ใยกัลยา ตอนที่ 10
รุ่งเช้าวันถัดมา เอิงถือแก้วน้ำส้มเดินมาที่โต๊ะอาหาร ซึ่งวดีนั่งหลับตาเอนหลังพิงพนักด้วยท่าทางอ่อนระโหยอยู่ พอเห็นสภาพป้า เอิงก็ร้องลั่น
“ต๊าย โทรมจังเลยค่ะ คุณป้าที่รัก ท่าทางยังกับไม่ได้นอนมาทั้งคืน”
ขณะเอิงทรุดตัวลงนั่ง จิบน้ำส้ม มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใครมาแต่เช้า! ป้านัดใครหรือเปล่าคะ”
วดีตอบท่าทางเพลียๆ “ลิซซี่”
เอิงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู ลิซซี่ยืนยิ้มเผล่อยู่
“สวัสดีค่ะ คุณน้องเอิงขา”
เอิงเดินกลับมานั่ง ลิซซี่ปิดประตู แล้วเดินตามมาไหว้เจ้านาย
“สวัสดีค่ะ คุณวดี จะแต่งตรงนี้หรือในห้องคะ”
เอิงเบิกตากว้าง มองวดี
“ในห้อง...แกไปเปิดตู้เย็นหาอะไรกินก่อนซิ”
“ป้าเรียกพี่ลิซซี่มาแต่งหน้าให้เหรอคะ”
วดีพยักหน้า “วันนี้ขี้เกียจแต่งเอง”
“งั้นก็เข้าไปแต่งเลยดีมั้ยค่ะ...ลิซซี่ไม่ค่อยหิว”
“ไป! เอิง! ชงกาแฟเข้าไปให้ป้าด้วย”
วดีลุกเดินนำลิซซี่เข้าไป โดยมีเอิงมองตามงงๆ ในสีหน้าท่าทางของผู้เป็นป้า
ทั้งสามคนอยู่ที่ร้านโจ๊กบริเวณใกล้มหา’ลัย บริกรยกถาดวางชามโจ๊กร้อนๆ มาวางให้สามสาวคนละชาม เขนหยิบปาท่องโก๋มาฉีกใส่ชามโจ๊กอย่างคล่องแคล่ว
ทับทิมปรายตามองค้อน “จะอึ๋มไปถึงไหนคะ คุณน้องขา”
“ถึงไหนถึงกันคะ คุณพี่ขา ก็คุณน้องไม่ใช่นางเอกนี่ค้า”
เสียงโทรศัพท์หอมน้ำดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมาดู สีหน้าท่าทางออกอาการอึดอัดเมื่อเห็นชื่อ
สองสาวจ้องเขม็ง “ใครโทร.มา”
“คุณเจค”
สองสาวสบตากัน ร้อง “ว้าว”
หอมน้ำรับสาย “สวัสดีค่ะ”
ทั้งสองมองตาเขม็ง
“อยู่แถวมหาลัยค่ะ วันนี้ไม่มีถ่าย หอมเลยว่าจะเข้าไปพบอาจารย์สักหน่อย” หอมน้ำนิ่งฟัง สีหน้าเริ่มกังวลและอึดอัดยิ่งขึ้น “เอ้อ หอมไม่อยากแสดงแล้วค่ะ หอมอยากทำงานเบื้องหลังมากกว่า ค่ะ...ได้ค่ะ...แล้วหอมจะแวะไป”
หอมน้ำเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า แล้วเงยหน้าขึ้นมองทับทิม และเขน พลางถอนใจเฮือก
สองสาวถาม พร้อมกัน “ว่าไง” ด้วยสีหน้าแววตากระตือรือร้น
ท่ามกลางบรรดานักศึกษาที่เดินสวนไปมา สามสาวเดินคุยกันมา เขนมีสีหน้าครุ่นคิดกังวล “เขนว่าท่าทางจะไม่ดีจริงๆ แล้วละหอม”
“นั่นซีคะ แกคงเอาจริงแน่” ทับทิมก็ด้วย
“หอมไม่คิดอย่างนั้นหรอกค่ะ...หอมว่าคุณเจคหวังดี”
หอมน้ำพูดไม่ทันจบ รถสปอร์ตของโกศล แล่นปราดเข้ามาจอดขวางไว้ สามสาวสะดุ้งเฮือก
“ไอ้โกบ้า” เขนฉุนกึก
โกศลเปิดประตูรถ ก้าวลงมายิ้มกว้างให้หอมน้ำคนเดียว
“เจอกันทีไร หอมน้ำสวยขึ้นทุกที”
เขนกะทับทิม “แหวะ” ใส่
โกศลปรายตามามองหมิ่น “แพ้ท้องเรอะ”
ทับทิมบอก “ค่ะ ท้องกับน้องโกไง”
โกศลสะดุ้ง
“สบายดีเหรอโก” ทับทิมทัก
“ตัวน่ะสบาย แต่ใจมันคอยคิดถึงแต่หอม” โกศลหยอด
หอมน้ำทำสีหน้าผะอืดผะอม เขนกะทับทิม “แหวะ แหวะ” ใส่
โกศลไม่สน 2 สาว หันไปป้อหอมน้ำ “ไปดูหนังกันมั้ยครับ...นานๆ ป๊ะกันที”
รอบนี้เขนกับทับทิมให้สามแหวะ “แหวะ! แหวะ! แหวะ!”
โกศลฉุนเขน “ไม่ได้ชวนแก”
“อ๋อ... ถึงชวนก็ไม่ไป เห็นอ้วนๆแบบนี้ แต่ก็ช่างเลือกนะยะ”
“แล้วถามคนที่แกเลือกหรือยังว่าเขา โอเค มั้ย”
เขนอ้าปากจะตอกกลับ แต่หอมน้ำขัดขึ้นก่อน
“เอาละ พอแล้ว” เธอบอกกับโกศลว่า “ขอบใจที่ชวนนะโก แต่หอมต้องไปหาอาจารย์”
หอมน้ำ และ 2 สาวขยับออกเดิน
โกศลยังไม่ยอมแพ้ “งั้นไปหาอาจารย์เสร็จแล้วค่อยไปก็ได้”
ทับทิมกับเขนทำสีหน้าเขม่นเข่นเขี้ยว และขยับจะด่า ขณะที่หอมน้ำมีไอเย็นออกจากปากจางๆ ก่อนจะหันกลับมา และยิ้มหวานกับโกศล ด้วยพุธกันยาเข้าสิงเรียบร้อยแล้ว
“ตกลง”
ทับทิมและเขนอ้าปากค้างมองหอมด้วยความแปลกใจ
“รออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน...เดี๋ยวมา”
หอมน้ำเดินไป โดยมีทับทิมและเขนรีบตาม
โกศลมองหอมน้ำด้วยความปลื้มสุดๆ
เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง โกศลขับรถมาตามทาง โดยมีหอมน้ำนั่งคู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ในขณะที่โกศลต้องห่อตัวด้วยความหนาวจากไอเย็นของรถ ซึ่งดูจะเย็นมากอย่างผิดปกติ หนาวจนโกศลปากสั่น
“หนะ...หนะ...หนาวมั้ยหอม”
หอมน้ำกลับบอกด้วยสีหน้าเยือกเย็น “กำลังสบาย” แล้วค่อยๆ เบือนหน้ามามอง “ทำไม โกหนาวหรือ”
โกศลยิ้มแห้งๆ “โก...โกว่า แอร์มัน...เย็น..เย็นยังกับอยู่ ขั้ว...ขั้วโลก”
หอมน้ำเบือนหน้ากลับไป “เย็นเหมือนอยู่ในหลุมฝังศพต่างหาก”
โกศลสะดุ้งเฮือก “ทำ...ทำไมหอมพูดอย่างนั้น”
“แล้วทำไมจะพูดไม่ได้”
โกศลส่ายหน้างงๆ “วันนี้หอมดูแปลกๆ ไป”
หอมน้ำขยับมุมปากขึ้นเล็กน้อย
โกศลเหลือบมองอย่างไม่หายแปลกใจ
โกศลขับรถเข้ามาจอดหน้าตึกชิดขอบบันเทิง หอมน้ำหยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวม ปลดเข็มขัดนิรภัยออก แล้วหันมามองโกศล
“รออยู่นี่แหละ”
โกศลอ้าปากจะพูด แต่หอมน้ำเปิดประตูลงไปแล้ว จึงได้แต่มองตามยังไม่หายงง
หอมน้ำเปิดประตูเดินผ่านเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ออฟฟิศชิดขอบบันเทิง ตรงมายัง กองบรรณาธิการ พลางถอดแว่นกันแดด แต่ละคนพากันหันมามองเป็นตาเดียวด้วยความประหลาดใจสุดๆ
หอมน้ำเบือนหน้ามามอง แล้วยิ้มหวานให้ พลางยกมือไหว้ทักทายอย่างจัดเจนเป็นกันเอง
“สวัสดีค่ะ หอมมาพบคุณวดี”
ลิซซี่รีบก้าวออกมาขณะรับไหว้ “สวัสดีค่ะ คุณน้องหอมน้ำ นัดคุณวดีไว้หรือเปล่าคะ”
“ไม่ได้นัดค่ะ แต่หอมจะมาเซอร์ไพรส์ท่าน”
กะเทยเผือกหัวเราะชอบอกชอบใจ “งั้นเชิญทางนี้ค่ะ”
ลิซซี่จูงมือหอมน้ำอย่างสนิทสนม แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งรีบปล่อย
“อุ๊ย! มือน้องหอมเย้น...เย็น”
“คงเพิ่งลงจากรถน่ะค่ะ...แอร์ในรถมันเย็น”
คนอื่นๆ มองตามบ้างนินทา บ้างชื่นชม
ในขณะที่วดีกำลังนอนหลับอยู่บนเก้าอี้ยาวในห้องทำงาน มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น วดีค่อยๆ ลืมตา อ้าปากจะห้ามไม่ให้ใครเข้ามา แต่ก็ไม่ทัน เมื่อลิซซี่เปิดประตูเดินนำหน้าหอมน้ำเข้ามาอย่างภาคภูมิใจ
“น้องหอมน้ำมาพบคุณวดีค่ะ”
วดีมองหน้าหอมน้ำเขม็ง หอมน้ำยิ้มแล้วหันมาทางลิซซี่
“ขอเราคุยกันตามลำพังได้ไหม”
ท่าทางสง่า และสีหน้าดูมีอำนาจทำให้ลิซซี่พึมพำรับคำ แล้วเดินออกไปราวกับถูกสะกด หอมน้ำมองตาม แล้วค่อยๆ หันหน้ากลับมามองวดีช้าๆ
“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับหรือ”
วดีชะงักกลืนน้ำลาย “รู้...รู้ได้ยังไง”
“ก็ดูโทรมเสียขนาดนี้”
วดีนิ่งงันไปชั่วครู่ แล้วพยายามรวบรวมสติ
“พูดจากับผู้หลักผู้ใหญ่ให้มันมีสัมมาคารวะหน่อย
หอมน้ำหัวเราะ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ฉันกับเธอมันก็แก่พอๆ กันนั่นแหละ”
แววตาวดีแข็งกร้าว ขณะหยิบกระเป๋ามาเปิด เหมือนจะเตรียมพร้อมจะหยิบของบางอย่าง
“แกมันก็แค่สัมภเวสี”
หอมน้ำชะงัก “อะไรนะ”
“นังสัมภเวสี”
“นังสุรีย์”
วดีด่า “แกมันทำบาปทำกรรมไว้มาก จนไม่ได้ไปผุดไปเกิด”
“แกนั่นแหละที่ทำบาปทำกรรมกับฉันไว้มาก นรกกำลังรอแกอยู่”
“ขู่เรอะ ขนาดตอนมีชีวิตอยู่ แกยังแพ้ฉัน แล้วนี่ตายไปแล้ว แกจะสู้ฉันได้ยังไง”
วดีขยับจะหยิบของอย่างหนึ่งขึ้นมา หอมน้ำรู้ทัน จึงกระชากกระเป๋าวดีเหวี่ยงไป สร้อยพระกระเด็นไปที่มุมห้อง วดีถลาจะไปหยิบ ถูกหอมน้ำกระชากตัววดีไว้
วดีฮึดสู้ แต่หอมน้ำดูมีพละกำลังของปีศาจ จับวดียกขึ้นแล้วเหวี่ยงไปที่มุมหนึ่ง
“โอ๊ย”
หอมน้ำตรงเข้ามา แล้วจับวดียกขึ้นอีก วดีพยายามดิ้น สองขาแกว่งไปมา
“แกยังโชคดีที่กินบุญเก่าอยู่ แต่ถ้าถึงวันที่บุญเก่าหมดไป วันนั้นเวรกรรมจะตามมาทัน แล้วแกจะได้รู้รสชาติของคำว่าตกนรกทั้งเป็น”
หอมน้ำปล่อยร่างวดีกลิ้งลงพื้นแล้วเดินออกไป
วดีรีบคลานไปหยิบสร้อยพระมาสวมด้วยสีหน้าตระหนก
หอมน้ำเดินตัวตรงออกมาโดยไม่มองหน้าใคร ลิซซึ่งกำลังซุบซิบนินทาหอมกับคนอื่นๆ ชะงักมอง
นักข่าว 1 ร้องถามขึ้น “น้องหอมขา...ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ยคะ”
หอมน้ำเดินออกไปโดยไม่ได้หันมามอง
ลิซซี่สังหรณ์ใจ รีบวิ่งไปที่ห้องวดีทันที
วดียังคงนั่งอยู่กับพื้นพิงพนังห้องด้วยขาเคล็ดลุกไม่ไหว ขณะลิซซี่เปิดประตูเข้ามา
“อุ๊ยตายแล้ว ทำไมลงไปนั่งแอ้งแม้งอย่างนั่นล่ะคะ คุณวดีขา”
“มาช่วยพยุงฉันลุกขึ้นหน่อยซิ”
“ได้ค่ะได้”
ลิซซี่กุลีกุจอมาพยุงวดีลุกขึ้นไปนั่ง โดยวดีนิ่วหน้าครางเจ็บตลอดเวลา
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
วดีเม้มปาก นัยน์ตาเป็นประกายกร้าว ด้วยความอาฆาตแค้น
ระหว่างทาง รถโกศลแล่นมาติดไฟแดง โกศลหันมามองหอมน้ำ
“ไปดูหนังกันดีไหม”
“ไม่ดี”
“อ้าว”
“ไปบ้านหมอศวัส”
โกศลโวยวาย “ทำไมล่ะหอม”
หอมน้ำผินหน้ามา “เพราะฉันจะไป”
“ก็ได้” โกศลหน้าเสีย จำใจขับไปตามคำสั่ง
ฝ่ายลิซซี่มองไปโดยรอบขณะพูด “พรุ่งนี้ลิซซี่จะไปขอสายสิญจน์หลวงพ่อวัดใกล้บ้านมาวนให้รอบห้องเลย ผีหอมน้ำจะได้ไม่กล้าเข้ามาอาละวาดอีก”
“เอ๊ะ นังคนนี้นี่ พูดไม่รู้ฟัง ฉันบอกว่าผีนังกัลยา ไม่ใช่หอมน้ำ”
“นั่นแหละค่ะ สิงไปสิงมา เดี๋ยวหอมน้ำมีหวังได้ตายตามพุธกันยา ไปด้วยแน่ๆ เอ! หรือว่าจะพันรอบบริษัทเลยคะ”
“จะบ้าเรอะ คนเขาจะได้ว่าเราบ้าน่ะซิ”
ลิซซี่พยักหน้าหงึกหงัก แล้วเบิกตากว้าง
“นึกออกแล้วค่ะ ลิซนึกออกแล้วว่าจะเอาคืนให้น้องเอิงยังไง แบบนี้เหมาะแน่ๆ แนบเนียนน่าเชื่อด้วย”
“แบบไหน”
“ก็แบบที่ทำให้ทุกคนเข้าใจว่า หอมน้ำเพี้ยนๆ ไงคะ ยิ่งนางถูกผีสิงบ่อยๆ แบบนี้ยิ่งน่าเชื่อ แล้วใครที่ไหนจะอยากได้คนบ้าคนเพี้ยนมาเป็นนางเอก พวกแฟนคลับเขาก็ไม่ปลื้มหรอกค่ะ”
วดีคิดตาม พยักหน้าช้าๆ อย่างพอใจ “ดี แกไปร่างรายละเอียดข่าวมาก็แล้วกัน”
“ลิซซี่จัดให้เลยค่ะ”
ลิซซี่เดินออกไปด้วยสีหน้าปลื้มปริ่ม
ฝ่ายเขน และทับทิมนั่งหลบมุมชะเง้อมองไปทางหน้าประตูที่รถจะแล่นเข้ามา
“สงสัยจะไม่มามั้ง”
“เขนแน่ใจว่าต้องมา เพราะถ้าคุณพุธเข้าสิงทีไร แกจะต้องพยายามมาอยู่ใกล้ลูกใกล้ผัวทุกที”
“แน่ใจเหรอว่า คุณพุธเข้าสิงหอม”
“ชัวร์เลยละค่ะ โน่นไง รถไอ้โก”
ทั้งสองเห็น รถโกศลเลี้ยวตรงมา
เขนและทับทิมลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่กางเกงขณะเดินออกไปให้โกศลและหอมน้ำเห็น
หอมน้ำมองจากในรถถอนใจหงุดหงิด
“พวกตัวยุ่งมาอีกแล้ว”
โกศลจอดรถ กดล็อคประตู แต่หอมน้ำยังนั่งนิ่งไม่ก้าวลงไป จนเขนและทับทิมก้าวเข้ามา
เขนเคาะหน้าต่างเรียก “ลงมาได้แล้วค่ะ คุณพุธ”
โกศลมองหอมน้ำอย่างแปลกใจ “คุณพุธไหน”
หอมน้ำถอนใจอีกเฮือก และเปิดประตูลงไปยืนกอดอก หน้าบึ้ง โดยมีโกศลรีบตามลงมา
“เชิญออกจากร่างหอมได้แล้วค่ะ”
โกศลมองทางโน้นทางนี้งงๆ
หอมน้ำทำเป็นไม่ได้ถูกสิง “เขนจ๋าเขน นี่หอมน้ำไง...ไม่ใช่คุณพุธกันยา”
“ไม่เชื่อค่ะ”
“ไม่เชื่อก็ตามใจ”
เขนหยิบสร้อยพระของหอมน้ำออกมาจากกระเป๋า หอมน้ำผงะไปนิดหนึ่ง
“จะออกดีๆ ไหมคะ”
หอมน้ำสีหน้าถมึงทึง “คืนนี้ ฉันจะไปหักคอเธอ”
โกศลงงเป็นไก่ตาแตก “เฮ้ย พูดกันเรื่องอะไรน่ะ”
“เรื่องผีค่ะ” ทับทิมบอก
โกศลขยับจะพูดอีก แต่ทับทิมยกนิ้วแตะปาก
“ยังไม่ต้องพูดค่ะ”
ขณะทั้งสองพูดกัน เขนจับสร้อยพระไว้มั่น พลางก้าวเดินมาหาหอมน้ำช้าๆ
หอมน้ำมีท่าทีระมัดระวังตัว
“จะออกหรือไม่ออกคะ”
คราวนี้พุธกันยาในร่างหอมน้ำใช้ไม้อ่อน “หนูเขนจ๋า ขอให้ฉันได้พูดคุยกับลูกกับคุณบุรีหน่อยเถอะนะจ๊ะ”
เขนเสียงแข็ง “ไม่จ๋าไม่จ๊ะค่ะ กรุณาออกจากร่างเพื่อนเขนได้แล้ว”
โกศลถามทับทิมงงๆ “เขนพูดยังกับหอมถูกผีสิง”
“ก็ใช่นะซียะ” ทับทิมเริ่มหมั่นไส้
โกศลขำกลิ้ง ทุกคนหันมามอง ไม่ขำด้วย โกศล เลยเจื่อนจ๋อยไป
ศวัสกำลังนอนอ่านหนังสืออยู่ในบริเวณซุ้มพุดซ้อน แจ่มเดินเข้ามาหา
“คุณหมอคะ”
ศวัสยังไม่ลดหนังสือลง “ว่าไง”
“คุณหอมน้ำกับเพื่อนๆ มาทะเลาะอะไรกันไม่ทราบอยู่หน้าบ้านค่ะ”
แจ่มพูดยังไม่ทันจบดี ศวัสรีบลุกเดินออกไปเลย
ศวัสเดินตรงมาถามเสียงดัง “นั่นทำอะไรกัน”
ทุกคนหันมามอง รวมทั้งหอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิง
พุธกันยารีบตรงไปหาศวัส “ศวัส ช่วยแม่ด้วยลูก”
เขนตามไปติดๆ จนทัน และฉวยโอกาสคล้องสร้อยพระให้หอมน้ำทันควัน
หอมน้ำกรีดร้อง แล้วหมดสติไป โดยที่ศวัสรับไว้ทัน
“หอม เป็นอะไรไป” โกศลตกใจ
หอมน้ำลืมตาขึ้น ตกใจที่พบว่าอยู่ในอ้อมแขนหมอฟันทันตแพทย์ รีบผละออกจากวงแขนศวัส
ศวัสพูดน้ำเสียงเยาะเย้ย “ผีออกแล้วเหรอ”
หอมน้ำมองศวัสงงๆ แล้วหันไปทางเขน
“หอมถูกสิงหรือเขน”
เขนพยักหน้าด้วยไม่กล้าตอบออกมาดังๆ
“คุณพุธ” หอมน้ำเหลียวมองหา แล้วหยุดชะงักเมื่อเห็นชายเสื้อพุธกันยาไวๆ หายเข้าไปในบ้าน
“อยู่นั่น”
หอมน้ำรีบเดินตามเข้าบ้านไป โดยมีทุกคนรีบตามไปติดๆ
“หอมน้ำ”
หอมน้ำเดินตรงมา และหยุดเงยหน้ามอง ขณะที่ทุกคนตามมาสมทบ พุธกันยายืนอยู่ตรงหน้ารูปใบใหญ่ มองลงมาที่หอมน้ำยิ้มบางๆ ให้
เยาวภา และแจ่มเดินออกมามองอยู่มุมหนึ่ง
“คุณพุธ” หอมน้ำเสียงเข้ม
“อย่าพูดอะไรดีกว่า ไม่อย่างนั้นทุกคนเขาจะคิดว่าเธอเป็นบ้า”
หอมน้ำไม่ฟัง “คุณผิดสัญญา”
ทุกคนมองมาที่หอมน้ำเป็นตาเดียว พุธกันยากอดอกพิงผนังฟังหอมน้ำพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“วันนี้หอมไม่ได้ถ่ายละคร”
เขนเดินมาโอบไหล่เพื่อนเป็นเชิงเตือน “หอม”
หอมน้ำหันมามอง เขนส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม
“เธอควรจะเชื่อเพื่อนเธอนะ” พุธกันยาบอก
หอมน้ำหันกลับไปมอง
“เอาเป็นว่า ฉันขอโทษก็แล้วกัน”
พูดจบพุธกันยาเดินหายเข้าไปในรูป หอมน้ำมองตามเม้มปากแน่น แล้วหันกลับมา
พบว่าทุกคนมองมาเป็นตาเดียวกัน หอมน้ำเลื่อนสายตามาหยุดยังศวัสที่กำลังมองมานิ่งๆ
ศวัสเดินนำหอมน้ำมาช้าๆ จนมาหยุดในบริเวณซุ้มพุดซ้อน
ศวัสยืนนิ่งครู่หนึ่ง แล้วจึงหันกลับมา หอมน้ำสบตาเขา นัยน์ตาค่อยๆ ปรากฏน้ำตาคลอขึ้นมา ศวัสยังคงมองนิ่งๆ
“จะว่าหอมบ้าก็พูดมาเถอะค่ะ”
“แล้วเธอบ้าหรือเปล่าล่ะ” น้ำเสียงของเขาขุ่นเขียว
เห็นหอมน้ำนิ่ง ศวัสเสียงเข้มขึ้น “ฉันถาม”
“หอมขอยืนยันว่าหอมไม่ได้บ้า หอมเห็นคุณพุธ...เอ้อ...คุณแม่ของคุณจริงๆ”
ศวัสนิ่งงันไป แล้วเดินไปทรุดตัวลงนั่งด้วยสีหน้าครุ่นคิด หอมน้ำมองเขาครู่หนึ่ง แล้วหันหลังกลับ เดินออกไปเงียบๆ ศวัสยังคงแน่วนิ่งตริตรองอยู่ในอิริยาบถเดิม
ถัดจากนั้นไม่นาน ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบเงียบร่มรื่นของบริเวณวัด ศวัสพาตัวเองมาอยู่ในโบสถ์ของวัดแห่งนี้ เขากำลังก้มลงกราบแล้วเงยหน้าขึ้น มองหลวงพ่อรูปเดิมที่เขามาทำบุญเป็นประจำ หลวงพ่อมองสีหน้าสับสนของหมอหนุ่มด้วยแววตาเปี่ยมเมตตา
“มันยากกว่าเรียนหมออีกใช่ไหม”
ศวัสชะงัก “หลวงพ่อ”
“ของบางอย่างมันพิสูจน์ไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์หรอก”
“หลวงพ่อ...เอ้อ...ทราบหรือครับ”
หลวงพ่อยังคงมีสีหน้าสงบ
“ผม...ผมไม่ทราบว่า เด็กคนนั้นพูดจริงหรือว่าโกหกเพื่อเรียกร้องความสนใจจากทุกๆคน ถ้า...ถ้าเขาเห็นคุณแม่ แล้วทำไมผม...คุณพ่อแล้วก็ทุกๆ คนในบ้านถึงได้ไม่เห็น”
“คนเราไม่เหมือนกัน บางคนเขาก็มีสิ่งที่ฝรั่งเขาเรียกว่าซิกซ์เซ้นส์ หรือสัมผัสที่ 6”
ศวัสอึ้งไปชั่วขณะ “หมายความว่า หอมน้ำพูดจริงหรือครับ”
หลวงพ่อนิ่ง
“ทำไมท่านถึงไม่มาให้ผมเห็น คุณแม่ไม่ทราบหรือครับว่าผมว้าเหว่ ผมโหยหาความรักจากท่านตลอดเวลา...ผมคิดถึงท่าน”
“ความรักของแม่จะอยู่กับลูก และติดตามลูกไปทุกหนทุกแห่ง”
“ทั้งๆ ที่ท่านเสียไปแล้วน่ะหรือครับ”
“ความรักของแม่จะซึมเข้าไปอยู่ในเลือดเนื้อทุกหยดของลูกนับตั้งแต่วันคลอดออกมา”
ใบหน้าหล่อของศวัส มีน้ำตารื้นขึ้นมาในหน่วยตา
“มีหลายๆครั้งที่ลูกอาจจะลืม หรือละเลยพ่อแม่ แต่พ่อแม่ไม่เคยไม่นึกถึงลูกแม้แต่ชั่วขณะเดียว ความรักของพ่อแม่เป็นความรักที่หนักแน่นมั่นคงที่สุดในโลก และไม่เคยลดน้อยลงตามกาลเวลา ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรก็ยังรัก เพราะเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข”
ศวัสยังดูโศกศัลย์ และเศร้าสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวงกับความจริงอันค้างคาใจ
อ่านต่อหน้า 2
ใยกัลยา ตอนที่ 10 (ต่อ)
คฤหาสน์ทั้งหลังดูสงบ ในบรรยากาศสงัดเงียบอย่างประหลาด ทั้งที่เป็นเวลาช่วงกลางวันแท้ๆ แสงแดดที่แผดจ้ายามค่อยๆ อ่อนสลัวลงราวกับเป็นแสงยามเย็นผีตากผ้าอ้อม ซึ่งก่อให้เกิดความวังเวง
ภายในห้องพุธกันยาตอนนี้ พุธกันยายืนสงบอยู่ตรงหน้าโต๊ะวางโกศกระดูกตัวเอง ซึ่งมีรูปภาพค่อนข้างใหญ่วางอยู่ เสียงล็อกประตูถูกเปิด พุธกันๆ ค่อยๆ หันหน้าหันไปมอง เห็นศวัสเดินเข้ามา ก่อนจะปิดประตูเบาๆ เหมือนเกรงจะรบกวนแม่ พุธกันยาจดสายตามองตามศวัสทุกก้าวย่าง
ศวัสเดินมาทรุดตัวลงตรงหน้าโต๊ะบูชานั้น โดยไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงหน้าวิญญาณแม่พอดี หมอหนุ่มมองภาพแม่อย่างเพ่งพิศ
เสียงหลวงพ่อดังก้องในหู “หลายๆครั้งที่ลูกอาจจะลืมหรือละเลยพ่อแม่ แต่พ่อแม่ไม่เคยไม่นึกถึงลูกแม้แต่ชั่วขณะเดียว ความรักของพ่อแม่เป็นความรักที่หนักแน่นมั่นคงที่สุดในโลก และไม่เคยลดน้อยลงตามกาลเวลา...ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรก็ยังรัก...เพราะเป็นความรักที่ปราศจากเงื่อนไข”
น้ำตาศวัสรื้นขึ้นมาอีก แล้วค่อยๆ ก้มลงกราบ ลงตรงเท้าพุธกันยาพอดิบพอดี
พุธกันยาค่อยๆ ทรุดตัวลง นัยน์ตาที่จับจ้องมองลูกคลอคลองไปด้วยน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ
“ศวัส”
ท่าทีของศวัสเหมือนมองเห็นพุธกันยา “คุณแม่”
พุธกันยาเบิกตากว้าง ด้วยความตื่นเต้น “ลูกรัก...นี่...นี่ลูกมองเห็นแม่แล้วใช่ไหม”
ศวัสกลับบอกว่า “ถึงผมจะไม่เห็นคุณแม่ แต่ผมก็สามารถสัมผัสความรัก และความห่วงใยของคุณแม่ได้แล้ว”
พุธกันยามีสีหน้าสลดลง และผิดหวังตั้งแต่ประโยคแรก
“ผมขอโทษที่เคยคิดว่าคุณแม่เห็นแก่ตัวที่ทิ้งคุณพ่อกับผมไป”
น้ำตากลบตาพุธกันยาแล้ว “แม่ไม่เคยคิดที่จะทำอย่างนั้นเลย แม้แต่ชั่วขณะเดียว แม่ไม่เคยอยากจากลูกกับคุณพ่อไปไหน อยากให้เราอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกจนชั่วชีวิต แต่ชั่วชีวิตของแม่มันช่างสั้นเหลือเกิน ลูกรัก...แม่จะไม่จากลูกไปอีกแล้ว”
อีกฟาก แท็กซี่คันหนึ่ง แล่นเข้ามาจอดหน้าอาคารหอพักนักศึกษา สามสาวอยู่ภายในรถ หอมน้ำขยับเปิดประตู
“ไม่เปลี่ยนใจแน่นะคะ น้องหอม” ทับทิมถาม
“ไม่ค่ะ หอมต้องท่องบท พรุ่งนี้ต้องถ่ายแล้ว พี่ทับกับเขนเที่ยวเผื่อด้วยละกัน”
“แล้วจะซื้อขนมมาฝาก”
หอมก้าวลงมา และปิดประตูรถให้
รถแล่นออกไป หอมน้ำมองตามพร้อมกับโบกมือให้สองสาว ด้วยสีหน้าที่ดูออกว่าทำฝืนยิ้มแย้มแจ่มใส พอเดินเข้าไปภายในหอพัก สีหน้าที่เปลี่ยนเป็นหมองเศร้าลง โดยมีทักทายคนรู้จักกันบ้าง
ประตูห้องเปิดออก หอมน้ำเดินเข้ามาสีหน้าหมองเศร้า หอมทรุดตัวลงนั่งนิ่งๆครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นกระพริบตาถี่ๆ เหมือนจะให้น้ำตาที่ทำท่าจะเอ่อออกมาให้ไหลย้อนกลับลงไป
ภาพเหตุการณ์ตอน หอมน้ำกรีดร้อง แล้วหมดสติโดยที่ศวัสรับไว้ทัน ท่ามกลางความงุนงงของโกศล
“หอม เป็นอะไรไป”
หอมน้ำลืมตาขึ้น แต่ต้องตกใจ รีบผละออกจากวงแขนศวัสโดยเร็ว
ศวัสเยาะเอาว่า “ผีออกแล้วเรอะ”
อีกเหตุการณ์ตอนศวัสกำลังมองตรงมานิ่งๆ แล้วหอมน้ำบอกว่า
“จะว่าหอมบ้าก็พูดมาเถอะค่ะ”
“แล้วเธอบ้าหรือเปล่าล่ะ”
ภาพเลือนหายไป หอมน้ำเช็ดน้ำตาที่ปริ่มออกมา จู่ๆ ทิชชู่ถูกดึงออกจากกล่องลอยมาหยุดตรงหน้าเหมือนมีคนหยิบให้ ในขณะที่หอมน้ำเริ่มมีไอเย็นออกมาทางลมหายใจ
หอมน้ำขยับตัวตรง เงยหน้าขึ้นมอง “คุณ...คุณพุธใช่ไหมคะ” ท่าทีออกวิตก หวาดหวั่น ด้วยเกรงเป็นผีอื่น
พุธกันยาปรากฏตัวขึ้น มือถือทิชชู่ที่อยู่ในลักษณะส่งให้เมื่อครู่นี้ “ก็จะใครเสียอีกล่ะ”
หอมน้ำถอนใจโล่งอก รับทิชชู่มาเช็ดน้ำตา โดยไม่ลืมยกมือไหว้ และพึมพำขอบคุณเบาๆ
“ทำไม คิดว่ามีวิญญาณที่ไหนมาอีกหรือ”
หอมน้ำนิ่ง พุธกันยามองอย่างเพ่งพิศ ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจพูด
“รู้แล้ว เธอต้องทะเลาะกับลูกชายสุดสวาทขาดใจของฉันมาแน่ๆ”
“หอมไม่เคยทะเลาะกับคุณหมอ มีแต่คุณหมอที่ชอบดุหอม เพราะคุณหมอเชื่อว่าหอมเป็นสิบแปดมงกุฎ” ยิ่งพูดยิ่งน้ำตาไหลออกมาอีก “หอมกุเรื่องคุณขึ้นมาเพราะอยากดัง”
“ต่อไปนี้เขาจะไม่คิดอย่างนั้นอีกแล้ว”
หอมน้ำชะงัก งงไปครู่หนึ่ง “หอมไม่เข้าใจค่ะ”
“เขาเชื่อว่า ฉันเข้าสิงเธอจริงๆ”
หอมน้ำพึมพำ “เป็นไปไม่ได้...”
พุธกันยายักไหล่นิดๆ “แต่มันเป็นไปแล้ว ถ้าไม่เชื่อ...เธอก็ลองถามเขาดู”
หอมน้ำส่ายหน้า บอกอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ค่ะ หอมกลัว”
พุธกันยาฉุน “หอมน้ำ”
หอมน้ำรีบตัดบท “หอมเหนื่อย คุณกลับไปเถอะค่ะ หอมจะท่องบท เผื่อหอมจะลองแสดงเองโดยที่ไม่ต้องรบกวนคุณเข้าสิง”
พุธกันยาทำท่าจะค้าน แต่เห็นท่าทีแล้วก็เปลี่ยนใจ “ตามใจ”
พุธกันยาเลือนหายไป หอมน้ำถอนใจยาว เอนศีรษะพิงพนักเก้าอี้ครู่หนึ่ง แล้วเดินไปหยิบเสื้อผ้า และผ้าเช็ดตัวเตรียมจะเข้าห้องน้ำ
หอมน้ำเดินมาถอดสร้อยพระวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
พุธกันยากลับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มองไปที่สร้อยพระ แล้วจึงผินหน้ากลับไปมองที่ห้องน้ำ ยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ ออกมา
ศวัสอยู่ที่บ้าน กำลังหอบหนังสือดาราเกี่ยวกับพุธกันยา ทั้งที่ขึ้นปก และบทสัมภาษณ์เรื่องราวของพุธกันยาสมัยยังมีชีวิตอยู่เข้ามาในห้อง ปิดประตู เดินมาทรุดตัวลงนั่ง วางหนังสือทั้งหมดลง แล้วหยิบเล่มบนสุดมาดู
ปกหนังสือฉบับนั้นเป็นรูปพุธกันยาสดใสสวยงาม ศวัสมองภาพแม่เพ่งพิศ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ศวัสสะดุ้งเฮือกด้วยกำลังคิดอะไรเพลินๆ
ศวัสวางหนังสือลง และหยิบโทรศัพท์มาดู...สีหน้าศวัสประหลาดใจ แต่ก็กดรับรับ ด้วยสุ้มเสียงเฉยเมย
“มีธุระอะไร”
เสียงหอมน้ำดังออกมาว่า “นี่แม่เอง...แม่กำลังไปหาลูก” ศวัสนิ่งอึ้ง “อีกประมาณ 15 นาทีก็คงจะถึงบ้านแล้ว ศวัสมาเปิดประตูให้แม่หน่อย”
เสียงเงียบไป ศวัสค่อยๆ วางโทรศัพท์ลง สีหน้าดูสับสน ลังเลหนัก
มีแท็กซี่คันหนึ่ง แล่นมาจอดหน้าบ้าน ประตูเปิดออก เป็นหอมน้ำก้าวลงมา กนกรัตน์มองจากหน้าต่างห้องลงมาเห็นพอดี ติ่งรุ่นป้าชะงัก แล้วเดินเข้าไปกลับมาอีกครั้งด้วยกล้องส่องทางไกล
ศวัสเดินออกมาหน้าบ้าน ด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนไม่ค่อยมั่นใจนัก หอมน้ำมองหน้าศวัสด้วยความตื้นตันใจ
“ลูกรัก”
หอมน้ำโผเข้ากอดศวัสที่ยืนตัวแข็ง ทำอะไรไม่ถูก
ส่วนกนกรัตน์เองก็ตื่นเต้นตกใจกับภาพที่เห็น
“อุจาด! อุจาดที่สุด”
หอมน้ำยังคงกอดศวัส ด้วยความรัก และตื้นตันใจ
“ศวัส...แม่อยากกอดลูกอย่างนี้มานานแสนนานแล้ว”
ศวัสค่อยๆ จับแขนหอมน้ำออก “เข้าไปข้างในดีกว่า...” หมอหนุ่มลังเลเล็กๆ “ครับ”
หอมน้ำยิ้มอย่างชื่นอกชื่นใจ “ไปซิลูก”
พลางหอมน้ำจับแขนศวัสเดินเข้าบ้าน
กนกรัตน์ลดกล้องลง สีหน้าแววตายังคงตื่นเต้นกับภาพที่เห็น
“มีเรื่องนินทาดาราอีกแล้ว”
วันทนาอยู่ในครัวกำลังบรรจงล้างผักทีละใบ โดยแต่ละใบต่างก็แหว่งเว้าด้วยถูกหนอนกินไปเป็นครึ่ง
วันทนาบ่น “สมัยนี้คนจะกินผักต้องรอหนอนมันกินให้อิ่มก่อน เพื่อความปลอดภัย...เวรกรรม”
เสียงกนกรัตน์แหลมเข้ามาก่อน “วัน วันจ๋า วัน” ตัวตามเสียงเข้ามา
วันทนาเบือนหน้ามามองแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาล้างผักต่อ
“ไม่ต้องตะโกนก็ได้ค่ะ ลูกชาติลูกตระกูลเขาพูดกันเบาๆ ไม่มีเอะอะมะเทิ่ง”
กนกรัตน์ยังคงตื่นเต้นโดยไม่สนคำพูดวันทนา “หอมน้ำกอดกับหมอศวัส”
วันทนาทำผักหล่นจากมือ ขณะพึมพำเบาๆ อย่างตกใจ “แม่เจ้า”
“จริงๆ นะ คุณหนกเองยังแทบไม่เชื่อสายตา เท่านั้นยังไม่พอ กอดกันเสร็จก็จูงมือกันเข้าบ้านไป คุณหนกไม่อยากจะคิดเลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น” กนกรัตน์ยกมือปิดตา “โอ๊ยตาย คุณหนกเห็นภาพเลย”
“สาวๆ สมัยนี้ทำไมไวไฟกันเหลือเกิน”
กนกรัตน์เอามือออก “ถ้าไม่ไวไฟก็จะขึ้นคานเหมือนคุณหนกกับวันไง รู้งี้...ตอนสาวๆ ไวไฟแบบนี้บ้างก็ดี”
วันทนาเอ็ดเอา “ต๊าย คุณหนก ไปล้างปากค่ะ ไปล้างปาก ล้างให้สะอาดเลยนะค่ะ พูดจาอะไรก็ไม่รู้ วันก็จะไปล้างหูเหมือนกัน บอกแล้วว่าอย่าไปยุ่งกับเรื่องชาวบ้านก็ไม่ฟัง”
วันทนาทิ้งงาน เดินเอามืออุดหูออกไป
ส่วนหอมน้ำยืนจ้องมองดอกพุดซ้อนนิ่งๆ ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันกลับมา ศวัสยืนมองหอมน้ำเงียบๆ อย่างเพ่งพิศ
“แม่พยายามหาทางติดต่อกับลูกกับคุณพ่อมานานเหลือเกิน จนเกือบจะหมดกำลังใจ แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์บันดาล”
หอมน้ำเดินมากอดศวัสอีก แล้วจับใบหน้าไว้ และเขย่งขึ้นจูบแก้มซ้ายแก้มขวา ศวัสทำหน้ากระอักกระอ่วนใจ
หอมน้ำมองหน้าศวัสอย่างปลาบปลื้ม “ขอบใจนะลูกที่เชื่อ แล้วไว้ใจแม่ เดี๋ยวคุณพ่อกลับมา เรา 2 คนแม่ลูกจะช่วยกันอธิบายให้คุณพ่อฟัง”
“ให้ผมคุยกับคุณพ่อก่อนดีกว่าครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“เรื่องอย่างนี้มันควรค่อยเป็นค่อยไป...” ศวัสบอก
“แต่ท่าทางคุณพ่อน่าจะรับได้ง่ายกว่าลูกเสียอีก”
“ยังไง คุณพ่อก็น่าจะมีเวลาตั้งตัวก่อน...จะได้ไม่ดีใจหรือว่าตื่นเต้นมากจนเกินไป”
“แล้วศวัสล่ะลูก ดีใจแล้วก็ตื่นเต้นมากไหม”
ศวัสถอนใจยาว “ผมยังไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นความจริง”
“เชื่อเถอะ...แม่กลับมาอยู่กับลูกแล้วจริงๆ และจะไม่มีวันหนีไปไหนอีก”
ศวัสอึ้งไปชั่วครู่ “แล้วหอมน้ำล่ะครับ”
หอมน้ำนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วยิ้มพลางว่า
“เขาก็อยู่ส่วนของเขา...เราก็อยู่ส่วนของเรา”
ศวัสทำท่าจะถามอีก พุธกันยาในร่างหอมน้ำตัดบท
“อย่าเพิ่งพูดถึงคนอื่นๆ เลย...แม่มีเรื่องจะเล่าให้ลูกฟังเยอะแยะ”
หอมน้ำจูงศวัสเดินมานั่ง
ระหว่างนี้แจ่มเดินออกจากในตึกผ่านมา บังเอิญมองออกไป แล้วชะงัก เมื่อเห็นหอมกำลังยิ้มแย้มแจ่มใสคุยอะไรบางอย่างให้ศวัสฟัง โดยศวัสนิ่งฟังเงียบๆ
ไม่เท่านั้นหอมน้ำยังยื่นหน้าไปหอมแก้มศวัสฟอดใหญ่อย่างเอ็นดูรักใคร่ เหมือนแม่จูบแก้มลูกตัวเล็กๆ อย่างหมั่นเขี้ยว แจ่มเบิกตากว้าง
ขณะที่เยาวภากำลังเดินตรวจดูความเรียบร้อยภายในบ้าน แจ่มเดินหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณแม่บ้านขา ...คุณแม่บ้าน”
เยาวภาเบือนหน้ามามองช้าๆ ตามสไตล์ แววตาตำหนิ
แจ่มมัวแต่ตกใจ เลยไม่สนท่าทีนั้น “น้องหอมน้ำค่ะ น้องหอมน้ำจูบแก้มคุณหมอดังฟอด”
เยาวภาชะงักกึก นัยน์ตาเป็นประกายวาววับอย่างไม่พอใจ
ไม่นานต่อมาเยาวภา กับ แจ่มก้าวเข้าไปในบริเวณซุ้มพุดซ้อน
“คุณหนู
ศวัสหันมามอง เช่นเดียวกับหอมน้ำซึ่งเบือนหน้ากลับมาเช่นกัน นัยน์ตาถมึงทึงจนเยาวภากับแจ่มอดสะดุ้งไม่ได้
ศวัสตัดบทด้วยไม่อยากให้สองคนสงสัย โดยไม่ทันได้เห็นสายตาหอมน้ำ
“หอมน้ำกำลังจะกลับพอดี” หมอหนุ่มหันมาทางหอมน้ำ “ผมจะไปส่ง”
เยาวภานิ่วหน้าแปลกใจ กับท่าทางที่เปลี่ยนไปของศวัสซึ่งเหมือนจะเกรงใจหอมน้ำ
หอมน้ำพยักหน้า ลุกเดินไป
ขณะเดินผ่านมาสองคน หอมน้ำผินหน้ามามองช้าๆ นัยน์ตานั้นมีแต่ตาขาวโพลน
เยาวภากับแจ่มผงะ แต่ศวัสไม่เห็น เดินตามหอมน้ำออกไป
ส่วนเยาวภากับแจ่มมองตามเหมือนถูกสะกด
หอมน้ำเป็นฝ่ายเดินนำศวัสเดินมาที่จอดรถ ท่าทางดูสง่ามั่นใจในตัวเอง และมีอำนาจ ผิดกับหอมน้ำเป็นคนละคน
ศวัสมองอย่างสังเกตพินิจพิเคราะห์
“เกลียดขี้หน้านังเยาวภานัก”
“น้าภาเลี้ยงผมมา”
หอมน้ำหยุดเดิน หันขวับไปทันที นัยน์ตาเป็นประกายวาบขึ้นมาจนศวัสถึงกับสะดุ้ง
“มันแย่งหน้าที่แม่”
ศวัสกลืนน้ำลาย
“ทำไมแม่จะไม่รู้ว่ามันอยากเป็นแม่ศวัส เป็นเมียคุณพ่อ”
ศวัสมีท่าทีเกรงใจ “คงไม่ใช่หรอกครับ”
“รู้ได้ยังไง แม่รู้จักมันดี นังคนนี้มันทะเยอทะยาน”
ศวัสเดินมาเปิดประตูรถให้
หอมน้ำมีท่าทีน้อยใจ “อยากให้แม่ไปให้พ้นๆ เสียทีใช่ไหม”
“ผมอยากพาคุณแม่ไปเที่ยวต่างหากครับ”
หอมน้ำชะงัก “ไปเที่ยว”
“เดี๋ยวนี้กรุงเทพฯเปลี่ยนไปมาก คุณแม่อยู่แต่ในบ้าน อาจจะยังไม่เคยเห็น”
หอมน้ำ ออกอาการตื้นตันและดีใจมาก “ขอบใจลูก...ขอบใจมาก”
ศวัสยิ้มอ่อนโยน “เชิญครับ”
พุธกันยาในร่างหอมน้ำเขย่งขึ้นจับหน้าลูกก้มลงมาจูบหน้าผาก ศวัสบังเอิญเหลือบไปเห็นที่บ้านกนกรัตน์โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วชะงัก เขาเห็นกนกรัตน์กำลังลดกล้องลง เบิกตากว้างมองมา
ศวัสมีสีหน้าหนักใจเล็กน้อย แล้วอ้อมมานั่งที่คนขับ ขับออกไป
กนกรัตน์ยังคงเบิกตากว้าง มองตามจนรถออกจากบ้านไป
ฝ่ายเยาวภาเดินเข้ามาในบริเวณนั้นด้วยสีหน้าเกลียดชังแกมหวาดกลัว ติดตามด้วยแจ่มซึ่งตามติด เหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยความหวาดกลัว
เยาวภาทรุดตัวลงนั่ง บ่นบ้า “ผีร้าย นังผีร้าย”
แจ่มสะดุ้งเฮือกรีบปิดปากเยาวภา “ว้าย ระวังค่ะ เดี๋ยวเขาได้ยิน”
เยาวภาผลักแจ่มเซถลาไป “เอามือออกไป มือแกสกปรก เดี๋ยวเชื้อโรคเข้าปากฉัน”
“แหม... แจ่มล้างมือถูสบู่แล้วล่ะค่ะ”
เยาวภาเบือนสายตามองไปข้างหน้า เหมือนไม่สนใจคำพูดแจ่ม “คนอะไร ตายไปแล้วไม่รู้จักไปผุดไปเกิด มัวแต่ห่วงลูกหวงผัว”
“คุณแม่บ้าน” แจ่มอุทานเสียงแผ่วแต่ตกใจมากกับคำพูดนั้น
“ผีก็อยู่ส่วนผี เหงานักก็หาผีด้วยกันมาเป็นผัว หรือไม่ก็ไปเกิดใหม่ให้เป็นเรื่องราว”
เยาวภาหันขวับมาทางแจ่มที่กำลังตะลึงมองอาการโกรธเกรี้ยว อย่างน่ากลัวของคุณแม่บ้าน จนสะดุ้งเฮือก
“แกว่าจริงไหม”
แจ่มตะกุกตะกัก “มะ...มะ....ไม่....ไม่รู้ค่ะ”
“ต้องรู้”
แจ่มกลืนน้ำลาย
เยาวภาลุกขึ้นเดินเข้าไปข้างใน ปากก็บ่นพึมพำ “เป็นผีก็อยู่ส่วนผี คนก็อยู่ส่วนคน เป็นผีอย่ามายุ่งกับคน”
แจ่มมองตามด้วยสีหน้าอาการเดิม “ไม่รู้ผีหรือคน น่ากลัวกว่ากัน”
ตกตอนเย็น ศวัส และพุธกันยาในร่างหอมน้ำ เดินมาตามทางเดินของห้างหรูแห่งนั้น มีผู้คนนักช็อป สวนไปมา ร้านรวงต่างๆ ในห้าง ส่วนใหญ่เป็นร้านแบรนด์เนมชื่อดัง
ศวัสพาหอมน้ำเดินเที่ยวดูสินค้าตามร้านเหล่านั้นด้วยท่าทีสุภาพอ่อนโยน ระแวดระวังดูแลแม่ในร่างหอมน้ำด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายขึ้น
หอมน้ำเองก็ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งต่างๆ ที่เห็น โดยมือข้างหนึ่งเกาะแขนศวัส เหมือนแม่ที่ลูกชายคนโปรดพามาเดินเที่ยว
หอมน้ำมาหยุดหน้าร้านกระเป๋าแบรนด์เนมร้านหนึ่ง มองดูอย่างสนใจ
ศวัสมองตามสายตาแม่ “คุณแม่อยากได้หรือครับ”
หอมน้ำส่ายหน้า สีหน้า แววตาหม่นลง “อยากได้ แต่ก็ไม่รู้จะเอาไปทำไมเพราะแม่คงไม่มีโอกาสใช้”
“ก็ใช้ในเวลาที่คุณแม่อยู่ในร่างหอมน้ำไงครับ”
หอมน้ำเบือนหน้ามามองศวัสด้วยนัยน์ตายินดีแวบหนึ่ง “ศวัสอยากให้แม่สิงหอมน้ำใช่ไหม”
ศวัสนิ่งงันไป หอมน้ำมีแววผิดหวังในสีหน้าแวบหนึ่ง แล้วเปลี่ยนเป็นร่าเริง
“เข้าไปข้างในกันดีกว่า เผื่อจะได้กระเป๋าให้หอมน้ำถือเล่น”
“อย่าเลยครับ”
“ทำไม”
“ผมไม่อยากให้หอมน้ำรู้เรื่องนี้”
หอมน้ำขยับออกเดิน สีหน้าเคร่งขรึมลง ศวัสเดินตาม สีหน้าขรึมเช่นเดียวกัน
แม่ลูกพากันมาอยู่ในบรรยากาศค่อนข้างเงียบภายในร้านอาหารนั้น
ศวัสพาหอมน้ำเดินเข้าไปมุมหนึ่ง โดยมีบริกรตามมา ส่งเมนูให้ทั้งสองคนอย่างนอบน้อม
“คุณแม่อยากทานอะไรครับ”
บริกรสะดุ้งทันทีศวัสเรียกหอมว่า “คุณแม่”
“ลูกสั่งให้แม่ก็แล้วกัน”
บริกรยิ่งทำหน้าพิลึกไปใหญ่ ศวัสสั่งอาหาร บริกรรับออร์เดอร์แล้วรีบไป
“ปกติแม่ได้กินแต่พวกของเซ่นไหว้ที่นังนั่นมันทำให้”
“หมายถึงน้าภาหรือครับ”
“แม่ไม่อยากเอ่ยชื่อมันให้เป็นเสนียดปาก”
“น้าภาเขารักคุณแม่” ศวัสแย้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หอมน้ำขัดขืนห้วนๆ ทันที “อย่าแก้ตัวแทนมัน...ขอร้อง”
ศวัสนิ่งไป หอมน้ำเสียงอ่อนลง “โกรธแม่ใช่ไหม”
“เปล่าครับ”
หอมน้ำมองศวัส ท่าทางน้อยใจ ส่วนศวัสยังคงนิ่ง
บริกรยกอาหารมาเสิร์ฟให้ ศวัสจัดอาหารให้หอมน้ำเงียบๆ
ค่ำวันนั้น ศวัสขับรถมาจอดหน้าหอพักของหอมน้ำ
“วันนี้แม่มีความสุขที่สุด ขอบใจมากนะลูก”
ศวัสทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็นิ่งไป
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
“แม่รู้ว่าศวัสไม่อยากให้หอมน้ำรู้เรื่องนี้”
“ครับ”
“แม่สัญญาว่า หอมน้ำจะไม่ระแคะระคายอะไรเลย”
“ขอบคุณครับ”
“แม่ไปล่ะ”
พุธกันยาในร่างหอมน้ำจูบแก้มลูกด้วยความรักแล้วก้าวลงไป ศวัสมองตามจนหอมน้ำเข้าไปภายในหอพัก
หอมน้ำที่มีพุธกันยาสิงอยู่เปิดประตูเข้ามาแล้วก็ปิดล็อก เดินมาทรุดตัวลงนั่ง ทอดถอนใจยาวด้วยความสุข นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
เห็นเป็นมโนภาพของตัวเอง ซึ่งเดินเที่ยวห้างกับลูกอย่างมีความสุข ไม่ได้อยู่ในร่างหอมน้ำ โดยพุธกันยาสวมชุดสวยในวันที่ตาย กระทั่งตอนศวัสพาไปกินอาหาร พุธกันยาก็มโนเอาว่าเป็นตนไม่ได้ใช้ร่างหอมน้ำ
หอมน้ำทอดถอนใจยาว แล้วลุกเดินไปที่กระจก ภาพสะท้อนออกมา สีหน้าหอมน้ำเหมือนจะเสียดาย เป็นความรู้สึกซึ่งพุธกันยาเสียดายที่จำต้องอาศัยร่างหอมน้ำ แทนที่จะเป็นตัวเองที่ไปเที่ยวกับลูก
“ถ้าแม่ยังไม่ตาย แม่คงจะได้ไปเที่ยวกับลูกโดยไม่ต้องอาศัยร่างคนอื่น...แต่ก็ยังดี” ตอนท้ายหอมน้ำยักไหล่นิดๆ
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงเขน “หอม...หอม”
หอมน้ำชะงักหันขวับไปมอง
“หอม”
“นังอ้วนจอมขวางคอกลับมาแล้ว”
หอมน้ำเดินไปที่เตียงแล้วลงนอน วิญญาณพุธกันยาลุกขึ้นออกจากร่างหอมน้ำ แล้วหลบเข้าไปในเงามืด เสียงเขนยังเรียกต่อ
สักครู่หอมน้ำลืมตาขึ้นมอง
“หอม...หอม เป็นอะไรหรือเปล่า”
หอมน้ำลุกขึ้น เสยผมแล้วสะบัดหน้าเหมือนจะให้หายงง ขณะเดินไปเปิดประตู
เขนโล่งใจ “หอม เฮ้อ...ค่อยยังชั่ว”
หอมน้ำเดินกลับเข้ามานั่ง มีเขนตามเข้ามา พร้อมหอบถุงขนมและอาหารพะรุงพะรัง
“ถ้าหอมเปิดประตูช้าอีกนิดเดียว เขนจะไปเรียก รปภ. แล้ว”
“หอมเผลอหลับไปน่ะจ้ะ”
เขนมองสำรวจตัวเพื่อน “นอนหลับทั้งชุดเนี้ยเหรอ” สุ้มเสียงและสีหน้าเขนแปลกใจที่หอมแต่งตัวเหมือนจะออกไปข้างนอก
หอมน้ำก้มลงมองตัวเอง ด้วยสีหน้าแปลกใจเช่นกัน “เอ๊ะ”
“หอมไปไหนมาหรือเปล่า”
หอมน้ำนิ่งคิดทบทวนแล้วส่ายหน้า “เปล่านี่”
“หรือว่า คุณพุธอาศัยร่างเธอออกไปเที่ยว”
หอมน้ำหันไปมองโดยรอบ พบว่าบริเวณนั้นไม่ปรากฏร่างพุธกันยาอยู่
เขนลดเสียงลง “นางอยู่หรือเปล่า”
หอมน้ำส่ายหน้า “เปล่า”
“แล้วทำไม...”
“ช่างเถอะ ไหน ซื้ออะไรมาบ้าง”
“มีขนมเยอะแยะเลย เขนซื้อหมูสะเต๊ะมากินกันด้วย”
เขนพูดพลางหยิบขนมออกมาจากถุงคล่องแคล่ว พลางหยิบใส่ปาก
“เจ้านี้อร่อยมาก ข้าวเหนียวหมูปิ้งก็มี”
หอมน้ำมองยิ้มๆ
เขนส่งหมูปิ้ง และข้าวเหนียวให้ “เอ้า”
หอมน้ำส่ายหน้า “เขนกินเถอะ! หอมอิ่มแล้ว”
เขนเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ “หอมกินข้าวแล้วเหรอ”
“ยัง แต่มันอิ่มยังไงไม่รู้”
“กลัวอ้วนละซี้ หอมไม่กิน เขนกินเองก็ได้”
เขนพูดพลางกินอย่างเอร็ดอร่อย
ทางด้านเจคเดินออกมาจากออฟฟิศ เพื่อตรงไปขึ้นรถ ทักทายลูกน้องที่อยู่แถวๆ นั้น เมื่อเดินมาที่รถแล้วจึงกดรีโมท ระหว่างนี้คัมภีร์ก้าวเดินเร็วรี่ตามมาเรียก
“คุณเจคครับ”
เจคหยุดหันมามอง
“ดูนี่ซิครับ” คัมภีร์เปิดรูปในไอโฟนแล้วส่งเครื่องให้ เจครับมาดูแล้วนิ่วหน้า
ที่จอเป็นรูปศวัสและหอมในอิริยาบถสนิทสนมกันในห้าง แม้จะไม่เหมือนคนรักกัน แต่ก็ดูชิดเชื้อมาก เจคเลื่อนภาพไปเรื่อยๆ เห็นกิริยาหอมน้ำเหมือนแม่ที่มองลูกด้วยความภาคภูมิใจมากกว่า
คัมภีร์บอกว่า “บังเอิญผมไปซื้อของที่นั่นพอดี”
“ลบซะให้หมด แล้วห้ามเล่าให้ใครฟังเด็ดขาด” เจคส่งคืน
“ได้ครับ”
“แล้วก็ไม่ต้องไปถามอะไรหอมน้ำด้วย ทำทุกอย่างปกติ”
“ครับ”
เจคตบไหล่เบาๆ “ขอบใจมาก”
เจคขึ้นรถแล้วขับออกไป คัมภีร์จัดการลบรูปเหล่านั้นตามคำสั่งเจ้านายทันที
อ่านต่อหน้า 3
ใยกัลยา ตอนที่ 10 (ต่อ)
รุ่งเช้า หอมน้ำกับเขนซ้อนมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้ามาจอดหน้าบ้านศวัส กนกรัตน์ซึ่งชะเง้อชะแง้รอตั้งแต่เช้ามืด รีบออกมากวักมือเรียกด้วยสีหน้าแววตาทำเป็นยิ้มๆ ลึกลับ
“น้องหอมขา...น้องหอมขา”
สองสาวหันไปมอง เห็นกนกรัตน์กวักมือหย็อยๆ “มานี่หน่อยซีคะ”
เขนหันมาสบตาหอมน้ำ “เรียกทำไมอีกล่ะ”
“ไปหาแกหน่อยละกัน”
หอมน้ำกับเขนขยับออกเดิน เสียงศวัสเรียก ดังเข้ามา “หอมน้ำ”
สองสาวหันไปมอง เห็นศวัสเดินตรงมามองกนกรัตน์แวบหนึ่ง ทำเอากนกรัตน์ถึงกับสะดุ้ง ทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยม
“เข้าไปกินข้าวด้วยกัน”
หอมน้ำขยับจะปฏิเสธ
ศวัสบอก “คุณพ่อกำลังรออยู่”
หอมน้ำจำใจเดินเข้าไป ตามติดด้วยเขน
ศวัสหันหน้ากลับไปที่กนกรัตน์ “คุณป้ามีธุระอะไรกับหอมหรือเปล่าครับ”
กนกรัตน์รีบปฏิเสธ “โอ๊ะ ไม่มีค่ะ....ไม่มี ป้าเรียกเล่นๆ”
ศวัสหันหลังจะเดินกลับเข้าบ้าน แต่แล้วก็หันมาใหม่เหมือนนึกได้ แล้วเดินไปหากนกรัตน์ ที่กำลังหันหน้าหันหลัง อย่างเริ่มไม่แน่ใจในความปลอดภัยของตัวเอง
“คุณป้าเคยรู้จักคุณแม่ผมใช่ไหมครับ”
กนกรัตน์รีบพยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้น คุณป้าก็คงทราบว่า คุณแม่ผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ท่านไม่ชอบยุ่งกับใคร แล้วก็ไม่ชอบให้ใครไปยุ่งกับท่าน”
กนกรัตน์ตะกุกตะกัก “ค่ะ...ทราบ...ทราบค่ะ”
“คุณป้าเคยเอะใจหรือเปล่าว่า ทำไมถึงได้เห็นท่านบ่อยๆ”
“ท่าน...ท่านคงมาเยี่ยมป้า”
“ผมว่าท่านน่าจะมาเตือนมากกว่า”
“เตือน” ป้าจอมเผือกงง
“เตือนว่าไม่ให้เอาเรื่องครอบครัวส่วนตัวสูงของท่านไปเที่ยวเล่าให้ใครต่อใครฟัง”
“อ้อ...”
“คุณป้าคงเข้าใจแล้วนะครับ”
“ค่ะ...ค่ะ”
ศวัสยิ้มนิดๆ พร้อมๆ กับทำมือรูดซิปปาก กนกรัตน์ยิ้มแหยๆ รีบพยักพเยิดพร้อมทำมือรูดซิปปากตาม
ศวัสก้มศีรษะให้นิดๆ แล้วเดินไป กนกรัตน์มองตามและยังคงทำมือรูดซิปปากไปมา
กนกรัตน์เดินกลับเข้ามาในบ้าน ขณะที่วันทนากำลังจะออกมาตามพอดี
“คุณหนกไปไหนมาคะ”
กนกรัตน์ไม่ตอบ แต่ทำมือรูดซิปปากแล้วเดินเข้าไปในห้องรับแขก
วันทนามองตามงงๆ
พุธกันยายืนหน้าตาถมึงทึงมองมาที่โต๊ะอาหาร ซึ่งทุกคนนั่งกันพร้อมหน้าคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม โดยที่ขวัญอนงค์พยายามจะเข้ามาผูกไมตรีกับบุรีใหม่ด้วยการทำอาหารเช้ามาเลี้ยงทุกคน
หอมน้ำซึ่งนั่งหันหน้ามาทางพุธกันยา ที่จงใจปรากฏตัวตรงหน้าเธอ มีท่าทางอึดอัดไม่สบายใจและไม่พยายามมองพุธกันยาซึ่งอากัปกิริยาของหอมน้ำไม่ได้พ้นสายตาของศวัส
“หอมน้ำ” สุ้มเสียงพุธกันยาเต็มไปด้วยอำนาจ
หอมน้ำยังคงก้มหน้าก้มตาตักกินบ้าง เขี่ยบ้าง ด้วยกินไม่ลง
พุธกันยาเสียงเข้มขึ้น “หอมน้ำ”
หอมน้ำยังคงมีท่าทีเดิม
“หมอ...” ขวัญอนงค์เรียก แต่ศวัสเหมือนไม่ได้ยิน “หมอ” เธอจึงเอื้อมมือมาจับแขน
ศวัสสะดุ้งด้วยกำลังลอบมองหอมน้ำ ซึ่งก็อยู่ในสายตาบุรีกับขวัญอนงค์เช่นกัน
“ครับ”
“มัวคิดอะไรอยู่จ๊ะ อาเรียกถึงไม่ได้ยิน”
“คุณอามีอะไรหรือครับ”
พุธกันยาบอก “ไม่ต้องไปพูดกับมันลูก”
“หมูสับกระเทียมพริกไทยอร่อยไหม จำได้ว่าอาเคยทำมาให้หมอทานตอนเล็กๆ”
“หอมน้ำ ไล่มันออกไป ได้ยินมั้ย ไม่อย่างนั้นฉันจะแหกอกให้ดู”
พุธกันยาสั่งอีก
หอมน้ำขยับตัวยิ่งอึดอัด เขนซึ่งเพลิดเพลินกับการกินหันมามองเพื่อนอย่างแปลกใจ
บุรีบอก “ซุปข้าวโพดนี่อร่อยมาก”
“ขอบคุณมากค่ะ”
พุธกันยากรีดเสียง “อ๊อย...ไปชมมันทำไม กัลทำอร่อยกว่ามันตั้งเยอะ”
“ขวัญจำได้ว่า เคยเห็นกัลยาทำให้พี่บุรี ขวัญก็เลยขอสูตรมาลองทำเองบ้าง”
“แกมันละเมิดลิขสิทธิ์ ลอกเลียนชั้น หอมน้ำ ไม่ได้ยินหรือไง บอกให้ไล่มันออกไป”
หอมน้ำก้มหน้าลงอีก แล้วร้องกรี๊ด ผวาลุกขึ้นตัวสั่นด้วยความกลัว ตายังเบิกกว้างมองจานข้าว ด้วยพบว่าในจานปรากฏหนอนเต็มไปหมด ทุกคนมองหอมน้ำอย่างแปลกใจ
เขนลุกมาโอบไหล่เพื่อน “เป็นอะไรหอม”
“เขนไปกินต่อเถอะ ชั้นจะเอาหอมน้ำออกไปข้างนอก” ศวัสหันมาทางหอมน้ำ “ไป...หอม”
หอมน้ำเดินตามศวัส ซึ่งแตะข้อศอกอย่างสุภาพออกไป ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองฉงนฉงาน
ศวัสพาหอมน้ำเดินออกมานั่งบริเวณซุ้มพุดซ้อนนั้น หอมน้ำหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจ
“ดีขึ้นไหม”
หอมน้ำตอบเสียงเบา “ค่ะ”
ศวัสทำท่าเหมือนจะถามต่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ นิ่งเงียบกันไป
หอมน้ำเบือนหน้าหันมามองแล้วพูดขึ้นในที่สุด “หอมขอโทษค่ะที่เมื่อกี้ทำเอะอะโวยวาย”
“ไม่เป็นไร”
“คุณหมอไม่ถามหรือคะว่าทำไม”
“ถ้าอยากเล่าก็เล่า ไม่อยากก็ไม่ต้องเล่า”
หอมน้ำนิ่งไปอีก ท่าทางเหมือนจะลังเลว่าเล่าหรือไม่เล่าดี
ฟ้าเดินเข้ามา นัยน์ตาเป็นประกายแวบหนึ่งเมื่อเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน
“น้องหอมจ๋า”
ศวัสกับหอมน้ำหันไปมอง
“นึกแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่ ไปแต่งหน้าทำผมได้แล้วจ้ะ”
“ค่ะ” หอมน้ำหันมาไหว้ศวัส “ขอบคุณนะคะ”
ศวัสพยักหน้า มองตามหอมน้ำไป
บุรีกับขวัญอนงค์อยู่ในห้องทานอาหาร พูดคุยถึงหอมน้ำ กันเบาๆ ขณะที่ศวัสเดินเข้ามา
“หอมน้ำล่ะ”
“ไปแต่งหน้าทำผมครับ ผมก็ต้องไปทำงานเสียที”
“อ้าว หมอเพิ่งทานไปได้นิดเดียว”
“ผมอิ่มแล้วครับ”
“งั้นเย็นนี้ค่อยพบกัน”
ศวัสไหว้ขวัญอนงค์ แล้วเดินออกไป
ขวัญอนงค์พูดด้วยความกังวลไม่ได้อิจฉา “ถ้าหมอศวัสชอบหอมน้ำจริงๆ ก็คงต้องพยายามประคับประคองให้ดี เด็กคนนี้มีอะไรแปลกๆ”
บุรีขยับตัว “ผมก็ต้องไปเหมือนกัน วันนี้มีประชุมสมาคมศิษย์เก่า”
“งั้นออกไปพร้อมกันเลย ขวัญก็ต้องไปเตรียมตัวเข้าฉากเหมือนกัน”
ทั้งสองคนเดินออกไป แจ่มจัดการเก็บโต๊ะ
ที่หน้าเซ็ต ฉากที่ถ่ายทำฉากนี้เป็น ซีนอารมณ์ที่หอมน้ำกลายเป็นบ้าท่ามกลางความสลดใจของทุกๆ คน เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวพูดพล่ามไปตามเรื่อง
เจคมองหอมน้ำด้วยความมั่นใจ และเต็มตื้นด้วยความสุข
หอมน้ำคร่ำครวญตีบทแตกกระจุย ทำให้ทีมงานทุกคนพลอยน้ำตาไหลไปด้วยความสะเทือนใจ เจคมองจ้องแววตาปีติล้น
เสร็จจากฉากนั้นแล้ว เพลินพิศ และกลุ่มนักแสดงกำลังจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์หอมน้ำกันอยู่ในห้องแต่งตัว
“เขาเก่งจริงๆนะ ยิ่งเล่นยิ่งเก่ง ลูกนัทยอมรับเลย” ลูกนัทชมจากใจจริง
เพลินพิศยักไหล่ “ผีสิงน่ะซิ”
ทุกคนชะงัก ทับทิมทำเป็นจัดเสื้อผ้าแต่หูคอยฟังทุกประโยค
ธันวาด่า “พูดบ้าๆ”
“อ้าว จริงๆ นะ ไม่เห็นหรือว่าเวลาเข้าฉากยัยนั่นเปลี่ยนไปเป็นคนละคน”
ขวัญอนงค์พูดเรียบๆ แกมประชด “ไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องนับว่าเขาเป็นคนเก่ง”
อุมาร้องขึ้น “ตายจริง! อาขวัญประชดหรือเปล่าคะเนี่ย”
ลูกนัทจุ๊ปากเป็นสัญญาณเมื่อเห็นหอมน้ำ และเขนเดินเข้ามา
ทับทิมแกล้งพูดทีเล่นทีจริง “มากันแล้ว กำลังนินทากันสนุกเลย”
หอมน้ำตวัดตามองทุกคน คนละแวบหนึ่ง ขณะที่เขนพูดขำๆ แกมประชด
“แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะพ้นคำนินทา”
คัมภีร์เดินเข้ามา “น้องหอมครับ คุณเจคเรียกแน่ะ”
หอมน้ำพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินกลับออกไปเงียบๆ
สีหน้าแต่ละคนมองตามด้วยจริตใครมัน เพลินพิศยิ้มมุมปากเยาะกับอุมา ขวัญอนงค์เพียงนิ่วหน้า ขณะที่ลูกนัทและธันวาเหมือนจะแปลกใจ ส่วนทับทิมและเขนสบตากันอย่างกังวล
มุมหนึ่งในบ้านที่บุรีสั่งเยาวภาให้จัดเป็นที่พักส่วนตัวของเจค ด้วยความที่คุ้นเคยกันมา เจคยืนรออยู่ในนั้น ทอดสายตามองออกไปทางหน้าต่าง หอมน้ำเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าที่เบามาก
“คุณเจคมีธุระอะไรกับหอมหรือคะ”
เจคหันกลับมา นัยน์ตาจับจ้องมองหอมน้ำอย่างเพ่งพิศ
“นั่งซิ”
หอมน้ำทรุดตัวลงนั่ง เจคลงนั่งตามชวนคุยไปเรื่อยๆ
“เมื่อวานไปเที่ยวมาสนุกไหม”
หอมน้ำชะงักนิดหนึ่ง แล้วจึงยิ้มนิดๆ “ไปเที่ยวก็ต้องสนุกซิคะ”
เจคพยักหน้า “ยิ่งถ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนพาไป ยิ่งสนุกใหญ่...ไม่ใช่ซิ ต้องพูดว่ามีความสุขมากกว่า”
หอมน้ำตีหน้าตาย “คุณเจคพูดแปลก”
“อย่าปฏิเสธเลย กัลยา ใครเห็นก็รู้ว่าท่าทางของหมอศวัสกับกับคุณไม่ใช่ท่าทางของหนุ่มสาวที่กำลังมีความรัก”
“แน่นอนค่ะ! คุณหมอเป็นคนใจดี”
“แต่เป็นท่าทางของแม่กับลูกชาย”
“คุณเจคคงไปฟังที่คนเขาพูดถึงวิญญาณพุธกันยา มามาก”
“ผมไม่ใช่คนงมงาย ผมเคยบอกคุณแล้วว่า ผมสังเกตท่าทางหลายๆอย่างของคุณ”
“หอมก็เรียนให้คุณเจคทราบเหมือนกันว่า เป็นความบังเอิญมากกว่า หอมก็คือหอม! ถ้าคุณเจคมีธุระแค่นี้ หอมขอตัวไปเตรียมเข้าฉากต่อไปก่อนค่ะ”
เจคพยักหน้า “เชิญ”
หอมน้ำลุกขึ้น หันหลังจะเดินกลับไป
เจคพูดขึ้นมาลอยๆ “สองหัวดีกว่าหัวเดียว”
หอมน้ำยังคงยืนนิ่ง
“ผมพร้อมที่จะเป็นคู่คิดของคุณ”
หอมน้ำเดินออกไป โดยมีสายตาเจคมองตามอย่างพอใจ
ค่ำลงแล้ว ยังมีการถ่ายหนังอยู่ แทบทุกคนจึงยังคงอยู่กันในบริเวณบ้าน
หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิงเดินออกมาด้วยอิริยาบถรื่นรมย์กับบรรยากาศ และลมพัดมาเย็นสบาย หันกลับไปมองตัวบ้านซึ่งสว่างไสวด้วยแสงไฟจากกองถ่ายหนัง
หอมน้ำหลับตาลง โดยไม่มีความรู้สึก และรับรู้ใดๆ
“ไม่นึกเลยว่า ฉันจะได้รับโอกาสครั้งที่สอง”
เสียงเจคแว่วเข้ามา “สองหัวดีกว่าหัวเดียว ผมพร้อมที่จะเป็นคู่คิดของคุณ”
พุธกันยาสูดลมหายใจยาว สีหน้าแววตาครุ่นคิด
กนกรัตน์เหลียวหน้าเหลียวหลัง แล้วค่อยๆ มาแอบมองหน้าบ้านศวัส กนกรัตน์หยุดชะงัก เบิกตากว้างกับภาพตรงหน้า เมื่อเห็นหอมน้ำยืนมองไปข้างหน้า โดยมีพุธกันยาซ้อนอยู่
กนกรัตน์พยายามจะพูด แต่ก็ได้แต่ปากพะงาบๆ
ขากนกรัตน์พยายามจะก้าว แต่ก็ก้าวไม่ออก ได้แต่สั่นพั่บๆ
พุธกันยาค่อยๆ เบือนหน้าหันมามอง กนกรัตน์อยากจะเป็นลมเต็มที่ แต่ก็ไม่ยอมเป็น
พุธกันยาเลือนหาย หอมน้ำลืมตาขึ้น ถูกผีเข้าสิงแล้ว ยิ้มนิดๆ และเดินมาหยุดตรงหน้ากนกรัตน์ที่จะร้องไห้เสียให้ได้
“มีธุระอะไรกับหอมน้ำหรือคะ”
กนกรัตน์ส่ายหน้า ซึ่งอยากจะร้องไห้เต็มแก่
“เห็นเมื่อตอนเช้าจะเรียกหอมน้ำไปคุย”
วันทนาเดินออกมา เหลียวซ้ายแลขวาตามหาผู้เป็นนาย
“คุณหนก คุณหนก อ้อ! อยู่นี่เอง” วันทนารีบเดินตรงมาหา “มากวนหนูหอมน้ำอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ พอดีหอมถ่ายเสร็จแล้วเลยออกมาเดินเล่น...ลมเย้น...เย็น” เสียงหอมน้ำเย็นยะเยือก จนกนกรัตน์สะดุ้ง “คุณหนกสะดุ้งเฮือกเลย กลัวผีเหรอคะ”
กนกรัตน์ยิ้มเหยเกเต็มทน
“ยิ้มสวยๆซิคะ คุณหนก” วันทนาบอก
กนกรัตน์พยายามยิ้ม แต่ยิ่งดูเหยเก
“ตายจริง พูดไม่รู้ฟังเลย คุณหนกนี่”
“ไม่เป็นไรค่ะ คืนนี้คุณหนกคงไม่สะดวกใจจะยิ้มจริงๆ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าบ้านเถอะค่ะ น้ำค้างลงแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบาย” วันทนาบอกกับหอมน้ำ “ไปละนะคะ”
“ค่ะ”
วันทนาพากนกรัตน์เดินกลับพลาง พูดบ่นพลาง “ยิ่งแก่ยิ่งกระหม่อมบาง”
กนกรัตน์ไม่วายเบือนหน้ามามองหอมน้ำ ซึ่งยิ้มอย่างเยือกเย็นให้อีก กนกรัตน์หันกลับทันที กิริยาหอมน้ำค่อยๆ กลับเป็นนิ่งสนิท
กนกรัตน์เดินตามวันทนาเข้ามา สีหน้าแววตาและสติกลับคืน โพล่งขึ้นมาทันที
“หอมน้ำถูกผีสิง”
วันทนาอ่อนใจ “ผีเผอที่ไหนคะ พูดไม่รู้ฟังเลย คุณหนก”
“วันต้องเชื่อคุณหนก คุณหนกเห็นมากับตา ผีพุธกันยาสิงหอมน้ำ”
วันทนาหน่ายสุดๆ “เอาเข้าไป”
“จริงๆ นะ คุณหนกเห็นร่างของพุธกันยาซ้อนอยู่ในร่างหอมน้ำ”
“คุณหนกเห็นภาพซ้อน”
กนกรัตน์พยักหน้าหนักแน่น
“งั้นพรุ่งนี้คงต้องพาไปตัดแว่นแล้ว” วันทนาพูดพลางเดินเข้าไปหลังบ้าน
กนกรัตน์ผวารีบตามด้วยความกลัว “รอด้วย”
หอมน้ำซึ่งยืนชะเง้อเหมือนจะรอใครสักคน มีสีหน้ายิ้มแย้มยินดีขึ้นมาในทันทีทันใด เมื่อเห็นรถศวัสกำลังแล่นเลี้ยวลงมา หอมน้ำขยับก้าวออกมาให้ศวัสเห็นได้ชัด
ศวัสขับรถชะลอลงแล้วจอดตรงหน้า พร้อมกับเปิดกระจกรถ
“แม่ออกมารอศวัส”
“ขอบคุณครับ” ศวัสขยับตัวเปิดประตูให้
หอมน้ำก้าวขึ้นไปนั่งแล้วโอบศวัสหอมแก้มอย่างชื่นอกชื่นใจ โดยศวัสสะดุ้งนิดหนึ่งด้วยยังไม่ค่อยชิน
“เป็นอะไรลูก”
“ผม...ยังไม่ค่อยชิน อีกอย่าง คุณแม่อยู่ในร่างของหอมน้ำ เอ้อ”
“ความจริง มีอีกคนที่แม่พอจะเข้าสิงได้”
“ใครหรือครับ”
“คุณหนก แกจิตอ่อนแล้วก็ออกจะเพี้ยนๆ แต่แกแก่เกินไป แม่ไม่อยากสิงคนแก่ มันไม่ค่อยเจริญตาเจริญใจ”
ศวัสยิ้มขัน แล้วขับรถเข้าบ้านไป
เพลินพิศซึ่งยืนคุยกับฟ้าและอธิป หันหน้ามามอง ขณะรถแล่นเข้ามาจอด ศวัสเปิดประตูลงมาแล้วอ้อมไปที่ประตูอีกด้าน
“หมอศวัสมากับใครน่ะ”
ประตูเปิดออก เห็นหอมน้ำก้าวลงมาอย่างสง่าโดยจับแขนศวัส สามคนเบิกตากว้าง
“หอมน้ำ”
“ว้าว น้องเอิงงานเข้าแล้ว” เพลินพิศเหยียดยิ้มสะใจ
อธิปงง “เกี่ยวอะไรกับน้องเอิง”
“ก็เขาประกาศว่าเขาจองหมอศวัสแล้ว” เพลินพิศหันมาทางฟ้า “ใช่ไหมพี่ฟ้า”
“ใช่”
ขณะที่กำลังพูดกันสายตายังจับจ้องมองหอมน้ำและศวัสด้วยความรู้สึกต่าง ๆ กัน เพลินพิศริษยา อธิปดูถูกดูแคลนลักษณะองุ่นเปรี้ยว ส่วนฟ้าดีใจที่จะมีเรื่องไปเม้าท์ต่อ
หอมน้ำปรายตามองกลุ่มเพลินพิศแวบหนึ่ง แล้วโน้มคอลูกลงมาจูบซ้ายจูบขวา
กลุ่มเพลินพิศเบิกตากว้าง ฟ้ายกมือทาบอก
“ต๊าย ดูมันทำ” เพลินแค้น
อธิปขบกราม “ทีกับเราทำเป็นหวงเนื้อหวงตัว”
ศวัสก้มลงพูดอะไรบางอย่างกับหอมน้ำอย่างอ่อนโยน แล้วเดินเข้าบ้านไป โดยมีหอมน้ำมองตามด้วยความชื่นชม แล้วจึงเดินกลับไปยังห้องแต่งตัวอย่างสบายอกสบายใจ
กลุ่มเพลิน แต่ละคนมองตามงงๆ ปนหมั่นไส้
ขณะที่โค้กกำลังทำความเข้าใจกับทีมงานถึงฉากต่อไป ฟ้าเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์ มีลับลมคมใน
“พี่โค้ก”
โค้กหันมามองอย่างแปลกใจ
“ฟ้ามีอะไรจะเล่าให้ฟัง”
“เอาไว้ให้เลิกงานก่อน”
“เกี่ยวกับ...หอมน้ำ”
โค้กซึ่งกำลังหันกลับไปชะงัก หันกลับมาใหม่
หอมน้ำหน้าบึ้งอยู่มุมหนึ่งในห้องแต่งตัว ขณะที่เขนยืนข้างๆทับทิมโดยหันหลังให้ทุกคนเพื่อไม่ให้ใครเห็นสีหน้าของตน
เขนบอกเสียงเบาแล้วยื่นสร้อยพระ “กรุณาออกจากร่างหอมได้แล้วค่ะ”
แต่ละคนเริ่มมองปฏิกิริยากลุ่มหอมน้ำ แต่หอมยังทำไม่รู้ไม่ชี้
“คุณพุธขา”
หอมน้ำตวัดสายตามอง “ไม่กลัวชั้นแล้วเรอะ”
ทับทิมชะงัก เงาพุธกันยาค่อยๆ ออกจากร่างหอมน้ำไป
อธิปแซวขึ้น “พูดดังๆ กันก็ได้ เอ๊ะ หรือว่ามีความลับ”
เพลินพิศเดินเข้ามาหา และปรายตาไปที่หอมน้ำ ขณะหอมน้ำรับสร้อยพระมาสวม
เพลินพิศเข้ามานั่งใกล้ๆขวัญอนงค์ “อาขวัญขา เพลินเสียด๊ายสียดาย ที่เมื่อกี้อาขวัญพลาดละครฉากสำคัญ นางเอกคว้าตัวพระเอกมาหอมแก้ม ฟอด...ฟอด...ฟอด”
เขนสบตาทับทิมแล้วพากันขมวดคิ้ว ส่วนหอมน้ำกำลังใช้ครีมเช็ดเครื่องสำอางเงียบๆ
เพลินพิศจ้องหอมน้ำเขม็ง “ถามจริง เธอทำได้ยังไงน่ะ”
หอมน้ำเงยหน้ามองงงๆ “อะไรหรือคะ”
“ต๊าย ยังมีหน้ามาย้อนอีก”
ขวัญอนงค์แทรกขึ้น “มันเรื่องอะไรกัน”
“ก็หอมน้ำน่ะสิคะ คว้าคอคุณหมอมาจูบ”
หอมน้ำตกใจเบิกตากว้าง
ขวัญอนงค์ไม่เชื่อนัก “ใครเขาจะบ้าทำอย่างนั้น”
“หอมน้ำ” ลูกนัทมองเป็นเชิงถาม
“หอมเปล่านะคะ”
เพลินพิศลากเสียงเยาะหยัน “อ้อ...อ่อ จะอ้างว่าผีสิงอีกละซิ”
ธันวาพยายามไกล่เกลี่ย “ไม่เอาน่า...เพลิน”
เพลินพิศชี้หน้าหอมน้ำ แหวะใส่ “ผู้หญิงคนนี้โกหก ตลบตะแลง แพศยา”
“คุณเพลิน” หอมน้ำหน้าซีดเผือด ตกใจมาก
เขนเข้ามาช่วย “อย่าหาเรื่องดีกว่าค่ะ คุณเพลิน”
เพลินหันขวับมาและกระชากเสียง “แกก็อีกคน”
ขวัญอนงค์รีบขวางก่อนเรื่องจะลุกลาม “ไม่เอาน่า เพลิน”
“ไม่ได้ค่ะ เพลินต้องเอาเรื่อง มันทำให้วงการเราเสื่อมเสีย คุณหมอศวัสเขาจะคิดยังไง แล้วถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป”
ธันวาประชด “ไม่แพร่หรอกถ้าไม่มีใครพูด”
ลูกนัทเสริม “ใช่ ทุกคนในที่นี้อย่าเอาไปพูดก็แล้วกัน ไม่งั้นจะเสื่อมเสียทั้งหมด คุณเจคเองก็คงไม่สบายใจ”
“อาเห็นด้วย” ขวัญอนงค์ว่า
ธันวาจ้องเพลินพิศ “เพลิน...รับปากได้ไหมว่าจะไม่พูด”
เพลินพิศนิ่ง แต่นัยน์ตาเป็นประกายแข็งกร้าว
ทางด้านฟ้ามองสีหน้าบึ้งตึงเคร่งเครียดของโค้ก แล้วลอบยิ้มสมใจ แสร้งพูดจาปลอบเสียงอ่อนหวาน
“อย่าเพิ่งถอดใจซิ พี่โค้ก”
โค้กขบกราม “ชั้นไม่โง่หรอก”
“ฟ้าก็ไม่ได้ว่าพี่โค้กโง่ พี่โค้กมีแผนที่จะพิชิตใจนางเอกผีสิงหรือจ๊ะ”
“คนอย่างชั้นเขียนด้วยมือก็ลบด้วยเท้าได้”
ฟ้าวี้ดว้าย “ต๊าย น่ากลัวจัง”
โค้กระบาย “ชั้นพยายามสนับสนุนหอมน้ำทุกวิถีทาง คอยให้กำลังใจสารพัด”
ฟ้าทำทีเป็นเออออ “ก็นั่นนะซิ ฟ้าถึงได้เห็นใจพี่โค้กไง ฟ้าไม่ได้ยุนะ แต่ฟ้าว่าเขาหลอกใช้พี่โค้ก เป็นฟ้า ฟ้าก็เอาคืน”
เห็นโค้กนิ่งไป ฟ้าลดเสียงลง “ว่าแต่ พี่โค้กไม่กลัวผีที่สิงเขาเหรอ”
“พี่สงสัยว่า เขาสร้างเรื่องขึ้นมา เพื่อเรียกร้องความสนใจหรือเปล่า” โค้กเริ่มมองหอมน้ำในแง่ร้ายมากขึ้น
ฟ้ามอง แล้วนิ่วหน้าเหมือนสองจิตสองใจ
อ่านต่อหน้า 4
ใยกัลยา ตอนที่ 10 (ต่อ)
อุมาวางข้าวของ กระเป๋าเครื่องสำอางใส่รถแล้วหันมามองฟ้า
“ว่าไง พี่อูม่าว่าฟ้ามโนไปเองหรือเปล่า”
“ก็แล้วที่นิ้วเน่าล่ะ”
ฟ้าถอนใจเฮือก “นั่นซินะ”
“เท่าที่เห็น ฉันว่า ผีมีจริง แต่จะใช่ผีพุธกันยาหรือเปล่า ฉันไม่แน่ใจ เพราะนานป่านนี้เขาน่าจะไปเกิดใหม่แล้ว”
ฟ้าท้วง “แต่ที่เราเห็น”
“ผีอื่นอาจจะมาสวมรอย” อุมาว่า
ฟ้าร้อง “โห”
“ทำไม ไม่เชื่อรึไง แม้แต่ IG หรือ Face Book เขายังสวมรอยกันได้ แล้วทำไมผีจะทำบ้างไม่ได้...หรือบางที คนนี่แหละที่สวมรอยเป็นผี”
ฟ้ามีสีหน้าครุ่นคิด “ใครล่ะที่จะบ้าทำอย่างนั้น”
รถแท๊กซี่คันนั้นแล่นมาตามท้องถนนซึ่งยังมีรถราอยู่ค่อนข้างหนาแน่นด้วย ยังไม่ดึกมากนัก ภายในรถสามสาว นั่งกันเงียบๆ ทางข้างหลัง หอมน้ำนั่งติดเขม โดยทับทิมกับเขนลอบสบตาเป็นระยะๆ
ทับทิมพูดขึ้นในที่สุด “คุณเจคจะโกรธหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่เราหนีกลับมาก่อนทั้งๆ ที่แกบอกแล้วว่าจะมาส่ง”
“โกรธก็ช่าง” เขนว่า
“แหม น้องเขนขา คุณเจคสั่งพี่ให้เป็นคนมาบอกนะคะ แล้วพี่ก็ดันกลับพร้อมกับน้องหอมน้องเขน แบบนี้ไม่โดนด่าก็อดโบนัสปลายปี”
“พี่ทับก็ไม่ต้องบอกซิคะ ว่ามากับเรา”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทับทิมล้วงมาดูแล้วหน้าเสีย “นั่นไง พูดไม่ทันขาดคำ แกก็โทร.เข้ามาแล้ว ทำไงดี”
หอมน้ำกังวลแทนทับทิม “ทำไงดี เขน”
“ก็บอกไปตามตรง”
ทับทิมสะดุ้ง
“เว้นเรื่องที่เรากลับมาด้วยกัน โอเค้”
ทับทิมยังคงมีสีหน้ากังวล ในขณะที่พยักหน้ารับ
เวลานั้นรถเจคจอดอยู่เยื้องประตูหน้าบ้านศวัส โดยภายในรถ เจคนั่งคุยโทรศัพท์อยู่เบาะหลัง โดยมีคัมภีร์เป็นคนขับให้
เจคนิ่วหน้า “บอกแล้ว...บอกแล้วทำไมเขาถึงกลับ
เสียงทับทิมดังลอดออกมา “ทับก็ไม่ทราบค่ะ พอดีทับไม่ค่อยสบาย เลยรีบกลับมาก่อน ทับยังนึกว่าน้องสองคนรอคุณเจคอยู่เลย เหลวไหลจริงๆ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอ”
“เท่านี้แหละ” เจควางโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
ทับทิมยักคิ้วกับสองสาวอย่างภาคภูมิ “เป็นไงล่ะ”
“เนียนมากเลย พี่ทับ” เขนชม
หอมน้ำยังมีสีหน้าวิตกกังวลอยู่ “เดี๋ยวเขาคงโทร.มาหาหอม แล้วหอมจะตอบยังไงดี”
“บอกตรงๆ ไปเลยว่า หอมเกรงใจ ไม่อยากรบกวน แค่นี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว”
หอมน้ำถอนใจ ก้มลงมองโทรศัพท์
“แกอาจจะไม่โทร.มาก็ได้ คุณเจคเป็นผู้ใหญ่แล้ว คงไม่ทำอะไรกรุ๊งกริ๊งจุ๊งจิ๊งหรอก”
เขนดึงหอมน้ำมาโอบไหล่อย่างปลอบโยน
ด้านเจคเอนหลังพิงพนักและออกคำสั่ง “ไปได้แล้ว”
“ครับ”
คัมภีร์ขับรถออกไป
ประตูห้องเปิดออก เขนเดินนำเข้ามาแล้วเปิดไฟกลางห้อง หอมน้ำวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ ทรุดตัวลงนั่ง
ทับทิมตบไหล่หอมน้ำปลอบ “เห็นมั้ย คุณเจคยังไม่โทรมาเลย พี่ทับบอกแล้วว่าแกเป็นผู้ใหญ่”
สีหน้าหอมน้ำยังไม่ดีขึ้น ทับทิมยักไหล่
“พี่ทับกับน้องเขนนอนเป็นเพื่อนไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ หอมอยู่คนเดียวได้”
“หอมเขาไม่กลัวผี กลัวแต่คน” เขนว่า
“ผิดกับพี่ทับ พี่ทับกลัวผี”
“พี่ทับกับเขนไปพักผ่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวหอมก็จะอาบน้ำนอนแล้ว”
เขนลุกขึ้น “แน่ใจนะว่าอยากอยู่คนเดียว”
หอมน้ำพยักหน้า
“มีอะไร ก็โทร.บอกพี่ละกัน”
“ค่ะ”
เขนกับทับทิมเดินออกไป หอมน้ำเดินตามมาปิดประตู
ในบรรยากาศเงียบสงัด ด้วยเป็นเวลาค่อนข้างดึก บุรีอยู่ในห้องนอน หันหน้ากลับมามองศวัสอย่างเคร่งขรึม
“หมายความว่า ศวัสเชื่อที่หอมน้ำพูด”
ศวัสค่อนข้างยุ่งยากใจ “ผม...ทีแรกผมไม่เชื่อเลย คุณพ่อก็ทราบ”
บุรีพยักหน้า “แกคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นบ้าด้วยซ้ำ”
“ครับ แต่มันมีอะไรหลายอย่างที่ทำให้ผมต้องเก็บมาคิด ไม่ทราบซิครับอาจจะด้วยสัญชาติญาณ แม้แต่เวลาที่หอมน้ำกอดหรือหอมแก้มผมในช่วงที่คุณแม่อยู่ในร่างเขา ผมก็ไม่มีความรู้สึกแบบผู้ชายอยู่ใกล้ผู้หญิงสวยๆ เลย...มันมีแต่ความอบอุ่น แล้วก็ตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก”
บุรีถอนใจยาวแล้วเดินมานั่ง “พ่อสังเกตหอมน้ำมานานพอสมควร เด็กคนนี้เหมือนมีสองคนอยู่ในร่างเดียวกัน บางเวลาก็ดูเป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดา แต่บางเวลาก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีคำพูดและกิริยาท่าทางเหมือนแม่กัลยาของลูกมาก...พ่อพยายามจะบอกตัวเองว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเหลือเชื่อ แต่อีกใจหนึ่งก็อดค้านไม่ได้ว่า มันอาจจะเป็นความจริง”
“แล้วเราจะทำยังไงดีครับ”
บุรีส่ายหน้า “พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน มันสับสนไปหมด ยิ่งศวัสมายืนยันแบบนี้”
บุรีก้มลงฟุบหน้ากับฝ่ามือ ด้วยท่าทางเคร่งเครียดปนสับสน
ศวัสมองพ่ออย่างไม่รู้จะทำยังไงดีเช่นกัน
ฝ่ายหอมน้ำหลับสนิท แล้วมีไอเย็นออกมาจากจมูก ปาก จางๆ หอมน้ำขยับตัวเล็กน้อย ราวกับจะรู้สึกถึงความผิดปกติ แต่แล้วก็จมดิ่งสู่อาการหลับลึกตามเดิม
เหมือนมีใครคนหนึ่ง เดินเข้ามาช้าๆ หยุดยืนหน้าเตียง ใบหน้าใครคนนั้น ก้มลงมองหอมน้ำด้วยแววตาเยือกเย็นลึกล้ำ
สักพักหนึ่ง พุธกันยาทำท่าจะเข้าสิง แต่แล้วต้องผงะหงายถอยหลังไปด้วยความตกใจ
ด้วยที่คอของหอมน้ำ มีสร้อยพระพุทธรูปองค์เล็กที่ห้อยคอ เปล่งประกายพระพุทธคุณออกมาราวกับจะป้องกันหอมน้ำให้พ้นจากอำนาจชั่วร้ายทั้งปวงที่เข้าครอบงำ
นัยน์ตาพุธกันยาแข็งกร้าวด้วยความไม่พอใจ
“เดี๋ยวนี้ต้องใส่พระนอนแล้วเรอะ ใครสั่งใครสอนกัน”
หอมน้ำยังคงหลับใหลอยู่อย่างนั้น
“คนที่ได้รับแต่ความทะนุถนอมปกป้องดูแลเป็นอย่างดีอย่างเธอ จะมาเข้าใจคนที่ต้องต่อสู้ฟาดฟันกับอุปสรรคต่างๆ ทั้งยามมีชีวิตอยู่ และแม้กระทั่งตายไปแล้วได้ยังไง คนเราควรรู้จักแบ่งปันกันบ้าง ชั้นมีสิทธิ์ที่จะอาศัยในร่างนี้พอๆ กับเธอ”
หอมน้ำเริ่มกระสับกระส่ายเหมือนคนฝันร้าย ขณะที่พุธกันยามองจ้องเขม็งอย่างประสงค์ร้าย
ด้านบุรีลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด แล้วหยุดยืนที่หน้าต่างเปิดม่านมองออกไปภายนอก ศวัสมองพ่อเหมือนจะรอฟังคำตอบ
บุรีบอกด้วยสุ้มเสียงเหมือนคนที่ตั้งสติได้แล้ว “พ่อกับแม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่ปี หลังแม่ตาย พ่อเป็นโรคซึมเศร้าอยู่หลายปี มีเพียงลูกเท่านั้นที่ทำให้พ่อผ่านวันเวลาที่สุดแสนจะทรมานมาได้...วิญญาณของแม่เราก็คงเจ็บปวดเช่นเดียวกับพ่อเหมือนกัน”
“แต่คุณแม่ก็พยายามหาทางติดต่อกับเราจนได้”
บุรีพยักหน้า ทอดถอนใจยาว
“ถ้าหอมน้ำเลิกเล่นหนัง คุณแม่ก็คงหมดโอกาสสิงเขาอีกต่อไป”
“แม่เขาหมดเวลาบนโลกนี้ไปนานแล้ว แต่ที่ยังไม่ไปไหนก็คงเพราะต้องการจะแก้ความเข้าใจผิดและบอกลาเรา เพื่อดวงวิญญาณจะได้สงบสุขในสัมปรายภพเสียที”
ศวัสรู้สึกเหมือนลำคอตีบตันจนพูดไม่ออก
รุ่งเช้าหอมน้ำยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง ขณะที่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หอมน้ำลืมตาขึ้นอย่างอิดโรย ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์งัวเงีย
“มีอะไรเหรอเขน”
เสียงเขนดังออกมา “เดี๋ยวไปเจอกันที่ร้านโจ๊กนะ”
“จ้ะ”
หอมน้ำวางโทรศัพท์ลงแล้วปิดปากหาวหวอดๆ
ไม่นานต่อมา บริกรยกชามโจ๊ก พร้อมจานปาท่องโก๋มาเสิร์ฟให้สามสาว แล้วเดินไปบริการโต๊ะอื่นต่อ
“หน้าตาน้องหอม ยังกับคนอดนอนแน่ะ” ทับทิมทัก
“หอมฝันไม่ค่อยดีน่ะค่ะ ก็เลยนอนไม่ค่อยหลับ”
“ฝันถึงคุณพุธเหรอ” เขนกินพลางคุยพลาง
หอมน้ำพยักหน้า ตักโจ๊กเข้าปาก
“โจ๊กร้านนี้อร่อยจัง”
“คุณพุธว่าไง” เขนคาใจ
“เหมือนแกมายืนจ้องหอมเขม็งโดยไม่พูดจา นัยน์ตาน่ากลั๊ว น่ากลัว”
“เดี๋ยวเจอกัน ก็ยื่นคำขาดไปเลยว่าถ้ายังตามมาจ้องมามองในความฝันอีก ต่อไปจะไม่ยอมให้สิงแล้ว” เขนหันไปสั่งบริกร “พี่ ขออีกชาม เอาปาท่องโก๋มาเพิ่มด้วย”
แจ่มมีสีหน้าท่าทางยังคงหวาดๆ ขณะมองหอมน้ำก้าวลงจากแท็กซี่ ตามด้วยทับทิมและเขน สามสาว มีสีหน้าประหลาดใจแวบหนึ่ง
“ไงจ๊ะ คุณนายแจ่ม” เขนยิ้มทัก
แจ่มยิ้มแห้งๆ “คุณผู้ชายกับคุณหมอให้มาเชิญไปรับประทานอาหารเช้าค่ะ”
ทับทิมสบตาเขนแวบหนึ่ง “แหม เกรงใจ๊...เกรงใจ คือ...เรา...กิน...เอ๊ย ทานกันมาเรียบร้อย ฝากกราบขอบพระคุณท่านเจ้าของบ้านด้วยนะจ๊ะ ไป พวกเรา”
สามคนเดินคุยกันไปที่ห้องแต่งตัวด้านหลังตึก
สามคนทานข้าวกันอยู่ และมีสีหน้าต่างกัน ขณะที่ฟังแจ่มเล่าจบ
“เขาคงเกรงใจจริงๆ” บุรีบอก
“ขวัญไปดูให้มั้ยคะ”
“ไม่เป็นไร” บุรีกินต่อด้วยสีหน้าท่าทางปกติ
ศวัสกินอีก 2-3 คำ แล้ววางช้อนลงและลุกขึ้น
“อิ่มแล้วหรือคะ”
“ครับ...ผมขอตัวก่อน”
ขวัญอนงค์ยิ้มให้แล้วมองตามศวัส แล้วหันกลับมาทางบุรี “พี่บุรีคิดว่า หมอศวัสชอบหอมน้ำหรือเปล่าคะ”
“หือ...”
“ขวัญเคยถามพี่บุรีแล้ว...แต่...”
“ชอบจริงก็ดี ศวัสไม่เคยมีท่าทีกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน”
ขวัญอนงค์ทำท่าจะพูดต่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
หอมน้ำกำลังนั่งอ่านบทอยู่ในห้องแต่งตัว ขณะที่เขนซึ่งอยู่ใกล้หน้าต่างชะงัก
“เฮ้ย! คุณหมอฟันทันตแพทย์เดินมาทางนี้อ้ะ”
ทับทิมรีบไปชะโงกดู “ต๊าย มาหาใครก็ไม่รู้”
เขนมองไปที่หอมน้ำ ทับทิมมองตามสายตาเขน หอมน้ำขยับตัวแล้วถามเก้อ ๆ
“อะไรคะ”
สองสาวยิ้มกริ่ม หอมน้ำยิ่งหน้าแดง
“น้องหอมหน้าแดงแจ๋เลย”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ สองสาวยิ่งยิ้มกว้าง
“ไปซิ” เขนเร่ง
หอมน้ำนั่งบิดมือไม่รู้จะทำอย่างไร ทับทิมกับเขนพยักหน้ากัน แล้วช่วยกันลากหอมน้ำไปที่ประตู
“อุ๊ย” หอมน้ำพยายามขืนตัว
ประตูเปิดออก ทับทิมกับเขนช่วยกันดันหอมน้ำออกมาแล้วปิดประตู
หอมน้ำหันหลังกลับ แต่ไม่ทัน
ศวัสนิ่วหน้าถาม “เป็นอะไรน่ะ”
หอมน้ำค่อยๆ หันกลับมา หน้าตาเจื่อนจ๋อย
“เป็นอะไร”
“เปล่าค่ะ แล้ว...เอ้อ...แล้วคุณหมอล่ะคะ”
“ชั้นเล่าให้คุณพ่อฟังหมดแล้ว”
มวลหมู่ไม้ดอกไม้ใบบริเวณนั้นสวยสะพรั่ง ขณะสองคนเดินมาด้วยกันช้าๆ โดยหอมน้ำพยายามจะอยู่ไปข้างหลังศวัสเล็กน้อย และก้มหน้าก้มตามองเท้าตัวเอง
“คุณพ่ออยากจะขอบใจเธอ แต่เธอก็เล่นตัว”
หอมน้ำหยุดชะงัก เงยหน้ามองเขา หมอหนุ่มหยุดหันมามองเธอเช่นกัน
“หอมไม่ได้เล่นตัว”
“แล้วทำไม”
หอมน้ำขัดขึ้นทันที “หอมกับพี่เขนแล้วก็พี่ทับทานโจ๊กอิ่มแล้วจริงๆ ค่ะ”
ศวัสดุ “ไม่มีใครเคยสอนหรือเปล่าว่า ต้องรอให้ผู้ใหญ่พูดจบก่อน แล้วค่อยพูด”
หอมน้ำเม้มปาก “มีค่ะ แต่หอมอยากอธิบาย”
“ยังจะเถียงอีก”
หอมน้ำนิ่งไป น้อยใจมากขึ้นจนน้ำตาคลอ พุธกันยาปรากฏตัวขึ้นมุมหนึ่ง เพื่อฟังคำสนทนาสองหนุ่มสาว
ศวัสเริ่มรำคาญเล็กๆ “ร้องไห้ทำไม”
“หอมไม่ได้อยากจะร้อง แต่น้ำตามันไหลเองค่ะ”
“ขี้แยเป็นเด็กๆ ไปได้”
“ถ้าคุณหมอไม่ชอบขี้หน้าหอม ก็อย่ามาพูดกับหอมซิคะ”
หอมพูดด้วยความอัดอั้น แล้วหันหลังกลับเดินแกมวิ่งไปทันที
“หอมน้ำ”
ศวัสส่ายหน้ามองตามอย่างอ่อนใจ พุธกันยามองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
โดยเริ่มจากเหตุการณ์ตอนนี้ พุธกันยาทำทีเป็นปลอบโยนเอาใจ เพื่อผลประโยชน์ที่จะอาศัยร่างนานมากขึ้น แต่ยังไม่ได้จงใจยึดร่างหอมน้ำตลอดไป
เวลานั้น ดอกพุดซ้อนบานสะพรั่ง หอมน้ำเดินเข้ามาด้วยสีหน้าท่าทางเหนื่อยอ่อน ทรุดตัวลงนั่งและทอดถอนใจยาว
เสียงพุธกันยาดังขึ้น “อย่าถือสาลูกชายชั้นเลย”
หอมน้ำสะดุ้งหันไปมอง เห็นพุธกันยากำลังเดินเข้ามาทรุดนั่งข้างๆ
“ศวัสชอบเธอ”
หอมน้ำส่ายหน้าทันที “ไม่จริงค่ะ”
“จริง ไม่ใช่แค่ชั้นที่รู้ เพื่อนเธอก็รู้ ศัตรูเธอก็รู้”
“หอมไม่มีศัตรู”
พุธกันยายักไหล่ “ใครบ้างไม่มีศัตรู”
หอมน้ำอ้าปากจะค้าน แต่พุธกันยาชิงพูดขึ้นก่อน
“เธออาจจะเป็นมิตรกับทุกๆ คน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกๆ คนเขาจะอยากเป็นมิตรกับเธอ ดูอย่างนังสุรีย์ ช้อยนิ่ม นั่นก็ได้ แล้วไหนจะนังขวัญอนงค์ประสงค์ร้ายอีก”
“อาขวัญแค่เข้าใจหอมผิดค่ะ อาขวัญเป็นคนดี”
“แล้วทำไมมันถึงได้กีดกันเธอกับศวัสล่ะ”
หอมน้ำนิ่งไป พุธกันยาลอบยิ้มนิดๆ
“ชั้นได้ยินมันพูดกับคุณบุรี”
เสียงฟ้าดังเข้ามาขัดจังหวะก่อน “น้องหอมน้ำขา น้องหอมน้ำ นั่นแน่”
ฟ้าเดินยิ้มแย้มตรงมา
“นึกแล้วว่าต้องมาอยู่ที่นี่ เอ๊...พี่ฟ้าอยากรู้ว่าแถวนี้มีอะไรดี”
พุธกันยาหมั่นไส้ “บอกมันไปซิว่า มีวิญญาณ”
หอมน้ำลุกเดินไปหาฟ้า “หอมมานั่งทำสมาธิน่ะค่ะ กำลังจะไปพอดี”
หอมน้ำเดินออกไปกับฟ้า โดยมีพุธกันยามองตามอย่างไม่พอใจ
“นังคนนี้ก็อีกคน ขัดคอดีนัก”
ศวัสขับรถเข้ามาจอดในบริเวณที่จอดรถของแพทย์ โดยมีรปภ.มาอำนวยความสะดวกให้เช่นเคย ศวัสขยับจะเปิดประตูลงมา ขณะที่เสียงเพลงจากโทรศัพท์ดังขึ้น ศวัสหยิบขึ้นมาดูแล้วยิ้มนิดๆ
“สวัสดีครับ คุณอา”
เสียงเกสรดังเข้ามา “สวัสดีจ้า คุณหมอ คุณหมอสบายดีนะจ๊า”
“สบายดีครับ”
ศวัสอ้าปากจะพูดต่อ แต่เสียงเกสรดังขึ้นก่อน
“นี่อาอยู่กรุงเทพฯ กำลังจะพาพ่อเจ้าหอมไปหาคุณหมอ คุณหมออยู่ที่โรงบาลหรือเปล่าจ๊า”
“อยู่ครับ คุณอา”
“งั้นเดี๋ยวเจอกัน”
ศวัสขยับจะพูดต่อ แต่ไม่ทัน เพราะเสียงเกสรตัดสายไปก่อน
ในช่วงสุดท้ายของการถ่ายทำฉากนี้ หอมน้ำสวมบทบาทซีนดราม่าเข้มข้นปะทะกับขวัญอนงค์
“ชั้นไม่คิดเลยว่า แกจะเลวขนาดนี้”
หอมน้ำยักไหล่ไม่แคร์ “ก็สุดแล้วแต่แม่จะคิดค่ะ เกิดมาชาติเดียว แก้วก็ต้องตักตวงความสุขให้มากที่สุด”
“เห็นแก่ตัว”
หอมน้ำยิ้มหยัน “แล้วใครในโลกนี้บ้างล่ะค่ะที่ไม่เห็นแก่ตัว แม้แต่แม่”
หอมน้ำพูดไม่ทันขาดคำ ขวัญอนงค์ตบเปรี้ยงอย่างแรงเสียงดังฉาดใหญ่ จนหอมน้ำเสียหลักล้มลง ท่ามกลางอาการตกใจของทุกคนในที่นั้น
เจคร้อง “คัท”
สีหน้าขวัญอนงค์ นัยน์ตาเหมือนสะใจอะไรบางอย่างขึ้นมาแว่บหนึ่ง แล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
หอมน้ำที่ยังฟุบอยู่กับพื้น นัยน์ตาเป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมาเช่นกัน
“เป็นอะไรหรือเปล่าหอม” เจคขยับเดินมาหาอย่างเป็นห่วง
นัยน์ตาหอมน้ำกลับเป็นปกติ ขณะที่ลุกขึ้น
“เปล่าค่ะ” พูดแหย่กับขวัญอนงค์ทีเล่นทีจริง “ยังแรงได้อีกนะคะ คุณอา”
แจ่มเดินเข้ามา
“น้อมหอมขา คุณผู้ชายให้มาตามไปพบค่ะ”
หอมน้ำมีสีหน้ายินดีขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ไม่พ้นสีหน้าสังเกตของเจคซึ่งดูเหมือนจะไม่พอใจขึ้นมาทันที
แจกันปักดอกพุดซ้อนในห้องโฮมเธียร์เตอร์ ดูสวยสะอาด บุรีนั่งมองไปที่ดอกพุดซ้อนนั้น ด้วยอาการเกือบเหม่อ มีเสียงฝีเท้าเบาๆ เข้ามา บุรีค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง
หอมน้ำยืนมองมา ด้วยแววตาตื้นตันใจของพุธกันยา
บุรีมองหอมน้ำราวกับจะทะลุให้ถึงตัวตนที่แฝงอยู่ภายใน พุธกันยามองมาด้วยความรักซาบซึ้งใจ
หอมน้ำพึมพำ “พี่บุรี”
บุรีลุกขึ้นยืนช้าๆ นัยน์ตายังจับจ้องมองหอมน้ำซึ่งพุธกันยาซ้อนอยู่ “กัลยา”
หอมน้ำยื่นมือออกมา บุรียื่นมือไปกุมไว้อย่างทะนุถนอม
“ใช่เธอจริงๆ หรือ”
หอมน้ำน้ำตาคลอ “ค่ะ กัลรอวันนี้มานานแล้ว รอวันที่จะได้พูด ได้อยู่กับพี่บุรีอีกครั้ง”
ขณะพูดหอมน้ำเข้ามาสวมกอดบุรีด้วยความซาบซึ้ง บุรีสะดุ้ง ค่อยๆ จับต้นแขนหอมน้ำดึงออกห่าง ด้วยยังตะขิดตะขวงใจ
หอมน้ำชะงัก “ทำไมหรือคะ ทำไมพี่บุรีกอดกัลไม่ได้ หรือว่ารังเกียจที่...”
บุรีขัดขึ้นทันที “พี่ไม่ได้รังเกียจ แต่กัลอยู่ในร่างน้ำหอม”
หอมน้ำเม้มปาก นัยน์ตาฉายแววไม่พอใจ บุรีค่อยๆ ปล่อยมือหอมน้ำแล้วแตะข้อศอกอย่างสุภาพให้มาทรุดตัวลงนั่ง แล้วตนเองนั่งลงห่างพอสมควร เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ปลอบประโลม
“เด็กคนนี้ยอมให้กัลอาศัยร่างของแกเป็นสื่อกลางเพื่อติดต่อกับพี่ เราจึงควรต้องให้เกียรติแก ไม่ทำอะไรที่เกินเลย”
หอมน้ำยังคงหน้าบึ้ง
“แค่ได้มาพบกันอีกครั้งก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดแล้ว กัลเห็นด้วยกับพี่ไหม”
หอมน้ำฝืนยิ้ม “ค่ะ”
เจคเดินเข้ามา ทั้งสองนิ่งกันไป
เจคปรับสีหน้าแววตาเป็นปกติ “คุยอะไรกันอยู่หรือ”
หอมน้ำแดกดันเล็กๆ “คุณบุรีอยากทราบว่า หอมหายบ้าหรือยังน่ะค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
หอมน้ำลุกเดินออกไปเลย โดยมีสายตาบุรีกับเจคมองตาม
หอมน้ำเดินเข้ามาตรงซุ้มพุดซ้อนด้วยสีหน้าท่าทางหงุดหงิดที่ถูกเจคขัดจังหวะ
“มาร ไม่รู้จะทะลึ่งเข้ามาทำไม”
“หอม มาอยู่นี่เอง หาแทบตาย”
หอมน้ำหันมามอง ด้วยสีหน้าท่าทางหงุดหงิดรำคาญเต็มที่ เขนรู้สึกทันที
“นี่คุณยังไม่ออกจากร่างหอมอีกหรือคะ”
“เหลืออีกตั้ง 3 ฉาก” พุธกันยาอ้าง
“รู้แล้วล่ะค่ะ แต่ก็ไม่ได้จะถ่ายเดี๋ยวนี้ คุณควรให้หอมได้ออกมาบ้าง”
เขนพูดพลาง หยิบสร้อยพระหอมออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
หอมน้ำทำเป็นยิ้มแย้ม “ไม่ต้องขู่กันก็ได้ ชั้นรู้หน้าที่ของชั้นดี”
เงารางๆ ของพุธกันยาออกจากหอมน้ำ แล้วเลือนหายไป ร่างหอมน้ำ โงนเงนครู่หนึ่ง แล้วจึงกลับเป็นปกติ
เขนยื่นสร้อยให้ “เอ้า”
หอมน้ำรับมา พนมมือหลับตาไหว้พระ นึกถึงพุทธคุณก่อนสวม
หอมน้ำมองท่าทางของเขนอย่างสงสัย “มีอะไรหรือเขน”
“บอกไม่ถูก ท่าทางคุณพุธแกแปลกๆ ขึ้นทุกวัน แต่ก็โอเคน่ะ เหลืออีกเดือนเดียวก็จะปิดกล้องแล้ว รู้สึกว่าหอมจะต้องเข้าฉากกับอาขวัญแล้วก็คุณเพลินอีกคนละ 3 ครั้งเท่านั้น”
หอมน้ำถอนใจเฮือก “โล่งใจไปที”
ค่ำนั้น บรรดาเด็กกองกำลังเก็บข้าวของขึ้นรถกัน เจคเดินสอดส่ายสายตาเหมือนจะมองหาใครสักคน จนกระทั่งถึงมุมเงียบๆ มุมหนึ่ง เขายิ้มนิดๆ เมื่อเห็นหอมน้ำนั่งท้าวคางอยู่คนเดียว
เจคมองนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง “ใกล้จะปิดกล้องเต็มทีแล้ว”
หอมน้ำเบือนหน้ามามองแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปตามเดิม
“รู้สึกว่า หอมน้ำจะเหลืออีกไม่กี่คิว”
หอมน้ำยังคงนิ่ง
“หลังจากนั้น คุณก็จะกลับไปไม่มีตัวตนตามเดิม ได้แต่เฝ้ามองดูสามีแต่งงานมีความสุขไปกับผู้หญิงอื่น”
หอมน้ำผุดลุกขึ้นหันมาเผชิญหน้าทันควัน นัยน์ตาขาวโพลนวาวโรจน์ “ไม่มีวัน พี่บุรีไม่มีวันทำอย่างนั้นเด็ดขาด”
เจคเลิกคิ้ว “ยอมรับแล้วล่ะซิว่า คุณสิงอยู่ในร่างหอมน้ำ”
หอมน้ำนิ่งไป เจคทำพูดต่อไปเรื่อยๆ
“หอมน้ำปฏิเสธเด็ดขาดว่าจะไม่เล่นหนังเรื่องต่อไป แกคิดว่าวงการนี้ไม่เหมาะกับแก”
หอมน้ำระเบิดเสียงออกมา “โง่”
“ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” หอมน้ำหันขวับมามอง เจคมองสบตาหอมน้ำแน่วนิ่ง “แต่เหมาะกับคุณ”
หอมน้ำยังคงจ้องมอง เจคยักไหล่ “เมื่อได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ซึ่งเป็นโอกาสที่แทบจะไม่มีใครได้รับมาก่อน หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ แล้วคุณจะยอมกลับไปเป็นเพียงดวงวิญญาณที่อ้างว้างเดียวดายอีกหรือ”
หอมน้ำเมินกลับไปมองเบื้องหน้า แววตานิ่งสนิทลึกล้ำ
บริเวณหน้าหอพักนักศึกษาตอนนี้ ยังคงคึกคัก ด้วยเป็นเวลาไม่ดึกนัก สักครู่ แท็กซี่แล่นเข้ามาจอด หอมน้ำกับเขนก้าวลงมา ขณะที่โสภณกับเกสรลุกขึ้นจากม้านั่งส่งเสียงโหวกเหวกมาก่อนตัว
“ไอ้หอม” โสภณร้องดังลั่น
เกสรหันมาฟาดแขนทันที “เอ๊ะ บอกให้เรียกน้องหอมหรือลูก สอนเท่าไหร่ก็ไม่จำ”
“ก็มันติดปากนี่หว่า”
ขณะ 2 คน เถียงกัน หอมน้ำกับเขนรีบเดินแกมวิ่งตรงมาด้วยสีหน้าดีใจ ไหว้แล้วกอดกันกลม
“พ่อ แม่ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกหอม”
“แม่แกเขาพาพ่อมาหาหมอศวัส” โสภณบอก
“อ้าว พ่อปวดฟันเหมือนกันหรือคะ”
“เปล่า เขาเป็นริดสีดวงทวาร” เกสรว่า
หอมน้ำกับเขนชะงักแล้วมองหน้ากัน
รอบบริเวณคฤหาสน์หลังใหญ่โต ค่อนข้างเงียบ ด้วยกองถ่ายยกกลับกันไปหมดแล้ว ส่วนภายในห้องนอน ศวัสกำลังพูดโทรศัพท์กับหอมน้ำด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ไม่เป็นไร ชั้นฝากเพื่อนช่วยตรวจให้เรียบร้อยแล้ว”
หอมน้ำกังวล “แล้ว...พ่อเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“ก็ริดสีดวงทวารนั่นแหละ รักษาได้ แล้วชั้นก็ตรวจฟันแถมให้ด้วย พรุ่งนี้นัดให้ไปโรงพยาบาลแต่เช้า”
“พรุ่งนี้หอมไม่มีถ่าย หอมจะพาไปเองค่ะ ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ”
เงียบ ไม่มีเสียงศวัสโต้ตอบ
หอมน้ำลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูด “เอ้อ คุณหมอหายโกรธหอมหรือยังคะ”
“เรื่องอะไร”
“ไม่...ไม่ทราบค่ะ ทราบแต่ว่า คุณหมอโกรธหอม”
ศวัสเน้นเสียงหนัก “ชั้นไม่ใช่คนบ้า จะได้โกรธใครไม่มีเหตุไม่มีผล จำเอาไว้”
“ค่ะ”
เสียงสัญญาณถูกตัดไป หอมน้ำค่อยๆ ปิดโทรศัพท์พลางพึมพำ
“ค่ะ หอมจะจำไว้ค่ะ”
หอมน้ำเปิดประตูเดินกลับเข้ามาในห้อง โดยที่ทุกคนกำลังคุยกันยิ้มแย้มแจ่มใส
“คุณหมอฟันทันตแพทย์ว่ายังไงบ้าง”
“ก็บอกว่าเป็นริดสีดวงทวารนั่นแหละ” หอมน้ำหันมาทางพ่อ “พ่อฟันผุหรือคะ”
“ไม่รู้ เห็นคุณหมอฟันทันตแพทย์เขาบอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปหาแต่เช้า”
“คุณหมอฟันทันตแพทย์แกดีมากเลย เออ แล้วหนังน้องหอมใกล้จะออกฉายหรือยังล่ะ” เกสรถาม
“เห็นว่าปลายเดือนหน้าค่ะ”
“เออ...เออ...แล้วเรื่องใหม่มีหรือยัง” โสภณถาม
“หอมไม่เล่นแล้วค่ะ”
พ่อกะแม่ร้อง “อ้าว”
“หอมเขาไม่เหมาะจะเป็นดาราหรอกค่ะ เขนก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน”
โสภณกับเกสรสบตากันแล้วหันไปมองหอมน้ำที่ทำเสียงร่าเริง
“พ่อกับแม่อาบน้ำเถอะค่ะ เดี๋ยวจะได้นอน พรุ่งนี้ต้องไปโรงพยาบาลแต่เช้า”
หอมน้ำพูดพลาง รื้อข้าวของออกมาจากกระเป๋า เพื่อซ่อนสีหน้าและแววตาจากทุกคน
ขณะเดียวกัน ดอกพุดซ้อนเบ่งบานขาวสล้างอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ พุธกันยานั่งทอดอารมณ์มองเหม่อไปที่ดอกไม้นั้น สีหน้าดูเศร้าหมอง นึกถึงตอนคุยกับเจค
“เมื่อได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ซึ่งเป็นเป็นโอกาสที่แทบจะไม่มีใครเคยได้รับมาก่อน หรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ แล้วคุณจะยอมกลับไปเป็นเพียงดวงวิญญาณที่อ้างว้างเดียวดายอีกหรือ”
ภาพเจคเลือนหายไป พุธกันยาค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะดอกพุดซ้อนดอกสวยซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด ดอกไม้นั้นเหี่ยวเฉาลงทันที ขณะที่มือพุธกันยาตกลง สีหน้าเศร้าสะเทือนใจใหญ่หลวง
พุธกันยาในร่างหอมน้ำ พาตัวเองมาอยู่หน้าห้องทำงานเจคตอนสายวันถัดมา โดยเวลานั้นเจคกำลังนั่งอ่านเรื่องย่อหนังเรื่องใหม่อยู่ภายในห้องทำงาน จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“เข้ามา” เจคร้องบอกไป โดยยังคงอ่านบทอยู่
ประตูเปิดออก เป็นหอมน้ำเดินเข้ามาแล้วปิดประตู ยืนนิ่ง เจคจ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความพอใจ เมื่อรับรู้สัมผัสได้ว่าพุธกันยาสิงอยู่ในร่างหอมน้ำ
“นั่งซิ”
หอมน้ำทรุดตัวลงนั่ง
“ผมดีใจที่คุณมา”
หอมน้ำมองเจคด้วยแววตาลึกล้ำและลึกลับ “รู้ได้ยังไง”
“ก็อย่างที่บอก คุณกับหอมน้ำต่างกันมาก ผมเอะใจมาตั้งแต่เห็นคุณทำสมาธิก่อนเข้าฉากแล้ว”
หอมน้ำถอนใจยาว “กัลรอเวลานี้มานานเหลือเกินแล้ว”
เจคเห็นอกเห็นใจ “ผมเข้าใจ ผมถึงได้ถามคุณไงว่า จะยอมกลับไปเป็นดวงวิญญาณที่อ้างว้างเดียวดายอีกหรือ”
หอมน้ำส่ายหน้าน้ำตาไหล “แล้วกัลควรจะทำยังไง”
เจคชะโงกตัวมาข้างหน้าแล้วมองหอมน้ำด้วยสายตาแน่วแน่ “ผมแน่ใจว่า คุณก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว”
หอมน้ำสบตาเจค ที่ยิ้มบางๆ เหมือนจะให้ความมั่นใจ
ส่วนที่หน้าแผนกทันตกรรม ซึ่งมีคนไข้จำนวนหนึ่งทั้งเด็กและผู้ใหญ่รอพบแพทย์อยู่ เขนกำลังพูดโทรศัพท์อยู่ห่างไปอีกมุม ด้วยหน้าตาหงุดหงิดครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินตรงมาที่เกสร ซึ่งกำลังนั่งชวนคนโน้นคนนี้คุยอย่างมีมนุษย์สัมพันธ์ดี แต่คนที่ถูกชวนคุยส่วนใหญ่มักจะมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ด้วยต่างก็ปวดฟัน ภาพเลยออกมาดูขำๆ
เกสรยกกระเป๋าที่วางจองเก้าอี้ไว้ออกให้เขนนั่ง
“ว่าไง น้องหอมทำธุระเสร็จหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ พี่ทับก็ยังไม่โทร.มาสักที”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขนรีบยกขึ้นดูแล้วยิ้มออก
บอกกับเกสร “พี่ทับค่ะ” แล้วลุกขึ้นเดินไปมุมเดิม “ว่าไง...พี่ทับ...เจอหอมหรือเปล่า” สาวอวบนิ่วหน้า “อ้าว! ไม่ได้ไปบ้านคุณหมอแล้วไปไหน”
แม่บ้านวางแก้วน้ำส้มให้หอมน้ำ วางกาแฟให้เจคแล้วเดินออกไป
“ไม่ว่าคุณตัดสินใจจะทำอะไร ผมจะให้ความร่วมมือทุกอย่าง”
หอมน้ำยิ้ม ขณะขยับไขว่ห้างด้วยท่วงท่าสบายขึ้น “ขอบคุณมาก คุณยังเป็นพี่ชายที่ดีของกัลอยู่เสมอ”
“ก็อย่างที่บอก โอกาสที่สองมันไม่ได้มีมาง่ายๆ แต่ปัญหาใหญ่ก็ยังมี หอมน้ำกับยัยอ้วนเพื่อนเขาคงไม่ยอมง่ายๆ”
“ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ โดยเฉพาะตัวหอมน้ำ ยิ่งกัลอยู่ในร่างเขานานเท่าไหร่ วิญญาณเขาก็จะยิ่งอ่อนแอลงจนหายไปในที่สุดในขณะที่กัลเข้มแข็งขึ้น และจะได้ครอบครองร่างเขาโดยสมบูรณ์ เมื่อเวลานั้นมาถึง เด็กอ้วนนั่นก็ทำอะไรไม่ได้”
“งั้นก็ต้องแสดงความยินดีกับกัลล่วงหน้า ผมจะให้คัมภีร์พล็อตเรื่องนี้ไว้ พอทุกอย่างเรียบร้อย คุณก็จะได้แสดงเรื่องนี้เพื่อฉลองชัยชนะทันที”
หอมน้ำยิ้มเจ้าเล่ห์ ลึกลับ
ศวัสยืนพูดกับเขนอยู่ตรงบริเวณด้านนอกห้องอาหารโรงพยาบาล ซึ่งเป็นกระจกใสด้วยสีหน้าซีเรียส โดยบางช่วงก็หันไปมองโสภณกับเกสรที่กำลังกินข้าวต้มกันอยู่ภายใน สองคนก็กระตือรือร้นโบกมือให้อย่างคึกคักและเขนก็โบกมือตอบ
“แล้วทำไมไม่ถามให้ดีว่าจะไปไหน”
“ถามแล้วค่ะ เขาบอกว่าจะไปหาบทที่ลืมไว้ที่บ้านคุณหมอ แล้วจะเลยมาพบพวกเราที่โรงพยาบาล”
ศวัสนิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเขนพาคุณอาทั้ง 2 คนกลับไปก่อน หมอจะไปตามหาหอมน้ำเอง”
“ไปตามที่ไหนคะ”
ศวัสมีสีหน้านิ่ง ไม่บอกความรู้สึกใดๆ
หอมน้ำขยับตัวลุกขึ้น
“กัลจะกลับล่ะค่ะ”
เจคลุกตาม “ผมจะไปส่ง”
“ไม่เป็นไร”
“แต่บ้านเมืองเปลี่ยนไปมาก กัลอาจหลงทาง”
หอมน้ำยิ้มเยือกเย็น “แท็กซี่เยอะแยะไปค่ะ แล้วกัลก็ตามหอมน้ำไปไหนต่อไหนหลายครั้ง คงไม่หลงหรอก”
“ยังไงผมก็ยังเป็นห่วง ให้ผมไปส่งเถอะ เราจะได้วางแผนกันไปด้วย”
หอมน้ำนิ่งคิดครู่หนึ่ง “ก็ได้ค่ะ”
เจคเดินมาเปิดประตูให้หอมน้ำ แล้วตัวเองตามออกไป
โค้กกำลังยืนคุยกับรัชนกอยู่ที่เคาน์เตอร์โอเปอเรเตอร์ จนเห็นหอมน้ำเดินออกมากับเจค โดยที่หอมน้ำไม่ได้สนใจจะทักทายใครอย่างที่เคยทำทุกครั้ง
รัชนกสะกิดให้โค้กดู โค้กหันไปมองและขบกราบเมื่อเห็นภาพนั้น เจคพาหอมน้ำเดินออกไปเลย
“เวลาอยู่กับคุณเจค สิบนิ้ว นางไม่เคยยกขึ้นไหว้ใครเลย ทำยังกับ...”
โค้กหันขวับมา “เขามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
รัชนกพูดน้ำเสียงสะบัดๆ “อุ๊ย! เป็นชั่วโมงแล้วมั้ง ฮึ! จะไม่ให้ใครเขานินทากันได้ยังไง”
โค้กยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
รัชนกรับสาย “บริษัทสร้างศิลป์ 2000 ค่ะ”
เป็นศวัสที่โทร.มา “ขอพูดกับคุณหอมน้ำครับ”
รัชนกห่อปากจู๋นิดหนึ่ง “อ๋อ หอมน้ำเพิ่งออกไปกับคุณเจคเมื่อสักครู่นี้เองค่ะ”
โค้กหันขวับมามองรัชนก เมื่อได้ยินชื่อ “หอมน้ำ”
รัชนกยักคิ้วให้กับโค้ก “ลองโทร.เข้ามือถือดูซิค่ะ”
ศวัสบอก “ขอบคุณครับ”
ศวัสปิดมือถือด้วยสีหน้าหงุดหงิด
รัชนกวางโทรศัพท์ลง “เนื้อหอมเหลือเกิ๊น”
“ใคร”
“ผู้ชาย แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร”
โค้กผละตัวเดินเข้าไปอย่างหงุดหงิด
รถเจคแล่นมาตามทาง ภายในรถ เจคชำเลืองมองหอมน้ำที่นั่งเงียบๆ แวบหนึ่ง
“จะให้ไปส่งที่ไหน”
“บ้านพี่บุรีค่ะ”
เจคมีสีหน้าแววตาบอกความไม่พอใจด้วยเกิดหึงหวงขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่พยายามระงับอารมณ์ให้เป็นปกติ
“ไปทำไม”
“ก็ที่นั่นเป็นบ้านของกัล อย่าลืมซิคะ”
เจคนิ่งงันไป หอมน้ำหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก เจคชำเลืองมอง
“เขนจ๋า...หอมกำลังไปที่บ้านคุณบุรีนะ หอมมีปัญหานิดหน่อย แล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”
หอมน้ำเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า “คุณต้องช่วยกัลยืนยันที่อยู่หน่อยแล้ว”
เจคเบือนหน้าไปมองทางด้วยสีหน้าปกติ
ศวัสพูดโทรศัพท์กับเขนด้วยสีหน้าออกจะหงุดหงิด แกมงุนงง
“อ้าว ไหนว่าไม่ได้อยู่ที่บ้านผมไง”
ศวัสปิดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
ฝ่ายเขนเดินกลับเข้ามาและพยายามทำหน้าแจ่มใส “อิ่มกันแล้วหรือคะ”
“อิ่มตั้งนานแล้ว หนูล่ะ...โทรศัพท์อะไรกันหนักหนา” เกสรถาม
เขนยิ้มแห้งๆ อ้าปากจะตอบ แต่โสภณพูดขึ้นก่อน
“แล้วไอ้...เอ๊ย น้องหอมล่ะ ทำไมยังไม่มาอีก ทิ้งพ่อแม่ให้เป็นภาระของเพื่อน เหลวไหลจริงๆ เลย”
“อ๋อ! หอมเขาติดธุระอยู่ที่บ้านคุณหมอศวัสน่ะค่ะ เดี๋ยวคุณหมอจะรีบไปส่งที่หอ”
โสภณและเกสรร้อง “อ้อ”
“ถ้าพ่อกับแม่อิ่มแล้วเราก็ไปกันเถอะค่ะ”
เขนช่วยดูแลพ่อกับแม่แล้วพาออกไป
เจคขับรถมาจอดหน้าประตูบ้านศวัส
“ขอบคุณที่มาส่ง”
“คุณบุรีอยู่หรือเปล่า”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
หอมน้ำเปิดประตูก้าวลงแล้วเดินไปกดกริ่ง ขณะที่เจคยังคงจอดรถดูอยู่
สักครู่หนึ่ง คนสวนเดินมาเปิดประตู หอมน้ำหันมายิ้มให้เจค แล้วเดินเข้าไปด้านใน เจคมองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงขับรถไป
หอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิง เดินเข้ามาในห้องรับแขก ขณะที่แจ่มเดินออกมาดู สีหน้าแปลกใจ
“น้องหอมน้ำ”
หอมน้ำเดินมาทรุดตัวลงนั่ง โดยที่แจ่มยังคงมองตามด้วยสายตาประหลาดใจ
“ไม่มีใครอยู่เลยค่ะ”
หอมน้ำชะงักนิดหนึ่ง “พี่บุรีไปไหน”
แจ่มสะดุ้งกับคำว่า “ พี่บุรี ”
หอมน้ำหงุดหงิด “ตกใจอะไรนักหนา ชั้นถามว่าพี่บุรีไปไหน”
เสียงเยาวภา แทรกเข้ามา “เธอนี่เอง”
หอมน้ำกับแจ่มหันไปมอง เห็นเยาวภามองตรงมาที่หอมน้ำด้วยแววตาเย็นชา
“ที่นี่ไม่ใช่สวนสาธารณะ ที่จะให้ใครต่อใครเข้ามานั่งๆ นอนๆ เกะกะรกหูรกตา ออกไป”
หอมน้ำสบตาเยาวภาอย่างเยือกเย็น และจงใจปล่อยไอเย็นออกมาจางๆ ทำให้สองคนต้องห่อตัว “ชั้นไม่ไป”ทั้งสองจ้องตากันไม่มีใครยอมใคร ขณะที่แจ่มค่อยๆ ขยับจะย่องออกไปด้วยความกลัว
เยาว์ภาพูดโดยไม่ต้องหันไปมอง “แจ่ม ไม่ต้องไปไหน”
แจ่มหยุดชะงัก ความเย็นค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เยาวภามองหอมน้ำด้วยสายตารู้แล้วว่าถูกพุธกันยาสิง พยายามสะกดกลั้นความหนาว
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านของคุณแล้ว”
หอมน้ำตวาดลั่นด้วยน้ำเสียงพุธกันยา “อวดดี”
เยาวภากับแจ่มสะดุ้ง บ้านเริ่มสั่น แจกันบนโต๊ะปลิวมาที่เยาวภา แจ่มดึงเยาวภาให้หลบได้ฉิวเฉียด
แรงโทสะทำให้บ้านสะเทือน โคมไฟสั่นไปมาคล้ายจะตกลงมา แก้วน้ำ หนังสือ อะไรต่อมิอะไร ปลิวใส่ 2 สาว จนต้องหลบกันพัลวัน
หอมน้ำยังคงยืนมองเยาวภาด้วยแววตาและสีหน้าอันน่ากลัวสุดจะประมาณ
อ่านต่อตอนที่ 11