ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 1
หากไม่ใช่เป็นเพราะคำขอสุดท้ายของ คุณโชค สามีผู้วายชนม์ไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ 3 เดือนก่อนแล้ว นางวิภา ซึ่งยังอยู่ในอาภรณ์สีดำไว้ทุกข์ คงไม่พาผมทรงเตาอั้งโล่และไฝเม็ดโตเหนือรูจมูกข้างขวาอันเป็นเอกลักษณ์ มาอยู่ในบ้านอีกหลังของสามีเป็นแน่
และเวลานี้หญิงสูงวัย มาดเจ้ายศเจ้าอย่าง ผู้เป็นนายหญิงแห่งอาณาจักรมีโชค กำลังแผดเสียงเอาเรื่อง ด้วยท่าทีจริงจังกับ น่านฟ้า ลูกชาย ผู้เกิดจากโชค และ นางสุกัญญา ภรรยารอง
“แกไม่มีสิทธิ์ขัดคำสั่งฉัน ไอ้น่านฟ้า ในเมื่อคุณโชคสั่งให้ฉันมอบตำแหน่งนี้ให้แก แกก็ต้องรับ”
น่านฟ้าเหนื่อยหน่าย และเบื่อหน่าย พยายามปฏิเสธ
“ไม่ ต่อให้แม่ใหญ่ฆ่าผมให้ตาย ผมก็ไม่เป็นประธานบริษัทบ้าๆ นี้เด็ดขาด”
“ไอ้น่าน”
สุกัญญาในชุดดำนั่งอยู่ด้วย พยายามไกล่เกลี่ย
“น่าน ฟังเหตุผลของแม่ใหญ่ก่อน อย่าเพิ่งปฏิเสธ”
“ไม่มีเหตุผลไหนที่จะบังคับให้ผมไปทำงานให้คนที่เขาไม่เคยเห็นหัวผมกับแม่ได้หรอกครับ”
วิภาแผดเสียงด่าอย่างโมโห
“แต่คนๆ นั้นคือพ่อแกนะไอ้น่าน”
“แล้วเขาเคยมองผมเป็นลูกมั้ยล่ะครับแม่ใหญ่ ตั้งแต่ผมจำความได้ ผู้ชายคนนี้ไม่เคยดูดำดูดีผมกับแม่เลย แล้วจะมาหวังอะไรให้ผมไปบริหารบริษัทของเขา ผมขอยืนยันให้เลยสามคำว่า ผมไม่ทำ”
วิภากำมือแน่นแทบกรี๊ด
“ไอ้น่าน ไอ้อกตัญญู”
“ครับ แม่ใหญ่จะด่าผมว่า เนรคุณ ทรพี หรือลูกเลวก็ได้ แต่ผมขอยืนยันว่า ผมจะไม่มีวันทำงานนี้ ถ้าแม่ใหญ่จะบังคับผมให้ได้ ผมทำก็ได้ แต่เตรียมตัวรอดูวันบริษัทเจ๊งได้เลย แม่ใหญ่จะเอามั้ยล่ะ”
สุกัญญาทนไม่ไหวหันไปต่อว่าน่านฟ้า
“ตาน่าน นี่มันจะเกินไปแล้วนะ ขอโทษแม่ใหญ่เดี๋ยวนี้”
น่านฟ้าเบือนหน้าไปทางอื่นไม่สนใจสายตาวิภา ขณะที่วิภาพยายามใจเย็น สวนขึ้นทันที
“เอาล่ะสุกัญญา เธอไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เรื่องนี้ฉันจัดการเอง เมื่อกี้แกพูดเองนะว่าถ้าฉันจะบังคับแกให้ได้ แกก็จะทำ”
น่านฟ้าสะอึกเล็กน้อย
“ผมพูดตอนไหนไม่ทราบ”
“ก็ฉันได้ยินกับหู แม่แกก็เป็นพยานได้”
น่านฟ้าหันไปมองสุกัญญาซึ่งทำหน้านิ่งไม่ปฏิเสธ
“โอเค ผมอาจจะหลุดปากพูดไป”
“แต่ฉันถือว่าแกรับปากแล้ว ส่วนเรื่องแกจะทำให้บริษัทไปรอดหรือเจ๊ง นั่นมันอีกเรื่อง ถ้าแกเป็นลูกผู้ชายพอ แกต้องรับตำแหน่งนี้”
น่านฟ้าอึกอัก แต่สุดท้ายก็ต้องยอม
“งั้นก็ได้ครับ ถ้าแม่ใหญ่ยอมเอาบริษัทมีโชค มาเดิมพันกับคนอย่างผมก็ลองดู”
“ดี เตรียมตัวรับตำแหน่งประธานบริษัทมีโชคได้เลย”
น่านฟ้าเดินเข้ามายิ้มรับอย่างไม่ใยดี
“ครับ แล้วแม่ใหญ่จะเสียใจ”
“แล้วเราจะเห็นดีกัน”
สองคนสบตากันด้วยประกายตาอำมหิต
อาคารสำนักงาน บริษัทมีโชค เป็นตึกสูงใหญ่ ภายในตกแต่งธรรมดาไม่หรูหรา แสดงให้เห็นว่าเป็นบริษัทที่เปิดมานาน และไม่มีการปรับปรุงมานานแล้ว อาณาจักรมีโชคแห่งนี้ โด่งดังสร้างชื่อจนเป็นที่ยอมรับมาจากการผลิต ข้าวเกรียบ
เช้าวันนี้ วิภา วางมาดเจ้ายศเจ้าอย่างอันชินตา เดินมาตรงทางเข้าประตูท่ามกลางพนักงานและหุ้นส่วนหลายคนยืนรอต้อนรับเป็นแถว โดยมี สุกิจ น้องชายบุญธรรมวัยไล่เลี่ยกัน ผู้เป็น รองกรรมการผู้จัดการบริหารของมีโชค เดินตามมาด้วย มีเสียงปรบมือดังกึกก้อง พร้อมๆ กับชูป้ายผ้าที่มีข้อความบนนั้นว่า
“ขอต้อนรับประธานบริษัทมีโชคคนใหม่”
วิภาเดินเข้ามา ยิ้มรับกับทุกคน ขณะที่ภูริช หัวหน้าฝ่ายการตลาด รีบออกตัว กุลีกุจอเข้ามาต้อนรับทันที
“สวัสดีครับท่านประธาน ผมในนามตัวแทนพนักงานทุกคนยินดีอย่างยิ่งที่ท่านประธานจะเข้ามาบริหารบริษัทของเราครับ”
ภูริชหันไปพยักพเยิดกับพนักงานทุกคน พนักงานปรบมือเสียงดังกึกก้อง
“ขอบใจนะภูริช แต่ที่ฉันมาวันนี้เพื่อจะบอกเรื่องสำคัญกับทุกคน ขอให้ทุกคนตั้งใจฟังพร้อมๆ กัน”
ภูริชหันไปส่งสัญญาณกับทุกคน ทุกคนเงียบกันหมด
“เป็นที่ทราบกันทุกคนอยู่แล้วว่า ท่านประธานมีโชค และ วิชญะลูกชายคนเดียวของฉัน ได้เสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุ แต่ไม่ว่ายังไง บริษัทมีโชคก็ยังต้องดำเนินกิจการต่อไป”
สุกิจได้ทีรีบเอาใจวิภา
“ผมเชื่อว่าพี่วิภาทำได้ครับ”
“ขอบใจนะสุกิจ แต่สิ่งที่พี่จะบอกทุกคนในวันนี้คือ พี่ขอปฏิเสธตำแหน่งประธานบริษัทคนต่อไป”
เสียงฮือฮาซุบซิบของพนักงานทุกคนดังอื้ออึงไปทั่วห้อง ภูริชรีบหันไปปรามทุกคน สุกิจได้ยินก็ตื่นเต้นมาก
“ถ้าพี่วิภาไม่รับตำแหน่งประธาน แล้วใครจะทำล่ะครับ”
“มีสิ”
ภูริชได้ทีรีบสวนขึ้น
“หมายความว่า ท่านได้มองคนที่เหมาะสมไว้แล้วใช่มั้ยครับ”
ภูริชหันไปทางสุกิจ สุกิจแอบดีใจแต่พยายามเก็บอาการ
“ใช่ ฉันได้มองคนที่เหมาะสมไว้แล้ว นั่นก็คือ น่านฟ้า ลูกชายคนเดียวของคุณโชค”
ทุกคนตื่นเต้น ขณะที่สุกิจหน้าเจื่อนไป
ในบรรยากาศคึกคักของร้านเกมตอนนี้ น่านฟ้า กระชากวัย 27 ปี แต่งตัววัยรุ่นจัด เสื้อผ้าสีสันแสบตาชวนปวดตับ กำลังขึ้นคร่อมเกมแข่งมอเตอร์ไซค์แข่งกับวัยรุ่นข้างๆ อย่างจริงจังเอาเป็นเอาตายมาก
แล้วน่านฟ้าก็ชนะ เขาชูไม้ชูมือดีใจมาก เด็กวัยรุ่นจะเดินออกไป น่านฟ้ารีบเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนไอ้น้อง เมื่อกี้ตกลงกันว่าไง”
เด็กวัยรุ่นทำหน้าเซ็ง ยืนหันหลังกอดอกหันก้นให้น่านฟ้า น่านฟ้าเดินเข้ามาเงื้อขาตั้งท่าจะเตะ แต่แล้ว ต๋อง ลูกน้องคนสนิทโผล่พรวดเข้ามาในร้าน
“คุณน่าน”
ต๋องรีบเข้ามาดึงตัวน่านฟ้าออกไปทันที
“เฮ้ย อะไรของแก หะ ไอ้ต๋อง ฉันกำลังจะเตะตูดเด็กอยู่นะเว้ย”
“เอาไว้ค่อยเตะตูดผมแทนก็ได้ แต่ตอนนี้รีบไปก่อนดีกว่า”
“ไปไหน ฉันไม่ไป ฉันมีนัด”
“คุณน่านลืมนัดสำคัญไปแล้วเหรอครับ ตอนนี้คุณท่านกับทุกคนที่บริษัทรอคุณน่านอยู่นะครับ”
น่านฟ้าชะงัก
“หะ วันนี้แล้วเหรอ”
ภายในบริษัท วิภากำลังพูดกับพนักงานทุกคนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจัง
“วันนี้ ฉันจึงอยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับคุณน่านฟ้า ประธานบริษัทคนใหม่ของบริษัทมีโชคของเรา อีกสักพักก็คงมาถึงแล้ว เชิญทุกคนที่ห้องประชุมใหญ่ ฉันจะแถลงพร้อมกับผู้ถือหุ้นทุกท่าน”
วิภาพูดจบก็มองนาฬิกาข้อมือ กังวล
ภายในรถยุโรปคันหรู ต๋องขับรถด้วยความเร็วสูง น่านฟ้านั่งเล่นเกมในมือถืออยู่ที่เบาะหลัง โดยมีน้องใบเตยนั่งอยู่ข้างๆ อย่างไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือต๋องดังขึ้น ต๋องตกใจมาก
“คุณท่านแน่ๆ”
ต๋องกดรับสายวิภาทางบลูทูธอย่างกลัวๆ
“ครับคุณท่าน”
“นายต๋อง แกอยู่ไหนหะ ฉันบอกให้รับคุณน่านมา ทำไมยังไม่มาอีก”
ต๋องหน้าเจื่อนหันไปทางน่านฟ้าอย่างเซ็งๆ
“รับมาแล้วครับคุณท่าน ใกล้ถึงแล้วครับ”
“ก็ฉันบอกให้มาแต่เช้า ทำไมป่านนี้ยังไม่โผล่หัวมาหะ”
ต๋องขับรถอยู่ อึกอักไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี น่านฟ้าสวนขึ้นทันที
“แกก็บอกแม่ใหญ่ไปสิต๋อง ว่าฉันลืม เลยไปเล่นเกมสบายใจเฉิบ”
วิภาได้ยินเสียงน่านฟ้าก็เดือดขึ้นทันที
“ไอ้น่าน เมื่อกี้แกบอกว่าไงนะ แกลืมนัดสำคัญแล้วไปเล่นเกมเนี่ยนะ”
น่านฟ้าพูดกับวิภาไปพลางกดเล่นเกมไปด้วย
“จริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจไปเล่นเกมหรอกครับแม่ใหญ่ ผมนัดน้องใบเตยไว้ แต่พอดีผมเป็นคนรักษาเวลาดีมาก มาก่อนเวลาก็เลยไปเล่นเกมรอ เป็นไงผมน่ารักมั้ยครับแม่ใหญ่”
วิภาได้ยินก็เดือดจัด สั่นเป็นเจ้าเข้าด้วยความโมโห
“ไอ้น่าน นี่แกยังกล้าพูดจาเอาดีเข้าตัวอีกเหรอ หะ ฉันให้เวลาแก 10 นาที ถ้าแกยังมาไม่ถึงออฟฟิศ ฉันจะฆ่าแก ได้ยินมั้ย ฉันจะฆ่าแก”
วิภากดวางสาย ทิ้งตัวลงนั่งอย่างเอือมระอา
ภายในห้องประชุม พนักงานยืนอยู่ด้านหลังถือป้ายยินดีต้อนรับ ขณะที่หุ้นส่วนและพนักงานระดับสูงนั่งเก้าอี้รอต้อนรับน่านฟ้ากันอยู่ สุกิจมองนาฬิกาข้อมือส่ายหน้าเอือมๆ วิภาเดินกระทืบเท้าหงุดหงิดเข้ามา ทุกคนรีบยืนตัวตรงกันหมด สุกิจได้ทีรีบเข้าไปเป่าหูวิภา
“แน่ใจเหรอครับพี่วิภา ว่าจะให้ไอ้เด็กเหลือขอนี่เป็นประธานบริษัท”
วิภาหันขวับมาค้อนสุกิจ
“จะพูดอะไรเห็นแก่หน้าพี่บ้าง”
สุกิจหน้าเจื่อนเงียบไป ขณะที่วิภาหันไปพูดกับทุกคน
“รอเดี๋ยวนะ ประธานของเรากำลังจะมาถึงแล้ว”
ทันใดนั้นเองต๋องก็เปิดประตูพรวดพราดเข้ามา
“มาแล้วคร้าบ”
ทุกคนหันมาทางต๋องกันหมด น่านฟ้าเดินโอบน้องใบเตยขาวอวบในชุดวาบหวิวเข้ามา ทุกคนมองน่านฟ้าเป็นตาเดียวอย่างคาดไม่ถึง วิภาปราดเข้ามาหยิกแขนน่านฟ้าเต็มแรง แล้วพูดเบาๆ
“ไอ้น่าน นี่แกทำอะไรของแกหะ”
“โอ๊ย ก็แม่ใหญ่เรียกผมมาไม่ใช่เหรอครับ ผมก็มาแล้วนี่ไง”
“แล้วใครใช้ให้แกแต่งตัวแบบนี้ แล้วนี่แกไปสอยสก๊อยที่ไหนมา ทำไมถึงได้แต่งตัวทุเรศแบบนี้หะ”
“อ้าว พูดแบบนี้ดูถูกคนนี่ครับ นี่น้องใบเตย เขาลูกมีพ่อมีแม่นะครับแม่ใหญ่ จะด่าอะไรนึกถึงหัวจิตหัวใจพ่อแม่เขาบ้างสิครับ”
“จะยังไงก็เถอะ ช่วยทำอะไรให้มันกู้หน้าฉันกลับมาบ้างได้มั้ย”
น่านฟ้ายิ้ม หน้าซื่อตาใส ดีดนิ้ว
“เรื่องแค่นี้เอง สบายมาก”
น่านฟ้าเดินเข้ามาด้านใน ท่ามกลางพนักงานทุกคน แล้วโค้งให้ทุกคนอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้อง คุณลุงคุณป้า คุณน้าคุณอาชาวมีโชคทุกคน ผมนายน่านฟ้า ลูกชายซึ่งเกิดจากภรรยาไม่ถูกต้องตามกฎหมายของท่านประธาน และคงจะไม่ถูกใจใครๆ อีกหลายคน ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”
วิภาโกรธหน้าแดงแทบจะกรี๊ด
“ในวันนี้ ผมต้องขออภัยที่มาช้า เนื่องจากติดภารกิจสำคัญมากกับน้องใบเตย เลยทำให้ทุกคนต้องรอ ผมเลยอยากจะมอบอะไรเล็กๆ น้อยๆ แทนคำขอโทษจากผม เชิญรับชมได้แล้วครับ”
ทุกคนหันมามองกันเลิ่กลั่ก งงๆ ขณะน่านฟ้าส่งสัญญาณให้ใบเตย ใบเตยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดเพลงให้ ทันทีที่เพลงจังหวะเร้าใจดังขึ้น น่านฟ้าก็โชว์สเต็ปเต้นอย่างไม่แคร์สายตาใคร พนักงานหน้าเหวอกันหมด ทันใดนั้นเอง มัศยา พนักงานคนหนึ่งท่าทางไม่พอใจ เดือดแทนวิภา ก็โพล่งขึ้น
“หยุดได้แล้วค่ะ ฉันบอกให้หยุด”
น่านฟ้าชะงักค้างในท่าเต้นยกแข้งยกขาจนแทบล้ม
“ทำอะไรนึกถึงหน้าคุณท่านบ้างก็ดีนะคะ คุณรู้มั้ยว่าทุกคนตั้งใจมาต้อนรับคุณอย่างให้เกียรติ แต่คุณกลับฉีกหน้าคุณท่านแบบนี้เหรอ”
ทุกคนมองมัศยาเป็นตาเดียว ใบเตยรีบเดินมาหลบหลังน่านฟ้าอย่างกลัวๆ ขณะที่น่านฟ้าเองก็งงเหมือนกัน
“สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน เพราะฉัน ฉัน เฮ้อ”
วิภาเป็นลม สุกิจรีบเข้ามาประคองพี่สาว
มัศยาชงกาแฟอยู่ที่มุมกาแฟ ต๋องเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งลงหมดแรง มัศยาหันมามองต๋องยิ้มๆ
“ไง โดนคุณท่านด่าจนหูชาเลยสิ”
“ก็ใช่น่ะสิเจ๊ ท่านเล่นไม่ฟังอะไรเลย พอฟื้นจากเป็นลมก็เรียกผมมาด่าฉอดๆๆ หาว่าดูแลคุณน่านฟ้าไม่ได้ ท่านก็ไม่ได้ดูเล้ย ว่าคุณน่านน่ะ ดูแลง่ายซะที่ไหน”
มัศยาเบ้ปากส่ายหน้าเอือมๆ
“เด็กไม่รู้จักโต”
“เด็กที่ไหนล่ะเจ๊ อายุยี่สิบเจ็ดแล้วนะ เออ แต่ก็เด็กกว่าเจ๊นี่เนอะ แต่จะว่าไปวันนี้เจ๊ก็กล้ามากเลยนะที่เบรกคุณน่านกลางอากาศอย่างนั้น”
“ก็ฉันสงสารคุณท่าน ดูซิไหนจะหุ้นส่วน ไหนจะพนักงาน ทำอะไรไม่รู้จักคิด ว่าแต่คุณท่านแน่ใจแล้วเหรอว่าจะให้ คุณน่านฟ้ามาเป็นประธาน ฉันดูจากวันนี้แล้ว สงสัยจะไม่รอดว่ะ”
“นั่นสิเจ๊ ดูยังไง๊ยังไง คุณน่านก็เหมาะจะมาเพื่อทำลาย มากกว่ากอบกู้บริษัท สงสัยเราคงเตรียมหางานใหม่แล้วมั้งเจ๊”
มัศยาขมวดคิ้วหน้าเครียดชักกลัวเหมือนกัน
น่านฟ้านั่งเล่นเกมจากในมือถืออยู่ในห้องทำงานของเขา ประตูเปิดพรวดเข้ามา น่านฟ้าชะงักหันไปเห็นวิภาเดินย่างสามขุมเข้ามาเอาเรื่อง
“ไอ้น่าน ไอ้เด็กเวร ไอ้ๆๆ โอ๊ย ฉันไม่รู้จะด่าแกว่าอะไรดี ถึงจะสาสมกับสิ่งที่แกทำวันนี้”
“ด่าไปก็ไม่ได้ผลหรอกครับแม่ใหญ่ เพราะผมไม่เดือดร้อน สู้เก็บปากไว้เคี้ยวหมากตอนแก่น่าจะดีกว่า เอ๊ะ หรือตอนนี้ก็เคี้ยวได้แล้วนะ”
วิภาโกรธจัดเข้ามาบีบคอน่านฟ้า
“ไอ้น่าน นี่แกกล้าว่าฉันแก่เคี้ยวหมากเหรอ หะ”
“แค่กๆๆ โอย ไม่ว่าแล้วครับ”
วิภาเหลือบไปเห็นรูป คุณโชค ก็ชะงักยอมปล่อยมือจากคอน่านฟ้า
“โอ๊ย ฉันจะทำยังไงกับคนอย่างแกดี หะ นี่คุณเอาอะไรคิดหะคุณโชค ถึงได้สั่งให้ไอ้เด็กบ้านี่มารับตำแหน่งประธานบริษัท ฉันอยากจะตายวันละสิบรอบ”
“อุ๊ย แม่ใหญ่อย่าตายง่ายๆ นะครับ ไม่งั้นผมเบื่อแย่เลย บอกตามตรงนะครับ วันไหนไม่โดนแม่ใหญ่ด่า มันรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไม่สบายยังไงไม่รู้สิ”
“โรคจิตรึไง หะ”
“ไม่รู้สิครับ แต่ผมชอบนะ จริง จริ๊ง”
วิภามองหน้าน่านฟ้าแทบจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะตัดใจ
“ก็ได้ แกจะเล่นแบบนี้ใช่มั้ย งั้นฉันจะคอยดูว่าคนอย่างฉันจะดัดสันดานไอ้เด็กไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างแกได้รึเปล่า”
วิภาหันไปค้อนรูปโชค แล้วเดินออกไป น่านฟ้าถอนหายใจเหนื่อยเหมือนกัน เอามือลูบคอที่โดนบีบไปด้วย
ภายในบ้านของน่านฟ้าที่เป็นบ้าน 2 ชั้น ไม่ถึงกับหรูหรามาก แต่ตบแต่งอย่างอบอุ่น สุกัญญาแม่ของน่านฟ้า เป็นหญิงวัยกลางคนแต่งตัวธรรมดาท่าทางใจดี กำลังเอายานวดคอให้น่านฟ้า พลางบ่นไปด้วย
“เมื่อไหร่เราจะเลิกทำตัวเป็นเด็ก คอยกวนประสาทแม่ใหญ่เขาสักที หะ ตาน่าน แม่ว่าเขาน่าสงสารนะ ตัวคนเดียวแล้วยังต้องมารบกับเราทุกวันอีก”
“ทำไมไม่คิดบ้างล่ะครับว่า แม่เองก็เคยต้องอยู่ตัวคนเดียวเหมือนกัน แถมยังต้องเลี้ยงดูผมอย่างยากลำบากอีก ในขณะที่แม่ใหญ่น่ะได้ทุกอย่าง แม้แต่ความรักจาก เขา”
สุกัญญาถอนหายใจเอือมๆ
“เรื่องมันก็นานแล้วนะตาน่าน ตอนนี้คุณโชคท่านก็ตายไปแล้ว เมื่อไหร่เราจะเลิกเจ้าคิดเจ้าแค้นพ่อสักที เราเป็นลูก อภัยได้ก็ควรอภัยนะ”
“แม่อยากอภัยก็แล้วแต่แม่เถอะครับ แต่ผมไม่เด็ดขาด”
น่านฟ้าลุกเดินขึ้นบ้านไป
สุกัญญามองตามอย่างเอือมระอา
น่านฟ้าเปิดประตูห้องนอนเข้ามา แล้วหยิบรถของเล่นขึ้นมาถือไว้ เสียงของสุกัญญาดังขึ้นในความคิดของเขา
“เรื่องมันก็นานแล้วนะตาน่าน ตอนนี้คุณโชคท่านก็ตายไปแล้ว เมื่อไหร่เราจะเลิกเจ้าคิดเจ้าแค้นพ่อสักที เราเป็นลูก อภัยได้ก็ควรอภัยนะ”
น่านฟ้าหวนนึกถึงความหลังขึ้นมาทันที
ในอดีต เมื่อน่านฟ้าอายุได้ 6 ขวบ เขานั่งชิงช้าอยู่ที่โรงเรียน เหลือบมองด้านหน้าประตูไปด้วย สักพักครูเดินเข้ามาหา
“น้องน่าน ผู้ปกครองมารับแล้วจ้ะ”
น่านฟ้าลุกพรวดจากชิงช้าอย่างดีใจ
“คุณพ่อมาแล้ว”
แต่แล้วภาพที่เห็นคือ วิภา เดินเข้ามา สีหน้าเฉยเมย ถือถุงใส่ของขวัญไว้ด้วย น่านฟ้าชะงักมองวิภาอย่างกลัวๆ
“คุณโชคติดธุระ ฉันเลยมารับแกแทน”
น่านฟ้าหน้าจ๋อยสนิท โวยวาย
“ไม่ ผมจะกลับบ้านกับพ่อ พ่อรับปากแล้วว่าจะมารับผมเอง”
“ก็บอกแล้วไงว่าพ่อแกไม่ว่าง หูหนวกรึไง ไปได้แล้ว อย่าเรื่องมาก เดี๋ยวก็โดนหวดหรอก”
น่านฟ้าแกะมือวิภาออกอย่างไม่พอใจ
“ไม่ ผมไม่กลับกับแม่ใหญ่ ผมจะให้พ่อมารับ”
“เอ๊ะ ก็ฉันบอกว่าคุณโชคไม่ว่าง จะกลับหรือไม่กลับ ไม่กลับใช่มั้ย”
วิภาตีน่านฟ้า ครูตกใจรีบเข้ามาห้าม
“ใจเย็นๆ นะคะคุณ เด็กยังเล็ก ค่อยๆ คุยกับแกเถอะค่ะ”
สุกัญญาเดินเข้ามา
“น่าน”
น่านฟ้าเห็นแม่ก็วิ่งเข้าไปกอดทันที พลางร้องไห้ไปด้วย สุกัญญาหันไปถามวิภา
“มีอะไรเหรอคะ ทำไมต้องตีแกด้วย”
“ก็ลูกเธอมันดื้อ รู้มั้ยว่าเวลาของฉันเป็นเงินเป็นทองแค่ไหน ฉันยอมเสียเวลามารับมันแทนคุณโชค มันยังจะดื้อกับฉันอีก นี่ถ้าไม่เห็นแกคุณโชคว่ารับปากมันไว้ ฉันไม่มาหรอกนะ”
สุกัญญามองน่านฟ้าด้วยความสงสาร กอดลูกแน่น พลันตอบกลับวิภา
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันมารับแกแล้ว ฝากบอกคุณโชคด้วยนะคะว่า ต่อไปนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันดูแลลูกเองได้”
“งั้นก็ดี”
วิภานึกได้ ยื่นถุงของขวัญให้น่านฟ้า
“อ่ะ วันนี้วันเกิดแกไม่ใช่เหรอ คุณโชคฝากของขวัญมาให้”
สุกัญญารับถุงของมา
“ขอบคุณค่ะ”
วิภาเดินกลับไป น่านฟ้ามองวิภาด้วยความโกรธ
น่านฟ้าหลุดจากความคิดในอดีต มองรถของเล่นในมือ แล้วเปิดตู้ออกมาโยนกลับไป ปิดตู้ปัง ทิ้งตัวนอนบนเตียงด้วยความเซ็ง
ตอนเช้า น่านฟ้านอนหลับสบายอยู่บนเตียง ต๋องประตูเปิดเข้ามา ร้อนใจมาก มองน่านฟ้าอย่างเอือมๆ
“คุณน่าน นี่สายป่านนี้แล้วยังไม่ตื่นอีกเหรอคร้าบ”
น่านฟ้าหันมามองต๋อง เซ็ง เอาผ้าห่มคลุมโปงทันที ต๋องรีบเข้ามาดึงผ้าห่มออก
“คุณน่านรีบลุกอาบน้ำแต่งตัวเถอะครับ วันนี้มีอะไรต้องทำอีกเยอะ”
“ทำอะไร ไม่ทำ ฉันจะนอน”
“นอนไม่ได้ครับ เกิดคุณท่านรู้ เข้าเล่นงานผมแย่เลย”
“แกก็ทนเอาละกัน”
ต๋องแทบจะบ้าตาย รีบดึงแขนน่านฟ้าขึ้น
“ไม่ได้นะครับ ยังไงคุณน่านก็ต้องลุกเดี๋ยวนี้”
“ไปๆๆๆ”
“ถ้าคุณน่านไม่ลุก งั้นผมเอาจริงแล้วนะครับ นับหนึ่ง นับสอง นับสาม”
ต๋องทำหน้าจริงจัง แต่แล้วทันใดนั้น น้ำเปียกเต็มหน้าน่านฟ้าไปหมด น่านฟ้าสะดุ้งโหยงลุกพรวดขึ้นทันที
“ไอ้ต๋อง นี่แกกล้าสาดน้ำใส่ฉันเหรอ หะ”
เสียงของสุกัญญาดังขึ้น
“ใครบอกว่าต๋องทำ แม่เองต่างหาก”
สุกัญญาเดินเข้ามาข้างเตียงเอาเรื่องน่านฟ้า ในมือถือแก้วน้ำไว้ด้วย
“เลิกทำตัวเป็นเด็กซะที หัดมีความรับผิดชอบบ้าง”
“คุณแม่”
ต๋องแอบยิ้มสะใจ
“ไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย อย่าทำให้แม่โมโห ลุกสิ”
น่านฟ้ารีบลุกพรวดทันที
สุกัญญามองตามลูกชาย แทบจะกินเลือดกินเนื้อ
อ่านต่อหน้า 2
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 1 (ต่อ)
น่านฟ้านั่งเซ็งอยู่เบาะหลังรถ ขณะที่ต๋องขับรถด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแอบสะใจ
“แกนะแก ทำฉันโดนแม่ด่าแต่เช้าเลย”
“ก็ผมปลุกคุณน่านดีๆ แล้วนี่ครับ แต่คุณน่านไม่ลุกเอง”
“ก็ฉันไม่อยากไปไหน ทำไมต้องบังคับกันด้วย”
“โถ ให้สาบานวัดไหนก็ได้ ผมน่ะไม่เคยอยากบังคับคุณน่านเลย แต่คนที่บังคับคุณน่านคือคุณท่านต่างหาก”
น่านฟ้าเบ้ปากเซ็ง
“ไม่รู้จะบังคับขู่เข็ญทำร้ายจิตใจฉันไปถึงไหน”
“ผมว่าคุณท่านหวังดีกับคุณน่านมากกว่านะครับ คิดดูสิครับ ผมเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอีกไม่รู้กี่รอบ ยังไม่มีวาสนาได้เป็นประธานบริษัทใหญ่อย่างนี้เลย นี่คุณท่านมอบตำแหน่งนี้ให้คุณน่าน แสดงว่าท่านหวังดีกับคุณน่านนะครับ”
“หวังดี แต่ประสงค์อย่างอื่นมากกว่า แกไม่ต้องพูดถึงแม่ใหญ่แล้ว ฉันไม่อยากฟัง”
ต๋องถอนหายใจเซ็งๆ สักพักรถแล่นมาถึงบริเวณป้ายรถเมล์ ต๋องหันไปเห็นมัศยายืนรอรถเมล์อยู่ก็ชะงัก
“เอ๊ะ นั่นเจ๊หยีนี่”
“นั่นมันยัยเจ๊ที่เบรกฉันเมื่อวานนี้นี่ เขาเป็นใครวะต๋อง”
“เจ๊หยีเป็น รองผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัทคุณน่านนั่นแหละครับ”
น่านฟ้ามองเหลียวหลัง สนใจ
“เหรอ สวยดีนะ แต่แต่งตัวเชยไปหน่อย จับไปโมสักนิดน่าจะใช้งานได้อยู่”
“อย่าทำเป็นเล่นนะครับ เจ๊หยีน่ะ ดุยิ่งกว่าหมาแม่ลูกอ่อน ในบริษัทไม่มีใครอยากยุ่งหรอกครับ”
น่านฟ้าหรี่ตาสนใจขึ้นมาทันที
“จริงเหรอ”
มัศยายืนรอรถเมล์อย่างร้อนใจ พลางมองนาฬิกาข้อมือไปด้วย
“สายแล้วจริงๆ ด้วย รู้งี้เชื่อแม่ก็ดี”
ทันใดนั้น รถน่านฟ้าก็แล่นมาเทียบจอดฟุตบาทตรงหน้า น่านฟ้าลงมาจากรถ มัศยาเห็นก็งง
“เอ่อ ท่านประธาน”
“จะไปทำงานเหรอ ขึ้นรถสิ ไปคันเดียวช่วยประหยัดทรัพยากรโลกได้เยอะนะ”
กระจกรถด้านหน้าเลื่อนลงมา ต๋องส่ายหน้ายิกๆ ส่งสัญญาณบอกมัศยา
“ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันไปรถเมล์สะดวกกว่า”
“สะดวกกว่าตรงไหน มีรถมารับไปส่งถึงที่ทำงาน สบายจะตาย น่า ไปด้วยกันเถอะนะ”
น่านฟ้าคว้ามือมัศยาทันที
“น่า นะ”
มัศยาตกใจรีบบิดแขนน่านฟ้าเต็มแรง ปฏิกิริยาตอบรับเร็วมาก
“โอ๊ย”
น่านฟ้าร้องลั่น มัศยาตกใจรีบปล่อยมือออก
“ขอโทษ ฉันเป็นคนไวต่อการถูกลวมลาม”
น่านฟ้าได้ยินก็ยั้วทันที
“ลวมลาม นี่เจ๊คิดว่าผมลวมลามเจ๊เหรอ โทษทีเหอะ ตัวเจ๊น่ะจับทีเนื้อแทบติดมือมาด้วยอยู่แล้ว เหี่ยวจนยุ่ยขนาดนี้ผมไม่ได้พิศวาสหรอกนะ”
มัศยาขมวดคิ้วชักไม่สนุกแล้ว
“อ้าวท่านประธาน ทำไมพูดจาแบบนี้ล่ะ ฉันอยู่ของฉันดีๆ คุณมาหาเรื่องฉันเองนะ”
“ก็ผมอุตส่าห์หวังดีจะพาไปส่งที่ออฟฟิศ แค่จับนิดจับหน่อยแบบไม่ได้คิดอะไร มาหาว่าผมลวมลามทำไมล่ะ”
“แล้วผู้ชายดีๆ คนไหนบ้างที่อยู่ๆ มาจับมือผู้หญิงที่ไม่รู้จักล่ะ”
“แล้วผมเป็นผู้ชายไม่ดีตรงไหนไม่ทราบ”
“ยังจะถามอีก”
ประตูรถเปิดออก ต๋องรีบเข้ามาไกล่เกลี่ย
“ผมว่าขึ้นรถเถอะครับคุณน่าน เจ๊หยีก็ใจเย็นๆ เถอะนะ”
“ฉันจะบอกให้นะ ถึงฉันจะเป็นพนักงานของคุณ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรกับฉันก็ได้ ถ้าไม่พอใจจะไล่ฉันออกก็ได้นะ จ่ายเงินเดือนล่วงหน้ามาแล้วฉันจะไปทันที”
น่านฟ้าจะพูดต่อ แต่พูดไม่ออก เมื่อเจอคนจริงเข้าให้ ต๋องดึงแขนน่านฟ้า
“ขึ้นรถเถอะครับคุณน่าน เชื่อต๋องเถอะนะครับ”
น่านฟ้ายอมไปขึ้นรถด้วยความอึ้ง งง รถแล่นออกไป มัศยาถอนหายใจ กลัวว่าจะมีผลกระทบกับงาน
น่านฟ้าเดินเข้ามาในห้องทำงาน บ่นอุบอิบไปด้วย ต๋องถือกระเป๋าเดินตามเข้ามา
“ผู้หญิงอะไรวะ โหดเหี้ยม อำมหิต ไม่มีเสน่ห์แม้แต่นิดเดียว”
“ก็ผมเตือนแล้วว่าเจ๊หยีแกดุ คุณน่านก็ยังจะไปยุ่งให้ได้”
“ฉันก็แค่อยากลองของ ใครจะคิดว่าจะดุขนาดนี้ พูดก็พูดเถอะนะ นี่ถ้าแม่ใหญ่ตายแล้วฉันคงคิดว่า วิญญาณแม่ใหญ่กำลังสิงยัยป้านี่อยู่แน่ๆ”
วิภาประตูเปิดพรวดเข้ามาด้วยความหงุดหงิด
“แกพูดถึงใคร หะ ใครตาย ใครสิงใคร”
น่านฟ้าหันมาพูดกับต๋องเบาๆ
“โคตรเฮี้ยนเลย”
วิภาสวนขึ้นทันที
“นายต๋อง วันนี้นายพาประธานมาทำงานสายนะ”
“ครับ พอดีมันมีแอ็คซิเดนท์นิดหน่อยครับ”
“ทำไม เกิดเรื่องอะไร”
“คือว่า”
“ไม่มีอะไรหรอกครับแม่ใหญ่ ว่าแต่แม่ใหญ่มาหาผมแต่เช้า มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอครับ”
“มีแน่ๆ ฉันจัดเต็มเลยล่ะ”
วิภาหันไปพูดที่หน้าประตู
“เข้ามาได้”
พนักงาน 4-5 คน เดินเข้ามาพร้อมกับแฟ้มเอกสารเต็มมือ
“นี่ผู้จัดการทุกฝ่ายของบริษัทเรา ตอนนี้ประธานจำเป็นต้องเรียนรู้งานบริษัทแบบเร่งด่วน เพราะฉะนั้น วันนี้ต้องอยู่แต่ในห้องนี้ ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด”
น่านฟ้ามองพนักงานทุกคนด้วยความเซ็งมาก
มัศยานั่งเซ็งอยู่ที่โต๊ะ เพื่อนข้างๆ หันมาคุยด้วย
“คุณหยีไม่ไปทานข้าวเหรอคะ”
มัศยาชะงักมองนาฬิกา
“อ้าว เที่ยงแล้วเหรอ ทำไมมันเร็วจริง”
“สงสัยจะทำงานหนักไปแล้วนะคะ เอ แต่ตั้งแต่เช้าเห็นคุณหยีนั่งเหม่อตลอด มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะ”
มัศยาสะอึก ไม่รู้จะพูดอย่างไร
“ไม่มีจ้ะ สบายดี ขอบใจที่ถามนะ”
ต๋องเดินผ่านมาพอดี
“มาพอดีเลย ต๋อง”
ต๋องได้ยินก็ชะงัก หันไปมองมัศยาเจื่อนๆ
“เจ๊หยี”
มัศยากับต๋องนั่งกินข้าวกันที่ร้านอาหารตามสั่งใกล้บริษัท
“ผมว่าเจ๊อย่าไปถือสาคุณน่านเลยนะ คุณน่านแกก็เป็นแบบนี้แหละ ดูเหมือนชอบก่อเรื่อง แต่จริงๆ ก็ ก็ชอบก่อเรื่องจริงๆ แหละ”
มัศยาหงุดหงิดฮึดฮัด
“นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นประธานบริษัท เมื่อเช้าฉันบอกได้เลยว่าคุณน่านของแก เละ”
“ก็นั่นสิ ผมถึงดีใจที่เจ๊ยังใจเย็น นี่ผมเองก็เหนื่อยนะ เมื่อก่อนเป็นลูกน้องเจ๊ว่าเหนื่อยแล้ว ตอนนี้ถูกดึงไปเป็นผู้ช่วยคุณน่าน โห เหมือนควบตำแหน่งคนขับรถ แถมเบ๊ประจำตัวด้วย”
“แล้วแกคิดว่าจะทนได้อีกสักแค่ไหนวะต๋อง ฉันดูแล้วบริษัทเราไม่เห็นจะมีอนาคตเลย”
ต๋องครุ่นคิด ถอนหายใจเอือมๆ
“ผมก็คิด ไม่ใช่ไม่คิด แต่ผมเองก็เหมือนเจ๊นั่นแหละ พ่อแม่เคยทำงานที่นี่มาก่อน ตั้งแต่เรียนจบมาก็ทำที่นี่ที่เดียว ถ้าผมชิงลาออกไปตอนนี้ พ่อฆ่าผมแน่ๆ”
มัศยาชะงักคิดตาม เซ็งๆ
“ฉันเองก็เหมือนกัน”
“ตอนนี้นะ ผมได้แต่ภาวนาให้วิญญาณท่านประธานช่วยดลใจให้คุณน่านบริหารบริษัทให้ไปรอดด้วยเถอะ สาธุ”
ต๋องไหว้เสร็จก็ถอนหายใจเอือม
น่านฟ้าฟุบหลับอยู่กับโต๊ะทำงาน เสียงกรนลั่นห้อง พนักงานมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี วิภาเข้ามาในห้อง พอเห็นน่านฟ้าหลับก็เดือดสุดๆ พยักพเยิดให้พนักงานคนอื่นๆ ออกนอกห้องไปก่อน แล้วเธอก็คว้าแฟ้ม ฟาดหลังน่านฟ้า น่านฟ้าลุกพรวดขึ้นทันที โวยวาย
“โอ๊ยๆๆ ตีผมทำไมครับแม่ใหญ่”
“ฉันบอกให้แกเรียนรู้งาน แล้วแกทำอะไร หะ”
“โถ แม่ใหญ่ครับ งานบริษัทมีตั้งเยอะตั้งแยะ ใครจะไปเรียนหมด มันก็ต้องพักสมองผ่อนคลายกันบ้าง”
“พักสมอง ผ่อนคลายเหรอ”
วิภาเอาแฟ้มฟาดน่านฟ้าอีก
“โอ๊ย เจ็บนะครับแม่ใหญ่”
“เจ็บสิดี ไอ้ตัวขี้เกียจมันจะได้หลุดออกไปซะบ้าง ฉันให้แกถือตำแหน่งประธานบริษัทมีโชคนะ ไม่ได้เลี้ยงหมาไว้นอนเฝ้าบริษัท”
“หูย แรงอ่ะ ก็แม่ใหญ่เอะอะก็ยัดเยียดอะไรไม่รู้ใส่หัวผมเต็มไปหมด ผมคนนะครับ ไม่ใช่ฮาร์ดดิสก์จะได้เซฟอะไรไว้ได้ทีเดียวเยอะๆ ก็ต้องของีบบ้างสิ”
วิภาอยากจะฉีกน่านฟ้าเป็นชิ้นๆ
“แกนี่มันเกินเยียวยาจริงๆ ไอ้น่าน”
น่านฟ้ายิ้มร่าราวกับมีความหวัง
“นี่แม่ใหญ่ถอดใจที่จะให้ผมเป็นประธานบริษัทแล้วใช่มั้ยครับ”
“ใครบอก ฉันประเมินแกผิดไปต่างหาก คนอย่างแกมันต้องเริ่มตั้งแต่วางรากฐานให้มีสามัญสำนึกที่ดีก่อนเลย เตรียมตัวไว้แล้วกัน”
วิภาเดินออกไป น่านฟ้าเซ็ง
วิภาออกมาจากห้องน่านฟ้า พยายามสูดลมหายใจเต็มปอดให้ใจเย็นๆ สุกิจเดินเข้ามาใส่ไฟทันที
“พี่วิภาไม่เหนื่อยบ้างเหรอครับ ที่ต้องมาเจียระไนก้อนหินโสโครกให้เป็นเพชรเม็ดงาม บอกตรงๆ นะ ผมสงสารพี่จริงๆ”
วิภาหันมาพูดกับสุกิจด้วยหน้านิ่ง
“เหนื่อยแค่ไหนพี่ก็ต้องทำให้ได้ เพราะพี่รับปากคุณโชคไว้”
“จริงๆ พี่โชคก็สิ้นไปแล้ว ไม่ได้รับรู้อะไรกับพี่ซะหน่อย ไม่เห็นจะต้องรักษาคำพูดอะไรเลย สู้เฉดหัวไอ้เด็กนั่นออกไป แล้วหาคนที่เหมาะสมกว่ามาบริหารบริษัทไม่ดีกว่าเหรอครับ”
วิภาหันขวับมาเอาเรื่องสุกิจทันที
“อย่าพูดแบบนี้อีกนะสุกิจ ที่แกมีตำแหน่งดีๆ มีหน้ามีตาในบริษัทได้ก็เพราะบุญคุณของคุณโชค ถึงแกจะเป็นน้องชายฉัน แต่ก็ไม่ใช่น้องชายในสายเลือด หน้าที่แกคือทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณคุณโชค ไม่ใช่มาพูดจาแบบนี้”
สุกิจหน้าเสีย พยายามอธิบาย
“ผมขอโทษครับ ที่ผมพูดไปก็เพราะเป็นห่วงพี่ เป็นห่วงบริษัท”
“อย่าพูดแบบนี้ให้พี่ได้ยินอีก พี่ไม่ชอบ”
วิภาเดินออกไป สุกิจมองด้วยความไม่พอใจ
สุกิจเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน ทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ ปัดข้าวของตกกระจายด้วยความโมโห
“โธ่เว้ย”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น สุกิจพยายามเก็บอารมณ์หันไปพูดกับคนที่หน้าประตู
“เข้ามา”
ภูริชเปิดประตูเข้ามา พร้อมแฟ้มเอกสาร
“ขออนุญาตครับ”
สุกิจพยักหน้ารับเซ็งๆ
“ว่ามา”
“ผมเอางบเบิกจ่ายมาให้เซ็นครับ”
“ให้ใครเซ็น ตอนนี้คุณวิภาบอกแล้วไงว่า ระหว่างที่ประธานยังไม่เริ่มงานห้ามเซ็นอนุมัติอะไรทั้งนั้น”
ภูริชสะอึกหน้าเจื่อนๆ
“ขอโทษครับ”
“พูดถึงไอ้ประธานเฮ็งซวยนั่นแล้วมันน่าโมโหจริงๆ โง่ดักดานอย่างนั้นยังได้เป็นประธาน ไอ้เราทำงานแทบตาย แต่ไม่ได้ขึ้น”
“ใจเย็นๆ นะครับคุณสุกิจ ผมได้ยินพนักงานบ่นเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน นี่ถ้าหุ้นส่วนของเราเห็นด้วยกับทุกคน เชื่อว่าประธานคงอยู่ได้ไม่นานหรอกครับ”
สุกิจชะงัก เริ่มมีความหวัง
“จริงเหรอ”
“จริงครับ ตอนนี้ผมว่ารอดูสถานการณ์ไปก่อนดีกว่า เชื่อว่าอีกไม่นานโอกาสต้องเป็นของคุณสุกิจแน่ๆ ทีนี้ตำแหน่งประธานบริษัทก็คงไม่พ้นคุณสุกิจแน่นอนครับ”
สุกิจฟังแล้วสบายใจขึ้น
น่านฟ้าเดินผิวปากมาตามทางเดินในบริษัท มัศยาเดินสวนมา น่านฟ้าเห็นก็ชะงักทันที
“เจ๊โหด อย่าเข้ามานะ ผมมีพระนะจะบอกให้”
มัศยาเบือนหน้าเซ็งๆ เดินเลี่ยงไปทางอื่น น่านฟ้ายิ้มๆ นึกอะไรขึ้นมาได้ รีบเดินตามไป
“เลิกงานแล้วเหรอเจ๊ จะกลับแล้วเหรอ”
มัศยาเดินต่อโดยไม่สนใจน่านฟ้า
“แน้ พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย หยิ่งจังเว้ย”
มัศยาเดินเฉยไม่คุยกับน่านฟ้าอยู่ดี น่านฟ้าเลยรีบเดินไปดักข้างหน้า จนมัศยาชนเขาเต็มๆ มัศยาตกใจ รีบผละออกจากน่านฟ้า
“ท่านประธาน”
“อะไรกัน ชนเขา ขอโทษสักคำก็ไม่มี ยังจะมาทำหน้ายักษ์ใส่อีก”
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณนะ ถ้าอยากหาเพื่อน ไปโรงเรียนอนุบาลโน่น ที่นั่นเหมาะกับคุณมากกว่า”
น่านฟ้าสะอึก
“อูย ปากจัดจริงๆ นะเจ๊ ด่าประธานบริษัทไม่กลัวตกงานเหรอ”
“บอกแล้วไงว่าไม่กลัว ถ้าจะไล่ฉันออกก็บอกมา ฉันพร้อมเสมอ”
น่านฟ้าขำมัศยา
“โอ๊ย ใครจะไปกล้าไล่คนอย่างเจ๊ออก มีพนักงานอย่างเจ๊ประดับบริษัทน่ะดีจะตาย ยิ่งกว่ามียันต์กันผีซะอีก เพราะเจ๊ดุขนาดผียังกลัวเลยเหอะ”
มัศยาเดือดขึ้นทันที
“ท่านประธาน”
“แน่ะ เรียกอีกแระ เอะอะอะไรก็เรียก ว่าไงครับ เจ๊โหด”
มัศยาพยายามทำใจเย็นเดินออกไป น่านฟ้ามองตามยิ้มๆ รีบเดินตามไป ต๋องเดินมาพอดี เห็นเข้าก็ตกใจ
“ซวยแล้ว”
น่านฟ้าเดินตามไปคุยกับมัศยา
“ให้ผมไปส่งมั้ยเจ๊”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกลับเองได้”
“สวยๆ อย่างเจ๊ เดินทางคนเดียวระวังโดนฉุดนะ ตอนนี้พิพิธภัณฑ์ต่างประเทศเขายิ่งกำลังหาวัตถุโบราณแปลกๆ อยู่ด้วย”
มัศยาชะงักหันมามองน่านฟ้า ก่อนจะพยายามทำใจเย็นเดินไป
“อ้าว ไม่ด่าแล้วเหรอ ไหนเมื่อกี้ยังด่าฉอดๆๆ อยู่เลย”
มัศยาทนไม่ไหว หยุด หันมาแหวใส่น่านฟ้า
“นี่คุณ คุณต้องการอะไรจากฉันกันแน่ หะ”
ต๋องวิ่งเข้ามาพอดี
“คุณน่าน เจ๊หยี ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ”
“ถามว่าต้องการอะไรเหรอ ได้ ผมจะบอกให้ ผมอยากให้คุณขึ้นรถไปกับผม ผมจะไปส่งคุณที่บ้านเอง”
ต๋องได้ยินก็ตกใจ
“เอ่อ คุณน่านครับ ไม่ดีหรอกครับ”
มัศยาสวนทันควัน
“ตกลง”
ต๋องตกใจ แทบคะมำ
“เจ๊หยี”
“แต่มีข้อแม้ว่า คุณต้องขับรถไปส่งฉันเอง”
“ดีล ตามนั้นเลย เชิญครับเจ๊”
มัศยาและน่านฟ้าเดินไปด้วยกัน ต๋องเอามือกุมหน้า นึกภาพไม่ออกว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
น่านฟ้ากำลังขับรถอยู่ ขณะที่มัศยานั่งนิ่งเงียบ
“ไม่คิดจะพูดอะไรบ้างเหรอเจ๊ เงียบนานๆ ระวังน้ำลายบูด ท้องเสียไม่รู้ด้วยนะ”
มัศยาเฉย ไม่สนใจน่านฟ้าอยู่ดี
“นี่ ทำไมเจ๊ต้องทำหน้าโหดๆ เหมือนยักษ์ตลอดเวลาด้วย แล้วทำหน้าแบบนี้ถามจริงๆ มีเพื่อนคบบ้างมั้ย”
มัศยาไม่สนใจน่านฟ้า
“โอเค ไม่พูดก็ไม่พูด ให้เลี้ยวตรงไหนบอกแล้วกัน ไม่งั้นผมจะขับไปเรื่อยๆ พาไปส่งชายแดนเลยด้วย”
ขณะที่รถจอดติดไฟแดงพอดี มัศยาได้ทีก็กดกระจกลง พลันตะโกนเสียงดัง
“ด้วยช่วย ฉันโดนลักพาตัวค่า”
น่านฟ้าตกใจ รีบเอามือปิดปากมัศยาไว้
“เฮ้ยเจ๊ พูดอะไรน่ะ”
“ช่วยด้วยค่า”
น่านฟ้าลนลานตกใจ ไฟเขียวพอดี เขาจำเป็นต้องขับรถออกไป แต่แล้วรถมอเตอร์ไซค์ของตำรวจก็แล่นปาดหน้ารถน่านฟ้าทันที
เขาหันมามองมัศยาอย่างเจ็บใจ
ที่ป้อมตำรวจเวลานี้ น่านฟ้าและต๋องยกมือไหว้ตำรวจอย่างนอบน้อม ขณะที่มัศยายืนแสยะยิ้มสะใจ น่านฟ้าเดินเข้ามาค้อนมัศยา
“แสบจริงๆ นะเจ๊ นี่ดีนะที่ไอ้ต๋องเอาเอกสารมายืนยันว่าทำงานที่เดียวกันจริงๆ ไม่งั้นเรื่องยาวแน่”
“ใครบอก ต้องบอกว่า ดีนะที่ฉันไม่เอาเรื่องต่างหาก ไม่งั้นคืนนี้คุณได้นอนกรงแน่ๆ”
ต๋องยกมือไหว้ทั้งคู่อย่างเอือมสุดจะเอือม
“ผมไหว้ล่ะครับ ทั้งคุณน่าน ทั้งเจ๊หยีเลย อย่ามีเรื่องกันอีกเลยนะ ผมไม่อยากโดนคุณท่านเตะโด่งไปดาวอังคาร ช่วยปรองดองกันหน่อยเหอะ”
น่านฟ้าและมัศยาเบือนหน้าไปคนละทาง
“อ่ะ ไม่ปรองดอง อย่างน้อยก็ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันก็ยังดีนะครับ”
“ใครบอกว่าฉันอยากยุ่ง ประธานของแกต่างหากมายุ่งกับฉันเอง คุณน่านฟ้า ฉันจะบอกคุณว่า ที่วันนี้ฉันกล้ามีเรื่องกับคุณ เพราะฉันตั้งใจแล้วว่า ฉันจะลาออกจากบริษัท”
น่านฟ้าได้ยินก็สะอึกไปเลย
“เฮ้ย เอาจริงเหรอเจ๊ อุตส่าห์ทำงานมาตั้ง 7 ปี จงรักภักดีมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ไม่เสียดายเหรอเจ๊”
“ไม่ มันหมดยุครุ่งเรื่องของข้าวเกรียบมีโชคแล้วล่ะต๋อง ยอมรับความจริงกันได้แล้ว ที่ฉันจะพูดก็มีเท่านี้ล่ะ ฉันลาล่ะ”
มัศยาเดินออกไปเลย
“คุณน่านนะคุณน่าน แค่วันเดียวก่อเรื่องจนเสียพนักงานที่จริงใจต่อบริษัทที่สุดคนหนึ่งไป น่าเสียดายนะครับ”
น่านฟ้าอึ้ง รู้สึกผิด
ตอนเย็น รถของน่านฟ้าจอดอยู่ที่มุมหนึ่งบริเวณหน้าบ้านมัศยา โดยน่านฟ้ากับต๋องแอบซุ่มอยู่
“คุณน่านจะอยากรู้จักบ้านเจ๊หยีไปทำไมครับ”
“ก็แกบอกเองไมใช่เหรอว่า เจ๊นี่เป็นพนักงานที่ดี ฉันก็อยากรู้ว่าเป็นคนดีจริงรึเปล่าน่ะสิ”
มัศยาเดินเข้ามาที่หน้าประตู สมใจมาเปิดประตูให้ และ นะดี เด็กหญิงน่ารัก โผเข้ากอดมัศยา
“เด็กผู้หญิงคนนั้นลูกเจ๊แกเหรอ”
“ครับ ชื่อนะดี เจ๊หยีแกรักยิ่งกว่าอะไรดี หายใจเข้าออกเป็นทำเพื่อลูกตลอด”
น่านฟ้าพยักหน้าสนใจ
“เรากลับกันดีกว่ามั้ยครับคุณน่าน เกิดเจ๊หยีเห็นเข้า ผมจะซวยเอา”
น่านฟ้าพยักหน้ารับ แล้วเดินไปที่รถกับต๋อง
สมใจนั่งเซ็งขณะที่คุยกับมัศยาและนะดีอยู่ในบ้าน
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำไมด่วนตัดสินใจเร็วนักนะ แม่ไม่เห็นด้วยกับเราเลยนะหยี”
“หนูคิดดีแล้วค่ะแม่ หนูอยู่ของหนูดีๆ เขาต่างหากมาหาเรื่องหนู อีกอย่างดูแล้วยังไงอีกไม่นานบริษัทก็ไปไม่รอดอยู่แล้ว สู้ออกไปหางานบริษัทอื่นทำยังดีกว่า”
“แล้วถ้าหางานไม่ได้ล่ะ จะอยู่กันยังไง ไหนจะต้องดูแลนะดีอีก แม่เองก็มีเงินเก็บเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่นะ”
มัศยาเห็นนะดีนั่งตาแป๋วอยู่ก็มองอย่างรู้สึกผิด นะดีเข้ามากอดมัศยา
“แม่หยีไม่ต้องห่วง นะดีจะลาออกจากโรงเรียนมาทำงานหาเงินช่วยแม่หยีเองค่ะ”
มัศยาหน้าเสีย ดึงนะดีมากอด
“โถ ใครจะยอมให้นะดีทำแบบนั้นล่ะลูก”
มัศยากอดนะดีอย่างแสนรัก รู้สึกเจ็บปวดกับการตัดสินใจของตัวเองเหมือนกัน
น่านฟ้านั่งกินข้าวกับต๋องที่ร้านอาหร ต๋องนั่งบ่นไปด้วย
“เจ๊หยีน่ะ เป็นเสาหลักของบ้านนะครับคุณน่าน ต้องดูแลหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวตัวคนเดียว คุณน่านทำแบบนี้เท่ากับรังแกเขาทั้งบ้านเลยนะครับ”
น่านฟ้าวางช้อนอย่างรู้สึกผิด
“ก็ใครจะไปคิดล่ะว่า เจ๊โหดนั่นจะตัดสินใจลาออก ฉันก็แค่อยากเอาชนะ เลยแกล้งกวนประสาทแค่นี้เอง”
“นั่นไง สุดท้ายคุณน่านก็ยอมรับจนได้ว่าอยากเอาชนะ คุณน่านกับเจ๊หยีน่ะคนละสถานะกันนะครับ คุณน่านแกล้งเจ๊หยี ยังไงคุณน่านก็เป็นเจ้านาย แต่เจ๊หยีเป็นลูกน้อง การมีเรื่องกับประธานบริษัท ยังไงเจ๊แกก็ต้องยอมพิจารณาตัวเองอยู่แล้ว”
“เออๆๆ ฉันยอมรับผิดเองก็ได้ งั้นแกว่าฉันควรทำยังไงดีวะต๋อง”
ต๋องครุ่นคิด
อ่านต่อหน้า 3
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 1 (ต่อ)
เมื่อมองจากหน้าบ้านน่านฟ้าในตอนกลางคืน เห็นแสงไฟลอดออกมาจากหน้าต่างบ้าน น่านฟ้านั่งเซ็งอยู่ที่โซฟา สุกัญญาเดินเข้ามาหาลูกชายอย่างแปลกใจ
“ลองว่านอนไม่หลับแบบนี้ มีเรื่องกลุ้มใจอะไรอีกใช่มั้ย”
น่านฟ้าหันมาถอนหายใจเซ็งๆ
“ครับ”
สุกัญญาเข้ามานั่งข้างน่านฟ้าอย่างห่วงใย
“เรื่องแม่ใหญ่อีกล่ะสิ ทะเลาะกันมาใช่มั้ย”
“เรื่องแม่ใหญ่น่ะ ไม่ได้ระคายความรู้สึกผมเลย ผมชินแล้ว เพียงแต่วันนี้รู้สึกว่าทำอะไรเกินไปหน่อย เพราะแค่อยากจะป่วนบริษัท ป่วนแม่ใหญ่เพื่อให้ถอดใจปลดผมจากตำแหน่งประธานสักที แต่ไม่คิดว่ามันจะทำให้พนักงานที่ดีคนหนึ่ง ลาออกเพราะผม”
สุกัญญาถอนหายใจเอือมๆ
“นี่แหละ ผลของการทำอะไรไม่คิด สุดท้ายก็ต้องมากลุ้มใจเอง”
“แม่ว่าผมควรทำยังไงดีครับ”
“เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง ของแบบนี้แม่บอกไม่ได้หรอก เพราะแม่ไม่ได้เป็นคนสร้างปัญหา”
น่านฟ้าเซ็งกว่าเดิม
“จำไว้นะตาน่าน โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ การที่เราได้โอกาสมาบริหารบริษัทมีโชค แม่เชื่อมันต้องมีเหตุผล อย่าถือทิฐิจนลืมนึกถึงคนอื่นๆ ถ้าบริษัทมีโชคไปไม่รอด ไม่ใช่แม่ใหญ่คนเดียวที่ต้องเสียใจ แต่ยังมีพนักงานอีกกี่คนที่ต้องลำบาก ลองคิดดูดีๆ แล้วกัน”
สุกัญญาเดินออกไป น่านฟ้าหน้าเจื่อน รู้สึกผิด
ตอนเช้า มัศยายื่นจดหมายลาออกให้กับผู้จัดการฝ่ายบุคคลด้วยสีหน้าจริงจัง
“หยีขอลาออกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอให้พิจารณาด้วยนะคะ”
“คิดดีแล้วเหรอหยี อุตส่าห์อยู่ที่นี่มาตั้งนาน”
“มันจำเป็นค่ะพี่ ถึงหยีอยากอยู่ เดี๋ยวก็คงมีคนไล่ออกอยู่ดีแหละค่ะ”
มัศยาพูดซึมๆ
น่านฟ้านั่งหมุนปากกาพลางคิดอะไรไปด้วย ต๋องเปิดประตูเข้ามาในห้อง ตกใจมาก
“เย้ย”
น่านฟ้าหันมาแหวใส่ด้วยความหงุดหงิด
“อะไรของแก หะ ไอ้ต๋อง”
“ถามได้ ตกใจสิครับ ไม่คิดว่าคุณน่านจะมาออฟฟิศเช้าขนาดนี้”
“ทำไม หะ ฉันจะขยันบ้างไม่ได้รึไง”
“หูย ถามอย่างกับคนเหินห่างกัน ก็ไม่ใช่ไอ้ต๋องเหรอครับ ที่เป็นคนไปลากคุณน่านออกจากเตียงแทบทุกเช้า นี่แค่เมื่อวานคุณน่านบอกว่าจะมาทำงานเองผมก็ขนลุกแทบแย่แล้ว”
“ฉันก็แค่ตื่นเช้าแล้วไม่รู้จะทำอะไรดี ก็เลยมาออฟฟิศ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”
“งั้นก็ดีแล้วครับ เพราะวันนี้คุณท่านบอกว่า ตารางคุณน่านยาวเหยียดเลย”
น่านฟ้าชะงักทันที
“ตารางอะไรวะ”
น่านฟ้ายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานวิภา วิภาโยนเอกสารชุดหนึ่งให้
“อ่ะ เอาไปอ่านซะ แล้วเตรียมตัวตามที่ในเอกสารบอกด้วย”
น่านฟ้ารับมาอ่านเหวอๆ
“คอร์สปรับปรุงบุคลิกภาพเพื่อการเป็นผู้นำและนักบริหาร”
“ใช่ ในเมื่อแกไม่คิดจะปรับปรุงตัวเอง ฉันก็ต้องหาทางดัดสันดานแกแบบนี้แหละ”
“โธ่ แม่ใหญ่ครับ ผมโตแล้วนะครับ ไม่ใช่เด็ก จะต้องไปเรียนอะไรอีก กะอีแค่ปรับปรุงบุคลิกภาพง่ายจะตายไป”
“ง่ายเหรอ ฉันจะอยากหัวเราะให้ฟันร่วง ลำพังแค่การแต่งตัวแกมันก็ยิ่งกว่ากุ๊ยซะอีก เรื่องนิสัยไม่ต้องพูดถึง นี่แสดงว่าไม่ได้ดูสารรูปตัวเองเลยใช่มั้ย”
น่านฟ้าเพลียไม่รู้จะเถียงอย่างไร ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น วิภาหันไปพูด
“เข้ามาได้”
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเดินเข้ามา ถือแฟ้มมาด้วย
“มีอะไรเหรอ”
“หนังสือลาออกของมัศยาค่ะ”
น่านฟ้าชะงักทันที
“ใครเหรอ มัศยา”
“รองผู้จัดการฝ่ายการตลาดค่ะท่านประธาน”
น่านฟ้าหน้าเจื่อนไป พึมพำกับตัวเองเบาๆ
“เอาจริงเหรอเนี่ย”
วิภาหันมาถามน่านฟ้างงๆ
“ทำไมหะ”
“เปล่าครับแม่ใหญ่ พอดีผมกำลังคิดว่า อยากจะเริ่มดูงานบริหารฝ่ายบุคคลก่อนเลย”
น่านฟ้าดึงแฟ้มมาทันควัน
“เดี๋ยวผมพิจารณาเองแล้วกันนะ”
ผู้จัดการมองน่านฟ้าเลิ่กลั่ก
“ค่ะท่าน งั้นดิฉันขอตัวนะคะ”
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเดินออกไป วิภามองน่านฟ้าด้วยแววตาสงสัย
มัศยายืนคุยกับพนักงานคนอื่นๆ อยู่ในบริษัท
“เสียดายจริงๆ ไม่อยากให้เธอลาออกเลยหยี”
“เอาไว้ว่างๆ เดี๋ยวฉันแวะมาเยี่ยมที่ออฟฟิศแล้วกัน”
น่านฟ้าแอบมองอยู่ แต่ไม่รู้จะเข้าไปคุยอย่างไร มัศยาเหลือบเห็นก็รีบบอกเพื่อน
“ไปก่อนนะ”
มัศยารีบเดินออกไป น่านฟ้ารีบตามไปทันที มัศยาเร่งเดินหนี น่านฟ้ารีบตาม
“เดี๋ยวก่อนสิเจ๊ เจ๊ เจ๊โหด”
มัศยาเดินหนี น่านฟ้ารีบดึงแขนเธอไว้
“เรียกไม่ได้ยินรึไงเจ๊”
มัศยารีบสะบัดมือน่านฟ้าออกทันที
“คุยดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องถึงเนื้อถึงตัวเลย”
“เอ๊า ก็เรียกดีๆ แล้วไม่หยุดคุยเอง ผมก็ต้องทำแบบนี้สิ”
“มีอะไรคะ”
“ผมได้หนังสือลาออกของเจ๊แล้วนะ”
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะลาออก คนอย่างฉันพูดจริงทำจริง”
“แล้วเจ๊หางานใหม่ได้แล้วเหรอ”
“ยัง แต่เดี๋ยวก็คงได้”
“เฮ้ย อย่าประมาทไปนา สมัยนี้งานหายากจะตายไป ยิ่งตำแหน่งระดับรองผู้จัดการ เงินเดือนสูงแล้ว ยิ่งหาตำแหน่งว่างยากออก”
“ฉันเป็นคนไม่ยึดติดกับตำแหน่ง ไม่เกี่ยงงาน ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
น่านฟ้าพนักหน้าทึ่งๆ
“เยี่ยม ไม่เลือกงาน ไม่อดตาย”
“ตกลงมีธุระอะไรกับฉันเหรอ”
วิภาเดินมากับสุกิจ หยุดดูสองคนคุยกัน
“ผมจะบอกว่า ผมไม่อนุมัติให้เจ๊ลาออก”
มัศยาชะงักแปลกใจ
“ทำไมล่ะ ก็ในเมื่อคุณไม่ชอบฉันไม่ใช่เหรอ แล้วฉันก็เพิ่งแกล้งคุณจนเกือบโดนตำรวจจับมาด้วย”
วิภาได้ยินก็อึ้ง ทึ่งมาก
“เอาล่ะ เรื่องนั้นผมไม่ติดใจอะไรแล้ว ถือว่าเราหายกันก็แล้วกัน กับที่ผมเรียกเจ๊ว่าวัตถุโบราณ โอเคมั้ย”
มัศยาหยุดคิดนิดหนึ่ง
“เอาน่า ตามนี้แหละ จะได้แยกย้ายกันไปทำงานซะที”
น่านฟ้าเดินออกไปเลย มัศยาหันมามองน่านฟ้างงๆ วิภาครุ่นคิด สุกิจเห็นท่าทางวิภาก็แปลกใจ
“มีอะไรเหรอครับ”
“ฉันว่าฉันนึกอะไรดีๆ ออกแล้ว”
วิภายิ้มพอใจ
มัศยากลับมานั่งที่โต๊ะทำงานด้วยความแปลกใจ สักพักวิภาเดินมาหาที่โต๊ะ
“มัศยา”
มัศยาตกใจรีบลุกพรวดขึ้นทันที ขณะที่พนักงานในแผนกลุกขึ้นกันหมด วิภาหันไปบอกพนักงาน “ทำงานกันไปเถอะ”
วิภาหันมาทางมัศยา
“ไปพบฉันที่ห้องหน่อยสิ ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเธอ”
มัศยาแปลกใจมาก
มัศยายืนอยู่หน้าโต๊ะวิภา วิภายิ้มรับ
“นั่งลงสิ”
“ค่ะ”
มัศยานั่งลงอย่างเกร็งๆ ผิดกับวิภาที่ดูอารมณ์ดีมากๆ
“แปลกใจล่ะสิที่อยู่ๆ ฉันเรียกมาคุยเป็นการส่วนตัว”
“ค่ะ”
“ฉันอยากรู้ว่าเธอไปสนิทสนมกับประธานตั้งแต่เมื่อไหร่”
มัศยาลนลานปฏิเสธ
“เปล่านะคะ ดิฉันไม่เคยรู้จักกับท่านประธานมาก่อนเลยค่ะ”
“เหรอ แล้วทำไมเมื่อกี้ฉันถึงเห็นเธอยืนคุยกับประธานอย่างสนิทสนมเลยล่ะ”
มัศยาเหงื่อตกกลัวความผิด
“คือว่า มันเป็นเรื่องไม่ตั้งใจค่ะ เอ่อ หรือจะว่าตั้งใจก็ได้”
วิภาเลิกคิ้วงงๆ
“อะไร ตกลงตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ”
“คืออย่างนี้ค่ะ ดิฉันต้องสารภาพว่า ดิฉันเพิ่งจะทำเรื่องไม่สมควร แต่มันเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบของดิฉันเอง เพราะเมื่อวานท่านประธานมาหาเรื่องดิฉัน บังคับให้ดิฉันขึ้นรถไปทำงานด้วย แต่ดิฉันไม่อยากไปก็เลยทำร้ายร่างกายท่านประธาน”
“เธอน่ะนะ ทำร้ายประธาน”
“ค่ะ ตกเย็นท่านประธานก็เหมือนอยากจะเอาชนะดิฉันให้ได้ จะให้ดิฉันขึ้นรถไปด้วยอีก ดิฉันก็เลยยอมขึ้นรถ แล้วแกล้งตะโกนบอกตำรวจว่าโดนลักพาตัว จนท่านประธานเกือบโดนจับค่ะ”
วิภาหลุดหัวเราะขำ มัศยาหน้าเจื่อน
“เอ่อ คุณท่านไม่ว่าอะไรดิฉันเหรอคะ”
“ฉันจะไปว่าอะไรเธอ ฉันต้องขอบใจเธอถึงจะถูก ไม่คิดเลยนะว่าจะมีใครกล้าต่อกรกับไอ้น่าน เอ่อ ประธานได้”
“เพราะอย่างนี้ไงคะ ดิฉันเลยขอลาออกเพราะรู้ว่า เดี๋ยวท่านประธานก็คงจะไล่ออกอยู่ดี สู้ลาออกก่อนดีกว่า จะได้ไม่เสียประวัติ”
“ลาออกทำไม พนักงานอย่างเธอต้องถือว่า เป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าที่สุดในตอนนี้เลยนะ”
มัศยางงเป็นไก่ตาแตก
“เอาอย่างนี้นะ ฉันไม่อนุมัติให้เธอลาออก และฉันจะเลื่อนตำแหน่ง แถมขึ้นเงินเดือนให้เธออีกด้วย”
มัศยางงกว่าเดิม
“อะไรนะคะ”
“เธอฟังไม่ผิดหรอกมัศยา แต่ฉันมีเรื่องอยากขอร้องเธออย่างหนึ่ง เธอจะทำเพื่อฉัน เพื่อบริษัทมีโชคได้มั้ย”
มัศยานิ่งเงียบ แอบลุ้นกับสิ่งที่กำลังจะได้ยินต่อจากนี้
มัศยาและต๋องนั่งดื่มกาแฟไป พลางคุยกันไป ต๋องหน้าตาตื่นมาก
“ว่าไงนะเจ๊ ให้เจ๊เนี่ยนะกำราบคุณน่าน”
มัศยาพยักหน้าหงึกๆ
“ใช่”
“นรกชัดๆ”
“นรกของฉันเหรอ”
“ของคุณน่านน่ะสิ นี่คุณท่านคิดยังไงเนี่ย จับคนไม่ถูกกันมาทำงานด้วยกัน”
“อย่าว่าแต่แกเลย ฉันเองยังงง แต่คุณท่านขอร้อง บอกให้นึกถึงท่านประธาน เพราะมีแต่ฉันนี่แหละที่จะช่วยบริษัทไว้ได้”
“อื้ม แต่จริงๆ คุณท่านก็พูดถูกนะ ทั้งบริษัทนี้ผมยังไม่เห็นใครเหมาะเท่าเจ๊เลย คุณท่านตาแหลมจริงๆ”
“แต่ฉันไม่อยากทำน่ะสิ ให้ขลุกอยู่กับประธาน ฉันต้องเสียจริตสักวันแน่ๆ”
“เอาน่าเจ๊ งานนี้ถ้าไม่ใช่เจ๊ก็ไม่ใช่ใครแล้วล่ะ นึกถึงหน้าท่านประธานโชคเข้าไว้ จะได้ฮึด”
ต๋องพยักพเยิดเอาใจช่วยมัศยาสุดๆ
“ฮึดสิ ฮึด”
“ฮึด”
จากสีหน้าฮึกเหิม มัศยาก็ค่อยๆ ถอนหายใจ รู้สึกไม่เต็มใจกับภาระนี้
ตอนค่ำ น่านฟ้าเดินเข้ามาที่บ้านอย่างเหนื่อยอ่อน อยู่ๆ จิ้งจกก็ตกลงมาตรงหน้า น่านฟ้าตกใจชะงักทันที
“ฮึ้ย โบราณว่าจิ้งจกหล่นมาทักก่อนออกจากบ้านแสดงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี แต่นี่มันกำลังจะเข้าบ้านนี่หว่า”
น่านฟ้าส่ายหน้าเดินข้ามจิ้งจกเข้าบ้านไป เห็นวิภานั่งคุยอยู่กับสุกัญญาก็สะดุ้งโหยง
“แม่ใหญ่”
วิภาหันขวับมาทักทายน่านฟ้าทันที
“ไง หะ ไอ้น่าน ฉันคนนะไม่ใช่ผี จะตกอกตกใจอะไรนักหนา”
“มานั่งนี่สิตาน่าน แม่ใหญ่มีเรื่องอยากจะคุยด้วย”
น่านฟ้ามองวิภาอย่างไม่ไว้ใจ
“คุยกับผมเนี่ยนะ คุยกันทั้งวันแล้ว ไม่เบื่อรึไงครับถึงต้องตามมาคุยต่อที่บ้าน”
“ที่ออฟฟิศน่ะเขาไม่เรียกว่าคุย เขาเรียกว่าด่า แต่นี่ฉันตั้งใจจะคุยกับแกจริงๆ”
น่านฟ้าอึกอักเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมมานั่งกับวิภาแบบห่างๆ
“มีอะไรก็พูดมาสิครับ”
“ฉันมีข้อเสนอให้แก ข้อแรก แกต้องไปเรียนคอร์สปรับปรุงบุคลิกภาพที่ฉันสมัครให้”
น่านฟ้าโวยวายทันที
“โอ๊ย ไม่เอาหรอก เสียเวลา น่าเบื่อจะตายไป ถ้าแม่ใหญ่ให้ผมไปเรียนผมจะโดดเรียนทุกวันเลยเอ้า”
“งั้นข้อสอง ฉันจะหาผู้ช่วยมาสอนงานแกเอง”
น่านฟ้าชะงักทันที ชักสนใจข้อเสนอนี้
“ผู้ช่วยเหรอครับ แบบไอ้ต๋องอ่ะนะ”
“อย่างนายต๋องน่ะ เขาเรียกว่ามาเป็นเหยื่อของแก วันๆ ฉันเห็นมันเอาแต่ตามล้างตามเช็ดให้แกทั้งวัน แบบนี้จะไปสอนอะไรแกได้ ฉันจะหาผู้ช่วยให้แกอีกคน ตอนนี้แกมีแค่สองทางเลือก บอกมาว่าจะเลือกทางไหน”
น่านฟ้าครุ่นคิดตัดสินใจ
มัศยานั่งอยู่ในห้องนอน ง่วนกับการอ่านข้อมูลต่างๆ ของบริษัทในโน้ตบุ้ค สมใจเดินผ่านมาเห็นเข้าก็ทักทาย
“นี่ยังทำงานอยู่เหรอหยี ดึกแล้วนะ”
“เรื่องสำคัญค่ะแม่ หยีต้องอ่านข้อมูลของบริษัทให้เยอะที่สุด เพราะพรุ่งนี้หยีต้องเข้ารับตำแหน่งใหม่ค่ะ”
“ตำแหน่งใหม่เหรอ ก็ไหนเพิ่งบอกแม่ว่าจะลาออกไง”
“หยีลาออกแล้วค่ะ แต่คุณท่านไม่ให้ลาออก แถมเลื่อนตำแหน่งให้หยีด้วย”
“นี่แสดงว่าคุณท่านเมตตาเรามากเลยนะหยี”
“เปล่าหรอกค่ะ เพราะคุณท่านมองว่าหยีเป็นคนเดียวที่จะรับมือกับประธานได้ต่างหาก”
“เหรอ แล้วตกลงคุณท่านให้หยีทำตำแหน่งอะไรW
สมใจแปลกใจ
ตอนเช้า วิภายืนกำกับต๋องให้ติดป้ายที่หน้าประตูห้องซึ่งเขียนว่า “ที่ปรึกษาประธานบริษัท” ภูริชเดินผ่านมาเห็นเข้าก็แปลกใจ วิภาหันมาทักทายภูริช
“ไง มีอะไรเหรอภูริช”
“เปล่าครับคุณท่าน ผมแค่แปลกใจว่าบริษัทเรามีตำแหน่งนี้ด้วยเหรอครับ”
“ก็เพิ่งจะมีนี่แหละ ฉันเป็นคนแต่งตั้งเอง จะได้มีคนช่วยสอนงานประธาน”
“ดูคุณท่านจะห่วงใยท่านประธานมากนะครับ”
“ใช่ แต่จริงๆ ทุกคนก็ควรจะคิดอย่างฉันนะ เพราะประธานยังไม่เคยบริหารงานที่นี่มาก่อน เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่จะช่วยให้ประธานเรียนรู้งานอย่างเร็วที่สุดก็ควรจะทำ”
ภูริชยิ้มรับหน้าเจื่อนๆ
“ครับ ว่าแต่ใครที่ได้รับตำแหน่งนี้เหรอครับคุณท่าน”
ภูริชเข้ามาหาสุกิจในห้องทำงาน เล่าเรื่องที่คุยกับวิภาให้ฟัง
“ว่าไงนะ มัศยาน่ะเหรอคือผู้ช่วยไอ้เด็กนั่น”
“ครับ เห็นคุณท่านบอกอย่างนั้น”
“นึกยังไง ถึงให้รองผู้จัดการฝ่ายการตลาดไปสอนงานไอ้เด็กเหลือขอนั่น”
“คงเพราะเห็นว่ามัศยาเป็นพนักงานเก่าแก่ ทั้งพ่อและแม่ก็เคยเป็นคนของที่นี่มาก่อนมั้งครับ”
“หึ งั้นเหรอ”
สุกิจครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
น่านฟ้านั่งอยู่ในห้องทำงาน ยกขาพาดโต๊ะทำงานเล่นเกมอย่างเพลิดเพลิน วิภาเปิดประตูยิ้มร่าเข้ามาในห้อง น่านฟ้าไม่ได้สนใจผู้ที่มาเยือนเลยแม้แต่น้อย
“ไอ้น่าน ฉันยืนหัวโด่อยู่นี่แกไม่เห็นรึไง”
น่านฟ้าหันมาแกล้งทำตกใจ
“อ้าวแม่ใหญ่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย ไม่รู้เลย”
“ไม่ต้องมาทำปากดี เอามานี่”
วิภาแย่งมือถือมาจากน่านฟ้ามา
“เฮ้ย เอาคืนมานะแม่ใหญ่ ผมยังเล่นไม่จบเกมเลย”
“เลิกทำตัวไร้สาระสักที วันนี้ฉันจะเอาจริงกับแกแล้ว”
“ก็เอาสิครับ ไหนล่ะ ผู้ช่วยคนใหม่ของผม”
วิภายิ้มเยาะสะใจ หันไปพูดกับผู้ที่อยู่หน้าประตู
“เข้ามาสิ”
น่านฟ้าหยิบปากกามาหมุนเล่นไม่ได้สนใจอะไร มัศยาเดินเข้ามา น่านฟ้าตกใจหน้าแทบคะมำ
“เย้ย ยัยเจ๊โหด”
“เขาชื่อมัศยา เป็นรองผู้จัดการฝ่ายการตลาด และตอนนี้ก็พ่วงตำแหน่งที่ปรึกษาประธานบริษัทด้วย”
มัศยายิ้มเยาะให้น่านฟ้า
“สวัสดีค่ะท่านประธาน ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
น่านฟ้าหันไปโวยวายกับวิภาเสียงหลง
“แม่ใหญ่ทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะ ก็ไหนว่าจะหาผู้ช่วยมาสอนงานให้ผมไง นี่มันจ้างนักฆ่ามาเล่นงานผมชัดๆ ยัยเจ๊นี่มือหนักยิ่งกว่าอะไรดี”
“ก็นี่ไง ฉันถึงได้เลือกมัศยา เพราะคนอย่างแก มันลื่นยิ่งกว่าปลาไหลใส่สเก็ต ถ้าไม่หาคนที่ทันแกมาจัดการ มีเหรอจะได้เรื่อง”
น่านฟ้าลุกขึ้นโวยวายไม่ยอม
“ผมไม่ยอม ยังไงผมก็ไม่ยอมเอายัยเจ๊นี่มาสอนงานผมเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอม”
“แกไม่ยอมก็เรื่องของแก แต่ฉันตัดสินใจแล้ว ต่อไปนี้ฉันมอบอำนาจให้มัศยาจัดการแกเทียบเท่ากับ ฉัน เล่นให้หนักเลยนะ”
วิภายื่นมือถือน่านฟ้าให้มัศยา
“อ่ะ เก็บไว้กับเธอจนกว่าจะเลิกงานค่อยคืนนะ”
“ค่ะคุณท่าน”
“เอาล่ะ ฉันหมดธุระแล้ว สนุกกับการทำงานนะ”
วิภายิ้มเยาะเย้ยหยัน ก่อนจะเดินออกจากห้องไป มัศยาเดินเข้ามาหาน่านฟ้า
“เราเริ่มกันเลยมั้ยคะ”
วิภาเดินออกมาจากห้องน่านฟ้า พนักงานซึ่งแอบมุมอยู่วงแตกกันหมด
“สนใจอะไรกัน มีงานก็รีบไปทำสิ”
พนักงานเดินหนีกันจ้าละหวั่น สุกิจรีบปราดเข้ามาหาวิภา
“นี่พี่คิดดีแล้วเหรอครับ ถึงได้ให้มัศยามาสอนงานไอ้เด็กนั่น”
“ใช่ ฉันว่าฉันได้คนที่เหมาะสมที่สุดแล้ว”
“แต่ผมว่าเสียแรงเสียเวลาเปล่า สู้ให้มัศยากลับมาทำงานการตลาดเหมือนเดิมยังดีซะกว่า”
“ถ้าเธอคิดว่างานฝ่ายการตลาดสำคัญ งั้นเธอก็ลงมาช่วยดูแล้วกัน ยังไงพี่ตัดสินใจแล้ว จะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด”
วิภาเดินออกไป สุกิจมองด้วยความไม่พอใจ
มัศยานั่งอยู่ตรงหน้าน่านฟ้า น่านฟ้าจ้องโน้ตบุ้คตาเป็นมัน มัศยาเหลือบมองพลางคิดในใจ
“แปลก แค่วันแรกก็ขยันจนผิดปกติแล้ว”
น่านฟ้าขมวดคิ้วจริงจังมาก มัศยาทนไม่ไหว พลิกหน้าจอโน้ตบุ้คมาดูทันที น่านฟ้าตกใจร้องโวยวาย
“เฮ้ย”
ภาพที่หน้าจอเป็นภาพนางแบบหวิวเต็มไปหมด มัศยาพับหน้าจอลงทันทีด้วยความโมโห
“คุณน่านฟ้า นี่ฉันให้คุณอ่านข้อมูลบริษัท แต่คุณมาเปิดเว็บโป๊ดูรูปบ้าๆ พวกนั้นเนี่ยนะ”
น่านฟ้ายิ้มหน้าซื่อตาใส
“อะไรกันเจ๊ ผมก็อ่านอยู่ไง แต่บางทีก็ต้องพักสมองกันบ้าง แล้วรูปพวกนี้ เนี่ย”
มัศยาพับหน้าจอลงทันที
“เขาเรียกว่าศิลปะ น่าดูจะตายไป”
“แต่นี่มันเวลาทำงาน ถ้าคุณอยากจะเสพงานศิลป์ เชิญที่บ้าน ไม่ใช่ที่นี่”
“เฮ้อ ถึงว่า เพราะไม่มีศิลปะในหัวใจ ถึงได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวเป็นอาซิ้มแบบนี้นี่ไง”
“ฉันจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของฉัน แทนที่จะวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ฉันว่าเอาเวลามาเรียนรู้งานจะดีกว่า”
น่านฟ้าเบ้หน้าล้อเลียนมัศยา ก่อนจะหันไปหยิบแฟ้มเอกสารมาเปิดอ่านผ่านๆ มัศยาก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ น่านฟ้านึกอะไรขึ้นได้ก็ลุกขึ้นทันที
“จะไปไหนคะ”
“ไปเข้าห้องน้ำ จะไปด้วยกันมั้ยล่ะ”
มัศยาเซ็งกับการยียวนของน่านฟ้า
“เชิญค่ะ”
น่านฟ้าเดินไปที่ประตู แอบยิ้มมีเลศนัย แล้วเปิดประตูออกไป
น่านฟ้าเดินมาจนถึงหน้าห้องน้ำชาย ก่อนจะแอบเหลือบมองข้างหลัง เห็นว่ามัศยาไม่ได้ตามมาก็ยิ้มพอใจ เดินเลี่ยงไปทางอื่นทันที
มัศยานั่งทำงานอยู่ สักพักนึกขึ้นได้มองนาฬิกาข้อมือก็ตกใจ
“แย่แล้วสิ”
มัศยารีบลุกพรวดเปิดประตูออกจากห้องไป
อ่านต่อหน้า 4
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 1 (ต่อ)
น่านฟ้าค่อยย่องๆ มาที่รถ เปิดประตูขึ้นรถทันที ต๋องถือถุงโอเลี้ยงเดินผ่านมา เห็นน่านฟ้ากำลังสตาร์ทรถอยู่ก็แปลกใจ
“คุณน่าน”
ต๋องรีบวิ่งไปหาน่านฟ้าที่รถ น่านฟ้าตกใจรีบเข้าเกียร์ออกรถไป ต๋องวิ่งตามเคาะกระจกรถ
“คุณน่าน จะไปไหนครับ คุณน่าน”
รถของน่านฟ้าออกตัวแรงแล่นพ้นประตูบริษัทไป ต๋องยืนหอบเหนื่อย
มัศยาพรวดพราดเข้ามาในห้องน้ำชาย พนักงานชายยืนฉี่กันอยู่ก็ตกใจ มัศยาไม่สนใจผลักประตูห้องน้ำทีละห้อง หันมาพูดกับทุกคน
“มีใครเห็นท่านประธานมั้ย”
พนักงานส่ายหน้ากันหมด มัศยาเจ็บใจรีบวิ่งออกไปด้วยความโมโห ต๋องเดินเข้ามาหามัศยาทันที
“เจ๊หยี หาคุณน่านอยู่ใช่มั้ย”
“ใช่ แกเห็นรึเปล่าต๋อง”
“นั่นไง ไอ้ต๋องนึกแล้วไม่มีผิด เมื่อกี้คุณน่านเพิ่งขับรถออกไปหยกๆ”
มัศยาโมโหเดือดขึ้นมาทันที
“ว่าไงนะ ขับรถออกไปแล้ว”
“ใช่”
“แล้วทำไมแกไม่ดึงตัวไว้”
“ทันซะที่ไหนล่ะ คุณน่านน่ะตั้งใจใส่เกียร์หมากะเผ่นแน่บอยู่แล้ว ใครจะไปตามทัน”
มัศยาเจ็บใจหงุดหงิดฮึดฮัด
“ซวยแล้วสิ”
วิภาแหวใส่มัศยาที่ก้มหน้างุดรู้สึกผิด
“ขนาดให้เฝ้าอยู่ในห้องซะขนาดนี้ ยังปล่อยให้หนีไปได้ นี่เธอทำงานภาษาอะไรของเธอ หะ มัศยา”
“ขอโทษค่ะ ดิฉันนึกไม่ถึงว่าท่านประธานจะใช้แผนขอเข้าห้องน้ำแล้วหนีไป”
“โธ่เอ๊ย ฉันคิดว่าฉันเลือกคนไม่ผิดแล้วนะ กะอีเรื่องแค่นี้เธอยังไม่ทันไอ้น่าน เอ่อ ประธาน อีกเหรอ”
“ดิฉันขอโทษจริงๆ ค่ะ ดิฉันจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบวันนี้อีกแล้ว”
วิภาหงุดหงิด มัศยาจ๋อยสนิท เดินออกมาจากห้องวิภา เห็นภูริชยืนอยู่ก็ชะงัก
“คุณภูริช”
“คุณสุกิจมีเรื่องอยากคุยกับเธอแน่ะ ไปพบท่านหน่อยสิ”
มัศยาแปลกใจ
มัศยานั่งคุยอยู่กับสุกิจในห้องทำงานของเขา โดยภูริชนั่งอยู่ด้วย
“ไง ได้ยินว่าหนูโดนคุณท่านเรียกไปดุเหรอ”
“เปล่าหรอกค่ะ พอดีดิฉันทำงานพลาดก็เลยไปรายงานคุณท่านเอง”
“แล้วมันมีเรื่องอะไรนักหนาเหรอ ถึงได้ซีเรียสกันขนาดนั้น”
“คุณท่านมอบหมายให้ดิฉันสอนงานท่านประธานค่ะ แต่ว่า ท่านหนีไป”
สุกิจกับภูริชได้ยินก็หัวเราะขำกันใหญ่
“ฮ่าๆๆ นึกแล้วไม่มีผิดว่ามันต้องเป็นแบบนี้”
“ผมว่าสงสัยคุณท่านคงจะปวดหัวแย่เลยนะครับ”
มัศยาหน้าเจื่อนพูดไม่ออก ก่อนจะรีบตัดบท
“ว่าแต่คุณสุกิจเรียกดิฉันมา ไม่ทราบมีธุระอะไรเหรอคะ”
“มีสิ ฉันจะเสนอตำแหน่งใหม่ให้เธอ มาทำงานแผนกของฉัน ขึ้นตรงกับฉันโดยตรง สนใจมั้ย”
มัศยาชะงัก แปลกใจ ภูริชรีบอธิบายแทน
“คืออย่างนี้นะ คุณสุกิจเห็นประวัติการทำงานของคุณเลยรู้สึกสนใจ อยากจะให้มาช่วยงานด้วย”
“แต่ดิฉันมีหน้าที่ต้องทำตามคำสั่งของคุณท่านแล้วนี่คะ”
“ของแบบนี้มันอยู่ที่ความสมัครใจของเธอนะ แค่ทำงานตำแหน่งใหม่วันแรกก็เกิดเรื่องแล้ว เธอเอาไปอ้างกับคุณวิภาก็ได้ ว่าเธอลำบากใจที่จะทำงานนั้น แล้วมาช่วยงานฉันดีกว่า ตกลงมั้ย”
มัศยาอึกอักไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
สมใจเด็ดผักอยู่ที่บ้าน โดยมีนะดีเป็นลูกมือช่วย พลางคุยกับมัศยาที่นั่งอยู่ด้วย
“แม่ว่าคุณสุกิจดูไม่น่าไว้ใจนะหยี ตั้งแต่แม่ยังทำงานที่มีโชค แม่เห็นแกพยายามขัดแข้งขัดขาท่านประธานตลอด นี่พอหมดบุญท่านแล้วคงหวังจะขึ้นเป็นประธานแทนล่ะสิท่า”
“นั่นสิแม่ หนูก็ว่าแปลกๆ รู้ทั้งรู้ว่าหนูเพิ่งรับตำแหน่งใหม่วันแรก ก็ชวนไปทำงานด้วยแล้ว”
“อย่าไปเชียวนะหยี ไม่งั้นคุณท่านลำบากแน่”
“ไม่ไปหรอกแม่ หยีรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“ดีแล้วล่ะ ตอนนี้บริษัทกำลังอยู่ในช่วงวิกฤต เราต้องอยู่ข้างคุณท่าน คอยช่วยเหลือให้บริษัทเดินหน้าไปได้นะรู้มั้ย”
“ค่ะแม่ คุณพนักงานดีเด่น 10 ปีซ้อน”
สมใจยิ้มรับอย่างภูมิใจ นะดีเด็ดผักเสร็จก็หันมาบอกสมใจ
“คุณยายขา นะดีเด็ดผักเสร็จแล้วค่ะ”
“ดีมากลูก งั้นหนูไปทำการบ้านเถอะนะ”
“ป่ะ เดี๋ยวแม่หยีช่วยดูนะคะ”
“ค่า”
มัศยาจูงมือนะดีออกไป สมใจมองทั้งคู่อย่างเอ็นดู
น่านฟ้าเดินเข้ามาในบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน สุกัญญานั่งรอ ตาเขียวปั้ดอย่างไม่พอใจ
“กลับมาแล้วเหรอ นายตัวดี”
น่านฟ้าชะงักหน้าเจื่อน
“กลับมาแล้วสิครับ ไปทำงานมาเนื้อยเหนื่อยครับแม่”
“เหรอ แต่เมื่อกี้แม่เพิ่งวางสายจากแม่ใหญ่ รู้สึกว่าวันนี้เราจะโดดงานทั้งวันเลย ไม่ใช่เหรอ”
น่านฟ้าหน้าแทบคะมำ
“โอ๊ย ก็แม่ใหญ่น่ะ ขังผมไว้ในห้องอย่างกับนักโทษ ใครจะไปทนได้ล่ะครับ”
“ตาน่าน นี่แม่พูดจริงๆ นะ ตอนนี้มีแต่เราคนเดียวที่จะช่วยบริษัทได้ ทำไมถึงยังทำตัวเหลวไหลแบบนี้ หะ”
“ก็ที่ผมฝืนทนกล้ำกลืนเข้าออฟฟิศอยู่ทุกวันนี่ยังเรียกว่าไม่ช่วยอีกเหรอครับ ทั้งที่จริงๆ ผมไม่จำเป็นต้องทนเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อผมไม่ได้เต็มใจรับตำแหน่งบ้าๆ นี่เลยแม้แต่นิดเดียว”
“แต่เราเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อ ไม่ว่ายังไงหน้าที่นี้ก็ต้องเป็นของเรา”
“พ่อเขาเต็มใจจะยกให้ผมจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ ผมเองยังไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำ”
น่านฟ้าเดินขึ้นบ้านไปเลย สุกัญญาถอนหายใจ เอือมระอา
วิภายืนอยู่ในบ้าน มองรูปของโชคและวิชญะด้วยความอ่อนล้าเหลือเกิน
“คุณโชค ทำไมคุณถึงได้ด่วนทิ้งฉันไปเร็วอย่างนี้ คุณรู้มั้ยว่าสิ่งที่คุณให้ฉันทำ มันยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน”
วิภาหวนนึกถึงความหลังที่ผ่านมา
ภายในห้องไอซียู โชคนอนอยู่บนเตียงคนไข้ที่มีสายระโยงระยาง วิภาร้องไห้กอดโชคอยู่ข้างๆ
“คุณโชค คุณต้องอดทนนะ ลูกเราทิ้งเราไปแล้ว คุณอย่าทิ้งฉันไปอีกนะ ฉันอยู่คนเดียวไม่ได้”
โชคลูบหัววิภาอย่างแสนรัก
“อย่าพูดอย่างนั้นสิวิภา คุณเป็นความหวังเดียวของผม คุณต้องเข็มแข็ง ต้องอยู่ให้ได้”
“ไม่ ฉันไม่ฟัง คุณต้องสู้นะ อย่าทิ้งฉันไป”
“วิภา คุณต้องยอมรับความจริงให้ได้ คุณต้องเข้มแข็งเพื่อผม ทำได้มั้ย ตอบผมมาสิ วิภา”
วิภาร้องไห้ไปพยักหน้ารับไปด้วย โชคยิ้มรับอย่างพอใจ
“ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าผมจากโลกนี้ไปแล้ว คุณไปตามน่านฟ้ามาทำงานในบริษัทของเรา ให้เขาเป็นประธานบริษัทต่อจากผม คุณทำได้มั้ย”
วิภาพยักหน้ารับทั้งน้ำตา
“ขอบใจนะวิภา คุณคือคนที่ผมรักที่สุด ชีวิตผมได้ภรรยาอย่างคุณนับว่าคุ้มค่าแล้ว”
เสียงสัญญาณชีพของโชคดับลง วิภาตกใจร้องไห้กอดโชค หมอและพยายามกรูกันเข้ามา
วิภาดึงความคิดกลับมาจากอดีต คว้ากรอบรูปของโชคและวิชญะมากอดทั้งน้ำตาด้วยความคิดถึง
ตอนเช้า น่านฟ้าฮัมเพลงเดินลงบันไดบ้านมาอย่างอารมณ์ดี ก็เห็นสุกัญญาเดินนำมัศยาและต๋องเข้ามา
“ไอ้ต๋อง เจ๊โหด”
น่านฟ้าหันหลับขวับจะเดินกลับขึ้นบ้าน
“จะไปไหนตาน่าน ลงมาเดี๋ยวนี้”
น่านฟ้าเบ้หน้าเซ็ง
น่านฟ้า มัศยา และต๋องนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ซึ่งตรงหน้ามีข้าวต้มวางอยู่คนละชาม สุกัญญายืนคุยกับทุกคน
“ทานกันเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
น่านฟ้าเบือนหน้าไปทางอื่นเซ็งๆ สุกัญญาหันมาแหวใส่ลูกชาย
“เราก็รีบหน่อยล่ะตาน่าน ต๋องกับคุณมัศยาเขาอุตส่าห์มารับถึงบ้าน ดูสิเนี่ย เหลวไหลจนคนอื่นต้องพลอยลำบากกันไปหมด”
“แม่ครับ ผมไม่ได้ใช้ให้มารับซะหน่อย จะโทษผมได้ไง”
“ใช่ค่ะ ท่านประธานไม่ได้ใช้ให้เรามา แต่เพราะเราไม่ไว้ใจ กลัวว่าคุณน่านฟ้าจะเบี้ยวงานอีก เลยต้องมารับถึงบ้าน”
“ถูกคร้าบ”
“เรื่องแบบนี้ล่ะ ถนัดจริงๆ นะเจ๊”
“เรื่องแบบไหนเหรอคะ”
“ก็บังคับข่มเหงจิตใจกันเนี่ย เก่งเหลือเกิน แกก็อีกคน เป็นผู้ช่วยฉันแทนที่จะเข้าข้างฉัน ดันไปรวมหัวกับคนอื่น”
“คนอื่นที่ไหนล่ะครับคุณน่าน เจ๊หยีน่ะ ผู้ช่วยโดยตรงของคุณน่านเลยนะครับ”
“ฉันว่าแทนที่จะมาเป็นผู้ช่วยฉัน ไปรับจ้างฆ่าคนจะเหมาะกว่า”
“จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะค่ะ แต่ยังไงวันนี้ ฉันบอกได้เลยว่า ฉันไม่พลาดอีกแน่”
มัศยาส่งสายตาเย้ยหยันน่านฟ้า น่านฟ้าเบ้หน้า คว้าช้อนมาตักข้าวต้มเข้าปากอย่างเซ็งๆ
สุกัญญาลอบมองมัศยาอย่างเอ็นดู
รถยุโรปหรูจอดอยู่หน้าโรงงานมีโชค น่านฟ้านั่งหลับอยู่ที่เบาะหลัง มัศยายืนอยู่นอกรถเขย่าแขนปลุกน่านฟ้าอย่างหงุดหงิด
“คุณ ตื่นได้แล้ว ตื่น ตื่นๆๆ”
มัศยาตีๆ น่านฟ้า น่านฟ้าสะดุ้งโหยงตื่นขึ้นด้วยความโมโห
“โอ๊ย ปลุกดีๆ ไม่เป็นรึไงเจ๊ มันเจ็บนะ”
“ลงมาจากรถได้แล้ว มัวแต่นอนอยู่นั่นแหละ”
น่านฟ้าลงมาจากรถ มองรอบๆ อย่างสงสัย
“เจ๊พาผมมาที่ไหนเนี่ย”
ต๋องยิ้มกับมัศยา
“ก็ที่ทำงานคุณน่านไงครับ”
น่านฟ้ายืนเก้ๆ กังๆ ไม่คุ้นเคยกับสถานที่ ขณะที่มัศยาแนะนำผู้จัดการโรงงานให้รู้จัก
“นี่คุณวสุ ผู้จัดการโรงงานค่ะ”
ผู้จัดการยกมือไหว้น่านฟ้า
“สวัสดีครับท่านประธาน”
น่านฟ้ารีบรับไหว้
“อุ๊ย ไม่ต้องไหว้ก็ได้ครับ ผมน่าจะเด็กกว่าพี่เยอะเลย”
“ท่านประธานนี่เหมือนคุณโชคเลยนะครับ ไม่ถือตัวกับพนักงานเลย”
น่านฟ้าลูบคอเขินๆ
“พอดีเป็นคนจิตใจดีนะครับ ไม่ชอบมองว่าใครต่ำใครสูง เป็นคนด้วยกันเหมือนกันทั้งนั้น”
มัศยาแอบเอียนด้วยความหมั่นไส้
“ตกลงว่ารู้จักกันแล้วนะครับ งั้นผมลากลับล่ะ”
น่านฟ้าหันหลังขวับทันที มัศยารีบดึงตัวไว้
“จะไปไหน หะ”
“อ้าว ก็พาผมมารู้จักผู้จัดการไม่ใช่เหรอ ก็รู้จักกันแล้วไง”
มัศยาถอนหายใจเอือมมากๆ หันไปทางต๋อง
“ต๋อง”
“ครับเจ๊”
“จัดการ”
น่านฟ้ามองมัศยาและต๋องเลิ่กลั่ก
มัศยาเดินคุยมากับผู้จัดการในแผนกหนึ่ง โดยที่ต๋องคอยล็อคแขนพาน่านฟ้าเดินฟังไปด้วย ผู้จัดการพามัศยามาลองชิมข้าวเกรียบ น่านฟ้าจำใจหยิบมากินด้วยความหงุดหงิด โดยมีต๋องคอยคุมไม่ห่าง ผู้จัดการพามัศยามาดูฝ่ายการผลิต ต๋องยังคงต้องคุมน่านฟ้าตลอดทุกฝีก้าว ผู้จัดการพามาดูแผนกบรรจุภัณฑ์ ต๋องคุมน่านฟ้าให้ยืนดูเหมือนเดิม
น่านฟ้ากลับมาที่บริษัท ทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาในห้องทำงานอย่างเหนื่อยอ่อน มัศยาเข้ามายืนประกบ
“ลุกขึ้นค่ะ”
“อะไรกันเจ๊ ลากผมไปตะลอนทั้งวัน ขอเอนหลังแป๊บเดียวไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ค่ะ ทุกนาทีมีค่าต่อบริษัท คุณต้องลุกขึ้นมาเขียนรายงานสรุปว่า ได้อะไรจากการไปดูโรงงานวันนี้”
น่านฟ้าลุกพรวดโวยวายใส่มัศยา
“หา ให้ผมเนี่ยนะเขียนสรุป ผมเป็นประธานบริษัทนะ ไม่ใช่เลขาเจ๊ มาใช้ผมได้ไง”
“ก็ถ้าคุณไม่ลงมือเขียนเอง ฉันจะรู้ได้ไงว่าที่ฟังมาทั้งวัน คุณเข้าใจแค่ไหน”
น่านฟ้าเซ็งสุดจะเซ็ง ลุกขึ้นนั่งบ่นอุบอิบ
“โหดร้าย ป่าเถื่อน ใจทมิฬ รังแกได้แม้แต่กับผู้ชายตัวเล็กๆ”
“ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ค่ะ ถ้าวันนี้คุณเขียนสรุปไม่เสร็จ ไม่ต้องกลับบ้าน ฉันจะอยู่เฝ้าคุณอย่างนี้แหละ”
น่านฟ้าลุกขึ้นมา ค้อนมัศยา แล้วยอมไปนั่งเก้าอี้แต่โดยดี
ต๋องนั่งรายงานให้วิภาฟังอยู่ในห้องทำงาน วิภายิ้มพอใจ
“นี่เป็นวันแรกนะครับที่ผมเห็นคุณน่านยอมเรียนรู้งานเต็มๆ ทั้งวัน แถมเจ๊หยียังจะให้คุณน่านเขียนรายงานสรุปให้อ่านด้วย ผมว่าวันนี้คงไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลยครับ”
วิภาหัวเราะชอบใจ
“ให้มันได้อย่างนี้สิ นับว่าฉันคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกมัศยา นายเองก็ต้องคอยช่วยมัศยาคุมพฤติกรรมประธานให้ดีนะต๋อง ตอนนี้บริษัทเราฝากความหวังไว้กับเธอสองคนแล้ว”
“ฝากไว้กับเจ๊หยีนี่แหละครับเหมาะแล้ว ผมเองยังตามคุณน่านไม่ค่อยจะทันเลย เห็นแต่เจ๊หยีนี่แหละครับ ที่คุณน่านยอมอยู่คนเดียว”
วิภาพยักหน้าพอใจ
ภูริชรายงานสุกิจอยู่ในห้องทำงาน สุกิจรับฟังด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง
“ท่าทางคุณท่านจะดูคนไม่ผิดจริงๆ นะครับ ผมได้ยินจากผู้จัดการโรงงานว่า วันนี้ประธานไปสำรวจโรงงานทั้งวันเลย แสดงว่ามัศยาสามารถเปลี่ยนประธานได้จริงๆ”
“งั้นเหรอ ถึงว่า ฉันชวนมาทำงานด้วยถึงได้ปฏิเสธ เพราะเห็นโอกาสที่จะโตผ่านไอ้เด็กนั่นนี่เอง”
“แต่ยังไงผมว่าต้องดูกันยาวๆ นะครับ บางทีอาจจะดีได้แค่วันสองวันก็ได้”
“อย่าประมาทไปนะ ทำอะไรได้ก็ทำเลย ฉันว่าตัดไฟซะแต่ต้นลมจะดีกว่า”
สุกิจบอกหน้านิ่งแววตาร้ายกาจ
ห้องทำงานประธานกรรมการของน่านฟ้าในบริษัทมีโชค ยังคงมีแสงไฟลอดออกมา น่านฟ้านั่งจ้องโน้ตบุ้คหน้าบูดบึ้ง ขณะที่มัศยานั่งรออย่างใจเย็น
“เจ๊ นี่มันดึกแล้วนะ ผมว่าพรุ่งนี้ค่อยทำต่อเถอะนะ”
“ไม่ได้ค่ะ ถ้าฉันยอมคุณครั้งนี้ คุณก็จะเคยตัว คิดว่าต่อรองกับฉันได้ง่ายๆ”
น่านฟ้าถอนหายใจเอือมสุดๆ
“แต่ผมหิวนี่เจ๊ เจ๊ไม่หิวรึไง ถ้าไม่ให้กลับบ้าน อย่างน้อยๆ ออกไปหาอะไรกินกันก่อนก็ยังดี นะๆๆๆ”
น่านฟ้าอ้อน ระหว่างนั้น ท้องของมัศยาก็ร้องออกมาบ้าง
“นั่นไง สัญญาณตอบรับบอกแล้วว่าตกลง ว่าไงเจ๊ ออกไปหาอะไรกินกันเถอะ”
มัศยาครุ่นคิด เอามือลูบท้องไปด้วย
ที่ร้านบะหมี่ข้างถนน มัศยาคีบบะหมี่จ้วงใส่ปากอย่างหิวโหย น่านฟ้ามองอ้าปากค้าง
“โหเจ๊ นี่กินหรือสูบ ห๊ะ ซัดโฮก ซัดโฮกซะขนาดนั้นเดี๋ยวก็ติดคอตายหรอก”
“ฉันต้องรีบทำเวลา บอกแล้วไงว่าทุกนาทีมีค่า”
“เจ๊จะจริงจังอะไรกันนักกันหนากับเรื่องแค่นี้ ถึงผมทำหน้าที่ประธานไม่ได้ก็ยังมีคนอื่นทำได้ตั้งเยอะ ทั้งแม่ใหญ่ ทั้งอาสุกิจ ทั้งพนักงานอีกเต็มบริษัท จะมาเคี่ยวเข็ญเอาเป็นเอาตายอะไรกับผมคนเดียว”
“คุณไม่เป็นฉัน คุณไม่เข้าใจหรอก ฉันเป็นคนจริงจัง แล้วฉันก็รักบริษัทมีโชคมากกว่าคุณซะอีก”
“เจ๊เอาอะไรมาวัดว่าเจ๊รักบริษัทมากกว่าผม”
“ยังจะถามอีก ก็ไอ้ที่ฉันต้องมาเหนื่อยแบบนี้มันไม่ใช่เพราะคุณไม่รัก ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจบริษัทเหรอ”
น่านฟ้าเถียงไม่ออก ระหว่างนั้น สุกิจเลี้ยวรถผ่านมา แอบมองน่านฟ้าและมัศยาด้วยความสนใจ ก่อนจะขับออกไป แล้วต่อสายผ่านบลูทูธหน้าเครียด
“ฮัลโหล ฉันเองนะ ฉันมีงานอะไรให้แกทำ เอาแค่เบาะๆ ก็พอนะ”
แววตาสุกิจฉายแววเหี้ยมเกรียมมาก
น่านฟ้านั่งพิมพ์งานอยู่สักพัก ก็กดเซฟ ก่อนจะบิดตัวไปมาอย่างเมื่อยล้ามาก เหลือบไปเห็นมัศยานั่งหลับอยู่บนโซฟาก็ชะงัก ลุกมาดูด้วยความเห็นใจ
“ยัยเจ๊นี่เวลาไม่มีฤทธิ์เดชก็น่ารักเหมือนกันนะ”
น่านฟ้าเกลี่ยผมมัศยาเบาๆ อย่างอ่อนโยน มัศยาสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจ
“หะ”
“เป็นไรเจ๊ สะดุ้งอย่างกับผีเข้า”
“คุณทำอะไรฉัน หะ”
“ผมก็กำลังปลุกเจ๊น่ะสิ
“ปลุกฉัน ปลุกยังไง”
“ผมก็แค่หอมแก้มเจ๊สองฟอด แล้วก็จุ๊บปากเจ๊ไปหนึ่งทีแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรมากหรอก”
มัศยาตกใจ ลุกขึ้นโวยวายหน้าดำหน้าแดง
“ว่าไงนะ คุณหอมแก้มแล้วก็จูบฉันเหรอ เกินไปแล้วนะ”
มัศยาเงื้อหมัดจะต่อยน่านฟ้า น่านฟ้าเอามือรับหมัดไว้ได้
“ผมล้อเล่นนะเจ๊ จะบ้าเหรอเจ๊ รู้ตัวมั้ยว่าเจ๊น่ะเต่าเหม็นจะตายใคร จะไปพิศวาสลง ดูซิเที่ยงคืนแล้วน้ำท่ายังไม่อาบ ผู้หญิงอะไรสกปรกจริงๆ”
มัศยาหน้าเจื่อน เสียหน้ามาก ทำจมูกฟุดฟิดไปด้วย ขณะที่น่านฟ้าหลุดขำออกมา
“เจ๊นี่เป็นคนอำง่ายจริงๆ เลยนะ เจ๊น่ะเต่าไม่เหม็นหรอก จริงๆ ต้องบอกว่าตัวหอมด้วยซ้ำ ผมก็หอม หอมไปหมดเลย”
มัศยาแหวใส่น่านฟ้าด้วยความโมโห
“นี่คุณน่าน ใครใช้ให้คุณเสียมารยาทมาวิจารณ์กลิ่นตัวฉัน หะ”
“เอ๊า นี่ชมจากใจจริงๆ นะ อ่ะๆ ผมไม่เถียงด้วยแล้ว ง่วงจะแย่ ผมเขียนรายงานหมดแล้ว เจ๊ไปดูสิ”
มัศยาแปลกใจ รีบลุกไปดูที่หน้าจอโน้ตบุ้ค เห็นว่าน่านฟ้าเขียนรายงานไว้อย่างเรียบร้อยก็แปลกใจ
“พอตั้งใจทำจริงๆ ก็ทำได้นี่”
“ของมันแน่อยู่แล้ว ผมไม่ได้โง่นะเจ๊ ผมแค่ขี้เกียจทำ ไป เรากลับกันได้รึยัง ผมเหนื่อยแล้ว”
“ไปสิคะ”
น่านฟ้าและมัศยาเดินไปที่ประตู สองคนเบียดกันจนแนบประตู เลยชะงักเหมือนอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง สักพักน่านฟ้าก็รีบโวย
“เจ๊จะเบียดผมทำไมเนี่ย ประตูก็แคบยังจะแย่งเดินออกอีก เฮ้อ”
น่านฟ้าเดินนำออกไป ทิ้งให้มัศยายืนมองหน้าแดงเขินๆ
น่านฟ้าและมัศยาเดินออกมาจากออฟฟิศ
“ให้ผมไปส่งที่บ้านมั้ยเจ๊”
“ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้”
“แต่นี่มันดึกแล้วนะ เจ๊ไม่กลัวโดนฉุดเหรอ ยิ่งสวยๆ อยู่ด้วยนะ”
“ดึกกว่านี้ฉันก็กลับได้ค่ะ ฉันว่าคุณรีบกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะหาเรื่องเบี้ยวไม่มาทำงานอีก ฉันไปก่อนล่ะ”
มัศยาเดินออกไปโบกแท็กซี่ รถแท็กซี่เข้ามาเทียบจอดที่ฟุตบาท มัศยาขึ้นรถไป น่านฟ้าส่ายหน้าเอือมๆ แล้วเดินไปที่รถ
น่านฟ้าขับรถด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะกดโทร.ออกผ่านบลูธูท ไม่นานนักเสียงปารณก็รับสาย
“ฮัลโหล หายไปไหนทั้งวัน วันนี้ลูกค้าถามหานายกันใหญ่เลยนะ”
“ฉันติดงานเลยปลีกตัวไม่ได้ แต่ไม่ต้องห่วง ฉันยอมแค่วันนี้วันเดียวแหละ ยังไงฉันต้องรีบสลัดตำแหน่งประธานบ้าๆ นี่ให้เร็วที่สุด”
น่านฟ้าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ผิดจากน่านฟ้าที่เคยเห็นมาก่อนราวกับเป็นคนละคน
มัศยานั่งอยู่ในรถแท็กซี่ ท่าทีง่วงจัด จู่ๆ มีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับปาดหน้าแท็กซี่ คนขับรถแท็กซี่ตกใจหักพวงมาลัยหลบทันที โครม! เสียงรถชนดังสนั่น โดยไม่รู้ชะตากรรมของมัศยาที่นั่งอยู่ในรถ
กลางดึก สมใจนั่งหลับอยู่ที่โซฟา มีนะดีนอนหนุนตักอยู่ เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น สมใจสะดุ้งตื่น หันไปหยิบโทรศัพท์มากดรับ
“ฮัลโหล อะไรนะคะ”
สมใจตกใจสุดขีดเมื่อได้ฟัง
อ่านต่อตอนที่ 2