แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 11
ห้องทำงานอวัศยาเงียบกริบ ไฟดับมืด ทันใดนั้นก็มีไฟเปิดพรึ่บ อวัศยายืนอยู่คนเดียวตรงสวิตซ์เปิดปิดไฟ
อวัศยาบ่น “บอส นะ บอส อยู่ๆก็มาใช้ทำงานวันหยุด คิดอะไรของเค้าเนี่ย ช่วงนี้ยิ่งมีข่าวโจรแอบงัดเข้าออฟฟิศอยู่”
อวัศยาบ่นๆ แล้วก็เดินมาเปิดคอมพิวเตอร์เริ่มหาข้อมูล ทันใดนั้นก็มีเสียงดังกุกกัก ๆๆ เหมือนคนเปิดประตู และเสียงคนเดิน
“เสียงคนเดิน .. เป็นไปไม่ได้ จะมีใครมาได้ยังไง หรือว่า ..”
อวัศยาระแวงจึงหันซ้ายหันขวา เธอคว้าแฟ้มหนาปึกมาถือไว้และย่องไปหลบหลังประตู ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก อวัศยาฟาดแฟ้มลงที่หัวของผู้มาเยือนเต็มแรง เสียงปราณนต์ร้อง
“โอ้ย !!! พี่ศยา !! ผมเองครับปราณนต์”
อวัศยาตกใจที่เห็นหน้าปราณนต์ “ปราณนต์”
อวัศยาหน้าเสีย เธอช๊อคอึ้ง ตกใจ และทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
ปราณนต์คลำหัวด้วยความเจ็บ
“ผมขอโทษที่ลืมเคาะประตู”
อวัศยายังยืนอึ้งอยู่ ปราณนต์เงยหน้ามองอวัศยาที่ยืนอึ้งแล้วก็อึ้งไปด้วย
“ธ...เธอมาได้ยังไง”
ปราณนต์ตอบแบบอึ้งๆ “บอสเป็นคนโทร.สั่งให้ผมมา”
อวัศยาอึ้งกว่าเดิม “บอสเนี่ยนะ”
“ครับ”
ปราณนต์ตอบแบบงงๆ กับความตกใจของอวัศยา
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ปราณนต์คุยโทรศัพท์กับลิปดาด้วยเสียงแข็งขัน
“ได้เลยครับบอส ไม่มีปัญหาครับ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ สวัสดีครับ”
ปราณนต์วางสาย แล้วก็รีบหันไปหยิบกระเป๋าออกไปจากบ้านทันที
เหตุการณ์ปัจจุบัน ปราณนต์อธิบายต่อ
“บอสบอกว่ามีงานด่วน แล้วพี่ศยาต้องทำที่ออฟฟิศคนเดียว ให้ผมเข้ามาช่วย”
อวัศยาอึ้ง ปราณนต์ก็อึ้ง ต่างคนต่างอึ้ง ทำตัวไม่ถูกจนปราณนต์อึดอัดนิดๆ
“พี่ศยา..โอเคมั้ยครับ”
อวัศยาสะดุ้งนิดๆ และงงๆ ก่อนที่สติจะเริ่มมา “โอเคเรื่องอะไร”
“ก็...ทุกเรื่องครับ มีอะไรไม่โอเคหรือเปล่า ดูพี่ศยาเหมือนเครียดๆ”
“เปล๊า !! ฉันไม่ได้เครียด ไม่ได้คิดอะไรเล๊ย” อวัศยาเสียงสูงมาก “โอเค๊”
“โอเค” ปราณนต์บอกแต่คิดในใจว่าเหมือนจะไม่โอเคนะ “ครับ งั้นเรา..เริ่มทำงานกันเลยมั้ยครับ”
ปราณนต์พยายามจะโอเคด้วย
อวัศยาตอบเสียงสูง “โอเค๊ สบายมาก ฉันสบายมากอยู่แล้ว”
ปราณนต์พยายามจะเชื่อ “พี่ศยาจะให้ผมช่วยทำอะไรสั่งมาได้เลยนะครับ”
ปราณนต์รอคำตอบ อวัศยาหันมามองหน้าปราณนต์แล้วก็แอบใจสั่นเหมือนเดิม
“พี่ศยาครับ..”
อวัศยาสะดุ้ง “หือ ? งาน ! ทำงานใช่มั้ย เอาเลย อยากทำอะไรก็ทำ”
ปราณนต์เริ่มจะขำกับความเหวอของอวัศยา “คือ ผมยังไม่รู้เลยว่าพี่ศยาทำอะไรอยู่” ปราณนต์ขำ “ผมอยากช่วยก็ช่วยไม่ถูก”
ปราณนต์หัวเราะสดใสจนอวัศยารู้ตัว เธออยากจะขำแต่ก็เก๊กๆ แอ๊บขรึมไว้
“ก็...บอสอยากได้ รีพอร์ตของคอมพานีวิซีทปีนี้ทั้งปี ให้รวบรวมทำรายงานภายในวันนี้”
“โห..ไม่ใช่น้อยนะครับ เอางี้..พี่ศยาทำครึ่งปีแรก เดี๋ยวผมทำครึ่งปีหลังนะครับ”
ปราณนต์ยิ้มสดใส อวัศยาพยักหน้ารับแบบยังเก๊กๆอยู่ ปราณนต์ยิ้มรับคำสั่ง
ปราณนต์หยิบคอมพิวเตอร์ออกมาวางบนโต๊ะอวัศยาพร้อมทำงาน ทั้งสองคนหันหน้าเข้าหากันโดยมีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ข้างหน้าคนละตัว
ปราณนต์เริ่มทำงานแต่อวัศยาทำงานไม่ได้เพราะไม่มีสมาธิแม้แต่น้อย อวัศยามองหน้าปราณนต์ คำพูดลิปดาแว่บเข้ามา
“ตั้งแต่พริบพราวสวมรอยเป็นแอบรัก คุณเคยคุยกับปราณนต์เรื่องนี้บ้างหรือยัง ทำไมไม่คุย ไม่อยากรู้หรือไงว่าเค้าคิดอะไรอยู่”
อวัศยาคิดแล้วก็ตัดสินใจถามออกมา
“เธอเชื่อว่า “แอบรัก” คือ “พริบพราว” จริงๆเหรอ”
คำถามของอวัศยาหยุดโลกของปราณนต์ทันที ปราณนต์ชะงักแล้วเงยหน้ามองอวัศยา ทั้งสองคนมองหน้ากัน
พริบพราวขับรถหน้าเครียดเมื่อนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
เหตุการณ์ที่พริบพราวนึกถึงเกิดขึ้นเมื่อตอนเช้า
พริบพราวคุยโทรศัพท์ด้วยเสียงสดใส
“พรุ่งนี้ไปรับณนต์มารับพราวที่บ้าน แล้วเราตามไปเจอคุณพ่อ คุณแม่ พี่ภูมิ กันนะ”
ปราณนต์คุยโทรศัพท์พลางลากจักรยานเตรียมจะไป
“ได้เลยครับ ไม่มีปัญหา ... เออ แต่ผมตกปลาไม่เป็นนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ พราวก็ตกไม่เป็นเหมือนกัน”
“โอเคครับ” ปราณนต์โล่งอกแล้วก็รีบบอก “พราวครับ ผมต้องวางสายก่อนนะ พอดีมีงานด่วนต้องเข้าไปช่วยพี่ศยาที่ออฟฟิศ”
พริบพราวชะงักกึกแล้วก็หน้าเครียดทันที
ปราณนต์พูดจากโทรศัพท์ “เอาไว้เสร็จงานแล้ว ผมโทร.หานะ”
พริบพราวรีบถาม “เดี๋ยว เมื่อกี๊บอกว่ามีงานด่วนต้องไปช่วยพี่ศยาที่ออฟฟิศเหรอ”
พริบพราวใจหายวาบตามประสาวัวสันหลังหวะ
พริบพราวขับรถไปด้วยความหวาดหวั่นใจ เธอคิดเรื่องต่างๆ ไปสารพัดจนใจเดือดปุด ๆ
อวัศยามองหน้าปราณนต์แบบรอคำตอบ
“ทำไมผมต้องคิดว่า “พราวไม่ใช่แอบรัก” ด้วยครับ” ปราณนต์ถามกลับ
“ก็บางที เค้าอาจจะมีอะไรบางอย่างที่มันแปลกๆ หรือ ไม่ตรงกับที่เธอแชตก็ได้ มีหรือเปล่า”
ปราณนต์คิด “ก็มีบ้าง..” อวัศยาตื่นเต้น “เช่น แอบรักจะดื่มกาแฟดำ แต่พราวดูเหมือนจะชอบกาแฟใส่นมหรืออย่างน้อยก็ใส่น้ำตาล หรือน้ำผึ้ง”
อวัศยาแอบอมยิ้มนิดๆ อย่างสะใจเบาๆ ที่พริบพราวหลุด
ปราณนต์พูดต่อ “แต่ผมไม่คิดมากหรอกครับ เพราะมันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ บางทีตอนแชตผมก็แกล้งสร้างภาพ หรือให้ข้อมูลไม่จริงบ้างก็มี” ปราณนต์ขำๆ “แต่โดยรวมๆแล้ว ความรู้สึกตอนที่ผมอยู่กับพริบพราว ผมมีความสุขไม่ต่างจากตอนที่ผมแชตกับแอบรัก”
อวัศยาหุบยิ้มทันที ปราณนต์พูดต่อ
“ผมกับพราวมีหลายอย่างที่เหมือนกัน ถ้าไม่เหมือนเราก็พร้อมจะปรับตัว และเรียนรู้ในความต่าง ผมเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ มันเป็นความรู้สึกสบายๆ ไม่เหนื่อย” ปราณนต์ยิ้ม
อวัศยาอึ้งกับรอยยิ้มของปราณนต์ที่เปี่ยมไปด้วยความสุข เธอถึงกับใจหายวาบ ปราณนต์นึกขึ้นได้ก็เดินออกไปหยิบเอกสาร
“เดี๋ยวผมขอไปหยิบแฟ้มมาเพิ่มนะครับ”
อวัศยาพยักหน้ารับแล้วรีบปรับอารมณ์เข้าโหมดทำงาน
ทันใดนั้นประตูก็เปิดผัวะเข้ามาโดยพริบพราว
พริบพราวทั้งหวั่นใจ ข้องใจ และไม่เข้าใจ “พี่ศยาต้องการอะไรบอกมาเลยดีกว่าค่ะ”
อวัศยายืนขึ้นด้วยความตกใจ
“เธอมาทำไม”
“ก็มาดูให้เห็นกับตาว่ามาพี่ศยาคิดจะทำอะไร”
ปราณนต์เดินกลับเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“พราว” ปราณนต์ตกใจ “พราวมาได้ไง”
“เธอมาก็ดีแล้ว ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธออยู่พอดี” อวัศยาบอก
ปราณนต์พยายามเคลียร์ “พี่ศยาครับ..”
อวัศยาตัดบท “เรื่องงาน !! ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว”
“ถ้าเป็นเรื่องงานผมขอทำแทนได้มั้ยครับ วันนี้วันหยุดบอสเป็นคนสั่งให้ผมมา ไม่เกี่ยวกับพราว”
อวัศยาจี๊ดนิดๆ ที่เห็นปราณนต์แคร์พริบพราวมาก แต่เธอก็ทำใจแข็ง “ฉันรู้ว่าเธอเป็นห่วง แฟน”
พริบพราวชะงักมองหน้าอวัศยาพลางคิดในใจว่ามา “มุกไหน ทำไมยอมรับง่ายๆ”
อวัศยาพูดต่อ
“ฉันไม่ทำอะไรเค้าหรอก แค่สั่งงานนิดหน่อย เธอออกไปชงกาแฟให้ฉันก็แล้วกัน”
ปราณนต์งง พริบพราวขมวดคิ้ว อวัศยาพูดต่อเสียงเข้ม
“กาแฟ ๑ ช้อน น้ำตาลครึ่งช้อน แล้วก็ “ใส่ครีม” ๒ ช้อน” อวัศยาสั่ง ปราณนต์งง “ไปสิ”
“เอ่อ..” ปราณนต์งง
“ถ้าไม่อยากไปตามคำสั่ง ก็ถือว่าเป็นคำขอร้องจากฉันก็แล้วกัน .. กรุณาชงกาแฟให้ฉันสักแก้วจะถือเป็นพระคุณ”
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวผมไปชงให้”
ปราณนต์เดินออกไปเพื่อตัดปัญหา ก่อนไปเขามองหน้าพริบพราวด้วยความเป็นห่วง ทั้งสองคนสบตากันแล้วก็พยักหน้าเหมือนรู้กันว่าคิดอะไร อวัศยาเดินตามมาปิดประตู พริบพราวใส่ทันที
“พี่ศยาคิดอะไรอยู่ค่ะ! ลงทุนวางแผนหลอกณนต์มาหาในวันหยุด พี่ศยาทำแบบนี้ทำไม”
อวัศยาพูดเบาๆ เน้นๆ “ถ้าไม่อยากโดนแฉว่าเธอสวมรอยเป็นฉันก็หุบปาก และ ฟังอย่างเดียว”
อวัศยาสั่งเสียงดุ พริบพราวสะอึกเมื่อเห็นอวัศยาเอาจริง
ปราณนต์ที่อยู่ในห้องแคนทีนกำลังรอน้ำเดือด ปราณนต์ร้อนใจกับสถานการณ์สองสาวจึงรีบตักกาแฟ น้ำตาล และ กำลังจะตักครีม ปราณนต์ชะงักนิดๆ ในใจแวบความคิดขึ้นมาว่า
“พี่ศยากินกาแฟใส่ครีม”
อวัศยารุกพริบพราว
“ตั้งใจฟังให้ดี .... แอบรักชอบกาแฟดำ , ชอบดูหนังตลกในวันหยุดถ้าเป็นวันธรรมดาชอบดูหนังแอคชั่นหรือหนังผี , ชอบอ่านหนังสือสืบสวนสอบสวน , ชอบดอกไม้ ไม่ชอบทำกับข้าว และไม่เคยคิดจะเรียนรู้ , ชอบออกกำลังกายตอนเช้ามากกว่าตอนกลางคืน, ไม่กินแป้งหลังหกโมงเย็น และกินผลไม้ก่อนอาหารไม่ใช่หลังอาหาร”
พริบพราวมองหน้าอวัศยางงๆ
“บอกทำไม” พริบพราวถาม
“เพราะฉันไม่อยากให้เธอพลาด จนปราณนต์จับได้ว่าเธอไม่ใช่แอบรัก”
พริบพราวอึ้งซ้ำสอง เธอมองหน้าอวัศยาอึ้งๆ
“ล้อเล่นหรือเปล่า เป็นแผนอะไรอีกหรือเปล่า”
อวัศยากลอกตาเซ็งๆ “ไม่ใช่แผนอะไรทั้งนั้น ฉันไม่เคยวางแผน รวมทั้งวันนี้ ฉันก็ไม่รู้ว่าปราณนต์จะมาออฟฟิศ เพราะฉันกับปราณนต์มาที่นี่ตามคำสั่งบอส ถ้าเธอไม่เชื่อก็ไปถามบอสเอาเอง”
พริบพราวชะงักและฉุกคิด
อวัศยาพูดจบก็หันไปเก็บคอมพิวเตอร์ของปราณนต์ใส่กระเป๋าปราณนต์ พริบพราวมองอวัศยาด้วยแววตาครุ่นคิด มีสติ และอ่อนลง อวัศยายัดกระเป๋าของปราณนต์ให้พริบพราวถือ
“เธอพาปราณนต์กลับไปได้แล้ว”
“ทำไม” พริบพราวถาม อวัศยาแปลกใจ พริบพราวขยายความ “ทำไมคุณถึงยอมบอกข้อมูลของแอบรักกับฉัน ทำไมไม่อยากให้ณนต์จับได้ว่าฉัน....” พริบพราวเสียงเบาลงแต่รู้ว่าเจ็บปวด “... โกหก”
พริบพราวรอคำตอบ อวัศยาตอบแบบจุกๆ
“เพราะเธอทำให้ปราณนต์มีความสุข .. ฉันไม่อยากทำลายความสุขของเค้า” อวัศยาเจ็บจี๊ด
พริบพราวฟังคำตอบและเห็นแววตาของอวัศยาแล้วก็อึ้ง นี่คืออวัศยาอีกมุมที่ทั้งอ่อนแอและแสนดีที่พริบพราวไม่เคยเห็น
ปราณนต์เดินมาพร้อมกับแก้วกาแฟ
“กาแฟครับพี่ศยา”
อวัศยาเดินมารับกาแฟและเปิดประตูให้ทั้งสองคน “ขอบใจมากและกลับกันไปได้แล้ว”
ปราณนต์งง “อ้าว แล้วงาน”
อวัศยาพูดสวน “ฉันทำคนเดียวได้ รีบกลับไปได้แล้ว” ทั้งพริบพราวกับปราณนต์ยังอึ้ง “รีบไปสิ ยืนบื้อกันอยู่ได้”
“โอเคครับ..ถ้าพี่ศยาเปลี่ยนในก็โทร.ตามผมได้นะครับ” ปราณนต์บอก อวัศยาไม่สนใจแถมยังโบกมือไล่
ปราณนต์เข้าใจว่าอวัศยาคงเครียดเรื่องงานจึงหันมาจูงมือพริบพราวเดินออกไป
พริบพราวมองอวัศยาด้วยความเห็นใจ อึ้ง และได้ใจ อวัศยาเบือนหน้าหนีแล้วเดินกลับมาทำงานต่อ พริบพราวมองศยาด้วยแววตาที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง
หน้าตึกนารากรเงียบเหงาเพราะเป็นวันหยุดที่ไม่มีคน พริบพราวกับปราณนต์เดินออกมา
“คิดยังไงถึงได้ตามมา” ปราณนต์ถาม
“เอ่อ...ก็....เผื่อว่าจะมีงานอะไรที่พราวช่วยได้บ้าง”
“นึกว่าตามมาเพราะหึงพี่ศยาซะอีก” ปราณนต์แซว
พริบพราวสะอึก
คำพูดของอวัศยาย้อนกลับมา “เพราะเธอทำให้ปราณนต์มีความสุข .. ฉันไม่อยากทำลายความสุขของเค้า”
พริบพราวยิ้มแล้วตอบ
“ถ้าเมื่อก่อนคงใช่ แต่ตอนนี้...พราวไม่คิดแบบนั้นกับพี่ศยาแล้ว”
“ดีแล้วที่ไม่คิด ขอบคุณมากที่ไว้ใจผม”
ปราณนต์มองพริบพราวแล้วก็ยิ้มพอใจ ปราณนต์เอื้อมมือมาจับมือพริบพราวแล้วก็เดินออกไปด้วยกันอย่างมีความสุข ระหว่างเดินพริบพราวแอบหยิบโทรศัพท์มาและกดส่งสติ๊กเกอร์ “ขอบคุณ” ไปที่ไลน์ของอวัศยาด้วย
มือถือของอวัศยาดัง อวัศยาหยิบมาดูก็เห็นหน้าจอเป็นข้อความ “ขอบคุณค่ะ” จากพริบพราว อวัศยาเห็นแล้วเจ็บจี๊ดในใจ เธอวางมือถือแล้วก็เศร้า อวัศยาหันมาทางกองงานที่วางอยู่ตรงหน้าแล้วก็พาลคิดไปถึงลิปดาทันที
กองของที่ไหม้ไฟของอวัศยาวางสุมอยู่มุมหนึ่งในห้องลิปดารวมทั้งภาพดอก Love in the mistด้วย เสียงตอกตะปูดัง โป๊ก ๆๆ โดยลิปดาที่กำลังเอาค้อนตอกตะปูประกอบชั้นหนังสือ ทันใดนั้นอวัศยาก็เดินพรวดเข้ามาพร้อมกับวางแฟ้มไว้บนโต๊ะดังโครม ลิปดาหันมา
“อ้าวคุณ กลับมาก็ดี นี่ชั้นหนังสือผมรื้อมาจากห้องคุณ ผมเอาไม้ที่ไหม้ออกแล้วเปลี่ยน” ลิปดายังพูดไม่จบ
อวัศยาก็พูดด้วยเสียงเข้มมาก “สนุกมากมั้ย”
ลิปดาทำมึน “ซ่อมตู้ ก็สนุกดีนะ”
อวัศยาเสียงเข้มขึ้น “แกล้งฉันน่ะ สนุกมากมั้ย”
ลิปดาชะงักที่เห็นอวัศยาดุและเครียด ลิปดาเริ่มตั้งรับไม่พูดกวนแล้วเพราะบรรยากาศไม่ดี อวัศยาใส่ต่อ
“แกล้งให้ฉันไปทำงานอยู่คนเดียว แล้วส่งปราณนต์ตามมา คุณเซ็ทฉากเพื่อให้ฉันอยู่กับปราณนต์สองต่อสอง แผนคุณมันบ้าเกินไปแล้ว”
ลิปดาเดินเข้ามาแล้วพยายามอธิบาย
“ที่ผมทำ เพราะผมอยากให้คุณสองคนปรับความเข้าใจกัน ผมไม่อยากให้คุณหนีทั้งที่ยังไม่เข้าใจ”
อวัศยาถอย “ปรับความเข้าใจเหรอ รู้มั้ยว่าความหวังดีที่ไม่มีใครขอร้องของคุณมันทำให้ฉันกลายเป็นผู้หญิงหน้าด้านที่จ้องจับแฟนคนอื่น”
ลิปดาอึ้ง “อย่าบอกนะว่า..วันนี้พราวไปด้วย”
“ใช่น่ะสิ” อวัศยาหันขวับ “นี่ ไม่ต้องมาทำตีหน้าซื่อ คุณตั้งใจนัดพริบพราวให้มาเห็นตอนฉันอยู่กับปราณนต์อยากให้โป๊ะแตก ตบตี กันใช่มั้ย” ลิปดาเหวอ “นี่ดีนะ ที่ฉันมี EQ ไม่เอาตัวเข้าไปในเกม”
ลิปดาเดินรุก “เดี๋ยวๆ คุณคิดว่าผมเป็นพวกเจ้าแผนการขนาดนั้นเลยเหรอ”
อวัศยาถอย “ก็ที่ผ่านมาคุณวางแผนทุกอย่าง ทั้งตอนไปสัมนากันสี่คน แล้วก็คราวนี้ คุณลิปดา ฉันไม่เข้าใจเลยว่าคุณทำแบบนี้เพื่ออะไร ? ถ้าทำไปเพราะความสนุก สะใจ ตอนนี้คุณก็สมใจแล้ว”
อวัศยาหันหลังใส่แล้วเดินพุ่งไปที่ห้องด้วยความหงุดหงิด ลิปดารีบวิ่งมาดักไว้
“อวัศยา”
อวัศยาชะงักเท้า “ไม่ต้องมาเรียกชื่อเต็มฉัน” อวัศยาผลักลิปดาออก
“ผมเรียกเพื่อเตือนสติ ฟังนะ ผมไม่รู้ว่าคุณมองผมยังไง ผมยอมรับว่าผมคิดน้อยเกินไป แต่ทุกอย่างที่ผมทำเพราะหวังดี”
อวัศยาสวน “ถ้าความหวังดีของคุณทำให้ฉันต้องซวยขนาดนี้ ฉันว่าคุณอยู่เฉยๆจะดีกว่า แล้วชาตินี้ไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก”
อวัศยาพูดจบก็สะบัดหน้าใส่และเปิดประตูห้องนอนเดินเข้าไปเลย ลิปดาเดินตาม อวัศยาปิดประตูใส่หน้าลิปดาดังปัง
อวัศยายืนอยู่ในห้องนอนด้วยความรู้สึกทั้งหงุดหงิด ทั้งแค้น ทั้งเซ็งสุดๆ
ลิปดาเดินมาเคาะประตู
“อวัศยา เปิดประตูมาคุยกันก่อน”
อวัศยาตะโกนออกไป
“หยุดเคาะ หยุดพูด ถ้าไม่หยุด ฉันจะขนของออกไปจากห้องคุณเดี๋ยวนี้”
ลิปดาชะงักแล้วยกมือขึ้น
“โอเค ผมยอมแพ้ !! ผมจะหยุดตามที่คุณต้องการ” ลิปดาจะเดินไป แล้วก็หยุดเพื่อหันมาทิ้งท้าย “ศยา.. ผมขอโทษ ... ผมยอมรับผิดทุกอย่าง .. จะลงโทษผมยังไงก็ได้ แต่ห้ามผมยุ่งกับคุณ..ผมทำไม่ได้ ผมอยากบอกแค่นี้”
ลิปดาพูดด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ เขาค่อยๆหันหลังกลับไปยังที่ของตัวเอง
อวัศยาที่อยู่ในห้องค่อยๆทรุดตัวลงนั่งหมดแรงด้วยความเซ็ง เศร้า และความรู้สึกหลายอย่างที่สับสน
ลิปดาเดินมายังตู้ที่ซ่อมค้างไว้ เขาเครียดจึงคว้าค้อนมาตอกตะปูโป๊กๆ แล้วก็ตอกโดนนิ้วของตัวเองอย่างแรง
ลิปดาร้อง “โอ้ย” เขาสะดุ้งสุดแรง
อวัศยาสะดุ้งนิดๆ เพราะลึกๆ ก็เป็นห่วง
อวัศยาเปรยเบาๆ “บอส”
อวัศยาชะงักแล้วก็คิดในใจว่าต้องไม่แคร์ เธอดึงความสนใจกลับมาแล้วพยายามใจแข็งไม่สนใจ
ลิปดาโยนค้อนทิ้งดังตุบ แผลของลิปดาแตกเลือดหยดติ๋งๆ ลิปดารีบหยิบกระดาษทิชชูมาซับเลือดด้วยความเจ็บและเซ็งสุดๆ ลิปดาชะโงกมองไปที่หน้าห้องนอนแต่อวัศยาก็ไม่ยอมเปิดประตูออกมาสักนิด ลิปดาเศร้า
แผลของลิปดามีผ้าพันแผลปิดไว้อย่างดี แจนกำลังเก็บอุปกรณ์ทำแผล เจมส์กำลังนั่งเล่นของเล่นราคาแพงอยู่ทางด้านหลัง
“คุณศยายังใจดีที่แค่ต่อว่า ถ้าเป็นแจน..จะเอาค้อนทุบที่หัวเลย” แจนว่า
“อ้าว...นี่ผมมาให้แจนทำแผล และปลอบใจนะ ไม่ได้ให้มาซ้ำ”
“จริงนี่ ทีหลังอย่าเจ้ากี้เจ้าการแบบนี้อีก มันเหมือนลิปไม่แคร์คุณศยา เค้าประกาศว่าไม่อยากเจอ ดันนัดให้เค้ามาเจอกัน นอกจากจะทำให้เค้าเข้าใจผิด ลิปเองก็ไม่มีความสุข .. ใช่มั้ยหล่ะ”
ลิปดาสะอึกแล้วก็พยักหน้า
“เพราะฉะนั้น คราวหน้าอย่าพยายามเป็นฮีโร่โง่ๆ แบบนี้อีก”
ลิปดาผงะ “แรง”
“ก็มันจริงนี่ ..สิ่งที่ควรทำ ดันไม่ทำ ... จะบอกให้นะ สิ่งที่ลิปควรทำที่สุดตอนนี้คือ บอกความรู้สึกที่แท้จริงกับคุณศยา ไม่ใช่เที่ยวไปจัดฉากให้เค้าไปเจอกับผู้ชายคนอื่น”
“นี่ผมพลาดไปแล้วใช่มั้ยเนี่ย”
“ใช่ แต่ยังกลับตัวทัน..รีบบอกความรู้สึกที่แท้จริงกับคุณศยา ก่อนที่โอกาสนี้จะหลุดมือไป .. อย่าทำตัวเป็นเหมือนพ่อน้องเจมส์”
ลิปดางง
“พ่อน้องเจมส์ สามีแจนเนี่ยนะ เกี่ยวไรด้วย”
“สามี “เก่า” ไม่ใช่ “สามีเฉยๆ” ไม่รู้อยู่ๆ เกิดไปบรรลุธรรมอะไรมา ส่งของขวัญถุงเบ้อเร่อมาให้แจน” แจนพยักหน้าไปทางถุงของแบรนด์เนมถุงใหญ่มากที่วางอยู่บนพื้นอย่างไม่ไยดี “แล้วก็ส่งของขวัญมาให้ลูก ต่อมความเป็นพ่อคงเริ่มทำงาน เลยเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีลูก”
ลิปดามองถุงของแจนและเจมส์ แล้วก็หันมาถามแจน
“แล้วถ้าต่อมความเป็นพ่อของเค้าทำงานรุนแรงมาก จนอยากขอเจมส์ไปเลี้ยง แจนจะว่ายังไง”
“ไม่มีทางค่ะ พ่อของเจมส์คือ ลิป ... “ลิป...เป็นพ่อของเจมส์” คนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยว”
แจนพูดด้วยแววตาเข้มเครียดและหนักแน่น ลิปดามองแล้วคิด ลิปดาค่อยๆหันไปทางเจมส์ที่ยังเล่นของเล่นอย่างสนุกสนาน
รถลิปดาวิ่งฝ่าความมืดของกรุงเทพยามราตรี ลิปดาขี่มอเตอร์ไซด์แต่ในใจหมกหมุ่นกับเรื่องของอวัศยา
เหตุการณ์ตอนที่เขาคุยกับรันย้อนกลับมา
“ใช่ !! ผมรักศยา” ลิปดาพูดหนักแน่น
“บอสเคยบอกศยาหรือเปล่า” รันถาม ลิปดาส่ายหน้า “ทำไม”
ลิปดาเครียด “ถ้าบอกแล้ว ผมอาจจะเสียศยาไป”
รันกลอกตาเพราะเซ็งกับมุกนี้ “แต่ถ้าไม่บอก...บอสก็อาจจะต้องเสียศยาไปเหมือนกัน”
ลิปดาขี่มอเตอร์ไซด์ต่อไป
เหตุการณ์ตอนที่เขาคุยกับแจนย้อนกลับมา
“ก็มันจริงนี่ ..สิ่งที่ควรทำ ดันไม่ทำ ... จะบอกให้นะ สิ่งที่ลิปควรทำที่สุดตอนนี้คือ บอกความรู้สึกที่แท้จริงกับคุณศยา ไม่ใช่เที่ยวไปจัดฉากให้เค้าไปเจอกับผู้ชายคนอื่น .... รีบบอกความรู้สึกที่แท้จริงกับคุณศยา ก่อนที่โอกาสนี้จะหลุดมือไป”
ลิปดาคิดและตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
พริบพราวกำลังขับรถพร้อมกับมองหาป้ายบอกทางไปด้วย ปราณนต์กำลังช่วยดูทางเช่นกัน
พริบพราวมองทาง “แล้วป้ายบอกทางรีสอร์ทอยู่ไหนเนี่ย”
“แล้วเมื่อกี้ตอนพราวโทรถามทางพ่อ ท่านบอกว่าไงบ้าง” ปราณนต์ถาม
“คุณพ่อบอกว่าพอเลี้ยวซ้ายออกจากถนนหลัก ..ก็ขับตรงมา พอเจอทางแยกให้เลี้ยวขวา..จากนั้นเลี้ยวขวาอีกครั้ง จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายอีกที.. จากนั้นแล้วเลี้ยวขวาก็จะเจอรีสอร์ท”
ปราณนต์พูดแทรกขึ้น “เลี้ยวสุดท้ายต้องเลี้ยวซ้ายไม่ใช่เหรอ ผมจำได้ตอนพราว พูดทวนก่อนวางสายน่ะ”
พริบพราวคิดนิดนึง “เลี้ยวขวา พราวจำได้”
“แต่ผมฟังคุณพูด แล้วก็นับไปว่าเลี้ยวขวาสองครั้ง เลี้ยวซ้ายสองครั้ง”
“ก็เลี้ยวซ้ายครั้งนึงตอนออกจากถนนหลักไง แล้วก็เลี้ยวซ้ายแยกเมื่อกี้ เพราะฉะนั้นแยกนี้ต้องเลี้ยวขวา”
ปราณนต์บอก “เลี้ยวซ้าย”
“ขวา” พริบพราวเถียง
“ซ้าย”
พริบพราวพูดเสียงดังอย่างมั่นใจ “ขวา!!”
ปราณนต์ไม่เถียงต่อและยอมให้พริบพราวเลี้ยวขวาเพื่อพิสูจน์ไปเลยว่าใครผิด “โอเคๆ ขวาก็ขวา”
พริบพราวยิ้มพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิกแก้มปราณนต์ “ต้องเชื่อฟังแฟนอย่างนี้สิ ..รับรองเจริญทุกคน ไว้ใจพราวเถอะ..ถ้าเรื่องทาง พราวไม่เคยพลาด”
กระเป๋าเดินทางและสัมภาระของอวัศยาวางอยู่ ลิปดามองด้วยความงง
“คุณจะไปไหน” ลิปดาถาม
“ฉันจะออกจากที่นี่ ไปอยู่ที่อื่น”
ลิปดาอ้อน “ศยา...คุณอย่าทำตัวเป็นเด็กๆน่า ผมบอกแล้วว่าผมรับผิด ผมขอโทษ”
อวัศยาสวน “ขอโทษเหรอ คุณมันเจ้าเล่ห์ เจ้าแผนการจนฉันไม่รู้แล้วว่าคุณจริงใจหรือเปล่า คุณคิดอะไร ฉันก็ไม่รู้ แต่ละอย่างที่คุณทำ ฉันไม่รู้เลยว่าคุณทำเพราะอะไร แล้วคุณคิดอะไรกันแน่”
อวัศยาระบายอย่างอัดอั้น ลิปดาโดนอัดจนหลุดออกมา
“โอเค ถ้าคุณอยากได้ความจริง ผมก็จะพูดความรู้สึกจริงๆ”
“ดี พูดออกมาสิ พูดมาเลย บอสทำแบบนี้ทำไม บอสจัดฉากให้ฉันเจอกับปราณนต์ทำไม”
ลิปดาสวนทันที “ผมไม่ได้อยากทำ”
อวัศยาสวน “แต่บอสก็ทำ”
ลิปดาสวน “ผมฝืนใจทำ !!! จริงๆ ผมไม่ได้อยากให้คุณกับปราณนต์เข้าใจกัน ผมอยากเห็นคุณสองคนต่างคนต่างอยู่แบบเพื่อนร่วมงาน แบบหัวหน้ากับลูกน้องอย่างนี้ตลอดไป ผมไม่อยากเห็นคุณเป็นแฟนกับเค้าสักนิด ให้ตายสิ”
ลิปดาจัดชุดใหญ่ อวัศยาอึ้งและมึน อยู่ๆ เธอก็ใจเต้นแรงกับคำพูดและแววตาที่แฝงไว้ด้วยความหมายบางอย่างของลิปดา
ลิปดาสูดลมหายใจแล้วก็พูดช้าลง “แต่ที่ผมทำไปทุกอย่าง เพราะคิดว่าถ้าทำแล้วคุณจะรู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ผมช่วยอีก ผมก็จะไม่ยุ่ง ดีซะอีก ผมจะได้ไม่ต้องทำสิ่งที่ผมไม่อยากทำ”
อวัศยาอึ้งและใจเต้นแรงผิดปกติ ลิปดามองอวัศยาด้วยแววตานิ่งและมีพลังเหมือนตัดสินใจแล้ว
“ศยา นี่คือความจริงที่ผมอยากบอกคุณ .. และมันยังไม่จบแค่นี้ ยังมีความจริงอีกเรื่องที่ผมอยากบอก...ผม...”
อวัศยายกมือขึ้น “พอ !! หยุดพูดได้แล้ว .... หนวกหู”
ลิปดาชะงักกึกแล้วก็เงียบ แต่มองตาอวัศยาไม่กระพริบเหมือนอยากจะส่งสัญญาณบางอย่างเข้าไปในสมองโดยผ่านดวงตาจนอวัศยาต้องหันหน้าหนี แล้วก็พูดแก้เก้อ
“ฉันจะไปเก็บของต่อ”
อวัศยาพูดจบก็เดินพุ่งพรวดเข้าห้องนอนไปเลย ลิปดากลอกตาว่าจะทำยังไงดี
อวัศยายืนงงอยู่ในห้องนอน คำพูดของลิปดาดังก้องอยู่ในหัว
“จริงๆ ผมไม่ได้อยากให้คุณกับปราณนต์เข้าใจกัน ผมอยากเห็นคุณสองคนต่างคนต่างอยู่แบบเพื่อนร่วมงาน แบบหัวหน้ากับลูกน้องอย่างนี้ตลอดไป ผมไม่อยากเห็นคุณเป็นแฟนกับเค้าสักนิด ให้ตายสิ”
อวัศยาคิดแล้วก็อึ้งเพราะคราวนี้มาทั้งภาพและเสียง
ภาพตอนที่ลิปดากำลังจะบอกความจริงในใจย้อนกลับมา
“ยังมีความจริงอีกเรื่องที่ผมอยากบอก...ผม..”
อวัศยาส่ายหน้า
“ไม่จริงๆ !! เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ !! อย่าไว้ใจผู้ชายอย่างบอส เราต้องเก็บของ .. เก็บของและไปจากที่นี่”
อวัศยาหันซ้ายหันขวาและพยายามจะเก็บของต่ออย่างงุนงงเพราะสติจะเหลือแค่ครึ่งเดียว ทันใดนั้นเสียงไลน์ก็ดังขึ้น อวัศยาหันขวับไปมองเห็นว่าที่หน้าจอขึ้นว่ามีข้อความเข้า อวัศยาคิดแล้วหยิบมากดดู เธอเห็นว่าลิปดาส่งข้อความมาว่า
“ผมบอกความจริงกับคุณแล้ว.. ถึงแม้ว่ายังไม่หมด แต่คุณจะไม่ไปแล้วใช่มั้ย ?”
อวัศยาเงยหน้าแล้วก็คิดว่าจะเอายังไงดี จะไปไม่ไป
อวัศยามองไปรอบๆ ห้องแล้วก็คิด อวัศยาเห็นกระดาษที่ลิปดาเคยเขียนให้กำลังใจ
เธอนึกถึงตอนที่ลิปดาเล่นกีตาร์แทรกซ้อนเข้ามา
อวัศยามองดูรอบๆ ห้อง
เธอนึกถึงตอนที่ไฟไหม้และลิปดาเข้าไปช่วยอุ้มเธอออกมา
อวัศยาคิด...คิด...คิด
เธอคิดถึงตอนที่ลิปดาดีกับอวัศยาในสถานการณ์ต่างๆ ไล่ เรียงกันมา เสียงข้อความไลน์เข้าดังขึ้น
หน้าจอเป็นข้อความจากลิปดา
“อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง ? “
อวัศยาอ่าน “อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง”
อวัศยาคิดไม่ตกว่าจะตอบยังไงดี
อ่านต่อหน้าที่ 2
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 11 (ต่อ)
ลิปดารอคำตอบด้วยความร้อนใจ แล้วเสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้น ลิปดารีบหยิบมาอ่าน
“เรียกว่าอารมณ์ดีขึ้นคงไม่ได้..เรียกว่าฉันทำใจเย็นกับคุณได้แล้วดีกว่า”
ลิปดาขมวดคิ้วก่อนจะรีบกดพิมพ์ส่งไป
“ใจเย็นแปลว่า..ตอนนี้คุณมีสติ ไม่ใช้อารมณ์และจะไม่ย้ายออกแล้วใช่มั้ย”
อวัศยากดอ่านข้อความลิปดาแล้วก็พิมพ์กลับไป
“ฉันจะไม่ย้ายออก ถ้าคุณ..” อวัศยาคิดแล้วก็พิมพ์ต่อ “ยกโทษให้ฉันที่ตะโกนใส่หน้าคุณเมื่อกี๊”
ลิปดายิ้มแฉ่งแล้วรีบตะโกนออกไปทันที
“ผมยกโทษให้คุณ จริงๆแล้วผมไม่ได้โกรธคุณเลยแม้แต่นิดเดียว”
อวัศยาหันไปที่ประตู เสียงลิปดายังดังเข้ามา
เสียงลิปดาดังมาจากนอกห้อง “ได้ยินมั้ยศยา”
อวัศยาอมยิ้มนิดๆกับคำตอบของลิปดาแต่ก็เหมือนยิ้มไม่สุดเพราะยังมีฟอร์มนิดๆ และสับสนกับความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้
“ได้ยินแล้ว ไม่ต้องตะโกนดังขนาดนี้ก็ได้ อายคนข้างห้อง”
อวัศยากดส่งข้อความไปแล้วก็คิด
ลิปดาอ่านข้อความแล้วก็หัวเราะ บรรยากาศเริ่มดีขึ้น ลิปดาคิดแล้วก็พิมพ์กลับไป
“ผมไม่อายใครทั้งนั้น ถ้ามันทำให้คุณอยู่ต่อ ยิ่งกว่านี้ผมก็ทำ”
ลิปดากดส่ง เสียงข้อความเข้าดังขึ้นด้านหลังพร้อมกับเสียงของอวัศยา
“ทำไมบอสถึงอยากให้ฉันอยู่ต่อ”
ลิปดาสะดุ้งตกใจก่อนจะหันไป อวัศยายืนรอคำตอบ ลิปดาชะงักงันและอึกอักหนึ่งอึดใจก่อนจะตอบ
“เพราะผม..ถือว่าการที่คุณอยู่ต่อ คือการไถ่โทษในความเจ้ากี้เจ้าการของผม ถ้าคุณไปทั้งๆที่เพิ่งเกิดเหตุการณ์แย่ๆแบบเมื่อวาน ผมคงรู้สึกไม่ดี .. แต่ถ้าคุณอยู่ต่อ ก็แสดงว่าเราปรับความเข้าใจกันได้แล้ว” ลิปดาแถเบาๆ
อวัศยาหลิ่วตาฟังแล้วก็คิด ลิปดาลุ้น
“ตกลง..จะอยู่ต่อหรือเปล่า” ลิปดาถาม
อวัศยากอดอกและตอบเสียงนิ่งๆ
“จะต่อหรือไม่ต่อ...ขึ้นอยู่ว่า เราจะทำข้อตกลงกันได้หรือเปล่า”
ลิปดางง “ตกลงเรื่องอะไร”
ลิปดาอยากรู้ อวัศยาเชิดหน้านิดๆ แต่ยังไม่บอก
ปราณนต์กับพริบพราวเปิดประตูรถแล้วก้าวลงมาพลางมองสองข้างทางที่ดูเหมือนจะเป็นป่าเข้าไปเรื่อยๆ
“เราขับเข้ามาลึกมากแล้ว ผมว่าถนนเส้นนี้ ไม่น่าจะไปเขื่อนนะ” ปราณนต์บอก
“ถ้าไม่ไปเขื่อนแล้วจะไปไหนล่ะ” พริบพราวงง
“มันเหมือนจะเป็นป่าเลย ผมว่าคุณโทรถามแม่คุณดีกว่า ว่าเรามาถูกทางไหม ผมว่าเรากลับไปทางเดิมดีกว่า”
พริบพราวพยายามโทรหาแววแต่ไม่มีสัญญาน ปราณนต์หันหัวรถจะกลับไปทางที่มา ทันใดนั้นปราณนต์ก็เห็นลุงคนหนึ่งเดินกลับมาจากการเก็บเห็ดพอดี
“โทษนะครับคุณลุง เขื่อนสุวรรณธาราอยู่ข้างหน้านี้รึเปล่าครับ”
“ไม่ใช่หรอกคุณ ข้างหน้าน่ะเป็นป่า ถ้าจะไปเขื่อน พวกคุณต้องเลี้ยวขวาที่ทางแยกก่อนหน้านี้”
พริบพราวหน้าแหย ปราณนต์บอกลุง “ขอบคุณนะครับคุณลุง”
ปราณนต์บอกลุงแล้วจะเลี้ยวรถ ลุงรีบบอก
“เดี๋ยวๆคุณ!! คุณจะกลับลงไปเหรอ ไปไม่ได้แล้วครับ เมื่อซักครึ่งชั้วโมงก่อนหน้านี้มีโคลนถล่มลงมาปิดถนนทางที่คุณจะกลับลงไป เพราะที่นี่ฝนหนักตกติดต่อกันมาหลายวัน ดินโคลนจากภูเขาเลยถล่มลงมาปิดเส้นทางที่คุณจะไปไว้หมดเลย ต้องรอเจ้าหน้าที่มามาเปิดเส้นทางให้ ผมว่าอย่างเร็วสุดก็เป็นพรุ่งนี้เช้ากว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย”
พริบพราวกับปราณนต์ตกใจ “อะไรนะ”
พริบพราวกับปราณนต์มองหน้ากันเครียดๆ
ลุงพาปราณนต์และพริบพราวเข้ามาหน้าบ้านพัก พริบพราวพยายามโทรศัพท์ติดต่อแวว
“ผมไม่มีทางลงทางอื่นเลยเหรอครับลุง” ปราณนต์ถาม
“มี! แต่… ต้องเดินเท้าลงไป แต่นี่ก็จะมืดแล้วลงไปก็อันตราย ลำบากเปล่าๆดินที่นี่มันก็ถล่มลงมาบ่อยๆ พรุ่งนี้ค่อยเอารถลงไปแล้วกัน รอเจ้าหน้าที่มาเปิดทางให้ คุณพักที่นี่กันก่อนแล้วกัน นี่เป็นบ้านพักของเจ้านายลุงเองลุงดูแลให้อยู่ ก็แค่คืนเดียวไม่ต้องเกรงใจ”
ปราณนต์พูดกับลุง “ขอบคุณลุงมากนะครับ”
ลุงยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ”
ปราณนต์พูดกับพริบพราว “เป็นไงบ้างคุณมือถือใช้ได้มั้ย”
“ไม่มีสัญญานทั้งของพราวและของณนต์เลยค่ะ”
ปราณนต์ชี้ไปที่บ้าน “พอจะอยู่ได้ไหมคุณ”
“ได้ไม่ได้ ก็ต้องอยู่แหล่ะ จะทำยังไงได้ล่ะค่ะ”
“ตกลงเราสองคนคงต้องรบกวนค้างที่นี่แล้วหละครับคุณลุง”
“ไม่เป็นไร ..หาของกิน ที่หลับที่นอนกันตามสบายเลยนะ เอ่อนี่” ลุงยื่นถุงให้ “ลุงก็เพิ่งไปซื้ออาหารมา เก็บไว้ แบ่งกันเอาไปกินก่อนแล้วกัน” ลุงทำหน้ากรุ้มกริ่ม “คิดซะว่ามาฮันนีมูนปั้มลูกกัน”
พริบพราวกับปราณนต์ถึงกับทำหน้าเก้อที่ลุงชาวบ้านเข้าใจว่าสองคนเป็นผัวเมียกัน
ปราณนต์จะอธิบาย “คือเราสองคนยังไม่ได้”
ลุงมองท้องฟ้าอย่างห่วงว่าฝนจะตก “ลุงไปก่อนนะ”
พริบพราวกับปราณนต์ต่างมองหน้ากันอย่างเก้อๆ เขินๆ ทำตัวไม่ถูก
แวว พจน์ และภูมิคุยกันอยู่ แววมีสีหน้าไม่สบายใจเพราะเป็นห่วงพริบพราว
“เย็นขนาดนี้แล้ว ทำไมยัยพราวไม่ถึงสักทีนะ” แววว่า
“นั่นสิ.. ผมว่ามันผิดปกติแล้วนะคุณ” พจน์บอก
“หรือว่านายปราณนต์อะไรนั่นน่ะ จะพายัยพราวแวะที่อื่น” ภูมิสงสัย
แววยิ่งเป็นห่วงพริบพราว “แวะที่อื่นเหรอ”
“ผมว่าคุณรีบติดต่อลูกให้ได้ดีกว่า”
แววควักมือถือมาโทรหาพริบพราวอีกแต่ก็ยังโทรไม่ติด
“ไม่ติดอีกแล้ว”
“หรือว่ายัยพราวจะเกิดอุบัติเหตุ” พจน์ว่า
“งั้นให้ตำรวจหายัยพราวดีกว่า” ภูมิบอก
พจน์พูดกับแวว “มาคุณ..ผมจะคุยกับตำรวจเอง”
พจน์คว้ามือถือจากแววมาโทร
พริบพราวกับปราณนต์ยืนมองเตียงที่มีอยู่เตียงเดียวด้วยอารมณ์ชะงัก แล้วเสียงคำพูดของลุงชาวบ้านก็ดังก้องในหูของทั้งสองคน
“คิดซะว่ามาฮันนีมูนปั้มลูกกัน”
พริบพราวกับปราณนต์ต่างหันสบตากันอย่างไม่ตั้งใจแล้วต่างก็รีบหลบตาก่อนจะหันไปมองทางอื่นจนเห็นเต๊นท์
“เอ่อ..เดี๋ยวผมปูเต๊นท์นอนข้างนอกดีกว่า”
ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องครืน
“เอ่อ ..ฝนจะตกแบบนี้ จะนอนข้างนอกได้เหรอ”
“ผมนอนได้ ..อย่างน้อยถ้าพ่อแม่พราวรู้ ท่านจะได้สบายใจที่ไม่มีใคร นินทาพราวได้ว่าค้างห้องเดียวกับผม”
พริบพราวยิ้มปลื้มใจที่ปราณนต์คิดถึงเกียรติของเธอ
“พราวไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมหาอะไรทำให้กิน”
พริบพราวมองไปทางตะกร้าใส่เสื้อผ้าแล้วสำรวจว่าพอจะมีเสื้อผ้าอะไรให้เปลี่ยนได้บ้าง
“ณนต์ ...จำตอนที่เราไปค้างที่โฮมสเตย์ของลูกค้ากันได้ไหม” พริบพราวหยิบผ้าขาวม้าและผ้าถุงมาโชว์ “บรรยากาศนั้นจะกลับมาอีกแล้วล่ะ”
ปราณนต์มองขำๆ “ไม่ใช่แค่ผ้าขาวม้ากับผ้าถุงนะที่เหมือน ตอนนั้น” ปราณนต์ชี้ออกไปทางนอกหน้าต่าง “เราต้องอาบน้ำริมน้ำอย่าง ตอนนั้นด้วย”
พริบพราวมองออกไปทางหน้าต่างด้วยสีหน้าที่คิดในใจว่าเอาอีกแล้วเหรอ
พริบพราวนุ่งผ้าถุงโดยมีผ้าขนหนูคลุมไหล่อีกทีเดินมากับปราณนต์ที่นุ่งผ้าขาวม้าและเสื้อยืด ทั้งสองเดินมาถึงท่าน้ำ
ปราณนต์สำรวจพื้นที่เพื่อให้พริบพราวอาบน้ำสะดวกๆ “พราวยืนรอตรงนั้นนะ เดี๋ยวผม หาใบไม้มาปูแล้วตักน้ำใส่ถังให้อาบตรงนี้ มันสะดวกกว่า”
ปราณนต์พูดจบก็หันไปมองหาถังน้ำ
พริบพราวมองปราณนต์ที่ดูแลเธออย่างดีด้วยสายตาที่มีความสุข
“ไม่เป็นไรหรอกณนต์ ..พราวอาบที่ท่าน้ำได้”
ปราณนต์มองพริบพราวอย่างไม่แน่ใจ “แน่ใจเหรอ ..ตรงท่าน้ำมันลื่นนะ”
พริบพราวพูดอย่างโอ้อวด “พราวไม่ใช่คนซุ่มซ่ามสักหน่อย พื้นแค่นี้..ทำอะไร พราวไม่ได้หรอก”
พริบพราวเดินลงไปที่ท่าน้ำ ยังไม่ทันที่พริบพราวจะเอื้อมมือหยิบขันอาบน้ำ เธอก็ลื่นตกน้ำดังตูม!
ปราณนต์ตกใจ “พราว”
พริบพราวทะลึ่งโผล่พ้นน้ำขึ้นมาแล้วรีบชูมือพร้อมกับร้องเรียกปราณนต์
“ณนต์ช่วยด้วย พราว..”
พริบพราวพูดไม่ทันจบก็จมน้ำลงไป แล้วไม่โผล่ขึ้นมาอีก
ปราณนต์มองหาพริบพราวด้วยความร้อนใจ “พราว !!”
ปราณนต์กระโดดลงน้ำไปงมหาพริบพราว พริบพราวโผล่ขึ้นมามองปราณนต์ที่ดำน้ำหาตัวเอง พริบพราวขำ
ปราณนต์โผล่ขึ้นมา พริบพราวรีบดำน้ำเพื่อซ่อนตัว ปราณนต์มองหาพริบพราวพร้อมตะโกนเรียก
“พราว !”
ปราณนต์ดำน้ำเพื่อหาพริบพราวต่อ พริบพราวโผขึ้นมาจากน้ำแล้วคอยจังหวะที่ปราณนต์โผขึ้นมาแต่ปราณนต์กลับหายไปไม่โผล่ขึ้นมาสักที พริบพราวมองหาปราณนต์จนรู้สึกว่าปราณนต์หายนานเกินไปแล้ว
พริบพราวเป็นฝ่ายร้อนใจแทน “ณนต์ ! ..ณนต์”
ปราณนต์ค่อยๆโผขึ้นมาทางด้านหลังพริบพราว พริบพราวมองหาปราณนต์พร้อมตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วง
“ณนต์ !! ณนต์อยู่ไหน”
ปราณนต์ยื่นหน้ามาพูดข้างหูพริบพราว “อยู่นี่”
พริบพราวรีบหันไปมองปราณนต์ด้วยความโกรธที่ทำให้เธอเป็นห่วง
“เล่นอะไรเนี่ย ! รู้ไหมว่าพราวเป็นห่วง”
“ใครกันแน่ที่เล่นก่อน” ปราณนต์ยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆ “ใครกันแน่ที่ทำให้ ผมห่วงก่อน”
พริบพราวชะงักเมื่อนึกได้ว่าตัวเองเป็นคนเริ่ม “ไม่ได้เล่นอะไรสักหน่อย เมื่อกี้ตะคริวกินขา แต่ตอนนี้หายแล้ว”
ปราณนต์บีบจมูกพริบพราวอย่างหมั่นเขี้ยว “คุณนี่จอมแถจริงๆ”
พริบพราวยิ้มยียวน ทันใดนั้นพริบพราวก็ร้องกรี๊ดขึ้นมา
“อ๊ายย” พริบพราวโผเข้ากอดปราณนต์ “ณนต์ช่วยด้วย”
ปราณนต์มองพริบพราวอย่างไม่แน่ใจว่าจะแกล้งอะไรอีก “จะแกล้งอะไรอีกเนี่ย”
พริบพราวพูดอย่างละล่ำละลักเพราะตกใจกลัว “ไม่ได้แกล้ง มีตัวอะไรไม่รู้พันขาพราว อยู่ใต้น้ำ ..อี๊ ...มันเป็นเส้นๆ” พริบพราวยิ่งกลัว “งะ..งูแน่ๆเลย ! ณนต์ช่วยพราวด้วย ! เอามันออกไปที”
พริบพราวกอดปราณนต์ แล้วเอาหน้าซุกกับไหล่ของปราณนต์แน่นด้วยความกลัว ปราณนต์พยายามมองในน้ำ แต่น้ำขุ่นทำให้มองไม่เห็นอะไร ปราณนต์ตัดสินใจอุ้มพริบพราวขึ้นจากน้ำเพื่อดูว่าอะไรพันข้อเท้าพริบพราวกันแน่ แล้วปราณนต์ก็เห็นว่าสิ่งที่พันขาพริบพราวคือ เชือกฟาง
พริบพราวยังเอาหน้าซุกไหล่ปราณนต์ไว้ไม่ยอมมองว่าอะไรพันขาตัวเอง “ณนต์! งูใช่ไหม เอามันออกไปที”
ปราณนต์ขำก่อนจะวางร่างพริบพราวให้นั่งที่ท่าน้ำโดยให้ห้อยขาลงไปในน้ำ ในขณะที่ปราณนต์ยังอยู่ในน้ำ
“ใช่งูที่ไหนล่ะพราว”
พริบพราวชะงักแล้วหยุดร้องก่อนจะลืมตามองที่ขาตัวเองทำให้เห็นว่าเชือกฟางพันขาตัวเองอยู่ พริบพราวโล่งอกและเสียหน้าที่ปราณนต์หัวเราะเยาะ
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าจะมีเชือกในน้ำ”
พริบพราวดึงเชือกออกจากขาอย่างเซ็งๆ แต่ยิ่งดึง เชือกก็ยิ่งพันจนผูกเป็นปมเอาไม่ออก
“มา! ..ผมทำให้”
ปราณนต์ประคองจับข้อเท้าของพริบพราวที่ถูกเชือกพันมาตรงหน้าตัวเองแล้วจึงก้มลงกัดเชือกฟางตรงข้อเท้า
ของพริบพราว พริบพราวมองปราณนต์ที่ยอมก้มลงไปกัดเชือกที่ข้อเท้าตัวเองอย่างอึ้งๆ เพราะคาดไม่ถึงที่ปราณนต์ไม่นึกรังเกียจ
“ณนต์....”
ปราณนต์กัดเชือกฟางจนขาดแล้วเงยหน้าขึ้นมามองพริบพราว
พริบพราวทั้งเขินและรู้สึกดี “ไม่เห็นต้องทำอย่างนั้นเลย ..เชือกมันอยู่ที่เท้าพราว”
ปราณนต์ยิ้มละมุน “ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ ..พราวเป็นแฟนผมนะ”
พริบพราวฟังปราณนต์พูดแล้วชะงักมองปราณนต์ด้วยสายตามีความสุขกับสิ่งที่ปราณนต์ทำ ทำให้หัวใจของ
พริบพราวร่ำร้องว่าไม่อยากเสียปราณนต์ไปให้ใคร
พริบพราวเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
ปราณนต์พูดกับเธอ “ระหว่างที่คุณเปลี่ยนเสื้อผ้า ..ผมสำรวจหาของกินทั้งบ้านแล้ว มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ 1 ห่อ” ปราณนต์ยื่นช้อนส้อมให้พริบพราว “พราวกินซะ ผมไม่ค่อยหิว”
ทันใดนั้นเสียงท้องปราณนต์ก็ร้อง พริบพราวได้ยินแล้วก็ขำ
พริบพราวยื่นช้อนส้อมให้ปราณนต์ “ณนต์นั่นแหละกินเถอะ ..พราวไม่หิว”
ทันใดนั้นเสียงท้องพริบพราวก็ร้องเหมือนกัน ปราณนต์ได้ยินแล้วก็หัวเราะ
“งั้นเราแบ่งกันกินแล้วกันเนอะ”
พริบพราวยิ้มรับแล้วยื่นช้อนให้ปราณนต์ ส่วนตัวเองใช้ส้อม ปราณนต์ใช้ช้อนตักบะหมี่แต่ก็ตักไม่ขึ้นสักที
พริบพราวมองปราณนต์ แล้วตัดสินใจใช้ส้อมตัวเองตักบะหมี่แล้วยื่นไปจะป้อนปราณนต์ ปราณนต์มองพริบพราว
แล้วกินบะหมี่ที่พริบพราวป้อน พริบพราวยิ้มเขินๆ แล้วจึงตักบะหมี่กินบ้าง
ปราณนต์กับพริบพราวต่างดูดเส้นบะหมี่ของตัวเอง โดยที่ทั้งสองคนไม่รู้ว่ากำลังดูดเส้นบะหมี่เส้นเดียวกันจนกระทั่งหน้าของทั้งสองคนใกล้กัน ปราณนต์กับพริบพราวต่างสบตากันแล้วก็ชะงัก พริบพราวคิดว่าตัวเองจะผงะออกไปแต่เป็นเพราะความรู้สึกที่รักปราณนต์เต็มอก ยิ่งเห็นความดีของปราณนต์ก็ยิ่งอยากครอบครองตัวเขาไว้ พริบพราวจึงค่อยๆขยับดูดเส้นบะหมี่จนจมูกชิดกับจมูกปราณนต์
ปราณนต์มองพริบพราวอย่างอึ้งๆ ทำตัวไม่ถูกว่าเขาควรจะดำเนินยังไงต่อไป จะผงะหรือเดินหน้าเข้าพริบพราว
ในระหว่างที่สองคนต่างสบตากันเกือบจะเคลิ้บเคลิ้ม ก็เกิดเสียงฟ้าร้องครืนทำให้พริบพราวและปราณนต์ตั้งสติได้แล้วแยกหน้าออกจากกัน
ปราณนต์เก้อเขิน “เอ่อ ..ผมไปกางเต๊นท์นอนดีกว่า”
ปราณนต์ลุกขึ้นไปหยิบเต๊นท์ พริบพราวมองหน้าต่างก็เห็นว่าฝนกำลังจะตกจึงตัดสินใจเรียกปราณนต์ไว้
“ณนต์”
ปราณนต์หันมามองพริบพราว
“เอ่อ.. ดูท่าท่งคืนนี้ฝนจะตกหนัก ณนต์นอนข้างในก็ได้”
ปราณนต์กลัวพริบพราวจะเสียหาย “แต่ว่า...”
“ณนต์นอนข้างล่าง พราวนอนบนเตียง แล้วเปิดไฟไว้..เท่านี้ใครๆก็ ว่าเราทำอะไรเสียหายได้แล้วล่ะ”
ปราณนต์ชะงักเพราะคิดตามแผนของพริบพราว แล้วเขาก็หันไปมองหน้าต่างว่าฝนอาจจะตกจริงๆ ปราณนต์จึงตัดสินใจทำตามที่พริบพราวบอก
“เอาอย่างนั้นก็ได้”
ปราณนต์เอาเสื่อมาปูที่พื้น พริบพราวปัดที่นอนแล้วนั่งบนเตียงมองปราณนต์ที่นั่งบนเสื่อเพื่อเตรียมตัวนอน
พริบพราวบอกปราณนต์ “กู๊ดไนท์”
“กู๊ดไนท์” ปราณนต์ตอบ
พริบพราวล้มตัวนอนโดยหันหลังให้ปราณนต์ ปราณนต์ทิ้งตัวนอนบนเสื่อแล้วคอยเหลือบมองพริบพราวที่นอนหันหลังให้ พริบพราวแอบเหลือบมองปราณนต์แล้วนอนยิ้ม ทันใดนั้นพริบพราวก็เห็นจิ้งจกอยู่บนที่นอน สายตาของพริบพราวกับจิ้งจกสบตาประสานกัน พริบพราวชะงักและกำลังจะอ้าปากกรี๊ด จิ้งจกก็วิ่งเข้าใส่คอเสื้อของพริบพราวทันที
“อ๊ายย”
พริบพราวลุกขึ้นจากเตียงวิ่งมาหาปราณนต์
“ณนต์ช่วยด้วย ! ..เอาจิ้งจกออกไปที”
ปราณนต์ตกใจ “จิ้งจกอยู่ไหน”
พริบพราวเอามือชี้ในเสื้อของตัวเอง
“มันวิ่งเข้ามาในเสื้อพราว ณนต์ช่วยเอามันออกไปที เร็ว”
ปราณนต์ตกใจจึงรีบไล่จิ้งจกโดยไม่ทันยั้งคิดว่าตัวเองต้องสัมผัสอะไรบ้างก่อนที่จะไล่จิ้งจกได้ จิ้งจกตกมาที่พื้น พริบพราวมองปราณนต์เขินๆ
“ไม่เป็นไร ..เดี๋ยวผมปัดที่นอนให้นะ จะได้ไม่มีตัวอะไรมาอีก” ปราณนต์บอก
ปราณนต์เดินไปปัดที่นอนให้พริบพราว
พริบพราวพึมพำบอกตัวเอง “ตั้งสติไว้พราว จะได้ไม่ทำอะไรเปิ่นๆอีก”
พริบพราวผ่อนลมหายใจเพื่อกำหนดลมหายใจให้ตัวเองมีสติ ทันใดนั้นไฟก็ดับฟึ่บ พริบพราวตกใจรีบพุ่งเข้าไปกอดปราณนต์ในความมืด
“ณนต์”
ปราณนต์เอื้อมมือไปหยิบไฟฉายที่อยู่ตรงข้างเตียงมาเปิดไฟส่องตรงหน้าทำให้เห็นว่าพริบพราวเข้ามากอดเขาและจมูกของพริบพราวก็อยู่ติดกับแก้มของปราณนต์ พริบพราวตกใจจึงรีบผลักปราณนต์ออกไปทำให้ปราณนต์ล้มไปชนโต๊ะ
ปราณนต์ร้อง “โอ้ย”
พริบพราวมองปราณนต์ด้วยความตกใจ “ณนต์”
ไฟในบ้านยังดับมีเพียงแสงจากไฟในตะเกียงเจ้าพายุและไฟฉายส่องอยู่ พริบพราวกับปราณนต์นั่งด้วยกันบนเตียง โดยพริบพราวกำลังเอามือคลำหัวของปราณนต์ที่มีรอยเขียวด้วยความรู้สึกผิด
“พราวไม่ได้ตั้งใจ พราวขอโทษ”
“ไม่เป็นไร” ปราณนต์เอามือแตะแก้มที่ถูกพริบพราวหอมแล้วพูดอย่างกรุ้มกริ่ม “เจ็บตัวครั้งนี้ ถือว่าคุ้ม”
พริบพราวเขินจึงง้างมือจะตีปราณนต์แก้เขิน
ปราณนต์ขำ “นอนเถอะ ..พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้าไปหาพ่อแม่พราวกัน”
ปราณนต์ทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปนอนที่เสื่อ พริบพราวดึงมือปราณนต์ไว้ ปราณนต์มองพริบพราวด้วยความสงสัย
พริบพราวมองบรรยากาศในบ้านที่มืดสนิทและเงียบอย่างกลัวๆ “ณนต์นอนข้างๆ พราวได้ไหม ..พราวกลัว”
ปราณนต์ชะงักมองพริบพราว
พริบพราวนึกได้ว่าเดี๋ยวปราณนต์จะมองไม่ดีจึงรีบเดินไปหยิบหมอนมาวางกั้นตรงกลางเพื่อแบ่งอาณาเขต
“นี่ แบ่งพื้นที่กันให้ชัดเจน ให้ณนต์นอนไกล้ๆแต่ไม่อนุญาตให้ล้ำเขตแดน”
ปราณนต์ยิ้มขำๆแล้วพูดเสียงอ่อนโยน “นอนเถอะ ..ไม่ต้องกลัว ผมสัญญา ..ว่าจะอยู่ข้างๆคุณ ไม่หายไปไหน”
พริบพราวฟังคำพูดของปราณนต์แล้วชะงักเพราะมันคือสิ่งที่เธอต้องการให้ปราณนต์อยู่เคียงข้างเธอไปทั้งชีวิต
“สัญญานะณนต์ ..ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ณนต์จะไม่ทิ้งพราวไปไหน”
ปราณนต์มองพริบพราวแล้วเอื้อมมือไปไล้แก้มพริบพราวเบาๆ
“ครับ”
พริบพราวเอามือตัวเองประคองมือของปราณนต์ที่ไล้แก้มตัวเองพร้อมกับยิ้มมีความสุข
“กู๊ดไนท์”
“กู๊ดไนท์”
พริบพราวค่อยๆล้มตัวลงนอน ปราณนต์มองพริบพราวนอนจึงล้มตัวลงนอนบ้าง พริบพราวแอบหันมามองปราณนต์แล้วยิ้มอย่างมีความสุข
ปราณนต์กำลังนอนหลับ ทันใดนั้นมือของพริบพราวก็พาดฟาดลงบนหน้าอกปราณนต์อย่างแรงจนปราณนต์สะดุ้งตื่น ปราณนต์ตกใจเพราะคิดว่าพริบพราวมีเรื่องอะไรจึงปลุกเขา ปราณนต์รีบลุกขึ้นมาชะโงกมองพริบพราวก็เห็นพริบพราวนอนหลับปกติ ปราณนต์จึงล้มตัวลงนอนต่อ ทันใดนั้นขาของพริบพราวก็ฟาดมาบนเอวของปราณนต์ ปราณนต์สะดุ้งเฮือก แล้วลุกขึ้นมามองพริบพราว
“ทำไมนอนดิ้นขนาดนี้เนี่ย”
ทันใดนั้นพริบพราวพลิกตัวแล้วเหวี่ยงมือไปตบโดนหน้าปราณนต์จนปราณนต์ถึงกับเซ ปราณนต์เอามือจับหน้าตัวเองเพราะเจ็บแล้วก็มองพริบพราวที่นอนดิ้น
ปราณนต์พึมพำ “เอาไงดีวะ”
ปราณนต์ตัดสินใจหยิบหมอนลงไปนอนบนพื้นข้างเตียง ในขณะที่กำลังจะหลับ พริบพราวก็ตกจากเตียงลงมาทับปราณนต์ ปราณนต์จุกแต่พริบพราวไม่เจ็บจึงยังนอนหลับต่อพร้อมกับพลิกตัวจะฟาดแขนไปโดนปราณนต์ แต่ปราณนต์จับมือพริบพราวไว้ทัน
ปราณนต์มองพริบพราวว่าจะทำยังไงดี เขาจะอุ้มพริบพราวขึ้นไปบนเตียงแต่ก็ทุลักทุเลเพราะกลัวพริบพราวตื่น ปราณนต์จึงตัดสินใจหยิบหมอนของพริบพราวมาวางให้พริบพราวนอนบนพื้นข้างๆตัวเอง แล้วใช้มือตัวเองจับมือพริบพราวไว้ทั้งสองข้างเพื่อป้องกันไม่ให้พริบพราวนอนดิ้นมาโดนเขาอีก
ปราณนต์จับมือพริบพราวทั้งคืนจนเผลอหลับ จากที่จับมือก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นโอบกอดพริบพราวให้นอนอยู่ในอ้อมกอดของเขาตลอดคืน
พริบพราวที่หลับอยู่ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นแล้วพริบพราวก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของปราณนต์ พริบพราวมองว่าตัวเองลงมานอนบนพื้นกับปราณนต์ได้ยังไง ปราณนต์ขยับตัวแต่ตายังหลับอยู่ พริบพราวรีบหลับตา เพราะไม่อยากสบตากับปราณนต์ในขณะที่ตัวเองกำลังนอนอยู่ในอ้อมกอดปราณนต์อย่างนี้
ปราณนต์ยังหลับต่อ พริบพราวค่อยๆลืมตาก็เห็นปราณนต์หลับต่อ พริบพราวจึงใช้เวลานี้มองหน้าปราณนต์ในยามหลับใกล้ๆ เพื่อกักเก็บความสุขไว้เผื่อวันนึงที่ปราณนต์รู้ความจริง เธอก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดปราณนต์ได้อย่างนี้อีก
วันต่อมา ในขณะที่พริบพราวกำลังค้นหาของกินก็เจอไข่ไก่ในตู้1ฟอง พริบพราวหยิบมือถือขึ้นมากดโทรออกมา พร้อมถอนหายใจด้วยความเซ็ง
“โอ้ย..สัญญาณไม่มีแม้แต่ขีดเดียว นี่ฉันโดนตัดขาดจากโลกภายนอกแล้วเหรอเนี่ย”
ปราณนต์เดินเข้ามา
“ยังติดต่อคุณแม่คุณไม่ได้เหรอ”
พริบพราวส่ายหน้า
“เดี๋ยวผมไปถามลุงดีกว่าว่าทางพอจะลงไปได้หรือยัง”
ปราณนต์เดินออกไป
พริบพราวถือจานไข่เจียวอมน้ำมันเข้ามาวางบนโต๊ะด้วยสีหน้าภูมิใจ ปราณนต์เดินกลับเข้ามา
“ผมหาลุงไปเจอ ไม่รู้ไปใหนแล้ว” ปราณนต์มองจานไข่แล้วถาม “นั่นทำอะอะไร”
“พราวกลัวณนต์หิวเลยทอดไข่ไว้ให้”
“ดีใจจังที่ผมได้ชิมฝีมือของพราวคนแรก”
พริบพราวยิ้ม “งั้นอ้าปาก พราวป้อน”
ปราณนต์ยิ้มแหยๆ เพราะไม่อยากกิน แต่ก็ไม่อยากปฏิเสธน้ำใจพริบพราวมากกว่าจึงยอมอ้าปาก
พริบพราวตักไข่เจียวป้อนปราณนต์ ปราณนต์แทบอ้วกออกมาเพราะไข่เจียวเค็มมาก แต่เขาก็ต้องกลืน
“อร่อยไหม” พริบพราวถาม
ปราณนต์กัดฟันตอบ “ก็...โอเค”
“งั้นอีกคำนะ” พริบพราวตักไข่คำใหญ่กว่าเดิม
ปราณนต์จำใจอ้าปากกินโดยฝืนกินจนเหงื่อแตก
“ทำไมเหงื่อแตกขนาดนั้นล่ะ ร้อนล่ะสิ”
พริบพราวเดินไปหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาเช็ดเหงื่อให้ปราณนต์ ทั้งสองคนประสานสายตากัน ทันใดนั้นลุงก็เดินเข้ามา
“คุณปราณนต์ คุณพริบพราวครับ ผมมีข่าวดีมาบอก ตอนนี้ถนนใช้งานได้แล้วครับ”
พริบพราวกับปราณนต์ยิ้มดีใจ
ปราณนต์ขับรถพาพริบพราวเข้ามาที่บ้านของพริบพราว ทั้งสองลงจากรถแล้วรีบวิ่งเข้ามาหาแวว
“พราว” แววดีใจ
“คุณแม่”
สองแม่ลูกโผหากันด้วยความดีใจ
“พราวขอโทษนะคะแม่เมื่อคืนไม่มีสัญญานจริงๆ พอออกจากป่ามาได้พราวก็รีบโทรมาหาแม่ทันที” พริบพราวมองหาพจน์ “แล้วพ่อหละคะ”
“พ่อกับพี่ภูมิเขารอไม่ไหวเลยออกไปตามหาลูกตั้งแต่เช้ามืด พอแม่ติดต่อหนูได้แม่ก็รีบโทรบอกพ่อว่าหนูติดต่อมาแล้ว แต่ก็ติดต่อคุณพ่อไม่ได้ จนตอนนี้พ่อกับพี่ภูมิก็ยังไม่ได้รับโทรศัพท์แม่เลย”
“คุณพ่อเขาออกไปใหนเหรอครับแม่” ปราณนต์ถาม
“ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่ เพราะเธอนะแหละทำให้เรื่องมันวุ่นวายแบบนี้”
ปราณนต์สะอึก พริบพราวมองปราณนต์ด้วยความเห็นใจ
“คุณแม่คะ ณนต์เป็น “แฟน” พราวนะคะ”
“เพื่อน” ตอนนี้เป็นได้แค่เพื่อน เพราะแม่ยังไม่ยอมรับว่าเป็นมากกว่านี้” แววพูดกับปราณนต์ “เรียกฉันว่า “คุณหมอ” ก็แล้วกัน”
“งั้นคุณหมอพอจะทราบไหมครับว่าคุณพ่อไปที่ไหน” ปราณนต์ถามใหม่
แววพูดโดยไม่มองหน้าปราณนต์ “เห็นว่าจะไปแถวเขื่อน”
ปราณนต์รีบสรุป “งั้นก็ไปตามหาที่เส้นทางไปสันเขื่อน”
ปราณนต์ขี่มอเตอร์ไซด์นำไปแวะถามคนที่มาตกปลาตามที่ต่างๆ แต่ก็ไม่มีใครรู้ ปราณนต์ดูคล่องแคล่วและจริงจังมากจนแววที่อยู่บนรถมองไม่วางตา
ปราณนต์เดินลงเข้ามาถามทางชาวบ้านที่อยู่บริเวณทางเละ พริบพราวและแววที่เดินตามมาเดินอย่างทุลักทุเล
พริบพราว ปราณนต์ และแววเดินลุยตามหาแบบทั้งเหนื่อย ทั้งเพลีย แต่ปราณนต์ก็สู้ พริบพราวเดินก้าวพลาดจะล้ม แววจะคว้า แต่ปราณนต์ช่วยไว้ทัน ปราณนต์ช่วยพริบพราวด้วยความใส่ใจซึ่งแววก็มองไม่วางตา แววตาของแววเริ่มเป็นมิตรกับปราณนต์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อ่านต่อหน้าที่ 3
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 11 (ต่อ)
ปราณนต์ไปถามคนตกปลาที่อยู่แถวนั้น พริบพราวกับแววยืนอยู่อีกมุม
ปราณนต์พูดกับคนตกปลา “ขอบคุณครับ”
ปราณนต์เดินมาหาพริบพราวกับแวว
“พี่คนเมื่อกี๊อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เก้าโมง แต่ไม่เห็นคุณพ่อและพี่ชายของพราวเลยครับ”
พริบพราวสวน “หรืออาจจะตั้งใจมาแต่เกิดอุบัติเหตุระหว่างทางก่อนมาถึงที่นี่”
ปราณนต์พูดทันที “ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเมื่อกี๊เราก็มาทางนั้น แต่ไม่มีวี่แววว่าวันนี้มีอุบัติเหตุ..ถนนก็ใหญ่ไม่มีจุดเสี่ยง ไม่เหมือนถนนจากบ้านพักมาที่ริมเขื่อน ทางหักศอก โค้งไม่ได้มุม อันตรายมากกว่าโดยเฉพาะถ้าขับตอนตีห้า”
ทุกคนชะงักเพราะเห็นด้วย แววถึงกับหลุดปากออกมา
“ไม่นะ”
พริบพราวหันขวับ “ไม่อะไรคะแม่” พริบพราวเผลอส่งเสียงคาดคั้น ปราณนต์มองพริบพราว
“เมื่อเช้าก่อนจะออก ภูมิบ่นๆว่าเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ ดูง่วงๆ แม่เตือนแล้วว่าอย่าแยกกันขับไป แต่พ่อเราก็ยังยืนยันว่าจะไปให้ได้ ภูมิก็เลยตามใจ ขับรถให้คุณพ่อ” แววบอก
พริบพราวปรี๊ดทันที “แล้วทำไมคุณแม่เพิ่งมาบอกตอนนี้คะ !! นี่มันข้อมูลสำคัญมากนะคะ” แววขวัญเสีย
ปราณนต์รีบห้ามพริบพราว “พราวๆๆ ไม่ใช่เวลามาโวยวายตอนนี้” ปราณนต์จับพริบพราวให้หันมาแล้วปราม “ใจเย็นๆ ขึ้นรถและขับตามผมมา” ปราณนต์ย้ำ “อย่า-ใจ-ร้อน”
พริบพราวหลับตาตั้งสติ “โอเคๆ ไม่ใจร้อน ค่อยๆขับ โอเค” พริบพราวใจเย็นลง ปราณนต์พยักหน้าไปทางแววที่ยังช๊อคและรู้สึกผิดอยู่ พริบพราวเข้าใจจึงหันมาทางแววและพยายามพูดอย่างใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ “แม่คะ...พราวขอโทษที่เสียงดังเมื่อกี๊..เรารีบขึ้นรถกันเถอะค่ะ” พริบพราวจับมือแวว “แม่ทำใจดีๆไว้นะคะ พราวเชื่อว่าคุณพ่อและพี่ภูมิต้องปลอดภัยค่ะ”
ปราณนต์มองพริบพราวด้วยความชื่นชม แววพยักหน้ารับ พริบพราวรีบประคองแมววไปที่รถ ปราณนต์รีบวิ่งไปที่มอเตอร์ไซด์แล้วสตาร์ทเครื่องอย่างแรง
ปราณนต์ขี่มอเตอร์ไซด์นำ พริบพราวขับรถตาม ถนนสองข้างทางเป็นป่าและทางเขาชัน อีกด้านหนึ่งเป็นป่าที่เห็นว่ามีทางลาดลงเบื้องล่าง ปราณนต์ขี่นำมาสักพักก็สะดุดเข้ากับแนวหักของกิ่งไม้เหมือนมีรถขนาดใหญ่รูดลงข้างทาง ปราณนต์โบกมือให้พริบพราวขับนำไปและจอดหลบที่ไหล่ทาง แววมองปราณนต์แล้วก็งงๆ
“อะไร เกิดอะไรขึ้น”
“ณนต์ให้เราขับเลยไป แล้วไปจอดที่ไหล่ทางข้างหน้าค่ะ” พริบพราวบอก
แววมองปราณนต์ก็เห็นว่าปราณนต์จอดมอเตอร์ไซด์แล้วรีบลงมาดูที่ข้างทาง แววรีบตะโกนบอกพริบพราว
“จอดๆๆ” แววบอก พริบพราวตกใจจึงจอด แววรีบเปิดประตูลงไปทันที
พริบพราวตกใจ “คุณแม่” พริบพราวงงจึงจอดรถคาถนน
ปราณนต์หันมาเห็นก็รีบตะโกนบอก “พราวขับรถไปจอดข้างหน้า จอดตรงนี้อันตราย”
ปราณนต์รีบตะโกนบอกสุดเสียงด้วยความเป็นห่วงพริบพราว แววเห็นพริบพราวรีบเคลื่อนรถไป แววรีบวิ่งมาหาปราณนต์ ปราณนต์มองจนแน่ใจว่าพริบพราวขับรถไปปลอดภัยก็หันมาทางไหล่เขา เตรียมจะเดินลงไปสำรวจ แววรีบเดินมาหา
“มีอะไร เธอจะทำอะไร” แววถาม
“ผมเห็นรอยหักของต้นไม้มันดูผิดปกติ เหมือนมีรถชนลากไปเป็นทาง ผมจะลงไปดู” ปราณนต์กำลังจะเดินลงไป
แววใจคอไม่ค่อยดีแล้วก็พูดขึ้น “เธอ” ปราณนต์หันมา แววพูดต่อ “ระวังตัวด้วย”
แววพูดน้ำเสียงที่เป็นห่วง ปราณนต์ชะงักเพราะดีใจที่แววเป็นห่วง ปราณนต์พยักหน้ารับอย่างนอบน้อมและค่อยๆไหลตัวไปตามทาง แววมองตามด้วยความร้อนใจ พริบพราววิ่งมาสมทบ
“เป็นยังไงบ้างคุณแม่”
ปราณนต์เคลื่อนตัวลงมาตามไหล่เขาอย่างทุลักทุเล ทางเริ่มมืดทำให้มองไม่ค่อยเห็น พริบพราวกับแววลุ้นอยู่ริมถนนด้วยความตื่นเต้น
“ณนต์ !! เป็นยังไงบ้าง ยังโอเคหรือเปล่า” พริบพราวตะโกนถาม
ปราณนต์ตะโกนขึ้นไป โดยระหว่างตะโกนก็ปีนไปด้วย
“โอเค” สิ้นเสียงปราณนต์ก็ลื่นอย่างแรง ปราณนต์ร้องด้วยความตกใจ “อ๊าก”
พริบพราวกับแววตกใจ พริบพราวตะโกนสุดเสียง
“ณนต์ !!” แววจับมือพริบพราวให้กำลังใจด้วยความเป็นห่วงทั้งสองคนแม่ลูก
ปราณนต์ลื่นไถลและกลิ้งๆ จนมาหยุดเพราะชนเข้ากับรถคันหนึ่ง
ปราณนต์ร้อง “โอ้ย”
ปราณนต์คลำหัวที่โขกเข้าที่รถอย่างแรงแล้วก็ค่อยๆ หันมาดูต้นตอ ทันทีที่เห็นเต็มๆตา ปราณนต์ก็ตะโกนขึ้นสุดเสียงเพราะว่าเขาเห็นภูมิกับพจน์นอนสลบอยู่ในรถ
“พราว เรียกรถพยาบาลด่วน”
เสียงปราณนต์ดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่า
ณ คอนโดลิปดาเวลาค่ำคืน อวัศยาพูดหน้ากวนๆ
“บอสอย่ามาเร่งได้มั้ย คนกำลังกิน”
อวัศยากำลังนั่งกินผลไม้อย่างละเลียดและใจเย็นผิดกับลิปดาที่เดินงุ่นง่านไปมา
ลิปดาหยุดเดินแล้วหันมา “นี่คุณกำลังแกล้งให้ผมร้อนใจ อยากรู้ข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันของคุณใช่มั้ย”
อวัศยาพูดกวนๆ “ก็-ไม่รู้-สิ-นะ”
ลิปดาหมั่นเขี้ยวจึงลากเก้าอี้มานั่งเผชิญหน้า “โอเค้ รอก็รอ..ผมไม่เดือดร้อน ถึงผมไม่รู้ว่าข้อตกลงในการอยู่ร่วมกันของคุณคืออะไร.. แต่ระหว่างรอคุณก็ไม่ได้ไปไหน ยังอยู่กับผมในห้องนี้ เพราะฉะนั้นจะให้ผมรอไปถึงพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรือ ปีหน้าผมก็รอได้” ลิปดายิ้มกวน
อวัศยาชะงักว่าเออจริง เธอรีบวางจานผลไม้แล้วกลับมาคุมเกม
“โอเคๆ เราเริ่มมาทำข้อตกลงกันเลยก็แล้วกัน ไม่ต้องรอแล้ว”
ลิปดายิ้มสะใจ อวัศยาลุกขึ้นดำเนินการตกลง
“ข้อตกลงที่หนึ่ง .. เรื่องค่าเช่าห้อง” ลิปดาเลิกคิ้วแปลกใจ อวัศยาพูดต่อ “นับจากวันนี้ถือว่าฉันเช่าห้องนอนใหญ่ของบอสในราคา 3,000 บาทต่อเดือน ดังนั้นอาณาเขตของห้องนั้นถือเป็นกรรมสิทธิ์ของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่าย คุณต้องเอากุญแจห้องนั้นทั้งตัวจริงและตัวสำรองมาให้ฉันถือไว้ทั้งหมด ฉันอนุญาตให้บอสเก็บข้าวของหรือเสื้อผ้าไว้ในตู้ได้ แต่ต้องขออนุญาตเข้าไปหยิบ”
“ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าผมไม่ขอคุณก็ด่าผมอยู่ดี”
อวัศยาสะอึก “ก็ใช่ แต่ตอนนั้นบอสโดนด่าฟรี แต่ตอนนี้บอสได้ค่าเช่าจากฉันไง”
“แหม รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ข้อตกลงที่สองเลยแล้วกัน..เชิญ”
“ข้อสอง .. ระหว่างที่ฉันนอนห้องนอนใหญ่ บอสต้องไปนอนที่ห้องรับแขก แต่ฉันก็จะมาใช้ห้องรับแขกบ้าง ตามความเหมาะสม”
“ผมไม่เคยหวงอยู่แล้ว แถมห้องครัวให้ใช้ฟรีอีกห้องเลย”
“ขอบคุณ..แต่นับจากนี้ไป ฉันจะซื้ออาหารในส่วนของฉันมาเอง ไม่รบกวนคุณ”
“คุณห้ามไม่ให้ผมเข้าห้องนอนคุณ โอเคผมรับได้ แต่คุณห้ามผมทำอาหารให้คุณ..ไม่ได้ ผมจะทำไว้ให้เหมือนเดิม แต่คุณจะกินหรือไม่กินก็เรื่องของคุณ”
ลิปดาพูดด้วยความหนักแน่นแต่แฝงด้วยความอบอุ่น อวัศยาสะท้านใจนิดๆ แต่เก็บอาการ ลิปดาตัดบท
“หมดแล้วใช่มั้ยข้อตกลงของคุณ”
“ตอนนี้มีแค่นี้ แต่อาจจะเพิ่มในอนาคต แล้วนี่” อวัศยาล้วงเงินออกมาจากกระเป๋า “ค่าเช่าสำหรับเดือนแรก สามพันบาทถ้วน”
ลิปดามองแล้วก็ขำๆ เขายื่นมือข้างที่มีโดนค้อนทุบมารับไป อวัศยาชะงักแล้วคว้ามือลิปดามาทันที
“นิ้วคุณเป็นอะไร”
ลิปดารีบดึงหลบไปข้างหลัง “ไม่มีอะไร”
อวัศยาไม่ยอม “ทำไมต้องเอามือไปซ่อนข้างหลังด้วย ขอดูหน่อย” อวัศยาแบมือ ลิปดาส่ายหน้า ศยาพูดเสียงดุ “งั้นฉันจะย้ายออกเดี๋ยวนี้”
ลิปดารีบยื่นให้ดูทันที “โอเคๆ ให้ดูก็ได้”
นิ้วของลิปดามีผ้าพันแผลพันไว้อย่างเยินและเละเทะมาก อวัศยาอึ้ง
อวัศยาทำแผลให้ลิปดาโดยทำไปบ่นไป
“ทำไมต้องทำตัวเป็นเด็กๆ ห่อแผลไว้สกปรกๆ เดี๋ยวก็เป็นบาดทะยักหรอก”
ลิปดามองอวัศยายิ้มๆ “ตอนแรกแจนก็ทำแผลให้สวยงาม แต่เมื่อเช้าอาบน้ำแล้วผมต้องทำเอง มันก็เลยเป็นอย่างที่เห็น .. ที่จริงคุณไม่เห็นจะต้องเป็นห่วงผมเลย”
“ใครบอกว่าฉันเป็นห่วงคุณ แค่ไม่อยากรู้สึกผิดที่คุณต้องการตายเพราะตอกตะปูซ่อมตู้ให้ฉัน อะเรียบร้อยแล้ว”
ลิปดามองดูนิ้วที่ถูกพันผ้าไว้อย่างสวยงาม “ทำกับข้าวไม่เป็น แต่ทำแผลเป็นก็โอเคนะ .. เอาใจแฟนด้วยการทำกับข้าวไม่ได้ อย่างน้อยก็ทำแผลให้เขาเวลาโดนมีดบาดตอนทำกับข้าวให้คุณได้..ก็ยังดี”
อวัศยาส่ายหน้าแล้วพูดพลางเก็บอุปกรณ์ทำแผล
“ผู้ชายก็คิดแค่นี้อยากได้ผู้หญิงสำเร็จรูปทำได้ทุกอย่างตั้งแต่หน้าที่เมียยันคนรับใช้”
“อ้าวอย่างเพิ่งสรุปสิ มีผมคนนึงหล่ะที่ไม่ต้องการผู้หญิงสำเร็จรูป ผมไม่มายด์หรอกนะ ถ้าเมียผมจะทำกับข้าวไม่เป็น เพราะบังเอิญผมทำเก่ง” ลิปดายิ้ม
อวัศยาหมั่นไส้ “ค่า....มิสเตอร์เพอร์เฟค สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง ! ทำได้ทุกอย่าง”
ลิปดาขำ “รู้ว่าประชด แต่จะถือว่าเป็นคำชม”
ลิปดาหัวเราะอารมณ์ดีเพราะดีใจที่อวัศยาอยู่ต่อ อวัศยาส่ายหน้า
อวัศยาพูดเบาๆ “ฉันคิดถูกมั้ยเนี่ยที่อยู่ต่อ”
ลิปดายื่นหน้าเข้ามา “นี่ถามหน่อย ที่บอกว่าจะตัดใจจากปราณนต์พูดจริงใช่มั้ย” ลิปดาลุ้นๆ
“บอสไม่ต้องมายุ่งหรอกน่า”
“งั้นยุ่งเรื่องอื่นก็ได้..ที่คุณเคยบอกว่าชอบปราณนต์เพราะเค้าเสี่ยงชีวิตเพื่อคุณ คุณถึงรักเค้า ผมว่ามันไม่ยุติธรรม เพราะอาจจะมีใครบางคนที่รักคุณ แต่ไม่มีโอกาสจะเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยคุณ .. เค้าก็จะไม่มีวันได้ความรักจากคุณ .. มันไม่ยุติธรรมจริง” ลิปดาย้ำ
อวัศยาค่อยๆหันมามองลิปดา ลิปดามองตอบ ทั้งสองจ้องตากันแล้วเหมือนมีกระแสความคิด ความรู้สึกอะไรบางอย่างแผ่ออกมา อยู่ๆ อวัศยาก็ใจเต้นแรงแต่แล้วก็เฉไฉ
“แล้วบอสคิดว่าฉันสวยขนาดที่จะมีผู้ชายมาเข้าคิวขอเสี่ยงชีวิตเพื่อฉันสักกี่คน”
ลิปดาสวน “อย่างน้อยก็สองคน ปราณนต์ และก็ผม .. ถ้าคุณรักปราณนต์คุณก็น่าที่จะรัก..”
อวัศยาเอาห่อสำลีที่อยู่ในมือยัดปากลิปดาทันที “หยุดเพ้อได้แล้ว ไม่ต้องมาขายทองหยอด ฉันไม่เคลิ้ม ฉันไม่ใช่สาวๆของบอสและฉันก็ไม่ใช่ของเล่นของบอสด้วย .. จบนะ”
ลิปดาอึ้งเพราะตอบโต้ไม่ทัน อวัศยาลุกพรวดแล้วก็เดินไปเลย ลิปดารีบลุกและพ่นถุงสำลีทิ้ง
“ศยาเดี๋ยวก่อน”
อวัศยาเข้าห้องไปแล้วและปิดประตูใส่ปัง ลิปดาหมดแรง
“เฮ่อ” ลิปดาพูดเบาๆ “สงสัยต้องจริงจังกว่านี้ จะได้รู้ว่า..ไม่ใช่ของเล่น”
ลิปดาเริ่มคิดว่าจะทำยังไงดี
แววกำลังขยับปรับสายน้ำเกลือให้พจน์ที่หลับอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลต่างจังหวัด ภูมินอนหลับอยู่อีกเตียง พริบพราวยืนอยู่ไม่ไกล ส่วนปราณนต์ยืนถัดห่างออกไปเล็กน้อย แววหันมาพูดกับพริบพราว
“คุณพ่อกับพี่ภูมิรู้สึกตัวเมื่อกี๊นี้เอง พอให้น้ำเกลือและอาหารเหลวแล้วอาการดีขึ้น ดีที่ตอนเกิดอุบัติเหตุไม่มีแผลลึกเลยเสียเลือดไม่มาก แต่ถ้าทิ้งไว้ช้ากว่านี้อีกหน่อยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง” แววหันมาทางปราณนต์ “ฉันขอบใจเธออีกครั้งนะ ... ปราณนต์”
พริบพราวกับปราณนต์มองหน้ากันด้วยความดีใจที่แววจำชื่อเขาได้และพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร พริบพราวยิ้มกว้าง ปราณนต์รีบตอบ
ปราณนต์พูดอย่างถ่อมตัว “ไม่เป็นไรเลยครับ ผมยินดีมากๆที่ได้ช่วยคุณหมอ”
แววถามสวนขึ้นมา “แม่เธออายุเท่าไหร่”
ปราณนต์งง “เอ่อ...48 ครับ”
“เป็นน้องฉัน..ต่อจากนี้ไปเธอเรียกฉันว่า “คุณป้า” ก็แล้วกัน จะคุณป้าเฉยๆ หรือคุณป้าหมอ ก็ได้”
ปราณนต์ตาโตอึ้งๆ ด้วยความรู้สึกทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้น พริบพราวยิ้มกว้างด้วยความดีใจสุดๆ
พริบพราวพูดกับปราณนต์ “ยังไม่ได้เรียกแม่..แค่ป้าก็ยังดีเนอะ อย่างน้อยก็ยอมนับญาติ”
ปราณนต์พยักหน้ายิ้มๆ แล้วก็รีบเรียก “ขอบคุณมากครับ..คุณป้า”
แววพยักหน้ารับแต่ยังไม่ยิ้มแล้วก็พูดเสียงนิ่งๆ “คืนนี้แม่อยู่เฝ้าคุณพ่อกับพี่ภูมิ เราพาณนต์กลับไปพักที่บ้าน พอสองคนนี้ตื่นแม่จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกเค้าฟัง เค้าจะได้รู้ว่ารอดมาได้เพราะมี “แฟน” พราวมาช่วย”
พริบพราวและปราณนต์อึ้ง ปราณนต์ดีใจ พริบพราวรู้สึกจุกเหมือนมีลมมาอัดที่หน้าอก
แววพูดปรากับณนต์ “เธอทำให้ฉันเห็นความตั้งใจในการคบกับลูกสาวฉัน” ภาพตอนที่พูดเรื่องหาหนังสือตกปลามาอ่านย้อนกลับมา “เห็นความเป็นผู้นำในภาวะคับขัน” ภาพตอนที่ปราณนต์ช่วยตามหาย้อนกลับมา “เห็นความเป็นห่วงพริบพราวตลอดเวลา” ภาพตอนที่ปราณนต์เข้ามารับตัวพริบพราวตอนจะล้ม และตะโกนให้ขับรถไปแอบย้อนกลับมา “และเห็นน้ำใจ ความเสียสละ” ภาพตอนที่เขาเสี่ยงลงไปดูที่ไหล่เขาย้อนกลับมา “ที่สำคัญเธอทำให้ฉันเห็นว่าพราวไม่ใช่เด็กงอแง และใช้แต่อารมณ์เหมือนที่ผ่านมา”
ปราณนต์อึ้งและใจเต้นสั่นด้วยความดีใจ แววพูดปิดท้าย
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ถือว่าเธอสอบผ่าน ฉันยอมให้เธอคบกับลูกสาวของฉัน”
ปราณนต์ดีใจสุดๆ รีบยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ”
พริบพราวถึงกับน้ำตาคลอแล้วก็โผเข้าไปกอดแม่
“ขอบคุณค่ะแม่..ขอบคุณมาก”
แววกอดรับพริบพราวแล้วก็ยิ้มโล่งอกและมีความสุข เป็นยิ้มที่ คนรอบข้างไม่เคยเห็นมาก่อน ปราณนต์มองพริบพราวกอดกับแม่แล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข
พริบพราวเดินออกมาที่สวนของโรงพยาบาลพร้อมกับปราณนต์ ทั้งสองคนโล่งอกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
“เฮ่อ” ทั้งสองหันมามองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ “ฮ่าๆๆ”
พริบพราวมองหน้าปราณนต์
“ไม่เคยมีใครทำให้คุณแม่ยอมรับได้ในเวลารวดเร็วแบบนี้มาก่อน ณนต์ทำได้ไง”
“ผมเชื่อว่าถ้าเราจริงใจกับใคร เราจะได้ความจริงใจกลับมา ... ผมก็แค่ทำทุกอย่างด้วยความจริงใจ ตรงไปตรงมา คุณแม่คุณคงเห็น และรับรู้ว่าผมจริงใจกับคุณ ท่านก็เลยสบายใจที่จะให้เราคบกัน”
พริบพราวมองปราณนต์แล้วแววตาก็ค่อยๆ เศร้าลงด้วยความหวั่นใจลึกๆ ที่ยังมีอยู่
“แล้วถ้า...” พริบพราวไม่ได้พูดแต่คิดในใจต่อ “ณนต์รู้ว่าพราวไม่จริงใจกับณนต์...ณนต์จะเลิกคบกับพราวหรือเปล่า”
ปราณนต์งงจึงถามทำลายความคิดในใจของพริบพราว “ถ้าอะไร”
พริบพราวสะดุ้ง “เปล่า ไม่มีอะไร .. เรารีบกลับไปที่บ้านดีกว่าเนอะ เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว” พริบพราวฝืนยิ้ม “ไป”
ปราณนต์ยิ้มรับใสๆ ก่อนจะจับมือพริบพราวไปอย่างอบอุ่น พริบพราวมองแล้วสะท้อนใจ ปราณนต์จูงพริบพราวเดินไป พริบพราวเดินช้าๆ ด้วยความหวาดหวั่นในใจที่ค่อยๆ เติบโตจนน้ำตาพาลจะไหล กับความลับที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจของเธอ
รันโวยวายใส่อวัศยา
“แกไปพูดแบบนั้นใส่บอสได้ยังไงหะ เค้าไม่ได้เห็นแกเป็นของเล่นสักหน่อย อีกอย่าง..” รันมองอวัศยาตั้งแต่หัวจรดเท้า “อย่างแกไม่เห็นจะน่า “เล่น” ตรงไหนเลย”
รันนั่งคุยกับอวัศยาอยู่ในร้านกาแฟเก๋ๆ บรรยากาศสบายๆ อวัศยามองรันด้วยความหมั่นไส้ก่อนจะเอาหลอดกาแฟมาดีดน้ำใส่ด้วยความแค้น รันกรีดร้องราวกับโดนน้ำมนต์
“อ๊าย! นี่อย่าเล่นสกปรก” รันเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำที่หน้า “ฉันพูดจริง แกทำร้ายจิตใจบอสมากเกินไป ถึงก่อนหน้านี้เค้าจะเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม แต่ที่เค้าเป็นแบบนั้น เพราะเค้ายังไม่เจอตัวจริง”
“พูดเหมือนคุณแจนเป๊ะเลย” อวัศยาว่า
“นั่นไง ! คนใกล้ชิดบอสพูดแบบนี้ถึงสองคน แกต้องเชื่อ แกอาจจะมองบอสผิดไปก็ได้..บางทีเค้าอาจจะเป็นคนรักเดียวใจเดียว แต่บังเอิญคนที่บอสรักดันตาถั่ว” รันจงใจว่าเพื่อน “มองไม่เห็นความรักที่อยู่รอบๆตัว บอสก็เลยแห้ว หันไปควงเด็กๆแก้เซ็งรอให้คนคนนั้นมองเห็นสักที”
อวัศยาเริ่มเอะใจ “แกต้องการจะสื่ออะไรกับฉันหรือเปล่า”
“ใช่! แต่ฉันรู้ว่าแกเป็นคนดื้อ ถ้าฉันพูดซ้าย แกก็จะไปขวา ฉันบอกให้แกเดินหน้า แกก็ถอยหลัง เพราะฉะนั้นฉันจะไม่พูดอะไรมาก..นอกจากเห็นด้วยที่แกจะตัดใจจากปราณนต์ แต่ฉันไม่เห็นด้วยที่แกคิดว่าบอสเป็นคนเจ้าชู้ และขายทองหยอดแกเล่นๆไปวันๆ”
อวัศยาชะงักและเริ่มระแวง
“แกเป็นคนฉลาดในการคิดวิเคราะห์ และช่างสังเกต ลองเอานิสัยสองข้อนี้มาใช้กับบอส สังเกตสิ่งที่เค้าทำแล้วเอามาวิเคราะห์เอาเอง .. แล้วแกก็จะรู้ว่าเค้าเป็นคนยังไง และเค้าคิดยังไงกับแก”
รันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ใช่เล่นๆ อวัศยาอึ้งและเริ่มจะคิดหนักว่ายังไงกันล่ะเนี่ย
ลิปดายกแบบห้องใหม่ของอวัศยาที่ทำเป็นโมเดลเก๋ๆ น่ารักๆ มาวางไว้ที่โต๊ะกลางห้อง อวัศยายืนดูอยู่อีกด้านของโต๊ะ
“นี่เป็นแบบห้องใหม่ของคุณ ผมให้เพื่อนช่วยออกแบบให้เร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ ถ้าคุณชอบหลังจากรื้อของเก่าออกแล้ว ผมจะให้ช่างเข้าไปทำทันที วันนี้ผมเตรียมแบบวอลเปเปอร์ ม่าน แล้วก็ปาร์เก้มาให้คุณเลือกด้วยนะ” ลิปดายกแฟ้มมากมายออกมาวาง
อวัศยามองแบบห้องและมองหน้าลิปดาที่มุ่งมั่นตั้งใจ
ลิปดาพูดต่อ “ผมออกแบบห้องนี้จากนิสัยคุณเลยนะ..ดู..” ลิปดาจับมืออวัศยามานั่งแล้วอธิบาย “ผมทำห้องทำงานใหญ่ขึ้น เพิ่มชั้นหนังสือ เพิ่มจุดติดตั้งจอคอมอีก 2 จุด คุณจะได้เชคข่าวจากจอคอมไม่ต้องเพ่งจอแท็ปแล็ต ผมสั่งอ่างจากุซซี่อย่างดีเพราะคุณชอบแช่น้ำร้อนก่อนนอน ห้องครัวปรับขนาดให้เล็กลงมาหน่อย เพราะคุณไม่ทำอาหาร เปลี่ยนเป็นพื้นที่วางอุปกรณ์ออกกำลังกาย และเล่นโยคะแทน .. แล้วนี่ก็ตู้เสื้อผ้าแบบวอล์คอิน โคสเซ็ท เชื่อมต่อกับห้องน้ำเพราะคุณไม่ชอบแต่งตัวในห้องน้ำ ส่วนนี่ก็..”
อวัศยาพูดแทรกขึ้น “บอสรู้จักฉันดีขนาดนี้เลยเหรอ”
ลิปดาชะงักแล้วหันมามองอวัศยา “เรารู้จักกันมากี่ปี”
อวัศยาคิด “8 ปี”
ลิปดาสวน “8 ปี 7 เดือน นับตั้งแต่วันแรกที่คุณมาสมัครงาน” อวัศยาชะงักที่ลิปดาเป๊ะเว่อร์ “คุณจำได้หรือเปล่าว่าคุณใส่ชุดอะไรมาสมัครงาน”
อวัศยาคิด “เอ่อ...”
ลิปดาตอบแทน “เสื้อเชิ้ตป้าๆสีขาว กระโปรงเด็กเนิร์ดสีดำ ผมบ๊อบ แว่นหนา มาแบบงงๆ”
อวัศยาอึ้ง “บอสจำได้ไง”
“คุณเป็นผู้หญิงที่น่าจดจำตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอ และคุณก็มีรายละเอียดประหลาดๆที่ทำให้ผมสนใจ อยากจะจดจำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
อวัศยาตัดสินใจถามทันที “ทำไมบอสต้องมาสนใจฉัน ทำไมต้องมาใส่ใจแล้วก็จำมันด้วย ทำไม”
อวัศยาทำเป็นปากดีถามตรงๆ ทั้งที่แอบหวั่นใจกับคำตอบอยู่ลึกๆ ลิปดามองหน้าอวัศยาแล้วก็ตัดสินใจ
“ที่ผมใส่ใจ เพราะผม...ผม...” ลิปดากำลังจะบอกว่ารัก
ทันใดนั้นเสียงออดก็ดังรัวอย่างบ้าคลั่ง ลิปดาแค้นใจทุบโต๊ะดังปัง อวัศยาสะดุ้ง
ประตูห้องเปิดผัวะออกมา หน้าประตูคือ พาย นางแบบสาวเอ็กซ์มากกำลังยืนหน้าเหวี่ยงเตรียมวีนสุดฤทธิ์
“ลิปหายไปไหนมา พายโทร.หาเป็นอาทิตย์แล้วก็ไม่รับ ไลน์ไปอ่านแล้วก็ไม่ตอบ ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง”
ลิปดางง “คุณมาที่นี่ได้ยังไง ผมเคยบอกแล้วใช่มั้ย ว่าไม่ให้เข้ามายุ่งวุ่นวายที่นี่”
อวัศยาที่อยู่ในห้องงงๆ และเริ่มรู้สึกว่าไม่ดีแน่ ผู้หญิงที่อยู่หน้าห้องยังคงโวยวายต่อ
“ใช่ลิปเคยบอก แต่พายไม่เชื่อ ! ที่หลบหน้า ไม่ยอมให้พายมาหา เพราะซ่อนใครไว้ในห้องใช่มั้ย หลบไปเดี๋ยวนี้เลยนะ พายจะเข้าไปข้างใน”
ลิปดายื้อ “ผมไม่ให้เข้า”
“พายจะเข้า ทำไมพายจะเข้าไม่ได้ ข้างในมันมีอะไร มันมีใครหะ”
ทันใดนั้นอวัศยาก็โผล่ออกมา
“ปล่อยให้เค้าเข้ามาเถอะค่ะ...จะได้รู้ว่าที่นี่..มี “ฉัน”อยู่”
พายชะงักกึกแล้วมองหน้าอวัศยาที่ยืนเป็นป้าแว่นอยู่ในห้อง
“หะ ลิป ยัยป้าวัยใกล้หมดประจำเดือนนี่เป็นใคร มายืนวัยทองอะไรอยู่ในห้องลิปหะ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ อย่าบอกว่าลิปหนีหน้าพาย ไม่ยอมให้มาคอนโด เพราะอายที่มีเมียแก่”
ลิปดาสวน “พาย หยุดพูด กลับไป แล้วอย่ามาที่นี่อีก”
“ห้ามไม่ได้พายมา แล้วทำไมยัยป้าแว่นมันถึงมาได้”
“เพราะเค้าคือ “คนสำคัญ” ของผม”
ลิปดาโพล่งออกไปทันที อวัศยาอึ้งและมองหน้าลิปดา ส่วนพายช๊อค
ลิปดาพูดต่อ “และเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมยอมให้เข้ามาในห้อง”
ลิปดาพูดตรงๆ โต้งๆ แล้วหันมามองหน้าอวัศยาเป็นการย้ำตามคำพูด อวัศยามองหน้าลิปดาช๊อคๆ พายก็อึ้งจนพูดไม่ออก
“มะ...ไม่จริง”
ลิปดาหันมาทางพาย “จริง... เชิญกลับไปได้แล้ว”
ลิปดาพูดจบก็ปิดประตูใส่หน้าพายทันที พายกรีดร้อง
“ไม่จริง”
ภายในห้องเงียบกริบ อวัศยากับลิปดายืนเงียบกันอยู่หนึ่งอึดใจ แล้วลิปดาก็ตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้นมา
“ศยา..ฟังผมอธิบายก่อน..คือพายเค้าเป็น..” ลิปดายังพูดไม่จบ
อวัศยายกมือให้เขาหยุดพูด “พอเถอะค่ะ...ฉันยังไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น”
อวัศยาพูดจบก็หันหลังให้ลิปดาแล้วเดินกลับไปที่ห้องของเธอทันที
ลิปดารีบเดินตาม “ศยา....”
อวัศยาหันมาดุ “หยุด”
ลิปดาหยุดชะงัก
“อย่าเข้ามา ฉันอยากอยู่คนเดียว”
อวัศยาค่อยๆหันหลังแล้วก็เดินอึ้งๆ และสับสนเข้าไปในห้อง
อวัศยาปิดประตู ลิปดาถอนใจ
“เฮ่อ ทำไมจังหวะนรกขนาดนี้วะเนี่ย”
ลิปดายืนท้าวเอวอยู่กลางห้องด้วยความเซ็ง เขามองโมเดลห้องและของที่ตัวเองเตรียมมาแสดงความจริงจังอย่างสุดเซ็ง
อ่านต่อหน้าที่ 4
แอบรักออนไลน์ ตอนที่ 11 (ต่อ)
อวัศยายืนอยู่ในห้องแล้วก็เริ่มทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น คำพูดของรันแว่บเข้ามา
“ฉันไม่เห็นด้วยที่แกคิดว่าบอสเป็นคนเจ้าชู้ และขายทองหยอดแกเล่นๆไปวันๆ แกเป็นคนฉลาดในการคิดวิเคราะห์ และช่างสังเกต ลองเอานิสัยสองข้อนี้มาใช้กับบอส สังเกตสิ่งที่เค้าทำแล้วเอามาวิเคราะห์เอาเอง .. แล้วแกก็จะรู้ว่าเค้าเป็นคนยังไง และเค้าคิดยังไงกับแก”
ภาพในอดีตย้อนกลับมา ตอนที่ลิปดาช่วยเป็นแฟนตอนอยู่กับยาย ตอนที่ลิปดาช่วยดูแลตอนไฟไหม้ ตอนที่ลิปดาช่วยดูแลตอนอยู่ด้วยกัน และตอนที่ลิปดาหลุดจะพูดความในใจออกมา
“จริงๆ ผมไม่ได้อยากให้คุณกับปราณนต์เข้าใจกัน ผมอยากเห็นคุณสองคนต่างคนต่างอยู่แบบเพื่อนร่วมงาน แบบหัวหน้ากับลูกน้องอย่างนี้ตลอดไป ผมไม่อยากเห็นคุณเป็นแฟนกับเค้าสักนิด ให้ตายสิ”
ตอนที่พายมาโวยวายหน้าห้อง
“ห้ามไม่ให้พายมา แล้วทำไมยัยป้าแว่นมันถึงมาได้”
“เพราะเค้าคือ “คนสำคัญ” ของผม !! และเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมยอมให้เข้ามาในห้อง”
ตอนที่ลิปดาพูดกับอวัศยา
“ที่คุณเคยบอกว่าชอบปราณนต์เพราะเค้าเสี่ยงชีวิตเพื่อคุณ คุณถึงรักเค้า ผมว่ามันไม่ยุติธรรม เพราะอาจจะมีใครบางคนที่รักคุณ แต่ไม่มีโอกาสจะเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยคุณ .. เค้าก็จะไม่มีวันได้ความรักจากคุณ .. มันไม่ยุติธรรมจริง” ลิปดาย้ำ
“แล้วบอสคิดว่าฉันสวยขนาดที่จะมีผู้ชายมาเข้าคิวขอเสี่ยงชีวิตเพื่อฉันสักกี่คน”
ลิปดาสวน “อย่างน้อยก็สองคน ปราณนต์ และก็ผม .. ถ้าคุณรักปราณนต์คุณก็น่าที่จะรัก...”
ตอนที่ลิปดาพูดกับเธอ
“คุณเป็นผู้หญิงที่น่าจดจำตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเจอ และคุณก็มีรายละเอียดประหลาดๆที่ทำให้ผมสนใจ อยากจะจดจำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ”
“ทำไมบอสต้องมาสนใจฉัน ทำไมต้องมาใส่ใจแล้วก็จำมันด้วย ทำไม”
“ที่ผมใส่ใจ เพราะผม...ผม...” ลิปดากำลังจะพูดว่ารัก
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ อวัศยาก็อึ้ง สับสน ตื่นเต้น ใจเต้น และอายจนหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว
“ไม่จริง”
อวัศยาค่อยๆหันมามองตัวเองในกระจกแล้วก็คิดถึงสาวๆมากมายที่เข้ามารายล้อมลิปดาทั้งที่งานเลี้ยง ที่สวนน้ำ หรือแม้แต่พายที่เพิ่งมาอาละวาด
อวัศยาคิดแล้วก็ไม่มั่นใจ
“เป็นไปไม่ได้”
อวัศยาคิดแล้วก็แอบเจียมตัวเพราะไม่อยากจะเชื่อ
แสนดีมีหน้าตาตื่นเต้นอย่างแรง
“คุณองศาจะให้แสนดีไปเป็นมาร์เก็ตติ้งที่บริษัทใหม่”
องศาพยักหน้ารับยิ้มๆ
แสนดีกับองศานั่งคุยกันอยู่ในร้านกาแฟมุมส่วนตัว
“ขอบคุณมากเลยค่ะ ที่เปิดบริษัทใหม่แล้วคิดถึงแสนดี !! แสนดีอดทนทำงานด้านเอกสารที่นารากรเพราะฝันอยากเป็นมาร์ฯ ไม่คิดเลยว่าฝันจะเป็นจริง” แสนดีปลื้มปริ่ม
“งานเอกสารที่คุณดูแล เกี่ยวข้องกับประวัติลูกค้าด้วยหรือเปล่าครับ” องศาถาม
“งานหลักเลยค่ะ แสนดีรู้จักลูกค้าทุกคน เปิดพอร์ตเท่าไหร่ รู้หมดค่ะ”
องศาตาวาวเพราะมีแผน
“ถ้าผมให้คุณแสนดีถ่ายเอกสารประวัติลูกค้าสำคัญๆมาให้ผมศึกษาก็ได้สิครับ”
“เอิ่ม.....ข้อมูลมันเป็นความลับนะคะ ถ้าบอสรู้แสนดีต้องแย่แน่ๆ”
“โอ้ย เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง คุณก็รู้ว่าผมกับลิปเป็นญาติกัน ผมบอกไอ้ลิปเอง”
แสนดีคิดนานแต่แล้วก็พยักหน้า “งั้นก็ได้ค่ะ” แสนดีทำเป็นข้ามๆไปเพราะอยากได้งาน
องศายิ้มพอใจแล้วก็นึกได้ “ในนารากรใครสนใจอยากจะเปลี่ยนงานอีกมั้ยครับ อย่าง..คนที่ชื่อพริบพราวก็ดูคล่องๆดี ถ้าผมชวนเค้าจะมามั้ย”
“ยากค่ะ” แสนดีเล่นใหญ่ใส่ทันที “นางเพิ่งมีแฟนไม่นาน ไม่กี่วันนี่เอง ชื่อน้องณนต์น่ะค่ะ อยู่ทีมเดียวกัน รักกันจะตาย ไม่มีทางย้ายงานหรอกค่ะ”
องศาขมวดคิ้ว “ผมเข้าใจว่าเค้าเป็นแฟนกันมานานแล้วซะอีก”
“โนวๆๆ น้องพราวกับน้องณนต์เข้างานมาพร้อมกัน เป็นทั้งคู่กัด คู่แข่งกัน จะฆ่ากันตาย เพิ่งจะตกลงปลงใจเป็นแฟนกันเมื่อไม่กี่วันมานี้เองค่ะ”
องศาชะงักแล้วก็คิดถึงภาพสวีตหวานตอนที่พริบพราวอยู่กับปราณนต์ต่อหน้าองศาและรุ้งลดาองศาเริ่มจะคิดมโนเอาเอง
“หรือว่าที่ผ่านมา....เป็นแค่ละคร” องศาคิด
องศาคิดแล้วก็ยิ้มร้าย แผนชั่วแว่บเข้ามาในสมอง
เปรี้ยวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“นัดพราวมาเจอกับป้าที่ตลาดนัด”
เปรี้ยวคุยกับปราณนต์อยู่ในห้องครัว ปราณนต์เตรียมทำอาหาร โดยมีปริมช่วย ปุ้มยืนกินขนมอยู่ไม่ไกล
“ทำไมต้องเป็นตลาดนัดด้วยครับ”
“นั่นสิ มาเจอกันที่บ้าน กินข้าวกันไม่ได้เหรอ” ปุ้มว่า
“ไม่ได้ ทีพ่อแม่เค้ายังชวนณนต์ไปเจอที่เขื่อนตกปลา ทำไมฉันจะชวนพราวมาที่ตลาดนัดไม่ได้ ไม่รู้หล่ะ บอกเค้าว่า ป้าเปรี้ยวนัดไฝ้ว์”
ทุกคนสะดุ้ง “เฮ้ย”
เปรี้ยวรีบแก้ “ไม่ใช่ นัดเจอเฉยๆ !! ไม่ต้องห่วงหรอกน่าป้าไม่ใช่คนนิยมความรุนแรง ไม่มีการใช้กำลังแน่นอน ถ้าอยากรู้ก็มาตามนัด” เปรี้ยวเชิดหน้า “เดี๋ยวก็รู้ ... คุณหนูอย่างนั้น จะกล้ามาเดินตลาดนัดชานเมืองย่านปริมณฑลหรือเปล่า”
เปรี้ยวสะแยะยิ้ม ปราณนต์มองเปรี้ยวแล้วก็แอบเป็นห่วงว่าพริบพราวจะกล้ามามั้ย แล้วจะเกิดอะไรขึ้น
พริบพราวตอบด้วยความยินดี
“ได้สิ พราวเจอป้าเปรี้ยวที่ตลาดนัดได้ สบายมาก”
พริบพราวกับปราณนต์นั่งคุยอยู่มุมหนึ่งของบริษัท พริบพราวถือหนังสือ “In Cold Blood”ของ Truman Capote เน้นโชว์ปกมาก
ปราณนต์ยิ้มดีใจ “โอเค เสาร์ อาทิตย์นี้เจอกัน” ปราณนต์เหลือบไปเห็นหนังสือ “อ่านอะไร”
“อ๋อ” พริบพราวรีบนำเสนอ “นิยายสืบสวนสอบสวนน่ะ นี่สนุกมากเลยนะ อ่านแล้ววางไม่ลงเลย”
พริบพราวยิ้มรับแล้วสวมรอยแบบพยายามแนบเนียน
ภาพตอนที่อวัศยาให้ข้อมูลเกี่ยวกับแอบรักผุดขึ้นมา
ปราณนต์ยิ้มและพูดเสริม
“ชีวิตยังซับซ้อนไม่พอ”
พริบพราวงง “หือ”
“คุณบอกผมตอนที่เราแชตกัน...เหตุผลที่คุณชอบอ่านนิยายสืบสวนสอบสวน”
พริบพราวรีบหัวเราะรับทันที
“อ๋อ เออ ใช่ ชีวิตฉันมันเรียบง่ายเกินไป ก็เลยชอบอ่านนิยายสืบสวนสอบสวนน่ะ ฮะๆๆ” พริบพราวพยายามพูดต่อ “เออ ณนต์ วันนี้เลิกงานแล้ว เราไปดูหนังกันนะ วันนี้วัน..”
ปราณนต์พูดต่อ “วันธรรมดาต้องดูหนังแอคชั่น หรือ หนังผี วันหยุดดูหนังตลก”
พริบพราวรีบยิ้มรับ “ใช่เลย ณนต์นี่ความจำดีมากๆ”
“แน่นอน ทุกอย่างที่เราแชตกัน เมลหากันผมจำได้หมด” ปราณนต์ว่า พริบพราวหน้าเจื่อน “ดีใจมั้ย”
พริบพราวฝืนยิ้ม “ดีใจสิ ดีใจมากๆเลย” แต่ในใจของพริบพราวบอกว่าไม่ “เดี๋ยวพราวเอาเอกสารลูกค้าไปให้พี่แสนดีก่อนนะ เดี๋ยวปิดพอร์ตไม่ทัน”
ปราณนต์พยักหน้ารับ พริบพราวยิ้มแล้วก็เดินแยกไป คล้อยหลังปราณนต์พริบพราวก็ถอนหายใจ
“เฮ่อ..เป็นคนอื่นนี่มันเหนื่อยจริงๆ” พริบพราวบ่นเบาๆ
ลิลลี่ถามทั้งที่ยาดมยังคาอยู่ที่จมูก
“พี่แสนดีจะลาออก”
ลิลลี่คุยอยู่กับแสนดีในห้องทำงาน แสนดีทำหน้าตาภูมิใจ ดีใจ และปลื้มปริ่มมากๆ
“ถูกต้อง ฉันเฝ้ารอมานานแสนนาน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า..คนที่หยิบยื่นโอกาสนี้มาให้ฉันจะเป็น คุณองศา”
พริบพราวเดินมาได้ยินพอดีจึงชะงักเท้าเพื่อแอบฟัง
เสียงลิลลี่พูดดังออกมาจากห้องแสนดี “คุณองศาเค้าจะให้พี่เป็นมาร์ทั้งๆที่ไม่มีประสบการณ์เนี่ยนะ”
พริบพราวขมวดคิ้วฟังต่อ
แสนดีคุยต่อ
“ถึงไม่มี แต่ฉันคลุกคลีในวงการมาตั้งเกือบสิบปี รู้ทุกขั้นตอนการทำงาน และมีคุณสมบัติพร้อมตามเกณฑ์ เค้ารับฉันเข้าไปฉลาดและถูกต้องที่สุด นี่ๆ ไปด้วยกันป่ะ คุณองศาต้องการคนเพียบเลย”
ลิลลี่หน้าซีดแล้วก็สูดยาดม “ไม่เอาอ่ะ บริษัทเปิดใหม่ไม่อยากเสี่ยง พี่ก็ไปลองก่อนแล้วกัน ถ้าดีค่อยมาชวน ..” ลิลลี่ลมขึ้นจนจะอ้วก “เฮ่อ”
“อ้าวเอ้ยเป็นอะไร”
“ลมมันตี จะอ้วก เฮ่อ !! ฉ....ฉันไปห้องน้ำก่อนนะ”
ลิลลี่ลุกขึ้นจะเดินไป พริบพราวรีบหลบ รุจน์เดินมาพร้อมกับถุงผลไม้
“น้องลิลลี่อยู่นี่เอง พี่เห็นน้องลิลลี่พะอืดพะอมตั้งแต่เช้า เลยไปซื้อผลไม้ดองเปรี้ยวๆ มาให้กินแก้เลี่ยนจ้ะ”
ลิลลี่เห็นหน้ารุจน์ก็ยิ่งจะอ้วก “อ้วก”
“เฮ้ย น้องลิลลี่เป็นอะไร”
“มะ..ไม่รู้...เห็นหน้า ได้กลิ่นตัวแก แล้วฉันจะ....อ้วก”
ลิลลี่อ้วกจะพุ่งแต่เธอมือไวคว้าถุงผลไม้แล้วก็รีบวิ่งไปที่ห้องน้ำทันที
รุจน์งง “น้องลิลลี่รอพี่ด้วย เดี๋ยวพี่ไปลูบหลังให้”
ลิลลี่เดินไป รุจน์รีบเดินตาม ทั้งสองคนตะโกนคุยกันไปตามทาง แสนดีชะโงกหน้ามาฟังด้วยความสาระแน
ลิลลี่ตะโกนกลับมา “ไม่ต้อง ไม่ต้องเข้ามาใกล้ฉัน”
“พี่หวังดีนะคะ กลับบ้านไหวหรือเปล่า ไม่ไหวพี่ขับรถไปส่ง ถ้าไปไม่ถึงบ้าน เราแวะเหมือนครั้งที่แล้วก็ได้นะคะ”
ลิลลี่กรี๊ด “อีพี่รุจน์ อีบ้า หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลยนะ ไปเลยไป ไปไกลๆเลย”
แสนดีส่ายหน้า “ไอ้คู่นี้ นับมันยิ่งเหมือนผัวเมียละเหี่ยใจ เฮ่อ” แล้วแสนดีก็ยิ้ม “หวังว่าบริษัทใหม่จะไม่มีมาร์เพี้ยนๆแบบนี้นะ”
แสนดีหัวเราะคิกคักด้วยความดีใจๆ
พริบพราวครุ่นคิดด้วยความแปลกใจ ...
“พี่แสนดีจะไปทำงานกับนายองศาเนี่ยนะ”
องศาโวยวาย
“เงินแค่สิบล้าน ให้ผมยืมไปเปิดบริษัทก่อนไม่ได้เหรอครับ”
องศายืนโวยวายใส่พ่อแม่ที่นั่งฟังด้วยหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ในห้องทำงาน
“อย่าว่าแต่สิบล้านเลย สาม สี่ ล้านเงินสดตอนนี้ก็ไม่มีให้ อย่าลืมสิ พ่อกับแม่เกษียรแล้ว ไม่มีรายได้ เงินที่ใช้จ่ายรายวันก็เงินกงสีทั้งนั้น” แม่บอก
“แต่เราก็ได้เยอะไม่ใช่เหรอครับ ธุรกิจของคุณยายตั้งมากมาย” องศาแย้ง
แม่เดินไปที่ตู้เอกสาร
“ใช่ แต่เราไม่ใช่หลานรัก เงินปันผลก็เลยไม่ได้มากมาย เดือนๆนึงแค่ไม่กี่หมื่น แม่เอาเข้าบัญชีไว้ให้..ถ้าจะเอาก็มีให้แค่นี้แหละ” แม่หยิบสมุดบัญชีส่งให้องศาดู
องศารีบหยิบมาเปิดดู
“ผมได้แค่นี้จริงๆเหรอครับ แล้วเงินปันผลปีๆนึงตั้งหลายล้าน มันหายไปไหนหมด”
“ยายแกเค้าแบ่งให้โน่น พ่อลิป หลานคนโปรดได้เดือนนึงตั้งไม่รู้กี่แสน”
องศาแค้น
“พ่อเคยบอกแล้วใช่มั้ย หมั่นแวะไปเยี่ยมคุณยายบ่อยๆ ให้เค้าเห็นหน้า ตายไปจะได้แบ่งมรดกให้ เราไม่เชื่อเอง ไม่เหมือนลิปดาเข้าหาคุณยายตลอด” พ่อว่า
“ในสายตาของทุกคน ไอ้ลิปดามันดี ! ทำอะไรก็ถูกไปหมด”
“ก็จริงนี่ เราไม่ขยัน ไม่ทะเยอทะยาน งานหนักก็ไม่เอา ทำแต่งานสบาย ควงสาวไปวันๆ นี่ถ้าคุณพ่อไม่ได้ฝากงานธนาคารให้ คงไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโตเหมือนทุกวันนี้”
องศาตัดบท “นี่ผ่านมาผมแค่ไม่อยากเอาจริง แต่ตอนนี้ผมจะรวยกว่าไอ้ลิป ประสบความสำเร็จมากกว่ามันให้ได้ คุณพ่อคุณแม่คอยดูก็แล้วกัน”
องศาพูดจบก็กำสมุดบัญชีแน่นด้วยความแค้นแล้วก็เดินปึงปังออกไป พ่อแม่ได้แต่ถอนใจ
รุ้งลดาอึ้ง
“พี่องศาจะเอาคอนโดไปจำนอง”
องศาพูดในขณะที่กำลังเตรียมเอกสารสิทธิ์ของคอนโดมีเนียม
“ใช่ พี่ต้องการเอาเงินส่วนหนึ่งมาเปิดบริษัท อีกส่วนหนึ่งพี่จะเอามาเปิดพอร์ตเล่นหุ้น พี่ต้องได้กำไร ต้องได้เงินเยอะที่สุด ในเวลารวดเร็วที่สุด”
“ไหนพี่องศาบอกว่าจะไปขอเงินคุณพ่อคุณแม่มาเปิดบริษัทไงคะ”
องศาเจอเอกสารแล้วก็หยิบก่อนจะหันมาพูด “พ่อแม่บอกว่าไม่มี ให้บัญชีเงินปันผลมาแค่ไม่กี่ล้าน ยังไงก็ไม่พอ”
รุ้งลดาอึ้ง
“ไม่มีเงิน...” รุ้งลดาช๊อค “ไม่มีเงิน เราก็ไม่ต้องเปิดบริษัทก็ได้นี่คะ เก็บคอนโดไว้ ทำงานที่เราทำอยู่ พี่องศาก็ได้เงินเดือนเป็นแสน ไม่เห็นต้องดิ้นรนเปิดบริษัท”
“ไม่! พี่จะยอมให้พ่อแม่มาดูถูกว่าพี่ด้อยกว่าไอ้ลิป พี่จะได้อยู่เหนือมันให้ได้”
“พี่องศาคะ” รุ้งลดาไม่เห็นด้วย
“หุบปาก ไม่ต้องพูดทั้งนั้น ถ้ายังอยากจะคบกันต่อก็มาช่วยกันสร้างบริษัท แต่ถ้าปอดแหก เราก็แยกทางกัน”
องศาประกาศกร้าว รุ้งลดาสะอึกและหน้าเสีย
องศามองดูเอกสารสิทธิ์คอนโดมีเนียมที่อยู่ในมือด้วยความหวัง รุ้งลดาเริ่มเครียดที่ไม่เป็นดั่งหวัง
รูป พ่อ พี่ชาย และแม่ของพริบพราวถ่ายรวมกันในบ้านล่าสุด โดยพ่อกับพี่ชายนอนพักฟื้นแต่ยังชูสองนิ้วและยิ้มให้กล้อง พริบพราวเปิดรูปให้ปราณนต์ดู ทั้งสองคนนั่งอยู่ในร้านขนมโดยนั่งกินขณะรอดูภาพยนตร์
“คุณพ่อ กับ พี่ภูมิ รู้สึกตัวและอาการดีขึ้นมาก ฝากขอบคุณณนต์มาด้วยนะ”
ปราณนต์ยิ้มๆ “ชูสองนิ้วซะด้วย ครอบครัวคุณน่ารักดีนะ”
“พราวก็ไม่เคยรู้สึกเหมือนกัน เพิ่งจะรู้ไม่นานนี้เอง ขอบคุณมากนะณนต์..ขอบคุณที่ทำให้พราวรู้ว่าตัวเองโชคดีมากแค่ไหนที่มีคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ชายที่น่ารัก”
“รวมแฟนด้วยหรือเปล่า” ปราณนต์ถาม พริบพราวงง “มีแฟนน่ารักแบบนี้ไง” ปราณนต์ยิ้มอ้อน
พริบพราวเขินแล้วแกล้งบีบจมูก “จ้า...น่ารักมาก ปลื้มสุดๆ”
“โอ้ย น่ารักมาก แล้วทำไมต้องบีบจมูกด้วย”
“มันเป็นการแสดงความชื่นชมของชาว” พริบพราวมั่ว “คีโมโนโกโรอะมาเตะ ไง” พริบพราวพูดไปขำไป “เนี่ยประเทศนั้นนะเค้าชมว่าน่ารักด้วยการบีบจมูกแบบนี้”
พริบพราวบีบอีกทีแล้วก็โยกแรงกว่าเดิม ปราณนต์จับมือพริบพราวออกจากจมูกของเขาแล้วนำมาล็อคไว้
“โอ้ย มั่วแล้ว ไม่เชื่อ !! ชาวคีโมโนมาเตะอะไร มีที่ไหนเล่า ! มันต้องแบบนี้” ปราณนต์บีบแก้มพริบพราวสองข้างแล้วก็โยก “ชาวซารังเฮโยมากิ ทำแบบนี้แปลว่า ...น่ารักโคตรๆ” ปราณนต์แกล้งเค้าแล้วก็ขำกับหน้าพริบพราวที่แบะออกตามแรงบีบของตัวเอง “ฮ่าๆ”
“โอ้ย” พริบพราวดึงมือปราณนต์ออก “ปล่อยเลย ดึงแบบนี้หน้าย้วยหมด ชาวซารังเฮโยมากิอะไร !! มั่วพอกันแหละ พอแล้ว” พริบพราวพูดจบก็ขยับหน้าตัวเองให้เข้าที่
ปราณนต์เห็นพริบพราวบริหารหน้าแล้วก็ขำ พริบพราวรู้สึกตัวแล้วก็เขินและขำไปด้วย
“ขอบคุณมากนะพราว” ปราณนต์พูด พริบพราวแปลกใจ “ขอบคุณที่รักผู้ชายอย่างผม”
ปราณนต์พูดตรงๆ จริงใจและลึกซึ้งเข้าไปในความรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายธรรมดาที่ผู้หญิงอย่างพริบพราวไม่น่าจะสนใจ พริบพราวมองปราณนต์แล้วอึ้งด้วยความรู้สึกทั้งดีใจ ทั้งจุกกับความจริงใจของปราณนต์ พริบพราวพูดไม่ออก ขอบตาของเธอร้อนๆเหมือนน้ำตาจะไหลแต่ก็ไม่ไหล ปราณนต์จับมือพริบพราวที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างอบอุ่น ปราณนต์ยิ้มให้พริบพราว พริบพราวยิ้มรับด้วยความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กันโดยไม่ต้องพูด มือของปราณนต์กุมมือพริบพราวไว้ด้วยความรัก
มือของปราณนต์กับพริบพราวเดินจูงกันอยู่ในห้างสรรพสินค้า พริบพราวกับปราณนต์เดินกุ๊กกิ๊กกันในห้างสรรพสินค้าหรู ทั้งสองเดินจับมือกัน แกล้งกัน แซวกัน หัวเราะสนุกสนานกันไปตลอดทางอย่างมีความสุข
ในโรงหนังที่นั่งคู่ใหญ่พิเศษกำลังฉายหนังผีอยู่ พริบพราวเอาหน้าซุกไหล่ปราณนต์เพราะไม่กล้าดู เธอทั้งซุก ทั้งกรี๊ด ปราณนต์ต้องกลั้นหัวเราะและแกล้งหันหัวพริบพราวออกไปดู พริบพราวยิ่งกลัว ร้องลั่นแล้วหันมากอดปราณนต์ ปราณนต์ยิ้มมีความสุข ปราณนต์ไม่แกล้งแต่เปลี่ยนเป็นลูบหัวพริบพราวเบาๆ เพื่อปลอบใจแทน ปราณนต์ยิ้มมีความสุขมาก พริบพราวก็ยิ้มมีความสุขและอบอุ่นที่อยู่กับปราณนต์ แต่ก็ต้องหลับตาเพราะกลัวผีไปด้วย
แจนคุยโทรศัพท์ไป เตรียมอุปกรณ์เช็ดตัวเด็กไปด้วย
“ลิปยังไม่บอกความรู้สึกกับคุณศยา ! มัวทำอะไรอยู่หะ”
ลิปดานั่งดื่มอยู่ในบาร์แห่งหนึ่งด้วยบรรยากาศเหงาๆ
“ดื่ม” ลิปดาตอบสั้นๆ
แจนพูดจากโทรศัพท์ “นี่ไม่ขำนะ บอกมาว่ามัวแต่ทำอะไร ทำไมไม่บอก”
“ก็...เมื่อวานพยายามจะบอก แต่มันก็โดนขัดจังหวะตลอด แล้วพาย..เอ่อ..นางแบบที่ลิปเคยควงด้วยอยู่พักนึงก็ดันมาอาละวาดที่ห้องเมื่อคืน ศยาก็เลยเงียบไม่พูดไม่จาด้วยตั้งแต่เช้า ไม่ยอมออกจากห้อง ก็เลย..ไม่รู้จะทำไง ก็เลย..ออกมาตั้งหลักข้างนอก”
แจนส่ายหน้า
“เฮ่อ ออกมาตั้งหลักข้างนอก รู้หรือเปล่าว่าทำแบบนี้ผู้หญิงจะยิ่งร้อนใจ นิสัย” แจนคิดในใจว่าสันดาน “ผู้ชายชอบหนีปัญหา”
ลิปดาสะดุ้งนิดๆ
“รีบกลับคอนโดเลยนะ แล้วก็บอกความรู้สึกของตัวเองกับคุณศยา ถ้าไม่บอกไม่ต้องโทร.มาอีกแจนไม่มีเวลามาคุยกับผู้ชายใจป๊อดที่ ไม่กล้าบอกรักกับผู้หญิงที่ตัวเองแอบรัก ... ป๊อด !! ชัดป่ะ”
ลิปดาจับหน้าอก “เจ็บ”
แจนส่ายหน้า
“ไม่ต้องมาสำออย แค่นี้นะ แจนต้องไปเช็ดตัวให้น้องเจมส์ ไข้ขึ้นสูงมาก”
ลิปดาพยักหน้ารับรู้
“โอเคๆ .. บอกตัวเล็กด้วยว่าเดี๋ยวไปเยี่ยม มีอะไรด่วนก็โทร.มานะ”
แจนเดินมาหาเจมส์ที่นอนซมอยู่บนเตียง แจมเริ่มเช็ดตัวเจมส์ที่นอนซมดูน่าสงสารเพราะอาการหนัก
“ขอบใจมาก แค่นี้นะ แล้วก็อย่าลืม ....บอก-ความ-จริง”
ลิปดาหัวเราะแล้วก็วางสายไปด้วยท่าทางคิดหนัก
“จะบอกยังไงวะ”
ลิปดาดื่มหมดแก้วรวดเดียวแล้วก็หันไปสั่งเพิ่ม
“น้องเหมือนเดิมอีกแก้ว .. สองแก้ว เอ่อ...สามแก้วเลย”
ลิปดาย้อมใจตัวเองสุดๆ
อวัศยายืนอยู่ริมหน้าต่าง เธอมองออกไปเห็นวิวกรุงเทพยามค่ำคืน อวัศยากอดอกหน้าหงิก
“หายไปไหนทั้งวันเลยนะอีบอส แว่บไปหาสาวๆอีกแน่ๆ” อวัศยาดูนาฬิกา “ดูสิ เรื่องเมื่อวานก็ยังไม่ได้เคลียร์ ดึกป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับ หายไปไหนของเค้า จะกลับกี่โมงก็ไม่บอก”
อวัศยาหันไปคว้าโทรศัพท์จะโทรออกแล้วก็นึกได้
“เดี๋ยว !! เมียก็ไม่ใช่ แฟนก็ไม่ได้เป็น แล้วเราจะโทร.จิกทำไมเนี่ย”
อวัศยารู้สึกตัวก็โยนโทรศัพท์ทิ้งบนโซฟาเลย
อวัศยาเดินไปมาด้วยความงุ่นง่านเหมือนเมียรอผัวกลับบ้านแบบไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ที่คอนโดมีเนียมก็ดังขึ้น
อวัศยาหันไปรับทันที “ฮัลโหล” อวัศยาฟัง “ใช่ค่ะ ห้องคุณลิปด่ะ” อวัศยาฟังแล้วก็ตกใจ “หะ แล้วตอนนี้คุณลิปอยู่ที่ไหน”
อวัศยาถามด้วยความตกใจ
ลิปดานอนหมดสภาพอยู่บนโซฟาที่ล็อบบี้ โดยมีรปภ.ยืนเฝ้า อวัศยารีบวิ่งพรวดออกมาจากลิฟท์
“บอส”
ลิปดาเมาสุดๆ “หือ” ลิปดาตาปรือแล้วก็ยิ้มเยิ้ม “คุณนั่นเอง”
แล้วลิปดาก็หลับคร่อก อวัศยาว่า
“เฮ้ย บอสมานอนตรงนี้ได้ยังไง อายเค้า ไปขึ้นห้อง”
ลิปดาเงยหน้าขวับ “นี่คุณชวนผม “ขึ้นห้อง” เหรอ”
อวัศยาชะงักเพราะอาย รปภ. “บ้าแล้ว ฉันบอกให้บอส “กลับขึ้นห้อง” ตัวเอง ไป ! ลุกเลย”
“ผมว่าคุณลิปไม่น่าจะลุกไหวนะครับ เมื่อกี๊ผมกับรปภ.อีกคนก็ต้องหิ้วปีกลงมาจากแท็กซี่”
“อ้าว...แล้วไง ฉันต้องหิ้วปีกบอสกลับขึ้นไปบนห้องเนี่ยนะ ใครจะหิ้วไหว”
อวัศยาโวยวายสุดๆ
อวัศยาหิ้วปีกลิปดาเข้ามาในลิฟท์อย่างทุลักทุเล
“บอส..ยืนหน่อยสิ ยันตัวไว้ก็ยังดี หนักจะตายอยู่แล้ว เข้าไป”
อวัศยาดันลิปดาแบบทั้งดัน ทั้งถีบ ทั้งยันแล้วก็หิ้วแขนด้วยความทุลักทุเลสุดๆ และแล้วอวัศยาก็ดันตัวลิปดาเข้าไปในลิฟท์ และดันตัวลิปดาติดไว้กับผนังเพื่อยันให้ยืนอยู่จนได้
อวัศยาถอนหายใจ “เฮ่อ”
อวัศยากดปิดลิฟท์ ประตูลิฟท์ปิดลง ลิปดาที่ยันร่างไว้กับผนังก็ค่อยๆ ไหลร่วงไปกับพื้น
“เฮ้ย”
อวัศยาต้องรีบเข้าไปประคองหิ้วปีกเอาไว้ ตัวของลิปดาที่หนักอึ้งก็โถมเข้ามาอวัศยาแล้วก็ลากกันไปชนกับผนังลิฟท์อีกฝั่ง ภาพภายนอกเหมือนลิปดากำลังยืนกอดอวัศยาแล้วเอาหน้าซุกที่ซอกคอของเธอ
อวัศยาจักกะจี๋ “ฮ่าๆๆ บอสๆ เอาหน้าออกไปเดี๋ยวนี้นะ ฮะๆๆ”
ทันใดนั้นลิฟท์ก็เปิดออกฟึ่บ ป้าแก่ๆ ยืนอยู่มองเข้ามาในลิฟท์แล้วก็ตกใจเพราะนึกว่าลิปดากำลังยืนไซ้ซอกคออวัศยาในลิฟท์
“ว้าย บัดสีบัดเถลิง” ป้ารีบปิดตาแล้วกดปิดลิฟท์ “ทำอะไรไม่อายเจ้าที่ บ้าที่สุด”
อวัศยาตกใจ “เอ่อ คุณป้า มันไม่ได้เป็นแบบนั้นนะคะ ป้า”
ประตูลิฟท์ปิดลง อวัศยาแค้นใจลิปดา
อวัศยาทิ้งร่างลิปดาลงบนโซฟาในห้องอย่างเหนื่อยหอบ
“เฮ่อ !! บอสนะบอส เมาหมดสภาพมาเลย คงจะสนุกกับสาวมาสุดเหวี่ยงหล่ะสิ”
ลิปดาโพล่งออกมา “ใส่ร้าย ..”
อวัศยาหันขวับและท้าวเอว
“บอส !! นี่ไม่ได้เมาจริงๆใช่มั้ย แกล้งให้ฉันลากขึ้นมาบนเนี่ยนะ”
“ไม่ได้แกล้ง มาววจริง แต่เพิ่งจะฟื้นตอนโดน....ใส่ร้ายย”
“ฉันใส่ร้ายอะไร” อวัศยาเสียงเขียว
“ผมม่ายด้ายไปกับสาวๆ ผมมาวคนเดียว ไม่มี๊สาวๆเลย...ไม่ต้องหึง”
อวัศยาหน้าแดง “ใครหึง ฉันไม่ได้หึง ฉันจะหึงทำไม” อวัศยาทำเหวี่ยงเพื่อกลบความเขิน
“ไม่หึง ก็ดี เปลี่ยนเสื้อผ้าให้หน่อย”
อวัศยาอึ้ง “หือ”
“ก็มันเหม็น” แล้วลิปดาก็ถอดเสื้อออกเลย
อวัศยาตกใจ “เฮ้ย บอส ทำไรเนี่ย บอสจะมาแก้ผ้าตรงนี้ไม่ได้นะ” อวัศยาพยายามจะเอาเสื้อใส่ให้ตามเดิม
อวัศยาพยายามเอาเสื้อยัดกลับเข้าไปในแขนและในตัวลิปดาเหมือนเดิมทำให้ต้องเข้ามาในระยะประชิดโดยไม่รู้ตัว ลิปดาได้ทีก็ดึงตัวอวัศยามากอด อวัศยาตัวแข็งเกร็ง
“ม่ายแก้ แค่เปลี่ยน ...” ลิปดายื่นหน้ามาใกล้เหมือนจะหอมแก้มแล้วก็พูดเสียงเมาๆ “หยิบชุดใหม่ให้ผมหน่อยนะครับ”
อวัศยารีบดันตัวออก “ไม่ต้องพูดใกล้ขนาดนี้ก็ได้ .. เหม็นเหล้า รออยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวฉันไปหยิบชุดให้”
อวัศยารีบเดินเข้าห้องนอนไป ลิปดายืนตัวโอนเอนเพราะเมาจริงๆ
อวัศยารีบเดินมาที่ตู้เสื้อผ้า ทั้งรื้อทั้งเลือกชุดนอนสบายๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงฟึ่บที่เตียง อวัศยาหันขวับไปเห็นลิปดานอนอยู่บนเตียงของเธอ
“เฮ้ย เข้ามาไม่ได้นะ เราทำข้อตกลงกันแล้วนะ ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต”
อวัศยาเดินมาโวยวาย พร้อมกับส่งเสื้อให้
“บอสรีบใส่เสื้อแล้วออกไปนอนข้างนอกเลย”
ลิปดาทำเป็นยื่นมือจะมารับเสื้อ แต่ดึงอวัศยาลงมานอนด้วย อวัศยาล้มลงมานอนข้างๆ ลิปดา
“ว้าย !!” อวัศยาจะยันตัวลุกขึ้นแต่ลิปดาดึงไว้ “บอส ปล่อยฉันนะ”
“ไม่ปล่อย จนกว่าคุณจะตอบคำถามผมก่อน” ลิปดาพูดเมาๆ
“คำถามอะไร จะมาถามอะไรตอนนี้”
ลิปดาถามสวนขึ้นมาทันที “ลืมปราณนต์ได้หรือยัง”
อวัศยาชะงักกึก เธอหันขวับมาในสภาพหน้าแดง หัวใจเต้นแรง “บอสจะถามไปทำไม”
“เอาน่า..ตอบมา.ลืมไปถึงไหนแล้ว .ลืมได้หรือยัง”
“ฉันไม่ได้มีสวิตซ์เปิดปิดนะ อยากลืมกดปิด แล้วลืมง่ายขนาดนั้น”
“คุณอยากลืมได้แบบปิดสวิตซ์เลยมั้ย ผมช่วยได้นะ”
“ช่วยยังไง”
“ผมเล่นกลเป็นอยู่อย่างนึง ใช้สะกดจิตให้คนลืม” ลิปดาดีดนิ้ว “ลืมได้ทันทีแบบนี้เลย”
“ทำยังไง”
ทันทีที่อวัศยาพูดจบ ลิปดาก็หันมาทางอวัศยาแล้วก็จูบปากอวัศยาแบบที่เธอไม่ทันตั้งตัว อวัศยาอึ้งหนัก ลิปดาจูบอวัศยาด้วยความรักเนิ่นนานและอบอุ่น อวัศยาใจเต้นโครมครามเหมือนโลกทั้งโลกหยุดหมุน พออวัศยารู้สึกตัวก็รีบดันตัวลิปดาออก
“นี่คุณทำอะไร ปล่อยฉันเลยนะ อย่ามาทำแบบนี้กับฉัน ฉันไม่ใช่คู่ขาสาวๆของคุณ” อวัศยาดิ้นหันหลังและขืนตัวจะลุกหนี
ลิปดากระชับกอดแน่นจากด้านหลังแล้วพูดกระซิบอย่างหนักแน่น “แน่นอนอยู่แล้ว คุณไม่ใช่ คุณเหมือนพวกเค้าอยู่แล้ว” อวัศยาชะงัก “สำหรับผม .. คุณไม่เหมือนใครเลย....ไม่เหมือน ... และเอาไปเปรียบเทียบกับใครก็ไม่ได้”
อวัศยาใจเต้นแรงมากแต่ยังพยายามจะขืนตัวออก “ฟังดูดีไปหรือเปล่า ปล่อย”
ลิปดารัดแน่นกว่าเดิม “ผมพูดจริง....อาจจะดูดีเกินไป แต่ไม่เกินความจริง ... คุณเป็นคนพิเศษ เป็นคนสำคัญ...เป็นทุกอย่างของผมนะ ศยา ... คุณคนเดียวเท่านั้น ที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้”
อวัศยาใจอ่อนยวบเพราะสับสนว่าจะทำยังไงดี อวัศยาหยุดดิ้น ลิปดารีบอ้อนต่อ
“ผมขอนอนที่นี่...กับคุณนะศยา...ผมขอร้อง...ขอแค่คืนเดียว”
ลิปดาพูดจบแล้วก็กอดอวัศยาไว้แน่น อวัศยาหวาดหวั่น หวั่นไหวจนใจเต้นแรง แววตาของเธอสับสน แต่ความต้องการลึกๆข้างในก็เอาชนะความกลัว อวัศยายอมนอนนิ่งๆ อยู่ในอ้อมกอดของลิปดาตามที่เขาต้องการ
ลิปดาค่อยๆลืมตาและยิ้มอย่างมีความสุข ลิปดากระชับกอดอวัศยาอย่างอบอุ่น แล้วทั้งสองคนก็นอนกอดกันอย่างมีความสุขเป็นความสงบเล็กๆ ที่ก่อตัวขึ้น อวัศยาเปิดใจให้ลิปดาเข้ามาอย่างเต็มตัวโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว
อ่านต่อตอนที่ 12