xs
xsm
sm
md
lg

บ้านศิลาแดง ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บ้านศิลาแดง ตอนที่ 4

อาภาพรกำลังเลือกชุด นำมาทาบตัวดูอยู่หน้ากระจก บิดซ้ายบิดขวาไปมา ก่อนจะโยนชุดที่ไม่ต้องการมากองบนเตียง สโรชาเปิดประตูเดินเข้ามา ก่อนจะถามขึ้น

“จะไปงานไหนของแกเนี่ย?”
อีกฝ่ายยังคงส่องกระจกเลือกชุด ไม่หันมามองสโรชา
“จะไปข้างนอกกับพี่ตรัยค่ะ”
“จะไปกับอีตานั่นทำไม? แล้วทุกทีฉันก็เห็นเค้าจ้องจะไปแต่กับนังพร”
“นังพรมันก็ไปด้วยนั่นแหล่ะ ก็จะไปซื้อของใช้ให้คุณลุงนี่คะ มันไม่ไปก็ไม่มีใครถือของน่ะสิ คอยดูนะ เดี๋ยวหนูจะแกล้งให้มันขึ้นแท็กซี่กลับบ้านมาเอง แล้วหนูจะได้ไปไหนต่อไหนกับพี่ตรัยต่อ”
“จริงๆ คนที่ดีกว่านายตรัยอะไรนั่นก็มีนะ แกไม่คิดจะสนใจบ้างเหรอ?”
อาภาพรจ้องหน้าแม่อย่างสงสัย
“อะไรของคุณแม่เนี่ย เมื่อเช้าก็ทีละ หนูบอกแล้วไงว่าหนูไม่สนใจ”
“แล้วอย่ามาเปลี่ยนใจทีหลังละกัน”
สโรชาส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด ก่อนจะก็เปิดประตูเดินออกไป

ฟากพรเพ็ญก็กำลังประคองเอกสิทธิ์ให้เอนนอนลง ก่อนจะดึงผ้าห่มคลุมให้เรียบร้อย พลางมองพ่อด้วยแววตาห่วงใย
“คุณพ่อขา ถ้าหนูไม่ได้อยู่ดูแลคุณพ่อ คุณพ่อต้องเข้มแข็งอดทนนะคะ”
เอกสิทธิ์ขยับตามามองลูกสาว เหมือนสงสัย
“คุณพ่อต้องพยายามทานข้าวเยอะๆ ทานยาให้ครบ แล้วก็ต้องพยายามทำกายภาพด้วยนะคะ”
พุดพลางน้ำตาคลอ จนต้องรีบเบือนหน้าหนี หันไปเช็ดน้ำตาทางอื่น
เอกสิทธิ์พยายามจะขยับคอหันกลับมา ปากเผยอขึ้นเหมือนกับจะถามอะไร อีกฝ่ายยกมือปาดน้ำตา ก่อนจะหันกลับมาหาฝืนยิ้มให้พ่อ
“แล้วพรจะรีบกลับมาดูแลคุณพ่อ คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ”
จากนั้นก็ซบหน้าลงข้างๆ เอกสิทธิ์ที่พยายามจะขยับนิ้วมือ
“พรไปเตรียมของไว้ทำอาหารให้คุณพ่อพรุ่งนี้นะคะ”
เอกสิทธิ์สีหน้าดูกังวล พยายามชะเง้อมองตาม พลางอ้าปากเหมือนจะส่งเสียงเรียก ทว่ากลับไม่มีเสียงหลุดออกมา

เช้ารุ่งขึ้น พรเพ็ญเดินสำรวจข้าวของอยู่ในครัวพร้อมกับถือสมุดจดไปด้วย ก่อนจะหันไปบอกป้าแจ่ม ที่เดินเข้ามาจัดแจงเตรียมอาหาร
“ป้าแจ่มคะ พรจัดรายการอาหารของแต่ละวันไว้แล้วนะคะ แล้วก็ของที่อยู่ในตู้อะไรที่หมดอายุวันไหน พรเขียนไว้ให้แล้ว”
ป้าแจ่มมองอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“ของที่ต้องซื้ออาทิตย์หน้า พรก็จดไว้ให้แล้ว แล้วนี่ก็ตารางเวลากายภาพให้คุณพ่อ ป้าแจ่มอย่าลืมนะคะ”
“จัดไว้ทำไมเยอะแยะคะ? คุณหนูก็ดูแลอยู่ทุกวันแล้วนี่”
“ก็เวลาที่หนูไม่อยู่...”
ป้าแจ่มชะงัก “คุณหนูจะไปไหนเหรอคะ?”
พรเพ็ญนึกขึ้นได้ รีบเปลี่ยนเรื่องพูด
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พรพูดเผื่อไว้เฉยๆ เดี๋ยวพรเข้าไปดูคุณพ่อก่อนนะคะ”
พูดจบก็ยิ้มให้ แล้วรีบเดินเลี่ยงหนีไป ป้าแจ่มมองตาม รู้สึกสังหรณ์แปลกๆ

สุดานั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โต๊ะ พลางคอยเหลือบดูว่าตรัยลงมาหรือยัง พักหนึ่งอีกฝ่ายก็เดินลงมา ท่าทางอารมณ์ดี ก่อนจะตรงไปรินกาแฟแล้วเดินมาหาน้องสาวที่โต๊ะ ฝ่ายหลังแกล้งเฉไฉมองไปทางอื่น
“อะไรของเรา ทำหน้าแปลกๆ”
“แปลกอะไร้ ไม่มีอะไรซักหน่อย”
ตรัยจ้องหน้าจับผิด “จริงอ่ะ ไม่มีก็ไม่มี อย่าให้รู้นะว่าไปทำอะไรมา แล้ววันนี้จะออกไปไหนหรือเปล่าเราน่ะ?”
“ทำไมล่ะ” สุดาแกล้งถาม
“ก็วันนี้ พี่อยากให้น้องเฝ้าบ้าน เพราะพี่มีนัด”
พูดพลางยักคิ้วให้น้องสาว พร้อมกับยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอย่างอารมณ์ดี สุดาอมยิ้ม เพราะรู้แผนของ เพ็ญพร

เสียงนาฬิกาปลุกดังมาจากโทรศัพท์มือถือ เพ็ญพรที่นอนคลุมโปงอยู่ ค่อยๆ ขยับโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม สีหน้ายุ่งเหยิง ก่อนจะนึกขึ้นได้ รีบลุกพรวด กระเด้งตัวขึ้นนั่งทันที พลางกระโดดลงจากเตียง วิ่งไปหยิบผ้าขนหนู แล้วรีบวิ่งหายเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว

อีกด้านหนึ่งพรเพ็ญก็กำลังทยอยยกอาหารเช้ามาที่โต๊ะ ท่าทางดูกระวนกระวาย พลางชะเง้อมองออกไปข้างนอกบ่อยๆ จนเผลอทำกาแฟหกตรงหน้าสโรชา
“ว๊าย ทำอะไรเนี่ย ทำไมไม่รู้จักระวัง กะอีแค่ยกแก้วกาแฟยังทำหก ใจลอยไปไหนกัน”
“ก็ลอยไปหาผู้ชายน่ะสิคะ คุณแม่ ใช่ไหม? นานๆ จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตากับเค้าซะที แถมยังมีผู้ชายพาไปด้วย นางก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดาสิคะ”
อาภาพรในชุดเตรียมออกข้างนอกเดินเข้ามาที่โต๊ะ พลางจิกสายตามองพรเพ็ญ
“อย่าสำคัญตัวเองผิดไปนะยะ พี่ตรัยน่ะเค้าก็แค่อยากออกไปกับน้องภา ก็เลยแกล้งหาเรื่องอาสาพาพี่ไปด้วย”
ป้าแจ่มได้ยินก็รีบท้วงขึ้นมา
“เอ๊ะ แต่เมื่อวานเห็นคุณตรัยเธอบอกว่าจะออกไปกับคุณหนูไมใช่เหรอคะ? ไม่เห็นพูดถึงคุณภาเลย”
อาภาพรหันไปทำหน้าดุ พลางอ้าปากจะเถียง สโรชารีบตัดบทอย่างรำคาญ
“ป้าแจ่มจะไปทำอะไรก็ไปๆ แล้ววันหลังเวลาเจ้านายเค้าพูดอะไรก็ไม่ต้องสอดเข้ามาอีกนะ”
ป้าแจ่มยืนลังเล ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจ พลางหันหลังเดินออกไป พร้อมกับเสียงแตรรถดังขึ้นมาพอดี
อาภาพรระริกระรี้ รีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง ตรงข้ามกับพรเพ็ญที่ทำหน้ากังวล

ตรัยเดินเข้ามาในบ้าน พลางชะเง้อมองหาพรเพ็ญ
“แล้วคุณพรล่ะครับ?”
ป้าแจ่มรีบบอก “คุณหนูเธอดูคุณท่านอยู่ค่ะ”
อาภาพรแอบเบ้ปาก
“พี่พรเค้าก็ชักช้าแบบนี้ตลอดแหล่ะ ไม่ค่อยจะเกรงใจคนคอยเลย”
สโรชากระแอมเตือนลูกสาว พลางแกล้งทำเป็นพูดดี
“พี่เค้าดูคุณลุงอยู่นะลูก”
“ภารู้แล้วล่ะค่ะ ไม่รู้จะดูอะไรกันนักหันหนา ก็เห็นอยู่ทุกวัน”
“งั้นเดี๋ยวผมขอเข้าไปหานะครับ จะได้แวะเยี่ยมคุณลุงด้วย”
ตรัยพูดพลางรีบลุกขึ้นเดินตามป้าแจ่มเข้าไป อาภาพรกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจ

พรเพ็ญที่นั่งมองเอกสิทธิ์ที่นอนหลับอยู่บนเตียง ด้วยสีหน้าเศร้า กังวลใจ รอบห้องมีกระดาษโน้ตที่เธอแปะบอกสิ่งที่ต้องทำเต็มห้องไปหมด
ครู่หนึ่งก็เอื้อมมือไปดึงมือพ่อมาแนบแก้มตัวเอง น้ำตาคลอ จากนั้นก็หลับตานิ่งๆ ก่อนจะลืมตาขึ้นเอามือปาดน้ำตา จับมือพ่อวางไว้ที่เดิม พร้อมกับดึงผ้าห่มคลุมให้
“พรจะรีบกลับมาค่ะ”
พูดพลางก้มลงกราบเท้าเอกสิทธิ์ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินออกมา แต่ไม่วายเหลียวกลับมามองพ่ออีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไป แล้วมายืนพิงประตูห้องตัวเอง ตรัยเดินเข้ามาเห็นสีหน้าของเธอก็ตกใจ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ คุณลุงเป็นอะไรเหรอ?”
พรเพ็ญรีบเช็ดน้ำตา เบือนหน้าหนีไปทางอื่น พยายามปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้ปกติ
“เปล่าค่ะ คุณพ่อไม่ได้เป็นอะไร”
“ไม่เป็นอะไร? แต่ดูทำหน้าสิ”
พูดพลางเดินเข้ามาใกล้พยายามมองหน้าพรเพ็ญ ที่คอยจะหันหน้าหลบ
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ”
ขณะที่เขากำลังจะเอื้อมมือมาจับหน้าเธอ เสียงอาภาพรตะโกนก็เข้ามาขัดจังหวะ
“พี่ตรัยคะพี่ตรัย เสร็จกันหรือยังคะ”
พรเพ็ญรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ
“ไปกันเถอะค่ะ”
พลางถือโอกาสเดินเลี่ยงนำออกไปก่อนทันที

ตรัยได้ยินเสียงอาภาพรตะโกนเร่ง ก็ได้แต่ถอนหายใจ รีบเดินออกไป

ตรัยทำหน้าเซ็งๆ จำใจเปิดประตูรถให้อาภาพรขึ้นไปนั่งด้านหน้า ก่อนจะเปิดประตูด้านหลังรอให้พรเพ็ญมาขึ้น

ฝ่ายหลังหยุดชะงักหันไปมอง ราวกับจะจำภาพสุดท้ายของบ้านศิลาแดง ที่ตระหง่านอยู่ตรงหน้า

วิทวัสนั่งประชุมอยู่ในห้องประชุม ร่วมกับคนอื่นๆ เมื่อประชุมเสร็จ เลขาสาวก็เดินเข้ามาหา
“บอสคะ คนที่นัดสัมภาษณ์งานเอาไว้จะให้เลื่อนออกไปเลยหรือเปล่าคะ?”
เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปบอก
“ไม่ต้องหรอก จะได้ไม่เสียเวลาเค้า เดี๋ยวให้ไปที่ห้องทำงานผมล่ะกัน”
พอเลขาเดินออกจากห้องไป เขาก็นั่งเอนพิงหลังอย่างเหนื่อยอ่อน

ทางด้านตรัย พรเพ็ญ และอาภาพรก็กำลังเดินเลือกซื้อของอยู่ที่ห้างสรรพสินค้า อาภาพรทำตัวติดหนึบกับเขาอยู่ตลอดเวลา ขณะที่พรเพ็ญ ที่ถือใบรายการอยู่ เอาแต่กวาดสายตามองไปรอบๆ เหมือนกับมองหาอะไร
อาภาพรแกล้งจะให้พรเพ็ญเข็นรถที่ทุกของจนหนักอึ้ง แต่ตรัยอาสาเป็นคนเข็นให้เอง พลางดึงใบรายการไปดูแล้วจัดแจงช่วยหยิบโน่นนี่ใส่รถเข็น
พรเพ็ญมองหน้าอาภาพร ที่เอาแต่ค้อนขวับๆ พลางถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาสอดส่ายสายตา สีหน้ากังวล
ครู่หนึ่งก็มีเสียงข้อความเตือนที่มือถือ เธอรีบหยิบขึ้นมาดูทันที พออ่านข้อความเสร็จ ก็เงยหน้าขึ้นเหลือบมอง เห็นอาภาพรยังคงเกาะแขนตรัยทำเป็นช่วยเลือกของอยู่ เธอรีบเลยเดินเข้าไปหา ก่อนจะอ้ำอึ้งๆพูดขึ้น
“เดี๋ยวพรขอตัวซักครู่นะคะ พรจะดูของส่วนตัวนิดหน่อย”
ตรัยมองหน้าพรเพ็ญ ก่อนจะพยักหน้า
“งั้นเดี๋ยวผมรอแถวนี้นะครับ”
พรเพ็ญแอบเหลือบดูสีหน้าทั้งคู่แล้วเดินเลี่ยงไป อาภาพรถือโอกาสออดอ้อนตรัย ที่แอบทำหน้า เบื่อหน่าย

พรเพ็ญเดินเลี่ยงออกมา พลางมองหาเพ็ญพร ก่อนที่จะรีบเดินเข้าไปหาอย่างดีใจ
“นึกว่าพี่จะเปลี่ยนใจซะแล้ว”
สีหน้าพรเพ็ญกังวล “พี่ พี่กลัวยังไงไม่รู้สิ”
“ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกน่า พี่พร”
“แต่พี่ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะทำยังไง”
เพ็ญพรจับหน้าของอีกฝ่าย ให้มองหน้าตัวเอง
“มันจะยากอะไรล่ะ ก็แค่พี่เป็นฉัน แล้วฉันก็เป็นพี่ ก็แค่นั้นเอง”
“แล้วถ้าเกิดมีคนจับได้ล่ะ” พรเพ็ญยังไม่คลายกังวล
“ไม่มีใครรู้หรอกน่า หน้าพี่เหมือนกับฉันอย่างกับแกะ เอาน่าพี่พรมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวอะไรมากหรอก พี่รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวยัยสุดาก็มารับพี่แล้ว นั่นไง โทร. มาพอดีเลย”
พูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย
“ไงแก ถึงแล้วเหรอยะ อะไรนะ?”

ทางด้านสุดาก็ยืนคุยโทรศัพท์อยู่บนถนน พร้อมกับก้มๆ เงยๆ ดูที่ยางรถตัวเอง ที่แบนติดถนน ก่อนจะยักแย่ยักยันเอายางอะไหล่ออกมาจะเปลี่ยน แต่ก็เปลี่ยนไม่เป็น
“ฉันขอโทษจริงๆ แก โอ๊ย ทำไมมันซวยแบบนี้วะเนี่ย เอ้า แล้วเปลี่ยนยางนี่ มันต้องเริ่มยังไงก่อนเนี่ย?”
บังเอิญหมอรุจน์ขับรถผ่านมาพอดี เขารีบจอดรถกระพริบไฟด้านหน้า แล้วเดินลงมา
“เฮ้ย แก แค่นี้ก่อนนะ ขอฉันเคลียร์ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวโทร. กลับ”
จากนั้นก็รีบกดวาง แล้วเดินปรี่เข้าไปหาหมอรุจน์ทันที

เพ็ญพรวางสายตาม ก่อนจะหันมาทางพรเพ็ญด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“โอ๊ย ทำไมมันจะต้องมาเกิดเรื่องบ้าอะไรวันนี้ด้วยเนี่ย”
2 พี่-น้องยืนมองหน้ากันอย่างลังเล ก่อนที่พรเพ็ญจะพูดขึ้น
“งั้นพี่ว่าก็ล้มเลิกไปเหอะ ก็ไมมีคนมารับแล้วนี่ ก็ยกเลิกไปก่อน พี่จะได้กลับไปดูคุณพ่อด้วย”
พูดพลางตัดสินใจหันหลังกลับจะเดินไป แต่อีกฝ่ายรีบคว้าข้อมือไว้
“เดี๋ยว ฉันรู้แล้ว ว่าจะให้ใครมาช่วย”
เพ็ญพรยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

หมอรุจน์กำลังสอนสุดาเปลี่ยนยางอะไหล่อยู่แบบใกล้ชิด จนคางเขาเเทบจะเกยบ่าของอีกฝ่าย
“เปลี่ยนเป็นก็น่าจะเปลี่ยนให้เลย วันหลังค่อยสอนก็ได้”
“ไม่เอา เคยตัว จะได้ดูแลตัวเองได้ไง”
สุดาส่ายหน้า “เค้าไม่ได้อยากดูแลตัวเองซักหน่อย”
“แล้วจะให้ใครมาดูแล เราเองก็ไม่ใช่ว่าจะหน้าตา...”
หมอรุจน์พูดค้าง เพราะสุดาเริ่มมองแบบน้อยใจ
“ประมาณนึง หน้าตาก็ประมาณนึง ..ทำไม จะรีบไปไหนเหรอ?”
สุดารีบปฏิเสธ “เปล่า”
“ดี ช่วยตัวเองให้ได้ก่อน ค่อยช่วยคนอื่น เอา เปลี่ยนน็อตได้แล้ว”
สุดาถึงกับเขิน เมื่อถูกอีกฝ่ายจับไม้จับมือเธอ สอนการใช้แม่เเรง

อาภาพรนั่งรอพรเพ็ญอยู่ในร้านกาแฟกับตรัยด้วยสีหน้าหงุดหงิด พลางบ่นโวยวายตลอด แต่อีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“นั่นไง มาพอดีเลย”
ตรัยหันไปเห็นเพ็ญพรเดินอยู่หน้าร้าน สอดสายตาเหมือนมองหาใคร ก็รีบลุกขึ้นเดินมาหาทันที ทิ้งอาภาพรให้หน้าบูดอยู่คนเดียว
“ได้ของไหมครับ?”
เพ็ญพรหันขวับมาเห็นเป็นตรัย ก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“หิวน้ำพอดีเลย เลี้ยงฉันหน่อยสิ”
พูดจบ ก็เดินนำเข้ามาในร้านทันที ตรัยทำหน้าแปลกใจ แต่ก็ยิ้มรับ รีบเดินตามไป
อาภาพรที่นั่งหน้าบูดอยู่จ้องเพ็ญพรอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ไปเอ้อระเหยถึงไหนมาล่ะ ปล่อยให้คนอื่นเค้ารออยู่ได้”
เพ็ญพรยืนจ้องอาภาพรหัวจดเท้า ก่อนจะพึมพำเบาๆ “อ้อ มาด้วยสินะ”
พลางเดินมานั่งไขว้ห้าง กวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟ
“เอสเพรสโซ่ดับเบิ้ลช็อต แล้วก็มาการองกับชีสเค้กด้วย”
เด็กเสิร์ฟรับออเดอร์เรียบร้อยเสร็จก็เดินไป เพ็ญพรหันไปมองอาภาพรกับตรัย เห็นทั้งคู่ทำหน้าแปลกๆ
“ดื่มกาแฟเข้มมากเลยนะครับ ไม่กลัวนอนไม่หลับเหรอครับ?”
อาภาพรมองเขม่น
“มาการอง? นี่มันจะไม่โฮโซเกินไปหน่อยเหรอยะ รู้จักด้วยเหรอ? ขนมไฮโซแบบนี้”
“กินด้วยกันไหมล่ะ ปากจะได้ไม่ว่าง”
เพ็ญพรลอยหน้าลอยตาตอบ อาภาพรถึงกับอึ้ง ตรงข้ามกับตรัยที่แอบยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“นี่! ลับหลังคุณแม่ ปากกล้าขึ้นมาเลยนะพี่พร แล้วไหนของที่ไปบอกไปซื้อน่ะ? อ๋อ ซื้อเสื้อผ้าใหม่นี่เอง คุณลุงนอนป่วยอยู่แท้ๆ ยังมีกะใจมาสุรุ่ยสุร่ายอีก ดูสิคะพี่ตรัย”
เพ็ญพรเห็นท่าทางของอาภาพรที่พยายามยุตรัยแล้วก็หมั่นไส้
“จะว่าไปยังมีอีกตั้งหลายชุดเลยที่อยากจะได้ ซื้อให้หน่อยสิคะ พี่ตรัย”
ตรัยสะดุ้ง งงกับอาการของอีกฝ่าย แต่ก็ยิ้มกว้างอย่างชอบใจ “ได้สิครับ”
เพ็ญพรยิ้มอย่างพอใจ พลางแกล้งปรายตาไปมองอาภาพรแล้วแอบเบะปากใส่

ที่แท้คนที่เพ็ญพรตามให้มาช่วยก็คือวิทวัส เขารีบมาที่ห้างสรรพสินค้า ก่อนจะเห็นพรเพ็ญยืนละล้าละลังอยู่ แต่พออีกฝ่ายเห็นเขาเดินตรงเข้ามา ก็กลับหันหนีไปมองทางอื่น
“อะไรของคุณ เรียกผมออกมาแท้ๆ ยังจะมาทำเมินอีก”
พรเพ็ญยังไม่กล้าสบตา เพราะไม่รู้จะพูดอะไร
“ตกลงเรียกผมออกมากวนประสาทเล่นแค่นี้ใช่ไหม? งั้นผมกลับล่ะ”
พูดพลางหันหลังกลับ ทำท่าจะเดินหนี
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
วิทวัสที่กำลังหงุดหงิดอยู่หันกลับมา แต่พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็อึ้งไป เพราะเป็นสีหน้าท่าทางในแบบที่เขาชอบ
“คุณ ให้ผมมารับนี่มีอะไรหรือเปล่า?”
พรเพ็ญอ้ำๆอึ้งๆ “พอดีรถเสียน่ะค่ะ”
“เหรอ? งั้นจะกลับเลยไหมล่ะ ว่าไงคุณ”
พรเพ็ญพยักหน้าแอบมองอีกฝ่ายท่าทางยังระแวง วิทวัสเห็นท่าทีของเธอแล้วก็แอบอมยิ้ม

กว่าหมอรุจน์เปลี่ยนยางให้สุดาเสร็จ ก็เล่นเอาเหงื่อท่วม ขณะที่อีกฝ่ายยืนแอบอยู่ในร่ม
“เรียบร้อย เฮ้อ ไม่น่าผ่านมาเลยเนี่ย”
สุดามองค้อน “พูดมาก”
พูดพลางเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้แทนคำขอบคุณ
“จะขอบคุณซักคำก็ไม่มี”
“ผ้าเช็ดหน้านี่ ไม่ใช่ถูกๆนะ ยังไม่เรียกว่าขอบคุณอีก”
หมอรุจน์เบ้หน้า “เป็นหมอนะ ผ่าตัดเคสล่ะตั้งเท่าไหร่ เอาเวลามาเปลี่ยนยางให้เราเนี่ย”
สุดารีบเก็บผ้าเช็ดหน้า
“เออ ขอบคุณก็ได้ จะเอาไงอีก คนอยากเหยียบมั้ยตะปูอ่ะ”
“ขับรถระวังหน่อยก็แล้วกัน เป็นห่วง”
สุดาตาโต แอบยิ้มปลื้ม “ห่วง?”
“อือ เจ้าตรัย มันอุตส่าห์ฝากฝัง เป็นน้องเป็นนุ่ง”
สุดาหน้างอ “เป็นน้อง?”
“รึจะเป็นป้า แต่งตัวก็ได้อยู่นะ”
สุดาน้อยใจเดินกลับไป หมอรุจน์โบกมือให้โดยไม่คิดอะไร ก่อนจะเดินจากไปยิ้มๆ ฝ่ายแรกถอนใจเฮือก แล้วก็ตาโตตกใจ พลางพลิกดูนาฬิกาข้อมือ

“ยายเพ็ญ ตายล่ะ”

อ่านต่อหน้า 2

บ้านศิลาแดง ตอนที่ 4 (ต่อ)

เพ็ญพรเดินฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ อาภาพรเดินเกาะแขนตรัย ที่หิ้วของพะรุงพะรังตามมาข้างหลัง

พอทั้งหมดเดินมาถึงรถ เพ็ญพรเดินมารอที่ฝั่งข้างคนขับ ตรัยรีบกดรีโมทเปิดให้ อาภาพรรีบเดินตรงปรี่มาหาทันที พลางชี้มือไปที่ที่นั่งด้านหลัง
“เดี๋ยวที่ของพี่พร ข้างหลัง”
พูดพลางเบียดแทรกเพ็ญพรเข้าไปนั่ง ก่อนจะเชิดหน้าใส่อย่างผู้ชนะแล้วปิดประตู
ตรัยได้แต่ใส่หน้าเอาของไปเก็บท้ายรถแล้วเดินมาเปิดประตูให้เพ็ญพร แต่แทนที่เธอจะเข้าไปนั่ง กลับดึงกุญแจในมืออีกฝ่ายแล้วเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ
อาภาพรหันมาเห็นเพ็ญพรขึ้นมาฝั่งคนขับก็ตกใจ
“จะทำอะไรเนี่ย! พี่ตรัยคะพี่ตรัย”
เพ็ญพรไม่พูดอะไร รีบเสียบกุญแจสตาร์ทเครื่องทันที
“หยุดนะพี่พร พี่ตรัย”
อาภาพรตะโกนเรียกเสียงหลง ตรัยตกใจรีบเปิดประตูขึ้นรถด้านหลังทันที พร้อมกับที่เพ็ญพรขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว

วิทวัสเดินนำพรเพ็ญเข้ามาในร้านอาหาร ฝ่ายหลังถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ

“ไหนคุณบอกจะพามาส่งที่คอนโด?”
“ใจเย็นสิคุณ ผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า กำลังจะกินคุณก็โทร. มาเรียกผมเนี่ย”
พรเพ็ญไม่ต่อล้อต่อเถียง ได้แต่ทำตาปริบๆ
“ไม่คิดจะเถียงอะไรบ้างเหรอวันนี้?”
“ก็ฉันรบกวนคุณจริงๆ นี่”
วิทวัสมองอย่างไม่น่าเชื่อสายตา
“เข้าโหมดพจมานสินะวันนี้ แต่ก็ดี เป็นแบบนี้ให้ตลอดล่ะกัน”
“ไม่รำคาญเหรอคะ”
วิทวัสส่ายหน้า “ไม่อ่ะ น่ารักดี”
พรเพ็ญหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที

วาทินีเดินสะพายกระเป๋า เตรียมจะไปข้างนอก พลางสำรวจภายในบ้าน ก่อนจะมองซ้ายมองขวา แล้วแอบหยิบของมีค่าใส่กระเป๋า
“ทำอะไรของเธอน่ะ”
เชาว์เดินเข้ามา ยืนมองอีกฝ่าย สายตาจับจ้องไปที่กระเป๋า
“โธ่เอ๊ยพี่ ตกใจหมด”
เชาว์ดึงกระเป๋าวาทินีไปเปิดค้นดุ
“หึ ริอาจเป็นขโมยเหรอ?”
วาทินีทำลอยหน้าลอยตา
“อย่ามาทำเป็นคนดีหน่อยเลย ไม่อยากได้ใช่ไหมเงินน่ะ”
“ไม่ได้พูดสักคำ”
วาทินียิ้มมุมปาก กระชากกระเป๋ากลับคืนไป
“จริงๆในห้องเมียแก่ของพี่ มันน่าจะมีอะไรที่ได้ราคามากกว่านี้นะ”
“ขืนเข้าไปยุ่งกับห้องเค้าสิ บ้านแตกแน่”
“ก็แล้วแต่นะ แต่วันนี้ฉันขอก่อนล่ะกัน”
พูดจบวาทินีก็เดินเชิดหน้าออกไป เชาว์ครุ่นคิดตาม
วาทินีเดินกรีดกรายอยู่บริเวณหน้าบ้านจะออกไปข้างนอก พร้อมกับที่ประตูรั้วอัตโนมัติเปิดออก รถของตรัย ที่เพ็ญพรเป็นคนขับวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฝ่ายแรกถึงกับตาเหลือก รีบตกใจกระโดดหนีจนหกล้มหน้าคะมำข้าวของในกระเป๋าหล่นกระจาย
เสียงรถของตรัยเบรกดังสนั่น เพ็ญพรพรเปิดประตูลงจากรถอย่างอารมณ์ดี อาภาพรค่อยๆ เปิดประตูรถอีกด้านลงมายืนโซซัดโซเซ ก่อนจะรีบเอามือปิดปากจะอาเจียน รีบวิ่งเข้าบ้านไปทันที
ส่วนตรัยพอรถลงมา ก็ถึงกับยืนกุมขมับเพราะเวียนหัว
“คุณจะฆ่ากันเหรอครับ ขับรถแบบเนี้ย”
“อะไร ฉันก็ขับของฉันปกติ”
ตรัยส่ายหน้า “ปกติอะไรล่ะครับ ทั้งเร็วทั้งส่าย”
“ช่วยไม่ได้ ยัยนั่นอยากมาแย่งพวงมาลัยฉันทำไมล่ะ? อ้าวแล้วนั่นอะไรกองอยูล่ะนั่น”
วาทินีที่หน้าคะมำอยู่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน พลางก้มลงปัดแขนขาตัวเองที่มีแต่รอยถลอก
“โอ๊ย ขับรถภาษาบ้าอะไรของแกยะเนี่ย หนอย นึกว่าใคร ยัยคุณหนูนี่เอง แกคิดจะเอาคืนใช่ไหม?”
เพ็ญพรจ้องหน้าวาทินี นึกขึ้นได้ถึงเรื่องเมื่อวานที่พรเพ็ญถูกทำร้าย พลันสีหน้าเปลี่ยนเป็นโกรธจัดขึ้นมาทันที
“เอาคืนเหรอ? ฉันน่าจะขับชนแกซะด้วยซ้ำ”
วาทินีตกใจอึ้งไป ตรัยหันมามองสีหน้าเอาเรื่องของเพ็ญพรก็ตกใจไม่แพ้กัน
“แก อีบ้า”
วาทินีเดินเข้ามาด่าเพ็ญพรใกล้ๆ เธอรีบก้มหน้าเอาหัวโขกดั้งจมูก จนอีกฝ่ายเซเเซ่ดๆ เป๋ไปเป๋มา ก่อนจะสะบัดหน้าหันกลับไปก้มเก็บข้าวของใส่กระเป๋า
เพ็ญพรมองไปที่ข้าวของที่หล่นกระจายอยู่อย่างรู้สึกผิดสังเกต พลางจ้องหน้าวาทินีอย่างจับผิด ฝ่ายหลังรีบหลบสายตาสะพายกระเป๋าแนบตัวแล้วเดินแน่บออกไป

วิทวัสนั่งทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ตรงข้ามกับพรเพ็ญที่นั่งมอง ไม่พูดไม่จา
“ไม่หิวเหรอ?”
พรเพ็ญส่ายหน้า “ไม่ค่ะ”
“อะไร ทุกทีกินอย่างกับหลุมดำ”
พรเพ็ญหลุบหน้าอย่างเขินอาย “ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
“ก็ใช่สิ เอ๊า ยังไงกันตัวคุณเองแท้ๆ มาถามผม”
พูดพลางมองอีกฝ่าย เห็นไม่เถียงอะไรเลยจัดแจงตักอาหารใส่จานให้
“คุณคงไม่ได้ใส่อะไรลงไปใช่ไหม?”
วิทวัสแทบสำลัก
“คุณจะบ้าเหรอ คิดว่าผมจะทำอะไรคุณเหรอไง? อย่างผมเนี่ยนะ จะทำอะไรคุณ ผมว่าคุณมากกว่าที่จะทำผม”
พูดพลางบังเอิญไปสบตาเข้ากับสายตาใสซื่อของพรเพ็ญ เขาถึงกับหน้าแดง ก่อนจะแอบเหลือบตามองอีกฝ่ายบ่อยๆ จากนั้นก็ขับรถมาส่งเธอที่คอนโดของเพ็ญพร

สโรชาเดินเข้ามาเห็นสภาพอาภาพร ที่นั่งพิงศรีษะกับพนักโซฟาอย่างหมดสภาพ ก็แปลกใจ
“ไปซื้อของแค่เนี้ย ถึงกับหมดสภาพเลยเหรอยะ”
“ซื้อของน่ะไม่เท่าไหร่หรอกค่ะคุณแม่ แต่นั่งรถกลับนี่สิ”
“นายตรัยเค้าขับเร็วเหรอไง?”
อาภาพรหยิบยาดมขึ้นมาดม พลางส่ายหน้า
“ไม่ใช่พี่ตรัยหรอกค่ะ นังพรตะหาก”
“อะไรนะ แกละเมอหรือเปล่า? นังพรมันขับรถเป็นซะที่ไหน”
“ถ้าไม่เชื่อคุณแม่ก็ลองไปถามพี่ตรัยดูเอาเองสิคะ”
สโรชาทำหน้าไม่ค่อยเชื่อ “แล้วอยู่ไหนกันแล้วล่ะ?”
อาภาพรชี้มือไปทางด้านหลัง
“คุณแม่ไปถามกันเอาเองละกัน หนูไม่ไหวล่ะ”

เพ็ญพรยืนอยู่ในห้องครัว พลางมองไปรอบๆ เหมือนไม่เคยเห็น ตรัยยืนมองอย่างสงสัย ก่อนที่ป้าแจ่มจะถามขึ้นมา
“คุณหนูจะเข้าไปพลิกตัวให้คุณท่านหรือยังคะ? ป้าจะได้เข้าไปช่วย”
“พลิกตัว?”
“ค่ะ ป้ากับตาแจ่มช่วยพลิกไปแล้ว ตามเวลาที่คุณหนูบอกไว้ไงคะ”
เพ็ญพรพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะรีบบอกว่าเดี๋ยวเธอจัดการเอง ตรัยรีบเสนอตัวช่วยทันที
“ไม่เป็นไรค่ะ ไปดูรถคุณ เอ๊ย พี่ตรัยเถอะ ไม่รู้ตะกี๊ปาดโดนอะไรหรือเปล่า”
พูดพลางรีบดันหลังตรัยออกไป ป้าแจ่มมองท่าทีแปลกๆ ของเพ็ญพรอย่างงงๆ

ทางด้านพรเพ็ญก็มองสำรวจรอบห้องของเพ็ญพร ก่อนจะหยิบกรอบรูปขึ้นมาดู พลางเอามือลูบลงไปที่รูปถ่าย
“คุณแม่ คุณตา”
พลันเธอก็นึกเอะใจเหมือนคุ้นๆ หน้าของเดือนฉาย
“เอ๊ะนี่ ...”
ฟากเพ็ญพรก็เปิดประตูห้องเข้ามาในห้องนอนของแฝดพี่ พลางกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เห็นกระดาษโน้ตแปะสิ่งที่ต้องทำเต็มไปหมด
จากนั้นก็เดินตรงมาหยุดที่เตียงของเอกสิทธิ์ พลางค่อยๆ นั่งลงที่เตียงมองพ่อด้วยแววตาสลด
“คุณพ่อ...”
เอกสิทธิ์ค่อยๆลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ ก่อนจะเหลือบมองมาเห็นเพ็ญพร พร้อมกับที่พยายามขยับมือฝ่ายหลังรีบเอื้อมมือไปจับมือพ่อไว้
“ไม่ต้องห่วงนะคะคุณพ่อ ต่อไปนี้เพ็ญจะดูแลคุณพ่อเอง”
พูดพลางมองมาที่พ่อด้วยสีหน้ามุ่งมั่น ครู่หนึ่งก็เดินออกจากห้อง ก่อนจะสะดุ้งตกใจ เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับสโรชา ที่ยืนกอดอกจ้องหน้าเธอเขม็ง

ส่วนตรัยกับลุงเติมช่วยกันดูรถที่ไปครูดมาเป็นรอยยาวอยู่หน้าบ้าน ก่อนที่ฝ่ายหลังจะพูดขึ้นมาด้วยความสงสารพรเพ็ญ
“ยังดีนะครับ ที่มีคุณตรัยมาคอยดูแล เฮ้อ พูดแล้วก็สงสารคุณหนู อยู่บ้านตัวเองแท้ๆ แต่โดนคนอื่นรังแกสารพัด”
“ก็ไม่แน่นะครับ บางทีตอนนี้อาจจะไม่เป็นเหมือนทุกทีแล้วก็ได้”
ตรัยพูดพลางมองเข้าไปในบ้าน เหมือนรู้สึกได้กับท่าทีที่เปลี่ยนไปของพรเพ็ญ โดยไม่ทันเฉลียวใจถึงการสลับตัว ?

“ได้ข่าวว่าวันนี้ ซิ่งรถกลับมางั้นเหรอ?”
สโรชาจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง เพ็ญพรยิ้มมุมปากเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่กลัวเกรง
“ก็ประมาณนั้นมั้งคะ”
“เก่งเหลือเกินนะ ไปหัดมาจากไหนล่ะ”
“ก็แถวๆ นี้ล่ะค่ะ”
สโรชานึกแปลกใจกับท่าทีของอีกฝ่าย
“อย่าให้มันมากไปนะ พ่อเรายังนอนป่วยอยู่ยังจะทำตัวแบบนี้อีกเหรอ?”
“นั่นสิคะ คุณพ่อป่วยอยู่ยังจะตัวแบบนี้อีกเหรอคะ คุณน้า”
สโรชาเจอเพ็ญพรย้อนกลับ ก็ถึงกับเลือดขึ้นหน้า แต่อีกฝ่ายแกล้งทำหน้าใสซื่อ ไม่รู้เรื่อง
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ อ้อ ถังขยะในห้องคุณพ่อเต็มแล้ว ยังไงช่วยเอาไปทิ้งให้ด้วยละกัน”
ขาดคำก็เดินเชิดหน้า ยิ้มเยาะออกไป
“เตรียมตัวกันไว้ให้ดีเถอะนะ สงครามกำลังจะเริ่มล่ะ”
พรเพ็ญเดินสำรวจดูรอบๆ คอนโด พลางนิ่งมองรูปเดือนฉาย ก่อนจะเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วก็หยิบเอาเสื้อของตัวเดียวกับที่อยู่ในรูปขึ้นมาดม พลางดูไปด้วยความคิดถึง
“แม่...”

เพ็ญพรยืนทอดปลาทูอยู่กับป้าแจ่มในครัว ด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ จนโดนน้ำมันกระเด็นใส่ ป้าแจ่มมองอย่างแปลกใจ
ทันใดนั้นเธอก็ร้องลั่น
“ว้าย ไหม้แล้ว ไหม้ๆ”

ป้าแจ่มตกใจรีบหันไปจัดการกับกระทะ จนลืมท่าทีที่แปลกไปของอีกฝ่าย

ป้าแจ่มจับหางปลาทูไหม้เกรียม ก่อนจะรำพึงออกมาอย่างเซ็งๆ

“โดนหักเงินเดือนอีกแล้ว”
เพ็ญพรหน้า “ขอโทษนะจ๊ะป้า”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะไม่เหลือจะหักแล้ว”
เพ็ญพรทำหน้าตกใจ
“แหม คุณหนูอย่ามาทำตกใจ แจ่มก็โดนหักป่นปี้อย่างนี้ทุกเดือนนี่คะ ที่ทนอยู่เนี่ย ก็เพื่อคุณหนูกะคุณผู้ชาย 2 คนเท่านั้น”
เพ็ญพรยิ่งได้ฟัง ก็ยิ่งฮึด
“ไม่เป็นไรป้า ไม่ต้องกลัว ต่อไปนี้จะไม่มีใครต้องทนอีกต่อไปแล้ว”
ป้าแจ่มมองอีกฝ่ายแบบงงๆ
“อ่า คุณหนูเป็นไรเปล่าคะ? เหนื่อยเกินไปรึเปล่า ?”
เพ็ญพรรู้สึกตัว รีบกลับมาทำท่าเรียบร้อย
“เอ่อ ป้าจ๊ะ ปกติเราต้องเป็นคนทำอาหารกันทุกมื้อเลยเหรอคะ?”
“ก็ใช่สิคะ ยกเว้นก็แต่อาหารของคุณท่าน คุณสโรชาจะมาคอยดูแลเองไงคะ นั่นไงคะในหม้อนั่น เธออยากทำให้คุณท่านด้วยตัวเองไงคะ เอ๊ะ เธอก็บอกคุณหนูไม่ใช่เหรอคะ?”
“อ๋อจ้ะ บอกจ้ะบอก”
เพ็ญพรแกล้งพูดเออออไปกับป้าแจ่มก่อนจะเดินไปที่หม้ออาหารเปิดฝาดู พลางขมวดคิ้วสงสัย

สุดายืนเคาะประตูอยู่หน้าห้องคอนโดของเพ็ญพร ท่าทางกระวนกระวาย พรเพ็ญเปิดประตูออกมา มองอีกฝ่ายแบบงงงๆ
“แก ฉันขอโทษ เนี่ยกว่าจะจัดการเสร็จเรื่อง กว่าจะจัดการเคลียร์กับประกัน โอ๊ยสารพัด”
พรเพ็ญยืนงงไม่ตอบอะไร สุดาเอะใจเลยถอยมาดูหน้าชัดๆ อีกที พอนึกขึ้นมาได้ ก็ถึงกับตื่นตกใจ
“เธอ”

สุดานั่งอึ้งมองพรเพ็ญไปมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“ไมน่าเชื่อเลยนะคะ ว่าคุณ ..พี่... เอ่อ..”
“เรียกพรก็ได้ค่ะ”
สุดาพยักหน้ารับ “ค่ะ หรือจะให้เรียกพี่พรแบบยัยแพร์รี่คะ”
“แพร์รี่? หมายถึงเพ็ญน่ะเหรอ? เรียกพรเฉยๆ ก็ได้ค่ะ”
“อยู่ๆ ยัยเพ็ญก็มีพี่สาวฝาแฝด แถมเหมือนกันแทบแยกไม่ออก นี่ถ้าไม่รู้จากยัยเพ็ญก่อน คงไม่เชื่ออ่ะ”
“พรเองก็ยังไม่อยากเชื่อเลย เอ่อ แล้วไม่มีใครรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?”
สุดารีบส่ายหน้า
“ไม่มีหรอก ไม่มีใครรู้นอกจากพร ยัยเพ็ญแล้วก็ฉัน แม้แต่พี่ตรัยก็ยังไม่รู้เลย เอ๊ะ แล้วตกลงพรยังไม่ได้บอกเลยว่าใครไปรับเธอมานี่แทนฉันน่ะ”
พรเพ็ญทำหน้าครุ่นคิด เมื่อนึกถึงวิทวัส

วิทวัสขับรถตาตามทาง พลางผิวปากอย่างอารมณ์ดี ครู่หนึ่งเดือนฉายก็โทร. เข้ามือถือ
“สวัสดีครับคุณเดือน”
“ตาวัส ป้ามีเรื่องจะรบกวนตาวัสหน่อย พรุ่งนี้น่ะ จริงๆ แล้วป้าต้องไปรับยัยเพ็ญ แต่พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะ เลยจะรบกวนตาวัสได้ไหมจ๊ะ”
วิทวัสรีบรับคำ
“อ๋อ ได้สิครับ จริงๆ อีก 2-3 วันผมว่าจะไปคุยกับคุณเดือนเรื่องงานอยู่แล้ว ไปพรุ่งนี้ทีเดียวเลยก็ได้ครับ ไม่มีปัญหาอะไร ไม่หรอกครับ ถ้าเธอเป็นแบบวันนี้นะ ใช่ครับ แบบวันนี้”
พอกดวางสาย ก็อดยิ้มคนเดียวไม่ได้
“หึๆ น่ารักแบบวันนี้”

เพ็ญพรช่วยทำกายภาพให้เอกสิทธิ์ ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ตาก็คอยชำเลืองดูหนังสือประกอบไปด้วย ขณะที่ผู้เป็นพ่อเหลือบสายตามองลูกสาวอยู่ตลอดเวลา
“งั้นวันนี้คุณพ่อพักผ่อนก่อนแล้วกันนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”
พูดพลางยิ้มให้พ่อที่นอนมองมาอย่างสงสัย ก่อนจะลงมือเก็บข้าวของให้เข้าที่ แล้วเริ่มเดินสำรวจภายในห้อง เห็นข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของพรเพ็ญที่อยู่ตามที่ต่างๆ
“สรุปแล้วนี่มันห้องของใครกันแน่ ถ้าเป็นห้องพี่พร แล้วทำไมคุณพ่อต้องมาอยู่ห้องนี้ล่ะ?”

จากนั้นเพ็ญพรเดินสำรวจภายในบ้าน จนมาถึงหน้าห้องของเอกสิทธิ์เดิม ที่ตอนนี้ถูกเชาว์กับวาทินียึดครองไว้เธอยืนมองอยู่หน้าห้องอย่างสงสัย ก่อนตัดสินใจจะเปิดประตูเข้าไป
“ทำอะไรน่ะ”
เพ็ญพรสะดุ้งหันกลับมามอง เห็นวาทินีเดินตีสีหน้าไม่พอใจเข้ามาจ้องหน้า
“มาทำอะไรหน้าห้องฉัน”
“ห้องเธองั้นเหรอ?”
พูดพลางมองวาทินีหัวจดเท้า
“ได้ข่าวว่าเข้ามาอาศัยแค่นั้นไม่ใช่เหรอ?”
“แล้วทำไม? ฉันมาอาศัยอยู่นี่ยังไม่เป็นบุญคุณอีกเหรอ สำนึกบ้างไหมเนี่ย? ไม่ต้องมาพูดมากเลย แกคิดจะย่องเข้าหาผัวฉันใช่ไหม? หนอย วันนั้นโดนไปไม่เข็ดใช่ไหม?”
ขาดคำก็เงื้อมือเข้าจะตบ แต่กลับพลาด โดนเพ็ญพรสวนเข้าให้เต็มๆ
“อะไรกัน เสียงดังยังกับสำเพ็งดง”
สโรชาเดินหน้าบึ้งเข้ามา มองทั้งคู่ที่ตบกันนัวอยู่ พลางเหลือบไปจ้องดูท่าทางของเพ็ญพรอย่างสงสัย
“ไมมีอะไรนี่คะ”
“ไมมีอะไรได้ยังไง ก็ฉันเห็นอยู่” พูดพลางหันไปเห็นวาทินีนั่งกองกับพื้นกุมจมูกร้องโอดโอย “อ้าว นั่นเป็นอะไรร้องครวญครางยังกะเปรตขอส่วนบุญ”
“บ้า! ก็ลูกเลี้ยงของคุณพี่สิคะ เปรต คิดจะย่องเข้าหาพี่เชาว์”
เพ็ญพรชี้หน้าทันที
“เดี๋ยวฉันได้เลาะดั้งแกออกมาหรอก แหวะ! แก่เหี่ยวหยั่งปู่เชาว์ของแกน่ะเรอะใครจะอยากย่อง?”
“หนวกหู หยุดพล่ามกันซะที นี่ เธอจะเข้ามาเอาอะไรของพ่อเธออีก สมบัติพวกรถเข็น กระโถนฉี่อะไรพวกนั้นเธอก็ขนไปหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เพ็ญพรยิ่งฟังก็ยิ่งโกรธ
“งั้นห้องนี้ก็เป็นห้องของคุณพ่อฉันใช่มั้ย?”
สโรชากับวาทินี หันมามองหน้ากันอย่างสงสัย
“เอ๊า! ถามแปลกๆ นี่เธอหัวไปฟาดอะไรมาหรือไง?”
วาทินีรีบเสริม
“สงสัยโดนฉันตบจนสมองแตก นี่จำใส่กะโหลกไว้นะห้องของเธอมันเป็นของฉันกับพี่เชาว์ไปแล้ว”
สโรชาหันขวับมองอย่างเหยียดๆ
“หึ ของเธองั้นเหรอ?”
พูดพลางมัวแต่ส่งสายตาใส่วาทินีที่ลอยหน้าลอยตาอยู่ เลยไม่ทันสังเกตสีหน้าเพ็ญพร ที่มองไปที่ห้องของเดิมของพ่อ ก่อนจะหันมาจัองหน้าทั้งคาด้วยสีหน้าโกรธแค้น
พลันเชาว์เปิดประตูเดินออกมาจากห้อง
“อะไรกัน โหวกเหวกโวยวายกันอยู่ได้”
วาทินีรีบฟ้อง “อะไรน่ะเหรอ ก็คุณหนูเธอจะย่องเข้าหาพี่ไง”
เชาว์หันมามองเพ็ญพรอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“หนูพร จริงเหรอจ๊ะ? มีอะไรกับลุงหรือเปล่า?”
เพ็ญพรเห็นวาทนีกับสโรชาทำหน้าบูดบึ้ง ก็แกล้งพูดยั่ว
“เปล่าหรอกค่ะ หนูก็แค่จะแวะมาถามว่าเวลาเหงาๆ เนี่ย เราควรจะแก้เหงายังไง ก็แค่นั้นล่ะค่ะ”
ขาดคำก็แกล้งส่งสายตาวิบวับ ก่อนจะเดินเชิดหน้าชนไหล่สโรชากับวาทินี ที่ได้แต่มองตาม อย่างตกใจกับท่าทีที่แปลกไป

พอเข้ามาอยู่ในห้องนอนตามลำพัง วาทินีก็โวยวายใส่เชาว์ทันที
“บอกมานะ พี่กับมันมีอะไรกันแน่?”
“จะบ้าเหรอไง มีอะไรที่ไหนเล่า”
“ฉันไม่เชื่อ”
“รำคาญจริง ไม่เชื่อก็ตามใจ”
เชาว์พูดพลางเดินหนีไปนั่งที่เตียงอย่างเซ็งในอารมณ์
ขระเดียวกันสโรชาก็ออกไปบ่นกับอาภาพรถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของพรเพ็ญ
“ก็นังพรน่ะสิ รู้สึกหมู่มันจะเก่งกล้าผิดปกติ ไม่รู้หัวไปฟาดอะไรมา”
อาภาพรพยักหน้าเห็นด้วย
“จริงค่ะ หนูก็ว่าแปลกๆ สงสัยเห็นพี่ตรัยให้ท้ายเลยเอาใหญ่”
“มันคิดว่านายตรัยจะช่วยมันได้ตลอดเหรอไง?”
อาภาพรรีบพูดอย่างมั่นใจ
“ไม่ต้องห่วงไปหรอกค่ะคุณแม่ เดี๋ยวภาจะช่วยข่มให้หงอเหมือนเดิมเอง”
“แกก็อย่าให้มันประเจิดประเจ้อละกัน เดี๋ยวคนเค้าจะหาว่าเราใจร้ายรังแกมัน เอาไว้ให้พ่อมันตายก่อน ทีนี้ล่ะ แม้แต่ที่ซุกหัวนอนมันก็จะไม่มี”
สโรชาเชิดหน้า สีหน้าแววตาร้ายขึ้นมาทันที

เพ็ญพรเดินหงุดหงิดระบายอารมณ์คนเดียวอยู่ภายในสวน
“พี่พรนะ พี่พร อยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไง ตั้งแต่เล็ก”
จู่ๆ ตรัยก็เดินเตร่เข้ามา พอได้ยินอีกฝ่ายบ่นว่าเบื่อ ก็รีบออากปากชวน
“ไปหาอะไรทำแก้เบื่อมั้ยอ่ะ?”

ตรัยพาเพ็ญพรที่เขาคิดว่าเป็นพรเพ็ญไปดูหนังแก้เบื่อ แต่พอถึงหน้าโรงหนัง ฝ่ายหลังกลับทำท่าไม่อยากดู
“ไหนบอกจะพามาหาอะไรทำแก้เบื่อ”
“ก็นี่ไง ไม่ชอบเหรอ? หรือน้องพรอยากทำอะไร?”
เพ็ญพรยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเป็นฝ่ายนำอีกฝ่ายมายิงปืนที่ลาน ด้วยท่าทีที่คล่องแคล่วและแม่นยำ จนตรัยนึกสงสัย
“น้องพรไปหัดยิงปืนตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
เพ็ญพรสะดุ้งรีบพูดเฉไฉว่าฟลุ้ค ก่อนจะยิงใหม่ แล้วแกล้งยิงพลาดเป้า แต่พออีกฝ่ายเริ่มเชื่อ และเดินจากไป เธอก็หันกลับมามองเป้า ก่อนจะยิงเข้าเป้าทั้ง 3 นัด

เพ็ญพรที่นอนหลับอยู่บนที่นอนข้างๆ เตียงเอกสิทธิ์ ครู่หนึ่งป้าแจ่มก็ขึ้นมาปลุก เธอรีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปง
“เพ็ญขออีก 5 นาทีนะคะคุณแม่”
ป้าแจ่มถึงกับตกใจที่ได้ยิน “คุณแม่?”
เพ็ญพรนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ ค่อยๆ ดึงผ้าห่มลงแล้วลืมตาขึ้น พอเห็นหน้าชัดๆ ของป้าแจ่มก็สะดุ้งพรวดลุกขึ้นทันที
“สายแล้วนะคะคุณหนู เดี๋ยวจะเตรียมอาหารไม่ทันนะคะ”
พอเห็นอีกฝ่ายใส่ชุดเดิมชุดเดียวกับเมื่อคืนก็ตกใจ
“ตาเถร เมื่อคืน นี่คุณหนูไม่ได้อาบน้ำเหรอคะ? คุณหนูเป็นอะไร? ไม่สบายรึเปล่าคะเนี่ย?”
เพ็ญพรส่ายหน้าช้าๆ
“เปล่า ก็เมื่อคืนเพลียอ่ะ แหม ซักแห้งแบบนี้ก็ดีออก ไม่เปลืองน้ำ นี่เราต้องตื่นเช้ากันขนาดนี้เลยเหรอคะ?”
“นี่สายแล้วนะคะ ทุกทีคุณหนูตื่นแต่ตี 5 ตลอด”
เพ็ญพรสะดุ้งตกใจ
“บ้าแล้ว ตี 5 จะตื่นมาเพื่อ?”
พูดพลางอ้าปากหาวหวอดๆ บิดขี้เกียจ ก่อนจะสะบัดผ้าห่มแล้วค่อยๆลุกขึ้น อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเอกสิทธิ์ที่นอนอยู่บนเตียง พร้อมกับที่ป้าแจ่มทักขึ้นมา
“เอ่อคุณหนูคะ ตะกี๊ป้าได้ยินคุณหนูเรียก เอ่อ เรียกคุณแม่”
เพ็ญพร แกล้งทำไม่รู้เรื่อง
“เปล่านี่ ป้าหูฝาดไปมั้ง เอาน่ะ ป้าออกไปเตรียมอะไรก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเพ็ญเสร็จแล้วตามออกไป”
ป้าแจ่มลังเล แต่ก็พยักหน้ารับ แล้วเดินออกจากห้องไป เพ็ญพรถอนหายใจโล่งอก รีบเดินเข้าห้องน้ำไป
ป้าแจ่มเก็บความสงสัยไม่อยู่ จนต้องแอบมานั่งคุยกับลุงเติม“ฉันว่าคุณหนูแกแปลกๆ ไปนะ คุณหนูแกนอนไม่อาบน้ำ อีกอย่างแปลกมาก ตะกี๊แกก็เรียกฉันว่าเป็นคุณแม่”
ลุงเติมที่กำลังจะตักข้างเข้าปาก ถึงกับชะงัก
“คุณแม่เนี่ยนะ ตั้งแต่ฉันทำงานกับคุณท่านมา ยังไม่เคยเห็นหน้าคุณผู้หญิงเลย”
“ก็นั่นน่ะสิ แล้วจู่ๆ ทำไมคุณหนูถึงเรียกคุณแม่”
ลุงเติมครุ่นคิด
“หรือว่าคุณหนูจะคิดถึงคุณแม่ อยากจะมีแม่เหมือนคนอื่น เลยเก็บเอาไปละเมอ”
ป้าแจ่มนิ่งคิดตาม ก่อนจะรำพึงออกมาเบาๆ
“โถ คุณหนูของป้า”

เพ็ญพรเปิดตู้เสื้อผ้าเลือกดูชุดของพรเพ็ญอย่างขัดใจ เพราะมีแต่ชุดเชยๆ ก่อนจะเลือกหยิบกางเกงยีนส์ขายาวออกมา พลางยิ้มเจ้าเล่ห์
ขณะเดียวกันพรเพ็ญก็เปิดตู้เสื้อผ้าของอีกฝ่าย เห็นมีแต่เสื้อกล้าม กางเกงยีนส์สั้นกุด ก็ทำหน้าสยอง
“ตายจริง ยัยเพ็ญเธอใส่อะไรของเธอเนี่ย? แล้วพี่จะใส่อะไรล่ะเนี่ย”
พลันสายตาเหลือบไปเห็นกางเกงสีดำขายาวอยู่ในตู้ จึงรีบหยิบออกมาดูด้วยความดีใจ แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มลง เมื่อพบว่าเป็นกางเกงตัวนั้นขาดวิ่น
เช้ารุ่งขึ้น ขณะที่พรเพ็ญนั่งดูรูปของเพ็ญพรที่ถ่ายร่วมกับเดือนฉายและเคน พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เธอถึงกับเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ รีบวางรูปไว้ที่เดิม แล้วลุกออกไปเปิดประตู พลางอมยิ้มน้อยๆ ดีใจที่จะได้เจอแม่
แต่พอประตูเปิดออก รอยยิ้มนั้นก็หุบลง พลางทำหน้าแปลกใจ เมื่อเห็นวิทวัสยืนยักคิ้วให้อยู่ที่หน้าประตู
“สวัสดีครับ คุณเดือนฉายให้ผมมารับ”

พรเพ็ญนิ่งมอง ภายในใจแอบผิดหวัง

อ่านต่อหน้า 3

บ้านศิลาแดง ตอนที่ 4 (ต่อ)

วิทวัสขอตัวเข้าห้องน้ำ แต่บังเอิญเผลอทำเสื้อไปเกี่ยวตะขอ จนขาดแคว่ก พรเพ็ญรีบอาสาจะเย็บให้ เขาได้ฟัง ก็ขมวดคิ้วแปลกใจ

ครู่หนึ่งพรเพ็ญก็เย็บเสื้อเสร็จ พลางยื่นให้ วิทวัสรีบหยิบมาดู เห็นรอยเย็บเรียบร้อย ก็ยิ่งแปลกใจหนัก

ป้าแจ่มทยอยถือชามอาหารเข้ามาในห้องทานข้าว สโรชารู้ว่าวันนี้จะเสิร์ฟซุปฝรั่งก็นึกแปลกใจ เพราะไม่คิดว่าป้าแจ่มจะทำเป็น ฝ่ายหลังรีบปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนทำ พลางบุ้ยใบ้ไปทางเพ็ญพรที่เดินออกมาในชุดกางเกงยีนส์สั้นกุดที่เธอตัดขาเอง
ณัฐพงษ์ที่เดินเข้ามาพร้อมกับอาภาพร เพ่งมอง “สภาพ” เพ็ญพรตาลุกวาว
“แหม ทำไมเพิ่งจะแต่งตัวอย่างนี้จ๊ะ น่าจะแต่งตั้งนานแล้ว”
อาภาพรมองค้อน
“แหวะ คิดจะยั่วพี่ตรัยล่ะสิ เห็นฉันนุ่งสั้นแกก็อยากจะนุ่งมั่ง สะเออะ”
เพ็ญพรแกล้งยิ้มให้แล้วเริ่มเสิร์ฟทีละถ้วย ณัฐพงษ์ส่งสายตาเจ้าชู้กลับไป เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเล่นด้วย
“มาค่ะพรตักให้ ทานกับทอปปิ้งนี่นะคะ”
พูดพลางจัดแจงเสิร์ฟชามทอปปิ้งให้ ทุกคนมองอย่างสงสัยแต่ก็จัดแจงตักใส่ชามพร้อมกับลองชิม“อร่อยจริงๆ ด้วย ซุปก็รสชาติดี ทอปปิ้งก็หอม เบคอนชั้นดีใช่ไหมเนี่ย”
ณัฐพงษ์ชมเปาะ อาภาพรรีบบอกว่าไม่อร่อย แต่กลับกินไม่หยุดปาก ส่วนสโรชามองอย่างจับผิด“นี่ แกอยากกินเองใช่มั้ย? ถึงได้ทำแต่ของแพงๆ”
“อุ๊ย ไม่แพงเท่าไหร่หรอกค่ะ คุณน้า ก็ซุปเนี่ย พ็ญใช้ทิชชู่ไปแค่ม้วนเดียว”
ทุกคนถึงกับชะงักถือช้อนค้าง หันมามองเพ็ญพรเป็นตาเดียว
“แล้วทอปปิ้ง เพ็ญก็ใช้ไอ้นี่แค่กล่องเดียวเอง”
พูดพลางหยิบกล่องอาหารสุนัขขึ้นมา ทุกคนตกใจก้มลงมองอาหารข้างหน้าตัวเอง ก่อนทำท่าขย้อน จะอาเจียนตามๆ กัน
“แก นี่ แกเอาไอ้นั่นมาให้พวกฉันกินเหรอ?” สโรชาโวยวายเสียงดัง
“ค่ะ ทำไมล่ะคะ เบคอนยี่ห้อนี้ไม่อร่อยเหรอ? วันหลังเพ็ญเปลี่ยนยี่ห้อให้ก็ได้นะคะ กรุบกรอบหอมอะไรกันดีไหมคะ ไม่ต้องตกใจนะคะ ทิชชู่ที่ยังไม่ได้ใช้ค่ะ”
ทั้งหมดวิ่งโอ้กอ้ากออกไป ป้าแจ่มยืนเอามือทาบอก ตกอกตกใจ เพ็ญพรหัวเราะขำ สะใจ
“ถ้าไม่ถูกปาก คราวหน้าจะลองเอาแบบทิชชู่ใช้แล้วมาทำให้นะคะ”


วิทวัสเดินนำพรเพ็ญมาที่รถ ฝ่ายหลังไม่วายถามย้ำ
“คุณแม่ให้คุณมารับฉันจริงๆ เหรอคะ?”
วิทวัสยืนเท้ารถมองพรเพ็ญ แล้วแกล้งพูดแหย่
“ไม่จริง ผมแกล้งหลอกคุณ เดี๋ยววาจะพาคุณไปขายแถวชายแดน บ๊องเอ๊ย ไปขึ้นรถได้แล้ว ถ้ากลัวมากก็โทร. ไปถามคุณเดือนเองเลยสิ”
พรเพ็ญยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินขึ้นรถไป วิทวัสมองทีท่าของเธออย่างขำๆ ก่อนจะเปิดประตูขึ้นรถตามไป

3 แม่-ลูกเดินพ้นห้องทานข้าวไปไม่ทันไร เชาว์กับวาทินีก็เดินเข้ามาแทน ฝ่ายแรกมองขาขาวๆ ของเพ็ญพรที่โผล่พ้นกางเกงยีนส์สั้นด้วยสายตาโลมเลีย ขณะที่ฝ่ายหลังมองเขม่น
เพ็ญพรแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ทั้งคู่ ก่อนจะเดินไปหยิบโถอาหารมาตักให้ ป้าแจ่มได้แต่ยืนตกใจ เพ่งมองอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

สโรชานั่งดมยาดมอยู่ ส่วนณัฐพงษ์ อาภาพร เชาว์นั่งทำหน้าพะอืดพะอมอยู่ใกล้ๆ ต่างคนต่างแปลกใจกับท่าทีของเพ็ญพรในคราบพรเพ็ญ ก่อนที่จะจบลงที่ 2 พี่-น้องต่อปากต่อคำเรื่องตรัยตามเดิม
“ก็อย่างที่ภาบอกน่ะแหล่ะ คงเห็นว่าพี่ตรัยให้ท้ายอยู่เลยกล้า”
“ไอ้ตำรวจขี้เก๊กนั่นน่ะเหรอ?”
อาภาพรมองค้อน “อย่ามาว่าพี่ตรัยของฉันนะ”
“ของแกเหรอ เจ้าตัวเค้ายอมรับเหรอไง?”
สโรชารำคาญลุกจะเดินออกไป แต่ก็ช้ากว่าทั้งอาภาพร ณัฐพงษ์ รวมทั้งเชาว์ ที่รีบแบมือขอเงิน ฝ่ายแรกกระฟัดกระเฟียดเปิดกระเป๋าหยิบเงินส่งให้ ก่อนจะเดินสะบัดออกไป ส่วนอีก 3 คนก็นั่งกระหยิ่มนับเงินอย่างสบายใจ

วิทวัสขับรถไปตามทาง พลางหันกลับมามองพรเพ็ญที่นั่งนิ่งเงียบเป็นระยะ
“ลืมเอาปากมาเหรอไง? นั่น ทำเป็นนิ่งอีก ผมไม่หลงกลคุณหรอกน่า”
พอเห็นอีกฝ่ายยังนั่งเงียบ เขาก็เลยแกล้งหักพวงมาลัย ขับรถส่ายไปมา พรเพ็ญตกใจรีบคว้าที่จับข้างหน้าต่างเอาไว้ พลางนั่งตัวเกร็ง
“ตกใจล่ะสิ ไหนบอกชอบซิ่งๆ”
พรเพ็ญหันมามองหน้าอีกฝ่าย สีหน้ายังหวาดๆ
“อันตรายนะคะ ขับดีๆเถอะค่ะ”
“ก็ขับดีแล้วไง ไม่ดีตรงไหนเนี่ย?”
พูดพลางยิ่งแกล้งขับส่ายไปมา
“ถ้าคุณขับแบบนี้ก็จอดเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันไปหาคุณแม่เองก็ได้”
วิทวัสเห็นท่าทีของพรเพ็ญแล้วก็แอบยิ้มชอบใจ ขับส่ายจนรถมาจอดติดไฟแดง พรเพ็ญรีบปลดเข็มขัด เปิดประตู ทำท่าจะลง
“อ้าว เฮ้ย เดี๋ยวสิคุณ ผมแค่ล้อเล่นเอง”
“ฉันไม่สนุกกับคุณด้วยหรอกนะ”
พอเห็นเธอทำท่าจะลงให้ได้ เขาก็รีบคว้ามือเอาไว้
“โอเค.ๆ ผมไม่แกล้งคุณแล้ว ผมแค่ล้อเล่นเอง อย่าโกรธสิ นะ นะ”
พรเพ็ญหันกลับมา เห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าอ้อนๆ ก็ลังเล ถอยกลับมานั่งเหมือนเดิม ก่อนที่ทั้งคู่จะรู้ตัวรีบดึงมืออกจากกัน ต่างคนต่างเขินหน้าแดง ทำอะไรไม่ถูก
“เดี๋ยวไปต่อเลยละกัน คุณเดือนคงรอแย่แล้ว”
“สงสัยจะยังไปไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”
วิทวัสเอะใจหันกลับไปมองด้านนอก เห็นตำรวจคนหนึ่งเดินตรงมา ก่อนจะเคาะที่กระจกด้านคนขับ ทำเอาเขาหน้าเจื่อน ก่อนจะหันไปยิ้มแหยๆ ให้
“ทำไมคุณหนูไปแกล้งพวกเค้าแบบนั้นล่ะคะ?”
ป้าแจ่มเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ จนต้องรีบเข้ามาถามเพ็ญพรขณะที่อยู่กันตามลำพัง
“แกล้งอะไรป้า หนูก็แค่อยากลองทำสูตรใหม่”
“แต่มันไม่ใช่ของกินนะคะคุณหนู”
เพ็ญพรยิ้มรื่นเริงไม่ได้รู้สึกผิด
“แหม ป้า หนูไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย ก็แค่หยิบผิดนิดหน่อยเอง”
“แบบนั้นน่ะเหรอคะ? ไม่ได้ตั้งใจ”
ป้าแจ่มมองหน้า พลางส่งสายตาแกมดุ ก่อนที่เพ็ญพรจะขอตัวเดินเลี่ยงเพื่อไปดูแลเอกสิทธิ์ ฝ่ายแรกมองตามอย่างสงสัยในท่าที
“คุณหนูนะคุณหนู เป็นอะไรของเค้าเนี่ย? อยู่ๆก็ลุกขึ้นมาเฮี้ยวได้ขนาดนี้ หรือจะหมดความอดทน? ดีค่ะ สมัยนี้นางเอกต้องสู้ค่ะ สู้ๆ”
เพ็ญพรเข้ามาในห้อง พลางรื้อของดูอัลบั้มรูป และข้าวของอื่นๆ อย่างสนใจ
“ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเราเลยแฮะ มิน่า เราถึงไม่รู้เรื่องอะไรกันเลย”
พลันเสียงนาฬิกาที่ตั้งเตือนไว้ดังขึ้น เธอรีบลุกขึ้นเดินไปหาพ่อทันที
“มาค่ะ คุณพ่อ ได้เวลาพลิกตัวล่ะ”
พูดพลางจัดแจงนั่งลงข้างๆ จะช่วยพลิกตัวให้เอกสิทธิ์ แต่เหมือนนึกอะไรได้ จึงชะงักมือไว้ พร้อมกับมองหน้าอีกฝ่าย
“ทำไมคุณพ่อกับคุณแม่ต้องปิดเรื่องของเราด้วยล่ะคะ?”
เอกสิทธิ์ที่นอนอยู่ได้แต่กระพริบตาปริบๆ
“เรื่องสำคัญแบบนี้ทำไมไม่ยอมบอกพวกเราคะ เอาเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูค่อยๆ สืบเองก็ได้ มาค่ะคุณพ่อ”
เพ็ญพรถอนหายใจ พลางจัดแจงลงมือช่วยพลิกตัวให้พ่อ

พรเพ็ญนั่งอมยิ้มอยู่ พลางแอบชำเลืองมองวิทวัสเป็นระยะ
“ไม่ต้องมาแอบยิ้มเลย ผมเห็นนะ ยังจะแอบยิ้มอีก นี่คงสมน้ำหน้าผมในใจใช่ไหม?”
“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นซักหน่อย เดี๋ยวฉันจ่ายค่าปรับให้เองค่ะ”
พอเขาเห็นสีหน้าจริงจังของเธอ ก็ยิ้มออกมา
“ไม่ต้องหรอก ค่าปรับแค่นี้ผมจ่ายเองได้”
“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณพ่อสอนฉันไว้ว่าไม่ให้เอาเปรียบใคร”
วิทวัสทำหน้าแปลกใจ
“คุณพ่อเหรอ? ขอโทษนะ ตั้งแต่รู้จักกันมาผมไม่เคยเจอคุณพ่อของคุณเลย”
พรเพ็ญรีบพูดแก้ตัว
“ท่าน ท่านอยู่ต่างประเทศน่ะค่ะ”
“แต่เท่าที่ผมทราบ คุณเดือนเธอ...”
“ฉันว่าเราอย่าเพิ่งคุยกันเลยค่ะ ตั้งใจขับรถดีๆ ค่ะ เดี๋ยวตำรวจเรียกอีก”
พรเพ็ญรีบพูดตัดบท แล้วหันหน้าหนี ทำเป็นมองไปด้านนอกแทน
วิทวัสมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็พยักหน้าเออออไป
ทางด้านเพ็ญพรก็เดินชมดอกไม้เพลินๆ อยู่ในสวน ครู่หนึ่งเดือนฉายก็โทร.เข้ามือถือมา
“ฮัลโหล ค่ะคุณแม่ กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลย อยู่ไหน? ก็อยู่บ้านน่ะสิคะ”
“อะไรกัน สายป่านนี้แล้วยังอยู่ที่บ้านเหรอ ตาวัสยังไม่ได้ไปรับหรือไงลูก?”
เดือนฉายถามมาทางปลายสาย ขณะเดินอยู่ในตลาด โดยมีกอล์ฟช่วยถือของพะรุงพะรังเดินตาม
“รับ? อ้าว คุณแม่ไม่ได้มารับหนูเองเหรอคะ?”
“ก็แม่บอกตาวัสให้ไปรับแทนแล้วไง นี่ยังไม่ถึงอีกเหรอ? งั้นไม่เป็นไรเดี๋ยวแม่โทร.หาตาวัสอีกที”
เพ็ญพรตกใจ ลนลานขึ้นมาทันที
“เอ่อ คุณแม่ ไม่ต้อง ...คือ..”
พลันเสียงแตรรถก็ดังขึ้นที่หน้าบ้าน เพ็ญพรหันไปมองตามเสียง เห็นรถของตรัยอยู่หน้าบ้านเลยนึกขึ้นได้
“มาแล้วค่ะ คุณแม่ ไม่ต้องโทร. แล้วนะคะ แค่นี้นะคะ คุณแม่อย่าโทร. ไปแล้วนะคะ บายค่ะ”
เพ็ญพรรีบพูดรีบวางสายทันที
เดือนฉายมองดูโทรศัพท์ตัวเองแล้วก็ส่ายหน้า
“เจ้าลูกคนนี้ นึกจะวางก็วาง”
“ก็อย่างนี้ล่ะครับ ถึงจะเป็นคุณเพ็ญตัวจริง”
เดือนฉายมองกอล์ฟ หมั่นไส้นิดๆ
“แล้วแบบไหนล่ะคะคุณกอล์ฟ ที่เป็นตัวปลอม”
กอล์ฟทำวางท่าเคร่งขรึมหันมาตอบ
“ก็ท่าทำอะไรเรียบร้อย อ่อนหวาน สมเป็นผู้หญิงก็นั่นล่ะ ตัวปลอมชัวร์”
“ที่พูดถึงนั่นน่ะ ลูกสาวฉันนะจ๊ะ”
“แหม คุณเดือน เรื่องจริงบางเรื่องเราก็ต้องยอมรับนะครับ”
“ค่ะ งั้นคุณกอล์ฟก็ช่วยยอมรับของพวกนี้ไปอีกหน่อยนะคะ”
พูดพลางจัดแจงส่งของให้กอล์ฟถือเพิ่มแล้วเดินหนีไป กอล์ฟทำหน้าบูด ก่อนจะรีบเดินตามไป

พรเพ็ญยืนหันหลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่ร้านค้าในปั๊มน้ำมัน
“จ้ะ มารับเรียบร้อยแล้วจ้ะ ได้ เดี๋ยวถึงแล้วพี่โทร. บอก”
พอกดวางโทรศัพท์ หันกลับมาเห็นวิทวัสก็ตกใจ
“ตกใจอะไรคุณ? คุยกับแฟนอยู่เหรอ ผมไม่ล้อหรอกน่า เอ๊ะ ตะกี๊ผมได้ยินคุณเรียกตัวเองว่าพี่ นี่คุณกินเด็กเหรอเนี่ย?”
พรเพ็ญหันมามองวิทวัส สีหน้าไม่พอใจ
“อะไร แซวแค่นี้ไม่พอใจ โอเค. ๆ ไม่แซวแล้วก็ได้ เอ้านี่”
พูดพลางยื่นน้ำให้ “ดื่มได้ไม่วางยา”
พรเพ็ญมองค้อน
“นี่คุณ ฉันถามคุณจริงๆเหอะ ทำไมคุณถึงชอบแกล้งฉันนัก”
“ไม่รู้สิ แต่แกล้งคุณแล้วสนุกดี”
พรเพ็ญทำหน้าตูม “แต่ฉันไม่สนุก”
“ก็ผมสนุก ยิ่งเห็นคุณสู้ไม่ได้เหมือนทุกที ผมยิ่งสนุก”
พรเพ็ญสะบัดหน้ามองค้อน รีบเดินหนีขึ้นรถ วิทวัสเห็นท่าทีของอีกฝ่ายยิ่งชอบใจ ยิ้มกว้างออกมาแล้วรีบเดินตามไป

เพ็ญพรหยิบชุดจากถุงขึ้นมาดู ก่อนจะพลิกไปพลิกมา แล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ
“รสนิยมพอใช้ได้ว่าแต่ซื้อมาให้ฉันทำไมคะ?”
ตรัยทำหน้าเจื่อนๆ
ก็พี่ไม่อยากให้พรแต่งตัว เอ่อ.. เชยเกินไป” พลางมองกางเกงยีนส์ที่ตัดจนสั้นกุด “เอ่อ แต่ตอนนี้ พี่ชักจะไม่แน่ใจแล้วสิ พี่ว่าน้องพรชักจะสั้น เอ่อ ชักจะเปรี้ยวเกินไปนิดนึงแล้ว”
เพ็ญพรแอบบ่นเบาๆ
“โอย..ใครจะป้าอย่างเจ๊ติ๋ม”
ก่อนจะยิ้มรับอย่างยินดี อีกฝ่ายยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
“หมู่นี้น้องพรดูแปลกไปเยอะเลยนะ แต่แบบนี้ก็ดีนะ ผมช...”
ตรัยกำลังจะหลุดคำว่า “ชอบ” ออกมา แต่เสียงของอาภาพรดังขัดขึ้นมาก่อน
“พี่ตรัย มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย?”
“พี่เพิ่งมาครับ น้องภา”
อาภาพรจิกตจามองเพ็ญพร
“แล้วน้องพรมานั่งทำอะไรคะ? ทำไมไม่ไปหาน้ำหาท่าให้พี่ตรัย”
“พี่ตรัยเค้ามีขาค่ะ ถ้าหิวเดี๋ยวเค้าไปหยิบกินเองได้ ใช่ไหมคะพี่ตรัย”
อาภาพรชักสีหน้า เพ็ญพรลอยหน้าลอยตาล้อเลียนไม่พูดอะไร ก่อนจะลุกขึ้นหยิบถุงเสื้อผ้าจะเดินไป
“เดี๋ยว แล้วนั่นอะไร?”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พอดีพี่ตรัยเค้าซื้อเสื้อผ้ามาฝากน่ะค่ะ”
อาภาพรหันขวับไปจ้องหน้าตรัยทันที
“อะไรกันคะพี่ตรัย แล้วน้องภาล่ะคะ?”
“น้องภาก็ออกไปช้อปอยู่บ่อยๆ แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
อาภาพรทำเสียงกระเง้ากระงอด “ก็ภาอยากได้ที่พี่ตรัยซื้อให้นี่คะ”
ตรัยจำใจพยักหน้ารับ แต่สายตามองเลยไปที่เพ็ญพรที่กำลังล้อเลียนท่าทางของอาภาพรแล้วแอบขำ

สโรชายืนจ้องเอกสิทธิ์ที่นอนหลับอยู่ด้วยสายตาเย็นชา อีกฝ่ายค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะทำตาโต ท่าทางหวาดกลัว
“ไงคะคุณ วันนี้ฉันมาดูคุณถึงที่เลยนะคะ ลูกสาวคุณคงจะดูแลดีมากเลยสินะ ยังไงก็อย่าเพิ่งรีบหายเลยนะคะ เห็นแก่ฉันกะลูกหน่อยล่ะกัน”
พูดพลางเอื้อมมือไปลูบหน้าลูบตาเอกสิทธิ์ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนไปที่คอ
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันยังไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรไปหรอก จนกว่าจะเจอไอ้ที่คุณเก็บไว้”
เอกสิทธิ์พยายามจะอ้าปากส่งเสียง พร้อมๆ กับที่เสียงของเพ็ญพรดังมาจากหน้าห้อง
“คุณพ่อคะ”
สโรชาลุกขึ้นยืน พลางมองเอกสิทธิ์ด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม ก่อนจะจิกตามองเพ็ญพรที่เดินเข้ามา จากนั้นก็เดินสะบัดหน้าออกไป
เพ็ญพรรีบพุ่งเข้ามาที่เตียงเอกสิทธิ์ ที่มีสีหน้าตกใจ ปากสั่นเหมือนพยายามจะพูดอะไร

“เค้าทำอะไรคุณพ่อใช่ไหมคะ?”
เพ็ญพรถามขณะที่นั่งเช็ดหน้าเช็ดตาให้พ่ออยู่ที่เตียง สีหน้าของเอกสิทธิ์ผ่อนคลายลง มองจ้องลูกสาวตาปริบๆ ฝ่ายหลังรีบดึงมือมากุมไว้
“ถ้าเป็นคุณแม่ คงไม่มีวันทำร้ายคุณพ่อแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นคะ คุณพ่อกับคุณแม่ถึงต้องทำเหมือนไม่เคยรักกัน ไม่เคยมีกันและกันแบบนี้”
เอกสิทธิ์มองเพ็ญพรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ พร้อมกับที่ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำ

ขณะที่เดือนฉายนั่งลูบท้องตัวเอง พลางยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ก่อนจะหันไปถามเอกสิทธิ์ที่นั่งเขียนอะไรอยู่ในสมุดท่าทางเคร่งเครียด
“ทำอะไรคะคุณ?”
“ลองตั้งชื่อลูก แล้วก็ลองวางแผนเรื่องเรียนของลูกน่ะ”
เดือนฉายมองเอกสิทธิ์แล้วก็หัวเราะ
“โธ่คุณ ลูกในท้องเพิ่งสองเดือนเองนะคะ ยังไม่รู้เลยด้วยว่าลูกเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไหนดูซิ วางแผนไว้ยังไงบ้าง”
“ผมอยากให้ลูกเก่งกีฬา ชอบลุยๆ แบบผม”
เดือนฉายส่ายหน้ายิ้มๆ “ขืนเหมือนคุณฉันคงปวดหัวตาย ต้องเอาแบบเรียบร้อยๆ หน่อยสิ”
“แหม คุณ ยุคนี้จะมามัวหงิมๆ ติ๋มๆ ได้ไง”
พลันเสียงกดออดก็ดังขึ้นมาแทรก เอกสิทธิ์ลุกขึ้นเดินออกไปดู เห็นสโรชสร้องไห้กระซิกๆ อยู่
“ฮือ หมดแล้ว หมดจริงๆ แล้ว”
จากนั้นก็รีบประคองฝ่ายหลังเดินเข้ามา เดือนฉายหันไปเห็นก็ตกใจ รีบลุกขึ้นเดินเข้าไปช่วยประคอง “สโรชา เธอเป็นอะไรเนี่ย? นี่อย่านะบอกนะว่า อีกแล้ว”
สโรชาพยักหน้ารับ ก่อนจะสะอึกสะอื้นต่อ
“หมดแล้ว เงินที่อุตส่าห์จะเอาไว้ให้ตาณัฐเข้าเรียน หมดแล้ว เค้าเอาไปหมดแล้ว”
เดือนฉายถอนหายใจ พลางมองอีกฝ่ายอย่างห่วงใย
“บ้าจริง บอกเธอแล้วใช่ไหมให้เลิกกับมัน”
“จะทำได้ยังไงล่ะ ตาณัฐก็ยังเล็กอยู่”
เอกสิทธิ์รีบตัดบท
“เอาน่าๆ พูดยากนะ เรื่องแบบนี้ เอาอย่างนี้ล่ะกัน เรื่องเงินค่าเรียนของตาณัฐน่ะ เอาของผมไปก่อนก็ได้ ถือซะว่าช่วยๆกัน เห็นแก่เด็กมันด้วย ใช่ไหมเดือน?”
เดือนฉายพยักหน้ารับ “ไม่ต้องเกรงใจหรอก เธอก็เพื่อนฉัน”
พอเอกสิทธิ์ลุกขึ้นเดินออกไป สโรชาก็เปรยขึ้นมา
“ฉันอิจฉาเธอจังเลยเดือน ที่มีสามีดีๆ แบบนี้
เดือนฉายยิ้มออกมา พลางเอามือลูบท้องตัวเอง
“เรื่องนี้ฉันก็ยอมรับว่าฉันโชคดีจริงๆ”

สโรชามองท่าทางของเดือนฉายแล้วก็เม้มปากอย่างอิจฉา พลางหันไปมองทางที่เอกสิทธิ์เดินออกไปก่อนจะจิกตาร้าย

ที่บ้านสวนเสาวรส เดือนฉายที่ดูสีหน้าเศร้าๆ น้ำตาคลออยู่ที่โต๊ะทำงาน ในมือถือสมุดเล่มที่เอกสิทธิ์เคยเขียนแพลนเรื่องลูก พลันเสียงแตรรถดังขึ้น เธอรีบปาดน้ำตา พลางเก็บสมุดใส่ในลิ้นชัก แล้วรีบลุกขึ้นเดิน

กอล์ฟวิ่งร่าออกไปเปิดประตูรั้วให้ ก่อนที่วิทวัสจะรับรถเข้ามาจอด แล้วรีบลงมาทักทายกับกอล์ฟ พอหันไปมองเห็นพรเพ็ญยังไม่ยอมลงจากรถ ก็รีบเปิดประตูเข้าไปเรียก
“อ้าวคุณ ไม่ลงใช่ไหมเนี่ย? หรือจะไปแว๊นกับผมต่อพรเพ็ญเหลียวมองดูรอบๆ บ้านอย่างลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเดินลงมาจากรถ แล้วมายืนแก้ๆ กังๆ พร้อมกับที่กอล์ฟรีบวิ่งมาจะคว้ากระเป๋าไปถือ“ไม่เป็นไรจ้ะพี่ เดี๋ยวหนูถือเอง”
ฝ่ายนั้นถึงกับชะงัก ทำหน้างง
“หนูไหนคุณเพ็ญ จะเล่นมุกไรอีกเนี่ย”
พรเพ็ญยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ กอล์ฟเกาหัวแกรกๆ พร้อมกับดึงกระเป๋าไปถือแล้วเดินนำไป เธอเดินตามแบบกล้าๆ กลัวๆ วิทวัสทำหน้าแปลกๆ ก่อนจะเดินตามไป
พอเข้าไปถึงบ้าน เคนก็ยิ้มรับอย่างดีใจ
“เป็นยังไง เจ้าตัวแสบ ไปอยู่โน่นมาซะหลายวัน”
พรเพ็ญมองหน้าตา ก่อนจะนึกขึ้นได้ รีบยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ”
เคนชะงัก หันไปมองกอล์ฟกับวิทวัสที่ทำหน้าแปลกๆ กับท่าทีของพรเพ็ญเหมือนกัน ก่อนที่เดือนฉายจะเดินยิ้มมาแต่ไกลตรงมาที่ทุกคน
พรเพ็ญตะลึง จ้องมองแม่ตาไม่กระพริบ
“คุณเดือน คุณเพ็ญมาแล้วเนี่ย จัดโต๊ะเลยไหม?”
เดือนฉายมองค้อน
“ลูกฉันยังไม่ทันได้นั่งพักเลยนะคะคุณกอล์ฟ ไป ยกกระเป๋าคุณเพ็ญไปไว้ที่ห้องก่อน”
กอล์ฟทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะยกกระเป๋าพรเพ็ญหายเข้าบ้านไป พรเพ็ญรีบยกมือขึ้นไหว้เดือนฉายอย่างนอบน้อมทันที
“สวัสดีค่ะ คุณ คุณแม่”
เดือนฉายมองหน้าพรเพ็ญเต็มตา ก็ถึงกับอึ้งไปทันที

เดือนฉายนั่งใจลอย เคนเรียกย้ำตั้งหลายครั้งก็ไม่ขานรับ จนวิทวัสต้องช่วยเรียกซ้ำ
“คุณเดือนไม่สบายหรือเปล่าครับ?"
“ไม่ได้เป็นอะไรจ้ะ เอ่อ ตาวัส วันนี้เราไปรับยัยเพ็ญมาจากที่คอนโดเลยหรือเปล่าจ๊ะ?”
วิทวัสพยักหน้า “ใช่ครับ”
“แล้วตอนที่ไปรับ เห็นไหมว่ายัยเพ็ญอยู่กับใคร?”
“ไม่มีนี่ครับ คุณเพ็ญเธอก็อยู่คนเดียว คุณป้าสงสัยอะไรเหรอครับ?”
“อ๋อ เปล่าหรอกจ้ะ ป้าแค่ถามดู”
เดือนฉายแกล้งเฉไฉมองไปทางอื่น แต่สีหน้ายังคงกังวลสงสัยอยู่

กอล์ฟยกกระเป๋ามาวางไว้ในห้อง พรเพ็ญรีบหันมาบอก
“ขอบใจมากจ้ะพี่ เดี๋ยวหนูจัดการต่อเอง”
“โอ๊ย คุณเพ็ญ เลิกเล่นได้แล้ว ตลกตรงไหน? เรียกพี่เนี่ย? ฟังแล้วอะจึ๋ยๆ ยังไงไม่รู้”
พรเพ็ญรีบถามต่อ
“แล้วปกติ น้องเพ็ญ เอ้ย ฉันเรียกพี่ว่ายังไงล่ะจ๊ะ?”
“นั่น ขำตาย จะแกล้งอะไรกอล์ฟอีกล่ะครับลูกพี่? ก็เรียกกอล์ฟธรรมดาๆนี่แหละ อะไร ไปไม่กี่วันลืมหมดเลยเหรอเนี่ย?”
พรเพ็ญยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง กอล์ฟรีบอกปากชวนให้ไปเก็บลูกเสาวรสในสวน
“สวนของใคร? เราไปเก็บแล้วเค้าไม่ว่าเอาเหรอ?”
กอล์ฟหันมาจ้องหน้าพรเพ็ญ พลางทำตาปริบๆ
“คุณเพ็ญนี่เล่นไม่เลิกแฮะ กอล์ฟไม่สนล่ะ เล่นอะไรไม่เห็นสนุกลงไปรอที่โต๊ะดีกว่าหิวแล้ว”
พูดจบก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งพรเพ็ญให้นั่งมองภายในห้องอย่างตื่นเต้น

เพ็ญพรนั่งช่วยลุงเติมเด็ดผักอยู่ในครัว แต่ก็เด็ดแบบไม่ประสีประสา จนอีกฝ่ายนึกแปลกใจ
“คุณหนูครับ ตรงนั้นทานไม่ได้นะครับ ตรงนั้นมันแข็งครับ ต้องเอาแต่ยอดอ่อนๆ แบนนี้เนี่ย” เพ็ญพรชะเง้อเข้ามาดู
“อ๋อ มิน่า ตอนคุณแม่ทำให้กิน ถึงเจอแต่ที่อ่อนๆ อร่อยๆ”
ลุงเติมกับป้าแจ่มที่ยืนล้างจานอยู่ หันมองหน้ากันขวับ
“คุณแม่ คุณแม่ไหนครับคุณหนู?”
เพ็ญพรหน้าเจื่อน กำลังคิดหาคำแก้ตัว แต่พอดีเสียงอาภาพรดังเข้ามาช่วยชีวิต ก่อนจะเดินควงตรัยเข้ามา
“ป้าแจ่ม วันนี้ไม่ต้องจัดอาหารเผื่อนะ ภาจะออกไปดินเนอร์กะพี่ตรัย”
“เอ่อ..พี่จะมาชวนน้องพรนะครับ”
อาภาพรกระชากแขนตรัย พลางมองอย่างไม่พอใจ
“พี่ตรัย น้องพรเค้าต้องดูคุณลุงนะคะ จะไปได้ยังไง?”
ป้าแจ่มรีบบอก “คุณหนูไปเถอะค่ะ เดี๋ยวป้ากะลุงเติมช่วยดูคุณท่านให้เอง”
อาภาพรหันขวับมาจ้องตาขวาง
“พี่ตรัยคะให้ลูกกตัญญูเค้าอยู่ดูแลพ่อเค้าเถอะนะคะ คนอื่นน่ะไม่น่าไว้ใจหรอก”
เพ็ญพรเบะปาก ก่อนจะหันไปพูดกับตรัย ตั้งใจกระทบอาภาพร
“จริงค่ะ พูดถูก คนอื่นน่ะไม่น่าไว้ใจหรอก”
อาภาพรมองจ้องอย่างไม่พอใจ ขณะที่ตรัยแอบขำ พลันเสียงมือถือของเขาก็ดังขัดขึ้นมา
“ฮัลโหล ได้ๆ จะไปเดี๋ยวนี้”
พูดจบก็วางสาย ก่อนจะหันมาทางเพ็ญพร
“ไว้พี่จะแวะมาเยี่ยมคุณลุงใหม่นะครับ”
“โอ๊ย คุณ ไม่ว่างก็ไม่ต้องมาหรอก มาอะไรบ่อยๆ บ้านช่องไม่มีอยู่เหรอไง?”
ทุกคนทำหน้าตกใจ ยกเว้นตรัยที่ยิ้มขำ
“พี่ไปก่อนนะครับ”
พูดจบก็รีบเดินออกไป อาภาพรมองตามอย่างขัดใจ พลางหันมาแว้ดใส่เพ็ญพร
“เห็นมั้ย? แกมันตัวซวย ตัวขัดลาบ ตัว..”
เพ็ญพรไม่รอให้ด่าต่อ สลัดน้ำในผักใส่ทันที
“ซวยเหรอ? รดน้ำมนต์ซะหน่อย เร้ว ไล่เสนียด ชิ้วๆ”
อาภาพรกรีดร้องลั่น แล้วรีบวิ่งจู๊ดออกไป เพ็ญพรหัวเราะสะใจ ป้าแจ่มกับลุงเติมยืนกอดกันตัวกลม มองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

กอล์ฟกำลังช่วยเดือนฉายยกอาหารมาวางที่โต๊ะ พรเพ็ญที่เพิ่งเดินลงมาจัดแจงเข้าไปช่วยทันที เคนกับวิทวัสเดินเข้ามาเห็น ก็พูดล้อ
“ยกดีๆ นะ เดี๋ยวตาจะอดกินข้าวซะก่อน”
“ยัยเพ็ญคงไม่ซุ่มซ่ามแบบนั้นหรอกค่ะ”
เดือนฉายพูดพลางเหลือบมองดูพรเพ็ญ ก่อนจะเดินไปหยิบโถข้าว
“หนูเองค่ะ คุณ เอ่อ คุณแม่ไปนั่งเถอะค่ะ”
ผู้เป็นแม่พยักหน้ารับ แล้วก็เดินไปนั่ง แต่สายตายังคอยสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายอยู่
พรเพ็ญเดินตักข้าวให้ทุกคนด้วยทีท่าเรียบร้อย และคล่องแคล่ว แล้วไปยืนรออยู่ข้างๆ วิทวัสรีบทัก
“อ้าว คุณ ไปยืนอะไรอยู่ตรงนั้นเล่า”
พรเพ็ญนึกขึ้นได้ ค่อยๆ เดินมานั่งก้มหน้าก้มตา เดือนฉายจ้องมองอย่างจับสังเกต
“เอ้ามาๆ เดี๋ยวตาตักให้ วันนี้แม่เราผัดเนื้อน้ำมันหอยของโปรดเรา”
เคนตักกับข้าวจะใส่จานให้ แต่พรเพ็ญรีบร้องห้ามทันที
“พรไม่ทานเนื้อค่ะ”
เคนถึงกับชะงัก มองพรเพ็ญตาปริบๆ วิทวัสเองก็นึกฉงน
“อะไรกันคุณ วันก่อนยังฟาดสเต๊กเนื้อ แถมเบิ้ล 2 อยู่เลย”
“คือพรว่าจะลดน้ำหนักน่ะค่ะ”
พูดพลางเอื้อมมือไปตักอีกอย่างมาใส่จาน กอล์ฟรีบทักทันที
“คุณเพ็ญ ไหนบอกเกลียดมะระไง นี่กินได้แล้วเหรอ?”
“เพ็ญอยากลองทานดูน่ะจ้ะ เอ่อ เพ็ญไปเอาน้ำมาเติมให้ทุกคนดีกว่าค่ะ”
พรเพ็ญลุกขึ้นเดินหนีไป ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองอยู่อย่างแปลกใจ มีเพียงเดือนฉายที่เข้าใจว่าเพราะอะไร?

เดือนฉายเดินออกมาส่งวิทวัสที่รถ ก่อนจะรีบพูดดักคอ
“ช่วงนี้ถ้ายัยเพ็ญดูแปลกไปจากเดิมบ้างก็อย่าถือสาเลยนะ”
วิทวัสหัวเราะชอบใจ
“ผมว่าเป็นแบบนี้ล่ะดีแล้ว น่ารักดีออก แต่ไม่รู้จะเป็นได้ซักกี่วัน ผมว่าบางทีนี่อาจจะเป็นแผนไว้แกล้งพวกเราก็ได้นะครับ”
“ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกจ้ะ”
“คุณเดือนมั่นใจจังเลยนะครับ”
เดือนฉายสะดุ้งรีบเปลี่ยนคุยเรื่องงานทันที วิทวัสจึงบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อย และมีคนสนใจอยากจะทำธุรกิจร่วมด้วย
“ใครกันจ๊ะ”
“ เดี๋ยวถ้ามีโอกาส ผมจะแนะนำให้รู้จักนะครับ งั้นวันนี้ผมลาเลยละกันครับ”
วิทวัสยกมือไหว้เดือนฉาย แล้วเปิดประตูขึ้นรถขับออกไป

ตกดึกเพ็ญพรในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงสั้นกุดกำลังเดินคุยโทรศัพท์อยู่กับพรเพ็ญอยู่ที่หน้าบ้าน
“พี่พรถึงบ้านแล้วเพ็ญก็โล่งอก ไม่มีใครสงสัยอะไรใช่ไหม เจ๋งมาก ทางนี้เหรอ? ทางนี้ก็เรียบร้อยดี ไม่มีอะไรต้องห่วง อืม คุณพ่อโอเค.ดี เพ็ญทำกายภาพตามที่บอกแหล่ะ ไม่ต้องห่วงนะ เพ็ญจัดการได้”
พูดจบก็กดวางสายพลางหันหลังกลับจะเดินเข้าบ้าน แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเจอณัฐพงษ์ยืนขวางอยู่ แถมจ้องขาอ่อนเธอตาเป็นมัน
“เดี๋ยวสิจ๊ะ จะรีบไปไหน วันนี้พี่จะออกไปเที่ยว น้องพรไปกับพี่ไหมจะได้เปิดหูเปิดตา”
เพ็ญพรชักสีหน้ารำคาญ
“หูกับตาฉันก็เปิดอยู่แล้ว ไม่เห็นหรือไง”
“วันนี้มาแนวโหดแฮะ เอาน่า ไปเที่ยวกับพี่เถอะนะ นะ”
ไม่พูดเปล่า แต่กลับฉวยโอกาสมาดึงมือเธอไว้ เพ็ญพรมองดูมืออีกฝ่ายที่จับอยู่ สีหน้าโกรธขึ้นมาทันที
“ปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่ปล่อยหรอกจ้ะ จนกว่าจะยอมออกไปเที่ยวกับพี่”
เพ็ญพรสูดลมหายใจเข้า พยายามกลั้นความโกรธ แกล้งโอบคออีกฝ่าย พลางทำสีหน้ายั่วยวน
“แล้วยังไงจ๊ะ ยอมใจอ่อนหรือยัง?”
เธอยิ้มกว้างให้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าโหด
“เพ็ญว่า พี่ณัฐเข่าอ่อนไปก่อนละกัน”
พูดพลางจับข้อมืออีกฝ่ายบิดอย่างแรง ก่อนจะโน้มคอลงมาแล้วตีเข่าผ่าหมากเข้าเต็มๆ
ณัฐพงษ์หน้าเขียว เข่าอ่อน ล่วงลงไปทันที เพ็ญพรมองดูอย่างสะใจ ก่อนจะชี้หน้าด่า
“จำเอาไว้นะ ถ้าขืนยังมารุ่มร่ามกับฉันอีก คราวหน้ารับรองได้เป็นหมันแน่
ณัฐพงษ์เดินกระเผลกโผล่มาที่ผับ ก่อนจะเดินมานั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนๆ ที่มองท่าทางของเขาอย่างแปลกใจ เขาเลยเล่าให้ฟังถึงวีรกรรมแปลกๆ ของพรเพ็ญให้เพื่อนฟัง ทุกคนรีบยุให้เขาจัดการรวบหัวรวบหาง ก่อนที่เพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งจะรีบเสนอตัวช่วย พลางล้วงหยิบขวดแก้วใบเล็กๆ ออกจากกระเป๋า
“ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น แค่หยดเดียวรับรอง เห็นสวรรค์อยู่รำไร”
ณัฐพงษ์มองมาที่ขวดแล้วยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
ทางด้านพรเพ็ญก็กำลังนั่งเครียดอยู่ในห้อง พอเดือนฉายเดือนเข้ามา เธอก็ถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะพยายามปรับสีหน้า แต่แล้วก็อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้
“คุณแม่คะ คุณแม่มี มี เสื้อผ้าที่มันไม่ขาดมั่งมั้ยคะ?”
เดือนฉายมองกางเกงที่พรเพ็ญใส่แล้วก็เข้าใจ แต่พยายามทำไม่รู้ไม่ชี้
“อ้าว! ทำไมล่ะลูก ก็เห็นลูกชอบใส่นักไม่ใช่เหรอ ไอ้ขาดๆ แหว่งๆ สั้นๆ เนี่ย”
พรเพ็ญรีบหลบตา ซ่อนพิรุธ “เอ่อ ค่ะ แต่ ตอนนี้เบื่อแล้ว”
เดือนฉายชี้ที่กล่องมุมห้อง
“ลืมไปแล้วเหรอ? ในกล่องนั้นแม่เห็นหนูเก็บเสื้อผ้าที่หนูเก็บเสื้อผ้าที่เคยบอกว่าเชยไม่ชอบไว้ ลองรื้อดูซิ เผื่อตอนนี้หนูอาจจะกลับมาชอบก็ได้”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะคุณแม่”
เดือนฉายยิ้มรับ แล้วเดินออกไป พรเพ็ญรีบวิ่งไปรื้อกล่องเสื้อผ้าที่วางอยู่แถวนั้นออกมาดู แล้วก็ทำหน้าผิดหวัง
“เนี่ยเหรอ..เชย? สั้นจะตาย เฮ้อ! จะไหวมั้ยเรา?”

ถาดอาหารสำหรับใส่บาตรที่ถูกจัดอย่างเรียบร้อย ตามด้วยดอกบัวที่ถูกพับอย่างบรรจงวางลงบนถาด
พรเพ็ญจัดแจงข้าวของใส่บาตรอยู่ พร้อมกับที่มือพยายามดึงกางเกงเอี้ยมยีนส์ตลอดเวลาแบบอายๆ เดือนฉายเดินเข้ามาหยุดยืนมอง ด้วยความรักใคร่เอ็นดู ก่อนจะเดินเข้ามาหา
“ทำอะไรน่ะลูก?”
พรเพ็ญหันมาเห็นแม่ยิ้มให้ แต่ท่าทางยังเกร็งๆ อยู่
“ได้ยินว่าคุณตาใส่บาตรทุกเช้า หนูเลยมาจัดของใส่บาตรให้คุณตาน่ะค่ะ”
เดือนฉายหยิบดอกบัวที่ถูกพับขึ้นมามองอย่างพอใจ
“ลูกแม่ไปหัดพับดอกบัวมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“คือลองหัดพับดูน่ะค่ะ”
“เหรอจ๊ะ? แต่ถ้าไม่บอกนี่คิดว่าซื้อมาจากแม่ค้าดอกไม้ในตลาดเลยนะเนี่ย”
พรเพ็ญรีบหลบตา พร้อมกับที่เคนเดินเข้ามา พอเห็นพรเพ็ญก็นึกแปลกใจ
“วันนี้สงสัยจะมีพายุใหญ่ หลานตาตื่นแต่เช้าขนาดนี้”
เดือนฉายรีบบอก
“พรเอ่อ เพ็ญ เค้าตื่นมาจัดของใส่บาตรให้คุณพ่อน่ะค่ะ”
เคนพยักหน้ารับมองดูข้าวของอย่างพอใจ ครู่หนึ่งกอล์ฟก็เดินเข้ามาสมทบ
“วันนี้กอล์ฟกับคุณเพ็ญจะเข้าไปลุยในสวนกัน”
เดือนฉายมองกอล์ฟแล้วก็ส่ายหน้าอย่างหมั่นไส้ ส่วนเคนก็รีบใช้ให้ช่วยยกข้าวของใส่บาตรไปที่หน้าบ้าน ก่อนจะหันมาเปรยกับเดือนฉาย
“พ่อว่ากลับมาคราวนี้ ยัยเพ็ญดูน่ารัก เป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะนะ สงสัยต้องชมคุณวิทวัสที่หัดให้ทำงานจนหมดแรงเฮี้ยว”

เดือนฉายเหลือบมามองหน้าพรเพ็ญ ที่เอาแต่ก้มหน้าจัดข้าวของอยู่

อ่านต่อหน้า 4

บ้านศิลาแดง ตอนที่ 4 (ต่อ)

เสียงนาฬิกาปลุกดังเตือนขึ้นมาเพียงครั้งเดียว เพ็ญพรก็ลุกพรวดขึ้นทันที พลางหันไปมองเอกสิทธิ์ที่เตียง

“คุณพ่อตื่นแล้วเหรอคะ เดี๋ยวหนูไปเตรียมอาหารเช้าให้นะคะคุณพ่อ”
พูดพลางเปิดประตูออกไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ป้าแจ่มกำลังจะยกมือเคาะประตูพอดี
“ป้าเตรียมของที่จะทำอาหารเช้าไว้แล้วนะคะ”
“ดีมากจ้ะป้า เดี๋ยวหนูจัดการเอง”
ป้าแจ่มมองอย่างระแวง
“ไม่เป็นไรแน่นะคะคุณหนู ไม่เอาแบบเมื่อวานนะคะ”
“โธ่ป้า วันนี้ป้าเตรียมของเองนะจ๊ะ มันก็มีแต่ของกินได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ใช่ค่ะคุณหนู แต่คุณหนูอย่าเล่นซนอะไรอีกนะคะ”
เพ็ญพรแกล้งยิ้มรับ พลางนึกในใจ
“ไม่ได้เล่นซนค่ะป้า แต่หนูเอาจริง”
สโรชาเดินเชิดหน้าเข้ามานั่งประจำที่ เพ็ญพรรีบจัดแจงทำเป็นเอาใจทันที”
“เชิญค่ะคุณน้า วันนี้เป็นข้าวต้มกุ้งร้อนๆ ค่ะ”
“ไม่”
เพ็ญพรแอบยิ้มสะใจ จังหวะนั้นทนายสมศักดิ์ก็เดินเข้ามาพอดี
“คุณพรสวัสดีครับ”
เพ็ญพรลำดับความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะไหลตามน้ำ
“สวัสดีค่ะ”
สโรชารีบแทรกขึ้นทันที
“สวัสดีค่ะคุณทนาย มีอะไรหรือเปล่าคะมาแต่เช้า”
“อ๋อ พอดีมีเอกสารอีกฉบับที่ต้องให้คุณสโรชาเซ็นน่ะครับ”
เพ็ญพรได้ยินก็หันขวับไปมองอย่างสงสัย
“ได้สิคะ ว่าแต่คุณทนายทานอะไรมาหรือยังคะ ทานด้วยกันก่อนสิ วันนี้มีข้าวต้มกุ้งแน่ะ”
เพ็ญพรรีบร้องห้าม
“ไม่ได้นะ คือ..คือ หนูกลัวว่าคุณทนายจะแพ้กุ้งน่ะค่ะ ก็เลย....”
“อ๋อ ผมไม่ได้แพ้กุ้งครับ แต่ผมทานมาแล้ว ขอบคุณมากครับคุณพร”
เพ็ญพรถอนหายใจอย่างโล่งอก พร้อมกับที่สโรชาเดินนำทนายสมศักดิ์ไปคุยในห้องทำงาน
พักใหญ่ก็เดินออกมา เพ็ญพรที่แอบมองอยู่ค่อยๆ โผล่หน้าชะเง้อมองซ้ายมองขวาก่อนจะวิ่งตามไปทันที
“คุณทนาย เดี๋ยวค่ะ..wait”
ทนายสมศักดิ์ชะงัก หันมามองเพ็ญพรอย่างแปลกใจ
“อ้าวคุณพร มีอะไรเหรอครับ?”
เพ็ญพรมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ก่อนจะแกล้งทำตัวเป็นปกติ
“คุณทนายเอาเอกสารอะไรมาให้คุณน้าเซ็นเหรอคะ?”
“อ๋อ เอกสารเกี่ยวกับการเป็นผู้จัดการมรดกน่ะครับ”
“ผู้จัดการมรดก? ขอโทษนะคะ คุณพ่อเป็นคนจัดการสั่งไว้เหรอคะ
“ครับ มีเอกสารที่คุณเอกสิทธิ์เขียนไว้อยู่”
เพ็ญพรเม้มปากแน่น สีหน้าครุ่นคิดหนัก
“คุณทนายคะ แล้วกิจการอื่นๆของคุณพ่อล่ะคะ? ตอนนี้ใครดูแล”
“ก็มีลูกน้องเก่าๆ แล้วก็พวกหุ้นส่วน ส่วนคุณสโรชาเธอจะเข้าไปนานๆ ทีน่ะครับ”
“แล้วถ้าหนูอยากจะเข้าไปดูแลบ้างละคะ จะว่าไง?”
ทนายสมศักดิ์มองหน้าเพ็ญพรอย่างแปลกใจ

อีกด้านหนึ่ง กอล์ฟเดินนำพรเพ็ญเดินเล่นอยู่ในสวน ฝ่ายหลังมองต้นไม้รอบๆ แล้วก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี แต่พอถูกชวนให้ไปตกปลา จับกบ ก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เอาล่ะจ้ะ บาปกรรม แล้วก็ไม่อยากให้กอล์ฟทำด้วย”
กอล์ฟเกาหัวแกรกๆ อย่างขัดใจ
“เมื่อไหร่คุณเพ็ญจะออกจากโหมดนางเอกซะทีเนี่ย ไม่มันเลย”
พรเพ็ญอมยิ้ม เดินชมนกชมไม้ต่อ ก่อนจะหันมาถาม
“กอล์ฟจ๊ะ กอล์ฟอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิดเลยใช่ไหมจ๊ะ”
“ก็ไม่นานหรอกคุณเพ็ญ ตอนกอล์ฟเพิ่งมา คุณเพ็ญก็ไปนอกแล้วนี่”
“งั้นแสดงว่าฉันก็อยู่นี่ตั้งแต่เกิด”
กอล์ฟส่ายหน้า
“เรื่องนั้นกอล์ฟไม่รู้หรอก ต้องถามคุณเดือน เอ๊ะ คุณเพ็ญก็พูดแปลก เรื่องของตัวเองแท้ๆ”
กอล์ฟมองท่าทีของพรเพ็ญอย่างแปลกใจ
อาภาพร วาทินี เชาว์ เดินกุมท้อง ไปเปิดประตูห้องน้ำห้องต่างๆ ภายในบ้าน แต่ไม่สามารถเข้าได้ เพราะล็อกบ้าง ถูกราดน้ำยาไว้บ้าง ทุกคนวิ่งวุ่นกันอย่างชุลมุน ก่อนจะวิ่งมาที่ห้องน้ำคนใช้ด้านหลัง
ลุงเติมเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำถึงกับตกใจ ทั้ง 3 คนเบียดเสียดแย่งห้องน้ำกันอย่างชุลมุน
“ทำไมไม่ไปเข้าข้างในกันล่ะครับ มาแย่งตรงนี้กันทำไม?”
อาภาพรรีบโวยขึ้นมาทันที
“พูดมากน่ะลุง เอ๊ะ คุณพ่อ ถอยไปสิคะ”
วาทินีไม่ยอมแพ้ “หล่อนจะมาแย่งฉันทำไมเนี่ย?”
“หยุด” เชาว์ตะโกนขึ้น ก่อนจะแกล้งชี้มือไปที่อื่น “อั้ม-พัชราภา มา”
พออาภาพรกับวาทินีเผลอหันขวับไปมอง เชาว์ได้โอกาสผลุบเข้าห้องน้ำไปทันที อีก 2 คนได้แต่ยืนทุบประตูโวยวายอยู่หน้าห้องน้ำ ส่วนลุงเติมยืนเกาหัวมองดูทุกคนอย่างสงสัย

พรเพ็ญเดินดูบรรยากาศสวนอย่างตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะเดินเลียบท่าน้ำ ที่มีเรือพายจอดอยู่ กอล์ฟรีบหันมาถาม
“เดี๋ยววันนี้โดดน้ำแข่งกันมั้ยครับ?”
พรเพ็ญตกใจ
“โดดน้ำ? ไม่เอาอ่ะ ฉันว่ายน้ำไม่เป็น”
“อะไรนะ? ว่ายน้ำไม่เป็น?”
พรเพ็ญอึ้ง รู้ตัวว่าพล่าดเต็มๆ พยายามหาทางแก้ตัว กอล์ฟค่อยๆ เดินเข้ามาจ้องหน้าใกล้ๆ ก่อนจะหัวเราะก๊ากๆ ใส่หน้า เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเล่นมุก แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดปวดท้องขึ้นมากระทันหัน รีบขอตัว แล้ววิ่งจู๊ดไปทันที
ขณะที่พรเพ็ญยืนอยู่ตามลำพังที่ท่าน้ำ บังเอิญลมพัดหมวกปลิวตกน้ำ เธอพยายามกวักน้ำเขี่ยๆ แต่หมวกปลิวลอยน้ำไปอีก เธอหันมาหยิบพายจากเรือที่จอดอยู่ พยายามกวักน้ำ จนเกือบจะถึงอยู่แล้ว แต่ปลายไม้พายไปไม่ถึง เธอลงไปยืนในเรือ กวักๆ พายไป จนเรือลอยห่างจากท่าน้ำออกไป ก่อนจะเอี้ยวตัวยื่นออกไปนอกเรือ พยายามใช้พายเขี่ยหมวก แต่สุดท้ายกลับเสียหลักตกลงน้ำ พลางตะเกียกตะกายเหมือนจะจมน้ำ
กอล์ฟวิ่งกลับมาเห็นพรเพ็ญทำท่าจะจมน้ำก็ขำกลิ้ง
“แอ็คติ้งเนียน สุดยอด”
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
“เฮ่ย..เนียนไปป่าววะ?”
ร่างของพรเพ็ญค่อยๆ จมหายไป ขณะเดียวกันเพ็ญพรก็ทรุดฮวบลงทำท่าเหมือนหายใจไม่ออก ทุรนทุรายเหมือนคนจมน้ำ
กอล์ฟตกใจมากหมุนซ้ายหมุนขวาจะหาทางช่วย
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
วิทวัสเดินเข้ามาได้ยินเสียงกอล์ฟ พลางมองไปในน้ำ เเล้วก็กระโดลงไปช่วยลากพรเพ็ญเข้าฝั่ง
กอล์ฟรี่มาทันที
“ตายรึเปล่า ตายรึเปล่า?”
วิทวัสร้อนใจไม่แพ้กัน “คุณ คุณ คุณเพ็ญ”
เขาตัดสินใจก้มลงผายปอดให้ อึดใจหนึ่ง พรเพ็ญก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะสำลักน้ำออกมา
“เป็นไงมั่งคุณ เป็นไงมั่ง? อย่าบอกนะ ว่าว่ายน้ำไม่เป็น”
ทั้งวิทวัส ทั้งกอล์ฟจ้องมองพรเพ็ญ ที่อึกอัก ไม่รู้จะแก้ตัวยังไง ก่อนที่กอล์ฟจะโพล่งขึ้นมา
“เป็นตะคริวรึเปล่า?”
“ใช่ๆๆ ใช่ค่ะ เป็นตะคริว”
กอล์ฟถอนหายใจเฮือก
“เฮ้อ ไม่เอาแล้ว ปล่อยคลาดสายตาไม่ได้เลย นี่ถ้าเขาไม่มาเม้าท์ทูเม้าท์ผายปอดให้...”

วิทวัสมองหน้าพรเพ็ญ ต่างคนต่างเก้อเขิน ทำหน้าไม่ถูก

ทางด้านเพ็ญพรค่อยๆ ลุกจากที่ทรุดอยู่อย่างงงๆ ก่อนจะมองไปทางห้องนอนเก่าของเอกสิทธิ์พลางค่อยๆ ย่องไปเปิดประตูห้อง แล้วรีบปิดล็อกทันที

จากนั้นก็เดินสำรวจภายในห้อง เห็นเสื้อผ้าของเชาว์กับวาทินีกองอยู่ระเกะระกะ เธอทำหน้าขยะแขยงก่อนจะเขี่ยมันออกไป พอเดินมาที่โต๊ะ ก็เห็นกระเป๋าของวาทินีวางอยู่ เธอรีบรื้อค้น ก่อนจะเห็นทรัมไดรฟ์อันหนึ่งอยู่ข้างใน ขณะกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบ เสียงสโรชาก็ดังเข้ามาขัดจังหวะ
“นี่คุณ เปิดหน่อยซิ ฉันได้ยินเสียงโวยวายอะไรกัน เปิดหน่อยซิ ไปไหนเนี่ย? แล้วจะล็อกประตูทำไม นี่มันบ้านฉันนะยะ”
เพ็ญพรรอจนเสียงเงียบ ก่อนจะตัดสินใจเดินมาเปิดประตูแง้มดู แล้วรีบเดินออกมาจากห้องไป พลาง ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“แกเข้าไปทำอะไรในห้องนี้?”
เพ็ญพรชะงัก ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ก่อนจะหันหน้ามาประจันหน้ากับสโรชา
“ทำไมคะ นี่มันห้องนอนคุณพ่อไม่ใช่เหรอคะ ทำไมหนูจะเข้าไปไม่ได้”
“ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว”
เพ็ญพรลอยหน้าลอยตายียวน
“แหม หวงห้องจริงนะคะ อ้อ ใช่สิ ที่หวงก็เพราะห้องนี้เป็นห้องสามี 2 คน ของคุณน้า อย่าเพิ่งโกรธสิคะ ตีนกามันชัดมากเลยนะคะนั่น ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ก็แค่เข้ามาดูว่าคุณพ่อยังลืมของอะไรอยู่หรือเปล่า?”
สโรชามองอย่างจับผิด
“แล้วไง เจออะไรหรือเปล่าล่ะ?”
“ไม่ค่ะ เจอแต่ซากของสามีกะเมียน้อยคนแรกของคุณน้า”
สโรชาหน้าแดงโกรธจัด
“ปากดีนักนะ เอาเถอะ วันนี้ฉันต้องออกไปธุระไม่มีเวลาจะมาเถียงกับแก”
พูดจบสโรชาหันหลังจะเดินกลับ แต่อีกฝ่ายรีบเรียกไว้
“เดี๋ยวค่ะ หนูมีเรื่องจะคุยกับคุณน้า รบกวนเวลาไม่นานหรอกค่ะ”
สโรชามองอย่างสงสัย เพ็ญพรจ้องกลับอย่างไม่กลัวเกรง

พรเพ็ญนั่งเช็ดผม พลางเหลือบมองเดือนฉาย เพราะเกรงจะโดนดุ ขณะที่อีกฝ่ายมองลูกสาวอย่างเป็นห่วงและรู้สึกแน่ใจในสิ่งที่ตัวเองคิดมากขึ้น
“รู้งี้ กอล์ฟหัดผายปอดเองก็ดีหรอก”
พอกอล์ฟโพล่งขึ้นมา พรเพ็ญก็จับปากตัวเอง พลางแอบชำเลืองมองวิทวัส ก่อนที่เดือนฉายจะพูดขึ้นมา
“เอาเหอะ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ต้องขอบคุณมากเลยนะ ที่ถ้าไม่เดินผ่านไป..”
วิทวัสรีบบอก
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับก่อนแล้วกันนะครับ”
เดือนฉายหันมาทางพรเพ็ญ “ไงเรา..ขอบคุณเค้ารึยัง?”
พรเพ็ญยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
วิทวัสอมยิ้มขำ
“มารยาทงามจัง หัวไปฟาดอะไรมาป่ะเนี่ย สำลักน้ำมั้งสงสัย ไปล่ะ”
พรเพ็ญจับปากตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะมองตามวิทวัสไป

วิทวัสเดินอมยิ้มมาพลางจับปากตัวเองเหมือนกัน
“บางมุม ก็มีแอบน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย ยายตัวแสบ”

“อะไรนะ แกจะขอไปดูงานที่บริษัทงั้นเหรอ?”
สโรชาลุกพรวดขึ้นยืนจ้องหน้าเพ็ญพรอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ใช่ค่ะ คุณน้าฟังไม่ผิด”
“แกจะบ้าเหรอ แล้วใครจะดูแลคุณเอกสิทธิ์?”
“ไม่ได้จะไปทุกวันนี่คะ หนูแค่ขอไปศึกษางานดูบ้างก็แค่นั้น”
สโรชามองด้วยสายตาเหยียดๆ อาภาพรจะด่าซ้ำ แต่กลับผายลมออกมาก่อน
“แกอยู่เฉยไปเหอะยัยภา ไม่ต้องออกความเห็นอะไรทั้งนั้น ไม่ก็ไปหาหยูกหายากินซะ”
“ต้องโทษป้าแจ่มน่ะแหล่ะทำอาหารไม่สะอาด เลยพากันจู๊ดๆ หมด”
เพ็ญพรยิ้มเยาะ
“อย่าไปโทษป้าแจ่มเลย ปากคุณภากับคุณลุงไม่สะอาดมากกว่า เลยเป็นแบบนี้”
อาภาพรอ้าแกจะด่า แต่ก็ปวดท้องจี๊ดขึ้นมาอีก ทำเอาเพ็ญพรแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่
“นี่แกนึกบ้าอะไรขึ้นมาถึงอยากจะไปดูงานที่บริษัท”
“ก็ไม่มีอะไรนี่คะ หนูเป็นลูก ก็ต้องช่วยคุณพ่อดูแลกิจการอยู่แล้ว หรือคุณน้ากลัวอะไรคะ?”
สโรชาจ้องเพ็ญพรตาเขม็ง
“กลัวอะไร? ทำไมฉันจะต้องกลัว”
เพ็ญพรมองเย้ย “อ้าว ก็กลัวว่าหนูจะไปรู้ไปเห็นอะไรน่ะสิคะ”
“หึ อย่างแกเนี่ยนะที่ฉันต้องกลัว ได้ ถ้าแกอยากไปฉันก็จะจัดให้ แกเตรียมตัวไว้ได้เลย ฉันจะแนะนำแกให้พวกบรรดาหุ้นส่วนแล้วก็พนักงานทั้งหลายได้รู้จักแก เชอะ!! อยู่ดีไม่ว่าดี”
“เหรอคะ งั้นก็ขอบคุณล่วงหน้านะคะ ถ้างั้นหนูขอตัวค่ะ”
พูดพลางปรายตามามองอาภาพร แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“อยากทานข้าวต้มกุ้งอีกไหมคะ ยังมีเหลืออยู่นะ”
จากนั้นก็เดินยิ้มเชิดหน้าออกไป อาภาพรอ้าปากจะกรี๊ดแต่กรี๊ดไม่ไหว เลยหันมาโวยวายกับสโรชา
“คุณแม่ คุณแม่ไปยอมมันทำไมล่ะคะ ให้มันไปทำไม?”
“ให้มันไปน่ะดีแล้ว ให้มันไปโชว์โง่ให้ทุกคนเห็น แม่จะทำให้มันขายหน้าจนไม่กล้าเผยอหน้ามาตีฝีปากกับพวกเราอีกเลย”
สโรชายิ้มออกมาอย่างมีแผน

เพ็ญพรเอาแฟ้มเอกสารมาวางลงบนโต๊ะ พลิกไปพลิกมา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความ“เช็คให้ด้วยนะสุดาเพื่อนเลิฟ”

เดือนฉายนั่งคุยงานอยู่กับวิทวัสที่บ้านสวน พรเพ็ญถือจานผลไม้เข้ามาให้ จัดแจงวางที่โต๊ะแล้วจะเดินหนีไป
“อ้าว เดี๋ยวก่อนสิคุณ จะไปไหนล่ะ มาๆ เลย นี่งานส่วนของคุณ อย่าหนีๆ”
พรเพ็ญยืนอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง เดือนฉายพยักหน้าให้พรเพ็ญเลยนั่งลงข้างๆ
วิทวัสอดไม่ได้ที่จะพูดหยอกเย้าพรเพ็ญ ต่างคนต่างเขินหน้าแดง จนเดือนฉายต้องกระแอมเตือน
“มาคุยเรื่องงานกันต่อดีกว่าจ้ะ”
“อ่อ ค..ครับๆ เอ้านี่งานของคุณ”
วิทวัสพูดพร้อมกับส่งแฟ้มเล่มหนึ่งให้ พรเพ็ญรับมาดู แล้วก็หน้าเสีย
“มันเป็นภาษาอังกฤษนี่คะ”
“ก็ใช่น่ะสิ ทำไม? อย่าบอกนะว่าเด็กนอกอย่างคุณอ่านไม่ออก”
พรเพ็ญหน้าสลด เดือนฉายรีบพูดแก้ต่างให้
“ยัยเพ็ญแกล้อเล่นน่ะจ้ะ แม่ว่าหนูไปพักก่อนดีกว่านะ วันนี้ตากแดดมาทั้งวันแล้ว”
พรเพ็ญรับคำ พลางรีบส่งแฟ้มเอกสารคืนให้แล้วลุกขึ้นด้วยท่าทีเรียบร้อยก่อนจะเดินเข้าบ้านไป วิทวัสพยายามชะเง้อมองตาม แต่ก็ต้องสะดุดกับสายตาของเดือนฉายทีจ้องมองอยู่

เดือนฉายมองไปที่แฟ้มเอกสารที่เป็นภาษาอังกฤษ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ด้วยสีหน้าครุ่นคิด

อ่านต่อตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น