แหวนทองเหลือง ตอนที่ 26
ดวงใจนั่งนับเงินที่เหลืออยู่ มีจำนวนไม่มากด้วยสีหน้ากลุ้มใจ
"เหลือแค่นั้นเองเหรอดวง"
"พอค่าเช่าบ้านอีกเดือนเดียวเท่านั้นแหล่"
เสาวรสหงุดหงิด"นายญี่ปุ่นก็ไม่มาซักที...จะเอายังไงดีล่ะ"
"เราต้องประหยัดอีก"
"จะประหยัดอีกแค่ไหนดวง...ทุกวันนี้เราก็กินข้าววันละมื้อ ไฟก็ไม่เปิด จุดแต่เทียนเล่มเดียว"
"ดวงจะลองขอผลัดแกซักเดือน"
วันใหม่ ลมัยหน้าบึ้งถมึงทึงเดินเข้ามาในบ้านเช่า
"โอ้ย...ไม่ได้หรอกย่ะ ไม่มีค่าเช่าก็ย้ายออกไปซิ"
ดวงใจพยายามอ้อนวอน เสาวรสเดินหนีไปอีกทางหนึ่ง สีหน้าไม่พอใจไม่อยากพูด
"ฉันขอร้องละจ้ะ คุณโตชิโร่จะกลับมาเร็วๆ นี้ ฉันจะรีบเอาเงินไปใช้ให้เลยจ้ะ"
"อย่าโง่ไปหน่อยเลยเธอ ผัวญี่ปุ่นเธอน่ะ มันไม่มาแล้ว…ป่านนี้มันโดนยิงเป้าไปแล้ว"
เสาวรสอดไม่ได้เดินมา
"อ้าว..พูดดีๆ ซิป้า...ทีเมื่อก่อนมาก้มไหว้ประหลกๆให้เขาช่วย เดี๋ยวขอยา เดี๋ยวขอน้ำตาล ตอนนี้มาพูดงี้ได้ยังไง"
"จะทำไม ฉันจะพูดอย่างนี้แหล่ะ ไม่มีเงินก็ย้ายออกไป"
"คำก็ย้าย สองคำก็ย้าย ไม่รู้จักความเมตตาบ้างเลยหรือไง คุณนายลมัย"
ลมัยมองหน้าเสาวรสนิ่ง
ลมัยเก็บเครื่องแก้วเจียรนัยในตู้ใส่ลังใบใหญ่
"พวกเธอบอกว่าไม่มีเงินได้ยังไง ก็ของพวกนี้ มันก็ใช้แทนเงินได้"
ดวงใจหน้าจะร้องไห้ เสาวรสไม่พอใจมาก
"แล้วทำไมเอาไปมากอย่างนั้น...ของพวกนี้น่ะสองสามชิ้นก็เกินค่าเช่าเดือนนึงแล้วนะ"
ลมัยหันมาเถียง"นี่เธอ...ฉันต้องเอาไปขายอีกนะ ค่ารถค่าติดต่อหาคนมาซื้ออีกล่ะ...จะเอาไปขายได้หรือเปล่าก็ไม่รูh แล้วถ้ามันไม่พอล่ะ"
เสาวรสเดินไปหยิบเครื่องแก้วออกมาสองสามชิ้น
"พอแล้วพอ เอาไปแค่นั้นละพอแล้ว อย่าโลภนัก แค่นั้นก็ขนไม่ไหวแล้ว"
ลมัยค้อนเสาวรสอย่างไม่พอใจ
"ที่เหลือนี่ฉันจะมาขนคราวหน้า"
ลูกน้องลมัยพยายามแบกลังออกไป ลมัยพยายามช่วยยกด้วยออกไปอย่างทุลักทุเล ดวงใจนั่งหมดแรง
"หน้าเลือดชะมัด ดวง พี่ว่าเราไปหาคนมาซื้อเองดีกว่า"
"จะไปหาที่ไหนจ้ะ"
"ไม่น่ายากหรอกดวง พรุ่งนี้พี่จะลองไปถามอากงดู แต่แหม...หน้าเลือดพอๆ กับอีป้านี่แหล่ะ"
ร้านทองของอากง เป็นร้านทองไม่ใหญ่นัก อากงกำลังนั่งดีดลูกคิดไม่ได้สนใจเสาวรสแต่อย่างใด
"ไม่เอา ไม่เอา อั้วขายทอง ไม่ได้ขายของชำ"
"ลองไปดูก่อน...ของดีๆ ทั้งนั้นนะอากง"
"ดีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้... อั้วดูของพวกนั้นไม่เป็น ดูเป็นแต่ทอง"
เสาวรสถาม
"อากงรู้จักใครที่เค้าจะซื้อของพวกนี้ไหมล่ะ ในตู้ของนอกทั้งนั้น"
อากงตวาด"ม่ายลู้...บอกว่าม่ายลู้ ม่ายลู้ ลื้อนี่ชอบเอาเรื่องเดือดร้อนมาให้เรื่อยนะ หัดทำตัวดีๆ กะเค้าบ้างซิ ยังงี้พ่อมึงถึงเบื่อน่ะ...ยุ่งชิกหาย"
อากงเงยหน้าขึ้นจะบ่นเสาวรสอีก แต่เสาวรสไม่ได้ยืนฟังอีกแล้ว...
ดวงใจเปิดประตูบ้านให้ เสาวรสเดินเข้าบ้านมาด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ส่ายหน้าอย่างหมดหวัง ดวงใจพยายามยิ้มให้กำลังใจ
ลมัยพาลูกน้องหลายคนมาช่วยขนของเครื่องแก้ว เครื่องกระเบื้องในตู้โชว์อีก จากนั้น ตามมาด้วยเครื่องเรือนในบ้านค่อยๆ หายไปทีละชิ้น จนหมดตามเวลาที่เปลี่ยนผ่านไป
ดวงใจกับเสาวรสยืนอยู่หน้าห้องนอนโตชิโร่ เสียงลมัยไล่คนงานออกจากห้อง
"ออกไปๆ ชั้นบอกแล้วให้เอาคนมาสี่ห้าคน แล้วไง บอกไหวๆ เตียงก็ยกไม่ขึ้น โต๊ะทำงานข้างล่างก็ยกไม่ขึ้น ไปๆ"
คนงานเดินลงบันไดไป
เสาวรสบอก
"ก็ถอดฝาบ้านไปซะเลยซิ นี่ชั้นจะบอกให้นะ แค่โต๊ะทำงานข้างล่างตัวเดียวน่ะ เท่ากับค่าเช่าบ้านสามเดือนนะ"
ลมัยตาเหลือก
"โอ้…แม่คุณ เดือนเดียวแหล่ะย่ะ ฉันน่ะต้องเสียค่าจ้างคนมายก ค่ารถบรรทุกมาขนน่ะ ไม่ใช่บาทสองบาทนะยะ"
"ขอสักสองเดือนนะคะ...แล้วโต๊ะทำงานนะ เจ้าของเค้า รักมาก...ใจจริงฉันไม่อยากขายซะด้วยซ้ำ"
ดวงใจทำท่าเสียดาย ลมัยกลัวดวงใจเปลี่ยนใจ
"เอาๆ …ฉันให้ได้แค่เดือนครึ่งหล่ะ...นี่ก็เต็มที่แล้วนะ โอ้ย... วันนี้คงขนได้แค่โต๊ะตัวเดียว พรุ่งนี้ฉันจะมาดูของอย่างอื่นเพิ่มอีกก็แล้วกัน"
ลมัยเดินลงบันไดมือไปปัดเอารูปที่แขวนบนบันไดหลนมาทับเท้าเลือดไหล ดวงใจตกใจ ลมัยโวยวายจะเรียก
"โอ้ย...เอารูปบ้าบออะไรมาแขวนที่บันไดเนี่ย ดูซิ เลือดออกแล้วเห็นมั้ย ชั้นจะคิดค่าหมอด้วยคอยดู"
"ตายจริง...ฉันจะเอายามาใส่แผลให้นะ" ดวงใจบอก
"ยามีซะที่ไหนล่ะดวง...ยาหมดแล้ว"
ลมัยเดินกระเผลกลงมาชั้นล่าง มองมาที่โต๊ะ แล้วตะโกนสั่งคนงาน
"เฮ้ย..หายหัวไปไหนกันหมด พวกเอ็งรีบเข้ามาขนโต๊ะตัวนี้ออกไปให้ได้ ถ้า แกขนไม่ไหว ชั้นจะไม่จ่ายเงินพวกแกสักบาทเดียว"
ลูกน้องลมัยมาช่วยยกโต๊ะทำงานของโตชิโร่ออกไป ลมัยแอบทำหน้าดีใจ ลมัยบงการให้ขนโต๊ะเอง
"ยกดีๆ อย่าให้กระแทกนะโว้ย ถ้าเป็นรอยละข้าจะหักค่าแรงพวกเอ็งนะ"
ดวงใจหน้าจ๋อย เสาวรสแอบสะใจ ลมัยเดินกระเผลกออกไป บ่นไป
"คอยดูนะ...จะคิดค่าหมอค่ายาให้อ่วมเลย"
พอลมัยเดินพ้นไป เสาวรสก็ด่าไล่หลัง
"อีหน้าเลือด...สมน้ำหน้า...เดี๋ยวพี่ไปปิดประตูบ้านก่อนนะดวง"
เสาวรสเดินออกไป ดวงใจเดินขึ้นบันไดมาเก็บรูปที่หล่นจะแขวนเข้าที่ เสาวรสเดินกลับเข้ามา "อีหน้าเลือดนี่ ชั้นนี้อยากจะเอาสากกระเบือ ตำหน้ามันซะจริงๆ"
ดวงใจเห็นประตูเล็กๆหลังรูป ดวงใจเปิดออก
"พี่เสาว์...มาดูนี่ซิ มันมีโพรงมีอะไรอยู่ด้วย"
ดวงใจชโงกหน้าดู เสาวรสเดินไปหยิบไฟฉายมาส่องลงไปดู
"จริงด้วยดวง...เหมือนมีลังอะไรก็ไม่รู้."
เสาวรสมองหน้ากับดวงใจ
"หรือจะเป็นลังเครื่องกระป๋อง...ดวง..พี่จะเข้าไปดูนะ ...ถ้าเป็นเครื่องกระป๋องเราจะได้มาเปิดกินกัน อดอยากมานาน"
เสาวรสค่อยๆ ปีนขึ้นไปในช่องนั้น
"ระวังนะพี่เสาว์"
อ่านต่อหน้า 2
แหวนทองเหลือง ตอนที่ 26 (ต่อ)
เสาวรสไต่ลงมาจากห้องทำงานโตชิโร่ เป็นห้องลับที่ขุดไว้เฉพาะ เสาวรสเหยียบฝาลังไม้ลงมาได้
"ดวง…ส่งไฟฉายกับ ค้อน มาให้พี่หน่อย"
เสาวรสรับไฟฉายลงมาส่องดูที่ลังไม้ที่เหยียบลงมา มีอีกลังวางอยู่ข้างๆ ดวงใจหย่อนค้อนลงมาให้
"นี่จ้ะค้อน"
เสาวรสรับค้อนมา เอาไฟฉายวาง แล้วเอาค้อนตีฝาลังให้เปิดออก ทันใดนั้นแสงประกายจากทองก็ส่องสว่างมาที่หน้า เสาวรสตาเหลือก...
"อะไรกันนี่"
เสาวรสเอาไฟฉายส่อง หยิบทองขึ้นมาแท่งหนึ่ง เอาฟันกัดดู สีหน้าตื่นเต้นสุดขีด
"ดวง…ดวง…ลงมาดูเร็ว...เร็วดวง"
ดวงใจค่อยๆ ไต่ลงมา เสาวรสยื่นทองคำแท่งให้ดู
"อะไรพี่เสาว์"
เสาวรสสีหน้าดีใจมาก
"ทอง…ดูซิดวง ทองเต็มหีบเลย"
ดวงใจดีใจ"ทองจริงๆ เหรอพี่เสาว์"
"ต้องจริงซิดวง"
ดวงใจรับทองมาดู
"อย่างนี้เอง...โตชิโร่ถึงไม่ให้ดวงทิ้งบ้าน..แล้วมันมีกี่หีบ พี่เสาว์"
"ดูเอาเองซิ"
เสาวรสกวาดไฟฉายส่องไป เห็นหีบไม้ที่บรรจุทองวางซ้อนเรียงรายเต็มไปหมด
"ดวง…ดวงรวยแล้ว"
ดวงใจดีใจมาก"เรารวยพี่เสาว์ เรารวย"
เสาวรสดีใจกระโดดโลดเต้นกับดวงใจ
อากงขอกำลังก้มหน้าก้มตาดีดลูกคิด เสาวรสเอาทองคำแท่งมาวางบนแผงลูกคิด อากงตาโต
"ลื้อไปเอามาจากไหน"
"เท่าไหร่"
อากงมองเสาวรสอย่างไม่เชื่อใจ
"ลื้อไปปล้นใครมา...อั้วไม่รับซื้อของโจรนะ"
เสาวรสทำหน้าหมั่นใส้
"ของนายอั้ว ไม่อยากได้ก็ไม่เป็นไร อั้วไปร้านอื่นก็ได้"
เสาวรสจะหยิบทองคำแท่งไป แต่อากงไวกว่า คว้าไว้ เสาวรสมองหน้า อากงมองทองอย่างพิจารณา เอาน้ำประสานทองลองเขี่ยดูก็รู้ว่าเป็นทองคำบริสุทธิ์ อากงตาโตแต่ทำฟอร์มจะกดราคา
"เอาไปพันเดียว"
เสาวรสแย่งทองคืนมา
"เลิกคุยกันเลยอากง แท่งละสามพัน ไม่ลดแม้แต่บาทเดียว ไม่เอาก็อย่าเอา"
เสาวรสทำท่าจะเดินไป อากงรีบเรียกเสียงหลง
"ก็ล่าย...ก็ล่าย...นี่เห็นว่าเป็นญาติกันหรอกนะ"
เสาวรสหัวเราะสะใจ
"ทีตอนนี้จะมานับญาติแล้วเหรออากง"
"แหม…ทำเป็นใจน้อยไปได้ นายลื้อมีทองอย่างนี้อีdหรือเปล่าล่ะ ถ้ามีเอามาขายอากงนะ อย่าให้คนอื่นรู้"
เสาวรสหยิบทองคำแท่งในกระเป๋าออกมาวางตรงหน้าอากงทีละแท่งจนครบสิบแท่ง...อากงตาโตตกใจ
"อากงก็อย่าไปบอกใครล่ะ...ไม่งั้น..อด"
เสาวรสเปิดประตูให้ลมัยที่ยืนหน้าถมึงทึง พร้อมลูกน้องที่ยืนประกบด้านหลัง ดวงใจเดินออกมาจากด้านใน
"วันนี้พวกลื้อต้องย้ายออกได้แล้ว...ฉันได้คนเช่าบ้านหลังนี้แล้ว โต๊ะเก้าอี้ที่เหลือห้ามขนไปนะ ฉันคิดเป็นดอกเบี้ย"
"มันจะหน้าเลือดไปละมั้งป้า"
"ช่วยไม่ได้...เงินไม่มีอยากจะอยู่บ้านหลังใหญ่โตทำไม ไม่มีเงินก็ไปอยู่กระต๊อบ ถ้าหน้าด้านไม่ยอมไปฉันจะให้ไอ้พวกนี้จับแกสองคนโยน"
ลมัยพูดไม่จบ เสาวรสก็เอาเงินปึกใหญ่ปาหน้าเอา ตามด้วยเท้าเสาวรสที่ประทับตรงก้น จนลมัยหน้าถลาทิ่มออกไปนอกบ้าน
ดวงใจ กับ เสาวรส แต่งตัวดี ลงจากรถรับจ้างหน้าร้านอาหารจีน ทั้งสองคนเดินเข้ามาในร้าน ดวงใจสีหน้ากังวล
"เราจะไว้ใจเจ้าสัวคนนี้ได้เหรอพี่เสาว์"
"อากงแกว่าเจ้าสัวคนนี้เป็นคนดี ค้าขายด้วยกันมานาน อากงแกก็ไม่มีปัญญาจะหาเงินมาซื้อทองของเราแล้ว ถึงให้เราเจอกับเจ้าสัว แกรับรองว่าปลอดภัยแน่ๆ แต่ถ้าดูไม่น่าไว้ใจเราก็กลับ"
ดวงใจพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองคนเดินเข้าไปในร้านอาหารจีนหรูหรา บริกรสาวพาเข้าไปให้องทานอาหารเฉพาะ อากงของเสาวรส กับ เจ้าสัวพูนทรัพย์นั่งคอยอยู่แล้ว
"เอ้ามากันแล้ว"
เจ้าสัวพูนทรัพย์ลุกขึ้นยืนยิ้มแย้มต้อนรับ
"เอ้า...เชิญนั่งเลยครับ"
ดวงใจ กับ เสาวรสลงนั่ง บริกรเสิร์ฟน้ำ และ อาหารสองสามอย่างแล้วออกไป
เจ้าสัวยิ้มแย้ม"ฮ่า..ฮ่า…คนไหนเป็นเจ้าของทอง"
ดวงใจชี้ที่เสาวรส
"ของคนนี้"
"ไม่ใช่…ของเราทั้งสองคน" เสาวรสบอก
อากงมองเสาวรสอย่างทึ่ง
"เรามาคุยกันเลยนะครับ...ผมได้ยินว่าคุณสองคนมีทองคำแท่ง"
เสาวรสบอก
"ก็พอมี"
"คุณสองคนไม่ต้องกลัว เราจะคุยกันอย่างนักธุรกิจ ผมเองรู้มาว่ากองทัพญี่ปุ่นได้ซ่อนทองคำไว้มากมายหลายแห่ง...ทองคำแท่งของพวกคุณเป็นทองของญี่ปุ่นใช่ไหมครับ" เจ้าสัวถาม
ดวงใจ กับ เสาวรสไม่ตอบ มองหน้ากัน
"เก็บไว้ที่บ้านอันตรายมา เกิดรู้ถึงตำรวจก็จะโดนรัฐบาลยึดไปเลย"
"แล้วจะต้องทำยังไงคะ" ดวงใจถาม
"ต้องรีบเอาออกมาโดยเร็วที่สุด...ทางที่ดีที่สุดคือเอามาลงทุนทำธุรกิจ พวกคุณพอจะมีความรู้ลงทุนทำธุรกิจอะไรบ้าง"
"ฉันเคยทำค้าขายวัสดุก่อสร้างค่ะ"
อากงรีบสนันสนุน
"ช่าย..ช่าย…พ่ออีเปิดร้านขายหิน ขายท่อก่อสร้าง… ร้านหย่าย"
เจ้าสัวพูนทรัพย์ยิ้มพอใจ
"ดีมากเลย...พวกคุณจะมีอาชีพมั่นคงแล้วน่าจะได้เงินเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าถ้าทำธุรกิจเป็น...ธนาคารของผมจะดูแลเรื่องทองและเริ่มต้นธุรกิจให้พวกคุณ"
เสาวรส ดวงใจดีใจ
อ่านต่อหน้า 3
แหวนทองเหลือง ตอนที่ 26 (ต่อ)
คืนนั้น ในสวนบ้านเช่าโตชิโร่ ที่มีไฟโคมสวยงาม บ้านสว่างไสวอีกครั้ง ดวงใจยืนหน้าเศร้า อยู่ในสวน เสียงเสาวรสเรียกหา
"ดวง…ดวง"
ดวงใจเอามือป้ายน้ำตา เสาวรสเดินมาหา
"อยู่นี่เอง...พี่เก็บของหมดแล้วนะ พรุ่งนี้เจ้าสัวจะส่งรถมารับแต่เช้านะดวง...อ้าว..เป็นอะไรล่ะ"
ดวงใจถอนใจ"เปล่าจ้ะ"
"นี่จะปิดพี่เหรอ...คิดถึงนายญี่ปุ่นละซิ"
"ฉันแน่ใจว่าเค้าคงไม่กลับมาแล้วล่ะพี่เสาว์ ก็ได้แต่นึกขอบคุณเค้าที่เป็นคนชุบชีวิตเรา"
"จริง…เราสองคนเป็นหนี้บุญคุณนายจริงๆ ดวง โชคดีนะที่ได้นายน่ะ ไม่ต้องแบกทุกข์เหมือนคุณกฤษดา"
ดวงใจสีหน้าสลดลงไปเลย เสาวรสเขม้นมอง
"อย่าบอกนะว่ายังคิดถึงคุณกฤษดาน่ะ"
ดวงใจยิ้มเศร้า"ฉันไม่เคยลืมเค้าแม้แต่วันเดียว"
"แม้แต่เวลาที่อยู่กับนายด้วยเหรอ"
ดวงใจพยักหน้ายิ้มเศร้า...เสาวรสมองดวงใจอย่างเห็นใจ
กฤษดา สะพายเป้ยืนอยู่หน้าเนินฝังศพ สีหน้าเศร้าหมอง กำนันปานยืนอยู่ใกล้ๆ
"ผมว่าไอ้ดวงมันคงดีใจที่คุณกฤษดาตัดสินใจแบบนี้ครับคุณยังหนุ่มแน่น ไม่ควรมาทิ้งอนาคตไว้ที่นี่"
กฤษดาถอนใจ"ฉันจะลองไปกรุงเทพดู ถ้าฉันไม่พบสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันจะกลับมาอยู่ที่นี่"
"ผมก็จะคอยคุณอยู่ที่นี่ครับ"
"ฉันทิ้งเงินไว้ให้กำนันอยู่ในหีบ...น่าจะพอใช้ได้หลายเดือน...แล้วฉันจะติดต่อมา"
กฤษดาคุกเข่าที่เนินดินนั้น
"ดวงใจ…ฉันจะกลับมานะ"
กฤษดาตัดใจลุกขึ้นเดินจากมา กำนันปาน กับ เต่ามองตาม....
กฤษดาเดินมาหยุดยืนดูหน้าบ้านที่ทุ่งมหาเมฆด้วยสีหน้าเศร้าหมอง....สภาพบ้านทรุดโทรมมีใบไม้แห้งเห็นได้ว่า... ไม่มีคนอยู่ มีป้ายปิดประกาศของศาลยึดทรัพย์ กฤษดาเอามือจับประตูรั้วที่โดนล่ามโซ่ไว้
กฤษดานั่งทานน้ำอยู่ที่ห้องอาหารของสโมสรที่ค่ายทหารที่เคยทำงานอยู่ เขามองไปรอบๆ อย่างรู้สึกคุ้นเคย พนม กับปิ่นแก้วเดินเข้ามา พนมไม่แน่ใจเดินเข้ามาดูใกล้ๆ
"เฮ้ย…กฤษดา กฤษดาจริงๆ ด้วย"
พนมดีใจมาก กฤษดาก็ดีใจ ทั่งสองคนสวมกอดกันอย่างดีใจมาก
"พนม"
"หายไปไหนมา เค้าตามหากันแทบจะพลิกแผ่นดิน"
"แล้วนายล่ะ...เป็นไงบ้าง"
กฤษดามองไป เห็นปิ่นแก้วยืนมองอยู่
"น้องปิ่น"
ปิ่นแก้วเดินมาหากฤษดา กับ พนม
"ปิ่นไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเจอพี่กฤษดาอีก"
"มาด้วยกันสองคนเหรอ"
"ก็เพราะนายน่ะแหล่ะ...กันเลยต้องแต่งกับน้องปิ่น"
กฤษดาดีใจมาก"ดีใจด้วยเพื่อน...ดีใจด้วยจริงๆ"
ปิ่นแก้วกำลังพูดถึงแสงธรรม น้ำตาไหล
"ตอนที่เค้าส่งข่าวเรื่องพี่แสงธรรมมาที่บ้านแทบจะเป็นบ้ากันหมด โดยเฉพาะคุณพ่อ ท่านล้มฟาดเป็นอัมพาต …พออีกหกเดือนท่านก็เสีย"
กฤษดาพยายามข่มความเศร้า
"พี่อยู่กับเค้าจนวินาทีสุดท้าย"
ปิ่นแก้วสะอื้น"เค้าทรมานไหมคะพี่กฤษดา"
"ไม่เลย...เค้าหลับ...อย่างสงบ"
"แล้วนายหนีไปอยู่ที่ไหน"
"ไปอยู่ที่เชียงใหม่"
"งั้นก็สบายน่ะซิ...เรื่องมรดกนายที่นี่ กันจะช่วยดูให้มีนายมาแสดงตัวแบบนี้คงไม่ยาก"
"กันไม่หวังว่าจะได้คืนหรอก"
"ได้ไง...ของของเรา แล้วตอนนี้คิดจะทำอะไร"
"ยังไม่รู้เลย...จะต้องไปรายงานตัวก่อนแล้วค่อยคิด"
"ตอนนี้กันก็กำลังจะทำงานสำคัญ"
"งานอะไร"
พนมพูดเสียงค่อยลง ปิ่นแก้วก็มองไปรอบๆ
"งานใหญ่มาก...ถ้าสำเร็จบ้านเมืองเราจะดีกว่านี้"
กฤษดาหัวเราะ"ไม่อยากยุ่งเรื่องพวกนี้อีกแล้ว"
"คืนพรุ่งนี้จะประชุมที่บ้านกัน...นายไปให้ได้นะ"
พนมหากระดาษปากกา
"น้องปิ่นขา...ไปขอกระดาษปากกาให้พี่หน่อยนะคะ จะจดเบอร์โทรศัพท์บ้านเราให้กฤษดา"
"ค่ะ"
ปิ่นแก้วลุกขึ้นเดินไป
"แล้วเมียนายที่เชียงใหม่เป็นไง"
กฤษดามองหน้าพนม
"เค้าตายแล้ว"
พนมตกใจ"เสียใจด้วยนะ...คนเราไม่มีอะไรแน่นอน..เอ้อ แต่กันเจอผู้หญิงคนนึงหน้าตาเหมือนแฟนนายที่เชียงใหม่เลย...แต่น่าเสียดาย..เป็นเมียญี่ปุ่น"
ตอนนั้นเอง มีสห. กับ ตำรวจวิ่งมารวบตัวพนม กับ กฤษดา ไว้ ทั้งคู่พยายามดิ้น
"นี่มันเรื่องอะไรกัน"
ตำรวจบอก
"เราต้องขอนำตัวพวกคุณไปให้ปากคำที่สถานนี"
"คุณจับผมข้อหาอะไร"
"เราสงสัยว่าพวกคุณเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดก่อการกบฏ"
"เค้าไม่เกี่ยว...ปล่อยเค้าไป"
กฤษดา มองหน้าพนม ตำรวจเอาเป้ของกฤษดามาเปิดออกค้น ในเป้มีเงินจำนวนมากที่กฤษดาเอามาจากเชียงใหม่ และ มีปืน
"นี่ของใคร"
"ของผมเอง"
นายตำรวจนิ่งไปใช้ความคิด
"ปล่อยเค้าไปเถอะ....เค้าเพิ่งมาจากต่างจังหวัด เราแคjรู้จักกัน เค้าไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย" พนมบอก
"เอาตัวไป"
สห. และ นายทหารพยายามลากตัวทั้งคู่ออกไป กฤษดาไม่ยอมพยายามต่อสู้ จึงโดนตำรวจเอาปืนฟาดสลบไป ปิ่นแก้วยืนแอบดูตัวสั่นมองดู....
อ่านต่อหน้า 4
แหวนทองเหลือง ตอนที่ 26 (ต่อ)
ผ่านเวลาไป 17 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2507 ...
หมอเมตตาอายุมากขึ้น ใส่แว่นตานั่งอ่านเอกสาร เจ้าหน้าที่มูลนิธิคอยฟังคำตอบ
"เค้าต้องการเอกสารแค่นี้เองเหรอ..ไม่ต้องการดูประวัติย้อนหลังเลยเหรอ"
เจ้าหน้าที่บอก
"ไม่ได้ขอดูค่ะ...เจ้าหน้าที่ที่มาบอกว่าเจ้านายเขาจะโอนเงินมาให้เราอาทิตย์หน้า"
"เค้าใจบุญอย่างไม่น่าเชื่อ...แล้วเค้าต้องการอะไรอีกไหม"
"ไม่มีค่ะ...ถ้าหมอตกลงตามนี้ก็เซ็นต์ชื่อรับทราบได้เลย เราจะได้รีบกลับไปรายงานเจ้านาย"
หมอเมตตาเซ็นต์ชื่อในเอกสาร แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิไป เจ้าหน้าที่เดินออกไป อ้อยที่ดูมีผมหงอกนิดหน่อย หิ้วกระเป๋าเดินทางมาวางสองใบ พอวางกระเป๋าแล้วอ้อยก็นั่งร้องไห้ เมตตาหันมาเห็นก็หัวเราะ
"ยังร้องไห้ไม่เลิกอีกเหรออ้อย"
"โธ่คุณหมอ...ก็อ้อยเลี้ยงของอ้อยมาตั้งแต่ออกจากท้องแม่"
หมอเมตตาทำเสียงจุ๊ปาก อย่าเสียงดัง...อ้อยรีบเอามือปิดปาก
"ตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยก็ได้"
"ทำยังกับยายหนูไม่เคยไปไหน...เค้าก็ไปเรียนกรุงเทพมาตั้งหลายปี"
"ก็ตอนนั้นน้องหนูยังยอมให้อ้อยไปอยู่ด้วยบ้าง แต่ตอนนี้อ้อยจะไปอยู่ด้วยไม่ยอมท่าเดียว ยังไม่โตเป็นสาวสักหน่อย"
เมตตาอดยิ้มไม่ได้
"แล้วนี่ยายหนูอยู่ที่ไหน"
"ไปลานายแม่ค่ะ"
นาตยา หรือลูกหนูในวัยเด็ก บัดนี้ โตเป็นสาวรุ่นวัย 21 ปี อยู่ในห้องพระ เอาช่อดอกไม้ ดอกหญ้าที่เคยเก็บให้แม่หมอเมตตา มาวางที่หน้ารูปแม่หมอ แล้วก้มกราบ นาตยายิ้มกับรูป
"คุณย่าขา ลูกหนูจะไปหางานทำที่กรุงเทพคุณย่า คุ้มครองลูกหนูด้วยนะคะ"
นาตยาก้มกราบรูปอีก นั่งมองรูปนิ่ง หมอเมตตาเดินเข้ามาตาม
"ลูกหนู…รถมาแล้วลู"
นาตยาหันมายิ้ม ลุกขึ้นมากราบหมอ
"ลูกกราบลาค่ะคุณพ่อ"
หมอเมตตายื่นซองใส่เงินให้ นาตยารับมาเปิดดูเห็นเป็นเงินก็เกรงใจ
"คุณพ่อให้หนูเยอะไปนะคะ"
"ก็เก็บเอาไว้...เงินไม่เน่าไม่บูด เก็บไว้เยอะๆ ยิ่งดี หนูต้องใช้เงิน ไหนจะค่าหอพัก ค่ากิน ไปหางานก็ไม่รู้จะได้งานเมื่อไหร่"
"หนูทำงานได้เงินเดือนแล้ว หนูจะส่งมาให้คุณพ่อค่ะ"
"ไปได้แล้วลูก...อีกไกลกว่าจะถึงสถานีรถไฟ"
ลูกหนูเก็บซองเงินใส่กระเป๋า เดินออกไปกับหมอเมตตา
ณ สถานีรถไฟเมืองกาญจน์ นาตยาลงมาจากรถเก่าๆ คันหนึ่ง ยกกระเป๋าออกมา แล้วยกมือไหว้คนขับ
"ขอบคุณมากจ้ะลุง"
"เอ้อ…โชคดีนะ"
นาตยาถือกระเป๋าเดินไปนั่งรอที่ศาลา หยิบตั๋วรถไฟออกมาดู มองไปรอบๆ อย่างมุ่งมั่น พิธีเดินมาจากห้องขายตั๋ว ถือข้าวของมากมายจนถือไม่ไหว ชะลอมใส่ผลไม้หลุดจากมือ ผลไม้ในชะลอมหล่นเกลื่อนกลาด พิธีทำหน้าเบื่อหน่าย
"อพิโธ่"
นาตยานั่งมองขำๆ พิธีวางข้าวของพยายามเก็บผลไม้ใส่ชะลอม แต่เพราะความรีบร้อนก็ทำหกอีก นาตยาเดินมาช่วยพิธีเก็บของ พิธีดีใจ
"ขอบใจมากแม่หนู....ช่างมีน้ำใจงามจริงๆ"
พิธีพูดเว่อร์ๆ ตามนิสัยชอบพูดคุย
"มาคนเดียวต้องถือของเยอะก็ลำบากแย่เลยนะคะ"
"ก็พวกที่บริษัทน่ะซิจ้ะ...พอรู้ว่าฉันมาเมืองกาญจน์ก็อยากได้โน่นได้นี่ ยังไม่ได้ของครบหรอกนะ ไม่อย่างนั้นต้องเอาปากคาบ"
นาตยาหัวเราะ พิธีมองนาตยาอย่างรู้สึกคุ้นๆ
"หนูเป็นคนที่นี่เหรอจ้ะ"
"ค่ะ…บ้านหนูอยู่ที่นี่"
"แล้วจะไปไหนจ๊ะ"
นาตยามองพิธีอย่างชั่งใจ แต่ท่าทางพิธีดูใจดี
"หนูจะไปหางานที่กรุงเทพจ้ะ"
"หนูอยากทำงานอะไรล่ะ...หนูจบอะไรมา ขอโทษนะจ้ะที่ถามมากไป เผื่อฉันจะพอแนะนำอะไรได้บ้าง"
"หนูจบจิตกรรม ศิลปากรค่ะ"
พิธีหัวเราะ"เอ…จะว่าบังเอิญ หรือ..วาสนามันต้องกันดีนะ นี่แน่ะหนู ฉันชื่อพิธี เป็นผู้ช่วยผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์ของบริษัทที่ใหญ่มากๆ กำลังต้องการเจ้าหน้าที่ฝ่ายศิลปกรรมอยู่พอดี"
นาตยาดีใจ
"จริงเหรอคะ"
"จริงซิ...นี่จ้ะ นามบัตรของฉัน"
พิธีหยิบนามบัตรส่งให้
"บริษัท ดวงชีวันแอนด์แอสโซสิเอท..หนูรู้จักบริษัทนี้ค่ะ...โอ..โชคดีจริงๆ"
นาตยาตื่นเต้นดีใจ
"แล้วหนูพักในกรุงเทพที่ไหนจ้ะ"
"ยังไม่มีค่ะ...หนูว่าจะไปหาพวกหอพักที่ราคาไม่แพงมากนัก"
"มีอพาร์ตเมนต์เล็กๆ อยู่ใกล้กับบริษัท ฉันพอรู้จักกับเจ้าของ...ฉันจะพาหนูไปก็ได้"
นาตยาดีใจรีบยกมือไหว้
"ขอบคุณคุณลุงมากค่ะ"
พิธีหน้าเจื่อนที่ถูกเรียกว่าลุง
"เอาเป็นคุณอาก็พอนะ...แล้วหนูชื่ออะไรล่ะ"
"ชื่อนาตยาค่ะ"
นาตยายิ้มดีใจ...
อ่านต่อตอนที่ 27