุกของฉัน ฉันจะแจ้งตำรวจ”
ตลับนาคเดินเข้ามา จำเรียงรีบเข้าไปเกาะตลับนาค
“มีเรื่องอะไรกันหรือคะคุณเถาว์เครือ ฉันได้ยินเสียงเอะอะดังไปถึงข้างบน”
“นังบุญถิ่นมันขโมยสร้อยไข่มุกของฉัน”
“ฉัน ฉันเปล่านะคุณนาย”
“ไม่ใช่แกแล้วจะเป็นใคร ฉันจะแจ้งตำรวจ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
ตลับนาคแหวกคอเสื้อคลุม เห็นสร้อยไข่มุกสวมอยู่บนลำคอของเถาว์เครือ
“แล้วนี่อะไรคะ”
จำเรียงเห็นมองตาม
“สร้อยไข่มุก อยู่ในคอคุณนายค่ะ คุณนายคงจะแก่แล้วแก่ลืม คงจะลองใส่เพื่อเทสต์หน้ากล้องแล้วลืม อาบน้ำเลย”
“หา”
เถาว์เครือก้มลงแตะสร้อยไข่มุก หน้าเจื่อนๆ
“อยู่นี่เองหรือ เออ ฉันหยิบมาลองแล้วก็ลืม เลยเข้าห้องน้ำ อยู่นี่เอง เฮ้อ โล่งใจ”
เถาว์เครือเดินออกไป ตลับนาคตัดบท
“เอาละ ไม่มีอะไรแล้ว อย่าไปถือคุณเถาว์เครือแกเลยนะบุญถิ่น คนแก่ก็มีหลงๆ ลืมๆ พวกเราก็จะแก่ ลืมกันทุกคนนะ”
ตลับนาคเดินออกไป จำเรียงเยาะ
“แก่อย่างนี้แล้วยังอยากจะมี ผะ ผะ เพื่อนชายวัยเดียวกันอีกแน่ะ ฮิฮิ”
จำเรียงเข้าห้อง ปิดประตู สมควรโกรธ กระฟัดกระเฟียด
“ไงล่ะ เจ้านายที่เคารพรักของแก แกจะเคารพรักก็เชิญนับถือไปคนเดียวเถอะ ฉันไม่เอาแล้ว”
สมควรเข้าห้อง ปิดประตู บุญถิ่นเซไปยืนพิงประตู เริ่มโกรธเถาว์เครือ
ธวัชพงษ์และแพรวาเดินคุยกันมา แพรวางงกับเรื่องที่ธวัชพงษ์เชื่อว่าการที่เขาถูกไล่ออก เป็นเพราะปฐวี
“อะไรทำให้คุณเชื่อว่าเป็นการกระทำของปฐวี”
“เพราะเขามีอิทธิพล มีเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน ที่ยืมมีดยืมมือกันเชือดคอผมได้”
“ทำไมคุณไม่คิดว่าที่คุณถูกไล่ออก เพราะคุณทำงานไม่ได้เรื่อง”
“ผมทำงานด้วยความตั้งใจ ผมทุ่มเทเหงื่อของผมทุกหยดเพื่อกระชากหน้ากากคนชั่ว ไม่ให้สูทที่เขาสวมหลอกตาคนอื่นว่าเขาเป็นคนดี”
“ธวัชพงษ์ ชีวิตน่ะ มันไม่ตรงไปตรงมาหรอกนะคุณ มันมีเงื่อนมีปม ถึงต้องมองชีวิตให้ลึกไงล่ะ”
“ผมเชื่อว่าเป็นเขาแน่ เขาคิดว่าวิธีนี้จะหยุดผมได้อย่างนั้นหรือ ไม่ ขอบอกว่าไม่”
ธวัชพงษ์ดื้อรั้น ทำให้แพรวาเริ่มเป็นห่วง
อรุณณรงค์เดินไปมา ขยับมือถืออย่างลังเล เพราะห่วงชิดชบา หม่อมจรัสเรืองเดินลงมาจากชั้นบน ยิ้มอย่างมีความสุข
“จะไม่ถามแม่สักคำหรือว่าตำรวจเขาถามอะไรแม่บ้าง”
“ถามอะไรบ้างล่ะครับ”
“ก็ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงแต่งงานของคุณปฐวีกับหนูโสมสุภางค์ แม่ก็ตอบอย่างที่เห็น เห็นทีชิดชบาจะลำบากนะ งานนี้”
อรุณณรงค์ยิ่งกังวล
“เสร็จเรื่องของชิดชบาแล้ว ชายเอี่ยวคงไม่มีข้ออ้างเรื่องฤกษ์แต่งงานนะ จะหาผู้หญิงคนไหนทั้งดีทั้งพร้อมอย่างคุณหญิงอุราศรีไม่มีอีกแล้ว นี่ถ้าชายเอี่ยวไปคว้าเอาแม่ชิดชบามาเป็นสะใภ้แม่ ป่านนี้ แม่อาจจะนอนตายอยู่ใต้บันไดก็ได้ ใครจะรู้”
อรุณณรงค์หันมามองหน้าหม่อมจรัสเรืองด้วยความแปลกใจกับความชิงชังที่แม่มีต่อชิดชบา
เฉวียงวางเอกสารปึกใหญ่มาวางลงตรงหน้าชิดชบา บุญถิ่นหลบฟังอยู่หลังประตู
“ผมรวบรวมคำให้การของพยานทุกปากที่ตำรวจเรียกไปให้ปากคำ ยังเหลืออีกไม่กี่ราย แล้วผมจะรวบรวมมาให้คุณทีหลัง ส่วนเอกสารฉบับนี้คุณต้องอ่าน ถึงเวลาคุณถูกสอบปากคำคุณจะได้เรียงลำดับได้ถูก”
“หนูจะอ่านค่ะคุณลุง”
เฉวียงมองแก้วไวน์
“คุณไม่ควรดื่ม ก่อนคุณไปพบพนักงานสอบสวน”
“เอ่อ”
“เพราะคดีนี้ ปากสำคัญที่สุด ปากเท่านั้นที่จะทำให้คุณติดคุก หรือรอด”
บุญถิ่นสะดุ้ง แตะปากตัวเองด้วยความกังวล ครุ่นคิด
โสมสุภางค์ออกจากห้องไอซียู. ไปยังห้องพักฟื้น เมื่ออาการพ้นขีดอันตราย แพรวาเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ มึนตึงต่อปฐวี
“อ้อ คุณหมอแพรวา”
“ฉันทราบว่าอาจารย์หมอบรรพต สั่งย้ายโสมสุภางค์ออกจากห้องไอซียู. เพราะพ้นขีดอันตรายแล้ว ฉันดีใจด้วย”
“ผมพยายามทำดีที่สุดสำหรับโสมสุภางค์ ทั้งเรื่องคดี ทั้งเรื่องเจ็บป่วยนี่ ให้โอกาสผมพยายามได้มั้ย คุณหมอ”
“ถ้าคุณรักโสมสุภางค์ คุณต้องทำดีต่อเพื่อนฉันให้มากๆ คุณต้องตัดอาฆาตมาดร้ายกับคนรอบข้าง แม้แต่นักข่าวคนนั้น”
“ธวัชพงษ์หรือ เขาเป็นคู่ เอ่อ คู่หูคุณหรือ”
“เขาจะเป็นอะไรสำหรับฉันช่างเถอะค่ะ แต่เขาเป็นคนดี”
ปฐวียิ้มเยาะ
“คนดี โลกต้องการคนดีหรือ ขอโทษนะครับ ผมจะไปส่งโสมสุภางค์ที่ตึกพักฟื้น”
ปฐวีเดินตามบุรุษพยาบาล เข็นพาโสมสุภางค์ออกไป แพรวามองไปรอบๆ อย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ แล้วนี่คุณแม่ไปไหน”
เวลาเดียวกันนั้น เถาว์เครืออยู่กับชัยยงค์ที่คอนโดฯของเขา ชัยยงค์นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำ วางมือบนไหล่ของเถาว์เครือ เถาว์เครือเอียงแก้มสัมผัสหลังมือของชัยยงค์ด้วยความรัก
“เราทุกคนให้การปรักปรำชิดชบา ผมไม่เห็นทางที่ชิดชบาจะรอดคุกไปได้เลย”
“ตำรวจเขายังเรียกพยานไปสอบปากคำไม่หมดนะคะ”
“พยานที่เหลือ ก็คงให้การอย่างที่คนอื่นให้การมาแล้ว ฝันถึงความสุข กับชีวิตใหม่ของเราได้แล้ว พอเรื่องเรียบร้อย เราจะไปยุโรป”
“แต่อาการของโสมสุภางค์”
“หมอที่นั่น อากาศที่นั่น คงจะช่วยฟื้นฟูหนูโสมสุภางค์ให้ดีขึ้น ผมรักคุณ ผมก็รักลูกของคุณด้วย เราจะเป็นครอบครัวที่สุขสันต์ที่สุด”
เถาว์เครือตื่นเต้น ตื้นตัน น้ำตาคลอ
“โอ ขอบคุณค่ะคุณชัยยงค์ เราจะมีครอบครัวสุขสันต์ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณค่ะ”
ชัยยงค์หรุบตามองเถาว์เครือ พร้อมกับยิ้มสังเวช
จบตอนที่ 9