ลุ้นรักข้ามรั้ว ตอนที่ 3
จางกำลังตั้งโต๊ะเตรียมเปิดร้าน ขณะที่เฮง ตี๋ใหญ่ ตี๋เล็ก หมวยเล็กกำลังกินข้าวกันอยู่พร้อมหน้าที่โต๊ะอาหาร
หมวยเล็กชมเปาะ
“กับข้าววันนี้อร่อยมาก”
ตี๋เล็กถึงกับยิ้มปลื้ม เฮงหันมาทางตี๋ใหญ่ทันที
“น้องทำอาหารเก่งแล้ว เมื่อไหร่ลื้อจะออกจากงานมาบริหารงานร้านแทนเตี่ยซะที ตี๋ใหญ่”
ตี๋เล็กหันมองเฮงแอบน้อยใจเล็กน้อย
“งานที่ผมทำกำลังไปได้ดีนะเตี่ย ถ้าตี๋เล็กเก่งแล้ว เตี่ยก็ให้ตี๋เล็กบริหารไปเลยสิ”
พอตี๋ใหญ่พูดจบ เฮงก็โวยสวนกลับมา
“ได้ยังไง ลื้อเป็นลูกชายคนโต ลื้อต้องสืบทอดกิจการต่อจากอั๊ว”
“สายแล้ว ผมไปมหาลัยก่อนนะ”
ตี๋เล็กลุกเดินออกไปอย่างเซ็งๆ หมวยเล็กรีบบอก
“นั่น เฮียตี๋เล็กงอนไปแล้วเตี่ย เตี่ยชอบพูดแทงใจดำเฮียตี๋เล็กอ่ะ รู้ก็รู้ว่าเฮียตี๋เล็กอยากรับช่วงร้านอาหารต่อจากเตี่ย เตี่ยก็จะยกร้านให้เฮียตี๋ใหญ่อยู่นั่นแหละ”
“ก็เฮียตี๋ใหญ่เค้าเป็นลูกชายคนโต ตามหลักแล้วเฮียเค้าต้องสืบทอดต่อจากเตี่ย”
ตี๋ใหญ่ส่ายหน้าอย่างเอือมๆ
“เลิกตามหลักแล้วหันมาตามใจผมหน่อยได้มั้ยเตี่ย ไข่เจียว ผมยังเจียวไหม้เลย จะให้มาทำร้านอาหารเนี่ยนะ”
“อั๊วจะตามหลัก ไม่ตามใจใครทั้งนั้น ยังไงอั๊วก็อยากให้ลื้อมาทำร้านอาหารต่อจากอั๊ว เตี่ยงอนบ้าง”
เฮงผุดขึ้น แล้วเดินออกไปเลย ตี๋ใหญ่ทำหน้าอึดอัดลำบากใจ เป็นห่วงทั้งความรู้สึกของเตี่ยและความรู้สึกน้องชาย
แก้วกัลยากำลังจัดข้าวของเครื่องใช้ในครัวให้เข้าที่ ก่อนจะหันมาถามหญิงใหญ่ ที่กำลังช่วยจัดข้าวของเครื่องใช้อยู่กับหญิงเล็ก
“เปลี่ยนงานมั้ยลูก เดี๋ยวแม่ฝากกับพรรคพวกเพื่อนฝูงแม่ให้”
หญิงเล็กเห็นด้วย
“นั่นสิพี่หญิง ลูกชายบ้านนั้นเค้าตำแหน่งใหญ่กว่าแบบนี้ พี่หญิงโดนแกล้งได้ง่ายๆ เลยนะ”
“ดูละครกันมากไปรึเปล่าคะ ใครเค้าจะมาจ้องกลั่นแกล้งกัน เสียเวลาทำงานทำการเปล่าๆ”
หญิงใหญ่พูดอย่างไม่คิดอะไร
“อย่าประมาทคู่ต่อสู้นะลูก แม่เชื่อว่าไอ้งิ้วเฮงมันจะต้องเสี้ยมลูกมันให้กลั่นแกล้งลูกแน่นอน เชื่อแม่สิ”
หญิงเล็กทำท่าแบบนางร้ายในละคร
“จริงค่ะหญิงแม่ หญิงเล็กว่าพวกมันต้องรวมหัวกันกลั่นแกล้งพี่หญิงใหญ่แน่นอนค่ะ”
แก้วกัลยาพลอยผสมโรง ทำท่านางร้ายไปด้วย
“อ๊าย หญิงแม่จะไม่ยอมให้ไอ้พวกงิ้วหลงโรงมาทำอะไรหญิงใหญ่เด็ดขาด หญิงแม่ไม่ยอม หญิงแม่ไม่ยอม”
ชายเล็กรีบทำปากเบี้ยวแบบชายน้อยในเรื่องบ้านทรายทองเดินเข้ามา
“ปี้โป๊ะจะมานก๊าบ มีอะไรกินบ้าง ชายน้อยหิวก๊าบ”
“ว้าย เล่นอะไรแบบนี้เนี่ยชายน้อย น่าเกลียด”
ชายเล็กทำหน้างง “อ้าว ผมได้ยินแม่กับพี่หญิงเล็กทำเสียงแว้ดๆ อย่างกับนางร้ายในละคร ชายน้อยก็เลยมาแจมก๊าบ”
แก้วกัลยาส่ายหน้า ก่อนจะพาลูกชายคนเล็กเดินออกไป หญิงเล็กหันมาทางหญิงใหญ่ทันที
“หญิงเล็กว่าพี่หญิงใหญ่ต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเจอไอ้ตี๋ใหญ่โขกสับเป็นหมูบะช่อแน่”
“ทำไงอะ”
“เร่งทำผลงานไง ถ้าผลงานดี ตำแหน่งพี่ก็ขึ้น วันนึงเดี๋ยวตำแหน่งก็ทันกัน เชื่อดิ”
หญิงใหญ่ครุ่นคิดว่าจะรับมือกับตี๋ใหญ่ยังไงดี
ภรณียื่นคู่มือบริหารเสน่ห์ให้ หญิงใหญ่ทำท่าไม่มั่นใจ
“จะเวิร์คมั้ยเนี่ย"
ภรณีรีบถามต่อ
“บอกมา แกจะบริหารเสน่ห์ไปเพื่ออะไร หรือว่ามีหนุ่ม”
จังหวะนั้นตี๋ใหญ่เดินผ่านมาพอดี ก็เลยแอบยืนฟัง
“หนุ่มเหนิ่มชั่วโมงนี้ชั้นไม่สนหรอก ฉันจะขุดเสน่ห์ ออกมาเพื่อหน้าที่การงานของฉันต่างหาก”
ภรณีทำหน้างง “ยังไงๆ ขยายซิ”
“ไม่เห็นจะเข้าใจยากตรงไหนเลย ฉันเป็นพนักงานฝ่ายขาย ถ้าไม่มีเสน่ห์แล้วจะขายของได้มั้ยล่ะ”
“รู้ แต่แกดูตั้งใจขุดเสน่ห์เป็นพิเศษไง ฉันเลยสงสัยว่าจะมี Something ok?”
หญิงใหญ่พูดตอบด้วยท่าทางมุ่งมั่น จริงจัง
“ฉันจะเร่งสร้างผลงานเพื่ออัปตำแหน่ง ฉันจะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้ไอ้ตี๋นั่นนานๆ หรอก”
“เฮ้ย นี่แกจะเปิดศึกกับท่านผู้ช่วยงั้นเหรอ”
“ก็แล้วแต่คนจะคิดอะนะ แต่ฉันทำเพื่อหน้าที่การงานของฉันมากกว่า”
ตี๋ใหญ่ที่แอบฟังอยู่ยิ้มกริ่มอย่างมีแผนการ ก่อนจะเดินออกจากมุมด้วยสีหน้าปกติ
“ชงกาแฟให้ผมหน่อยสิ”
ภรณีหันมาโปรยยิ้มหวาน “ได้ค่ะท่านรอง”
“ไม่ใช่คุณครับ” ตี๋ใหญ่มองไปที่หญิงใหญ่ “ชงกาแฟให้ผมหน่อย”
“ไม่ใช่หน้าที่ฉันซะหน่อย ไปใช้แม่บ้านสิ”
“คงที่จะเจริญเติบโตด้านหน้าที่การงานได้ เค้าไม่เลือกงานกันหรอกนะ เอ้อ ที่นี่เราตัดสินช่วงโปรกัน
กี่เดือนนะ”
ภรณีรีบบอก “ 4 เดือนค่ะ”
ตี๋ใหญ่หันมาทางหญิงใหญ่ “คุณทำงานที่นี่ยังไม่ถึง 4 เดือนใช่มั้ย”
ภรณีรีบกระซิบบอก “ไปชงสิ อยากผ่านโปรรึเปล่า”
หญิงใหญ่จำต้องเดินออกไปชงกาแฟ ตี๋ใหญ่อมยิ้มสะใจ
หญิงใหญ่กระแทกแก้วกาแฟลงบนโต๊ะทำงานของตี๋ใหญ่อย่างไม่พอใจ
“กาแฟแก้วนี้ท่าทางจะเข้มนะ ดูหน้าคนชงน่ะสิ เข้มเชียว”
“จะหาเรื่องใช้อะไรฉันอีกมั้ย” หญิงใหญ่ทำหน้าเซ็ง
“อุ้ย เกรงใจนะ แต่ถ้าว่างก็ไปล้างห้องน้ำให้หน่อยสิครับ กลิ่นเริ่มแรงล่ะ”
“ที่บ้านคุณคงจะวางแผนมาแกล้งฉันเต็มที่เลยล่ะสิ ใช้ฉันชงกาแฟไม่พอ จะใช้ให้ฉันไปขัดห้องน้ำอีก แบบนี้ไม่เรียกแกล้งเหรอ”
ตี๋ใหญ่รีบปฏิเสธ
“เปล่าซะหน่อย ที่ผมแกล้งใช้งานที่ไม่ใช่งานของคุณก็เพื่อจะดูอีโก้ของคุณเท่านั้นเอง”
หญิงใหญ่ทำหน้างง “ดูเพื่อ?”
“ก็เห็นคุณอยากเร่งทำผลงานเพื่อเลื่อนตำแหน่งอยู่ไม่ใช่เหรอ แต่วิธีใช้เสน่ห์ ผมว่าไม่เวิร์คหรอกนะ”
“นี่คุณแอบฟัง?”
ตี๋ใหญ่หัวเราะ “หยาบคาย เรียกว่าบังเอิญเดินมาได้ยินดีกว่า”
“ฉันจะใช้วิธีไหนมันก็เป็นกลยุทธ์ของฉัน ที่บอกว่าไม่เวิร์คเนี่ย กลัวฉันขึ้นมาทันคุณใช่มั้ยล่ะ”
“เปล่าเลย ผมแค่คิดว่าการทำงานให้ประสบความสำเร็จ เราควรจะใช้ฝีมือมากกว่าเสน่ห์”
หญิงใหญ่ยิ้มเยาะ
“แต่เสน่ห์ก็เป็นข้อได้เปรียบข้อหนึ่งซึ่งผู้ชายมักไม่มี และเสน่ห์นี่แหละ จะผลักดันให้งานประสบความสำเร็จได้”
“แน่ใจเหรอ” ตี๋ใหญ่ย้อนถาม
“เคยอ่านสามก๊กมั้ย โจโฉแตกทัพเรือก็เพราะผู้หญิง คุณระวังตัวไว้เถอะ”
“ระวังทำไม ผมไม่ใช่โจโฉ”
“ฉันเปรียบเปรยย่ะ”
หญิงใหญ่กระแทกเสียงแล้วรีบเดินออกไป ตี๋ใหญ่ยิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดี
แก้วกัลยาเดินดูรอบๆ บริเวณบ้านอยู่กับเสี่ยชาญ
“ผนังบางส่วน ฉันอาจจะต้องทุบนะเสี่ย บอกกันไว้ก่อนเลย เดี๋ยวจะมีปัญหากันทีหลัง”
“ก่อนจะทุบก็เอาแบบมาคุยกันก่อนแล้วกัน ถ้าไม่มากก็ทุบไปเลย ตามสบาย”
แก้วกัลยายิ้มรับ
“ได้เลยเสี่ย ตอนนี้แบบใกล้จะเสร็จล่ะ เดี๋ยวเรื่องทุบเราไว้คุยกันอีกที”
จังหวะเฮงที่เดินออกมา ได้ยินพอดี
“อ้าว ยังไม่ทันเปิดร้านเลย จะทุบทิ้งซะแล้วเหรอ อย่าบอกนะ จะทุบทำลานตั้งเวทีลิเกน่ะ”
แก้วกัลยามองค้อน
“ทำลานตั้งเวทีลิเกมันอาจจะเล็กไป แต่ถ้าทำฮวงซุ้ยให้ลื้อ ฉันว่ากำลังดี สนใจมั้ยล่ะ”
“อั๊วยังไม่ตายง่ายๆ หรอกโว้ย”
“ใช่ อย่างลื้อเนี่ยไม่ตายง่ายๆ แน่ ก่อนตายคงดิ้นพั่บๆ เป็นปลาดุกโดนทุบหัว แล้วก็นอนปากพะงาบๆสักวันสองวันแหละ ถึงจะตายได้”
“พูดยังกะเป็นแมลงสาบ” เสี่ยชาญพูดขำๆ
แก้วกัลยาเบ้ปากใส่เฮง “ถึงไม่ใช่ แต่หน้าก็ใกล้เคียงแมลงสาบแหละ”
เฮงโกรธมาก พยายามหาเรื่องมาเอาคืน แล้วก็นึกถึงเรื่องตี๋ใหญ่ขึ้นมาได้
“จ้า หน้าเหมือนแมลงสาบ แต่ไอ้คนหน้าเหมือนแมลงสาบคนนี้แหละ ที่มีลูกชายเป็นถึงผู้ช่วยผู้จัดการ
แล้วก็มีลูกสาวผู้ดีจากไหนก็มิรู้ เป็นลูกน้องของลูกชายอั้วอีกที”
แก้วกัลยาอึกอักๆ เถียงไม่ออกเพราะจวนตัว ตั้งรับเรื่องนี้ไม่ทัน
“ลูกสาวฉันกำลังเร่งสร้างผลงาน อีกไม่นานตำแหน่งตามลูกลื้อทันแน่”
“เรียกมอไซค์รับจ้างมั้ย จะได้ตามลูกอั้วทัน อิ อิ อิ”
เฮงพูดจบก็เดินลอยหน้าลอยตาเข้าบ้านไป แก้วกัลยาโมโหกระทืบเท้ากับพื้น แต่โดนเท้าเสี่ยชาญเต็มๆ
“วันนี้ไม่ว่างจริงๆ ค่ะคุณรังสิวิทย์ พอดีนัดเพื่อนไปดูแข่งเรือยาวกันน่ะค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
ภรณีนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ จังหวะนั้นหญิงใหญ่ก็ถือแก้วกาแฟมานั่งที่โต๊ะตัวเอง
“พรุ่งนี้ก็ไม่ว่างค่ะ ต้องไปงานแต่งเพื่อน มะรืนก็ยังไม่ว่างค่ะ พอดีติดงานฝังลูกนิมิต ต้องไปกับที่บ้าน โอ๊ย มะเรื่องยิ่งแน่นเลยค่ะ ต้องไปเรียนแต่งหน้า นั่งสมาธิ ดำน้ำ ปลูกปะการัง ทำอาหาร นวดสปา ปลูกป่า ดำนา แข่งแรลลี่ ตีกอล์ฟ ช้อปปิ้ง อาบน้ำแมว แซวแมงสาบ แล้วก็...”
ปลายสายกดตัดสายไป ภรณีวางสายตาม พลางทำหน้าสะอิดสะเอียน
“โอ๊ย กว่าจะวางสายได้ จะบ้าตาย”
หญิงใหญ่หันมาถาม “ใครเหรอ”
“ลูกค้านี่แหละ ชื่อคุณรังสิวิทย์”
“อ้าว แล้วทำไมแกคุยกับลูกค้าแบบนั้นวะ”
ภรณีทำหน้าเซ็ง
“ก็โทรมาไม่เคยจะคุยเรื่องงานเลยน่ะสิ ชวนไปนู้นนี่นั่นตลอด หยอดมุกเสี่ยวจีบฉันตลอดเว นี่ถ้าไม่ติดเป็นลูกค้าคนสำคัญ ฉันด่ากลับไปให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องหาเรื่องปฏิเสธให้เหนื่อยแบบนี้”
หญิงใหญ่สนใจขึ้นมาทันที
“ลูกค้าสำคัญเหรอ”
“ใช่ ลูกค้ารายใหญ่ แต่กว่าจะปิดจ็อปได้ก็เหนื่อยหน่อยนะ แม่งขี้หลีมาก”
“ถ้าแกไม่อยากคุย ให้ฉันคุยต่อมั้ยล่ะ เดี๋ยวฉันรับมือเอง ฉันกำลังเร่งทำผลงานอยู่ ถ้าลูกค้าคนนี้รายใหญ่อย่างที่แกว่า ฉันจะได้มีผลงานชิ้นโบแดง”
“ก็แล้วแต่แกนะ ถ้าอยากคุยก็เอาเลย”
หญิงใหญ่ยิ้มมุ่งมั่นอย่างมีความหวัง
หญิงเล็กกับก้อย เดินมาที่ใต้ตึกคณะการโรงแรมของมหาวิทยาลัย พลางดูที่บอร์ดประกาศเกรด
“นึกยังไงมาลงเรียนวิชาทำอาหารวะแก” ก้อยหันมาถาม
“แม่ฉันกำลังจะเปิดร้านอาหารน่ะ เรียนไว้เผื่อเอาไปช่วยที่บ้าน”
จังหวะนั้นก้อยก็หันไปเห็นภาพตี๋เล็กที่บอร์ดประกาศเชิดชูผู้ชนะการแข่งขันทำอาหารระหว่างมหาวิทยาลัย
“อ๊าย พี่เค้าชนะการประกวดเชฟระดับมหาวิทยาลัยอ่ะแก นี่ไง พี่คนนี้ที่ฉันกำลังปลื้มอยู่อ่ะ”
หญิงเล็กมองตามแล้วก็ตกใจ “เฮ้ย นี่มันไอ้ตี๋ข้างบ้านฉันนี่”
“หา พี่เค้าอยู่ข้างบ้านแกเหรอ”
“เออดิ แล้วแกไปปลื้มติ่งอะไรเค้าวะ งง”
“ก็พี่เค้าทำอาหารเก่งนี่หว่า”
ทันใดนั้นตี๋เล็กก็โผล่จากมุมตึกเดินเข้ามาทางด้านหลังหญิงเล็ก มาดูป้ายประกาศของตัวเอง ก้อยเห็นก็ออกอาการปลื้ม
“ผู้ชายที่ทำอาหารเก่งน่ะมีเสน่ห์ออก”
หญิงเล็กยังไม่เห็นตี๋เล็ก ก็รีบแบะปาก “เสนียดสิไม่ว่า”
ตี๋เล็กได้ยินถึงกับสำลัก หญิงเล็กหันไปเห็นก็สะดุ้งตกใจ ก้อยทำหน้าปลื้ม
“ยินดีด้วยนะคะพี่ หนูนี่ปลื้มใจแทนเพื่อนๆ ทุกคนในมหาลัยเลยนะเนี่ย”
ตี๋เล็กยิ้มขอบคุณ หญิงเล็กมองค้อน
“ปลื้มไรนักหนา ก็แค่ไปผัดกับข้าวชนะเด็กมหาลัยอื่นมา เผลอๆ ฟลุ้คชนะเค้ามาด้วย”
“แหม ผัดกับข้าว พูดซะเหมือนพี่เค้าเป็นพ่อครัวร้านอาหารตามสั่งเลย พี่เค้าเป็นเชฟเว้ย ขอโทษ
แทนเพื่อนหนูด้วยนะคะ”
ตี๋เล็กยิ้มตาหยี “ไม่เป็นไรหรอกครับ คนไม่รู้คือไม่ผิด”
“หมายความว่าไง” หญิงเล็กย้อนถาม
“ก็หมายความว่าไม่รู้เรื่องการทำอาหารเลยน่ะสิ ถึงได้คิดว่าการทำอาหารมันง่ายไปซะหมด”
หญิงเล็กเชิดหน้าไม่ยอมแพ้
“ฉันรู้ดีเรื่องการทำอาหาร แม่ฉันน่ะทำอาหารตำรับชาววัง ไม่ใช่ผัดกับข้าวง่ายๆ เหมือนบ้านนาย
ล่ะกัน”
“อ๋อคงจะพิถีพิถันทุกขั้นตอนเลยสินะ ทุกวันนี้ถึงยังไม่เปิดร้านซะที” ตี๋เล็กไม่ยอมลดราวาศอกให้
“หึ รออีกไม่นานหรอก ร้านแม่ฉันเปิดเมื่อไหร่ ร้านนายเตรียมตัวเจ๊งได้เลย”
“อุ๊ย น่ากลัวจัง”
หญิงเล็กรีบลากก้อยเดินออกไป ตี๋เล็กยิ้มกริ่มสะใจ
รังสิวิทย์ทำหน้างอนๆ เมื่อรู้จากภรณีว่าจะมีคนอื่นมาคุยงานแทน พลางถือโอกาสจับมือถือแขน ทำท่าเสียดาย ครู่หนึ่งหญิงใหญ่ก็เดินเข้ามา ภรณีรีบแนะนำ
“นี่คุณหญิงใหย่ จะมาคุยงานกับคุณรังสิวิทย์แทนณีค่ะ”
รังสิวิทย์ก็รีบเหวี่ยงแขนภรณีออกจากมือตัวเองทันที
“โห่ เหวี่ยงขนาดนี้ แขนหนูหักกันพอดี”
รังสิวิทย์ทำเสียงแข็ง
“สำออย ลุกไปได้แล้ว ผมจะคุยงาน ไป๊”
ภรณีสะบัดบ๊อบใส่แล้วเดินออกไป รังสิวิทย์หันมาทำตาเจ้าชู้ใส่หญิงใหญ่ทันที
“ขอแอดไลน์หน่อยได้มั้ยครับ”
“เอ่อ คุยงานทางไลน์เกรงว่าจะไม่สะดวกน่ะค่ะ พอดีเป็นคนนิ้วใหญ่ค่ะ ชอบพิมพ์ผิดๆ ถูกๆ”
รังสิวิทย์ไม่เลิกตื๊อ “งั้นมีเบอร์มั้ยครับ”
“อ๋อ..มีบ้างเวลานอนน้อยน่ะค่ะ”
“งั้นทานพวกวิตามินบีรวมบ้างนะครับ จะช่วยเกี่ยวกับระบบประสาท บ้าเหรอ ผมหมายถึงเบอร์โทรศัพท์ครับ ไม่ใช่อาการเบลอ”
หญิงใหญ่หัวเราะขำ “เฮฮาน่ะค่ะ เฮฮา”
“ผมชอบครับ อยู่ด้วยแล้วไม่เครียด”
ทั้งคู่ต่างก็หัวเราะกันไปมา
ขณะที่เสี่ยชาญยืนดูข้าวของอยู่ที่หน้าร้าน ครู่หนึ่งเฮงก็พาหมวยเล็กเดินเข้ามา
“เฮ้ยเสี่ย ขอเข้าห้องน้ำหน่อยสิ ไม่ไหวล่ะ”
เสี่ยชาญรีบบอก “ห้องน้ำอั้วกำลังล้างอยู่พอดีเลย ลื้อไปเข้าของตลาดก่อนแล้วกัน”
“ตรงไหนใกล้สุดวะ ปวดมาก ไม่ไหวล่ะ “
“ก็เดินตรงไปเลี้ยวซ้ายนะ แล้วก็เลี้ยวขวา เดินตรงไปอีกหน่อย แล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกที”
เฮงทำท่าเหมือนจะอั้นไม่ไหว
“มีที่ถึงเร็วกว่านั้นมั้ย ไม่ไหวแล้วเนี่ย”
“ก็วิ่งไปเลี้ยวซ้ายนะ แล้วก็เลี้ยวขวา วิ่งตรงไปอีกหน่อยแล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกที”
“ขอบใจมาก เฮ้ย มันก็ทางเดียวกันนี่หว่า มันถึงเร็วกว่าอันแรกตรงไหน”
“ก็อันแรกอั้วบอกให้เดิน อันหลังอั้วบอกให้วิ่ง มันถึงเร็วกว่าอันแรกมั้ยล่ะ”
เสี่ยชาญพูดหน้าตาเฉย เฮงรีบวิ่งออกไป
“เตี่ยลื้อนี่ติงต๊องสุดๆ..จะเอาอะไรบอกนะ อั้วเข้าไปในร้านก่อน”
เสี่ยชาญบอกหมวยเล็ก แล้วเดินเข้าร้านไป ชายเล็กที่เดินผ่านมาเห็นหมวยเล็กก็เลยหยุดทักทาย
“หวัดดี”
หมวยเล็กหันมองเฮงนิดนึงว่ากลับมารึยัง ก่อนจะพูดหวัดดีตอบ
“เมื่อตอนกลางวันเราเห็นเธอไปสมัครที่ชมรมเต้น เป็นไงบ้าง เรียบร้อยดีนะ”
“เรียบร้อยดี นี่นายอยู่ชมรมเต้นด้วยเหรอ”
“เราเป็นรองประธานชมรม”
หมวยเล็กทำท่าดีใจ “เฮ้ยจริงดิ แสดงว่าเต้นเก่งสิท่า”
ชายน้อยรีบพูดถ่อมตัว “ก็ประมาณนึง ไม่เก่งมากหรอก”
แก้วกัลยาเดินเข้ามา เห็นชายเล็กกำลังคุยกับหมวยเล็กก็โวยวาย
“ทำอะไรน่ะชายเล็ก”
“ไม่ได้ทำอะไรนี่แม่”
“พูดได้ไงว่าไม่ได้ทำอะไร แม่เห็นลูกคุยอยู่กับ..”
แก้วกัลยาจะพูดแรงก็เกรงใจเด็กอย่างหมวยเล็ก เลยเงียบไว้แค่นั้น เฮงเดินกลับมาเห็นแก้วกัลยากำลังมองลูกตัวเองก็ของขึ้นทันที
“มีปัญหาอะไรกับลูกอั๊วไม่ทราบ”
“อย่ามาหาเรื่องกัน ฉันยังไม่ได้ทำอะไรลูกลื้อซักนิด”
“ก็อั๊วเห็นลื้อมองลูกอั๊วตาขวางๆ นี่ถ้าอั๊วมาช้ากว่านี้ลื้อคงโดดงับขาลูกอั๊วไปแล้ว”
“ไอ้บ้า ฉันไม่ใช่แมวเปอร์เซียนะ”
เฮงสวนกลับ “หมาเว้ย”
“อ๊าย ไอ้งิ้วหลงโรง กล้าดียังไงมาว่าฉันเป็นหมา”
ทันใดนั้นเสี่ยชาญ ก็เดินออกมาพร้อมกับหม้อใส่น้ำร้อน
“เอ้าๆ ทะเลาะกันอีกแล้ว”
เฮงหันไปมองแล้วทำหน้างง
“เอาน้ำร้อนมาทำไมเนี่ย ต้มมาม่ากินเหรอ”
“เอามาสาดลื้อ 2 คนนี่แหละ ทะเลาะกันดีนัก ไปเลย ไปทะเลาะกันที่บ้านนู้น ลูกค้าอั๊วหนีหมดแล้วเนี่ย เอ้าไปสิ อารมณ์อั๊วไม่ได้ดีเหมือนหน้าตา”
ทั้งเฮง ทั้งแก้วกัลยา ต่างก็รีบพาลูกตัวเองออกไปทันที
ชายเล็กนั่งจ๋อยอยู่ที่โซฟา มีหญิงเล็กนั่งปลอบอยู่ข้างๆ
“แม่สั่งห้ามเด็ดขาดนะชายเล็ก ต่อไปห้ามไปพูดจากับลูกบ้านนั้นอีก เข้าใจมั้ย”
ชายเล็กอิดออด “อยู่โรงเรียนเดียวกัน จะไม่ให้พูดกันเลยเหรอแม่”
“แหม พูดอย่างกับคุยกับทุกคนในโรงเรียนอย่างนั้นแหละ โรงเรียนตั้งเบ่อเร่อเบ่อร่า ไม่ได้คุยกับไอ้ลูกบ้านนั้นคนเดียว คงไม่ผิดปกติหรอกชายเล็ก”
หญิงเล็กรีบกระซิบบอก “รับปากแม่เค้าไปซะ จะได้จบๆ”
แก้วกัลยาหันมาทางลูกสาว
“เราก็อีกคน ได้ข่าวว่าลูกบ้านนั้นก็อยู่มหาลัยเดียวกันไม่ใช่เหรอ ไปญาติดีกับมันบ้างหรือเปล่า”
“หญิงไม่มีทางญาติดีกับคนบ้านนั้นแน่ค่ะ แม่ไม่ต้องห่วง”
หญิงใหญ่กลับจากที่ทำงาน เดินเข้ามาในบ้าน ก็รีบถาม
“มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าคะ เสียงดังเชียว”
แก้วกัลยาหันมาบอก “ก็ชายเล็กน่ะสิ ไปคุยกับลูกสาวบ้านนั้น”
“อย่าบอกนะว่าจีบเค้าน่ะ” หญิงใหญ่จ้องหน้าคาดคั้นน้องชาย
“ไปกันใหญ่แล้ว ชายแค่คุยเฉยๆ จีบเจิบที่ไหนเล่า”
“นั่นแหละ ต่อไปคุยเฉยๆ แม่ก็ห้าม เข้าใจมั้ย”
ชายน้อยทำเสียงอ่อย “เข้าใจครับ”
“แล้วที่ออฟฟิศเราล่ะ เป็นยังไงบ้าง” แก้วกัลยาหันมาถามหญิงใหญ่
“ก็โดนแกล้งตามฟอร์มล่ะค่ะ ทำไงได้ล่ะ”
“นั่นไง แม่คิดไว้แล้วไม่มีผิดเลย แล้วนี่ลูกจะทำยังไงต่อไปเนี่ย”
“ลูกกำลังเร่งทำผลงานอยู่ค่ะแม่ เรื่องนี้ต้องใช้เวลาสักพักล่ะค่ะ”
หญิงเล็กรีบให้กำลังใจ “สู้ๆ นะพี่หญิง พวกเราเอาใจช่วยเต็มที่”
“เฮ้อ เหมือนนั่งดูละครน้ำเน่ายังไงก็ไม่รู้ ไปหาเกมเล่นดีกว่า”
ชายเล็กทำหน้าเซ็งแล้วลุกเดินออกไป
“เหมือนโดนหลอกด่ายังไงก็ไม่รู้นะคะแม่”
แก้วกัลยา หญิงใหญ่ หญิงเล็ก หันมองหน้ากัน
เฮงยืนลับมีดปังตอสีหน้าเคร่งเครียด จนหมวยเล็กเริ่มกลัว
“เตี่ย เตี่ยจะทำอะไรหมวยเล็กอ่า”
“เดี๋ยวก็รู้”
หมวยเล็กทำท่าเหมือนจะร้องไห้ “ไม่นะเตี่ย อั๊วแค่คุยกับเค้าไม่กี่คำเองนะ”
“จะกี่คำก็ถือว่าคุย เตี่ยสั่งห้ามแล้วใช่มั้ย ว่าห้ามคุยกับคนบ้านนั้น”
เฮงสับมีดปังตอลงบนเขียงที่วางอยู่ใกล้ๆ หมวยเล็กร้องไห้โฮ
“ความผิดแค่นี้ถึงกับชีวิตเลยเหรอเตี่ย”
พอตี๋ใหญ่กับตี๋เล็กเดินเข้ามา เฮงก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เอาล่ะ ครบองค์ประชุมแล้ว เปิดวาระการประชุมได้ อาจาง เอามีดไปเก็บซิ”
จางรีบเอามีดกับหินลับไปเก็บ หมวยเล็กทำหน้างง
“เดี๋ยวนะเตี่ย ที่นั่งลับมีดจ้องหน้าอั้วเมื่อกี๊ไม่ได้จะทำโทษอั๊วหรอกเหรอ”
“จะบ้าเหรอ อั้วนั่งลับมีดรอองค์ประชุมครบต่างหาก ใครที่ไหนจะบ้าเอามีดทำโทษลูก”
หมวยเล็กโล่งอก เฮงรีบพูดต่อ
“เอาล่ะ ที่เตี่ยเรียกทุกคนมาก็เพื่อจะได้สั่งซะทีเดียว แล้วต่อไปก็ห้ามอ้างนะว่าเตี่ยยังไม่ได้บอก
ต่อไปนี้เตี่ยสั่งเด็ดขาด ห้ามไปคุยกับคนบ้านนั้นอีกเข้าใจมั้ย”
“ห้ามคุยเลยเหรอเตี่ย ไม่ไหวมั้งครับ ถ้าเกิดอั้วจะสั่งงานเค้า อั้วจะทำยังไงล่ะ” ตี๋ใหญ่หันมาถาม
“เอาอย่างนี้ อั๊วห้ามไปคุยดีกับคนบ้านนั้นอย่างเดียว ถ้าทะเลาะหรือไปด่า อั๊วไม่ว่า เข้าใจตรงกันนะ”
ทั้งตี๋ใหญ่ ตี๋เล็ก หมวยเล็กรับคำเสียงอ่อย
หญิงใหญ่กำลังทาครีมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ครู่หนึ่งเสียงมือถือก็ดัง พอเห็นว่าเป็นรังสิวิทย์โทรมา ก็ทำท่าลังเลว่าจะกดรับสายดีหรือไม่ แต่พอมองไปเห็นตี๋ใหญ่ที่ห้องฝั่งตรงข้าม กำลังมองมาพอดี จึงตัดสินใจกดรับ พลางทำเสียงหวาน
“สวัสดีค่าคุณรังสิวิทย์”
“สวัสดีคร้าบ นอนแล้วเหรอครับ ถึงรับสายช้าเนี่ย”
“ยังค่ะ พอดีกำลังทาครีมอยู่น่ะค่ะ”
หญิงใหญ่พูดพลางเหล่ไปที่ห้องฝั่งตรงข้าม เห็นตี๋ใหญ่ยังคงมองมา
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้ แฟนชัวร์”
ตี๋ใหญ่มองไปที่ห้องฝั่งตรงข้าม หญิงใหญ่แกล้งคุยโทรศัพท์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่โชว์ให้เห็น
“แล้วเรื่องงานที่เราคุยกันค้างไว้ล่ะคะ คุณรังสิวิทย์ตัดสินใจได้รึยังเอ่ย”
“ผมขอตัดสินใจอีกนิดนึงนะครับ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราหาร้านอาหารบรรยากาศดีๆ คุยกันต่อ ดีมั้ยครับ”
“เอ่อ เราไปคุยกันที่ออฟฟิศก่อนแล้วกันค่ะ จากนั้นจะไปคุยที่ไหนต่อค่อยว่ากันนะคะ”
“ได้เลยครับ ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ขอให้มีคนมาไล่ฆ่าในความฝันนะ”
หญิงใหญ่ทำหน้างง “อ้าว ทำไมถึงอวยพรอย่างนี้ล่ะคะ”
“ผมจะได้ขี่ม้าขาวเข้าไปช่วยในความฝันยังไงล่ะ”
“เอ่อ โอเคค่ะ ฝันดีนะคะ จุ๊บๆ”
“ฝันดีครับ”
รังสิวิทย์ที่อยู่ทางปลายสาย พูดพร้อมกับทำเสียงเหมือนจุ๊บจริง ลากยาวๆ หญิงใหญ่รีบกดตัดสาย ทำท่าขนลุก
ตี๋ใหญ่มองไปที่หญิงใหญ่ ที่กำลังทำท่าขนลุก ก็คิดไปอีกเรื่อง
“ดูทำท่า อย่างกับคุยเซ็กซ์โฟน”
หญิงใหญ่หันมามอง ก่อนจะรูดม่านปิด แต่ก็ไม่วายเดินมาแง้มม่านดูว่าตี๋ใหญ่จะยังมองมาอยู่หรือเปล่า แต่ม่านห้องตี๋ใหญ่ปิดไปแล้ว
รุ่งขึ้นวันใหม่ ขณะที่ชายเล็กนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ที่ม้าหินในโรงเรียน หมวยเล็กเดินผ่านมาเห็นก็แวะคุยด้วย
“หวัดดี”
ชายเล็กยิ้มให้ “อ้าว หวัดดี เมื่อวานเป็นไงบ้างอ่ะ”
“โดนเตี่ยบ่นหูชาเลยน่ะสิ”
ชายเล็กหัวเราะ “เหมือนกันเลย เราก็โดนแม่ด่าซะไม่มีดี”
“ไม่เข้าใจผู้ใหญ่เลยอ่ะ จะโกรธอะไรกันนักหนา เป็นเพื่อนบ้านกันดีกว่ามั้ย”
“เตี่ยเธอคงโกรธแม่เราที่ไปเช่าบ้านตัดหน้าน่ะ แล้วแม่เราก็ไม่ใช่คนยอมคนซะด้วยสิ”
หมวยเล็กพูดต่ออย่างเข้าใจ
“แม่เธอไม่รู้เรื่องเตี่ยฉันจะเช่าบ้านหลังนั้นต่อซะหน่อย แม่เธอไม่ผิดหรอก”
“ขอบใจนะที่เข้าใจบ้านเรา”
หมวยเล็กพูดยิ้มๆ “นี่เราจะคุยกันดีๆไม่ได้เลยใช่มั้ย”
“นี่เราก็คุยกันดีๆ อยู่นะ”
“ไม่ใช่ หมายถึงต่อหน้าพวกผู้ใหญ่น่ะ”
ชายเล็กทำหน้าเซ็ง “หมดสิทธิ ถ้าแม่เราเห็น เราโดนแน่”
“เราก็เหมือนกัน แต่เราต้องเตรียมตัวกันไว้ก่อนนะ เกิดเราคุยกันดีๆ อยู่แล้วที่บ้านมาเห็นจะทำยังไง”
“แกล้งทะเลาะกันมั้ยล่ะ พวกผู้ใหญ่จะได้ตายใจไงล่ะ”
หมวยเล็กเห็นด้วย
“เออ ก็ดีเหมือนกันนะ เป็นอันว่าเราจะทะเลาะกันต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่ถ้าลับหลังเราก็คุยกันดีๆ โอเค้” ชายเล็กรับคำ ก่อนจะยิ้มให้หมวยเล็ก
ทางด้านตี๋ใหญ่ก็ยืนมองหญิงใหญ่ขายงานอยู่กับรังสิวิทย์ ที่ทำสายตากระลิ้มกระเหลี่ยตลอดเวลาภรณีผ่านมาเห็น ก็เลยหยุดถาม
“ท่านรองมองอะไรอยู่คะ”
“ก็มองเพื่อนคุณกับผู้ชายคนนั้นน่ะสิ”
“อ๋อ คุณรังสิวิทย์ขี้หม้อนี่เอง”
ตี๋ใหญ่ทำหน้าสงสัย “ขี้หม้อ?”
“ค่ะ รายนี้น่ะขี้หม้อขี้หลีสุดๆ นี่ณีก็เพิ่งจะสะบัดหลุดออกมาได้นะคะเนี่ย”
“นี่เค้าเคยจีบคุณณีด้วยเหรอ”
ภรณีพยักหน้า “ค่ะ เคยจีบณีอยู่พักนึง”
“โห ไม่เลือกแบบนี้แสดงว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย อาจจะเข้าข่ายโรคจิตด้วยซ้ำ”
“ท่านรองด่าเค้าใช่มั้ยคะ”
ตี๋ใหญ่พยักหน้า “ใช่สิ คิดว่าผมด่าใครล่ะ”
“มันเหมือนกระทบชิ่งมาที่ณียังไงไม่รู้”
“คุณโชคดีแล้วล่ะ ที่สะบัดโซ่ขาดหลุดมาได้น่ะ”
ภรณีทำหน้างอน “สะบัดหลุดเฉยๆได้มั้ยคะ สะบัดโซ่ขาดเหมือนหมายังไงไม่รู้”
ตี๋ใหญ่มองหญิงใหญ่ด้วยความเป็นห่วง เพราะรังสิวิทย์มีท่าทีกระลิ้มกระเหลี่ยตลอดเวลา
ตี๋ใหญ่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำหญิง ก่อนหญิงใหญ่จะเดินจัดเสื้อผ้าออกมาชนเข้าพอดี
“ว้าย ขอโทษค่ะ คุณ มายืนอะไรหน้าห้องน้ำหญิงเนี่ย เมื่อคืนก็แอบมองฉัน โรคจิต”
“ผมไม่ได้แอบมอง ก็ห้องเราตรงกันซะขนาดนั้น มันก็เห็นกันเป็นธรรมดา”
หญิงใหญ่มองค้อน “แล้วมาดักรอฉันหน้าห้องน้ำเพื่อ...”
“ผมจะเตือนคุณเรื่องนายรังสิวิทย์นั่นหน่อย ผมว่าเค้าจ้องจะหลีคุณมากกว่ามาคุยเรื่องงานนะ”
“นี่แอบดูฉันคุยงานเหรอเนี่ย”
“ผมคุยกับภรณีแล้ว นายคนนี้ไม่น่าไว้วางใจ คุณอย่าเสียเวลากับนายคนนี้เลย”
หญิงใหญ่แอบเบะปาก “กลัวฉันทำผลงานไล่ตามคุณล่ะสิ”
“ผมจะกลัวทำไม ถ้าคุณมีผลงานมันก็เป็นผลดีกับบริษัทอยู่แล้ว”
หญิงใหญ่ทำท่าเหมือนจะอ้วก
“เป็นผลดีกับบริษัท คำพูดนี่พระเอ๊กพระเอกเนอะ แต่เสียใจด้วยนะ ฉันไม่หลงกลคุณง่ายๆ หรอก ยังไงฉันก็ต้องได้ผลงานชิ้นนี้”
“นี่อยากเลื่อนตำแหน่งขนาดนั้นเลยเหรอ เดี๋ยวผมช่วยดันให้ก็ได้นะ”
“ไม่ต้อง ฉันดันตัวเองได้ ฉันมีความสามารถพอย่ะ”
พอหญิงใหญ่เดินออกไป ตี๋ใหญ่ก็แอบส่ายหน้าอย่างอ่อนใจในความดื้อรั้น
เสี่ยชาญกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนจะพูดอู้ๆ อี้ๆ ทั้งที่อาหารเต็มปาก
“!##!$%$^%U&^I^*&O(*P*)({*)_{_{*_{“
เฮงกับตี๋เล็กที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย ทำท่าเหมือนเข้าใจ
“ครับ วัตถุดิบทุกอย่าง รับประกันความสดใหม่เลย” เฮงบอก
“!@#$%#^$%&*O^*^)&_*)(_++((__+”
“ใช่ นี่ฝีมืออาตี๋เล็กทุกจานเลย รสชาติเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“%#!#!$#@^%*&^(*&)_(*)+(%&$!#~@$”
ตี๋เล็กยิ้มรับ “ขอบคุณมากครับเสี่ย”
จางที่ยืนคอยบริการอยู่ใกล้ๆ อดรนทนไม่ไหว
“ขอโทษนะครับ นี่ฟังเสี่ยเค้าพูดรู้เรื่องกันด้วยเหรอ”
เฮงกับตี๋เล็กส่ายหน้า ก่อนจะพูดขึ้นมาพร้อมกัน “ไม่รู้ เดาเอา”
เสี่ยชาญกลืนอาหารหมดปากพอดี
“ฝีมือลูกลื้อนี่ใช้ได้เลยนะอาเฮงแบบนี้ ร้านลื้อมีคนสืบทอดกิจการต่อแล้วล่ะ”
“ลื้อหมายถึงอาตี๋เล็กเนี่ยนะ”
“ถั่วต้ม”
เฮงรีบบอก “อาตี๋เล็กยังเด็กไป มาบริหารร้านไม่ได้หรอก แต่ถ้าเป็นอาตี๋ใหญ่ล่ะก็ หายห่วง”
“แต่อาตี๋ใหญ่ทำกับข้าวไม่เป็น มันจะไหวเหรอ”
“เรื่องทำกับข้าวมันฝึกกันได้ ไม่ยากหรอก อาตี๋ใหญ่เป็นลูกชายคนโต อีต้องเป็นคนสืบทอดกิจการต่อจากอั๊ว มันถึงจะถูก”
ตี๋เล็กลุกเดินออกไป ไม่พูดไม่จา เสี่ยชาญหันมาพูดเตือนเฮง
“ลื้อนี่พูดจาไม่ถนอมน้ำใจลูกเลยนะอาเฮง รู้ก็รู้ว่าตี๋เล็กมันคาดหวังจะสืบทอดกิจการต่อจากลื้อ ลื้อก็ยังดื้อให้อาตี๋ใหญ่มาสืบทอดต่ออยู่ได้”
“แต่อาตี๋ใหญ่เป็นลูกชายคนโตนะ อีต้องมาสืบทอดกิจการ มันถึงจะถูกหลัก”
เสี่ยชาญถอนใจ ก่อนจะพูดภาษาอังกฤษ สำนวนจีนๆ
“เคยได้ยินคำนี้มั้ย put the right man in the right job”
เฮงทำหน้างง “หนังเข้าใหม่เหรอ”
“มันมาก ยิงกันสนั่นจอ จะบ้าเหรอ มันเป็นคำคม ความหมายประมาณว่า ให้วางคนให้เหมาะกับงานที่เค้าถนัดที่เค้าชอบ”
“เออน่ะ คิดมากอั้วเริ่มปวดหัวแล้วเนี่ย ลื้อเจี๊ยะๆ เข้าไปเถอะ”
เฮงรีบพูดตัดบท เพราะคิดว่าคนที่เหมาะสมคือตี๋ใหญ่มากกว่าอยู่ดี
ตี๋เล็กเดินทำหน้าเซ็งมานั่งข้างรั้ว หญิงเล็กที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ริมรั้วบ้านตัวเอง หันมาเห็นก็อดแซวไม่ได้
“อ้าว ไงคะเชฟกระทะเหล็ก เอ๊ย หน้างอแบบนี้ต้องเรียกเชฟกระทะบุบมากกว่านะ”
ตี๋เล็กหน้าตึง “แซวใครน่ะเช็คอารมณ์หน่อยก็ดีนะ”
“จะบอกว่าอารมณ์ไม่ได้ดีเหมือนหน้าตาว่างั้นเหอะ มานั่งซึมเป็นส้วมอยู่ได้ วันนี้ลูกค้าไม่เข้าร้านเหรอจ๊ะ”
ตี๋เล็กเอาแต่เงียบ ไม่โต้ตอบ หญิงเล็กยังแขวะไม่เลิก
“หึ ฝีมือไม่เข้าขั้น ลูกค้าเลยหนีหมดล่ะสิ”
ตี๋เล็กทนเงียบไม่ไหวแล้ว
“ใช่ เรามันห่วยแตก ทำอะไรไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวเลยสักอย่าง ใครจะเก่งเหมือนพี่ตี๋ใหญ่ล่ะ
เชิดชูกันเข้าไปเถอะ เชิดชูกันเข้าไป”
พูดไปก็น้ำตาซึมไป จนหญิงเล็กตกใจ
“เฮ้ย โอเคมั้ยเนี่ย”
ตี๋เล็กไม่ตอบ รีบเช็ดน้ำตาแล้วลุกเดินออกไป ทิ้งให้หญิงเล็กนั่งเหวอ
“ ไปสะกิดโดนติ่งอะไรเข้าวะเนี่ย”
รังสิวิทย์ปิดแฟ้มเอกสาร แกล้งทำท่าเหมือนปวดหัว หญิงใหญ่มองรีบถามทันที
“เป็นยังไงบ้างคะ”
“ข้อมูลเยอะมากเลยนะครับเนี่ย”
หญิงใหญ่พยายามอธิบาย
“หญิงทำการบ้านมาเพื่อคุณรังสิวิทย์เลยนะคะ คุณรังสิวิทย์จะได้ตัดสินใจไม่ผิดพลาด”
รังสิวิทย์ทำหน้ากรุ้มกริ่ม
“ผมตัดสินใจไม่พลาดตั้งแต่ได้มาคุยกับคุณแล้วล่ะครับ”
“เอ่อ แล้วคุณรังสิวิทย์ตัดสินใจได้หรือยังคะ”
รังสิวิทย์มองหญิงใหญ่ตาเยิ้ม “ครับ”
หญิงใหญ่ชูกำปั้น ดีใจ “ เยส”
“เราไปกันเลยมั้ยครับ”
หญิงใหญ่ทำหน้างง “ไปไหนคะ”
“ก็ไปทานข้าวกันไงครับ ผมตัดสินใจได้แล้วว่าจะพาคุณไปร้านไหน”
“เอ่อ หญิงหมายถึงตัดสินใจเรื่องงานน่ะค่ะ”
รังสิวิทย์ทำตาเชื่อมใส่
“อ๋อ เรื่องงานผมขอให้คำตอบคุณค่ำนี้แล้วกันนะครับ”
“ค่ำนี้?”
รังสิวิทย์พยักหน้ายิ้มๆ
“ครับ เราจะไปดินเนอร์กัน หลังจากได้คำตอบแล้ว เราก็เปิดแชมเปญฉลองกันได้เลย”
“แต่ฟังดูเหมือนคุณรังสิวิทย์ก็โอเคแล้วนี่คะ”
“ยังครับ ผมยังไม่มีคำตอบในตอนนี้ ถ้าคุณอยากรู้คำตอบ ค่ำนี้ผมจะมารับ โอเค้”
หญิงใหญ่ลังเลว่าจะเอายังไงดี
ภรณีทำหน้าตกใจ
“หา แกตอบตกลงไปดินเนอร์กับคุณรังสิวิทย์”
หญิงใหญ่ถอนหายใจ “เออ ตกใจใหญ่ไปปะเนี่ย”
“ไม่ให้ตกใจได้ไง ไอ้รังสิวิทย์น่ะจ้องจะเคลมแกซะขนาดนั้น แกดูไม่ออกเลยเหรอ”
หญิงใหญ่รีบท้วง “แกมองเค้าในแง่ร้ายเกินไปรึเปล่า”
“ไม่ให้มองแง่ร้ายแล้วจะให้ชั้นมองแง่ไหนยะ”
“ก็มองแง่ดีไง คิดดูสิ ผู้หญิงหน้าธรรมด๊าธรรมดาอย่างแกเค้ายังจีบ”
ภรณีมองค้อนเพื่อน
“เดี๋ยว ว่าฉันหน้าตาธรรมดาเนี่ย ด่าฉันหน้าแย่ไปเลยมั้ย”
หญิงใหญ่ยิ้มขำ
“โอเค..ผู้หญิงหน้าแย่เหมือนเพิ่งออกมาจากรังดักแด้อย่างแกเค้ายังจีบ แสดงว่าเค้าไม่ชอบคนที่หน้าตานะ .พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือไม่เลือกอะ คลำดูไม่มีหางก็โอเคล่ะ”
“แหม มาเป็นชุดเลยนะ แม่คนสวย”
ตี๋ใหญ่เดินผ่านมาได้ยินก็แอบหยุดแอบฟัง หญิงใหญ่พูดต่อ
“นั่นแหละจริงๆ แล้วเค้าอาจจะเป็นคนจิตใจดีก็ได้นะ”
“สรุปคือยังไงแกก็จะไปดินเนอร์กับคุณรังสิวิทย์”
หญิงใหญ่พยักหน้ารับ
“ใช่ ยังไงฉันก็ต้องไปเอาคำตอบจากคุณรังสิวิทย์”
ตี๋ใหญ่ครุ่นคิดสีหน้าไม่สบายใจ
หมวยเล็กกำลังนั่งดูมิวสิกวิดีโอเพลงแด๊นซ์ของเกาหลีจากจอมือถือ พักหนึ่งชายเล็กก็เดินเข้ามา
นั่งดูข้างๆ
“เฮ้ย เราก็ชอบ MV. นี้เหมือนกัน”
“มันดีเน๊อะ ท่าก็เด็ดอjะ”
ชายเล็กรีบบอก “ไว้ว่างเรามาช่วยกันแกะท่าดีกว่า เผื่อมีงานจะได้เต้นโชว์กัน”
หมวยเล็กเห็นเฮงเดินมาด้านหลังชายเล็ก ก็แกล้งโวยวายเสียงดัง
“แกะทงแกะท่าอะไร ฉันไม่แกะ ฉันไม่เต้น”
ชายน้อยทำหน้างง “เฮ้ยไรเนี่ย เป็นไรเปล่า”
“ฉันนั่งของฉันอยู่ดีๆ นายมาเสนอหน้าอะไรตรงนี้เนี่ย”
เฮงเดินมาถึง ก็รีบถามลูกสาว “มีอะไรกันเหรอหมวยเล็ก”
ชายเล็กหันไปเห็นเฮงก็รู้เหตุผลว่าทำไมหมวยเล็กถึงโวยวาย
“ก็หมวยเล็กนั่งของหมวยเล็กอยู่ดีๆ นายนี่ก็เข้ามาน่ะค่ะเตี่ย”
พอเหลือบเห็นแก้วกัลยาเดินเข้ามา ชายเล็กก็แกล้งโวยใส่
“นี่มันที่ของโรงเรียน ไม่ใช่ของแกซะหน่อย”
หมวยเล็กหน้าเหรอ ““โห..แกเลยเหรอ”
แก้วกัลยารีบเดินรี่เข้ามาถามลูกชาย “มีเรื่องอะไรกันชายเล็ก”
“ก็ยัยงิ้วนี่สิแม่ มาหาว่าผมเสนอหน้าอะ ที่ของตัวเองก็ไม่ใช่”
หมวยเล็กแกล้งโวยกลับ “ว่าใครงิ้ว ไอ้ลิเกหน้าปลาบู่”
เฮงรีบปราม “ใจเย็นๆ ลูก เดี๋ยวครูมาเห็นจะยุ่งกันใหญ่นะ”
ชายเล็กมองหน้าหมวยเล็กแล้วโวยต่อ
“แหม ถ้าเราลิเกหน้าปลาบู่ เธอก็เป็นนังงิ้วจูออนละวะ”
“โห...แรง”
จากนั้นหมวยเล็กกับชายเล็กแกล้งทำท่าจะตะลุมบอนกัน เฮงกับแก้วกัลยาห้ามกันวุ่นวาย
“ไม่เอาลูก อย่ามาทะเลาะกันในโรงเรียน ไม่ดีๆ”
“แหม ไปกินรังแตนที่ไหนมาเนี่ยอาหมวยเล็ก”
ทั้งคู่รีบลากลูกของตัวเองออกไปคนละฝั่งอย่างทุลักทุเล
ก้อยเพื่อนหญิงเล็กนั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังรอจ่ายเงินให้จาง
“กับข้าวใส่ถุงได้รึยังคะ”
“น่าจะได้แล้วครับ รอสักครู่นะครับ”
พอจางเดินออกไป ตี๋เล็กก็เดินสวนเข้ามา พอเห็นก้อยรู้สึกคุ้นหน้า
“เอ๊ะน้อง”
ก้อยยิ้มหวาน “ก้อยค่ะ เราเคยเจอกันที่มหาลัย”
“พี่จำได้ บ้านน้องอยู่แถวนี้เหรอ หรือว่ามาบ้านของ...”
ตี๋เล็กยังพูดไม่ทันจบ ก้อยก็แทรกขึ้นมาทันที
“อ๋อ ก้อยแวะมาบ้านหญิงเล็กน่ะค่ะ แต่จะกลับบ้านแล้วล่ะ”
จางเดินมาพร้อมกับยื่นกับข้าวใส่ห่อมาให้ก้อย
“กับข้าวใส่ห่อได้แล้วครับ”
ก้อยรับห่อกับข้าวจากจาง แต่หันมายิ้มให้ตี๋เล็ก
“อาหารอร่อยนะคะ พ่อแม่ก้อยต้องชอบแน่ๆ”
“อ๋อ นี่ซื้อไปให้พ่อกับแม่เหรอครับ”
“ค่ะ ซื้อไปให้พ่อกับแม่ค่ะ ไม่ได้ซื้อไปฝากใครเลย ไปก่อนนะคะ”
ก้อยมองตี๋เล็กปลื้มๆ ก่อนจะเดินออกไป ตี๋เล็กมองตามแล้วก็ยิ้มดีใจ จนจางรีบพูดแซว
“แหม มีแต่คนชมว่าคุณตี๋เล็กทำอาหารอร่อยทั้งนั้นเลยนะครับ”
ตี๋เล็กหุบยิ้มทันที
“ร้อยคนชมมันไม่มีค่าเท่ากับเตี่ยเพียงคนเดียวชมหรอกนะพี่จาง”
“แหงะ ดราม่าอีกล่ะ”
ตี๋เล็กทำหน้าเบื่อโลก “ก็มันจริงมั้ยล่ะ ไม่ว่าอั้วจะทำดีแค่ไหน เตี่ยก็ไม่เคยชมอั้วเลยสักครั้ง”
จางทำได้เพียงตบไหล่ปลอบใจ
หญิงเล็กกำลังชิมอาหารที่ก้อยซื้อมาจากร้านเฮง
“เป็นไง ฝีมือพี่เค้าอร่อยชิมิล่ะ”
หญิงเล็กเบะปาก “ก็งั้นๆ แหละ”
ก้อยมองอย่างไม่เชื่อ “หรา”
หญิงเล็กรีบเอาช้อนยัดปากเพื่อน
“โอ๊ย ฟันฉันหักกันพอดี”
“สม”
“ถามจริง ให้ฉันซื้อกับข้าวร้านพี่เค้ามาให้เนี่ย คิดอะไรกับพี่เค้ารึเปล่า”
ก้อยถามอย่างสงสัย
“คิดอะไร”
“ก็แอบปลื้มพี่เค้าอะไรอย่างนี้น่ะ”
หญิงเล็กรีบพูดเสียงสูง “บ๊า คิดอะไรที่ไหนเล่า”
“เสียงสูงไปไหน”
“นี่ แม่ฉันกำลังจะเปิดร้านอาหาร ฉันก็อยากรู้ว่าฝีมือบ้านนั้นมันจะแค่ไหนเท่านั้นเอง”
“รู้เขารู้เราว่างั้น”
หญิงเล็กพยักหน้า “เออสิ”
“เคๆ งั้นฉันกลับบ้านก่อนนะ”
ก้อยพูดจบก็ลุกเดินออกไป หญิงเล็กรีบตักกับข้าวกิน
“หน้าตาไม่น่าทำอาหารอร่อย”
เสียงก้อยดังแทรกเข้ามา “ฉันลืมกระเป๋าตังค์ว่ะแก”
ก้อยเดินเข้ามาหยิบกระเป๋าสตางค์ หญิงเล็กแทบสำลัก รีบอมอาหารไว้ในปาก
“เป็นไรเปล่าแก”
หญิงเล็กอมอาหารอยู่เต็มป่ก ส่ายหน้าดิก พูดไม่รู้เรื่อง
“@#$^$#%&$^”
พอก้อยเดินออกไป หญิงเล็กก็กลืนอาหาร พร้อมถอนหายใจโล่ง
รังสิวิทย์เดินนำหญิงใหญ่มาตามทางเดินไปที่จอดรถ ระหว่างทางค่อนข้างเปลี่ยว
“ทำไมจอดรถไกลจะคะเนี่ย”
“ตอนผมมาที่จอดยังเต็มอยู่เลยนะครับ ก็เลยต้องมาจอดไกลแบบนี้”
รังสิวิทย์เดินนำหญิงใหญ่เดินมาถึงรถตู้หรูที่จอดอยู่ ก่อนจะเปิดประตูให้หญิงใหญ่ขึ้น แล้วตัวเองก็ขึ้นตามมานั่งข้างๆ
“หิวรึยังครับ”
“ก็นิดนึงค่ะ”
รังสิวิทย์เริ่มออกแนวโรคจิต
“เหรอครับ แต่ผมนี่หิวมากเลยรู้มั้ย”
“ถ้าหิวก็รีบไปกันสิคะ”
หญิงใหญ่พูดพลางมองไปหน้ารถ แต่กลับไม่เห็นมีคนขับ
“คนขับรถอยู่ไหนคะเนี่ย”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ระหว่างรอ ผมว่าเราหากิจกรรมทำกันดีกว่า จะได้ไม่เบื่อ”
หญิงใหญ่ทำหน้างง “กิจกรรมอะไรคะ”
รังสิวิทย์เริ่มลวนลาม หญิงใหญ่พยายามต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิตแต่ก็สู้แรงผู้ชายไม่ได้ สุดท้ายก็โดนขึงพืดไม่มีแรงดิ้นรน
“ช่วยด้วย”
สิ้นเสียง ตี๋ใหญ่ก็เปิดประตูรถออก
“เฮ้ย ใครวะ”
รังสิวิทย์ตะคอกถาม พร้อมกับหันไปมอง ก่อนจะเจอหมัดตี๋ใหญ่ตรงเข้าหน้าจังๆ
-ตี๋ใหญ่นั่งคุยโทรศัพท์สีหน้าเครียด โดยมีหญิงใหญ่นั่งสงบสติอารมณ์อยู่ใกล้ๆ
“ครับ ขอบคุณมากนะครับคุณตำรวจ ถ้ามีอะไรก็โทรเข้าเบอร์นี้แล้วกันนะครับ ครับ สวัสดีครับ”
จากนั้นกดวางสายแล้วหันมาหาหญิงใหญ่ที่ยังตกใจอยู่
“เป็นยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ นี่คุณรู้ได้ยังไงว่าไอ้นั่นมันคิดจะปล้ำฉัน”
“ผมบอกแล้วไง ว่าท่าทางหมอนั่นมันไม่น่าไว้ใจ ผมก็เลยดักรอแล้วก็ตามคุณไปที่รถ”
“เลว”
ตี๋ใหญ่หน้าเหรอ “นี่ด่ามันหรือด่าผมเนี่ย”
“ด่ามันสิ จะด่าคุณเพื่อ?”
“เห็นมั้ย เสน่ห์มันไม่ช่วยให้งานคุณประสบความสำเร็จได้เลย ตรงข้าม กลับทำร้ายคุณด้วยซ้ำ”“ทุเรศที่สุด”
ตี๋ใหญ่รีบห้าม “เอาน่ะ เลิกด่ามันได้แล้วคุณ”
“เปล่า ฉันด่านายต่างหาก”
ตี๋ใหญ่ทำหน้างง “อ้าว ด่าผมทำไมเนี่ย”
“ก็คนยังไม่หายตกใจ ยังจะมาซ้ำเติมอีก”
“ผมไม่ได้ซ้ำเติม แค่จะเตือนไม่ให้คุณใช้เสน่ห์กับการทำงานอีก”
ตี๋ใหญ่พูดเตือนอย่างจริงใจ
“ย่ะ ต่อไปฉันจะใช้ความสามารถในการทำงานก็แล้วกัน โอเค้”
พูดจบก็เดินออกจากห้องไป ตี๋ใหญ่ส่ายหน้าเซ็ง
“หึ ขอบคุณซักคำก็ไม่มี”
-ขาดคำหญิงใหญ่เปิดประตูพรวดเข้ามา เล่นเอาตี๋ใหญ่สะดุ้งตกใจ
“ลืมไป ขอบคุณนะ”
หญิงใหญ่เดินออกไปอีกรอบ ตี๋ใหญ่มองตามขำๆ
อ่านต่อตอนที่ 4