ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 13
คืนนั้น มัศยาขับรถอยู่ เสียงของน่านฟ้ายังดังก้องในความคิด
“โถ่หยี คุณถามเป็นคนหัวโบราณไปได้ สมัยนี้คนเป็นแฟนกัน แค่เอ็นจอยกัน คุณสนุก ผมก็สนุก มีความสุขไปวันๆ มันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ จะไปคาดหวังอะไรมากมาย จริงมั้ย”
น้ำตาค่อยๆ เอ่อขึ้น มัศยาร้องไห้ด้วยความเสียใจ พอขับรถมาถึงหน้าบ้าน สินธุก็เดินเข้ามาหา
“หยี”
มัศยาน้ำตาไหลทันทีด้วยความเสียใจ สินธุเห็นก็ตกใจมาก
“เป็นไรเหรอหยี ร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรหยีบอกสินธุมาเร็ว”
มัศยาปาดน้ำตาออก พยายามยิ้มกลบเกลื่อน
“เปล่า สินธุมีธุระอะไรเหรอ”
“สินธุผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาหาเฉยๆ หยีจะว่าอะไรรึเปล่า”
“หยีจะไปว่าอะไรล่ะ ตอนนี้หยีกำลังต้องการใครสักคนเหมือนกัน”
สินธุชะงักแปลกใจ ก่อนจะเข้าไปคุยกับมัศยาในบ้าน เขากุมมือมัศยาปลอบใจด้วยความเป็นห่วง
“อย่าคิดมากนะหยี สินธุว่าคุณน่านเขาคงพูดโดยไม่ได้คิดอะไร เขาเป็นคนรวย อาจจะเคยชินกับการทำแบบนี้กับผู้หญิง”
มัศยาสะอึก หันมามองสินธุ สินธุรู้ตัวว่าพูดเกินไปก็รีบแก้
“ผมหมายถึงเขาเคยเป็น แต่ตอนนี้อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้ คนเราไม่จำเป็นจะต้องทำแบบเดิมกับทุกๆ คนนี่”
“ช่างเถอะ หยีไม่อยากเก็บมาคิดแล้ว อย่างมากก็แค่กลับมาเป็นเจ้านายกับลูกน้องเหมือนเดิม”
สินธุมองมัศยา แกล้งทำเป็นห่วงใย
“หยีต้องเข้มแข็งมากๆ แล้วก็อย่าคิดมากรู้มั้ย ผมเป็นห่วงนะ”
มัศยาพยักหน้ารับยิ้มๆ
“ขอบคุณนะ”
“ไม่ว่ายังไง อยากให้หยีรู้ว่า เพื่อนคนนี้พร้อมจะอยู่เคียงข้างหยี เมื่อไหร่ที่ต้องการสินธุ โทรมาได้เลย24 ชั่วโมง ไม่ต้องเกรงใจนะ”
สองคนยิ้มให้กัน โดยที่สินธุแอบยิ้มร้ายอย่างพอใจกับการแสดงครั้งนี้
มัศยาเข้ามาในห้องนอน มองตัวเองในกระจกเซ็งๆ นั่งลงเช็ดเครื่องสำอางออกจากหน้า เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เธอหยิบมาดู เห็นชื่อ น่านฟ้า ก็กดทิ้งแล้ววางลง สักพักเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เธอหยิบมากดทิ้งอีก แล้ววาง ก่อนจะนึกได้ กดปิดไปเลย แล้วบรรจงลบเครื่องสำอางต่ออย่างไม่ใยดี
น่านฟ้าวางโทรศัพท์ลงจ๋อยๆ เอามือกุมหน้ากลุ้มใจ ทันใดนั้นเองเสียงออดดังขึ้น เขาชะงัก ยิ้มดีใจ
“หยี”
น่านฟ้าเดินไปเปิดประตู แต่คนที่ยืนอยู่คือแอนนา เขาผิดหวังมาก
“อ้าว แอนเองเหรอ”
แอนนามองน่านฟ้าอย่างแปลกใจ
“แล้วน่านคิดว่าใครเหรอคะ”
น่านฟ้าไม่ตอบ แต่ผละเดินเข้ามาในห้องแทน แอนนาเดินเข้ามากอดแขนออเซาะ
“น่านคะ”
น่านฟ้ารีบแกะมือแอนนาออกทันที
“มีธุระอะไรก็รีบพูดมาเถอะ เดี๋ยวผมจะกลับบ้านแล้ว”
“ทำไมล่ะคะ แอนเพิ่งมาจะไล่กลับแล้วเหรอ”
“แอนก็รู้ว่ามันไม่สมควร”
แอนนางอน น้อยใจ
“ใช่สิ ตอนนี้น่านไม่เหมือนเดิมแล้วนี่ ส่วนแอนก็กลายเป็นแค่คนนอกสายตาของน่าน แค่นั้นเอง”
น่านฟ้าชะงักรู้สึกผิดนิดๆ หันมาปลอบ
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะแอน ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันได้นะ”
“แต่แอนอยากเป็นมากกว่าเพื่อนนี่คะ น่านคะ ถ้าแอนเคยทำให้น่านเสียใจ แอนขอโทษ แต่น่านอย่าทำแบบนี้ได้มั้ย แอนอยากให้เรากลับมาคบกันเหมือนเดิม ได้มั้ยคะน่าน”
แอนนาอ้อนวอน น่านฟ้าสบตาหญิงสาว หลงไปกับเสน่ห์และสายตาอ่อนหวานของเธอ เขาโน้มหน้าเข้าไปจะจูบ แต่รู้สึกตัวเสียก่อนจึงรีบผละออก
“ดึกแล้ว ถ้าแอนไม่มีธุระอะไร ผมว่าเรากลับกันดีกว่า”
น่านฟ้าเดินไปหยิบเสื้อแจ็คเก็ตมาสวม แอนนามองเจ็บใจ
ตอนเช้า น่านฟ้าเดินมาที่โต๊ะทำงานของมัศยาแต่ไม่เห็นเจ้าของโต๊ะนั่งอยู่ก็แปลกใจ ระหว่างนั้นต๋องเดินยิ้มร่าเข้ามาทักทาย
“อรุณสวัสดิ์ยามเช้าครับคุณน่าน แหม เช้านี้แต่งตัวหล่อนะครับ อย่างนี้แหละ คนกำลังอินเลิฟอ่ะเนอะ”
“มัศยาล่ะ”
“แหมๆ มาถึงก็ถามแฟนก่อนเลยน้า เฮ้อ ทำไงไอ้ต๋องจะมีแฟนแบบนี้บ้างนะ”
“ฉันถามว่ามัศยาอยู่ไหน”
ต๋องสะอึกหน้าเจื่อนๆ รีบตอบอย่างรู้สึกผิด
“เอ่อ เจ๊หยีลางานครับ คุณน่านไม่รู้เหรอครับ”
น่านฟ้ากลับมาที่ห้องทำงานด้วยความกังวล นึกถึงคำพูดของมัศยาเรื่องเมื่อคืน
“ที่แท้คุณก็คิดแบบนี้นี่เอง งั้นฉันว่า เราคงคิดต่างกัน เราไม่เหมาะจะคบกันหรอกค่ะ”
น่านฟ้าเอามือกุมหน้าเครียดมาก
มัศยาปลูกต้นไม้ลงกระถางอยู่ที่บ้าน หน้าซึมๆ สมใจเดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย
“ทำไมวันนี้ไม่ไปทำงานล่ะหยี”
มัศยาหันมาตอบ เซ็งๆ
“หยีลางานค่ะแม่”
“เป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า”
สมใจเข้ามาเอามือแตะหน้าผากลูกสาว
“ตัวก็ไม่ร้อนนี่”
“แค่รู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ ไม่มีอารมณ์ทำงานน่ะแม่”
สมใจขมวดคิ้วงงๆ แปลกใจ
“ร้อยวันพันปีไม่เคยลางาน มีอะไรรึเปล่า เล่าให้แม่ฟังได้นะ”
มัศยาหันมามองหน้าแม่แล้วโผเข้ากอดทันที สมใจตกใจลูบหลังปลอบใจลูกสาว
“เป็นอะไร ไหนบอกแม่มาซิ”
มัศยาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง สมใจถอนใจ
“แกคิดมากไปรึเปล่าหยี คุณน่านเขาไม่ได้บอกซะหน่อยว่าเขายังไม่คิดแต่งงานตอนนี้ แล้วเขาจะไม่รักไม่สนใจแก”
“แต่หยีไม่ได้อยากคบใครเล่นๆ นะแม่ หยีเองก็อยากมีครอบครัว อยากแต่งงาน อยากมีชีวิตที่สมบูรณ์เหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไป ถ้าเขาไม่คิดจริงจังถึงอนาคต แล้วหยีจะไปเสียเวลาคบทำไม”
“แล้วแกคิดว่านอกจากคุณน่านแล้ว แกจะหาผู้ชายได้ดีกว่านี้เหรอ”
มัศยาชะงัก
“คนที่เขาร่ำรวยหรูหรา แต่กลับมาตามแกต้อยๆๆ ยอมให้แกโขลกสับสารพัด คนอย่างคุณน่านน่ะ เขาจะหาผู้หญิงดีกว่าแกแค่ไหนก็ได้นะ”
“ก็นี่ไง ในเมื่อหยีต่ำต้อยแบบนี้ เขาถึงแค่คิดเล่นๆ กับหยีไง”
สมใจชักหงุดหงิด ลุกพรวดขึ้น
“คิดดีๆ แล้วกัน แม่ก็แค่ไม่อยากให้แกเสียใจทีหลัง”
สมใจลุกออกไป มัศยาครุ่นคิด ชักคล้อยตาม
น่านฟ้าวางแฟ้มตรงหน้าต๋องด้วยความหงุดหงิด
“นี่มันอะไรของแกวะต๋อง ใบเสนอราคาพิมพ์ผิดเต็มไปหมด แกจบป.2 มาได้ไงวะเนี่ย”
ต๋องหน้าเจื่อนๆ พยายามให้น่านฟ้าใจเย็น
“เอิ่ม ต๋องไม่ได้เป็นคนพิมพ์ครับคุณน่าน”
“แต่ก่อนส่งให้ฉันทำไมไม่อ่านดีๆ ก่อน”
วิภาเดินผ่านมา เห็นน่านฟ้าหงุดหงิดก็เข้ามาไกล่เกลี่ย
“เป็นอะไร ตาน่าน หงุดหงิดอะไรแต่เช้า”
น่านฟ้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ฮึดฮัด ต๋องขยิบตากับวิภา
“มีอะไร ไหนเล่าให้ฉันฟังซิ”
ต๋องยื่นหูมาใกล้ๆ อยากรู้อยากเห็นมาก วิภาและน่านฟ้าหันมามองเหล่ๆ ต๋องยิ้มเจื่อนๆ ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
น่านฟ้าเข้ามาคุยกับวิภาในห้องทำงานของเธอ วิภาฟังที่น่านฟ้าเล่าแล้วตกใจมาก
“หะ มัศยาบอกเลิกแก”
น่านฟ้าพยักหน้ารับจ๋อยๆ
“ครับแม่ใหญ่ เพราะผมเอง ดันปากไวไปหน่อย บอกเขาว่ายังไม่ได้คิดจริงจังอะไรด้วย เขาเลยโกรธผมไปเลย”
“เฮ้อ แกก็นะ มีปากไว้กวนประสาทฉันไปวันๆ เลยไม่ให้มันผ่านสมองบ้าง”
วิภาดึงหูน่านฟ้า
“นี่แน่ะๆๆ”
“โอ๊ย เจ็บนะครับแม่ใหญ่”
“เจ็บสิดี ต่อไปจะได้จำ แกไปพูดแบบนั้น เขาก็เสียใจสิ เขาน่ะทำงานถวายหัวให้แกมาตลอด นี่แกเองไปขอเขาเป็นแฟน เขาก็ยอมคบด้วย แต่แกน่ะ ดันทำเหมือนหลอกให้ความหวังเขา ผู้หญิงคนไหนก็เจ็บทั้งนั้นแหละ”
น่านฟ้าจ๋อยสนิท
“งั้นผมควรทำไงดีครับแม่ใหญ่”
“แกไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
น่านฟ้าชะงัก สนใจมาก
“แม่ใหญ่จะทำยังไงเหรอครับ”
วิภาครุ่นคิด
วิภามายืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าบ้านมัศยา พลางตะโกนเรียกไปด้วย
“มัศยา อยู่รึเปล่า มัศยา”
สมใจเปิดประตูออกมา พอเห็นวิภาก็ตื่นเต้นมาก
“คุณท่าน”
สมใจรีบยกมือไหว้วิภาอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะคุณท่าน ไม่คิดว่าคุณท่านจะมาที่นี่”
“ฉันมาหาว่าที่ลูกสะใภ้ฉัน มัศยาอยู่มั้ย”
สมใจยิ้มรับ ตื่นเต้น
นทีนอนกรนอยู่ที่เก้าอี้ สมใจเดินนำวิภาเข้ามาในบ้าน วิภาเห็นนทีก็ทำตัวไม่ถูก สมใจรีบเข้าไปตีนที ปลุกให้ตื่นขึ้น
“ไอ้ที ตื่นเดี๋ยวนี้”
นทีเอามือปัดๆ ห้ามสมใจ
“อะไรล่ะแม่ ขอนอนอีกหน่อยน่า”
“ตื่นได้แล้ว มีแขกมาบ้าน รีบลุกเร็ว”
นทีลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย มองวิภางงๆ
“อ้าว ป้าไฝนี่ใครเหรอ”
สมใจตกใจ ตีนทีเต็มแรง
“รีบลุกเลยเร็วๆ แล้วไปอาบน้ำได้แล้วไป”
“โหแม่ วันนี้วันหยุดฉันนะ ขอนอนขี้เกียจหน่อยไม่ได้รึไง”
“ก็ฉันมีแขก อยากนอนสันหลังยาวไปนอนบนห้องเลยไป ไปสิ”
นทีลุกขึ้นอย่างรำคาญ เดินงัวเงียขึ้นบ้านไป สมใจกุลีกุจอเข้ามานั่งต้อนรับวิภา
“ขอโทษด้วยนะคะคุณท่าน”
“ลูกชายเหรอ”
“ค่ะ พี่ยัยหยีนั่นแหละค่ะ”
“พี่น้องดูต่างกันจริงนะ”
“ค่ะ เจ้าทีมันไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพายเท่าไหร่ ผิดกับน้อง หยีน่ะรับผิดชอบคนทั้งบ้าน ส่วนเจ้านี่แค่ไม่สร้างปัญหาก็ดีใจแล้วค่ะ”
“แล้วนี่มัศยาไปไหนล่ะ”
“ออกไปส่งลูก เอ่อ หลานค่ะ ลูกสาวเจ้าทีนี่แหละ อีกเดี๋ยวคงมาค่ะ”
“งั้นฉันขอนั่งรอมัศยาได้มั้ย ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
“ตามสบายเลยค่ะคุณท่าน เดี๋ยวดิฉันไปเอาน้ำมาให้นะคะ”
สมใจรีบลุกไปเข้าครัว นทีนุ่งผ้าขาวม้า แปรงฟันฟองฟอดวิ่งลงมาหาวิภา
“เอ่อ ขอโทรศัพท์หน่อยครับ”
วิภาชะงัก งงๆ
“โทรศัพท์อะไร”
“โทรศัพท์ที่ตูดป้าน่ะครับ ป้านั่งทับของผมอยู่”
วิภากระดกก้นขึ้น เห็นว่านั่งทับมือถืออยู่จริงๆ เลยรีบหยิบยื่นให้นที นทียิ้มแหยๆ แล้ววิ่งขึ้นบ้านไป
วิภาหน้าเจื่อน เหนื่อยใจ
มัศยาขับรถกลับมาที่บ้าน เห็นรถยุโรปคันหรูจอดอยู่ก็แปลกใจ รีบเดินเข้าบ้านไป
“คุณท่าน”
สมใจนั่งอยู่ด้วย รีบรายงานมัศยาทันที
“ทำไมไปนานจริง คุณท่านมารอแกเป็นชั่วโมงแล้วนะ”
“มานั่งข้างๆ ฉันสิมัศยา”
มัศยารีบเดินเข้ามานั่งข้างๆ วิภาอย่างงงๆ
“เชิญคุยกันตามสบายนะคะ เดี๋ยวดิฉันไปเตรียมขนมมาให้ค่ะ”
สมใจรีบเดินออกไปที่ครัวทันที วิภาคว้ามือมัศยามากุมไว้อย่างจริงจังและจริงใจมาก
“ฟังนะมัศยา ฉันน่ะเอ็นดูเธอเหมือนลูกเหมือนหลาน ไม่เคยคิดรังเกียจ จะว่าไปอยากได้เธอเป็นหลานสะใภ้ด้วยซ้ำ”
“คุณน่านให้คุณท่านมาพูดกับดิฉันเหรอคะ”
“เปล่า ฉันมาของฉันเอง ฉันเป็นผู้ใหญ่ทำไมจะเดาสถานการณ์ไม่ถูกว่าเธอกับตาน่านกำลังมีปัญหากัน พนักงานดีเด่น 7 ปี ซ้อนอย่างเธอ เคยลางานซะที่ไหน นี่แสดงว่าเธอต้องมีเรื่องไม่สบายใจจริงๆใช่มั้ย”
มัศยาอึกอักไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
“เอ่อ คุณท่านคะ ดิฉันขอโทษนะคะที่ดูเหลวไหลไม่รู้จักแยกแยะ ไม่รับผิดชอบงาน”
“เปล่า ฉันไม่ได้ตำหนิเธอเลยมัศยา ฉันเข้าใจด้วยซ้ำ เฮ้อ ตาน่านเล่าให้ฉันฟังคร่าวๆ แล้วล่ะ ฉันเข้าใจเธอนะ เพราะถ้าเป็นฉันคงตบมันปากฉีกไปแล้ว มีอย่างที่ไหนมาขอเราเป็นแฟนแต่บอกจะคบเล่นๆ แต่เธอรู้มั้ยความจริงคืออะไร”
“อะไรเหรอคะ”
“เจ้าน่านมันเสียใจมากที่พูดไปแบบนั้น แล้วมันก็ไม่เคยคิดอย่างนั้นด้วย”
“เขาบอกคุณท่านอย่างนั้นเหรอคะ”
“ใช่ หมอนี่มันเคยเป็นคาสโนว่ามาก่อน มันเลยสับสนว่าคนอย่างมันจะรักใครจริงจังขนาดนั้นได้เหรอ จนกระทั่งเธอโกรธนั่นแหละ มันถึงรู้ตัวว่า”
“ว่าอะไรเหรอคะ”
“มันขาดเธอไม่ได้”
มัศยาชะงักทันทีที่ได้ยินประโยคนี้
ตอนเย็น น่านฟ้าเดินเครียดเป็นหนูติดจั่นรออยู่ที่บ้านวิภา สักพักวิภาเดินเข้ามา เขาลิงโลดดีใจ
“แม่ใหญ่ เป็นไงบ้างครับ สำเร็จมั้ย”
วิภาแกล้งทำเหนื่อยอ่อน
“ฉันเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ขอพักก่อนได้มั้ย”
คนรับใช้ยกแก้วน้ำเข้ามาเสิร์ฟให้ วิภาหยิบแก้วน้ำมาดื่มช้าๆ น่านฟ้าลุ้นมาก เห็นวิภาดื่มไม่เสร็จสักที ก็ดึงแก้วออกเลย
“ไอ้น่าน ฉันยังกินน้ำไม่เสร็จเลย แกดึงออกทำไม”
“ก็แม่ใหญ่ช้าอ่ะ ผมรอไม่ไหวแล้วนะ”
“ทีงี้ล่ะใจร้อน ทีตอนทำเขาโกรธล่ะไม่รีบง้อ”
“โถ่ๆๆๆ แม่ใหญ่คร้าบ มันใช่เวลามาต่อว่าต่อขานผมมั้ย นี่ผมร้อนใจจนจะไหม้อยู่แล้ว บอกมาสักทีเถอะครับว่าหยีหายโกรธผมยัง”
วิภานั่งลงทำสีหน้าสบายๆ
“ยัง”
น่านฟ้าหน้าจ๋อยผิดหวัง
“แต่ฉันนัดเขามาเจอแกที่ร้านอาหารตอนหกโมงครึ่ง ถ้าแกไปไม่ทันเขาคงโกรธแกอีกนาน”
น่านฟ้าชะงักทันที
“ว่าไงนะ หกโมงครึ่ง”
น่านฟ้ามองนาฬิกาข้อมือ
“นี่มันหกโมงแล้วนี่ ทำไมแม่ใหญ่เพิ่งบอกคร้าบ”
“ก็ฉันอยากให้แกตื่นเต้นเล่นน่ะสิ”
น่านฟ้ารีบคว้าเสื้อนอกมาสวม
“งั้นผมรีบไปง้อแฟนดีกว่า ฝากไว้ก่อนนะครับแม่ใหญ่”
น่านฟ้าวิ่งปรู๊ดออกไป วิภามองตามหัวเราะชอบใจ
“ขับรถช้าๆ ล่ะ เดี๋ยวจะอดเจอแฟนซะก่อนนะไอ้น่าน”
วิภายิ้มมีความสุขที่ได้แกล้งน่านฟ้า
มัศยาเดินเข้ามากวาดตามองรอบๆ ร้าน ยังไม่เห็นน่านฟ้ามา เลยมานั่งที่โต๊ะมุมหนึ่ง เด็กเสิร์ฟเดินเข้ามาพร้อมเมนู
“รอสักพักเดี๋ยวสั่งค่ะ”
เด็กเสิร์ฟเดินออกไป มัศยามองไปที่หน้าประตูอย่างใจจดใจจ่อ เวลาเดียวกันนั้น น่านฟ้านั่งอยู่ในรถด้วยความกังวล เพราะรถติดมาก มองนาฬิกาอย่างหงุดหงิด
มัศยานั่งดื่มน้ำแก้วที่ 4 พลางมองนาฬิกา เด็กเสิร์ฟเดินเข้ามาเลียบๆ เคียงๆ ถามมัศยา
“คุณลูกค้าจะรับอะไรเพิ่มมั้ยคะ”
มัศยามองนาฬิกาอีกครั้ง ก่อนจะตอบไป
“ไม่แล้วจ้ะ คิดเงินเลยละกัน”
เด็กเสิร์ฟโค้งรับก่อนจะเดินออกไป มัศยาหงุดหงิดฮึดฮัด
“ทำเป็นปากดี ที่แท้ก็ไม่ได้อยากง้อเราซะหน่อย”
ทันใดนั้นเอง บนเวทีร้านอาหาร แสงไฟสาดไปที่กลางเวที เห็นว่าน่านฟ้านั่งอยู่ประจำที่นักร้อง เสียงปรบมือดังขึ้น มัศยาหันไปเห็นแปลกใจมาก
“ในวันนี้ผมขออนุญาตใช้เวทีนี้สำหรับง้อแฟนหน่อยนะครับ”
เสียงปรบมือดังขึ้นกว่าเดิม
“อยากบอกให้คุณผู้หญิงสวยๆ โต๊ะโน้นว่า ผมรักคุณครับ”
เสียงปรบมือพร้อมเสียงกรี๊ดดังขึ้นทั่วร้าน มัศยาอมยิ้ม เสียงดนตรีคลอขึ้น ขณะที่น่านฟ้าร้องเพลงง้อมัศยา เด็กเสิร์ฟถือบิลเข้ามาที่โต๊ะ มัศยาโบกมือบอกว่ายังไม่ไป น่านฟ้าร้องเพลงพลางสบตาซึ้งให้มัศยาไปด้วย มัศยามองเคลิ้มๆ แอบดีใจ สักพักเพลงจบลง น่านฟ้าเดินผ่านโต๊ะอาหาร หันไปหยิบดอกกุหลาบมา 1 ดอก แล้วเดินมาหามัศยา ยื่นดอกกุหลาบให้
“ผมขอโทษนะหยี อภัยให้ผมนะ”
มัศยารับดอกไม้มาเขินๆ น่านฟ้าคว้ามือมัศยามาจูบ ลูกค้าในร้านปรบมือกันเกรียว
คืนนั้น น่านฟ้าและมัศยาเดินจูงมือกันเดินมาบนสะพานที่ทอดยาว
“คุณนี่หน้าไม่อายจริงๆ นึกยังไงถึงกล้าขึ้นไปร้องเพลงอย่างนั้น”
“เอ๊า จะง้อหยีมันก็ต้องจัดเต็มนิดหนึ่งสิ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่ตั้งใจ”
“มาช้าแล้วกลัวฉันโกรธกว่าเดิมก็พูดมาเถอะ”
น่านฟ้ายิ้มเจื่อนๆ ที่รู้ทัน
“ก็รถมันติดนี่ แถมแม่ใหญ่ยังแกล้งบอกผมช้าอีก นี่แทบจะเหาะมาเลยนะ”
“โทรศัพท์ก็มีแทนที่จะโทรมาบอก”
“บอกก่อนก็ไม่เซอร์ไพร้ส์สิคร้าบ ตกลงว่าเรากลับมาดีกันเหมือนเดิมเลยนะ”
“อื้อ”
“ที่ผมพูดไปแบบนั้นเพราะผมเองก็ยังไม่รู้จักตัวเองดีพอ ผมติดกับสิ่งที่ผมเคยเป็นมาตลอด จนลืมไปว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมามีใครคนหนึ่งที่ขัดเกลาผมจนกลายเป็นคนใหม่ไปแล้ว”
“ใครเหรอคะ”
“เขาคือเจ๊โหดของผมไงล่ะ แต่ตอนนี้กลายเป็นมัศยายอดยาหยีของผมไปแล้ว”
น่านฟ้าโอบมัศยาอย่างแสนรัก
“คุณน่าน”
“ฮึ”
“คุณก็รู้ว่าฉันเป็นคนจริงจังกับทุกอย่าง การที่ฉันตัดสินใจคบกับคุณเพราะฉันคิดว่าคุณจะจริงจังเหมือนฉัน”
“ผมเข้าใจ เอาเป็นว่าผมขอเวลาปรับทัศนคติตัวเองก่อน แล้วพร้อมเมื่อไหร่จะยกขันหมากไปสู่ขอคุณเลย แต่รับรองว่าตั้งแต่นี้ไปผมจะรักคุณคนเดียว ไม่เกเร ไม่เหลวไหล ไม่เจ้าชู้ ผมสัญญา”
มัศยาพยักหน้ารับ ปลื้มๆ น่านฟ้าโอบมัศยาเดินไปตามสะพานที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 13 (ต่อ)
กลางคืน ปารณนั่งเซ็นเอกสารอยู่ที่โต๊ะอย่างขะมักเขม้น นิรชาเดินผ่านมาเคาะกระจกเรียก เขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นนิรชาก็ยิ้มหวานให้
“ดึกแล้วยังไม่กลับอีกเหรอคะ”
ปารณชะงักทันทีมองนาฬิกาด้วยความตกใจ
“หะ ดึกแล้วเหรอ ตายจริง ผมลืมงานสำคัญไปเลย”
“งานอะไรเหรอคะ”
ปารณยิ้มแหยๆ ก่อนจะรีบเดินทางไปที่บ้านมะลิ และช่วยนวดแป้งอย่างขยันขันแข็ง นิรชายืนมองด้วยความเป็นห่วง
“ให้ฉันช่วยมั้ยคะ”
ปารณหันมายิ้มรับ
“ไม่เป็นไร เธอไปนั่งคุยกับยายเถอะ”
เสียงป้ามะลิดังแทรกเข้ามา
“ปล่อยมันทำไป จะไปยุ่งทำไม”
นิรชาอ่อนใจ ป้ามะลินั่งเคี้ยวขนมดูทีวีอย่างสบายใจเฉิบ นิรชาเดินเข้ามานั่งแหมะข้างๆ อ้อนยาย
“ยายจ๋า”
ป้ามะลิพูดขึ้นลอยๆ อย่างรู้ทัน
“ไม่ต้องมาอ้อน ข้าไม่ใจอ่อนหรอกว้อย”
“แต่คุณเป้เขาทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ยายยังจะใช้งานเขาหนักอีกเหรอจ๊ะ”
“งานแค่นี้ทำไม่ไหว ต่อไปจะเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ไง”
“แต่เขาเป็นเจ้านายหนูนะยาย”
“ก็มันไม่ใช่เจ้านายข้า ข้าไม่สน”
“ยาย”
“หยุดเรียกข้าซะที ข้าจะดูละคร ดูซิพระเอกกับนางเอกจะได้กันอยู่แล้ว เอ็งนี่พูดมาก หนวกหูจริง”
นิรชาอ่อนใจกับความใจแข็งของป้ามะลิ
กลางดึก ปารณเดินมาส่งนิรชาที่บ้าน พลางคุยกันไปด้วย
“ฉันว่ายายทำเกินไปจริงๆ ดูซิใช้แรงงานคุณยังกับแรงงานทาส ไม่เห็นใจกันบ้างเลย”
“ก็ฉันออกปากเองว่าอยากพิสูจน์ตัวเองให้ยายเธอเห็น มันก็ต้องเจอด่านโหดอย่างนี้แหละ”
“แต่ฉันสงสารคุณนี่คะ ความจริงคุณไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้เลย”
“ทำไงได้ ชอบหลานสาวเขาก็ต้องเอาชนะใจยายเขาให้ได้สิ”
นิรชาหยุดมองปารณอย่างรู้สึกผิด
“ทำไมคุณถึงชอบฉันเหรอคะ ในเมื่อตัวคุณมีดีทุกอย่าง ในขณะที่ฉันบกพร่องทุกเรื่อง ทั้งความรู้ ฐานะ แถมยังเคยเป็นมิจฉาชีพอีกด้วย”
“ต่อให้เธอเป็นมากกว่านี้ฉันก็เลือกเธอนะนิรชา”
นิรชาชะงักซึ้งใจ
“ฉันพูดจริงๆ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นเธอ รู้แค่ว่าถ้าไม่ใช่เธอ ฉันก็ไม่ชอบใครอีกแล้ว ฉันหักหลังใจตัวเองไม่ได้ ฉันถึงต้องยอมยายเธอไง”
นิรชายิ้มซาบซึ้งใจ
“คุณหลับตาแป๊บหนึ่งได้มั้ยคะ”
“ทำไมเหรอ”
“น่านะ”
“โอเคๆ เล่นด้วยก็ได้”
ปารณหลับตาพริ้ม
“อ่ะ จะให้ฉันทายอะไรเหรอ”
นิรชายื่นหน้าไปหอมแก้มปารณหนึ่งฟอดใหญ่ ปารณชะงัก นึกไม่ถึง
“ทายสิคะว่าฉันรู้สึกยังไง”
นิรชายิ้มอายๆ แล้วรีบเดินออกไปเลย ปารณลืมตาขึ้นยิ้มดีใจ
“เดี๋ยวสินิ รอฉันก่อน”
ปารณรีบวิ่งตามไปเดินโอบนิรชาแล้วดินไปด้วยกัน
คืนนั้น น่านฟ้าเดินมาส่งมัศยาที่บ้าน ยิ้มแย้มด้วยกันทั้งคู่ พอเห็นสินธุนั่งคุยอยู่กับสมใจ นะดี และ นที มัศยาชะงักหันไปมองน่านฟ้า น่านฟ้ายิ้มร่าทักทายสินธุ
“อ้าวว่าไงสินธุ มาหาหยีเหรอ”
สินธุยิ้มรับอัธยาศัยดี
“ผมแวะมาคุยกับแม่ กับนะดีแล้วก็พี่นทีน่ะ เป็นไงครับคุณน่าน ผมเห็นข้าวเกรียบมีโชคขายดิบขายดีจนหมดแผงแทบทุกร้านเลยนี่”
“ก็ดีครับ ผลตอบรับดี ต้องขอบคุณหยีนี่แหละที่ช่วยผมวางแผนการตลาด”
มัศยายิ้มรับ ก่อนจะหันไปทักทายสินธุ
“นี่มานานรึยังสินธุ”
นทีรีบสวนทันที
“มานานแล้ว กำลังคุยกันสนุกเลย จริงมั้ยแม่”
“อื้อ สินธุเขาเอาผลไม้มาฝาก ก็เลยนั่งคุยกันจนเพลิน”
“อาสินธุซื้อขนมมาฝากนะดีด้วยค่ะแม่หยี”
มัศยายิ้มรับกับไมตรีทีดีของสินธุ
“ขอบคุณมากนะสินธุ”
“ไม่เป็นไร เพื่อนกันน่ะหยี แค่นี้ไม่ลำบากหรอก ดึกแล้วผมว่าผมกลับก่อนดีกว่า เผื่อหยีจะได้คุยกับคุณน่านต่อ ขอตัวนะครับ”
นะดีลุกพรวดทันที
“นะดีไปส่งอาสินธุนะคะ”
นะดีรีบวิ่งไปเกาะแขนสินธุเดินออกไปทันที มัศยาและน่านฟ้ามองตามสินธุ
“เป็นเพื่อนกันได้ก็ดีแล้ว คนเราเลิกกันไม่เห็นต้องเกลียดกันเลยนี่หว่า ฉันว่าเจ้าสินธุมันก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรซะหน่อย”
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่พี่ที ถ้าเขากลับเนื้อกลับตัวได้ ฉันเองก็ดีใจ”
มัศยามองไปทางหน้าบ้าน รู้สึกดีกับสินธุมากขึ้น
“อ่ะ คุณน่านนั่งคุยกันตามสบายนะคะ เดี๋ยวฉันขอตัวขึ้นนอนก่อนดีกว่า”
สมใจขยิบตาให้นที นทีรู้ก็ลุกพรวด
“งั้นเดี๋ยวผมพานะดีขึ้นนอนด้วย”
นะดีเดินเข้ามาพอดี นทีรีบเข้าไปอุ้ม
“ไปนะดี เดี๋ยวพ่อพาเข้านอนนะ สวัสดีอาน่านก่อนเร็ว”
นะดียกมือไหว้น่านฟ้า
“สวัสดีค่ะอาน่าน ฝันดีนะคะ”
“ฝันดีจ้ะ”
นทีอุ้มนะดีขึ้นบ้านไป น่านฟ้าและมัศยานั่งแหมะลงข้างๆ กัน หันมายิ้มให้กันอย่างมีความสุข สินธุมองลอดประตูเข้าไปในบ้าน เห็นมัศยาและน่านฟ้านั่งคุยกันก็จิกหางตาร้ายกาจ เจ้าเล่ห์
ตอนเช้า วิภาเดินเข้ามาในออฟฟิศ ต๋องซึ่งยืนรออยู่รีบปราดเข้าไปหาทันที
“คุณท่านครับคุณท่าน”
วิภาชะงักหันมามองต๋องอย่างแปลกใจ
“มีอะไร”
“ทางนี้ครับคุณท่าน มีอะไรเด็ดๆ ให้ดู”
วิภาชะงัก สนใจขึ้นมาทันที แล้วตามต๋องไปที่มุมรับแขกของบริษัท ชะโงกไปดู เห็นน่านฟ้ากับมัศยานั่งดื่มกาแฟคุยกันกระหนุงกระหนิง
“เห็นรึยังครับคุณท่าน กระจุ๋งกระจิ๋ง กระหนุงกระหนิงกันแต่เช้าแล้วนะครับ”
วิภาถอนหายใจเอือมต๋อง
“โถ่เอ๊ย ฉันก็นึกว่ามีอะไรซะอีก”
“อ้าว คุณท่านไม่แปลกใจเหรอครับ ที่คุณน่านกับเจ๊หยีดีกันแล้ว”
“จะแปลกใจอะไร ในเมื่อฉันเป็นคนทำให้สองคนนี้คืนดีกัน”
วิภาเดินออกไป ต๋องเบ้หน้าเซ็ง ไม่สนุกเลย
วิภาเดินผ่านมาเห็นแอนนากำลังเดินเชิ่ดๆ เข้ามา ก็รีบปราดไปยืนขวางทันที แอนนาชะงัก ยกมือไหว้วิภาส่งๆ วิภาไม่รับไหว้แถมมองอย่างไม่ค่อยพอใจ
“มาทำไม”
“อ๋อ มาหาน่านค่ะ”
“ตาน่านไม่ว่าง จีบกับแฟนอยู่”
แอนนาสะอึกนิดๆ ก่อนจะสวนกลับไป
“ไม่เป็นไรค่ะแอนรอได้ พอดีแอนมีธุระจะคุยกับน่านค่ะ”
“ก็ฉันบอกอยู่ว่าตาน่านไม่ว่าง กำลังจีบกับแฟน เข้าใจมั้ยคำว่า แฟน น่ะ”
“เข้าใจค่ะ แต่ไม่สน”
แอนนาเดินออกไปเลย วิภาอึ้งมาก
“ตายแล้ว ผู้หญิงสมัยนี้ทำไมมันหน้าด้านอย่างนี้นะ”
แอนนาเดินเข้ามาเห็นว่าน่านฟ้าและมัศยานั่งคุยกันอยู่ก็รีบเข้าไปหา
“มอนิ่งค่ะน่าน”
น่านฟ้ากับมัศยาชะงักทันที
“มีธุระอะไรเหรอแอน”
“มีค่ะ เยอะด้วย”
แอนนาเข้ามานั่งแหมะข้างน่านฟ้าทันที
“แอนเอาบิสสิเนสแพลนมาให้น่านช่วยดูค่ะ”
น่านฟ้าหน้าเจื่อนๆ ทำตัวไม่ถูก มัศยาลุกพรวดขึ้นทำเป็นยิ้มร่าไม่คิดอะไร
“งั้นตามสบายนะคะ ฉันไปทำงานก่อนดีกว่า”
มัศยาเดินเชิ่ดๆ ออกไปอย่างเหนือชั้น น่านฟ้ามองตาม กังวลนิดๆ ขณะที่แอนนาก็เกาะแขนน่านฟ้าแจ
มัศยาหน้าง้ำออกอาการไม่พอใจแต่พยายามข่มไว้ สูดลมหายใจเข้าปอด ต๋องเดินเข้ามามองมัศยางงๆ
“เป็นไรเจ๊”
มัศยาชะงัก แกล้งวางฟอร์มว่าไม่มีอะไร
“เปล่า”
“นึกว่าหึงนางแบบขายาวนั่นซะอีก”
“อย่างฉันเนี่ยนะหึง บ้ารึเปล่า ฉันเป็นใคร”
“เจ๊หยี”
“แล้วยัยนั่นเป็นใคร”
“นางแบบท็อปไฟว์ของประเทศเรา”
“ฉันจะบอกว่า ฉันเป็นแฟนคุณน่านฉันก็ต้องเชื่อใจเขาสิ แกนี่”
มัศยาเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ ต๋องมองตามงงๆ
“เอ๊า แล้วต๋องพูดผิดตรงไหนล่ะเจ๊”
น่านฟ้านั่งอยู่ที่ห้องทำงาน แอนนาเปิดไอแพดให้น่านฟ้าดูโปรแกรมที่ร่างมา
“คุณจะเปิดบริษัทขายเครื่องสำอางเหรอ”
“ใช่ค่ะ สมัยนี้ดารานางแบบคนไหนเขาก็ขายกันทั้งนั้น”
“แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่า บิสิเนสแพลนของคุณจะผ่านแบงค์”
“มั่นใจสิคะ เพราะแอนมีคุณไง”
น่านฟ้าชะงักเงยหน้าขึ้นมามองสบตาแอนนา แอนนาสบตาซึ้งยั่วยวน น่านฟ้ารีบเบือนหน้ากลับมามองไอแพดเหมือนเดิม
“ผมเองก็ไม่แน่ใจนะว่าจะช่วยคุณได้”
มัศยานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดหงุดหงิดอยู่ที่โต๊ะทำงาน มองนาฬิกาข้อมือ พลางชะโงกไปดูทางเดินบริษัทแต่ยังไม่เห็นแอนนาเดินมาก็ฮึดฮัด ต๋องถือเอกสารเดินผ่านมา มัศยารีบเรียกไว้
“ต๋อง จะไปไหน”
“เอาเอกสารไปให้คุณน่านเซ็น มีอะไรเหรอเจ๊”
มัศยานึกได้ลุกพรวดทันที เข้ามาแย่งแฟ้มเอกสารจากต๋อง
“มานี่มา ฉันเอาไปให้เอง”
มัศยาเดินออกไปเลย ต๋องมองงงๆ
แอนนานั่งแหมะที่พนังวางแขนน่านฟ้า พลางดูงานไปด้วย น่านฟ้าอึดอัด เงยหน้ามาบอกแอนนา
“แอนไปนั่งเก้าอี้ดีกว่ามั้ย ผมไม่ถนัด”
“แต่แอนถนัดแบบนี้นี่คะ ทำไมเหรอคะ รังเกียจแอนรึไง”
น่านฟ้าพูดไม่ออก ทันใดนั้นเองเสียงเคาะประตูดังขึ้น แอนนาได้ทีแกล้งเข้าไปนั่งตักน่านฟ้าทันที มัศยาถือแฟ้มเปิดประตูเข้ามา ชะงักมองอึ้งๆ น่านฟ้าตกใจรีบลุกพรวดทันที ทำเอาแอนนาตกเก้าอี้ไปเลย
“หยี มีอะไรรึเปล่า”
แอนนาเอามือกุมเอวลุกขึ้นมา พยายามเก็บอาการเจ็บปวด มัศยากัดฟันกรอด เอาแฟ้มมาวางตรงหน้าน่านฟ้าโครม
“เอกสารที่ต้องเซ็นค่ะ”
แอนนาแกล้งทำแสยะยิ้มใส่
“เพิ่งรู้ว่าทำหน้าที่พนักงานเดินเอกสารด้วย”
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันเห็นคนอื่นยุ่งเลยอาสาเอามาเอง”
น่านฟ้ารีบเปิดแฟ้มมาเซ็นทันที แล้วยื่นให้มัศยา
“อ่ะ นี่จ้ะ”
มัศยาสะบัดหน้าพรืดจะเดินออกไป น่านฟ้าใจคอไม่ดี รีบเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนหยี”
มัศยาหันมามองน่านฟ้าพยายามทำหน้านิ่ง
“อย่าเพิ่งไปได้มั้ย อยู่ด้วยกันก่อน เดี๋ยวแอนเขาก็กลับแล้วล่ะ”
แอนนาหันขวับไปทางมองฟ้าทันที
“แอนบอกตอนไหนคะว่าจะกลับ”
“ผมนี่แหละบอก เพราะผมมีธุระต้องคุยกับหยีต่อ แอนกลับไปก่อนนะ”
แอนนาหน้าเสียนิดๆ เดินไปคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไปเลย พอแอนนาเดินออกไปแล้ว มัศยายิ้มร้ายเดินเข้ามาหาน่านฟ้า
“เมื่อกี้ทำอะไรคะ”
น่านฟ้าทำหน้าหลอนๆ กลัวมาก สักพัก เสียงร้องโวยวายของน่านฟ้าก็ดังออกไปจากห้องทำงาน
“โอ๊ย เจ็บๆ”
ต๋องและพนักงานคนอื่นๆ ที่อยู่หน้าห้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“จำไว้นะคุณน่าน ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก ไม่งั้นนะ”
“โอ๊ย”
ประตูเปิดพรวดออกมา
ต๋องและพนักงานรีบทำเป็นแยกย้ายกันทำงาน มัศยาปัดๆ มือ แล้วใช้เท้าผลักประตูเข้าไปก่อนจะเดินออกไป หน้าตาดูโหดมากราวกับเพิ่งผ่านศึกมา
ตอนเย็น น่านฟ้ากลับมาที่คอนโดของเขา เอายาทาหน้าตัวเองที่เป็นรอยช้ำ ขณะที่มัศยานั่งปอกผลไม้ดูทีวีสบายใจเฉิบ
“คนอะไร ทำเขาเจ็บแล้วไม่คิดจะดูแลกันเลย”
มัศยาหันมาเอาแอปเปิ้ลยัดใส่ปากน่านฟ้า
“กินเข้าไปเลย จะได้หยุดบ่นซะที”
น่านฟ้าเคี้ยวแอปเปิ้ลไปด้วย ทำหน้างอ
“นี่ถือว่าแค่เตือนนะ ต่อไปถ้ายังไปอี๋อ๋อกันผู้หญิงคนไหนอีก รับรองว่าเจอมาตรการเด็ดขาดแน่”“นางยักษ์ชัดๆ”
“ว่าไงนะ”
น่านฟ้าสะดุ้งโหยงรีบแก้ตัวทันที
“ปะเปล่าจ้า ยาหยี ผมบอกว่า นางฟ้าชัดๆ จริงจริ๊ง”
“แล้วไป อ้อ แล้วนี่คุณได้คุยกับคุณเป้บ้างรึเปล่า”
“ช่วงนี้มันติดหญิง ไม่ค่อยสนใจผมหรอก”
“งั้นโรงงานอาสุกิจของคุณก็คงไม่มีปัญหาอะไรมั้ง”
น่านฟ้าชะงักสงสัย
“ทำไมเหรอหยี”
“เปล่าค่ะ ฉันก็แค่คิดว่า ในเมื่อเขาไปเปิดโรงงานของตัวเองแล้วไปได้สวย แต่ทำไมถึงยังอยู่ที่มีโชค”
น่านฟ้ายิ้มรับอย่างเข้าใจ
“เพราะเขายังอยากได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของแม่ใหญ่แล้วก็ของผมอยู่ แต่ความจริงอาสุกิจคิดผิด เขาควรจะออกไปทำของตัวเองน่ะดีแล้ว เพราะไม่ว่ายังไง ผมก็จะต้องรักษาสิ่งที่พ่อสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงไว้ให้ดีที่สุด”
สุกิจเดินสำรวจโรงงานโอกิมิ ช่างเฟอร์นิเจอร์กำลังจัดโต๊ะทำงานอยู่ ภูริชกุลีกุจออธิบาย
“ผมดึงคนของมีโชคมาช่วยเราหลายคน ทุกคนยินดีที่จะทำงานให้คุณสุกิจอย่างเต็มที่ครับ”
“ดี ให้ไอ้น่านมันรู้ว่า ระหว่างเด็กเมื่อวานซืน กับฉันที่ทำงานอุทิศชีวิตให้มีโชคมาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี ใครมันจะมีบารมีมากกว่ากัน”
“เรื่องนั้นพนักงานทุกคนรู้ดีครับ ว่าคุณสุกิจคือผู้บริหารระดับสูงในมีโชค ที่ตั้งใจทำงานและดีกับทุกคนมาตลอด”
“หึ ขอให้ตั้งใจทำงานกันให้ดีเหมือนกับที่ยกยอปอปั้นฉันแล้วกัน”
ภูริชสะอึกนิดๆ
“อ้อ ในเมื่อตอนนี้โรงงานเราเป็นรูปเป็นร่างแล้ว งั้นฉันคงไม่ต้องใช้นายปารณแล้วสินะ”
“ผมจะบอกเรื่องนี้เหมือนกันครับว่าผมเองก็เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดมีโชค ผมจัดการเองได้ คงไม่ต้องเสียเงินจ้างนายปารณแล้วล่ะครับ”
“งั้นฉันจะจัดการบอกเลิกสัญญานายปารณเอง จะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง ต่อไปฉันคงต้องฝากโรงงานนี่ไว้กับนายแล้วนะ หวังว่านายจะเป็นหูเป็นตาดูแลผลประโยชน์ให้ฉันได้”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณสุกิจ ผมจะตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดครับ”
สุกิจตบบ่าภูริชเบาๆ แล้วเดินออกไป ภูริชมองตามยิ้มร้าย
กลางคืน ภูริชนั่งดื่มเครื่องดื่มอย่างสบายใจอยู่ในบ้าน ยุวรินทร์กำลังจะออกไปข้างนอก หันมาเห็นสามีอยู่บ้านก็แปลกใจ
“แหม วันนี้สามีฉันน่ารักเป็นพิเศษนะ กลับบ้านเร็ว แถมยังไม่ออกไปไหนด้วย”
ภูริชหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“จะไปไหนก็ไปไป ผมกำลังอารมณ์ดี อย่าทำให้หงุดหงิด”
“อารมณ์ดีเรื่องอะไรคะ หรือว่าไปเจออีหนูคนใหม่อีกเหรอ”
ภูริชหงุดหงิดกว่าเดิม
“ผมสบายใจที่หาช่องทางหาเงินมาให้คุณถลุงไง พอใจรึยัง”
ยุวรินทร์ชะงักสนใจขึ้นมาทันที
“แสดงว่าได้เงินมาจากเจ้านายเยอะล่ะสิท่า”
“ยังหรอก แต่อีกไม่นานจะต้องได้มาแน่ๆ คุณเองก็หุบปากไว้ละกัน ถ้าปากดีระวังจะไม่ได้สักแดงเดียว”
“ก็ขอให้ได้จริงๆ ละกัน ไม่ใช่แค่ราคาคุย”
ยุวรินทร์เดินออกไป ภูริชยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็คอยดูแล้วกัน ว่าราคาคุยรึเปล่า”
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 13 (ต่อ)
ตอนเช้า น่านฟ้านั่งคุยกับผู้จัดการฝ่ายบุคคลสีหน้าเครียด
“ช่วงนี้มีพนักงานยื่นใบลาออกหลายคน ผมเกรงว่าจะกระทบกับงานบริษัทเรา เลยมาเรียนปรึกษาท่านประธานครับ”
น่านฟ้าพยักหน้ารับนิ่งๆ
“ไม่เป็นไร ใครอยากออกก็ปล่อยเขาไป ผมอนุมัติทุกคน”
ผู้จัดการฝ่ายบุคคลแปลกใจ
“แล้วตำแหน่งที่ว่างล่ะครับ
“แจ้งรับสมัครพนักงานใหม่เข้ามา ผมจะเป็นคนเลือกเอง”
“แต่คนใหม่เยอะขนาดนี้ งานอาจจะมีปัญหานะครับ”
“ตอนนี้ผมอยากได้คนรุ่นใหม่ไฟแรงมาทำงาน ที่สำคัญอยากได้คนที่มีใจให้กับข้าวเกรียบมีโชค แล้วผมนี่แหละที่จะพามีโชคก้าวไปข้างหน้าด้วยตัวผมเอง”
น่านฟ้ามั่นใจมาก
สุกิจมาหาปารณที่บริษัท จับมือแสดงความยินดีกัน ปารณดูสบายใจมาก
“ยินดีด้วยนะครับคุณสุกิจที่โอกิมิกำลังจะบุกเบิกสู่ตลาดแล้ว”
“ขอบคุณคุณมากนะที่ให้คำปรึกษาที่ดีมาตลอด ผมถึงมีวันนี้”
“ยังไงมีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะครับ ผมยินดี”
“ผมว่าตอนนี้ทุกอย่างลงตัวหมดแล้วล่ะ ภูริชก็ช่วยดูแลทุกอย่างได้ดี”
ปารณชะงักนิดๆ คิดว่าจะเตือนดีหรือไม่
“เอ่อ คุณสุกิจ ผมไม่แน่ใจว่าควรจะพูดรึเปล่า คือ ผมมีเรื่องอยากจะเตือนคุณ”
“เรื่องอะไรเหรอครับ”
“การเปิดโรงงานและบริษัทใหม่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ทางที่ดีคุณควรจะดูแลเองทุกๆ ส่วน ผมไม่อยากให้คุณไว้ใจใครเกินไป”
“คุณหมายถึงใครเหรอ”
“ก็ทั่วๆ ไปน่ะครับ แต่แค่อยากเตือนคุณเท่านั้นเอง”
สุกิจยิ้มร่ามั่นใจ
“ขอบคุณที่เตือนนะ แต่ผมเชื่อมั่นในตัวคนของผม พนักงานหลายคนก็มาจากมีโชค คนเก่าคนแก่ที่คุ้นเคยกับผมทั้งนั้น”
“ถ้าคุณมั่นใจก็ดีครับ ผมก็แค่ไม่อยากให้คุณวางใจเกินไป”
“ผมรู้น่าว่าการทำธุรกิจมันต้องเจออะไรบ้าง แต่ยังไงก็ขอบคุณที่เตือนแล้วกันนะ เอาล่ะ ผมขอตัวไปทำงานต่อแล้วกัน”
“เชิญครับ”
สุกิจออกจากห้องไป เขาเห็นนิรชาเดินอยู่ก็ชะงัก มองด้วยความสนใจ ก่อนจะรีบเดินตามนิรชาไป นิรชาเดินมาถ่ายเอกสารที่มุมหนึ่ง สุกิจเดินเข้ามาหา นิรชาหันไปเห็นก็ตกใจมาก
“คุณสุกิจ”
“เธอมาทำอะไรที่นี่”
นิรชาอึกอักไม่รู้จะพูดอย่างไร สุกิจกวาดตามองรอบๆ ก่อนจะหันมาบอกนิรชา
“ไปคุยกันที่อื่นดีกว่า”
“ค่ะ”
สุกิจเดินนำนิรชาออกไป นิรชาเดินตามไปอย่างกลัวๆ ทั้งสองไปคุยกันด้านหน้าบริษัท“ตกลงบอกฉันได้รึยังว่าเธอมาทำอะไรที่นี่”
นิรชาอึกอักคิดหาคำอธิบาย
“ฉันทำงานที่นี่ค่ะ”
“เธอเนี่ยนะ ทำงานประจำที่นี่”
“ค่ะ ฉันอยากทำงานสุจริตก็เลยลองสมัครงานที่นี่ แล้วคุณปารณรับฉันไว้ ฉันก็เลยตัดสินใจทำงานที่นี่ แทนที่จะ เอ่อ ทำงานอย่างที่เคยทำค่ะ ส่วนงานที่คุณสุกิจสั่งให้ฉันทำ ฉันก็ทำไปแล้วนะคะ”
สุกิจครุ่นคิด
“เอาล่ะ ถึงฉันให้เธอทำต่อมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะ เพราะไอ้น่านฟ้ามันก็มีแฟนของมันแล้ว ส่วนโรงงานของฉันก็กำลังจะเปิด ก็ถือว่ายกผลประโยชน์ให้เธอไปแล้วกัน”
นิรชายิ้มโล่งใจ
“ขอบคุณนะคะ”
“งั้นเธอก็ทำงานของเธอไปแล้วกัน ฉันไปก่อนล่ะ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ”
นิรชายกมือไหว้สุกิจ เป่าปากโล่งอก
นิรชามาเล่าให้ปารณฟังถึงเรื่องที่เธอเจอกับสุกิจ
“ไม่ต้องกังวลหรอกนิ เธออยู่ใกล้ฉัน ยังไงฉันก็ไม่ยอมให้นายสุกิจรังแกเธอได้หรอก”
“แต่หมอนี่ร้ายไม่ใช่เล่นนะคะ ฉันกลัวว่าถ้าเขารู้เรื่องคุณกับคุณน่านอาจจะรู้ทันก็ได้ว่าฉันเป็นหนอนบ่อนไส้”
“ตอนนี้นายสุกิจคงวุ่นแต่กับโรงงานของตัวเอง ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอื่นหรอก แต่ต่อให้รู้ ฉันก็จะดูแลเธอเอง”
นิรชายิ้มปลื้ม
“ขอบคุณนะคะ”
“ขอบคุณอย่างเดียวไม่พอ ขอรางวัลด้วยสิ”
ปารณทำแก้มป่องยื่นให้นิรชา นิรชามองหมั่นไส้
“เสียใจค่ะ รางวัลมีไว้ให้คนทำงาน นี่คุณยังไม่ได้ทำอะไรเลย”
ปารณได้ยินก็นึกขึ้นได้
“จริงด้วยสิ ฉันต้องรีบไปทำงานต่อนี่”
ปารณรีบเก็บของ
“ไปไหนเหรอคะ”
ลูกค้ายืนออกันอยู่หน้าร้านข้าวเกรียบป้ามะลิ ปารณตักข้าวเกรียบใส่ถุงมือระวิง
“ใจเย็นๆ นะคร้าบ ได้ทุกคนครับได้ทุกคน”
ป้ามะลิโผล่มาจากหลังเสาแอบมองยิ้มๆ พอใจ
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ”
ตอนค่ำ น่านฟ้านั่งอยู่ที่ร้านอาหารกับมัศยา เขาเครียดมาก กินข้าวไม่ลง มัศยามองอย่างสงสัย
“เป็นไรไปคะ ไม่หิวเหรอ”
น่านฟ้าชะงักยิ้มให้
“แค่มองหน้าหยีผมก็อิ่มแล้วล่ะ”
“อย่ามาปากดี คิดอะไรอยู่เหรอคะ ฉันรู้นะว่าคุณมีเรื่องกังวลอะไรอยู่”
น่านฟ้าถอนใจเซ็งๆ
“เฮ้อ รู้ทันผมทุกเรื่องแบบนี้ ต่อไปอย่าฝันเลยว่าจะมีกิ๊กที่ไหนได้”
“ก็ลองมีสิ ฉันจะหั่นๆๆ สับๆๆ ให้เละเลย”
น่านฟ้าเอามือกุมเป้ากลัวๆ
“ตกลงมีเรื่องอะไรเหรอคะ เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ”
“หยีจะช่วยผมเหรอ”
“เปล่า ฉันอยากรู้”
น่านฟ้าชะงัก
“ล้อเล่น ฉันเป็นห่วงคุณต่างหาก”
“ผมกำลังกังวลเรื่องหาพนักงานใหม่มาแทนพวกที่ลาออกไปทำงานกับอาสุกิจน่ะ”
“ฉันเห็นฝ่ายบุคคลประกาศรับสมัครพนักงานเพิ่มแล้วนี่คะ”
“เรื่องนั้นผมรู้ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าคนใหม่ที่ได้มาจะทำงานได้ดีรึเปล่า อีกอย่างผมมีแผนจะออกอีเวนท์พีอาร์ข้าวเกรียบของเรา ถ้าขาดคนแล้วเราจะทำกันยังไงดี”
มัศยาเอื้อมมือไปจับมือน่านฟ้าอย่างห่วงใย
“อย่าคิดมากเลยค่ะ ต่อให้หาไม่ได้เลย ฉันก็จะยอมทำงานหนักเพื่อช่วยคุณเองนะ คุณน่าน เราสองคนผ่านอะไรมาตั้งเยอะ กับเรื่องแค่นี้ทำไมเราจะผ่านมันไปอีกไม่ได้ ตราบใดที่ฉันยังอยู่ ฉันจะเคียงข้างคุณ ทำงานทุกอย่างให้สำเร็จให้ได้ค่ะ”
น่านฟ้าสบตามัศยาเคลิ้มๆ ทำท่าจะดึงมาจูบ
“มานี่มาทูนหัว ขอจุ๊บทีเถอะ”
มัศยาผลักหน้าน่านฟ้าออกไป
“จะบ้าเหรอ นี่มันร้านอาหารนะ”
“ก็มันซึ้งอ่ะ มีแฟนน่ารักแบบนี้ ใครจะอดใจไหว”
“สบายใจขึ้นแล้วใช่มะ งั้นทานข้าวเร็ว จะได้กลับบ้าน”
“จ้ะแม่”
น่านฟ้ายิ้มกวนๆ ให้มัศยา
หลายวันต่อมา น่านฟ้า มัศยา วิภา ต๋อง และพนักงานประชุมกัน น่านฟ้าโชว์แผนงานโปรโมทสินค้าในจอโปรเจคเตอร์
วันต่อมา น่านฟ้าและมัศยาช่วยกันเช็คสต็อคของที่เอามากองไว้ น่านฟ้าเห็นมัศยาเหงื่อออกก็เข้ามาซับเหงื่อให้ สองคนยิ้มให้กัน
ทั้งคู่ช่วยกันออกแบบป้ายกิจกรรมในจอคอมพิวเตอร์ มัศยาช่วยออกความเห็น ขณะที่น่านฟ้ามองยิ้มๆ แล้วจะเข้าไปจูบมัศยาให้ได้ มัศยาผลักหน้าออกอย่างรำคาญ
น่านฟ้าและมัศยาช่วยกันจัดเตรียมพร็อพสำหรับกิจกรรมในงานอย่างตั้งอกตั้งใจ สักพักปิดกล่องลง สองคนนั่งหันหลังพิงกันเหนื่อยมาก วิภาแอบมองอย่างภูมิใจ
หลังจากได้เห็นความตั้งใจในการทำงานของน่านฟ้า วิภาพอใจมาก เธอยืนมองรูปของโชคและวิชญะยิ้มๆ
“คุณโชค คุณรู้มั้ยว่าตอนนี้ตาน่านลูกชายคุณ พาบริษัทมีโชคไปไกลขนาดไหน ฉันอยากให้คุณมาเห็นจริงๆ ว่าตาน่านทุ่มเทเพื่อบริษัทเราถึงขนาดที่ฉันเองยังทำไม่ได้เลย ขอบคุณนะคะที่อย่างน้อยคุณก็ทิ้งทายาทสืบสกุลอย่างตาน่านไว้ให้ ตอนนี้ฉันหมดห่วงแล้ว ฉันอยากจะพักวางมือจากงานสักที”
ทันใดนั้นเอง เสียงรถน่านฟ้าดังมาจากหน้าบ้าน วิภาได้ยินก็หันไปมอง น่านฟ้าลงมาจากรถ เห็นวิภาเดินออกมาหาก็รีบเข้าไปหาทันที
“แม่ใหญ่โทรตามผมมีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“มีสิ ไป เข้าไปคุยในบ้านดีกว่า ฉันมีอะไรจะให้แกดู”
วิภาเดินนำน่านฟ้าเข้าไปในห้องทำงานของเธอ เปิดเซฟที่ตั้งอยู่ในห้อง น่านฟ้ามองอย่างสงสัย วิภาเปิดเซฟออกมา ในนั้นมีโฉนด เอกสารต่างๆ เครื่องเพชร และเงินสดมากมาย ก่อนจะหยิบแฟ้มเอกสารเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นให้น่านฟ้า
“อ่ะ เก็บเอาไว้สิ”
น่านฟ้ารับมางงๆ
“อะไรเหรอครับแม่ใหญ่”
“พินัยกรรม”
“แม่ใหญ่ให้ผมทำไมครับ”
“ตอนนี้ฉันมีทายาทคนเดียวก็คือแก ฉันอยากจะวางมือจากงานแล้วปล่อยให้แกบริหารมีโชคเต็มๆ สักที”
น่านฟ้าโวยวาย
“อ้าว แม่ใหญ่จะลอยแพผมเหรอครับ ผมไม่ยอมนะ”
“ฉันไม่ได้ลอยแพ แต่ฉันเหนื่อยมาหลายสิบปีแล้ว ฉันอยากพักบ้าง นี่ฉันแพลนจะชวนแม่แกไปเที่ยวให้หนำใจซะหน่อย ก็เลยอยากจัดการเรื่องสมบัติเรื่องเอกสารทุกอย่างให้เรียบร้อย”
น่านฟ้าทำงอแงเข้ามาออเซาะ
“แม่ใหญ่อย่าทำแบบนี้สิครับ ผมอยากให้แม่ใหญ่อยู่เป็นมิ่งขวัญให้มีโชคตลอดไปนะครับ”
“นี่ ฉันไม่ใช่ศาลพระภูมิประจำบริษัทนะยะ แล้วแกไม่เห็นรึไงว่าฉันทำงานหนักขนาดไหน ฟังนะเจ้าน่าน ได้เวลาที่คนรุ่นใหม่จะมาทำให้มีโชคพัฒนา แล้วคนรุ่นเก่าอย่างฉันก็ควรจะพักสักที”
น่านฟ้าถอนหายใจเซ็ง
“แกคือความหวังเดียวของฉัน อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะ”
วิภาลูบหัวน่านฟ้าอย่างแสนรัก
หลายวันต่อมา มีการจัดงานงานอีเวนท์ข้าวเกรียบมีโชค มีซุ้มกิจกรรมต่างๆ เช่น ปาลูกโป่ง ยิงปืน โยนห่วง ทีมงานและชาวบ้านบริเวณนั้นมาร่วมงานอย่างสนุกสนาน พิธีกรบนเวทีพูดออกไมโครโฟน
“สวัสดีค่ะ วันนี้ข้าวเกรียบมีโชคได้มามอบความสุขให้กับทุกท่านนะคะ ณ ลานเอนกประสงค์แห่งนี้ ไหนใครเคยทานข้าวเกรียบมีโชคแล้วบ้างคะ”
บรรดาชาวบ้านยกมือส่งเสียงเฮกันลั่น
“อร่อยมั้ยคะ”
“อร่อย”
“งั้นวันนี้ ทุกท่านจะได้ทานกันอย่างจุใจเลยค่ะ โดยทางบริษัทมีโชคจำกัดได้นำข้าวเกรียบมีโชคมาบริการแจกให้ทุกคนได้ลิ้มลองกันฟรีๆ เลยค่ะ”
ทุกคนส่งเสียงเฮดังขึ้นทั่วบริเวณ ในขณะที่น่านฟ้า มัศยา วิภา อนงค์และต๋อง ยืนยิ้มปลื้มอยู่
“จัดงานได้ดีนะตาน่าน เห็นแล้วชื่นใจจริงๆ”
“ของมันแน่อยู่แล้วครับแม่ใหญ่ น่านฟ้าซะอย่าง”
“ดีทุกอย่างยกเว้นปากแกเนี่ย หัดถ่อมตัวซะบ้างนะ”
น่านฟ้ายิ้มรับแหยๆ ระหว่างนั้น พิธีกรบนเวทีประกาศเสียงดัง
“และต่อไปนี้ ขอเชิญทุกคนเต็มอิ่มกับบรรยากาศที่พวกเราได้มอบให้กันเลยค่ะ”
เสียงดนตรีกระหึ่มขึ้น แดนเซอร์ออกมาเต้น ทุกคนปรบมือกันอย่างสนุกสนาน น่านฟ้าและมัศยายิ้มให้กันอย่างมีความสุข
เวลาเดียวกันนั้น แอนนาเดินมาที่บริเวณลานจอดรถ กวาดตามองตามต้นเสียงที่ดังกระหึ่มมาจากอีกมุม เธอถอดแว่นกันแดดออกมามอง ยิ้มร้าย
แดนเซอร์เต้นกันอย่างสนุกสนาน น่านฟ้า มัศยา และต๋อง พาชาวบ้านเล่นปาลูกโป่งชิงรางวัล อนงค์หันมาคุยกับวิภาอย่างปลื้มๆ
“ตาน่านนี่เก่งนะคะ ปรับลุคข้าวเกรียบมีโชคแบบเดิมซะจนทันสมัยขึ้นเยอะเลย”
วิภาพยักหน้ารับยิ้มๆ
“ตาน่านมันได้เลือดพ่อมาเต็มๆ คนแกร่ง ไม่เคยท้อต่ออุปสรรคง่ายๆ”
สุกัญญาเดินเข้ามา วิภายิ้มรับ
“ที่สำคัญ ต้องขอบคุณผู้หญิงคนนี้ด้วย”
สุกัญญาเดินเข้ามายกมือไหว้วิภาและอนงค์
“สวัสดีค่ะ เห็นตาน่านบอกวันนี้มีงานเลยแวะมาให้กำลังใจซะหน่อย”
“กำลังพูดถึงอยู่พอดีค่ะ คุณสุกัญญาเลี้ยงลูกได้ดีจริงๆ ค่ะ เห็นแล้วภูมิใจแทน”
สุกัญญาหันไปมองน่านฟ้ายิ้มๆ ปลื้มเหมือนกัน
น่านฟ้า มัศยาและต๋องทำหน้าที่สต๊าฟให้กับชาวบ้านที่มาร่วมงาน ใช้ลูกดอกปาลูกโป่ง แอนนาเดินเข้ามา น่านฟ้าชะงัก
“แอน”
แอนนายิ้มสดใสร่าเริง
“แอนมาให้กำลังใจน่านค่ะ งานน่ารักดีนะคะ”
น่านฟ้าเหลือบไปมองมัศยาที่ชักไม่ค่อยสบอารมณ์ ต๋องรู้สึกว่าบรรยากาศชักกร่อย
“เอ่อ ต๋องขออนุญาตไปดูทางโน้นก่อนนะครับ”
ต๋องค่อยๆ แยกตัวออกไป มัศยาแกล้งทำไม่สนใจ หันไปเล่นกับชาวบ้านต่อ
“ตามสบายนะแอน ผมกำลังยุ่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ แอนตั้งใจจะมาช่วยน่านอยู่แล้ว”
แอนนาหันไปบอกชาวบ้านทันที
“มีใครสนใจแข่งปาลูกโป่งกับแอนบ้างคะ”
ชาวบ้านกรูกันเข้ามาหาแอนนา แอนนาแอบแสยะยิ้มใส่มัศยา มัศยาเซ็งเดินผละออกไป น่านฟ้ายืนเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูก ตัดสินใจตามมัศยาไป
มัศยาเดินหนีมาเตรียมของสำหรับเล่นเกมที่มุมหนึ่ง น่านฟ้าเดินตามเข้ามารู้สึกผิดนิดๆ
“หยีจ๋า”
มัศยาหันขวับมามองค้อน
“คุณบอกยัยแอนนาเหรอว่าวันนี้มีงาน”
“เปล่านะ ผมยังงงเลยว่าเขารู้ได้ไง”
มัศยามองน่านฟ้าค้อนๆ จับผิด
“จริงจริ๊ง ผมไม่ได้ชวนเขาด้วยนะ ให้สาบานที่ไหนก็ได้”
“ไม่ต้องถึงกับสาบานหรอก ไม่ชวนก็ไม่ชวน”
มัศยาหันไปง่วนกับของที่เตรียมต่อ น่านฟ้าชะเง้อไปมองหยั่งเชิง
“ตกลงไม่โกรธผมนะ”
“จะโกรธทำไมล่ะ คุณว่าไม่ได้ชวนก็จบ”
น่านฟ้ายิ้มพอใจ กุลีกุจอช่วยมัศยายกของ
“มา งั้นผมช่วยนะจ๊ะยาหยี”
วิภามองแอนนาถ่ายรูปกับบรรดาผู้คนที่มาร่วมงานด้วยความหงุดหงิด ต๋องเดินผ่านมา วิภารีบเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนต๋อง”
“คร้าบ คุณท่าน”
“ใครเชิญแม่คนนี้มา ดูซิ ทำซะคนไม่ได้สนใจข้าวเกรียบฉันเลย แห่กันมาสนใจถ่ายรูปกับยัยนี่กันหมด”
“ต๋องก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ถ้าเดาไม่ผิด เขาคงตั้งใจมาหาคุณน่านน่ะครับ”
สุกัญญาส่ายหน้า
“ตาน่านนะตาน่าน ไม่คิดจะจัดการอะไรเลย”
อนงค์หันมามองสนใจ
“ใครเหรอคะ หน้าคุ้นๆ เหมือนเป็นดารา”
“แม่คนนี้เหรอ นางแบบอะไรสักอย่าง ฉันว่าไม่เห็นจะสวยตรงไหน สู้มัศยายังไม่ได้เลย”
“หูย คุณท่านเชียร์ว่าที่ลูกสะใภ้แบบออกตัวแรงมากเลยนะครับ”
วิภาหันไปค้อนต๋อง ต๋องรีบสลดทันที
“เอ่อ ต๋องขอตัวไปทำงานต่อก่อนนะครับ”
วิภามองแอนนาหงุดหงิดฮึดฮัด
บริเวณลานกิจกรรม มัศยาและน่านฟ้าช่วยกันเทแป้งลงบนจานสำหรับเล่นเกม แอนนาเดินเข้ามาหาน่านฟ้าแอบมองแสยะยิ้มใส่มัศยา
“ทำอะไรกันอยู่เหรอคะ”
น่านฟ้าหันมา มัศยาสวนขึ้นด้วยความรำคาญ
“เดินจงกลมล่ะมั้ง เห็นอยู่ว่ากำลังเทแป้ง”
แอนนาชักสีหน้าใส่แต่พยายามทำใจเย็น
“มีเกมเล่นด้วยเหรอ น่าสนุกจัง”
“ไม่รู้สิ ยังไม่ได้เล่น”
แอนนาชักไม่พอใจมัศยา
“ฉันพูดกับน่านไม่ใช่เธอ”
“ฉันตอบแทนแฟนฉัน มีปัญหาอะไรมั้ย”
“หรือเธออยากมี”
สองคนจ้องหน้ากันมีประกายอำมหิต น่านฟ้าชักกลัวๆ รีบไกล่เกลี่ย
“เอ่อ ใจเย็นๆ กันก่อนนะครับ”
มัศยาผลักน่านฟ้าออกไปทันที แล้วจ้องหน้าแอนนากลับ
“ฉันอยู่ของฉันดีๆ นะคะ แต่ดูเหมือนเธอจงใจจะมาหาเรื่อง”
“ใครบอกว่าฉันหาเรื่อง ฉันก็แค่แวะมาทักทายให้กำลังใจน่าน แต่พอดีฉันมันคนมีชื่อเสียง เลยอาจจะทำให้คนที่เป็นโนบอดี้บางคน รู้สึกไร้ตัวตนขึ้นมา”
“ถ้าเธอคิดว่าเธอมีตัวตน ฉันขอบอกว่าเธอคิดผิด เพราะคนๆ นั้นน่าจะเป็นเธอมากกว่า ไม่เชื่อก็ถามคุณน่าน เพื่อนเธอสิ”
แอนนาสะอึก
“เธอคิดว่าน่านเขายอมคบเธอแล้วเขาจะจริงจังกับเธอจริงๆ เหรอ”
“อย่างน้อยก็จริงจังกว่าเธอแล้วกัน”
น่านฟ้าเห็นท่าไม่ดีรีบเข้ามายืนขวาง
“เอ่อ หยีจ๋า แอน อย่ามีเรื่องกันได้มั้ย”
มัศยาและแอนนาหันขวับมาทางน่านฟ้า แล้วตอบพร้อมกัน
“ไม่ได้”
น่านฟ้าเครียดจัดไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“แต่นี่ผมกำลังทำงานอยู่นะ อย่าทะเลาะกันตอนนี้เลยนะ ผมขอล่ะ”
“เรื่องนี้น่านไม่เกี่ยวค่ะ มันเป็นเรื่องของแอนกับยัยนี่”
“อ่ะ งั้นเธอต้องการอะไร”
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 13 (ต่อ)
แอนนาหันไปมองอุปกรณ์เล่นเกมบนโต๊ะ
“ฉันขอท้าเธอ อยากรู้นักว่าถ้าฉันลงทุนขนาดนี้ เธอยังจะมีตัวตนในงานนี้อีกมั้ย”
มัศยายิ้มเยาะมั่นใจ
“คิดว่าฉันไม่กล้าเหรอ”
“ก็ลองดูสิ”
“ได้ งั้นฉันรับคำท้า”
สองสาวจ้องหน้ากัน น่านฟ้ากลืนน้ำลายเอื้อก เครียดมาก
ทีมงานและชาวบ้านที่มาร่วมงานมองมัศยาและแอนนา ก่อนจะรีบกรูกันไปทางนั้น ต๋องหันไปเห็นมัศยาและแอนนายืนประจำที่เล่นเกมวิบากชิงรางวัลก็ตกใจ
“เฮ้ย นั่นสองคนนั้นจะทำอะไรเนี่ย”
วิภา สุกัญญาและอนงค์หันไปมองด้วยความสนใจ
“สงสัยมีเรื่องแน่ๆ อ่ะ ไปดูกันเร็ว”
วิภารีบชวนอนงค์และสุกัญญาเดินไป ต๋องตื่นเต้นรีบตามไปด้วย
มัศยาและแอนนายืนประจำจุดสตาร์ทการแข่งขัน น่านฟ้าอยู่ข้างๆ กังวลมาก
“เอ่อ ตกลงจะเอาจริงเหรอหยี”
มัศยาหันขวับสวนขึ้นทันที
“มาถามอะไรเอาป่านนี้ ฉันพร้อมแล้ว”
“แอนก็พร้อมแล้ว”
วิภา ต๋อง อนงค์ และสุกัญญาเดินเข้ามา
“นี่มันอะไรเนี่ย”
น่านฟ้ารีบหันไปอ้อนวอนวิภาทันที
“แม่ใหญ่ครับ คือว่าหยีกับแอนเขาจะแข่งกันเล่นเกมวิ่งวิบาก แม่ใหญ่ช่วยห้ามทีสิครับ”
วิภาชะงัก ยิ้ม
“งั้นเหรอ ก็ดีนี่ สู้ๆ นะ”
วิภาตบบ่าให้กำลังใจมัศยา น่านฟ้าหน้าเจื่อนไป ต๋องหันไปเห็นชาวบ้านมารุมรอดูอยู่ก็รีบตัดบท
“ตอนนี้เปลี่ยนใจไม่ทันแล้วมั้งครับคุณน่าน คนมามุงดูใหญ่แล้ว”
“นั่นสิคะ อาว่าคงต้องยอมตามน้ำแล้วล่ะ”
สุกัญญาหันไปสะกิดน่านฟ้า
“จะทำอะไรก็รีบทำสิ”
“เอ่อ ต่อไปจะเป็นการแข่งขันวิ่งวิบากนะครับ ตอนนี้ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนพร้อมแล้วครับ ทุกท่านล่ะครับพร้อมรึยัง ถ้าพร้อมแล้วขอเสียงเชียร์หน่อยคร้าบ”
เสียงจากชาวบ้านที่มามุงดูดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ต๋องหยิบนกหวีดขึ้นมาจากคอเสื้อ
“พร้อมนะครับ ปี๊ด”
มัศยาและแอนนาวิ่งออกไปทันที น่านฟ้าเอามือกุมหน้า เครียด
มัศยาและแอนนาวิ่งเบียดกันไปมา ผลัดกันแซงผลัดกันเพลี่ยงพล้ำ มัศยามาถึงกะละมังก่อนก็เป่าแป้ง สักพักแอนนาตามมาเป่าบ้าง สองคนเป่ากันจนมอมแมมไปหมด มัศยาเจอกุญแจก่อนก็รีบคว้ากุญแจแล้ววิ่งนำไป แอนนามองตามเร่งเป่าตามบ้างจนได้มา เลยรีบตามมัศยาไป
มัศยาวิ่งมาเจอกล่องใบหนึ่งเลยไขกุญแจออกมา เจอซองๆ หนึ่งก็เปิดออกมาเจอคำว่า “นวดแป้ง” ขณะที่แอนนาวิ่งตามมาไขกุญแจกล่องอีกใบเจอซองเขียนคำว่า “ทอดข้าวเกรียบ” สองคนมองหน้ากัน
มัศยารีบวิ่งไปที่เส้นชัย ขณะที่แอนนาวิ่งตามไป พอเห็นมัศยาจะถึงเส้นชัย เธอเอื้อมมือไปดึงเสื้อมัศยาจนเสียหลักล้มลง แล้วตัวเองก็วิ่งไปที่เส้นชัย ชูมือชูไม้ด้วยความดีใจ น่านฟ้า วิภา ต๋อง อนงค์ และสุกัญญาอึ้งมาก
“เอ๊ะ นั่นโกงกันหน้าด้านๆ เลยนะคะ”
สุกัญญาบอก อนงค์เห็นด้วย
“นั่นสิคะ อย่างนี้ต้องปรับฟาวล์ค่ะ”
วิภาหันไปมองน่านฟ้าทันที
“ไอ้น่าน แกปล่อยให้แม่นั่นรังแกแฟนแกได้ไง”
น่านฟ้าอึกอักไม่รู้จะทำอย่างไร
“เดี๋ยวผมจัดการเองครับ”
น่านฟ้ารีบวิ่งออกไป วิภา อนงค์และสุกัญญาเดินตามไป ต๋องมองตามตื่นเต้น
“แหม งานนี้มันเว้ยเฮ้ย”
แอนนาชูมือชูไม้ดีใจ ถ่ายรูปกับชาวบ้านที่มาร่วมงาน มัศยายืนมองไม่พอใจ ปราดเข้าไปหาแอนนา
“จะดีใจทำไมไม่ทราบ เห็นอยู่ว่าเธอโกงฉัน”
แอนนายักคิ้วทำลอยหน้าลอยตา
“โกงตรงไหน ไหนล่ะกติกาที่บอกว่าทำไม่ได้ ในเมื่อคนชนะคือคนที่ถึงเส้นชัยก่อน ไม่ใช่เหรอ”
“อ๋อ เล่นอย่างนี้ใช่มั้ย”
มัศยาจะเข้าไปเอาเรื่องแอนนา แอนนาเดินหน้าเข้าสู้ น่านฟ้ารีบเข้ามาขวาง
“ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ โว้ว อะไรกันเนี่ย”
“คุณก็ดูเพื่อนคุณสิ โกงกันหน้าตาเฉย ไร้ยางอายที่สุด”
“ทำไม แพ้แล้วพาลเหรอยะ”
วิภาปราดเข้ามา
“คนแพ้คือเธอต่างหากยัยขี้โกง มัศยาเขาเล่นถูกตามกติกาทุกอย่าง แต่เธอน่ะโกงกันเห็นๆ”
“อ้าว คุณแม่ใหญ่พูดแบบนี้ลำเอียงนี่คะ แอนอุตส่าห์มาช่วยร่วมกิจกรรมด้วย แต่มาต่อว่าแอนแบบนี้ได้ไงคะ”
“ก็เธอโกงจริงๆ ทุกคนในนี้ก็เห็นกันทั้งนั้น”
สุกัญญาสำทับ แอนนาลอยหน้าลอยตาไม่สนใจ มัศยานึกขึ้นได้
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าเขาคิดว่าเขาชนะก็ยกให้เขาไป เพราะยังเหลืออีกด่านที่เขาต้องเจอ”
แอนนาชะงักทันที
“หมายความว่าไง”
“ก็ซองในมือเธอนั่นไง ดูสิว่าเธอต้องทำอะไรต่อ”
แอนนาเปิดซองออกมาเห็นคำว่า “ทอดข้าวเกรียบ”
“บ้าจริง ให้ฉันเนี่ยนะทอดข้าวเกรียบ”
“มันอยู่ในกติกา และเธอต้องทำ ทำได้มั้ยล่ะ”
แอนนาหันไปทางน่านฟ้า
“ถ้าเล่นแล้วก็ต้องเล่นให้จบนะแอน”
แอนนาอึกอักก่อนจะสูดหายใจพยายามทำใจเย็น
“ก็ได้ งั้นเริ่มเลย”
“ต๋อง เตรียมพื้นที่เลย”
“ได้ครับคุณน่าน”
ต๋องรีบผละออกไปทำหน้าที่ทันที แอนนาและมัศยามองหน้ากัน จงใจเอาชนะกันอย่างมาก
มัศยาประจำอยู่หน้าโต๊ะที่มีแป้งมันและวัตถุดิบพร้อมอยู่แล้ว ขณะที่แอนนายืนอยู่หน้ากระทะ ที่มีน้ำมันร้อนๆ กับแป้งข้าวเกรียบในกะละมัง ทุกคนยืนมุงดูด้วยความสนใจ ต๋องเดินออกมายืนตรงหน้าประกาศกับชาวบ้าน
“ลำดับต่อไป ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนจะต้องทำตามโจทย์ที่ได้รับนะครับ ผู้แข่งขันท่านแรก คุณมัศยาได้โจทย์คือ นวดแป้งข้าวเกรียบ 2 ขีด ภายใน 10 นาที”
ต๋องผายมือไปทางมัศยา มัศยายิ้มให้ทุกคนอย่างมั่นใจ
“ส่วนผู้เข้าแข่งขันอีกท่านได้รับโจทย์คือ ทอดข้าวเกรียบ ให้กรอบ อร่อย ภายในกำหนด 10 นาทีครับ”
มัศยาและแอนนาเดินเข้ามาจ้องหน้ากัน
“พร้อมแล้วนะครับ ปี๊ด”
เสียงเชียร์ดังก้องไปทั่งบริเวณ มัศยาลงมือนำส่วนผสมของแป้งและวัตถุดิบมานวดให้เข้ากันอย่างคล่องแคล่ว
ที่ตลาดน้ำ ปารณทอดข้าวเกรียบไปปาดเหงื่อไป ป้ามะลิเดินเข้ามามองยิ้มๆ
“เป็นไงล่ะ เข้าใจความรู้สึกของคนที่จะมาเป็นหลานเขยข้ารึยัง”
ปารณยิ้มรับ มือก็ทอดข้าวเกรียบไปด้วย
“เข้าใจแล้วครับป้า ผมว่าทอดข้าวเกรียบขายก็สนุกไปอีกแบบนะครับ”
ป้ามะลิมองอย่างไม่เชื่อ
“เอ็งเนี่ยนะสนุก ดูหน้าก็รู้แล้วว่าฝืนใจแค่ไหน”
“เปล่านะครับ ผมเต็มใจทำเพื่อป้าแล้วก็ เพื่อนินะครับ”
“ข้าไม่ได้ให้ทำเพื่อใคร แต่ข้าอยากให้เอ็งได้เรียนรู้การทำข้าวเกรียบสูตรของข้า ที่ไม่มีใครในโลกนี้ล่วงรู้”
“แม้แต่ไอ้น่านเหรอครับป้า”
“ใช่ ของไอ้หนุ่มนั่นน่ะเป็นสูตรที่คิดใหม่ แต่คนที่ได้รู้สูตรดั้งเดิมจากข้าก็มีแค่เอ็งคนเดียวนั่นแหละ”
ปารณยิ้มภูมิใจ
“งั้นผมควรดีใจใช่มั้ยครับ”
“หรือเอ็งจะเสียใจข้าก็ไม่ว่านะ”
“ไม่เลยครับ ผมดีใจสิครับที่ป้ายอมถ่ายทอดสูตรข้าวเกรียบที่อร่อยที่สุดในโลกให้ผม ผมจะตั้งใจขายข้าวเกรียบสูตรของป้าให้ดีที่สุดครับ”
ป้ามะลิยิ้มอย่างพอใจ
“ดี แล้วข้าจะคอยดู”
ที่ลานกิจกรรม แอนนาทอดข้าวเกรียบไปกระโดดหนีน้ำมันไป พลางร้องวี้ดว้ายอย่างน่ารำคาญ
วิภา อนงค์และสุกัญญาหันมามองหน้ากัน เบ้หน้าเอือมๆ ขณะที่มัศยานวดแป้งอย่างชำนาญ แอนนาทนไม่ไหว หันมาโวยวาย
“อ๊าย พอแล้ว ไม่ทอดแล้ว”
แอนนาทิ้งอุปกรณ์ลงพื้นด้วยความหงุดหงิด
“นี่จงใจกลั่นแกล้งฉันใช่มั้ย ถึงให้ฉันมาทอดข้าวเกรียบ”
มัศยามองแอนนางงๆ
“กลั่นแกล้งอะไรไม่ทราบ กติกาเขาก็มีอย่างนี้มาแต่แรก ต่อให้ไม่ใช่เธอคนอื่นก็ทำ”
“ไม่จริง นี่น่านไม่คิดจะปกป้องแอนบ้างเหรอคะ”
น่านฟ้าหลุดขำออกมาอย่างลืมตัว
“แล้วแอนจะให้ผมทำไง ในเมื่อแอนอยากท้าหยีเขาเองนี่”
“อ๋อ นี่ตกลงแอนเป็นฝ่ายผิดเองใช่มั้ย”
วิภาสวนขึ้นทันที
“ใช่ ผิดที่เธอไม่รู้กาลเทศะเอง แค่โดนน้ำมันกระเด็นใส่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเธอหรอก กลับไปเถอะแอนนา คนเขาจะได้ทำงานต่อ นี่รู้มั้ยว่าทุกคนเสียเวลามากับเธอกันแค่ไหนแล้ว”
สุกัญญาต่อว่า แอนนาสะอึก
“คุณแม่”
“ฉันมีลูกชายคนเดียวคือตาน่านจ้ะ”
แอนนาหน้าเจื่อนอีกรอบ
“ได้ แอนไปก็ได้ค่ะ”
แอนนาสะบัดหน้าพรืดเดินออกไป ชาวบ้านสะกิดแอนนาจะขอถ่ายรูป แต่แอนนาปัดออกด้วยความรำคาญ ทุกคนอึ้งกับพฤติกรรมของแอนนา ต๋องเห็นบรรยากาศไม่ดีก็รีบตัดบท
“เอ่อ ผู้ชนะของเราคือ เจ๊หยี ณ มีโชค คร้าบ”
มัศยาลิงโลดด้วยความดีใจ
เวลาต่อมา น่านฟ้าขนของมากองไว้ โดยช่วยกันกับมัศยา น่เขาหลุดขำออกมา มัศยาหันขวับมามองอย่างไม่พอใจ
“ขำอะไร คุณน่าน”
“ขำหยีน่ะสิ วันนี้หยีเหมือนเด็กเลยรู้ตัวมั้ย”
“เด็กยังไง”
“ก็สติขาดผึง กลายเป็นคนอยากเอาชนะถึงกับยอมไปเล่นเกมอะไรนั่นแข่งกับแอนนาน่ะสิฎ
“ช่วยไม่ได้ อยากมาท้าเอง”
“แต่เห็นแล้วก็น่ารักดีนะ”
“ไม่ต้องมาสอพลอ บอกไว้ก่อนนะว่า ฉันไม่ได้ว่างมาสู้รบกับกิ๊กของคุณทุกครั้ง อะไรที่มันถี่ไปฉันก็ไม่ทนเหมือนกัน”
น่านฟ้าหน้าเจื่อน
“จ้า กลัวแล้วจ้า แฟนหรือหมาเนี่ย ดุ๊ดุ”
มัศยาหันมาเหล่อีกรอบ น่านฟ้ารีบหยิบของขึ้นมาบังหน้าทันที
ตอนเย็น ปารณยกข้าวของมากองไว้ในบ้านป้ามะลิ ป้ามะลิเดินตามเข้ามา ปารณพักนั่งลงปาดเหงื่ออย่างเหน็ดเหนื่อย ป้ามะลิเดินไปรินน้ำมายื่นให้
“อ่ะ กินเข้าไป”
ปารณรีบยกมือไหว้ยิ้มๆ
“ขอบคุณครับป้า”
ปารณยกน้ำขึ้นดื่ม พลันเห็นป้ามะลิบิดตัวไปมาก็กุลีกุจอเอาใจ
“ป้าเมื่อยเหรอครับ เดี๋ยวผมนวดให้มั้ยครับ”
“ถ้าว่างนักก็มา”
ป้ามะลินั่งในท่าพร้อม ปารณรีบเข้าไปนวดไหล่ให้
“เออ ตรงนั้นหนักๆ หน่อย เอ๊อ สบายเว้ย”
นิรชาเดินเข้ามา เห็นเข้าก็ตกใจ
“ยาย ยายไปใช้คุณเป้เขาอย่างนั้นได้ไงจ๊ะ”
“เปล่านะนิ ฉันอาสานวดให้ป้าเขาเอง ตรงนี้สบายมั้ยครับ”
“เออใช้ได้ๆ นวดไปนะ กำลังเพลิน”
นิรชามองสองคนอย่างงงๆ
“แล้วเอ็งน่ะ มาทำไมป่านนี้”
“นิเห็นคุณเป้มาที่นี่เลยแวะเอาเอกสารมาให้เซ็นจ้ะ”
“เอาวางไว้ก่อนก็ได้ ฉันกำลังยุ่ง”
ปารณนวดเฟ้นป้ามะลิอย่างเอาอกเอาใจ
ตอนค่ำ นิรชาเจียวไข่ ขณะที่ปารณยืนอยู่ข้างๆ หน้าระรื่น
“แปลกจัง นี่ยายยอมรับคุณขนาดนี้แล้วเหรอ”
“อ้าว ก็บอกแล้วไงว่าฉันน่ะทำอะไรเต็มที่ เป็นไง ในที่สุดยายเธอก็ใจอ่อนจนได้”
“เชื่อแล้วว่าเก่งค่ะ”
นิรชาเจียวไข่เสร็จก็ตักไข่เจียวใส่จาน พอวางจานลงก็ตกใจที่มือโดนก้นจานแล้วร้อนมาก
“อุ๊ย”
ปารณรีบเข้ามาดูทันที
“เป็นไงมั่ง”
นิรชาเงยหน้า ปารณสบตานิรชาซึ้งๆ
“เธอนี่ยิ่งมองยิ่งน่ารัก รู้ตัวมั้ย”
นิรชาเขิน อายม้วน ปารณจับมือนิรชาขึ้นมาหอมอย่างชื่นใจ แต่แล้วป้ามะลิก็เดินเข้ามาพอดี
“ไอ้สันขวาน เอ็งลวนลามหลานข้าเรอะ”
ปารณหันมาเห็นป้ามะลิยืนเท้าเอวโมโหมาก
“เย้ย”
ป้ามะลิหันไปคว้าอีโต้ขึ้นมา
“เอ็ง ตาย”
ปารณรีบวิ่งแจ้นออกไป
“จะไปไหน แน่จริงก็กลับมาสิวะ”
ป้ามะลิยืนหอบ นิรชาเข้ามาหาป้ามะลิ ตกใจ
“ยายจ๋า ใจเย็นๆ สิจ๊ะ เป็นความผิดนิเอง นิขอโทษ ยายอย่าโกรธคุณปารณเลยนะ”
ป้ามะลิหันมาทำหน้ายักษ์ใส่นิรชา ก่อนจะหลุดขำออกมา นิรชางง
“อ้าว ยายขำอะไรจ๊ะ”
“ไม่บอก ปล่อยให้งง ฮ่าๆๆ”
ป้ามะลิหัวเราะร่าเดินเข้าบ้านไป
ค่ำๆ น่านฟ้ากำลังขับรถอยู่ โดยมีมัศยานั่งข้างๆ เขากุมมือมัศยาอย่างแสนรัก
“ทำไมเงียบจังวันนี้ ยังไม่หายงอนผมอีกเหรอที่รัก”
“เปล่า ฉันเหนื่อยน่ะ”
“โถๆๆ ยาหยีที่รักของน่าน สงสัยน่านคงใช้งานคุณหนักไป เดี๋ยวถึงบ้านจะนวดคลายเมื่อยให้นะจ๊ะ”
“บ้าเหรอ อายนะดีแย่สิ”
“งั้นเราไปนวดกันที่อื่นดีมั้ย”
น่านฟ้าหันมายิ้มหื่น มัศยาเอาศอกกระทุ้งเต็มแรง
“โอ๊ย พูดเล่นแค่นี้ต้องใช้กำลังกันด้วย”
ระหว่างนั้น ที่หน้ารถ มีชายคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซมาตัดหน้ารถ มัศยาร้องลั่น
“ระวัง”
น่านฟ้ารีบเบรกรถทันที ทั้งสองรีบเปิดประตูลงจากรถมาดู เห็นหน้าชายที่ยืนกุมท้อง ใบหน้าบวมช้ำ
“สินธุ”
น่านฟ้าเข้ามาประคองสินธุด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“หยี ช่วยผมด้วย”
น่านฟ้าและมัศยาตกใจมาก รีบพาสินธุมาที่โรงพยาบาล สินธุใส่ที่คล้องแขนและใบหน้าช้ำนั่งคุยอยู่กับทั้งสองคน
“ไหนบอกมาซิว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้เจ็บตัวมาขนาดนี้”
สินธุมองมัศยาอย่างรู้สึกผิด
“เอ่อ ผมบอกไม่ได้น่ะหยี”
“ทำไมถึงบอกไม่ได้ล่ะ นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลยนะ”
“นั่นสิ โดนมาขนาดนี้ผมว่าไปแจ้งความดีกว่า”
สินธุลนลานห้ามทันที
“อย่านะครับคุณน่าน คือว่า ผมไม่รู้จะเล่ายังไงดี”
“ก็เล่าความจริงมาสิว่ามันเรื่องอะไรกัน ถึงได้โดนทำร้ายหนักขนาดนี้”
“คนที่ทำร้ายผมคือคนรับจ้างทวงหนี้”
มัศยาและน่านฟ้าชะงัก
“นี่สินธุไปเป็นหนี้ใครมาอีกเหรอ”
“คือว่า เงินที่สินธุคืนหยีไปน่ะ ความจริงสินธุไปยืนเขามา แต่ตอนนี้ยังไม่มีคืนก็เลยโดนทำร้ายอย่างที่เห็นนี่แหละ”
มัศยาถอนหายใจ
“แล้วทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย หยีก็ไม่ได้คิดจะทวงซะหน่อย”
“ก็สินธุไม่อยากให้หยีโกรธนี่ เลยทำแบบนี้”
“งั้นเอาไปคืนเขาซะ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้อีก”
“อย่าเลยหยี เรื่องแค่นี้ผมจัดการเองได้”
น่านฟ้าสวนขึ้น
“แน่ใจเหรอว่าจัดการเองได้ ไม่ใช่อยู่ๆ โดนฆ่าหมกป่านะ”
“ครับ ไม่ต้องห่วงหรอก แค่อุตส่าห์พาผมมาโรงพยาบาลแค่นี้ก็ถือว่าช่วยผมมากแล้วครับ”
มัศยาถอนใจด้วยความเป็นห่วง สินธุแอบยิ้มเจ้าเล่ห์
จบตอนที่ 13