xs
xsm
sm
md
lg

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 12

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 12

ปารณคุยโทรศัพท์ท่าทางแปลกใจ
 
“เอ ไม่เห็นเจ้าน่านแวะมาเลยนะครับ เจ๊ เอ๊ย คุณหยีลองโทรไปที่บ้านยังครับ งั้นคงต้องรอดูก่อนละมั้งครับ ถ้ามันรู้ว่ามันต้องไป เดี๋ยวมันก็ไปเองแหละ ครับ ยินดีครับ”
ปารณวางสายแปลกใจ
“อะไรของมัน”
ปารณเงยหน้าขึ้นมาเห็นสุกิจยืนอยู่ก็ชะงักทันที
“คุณสุกิจ”
ทั้งสองนั่งคุยกัน สุกิจวางเช็คไว้ตรงหน้าปารณ
“นี่เงินเก็บผม 5 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ ผมนัดคุยกับธนาคารไว้แล้ว คิดว่าคงหามาได้เร็วๆ นี้”
ปารณมองเช็คบนโต๊ะ กับสีหน้าร้อนใจของสุกิจก็ชักเห็นใจ
“ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ”
“ว่ามาสิ”
“ในเมื่อคุณสุกิจก็เป็นผู้บริหารระดับสูงที่มีโชค ทำไมถึงอยากจะเร่งเปิดโรงงานข้าวเกรียบโอกิมิด้วยครับ”
“คนเราอายุขนาดนี้แล้ว มันก็ต้องอยากเติบโตด้วยตัวเองทั้งนั้นแหละ จะให้หลบใต้กระโปรงพี่สาวตลอดไปได้ยังไง”
“แม้ว่าจะเป็นคู่แข่งของพี่สาวตัวเองงั้นเหรอครับ”
“ใครบอกว่าเป็นคู่แข่งพี่สาวตัวเอง แต่เป็นคู่แข่งไอ้น่านฟ้า ไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่นต่างหาก สำหรับผม เสียอะไรก็ได้ แต่ผมจะไม่ยอมแพ้มันเด็ดขาด”
“ครับ ผมพอเข้าใจแล้วล่ะ”
“บอกมาซิว่า ได้เงินมาแล้วผมต้องทำอะไรบ้าง ที่จะทำให้โอกิมิเปิดได้เร็วที่สุด”
สุกิจจริงจังมาก

ทุกคนในบ้านวิภายืนเครียดกันหมด ขณะที่คอลัมนิสต์เดินเข้ามาหาวิภาด้วยความร้อนใจ
“ถ้ายังติดต่อคุณน่านฟ้าไม่ได้อย่างนี้ สงสัยวันนี้คงต้องยกเลิกไปก่อนค่ะ”
วิภาได้ยินก็ร้อนใจ
“รออีกนิดไม่ได้เหรอคะ ตาน่านเขารู้ว่าเขาต้องมาให้สัมภาษณ์ เขาไม่เบี้ยวหรอกค่ะ”
“แต่เกรงว่าจะไม่ทันน่ะสิคะ”
มัศยาทนไม่ไหว หันมาบอกวิภา
“เดี๋ยวดิฉันจะลองหาทางตามคุณน่านอีกทีค่ะ”
มัศยาหันหลังกลับไป แต่แล้ว น่านฟ้าก็เดินเข้ามาโดยที่มีแอนนาควงแขนมาด้วย
“ไม่ต้องตามแล้ว ผมอยู่นี่แล้วครับ”
มัศยาเห็นแอนนายิ้มเยาะเย้ยนิดๆ ก็จ๋อยไป

มัศยาเดินออกมาหน้าประตูบ้านวิภา ต๋องรีบวิ่งตามมา
“เจ๊ๆๆ จะรีบไปไหนอ่ะ”
มัศยาหันมา อึกอักหาคำปฏิเสธ
“กลับออฟฟิศสิ งานกองท่วมหัว มาอยู่นี่ก็ไม่ได้ทำอะไร จะมานั่งอยู่ทำไมให้เสียเวลาล่ะ”
“อ้าว แล้วเจ๊จะไม่ดูคุณน่านให้สัมภาษณ์ก่อนเหรอ”
“ไม่ล่ะ ขี้เกียจ”
“หรือว่าไม่อยากทนเห็นภาพบาดตาบาดใจ”
มัศยาหน้าเจื่อน
“ภาพบาดตาบาดใจอะไรของแก”
“เอ๊า ก็คุณน่านควงนางแบบมาซะขนาดนั้น เจ๊ไม่หึงบ้างเหรอ”
มัศยาดึงคอเสื้อต๋อง เงื้อหมัดเอาเรื่อง
“พูดให้มันดีๆ นะไอ้ต๋อง ใครหึงใคร”
ต๋องหวาดเสียว กลัวตายมาก
“ใจเย็นๆ สิเจ๊ ต๋องขอโทษ ต๋องปากหมาไปหน่อย”
มัศยาปล่อยมือจากคอเสื้อต๋อง หันหลังเดินออกไป
“ตกลงจะไปจริงๆ เหรอเจ๊ เจ๊”
ต๋องส่ายหน้าเซ็งๆ

น่านฟ้านั่งอยู่บนโซฟาโดยมีวิภาและสุกัญญานั่งประกบอยู่ ช่างภาพกำลังถ่ายภาพ แอนนายืนมองอย่างปลาบปลื้ม ต๋องเองก็ยิ้มร่าด้วยความยินดีไปด้วย
เวลาผ่านไป ทีมงานทยอยยกข้าวของออกไป น่านฟ้า วิภา สุกัญญา แอนนา และต๋อง นั่งดื่มชาและขนมของว่างร่วมกับคอลัมนิสต์
“ต้องขอบคุณคุณวิภา คุณน่านฟ้า และคุณสุกัญญามากเลยนะคะ ที่ให้เกียรติหนังสือของเราได้มาสัมภาษณ์”
“ยินดีเลยค่ะ ถ้ามีอะไรให้ดิฉันช่วยอีกก็บอกได้นะคะ ดิฉันยินดี”
“ถ้าจะรบกวนคงขอเป็นข้าวเกรียบมีโชคสักลังสองลังได้มั้ยคะ รู้มั้ยคะว่าหาซื้อยากมาก”
วิภาหัวเราะชอบใจ
“ได้เลยค่ะ ต๋อง เดี๋ยวจัดการด้วยนะ”
“ได้ครับคุณท่าน”
น่านฟ้าชะเง้อมองหามัศยาอย่างกังวล แอนนาหันมาถาม
“มองหาใครเหรอคะน่าน”
น่านฟ้าชะงัก
“เปล่าครับ”
คอลัมนิสต์ได้ทีรีบแซว
“เพิ่งรู้นะคะเนี่ยว่าน้องแอนนาเป็นแฟนคุณน่านฟ้า เห็นใครๆ ก็เม้าท์กันว่า เป็นแฟนคนนั้นคนนี้ ที่แท้ตัวจริงอยู่นี่เอง”
สุกัญญาหันไปมองวิภา วิภาชักสีหน้าไม่ค่อยพอใจ แอนนายิ้มรับหน้าตาเฉยๆ
“ก็กำลังดูๆ กันอยู่ค่ะ จริงๆ ตอนนี้ยังเป็นเพื่อนกันค่ะ”
“แหม ดาราคนไหนก็ตอบแบบนี้ทั้งนั้นแหละค่ะ”
สุกัญญาเห็นวิภาออกอาการไม่สบอารมณ์ก็รีบตัดบท
“เติมชาอีกมั้ยคะ จะหมดแก้วแล้วนี่คะ”
“ขอบคุณค่ะ”

น่านฟ้ายังคงแอบชะเง้อมองหามัศยาอยู่

มัศยานั่งพิมพ์งานอยู่ แต่หงุดหงิดที่คีบอร์ดไม่ได้ดั่งใจ ก็เคาะย้ำๆ ด้วยความโมโห ภูริชอยู่ใกล้ๆ เดินเข้ามาถามด้วยความแปลกใจ
 
“เป็นอะไรเหรอมัศยา”
มัศยาชะงักหันมากลบเกลื่อน
“เปล่าค่ะ คีบอร์ดมันไม่ค่อยดีน่ะค่ะ”
“แล้วนี่ได้ยินว่าวันนี้ท่านประธานมีให้สัมภาษณ์ลงหนังสือไม่ใช่เหรอ นึกว่าเธอจะไปกับเขาซะอีก”
“ไม่ไปค่ะ ดิฉันห่วงงานทางนี้มากกว่า อีกอย่างตอนนี้ดิฉันก็ไม่ได้เป็นผู้ช่วยท่านประธานแล้วด้วย”
“ถึงว่า เธอถึงได้กลับมานั่งโต๊ะเดิม ทำไมล่ะ ควบสองตำแหน่งไม่ดีรึไง”
“ดิฉันไม่ถนัดค่ะ อีกอย่างตอนนี้ดิฉันก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับท่านประธานแล้วด้วย เลยกลับมาทำการตลาดเหมือนเดิมดีกว่า”
ภูริชมองมัศยายิ้มๆ นึกอะไรขึ้นมาได้ เขารีบไปหาสุกิจที่ห้องทำงาน เล่าเรื่องที่คุยกับมัศยาให้ฟัง
“แสดงว่าสองคนนั่นต้องมีปัญหากันแน่ๆ ปกติฉันเห็นมัศยาเทิดทูนพี่วิภากับไอ้น่านยิ่งกว่าอะไรดี”
“ผมก็คิดอย่างคุณสุกิจครับ ความจริง ถ้าคุณสุกิจดึงมัศยามาช่วยงานโอกิมิได้ก็น่าจะดีนะครับ เพราะเรื่องการตลาด มัศยาทำงานได้ดี แถมยังเป็นคนตั้งใจทำงานดีด้วย”
“ก็น่าสนใจนะ ถึงตอนนี้จะมีนายปารณช่วยเราอยู่ แต่ต่อไปถ้าโรงงานเปิดเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ยังไงเราก็ต้องยืนด้วยขาตัวเอง”
“งั้นผมจะลองเลียบๆ เคียงๆ กับมัศยาดูนะครับ”
“อย่ากระโตกกระตากไปล่ะ ฉันยังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องโอกิมิ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะระวังคำพูดที่สุดครับ”
สุกิจยิ้มพอใจ

น่านฟ้าเดินเข้ามาในบ้าน เห็นวิภาและสุกัญญานั่งคุยกันอยู่
“ไปส่งแม่นั่นมาแล้วเหรอ”
“ครับแม่ใหญ่”
“นี่ฉันตั้งใจจะมาด่าแกเลยนะ นึกยังไง ฮะ ถึงได้ควงยัยนั่นมาเปิดตัวที่บ้านฉัน รู้ก็รู้ว่าฉันไม่ชอบ”
“แอนเขาเป็นเพื่อนผมนะครับแม่ใหญ่”
“เพื่อนเหรอ นี่แกแกล้งโง่ หรือแกโง่จริงกันแน่ ถึงดูไม่ออกว่ามันจ้องจะกินแกจะแย่อยู่แล้ว แหม ดูสายตาท่าทาง เก็บอาการไม่อยู่เลยนะ”
วิภาหยิบถ้วยกาแฟขึ้นซด หมั่นไส้มาก
“ก็เมื่อคืนผมอยู่กับเขานี่ครับ เช้ามาก็เลยชวนเขามาด้วย”
วิภาสำลักพรวดออกมาทันที
“ว่าไงนะ เมื่อคืนแกไปนอนค้างกับมันมาเหรอ”
“ครับ ผมก็ทำแบบนี้อยู่บ่อยๆ นี่ครับแม่ใหญ่”
วิภาเอามือทาบอกจะเป็นลม สุกัญญาหันมาดูวิภาด้วยความเป็นห่วง
“พี่วิภาเป็นไงบ้างคะ”
“ด่ามันให้ฉันที สุกัญญา”
สุกัญญาถอนหายใจ
“ทำไมทำตัวเหลวไหลอย่างนี้ ฮะ”
“โถ่ แม่ครับ นี่มันยุคเจเนอร์เรชั่นไหนแล้วครับ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย”
“แปลกตรงที่แม่รับผู้หญิงคนนี้ไม่ได้”
“ฉันด้วย ฉันอุตส่าห์สนับสนุนให้แกเป็นแฟนมัศยา ทำไมแกไม่รู้จักคว้าไว้ ทีคนดีๆ ล่ะไม่สนใจ ไปคว้าหมัดหมาที่ไหนมาก็ไม่รู้”
น่านฟ้าออกอาการไม่พอใจ
“แล้วแม่ใหญ่ได้ถามเจ๊แกรึเปล่าครับ ว่าเขาเห็นดีเห็นงามด้วยรึเปล่า รู้มั้ยครับว่าเขากลับไปคืนดีกับแฟนเขาแล้ว เขาสนใจผมที่ไหน”
วิภาและสุกัญญาชะงักทันที
“ว่าไงนะ”

ตอนค่ำ มัศยาลงจากรถ หยิบข้าวของออกมา พอปิดประตู ก็ได้ยินเสียงสมใจโวยวายดังขึ้น
“ไปเลยนะ กลับไปเลย บ้านนี้ไม่ต้อนรับเธออีกแล้ว”
มัศยาเห็นสมใจกำลังไล่สินธุ โดยมีนทีคอยห้าม
“ใจเย็นๆ สิแม่ คุยกันดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องไล่กันขนาดนี้เลย”
“แกนั่นแหละหุบปากเลยไอ้นที เดี๋ยวฉันจะเล่นงานแกอีกคน”
มัศยารีบเข้ามาไกล่เกลี่ย
“มีอะไรเหรอแม่”
สินธุเห็นมัศยาก็ดีใจรีบเข้ามาหลบหลังมัศยาทันที
“หยี ช่วยผมด้วย”
สมใจมองมัสยาและสินธุงงๆ มัศยานั่งไกล่เกลี่ยให้สมใจฟัง
“หยีอภัยให้สินธุแล้วล่ะแม่”
“อ้าว ทั้งที่มันหลอกเอาเงินแกไปตั้งเยอะเนี่ยนะ”
“สินธุเขาคืนหยีมาแล้ว ตอนนี้เขากลับมาขอเป็นเพื่อนหยีอีกครั้ง หยีก็เลยให้โอกาสเขา”
นทีตบบ่าสินธุเอาใจช่วย
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะไอ้น้องชาย ได้เงินมาแล้ว งั้นฉันยืมต่อนะ”
สมใจดึงหูนทีทันที
“นี่แน่ะๆๆๆ”
“โอ๊ย เจ็บนะแม่”
“ก็ฉันอยากให้แกเจ็บ หนอย ไม่เคยช่วยเหลือที่บ้านยังมีหน้าจะยืมเงินน้องมันอีก”
สินธุได้ทีรีบประจบสมใจ
“ตอนนี้ผมเป็นคนใหม่แล้วครับ ผมอยากทำให้หยีเห็นว่าผมพร้อมจะปรับปรุงตัว ไม่ว่าหยีจะคบผมในสถานะไหนก็ตาม”
สมใจมองสินธุอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“แน่ใจเหรอว่าทำได้”
“แม่รอดูก็ได้ครับ ผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นเอง ขอแค่ให้โอกาสผมก็พอ”

สมใจชั่งใจ

ตอนเช้า น่านฟ้ามาหาปารณที่บริษัท คุยกันเครียดๆ
 
“แกคิดว่า โอกิมิมีโอกาสจะเกิดขึ้นได้จริงๆ มั้ยวะเป้”
ปารณส่ายหน้าอย่างรู้อนาคต
“อาสุกิจแกมีเงินอยู่แค่นั้น มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ แต่ฉันไม่รู้จะบอกยังไง ก็เลยปล่อยให้เขาฝันลมๆ แล้งๆ ไปก่อน ดีเหมือนกันจะได้ล้างแค้นที่ทำกับแกด้วย”
“แต่จะว่าไป เขาก็น่าสงสารนะเว้ย คนที่ทะเยอทะยานแทบตาย แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่กลับคว้าได้แต่อากาศ”
“ก็เขาไม่ประมาณตัวเองนี่หว่า อีกอย่างถ้าตั้งใจทำงานให้มีโชคแต่แรก ป่านนี้แม่ใหญ่แกอาจจะแบ่งหุ้นให้มากกว่านี้ หรือไม่ก็แตกไลน์ผลิตขยายโรงงานให้บริหารเองก็ได้ นี่อะไร จ้องแต่จะทำลายบริษัทพี่เขยตัวเอง”
“แล้วแกคิดว่า มีทางไหนที่เขาจะทำได้บ้างวะ”
“มันก็พอมีแหละ ถ้าฉันไปคุยกับแบงค์ให้”
“งั้นแกทำได้มั้ยวะเป้”
“แกพูดอะไรของแกวะไอ้น่าน แกรู้ตัวรึเปล่าว่าแกกำลังจะให้ฉันช่วยเหลือศัตรูแกนะเว้ย”
“ก็เพราะฉันมองเขาเป็นศัตรูของมีโชคไง ฉันถึงอยากจะช่วยให้เขามีโรงงานของตัวเอง แทนที่จะมาคอยทำลายมีโชค”
“แกคิดดีแล้วเหรอวะน่าน”
“ก็ขอให้ฉันคิดไม่ผิดก็แล้วกัน”
น่านฟ้าพูดไปทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่มั่นใจเท่าไรนัก

สุกิจมาหาปารณที่บริษัท ยิ้มดีใจ ขณะคุยกับปารณ
“ว่าไงนะ ตกลงผ่านแล้วเหรอ”
“ครับ ผมร่างแผนธุรกิจไปคุยกับทางแบงค์ เขาตกลงอนุมัติเงินกู้ให้คุณสุกิจทั้งหมดแล้วครับ”
สุกิจจับไหล่ปารณดีใจมาก
“ขอบใจมากนะ ที่ช่วยผม”
“ความจริงต้องขอบคุณมิสเตอร์คินหุ้นส่วนผม ที่คอนเน็คชั่นเขาช่วยให้งานนี้ผ่านได้”
สุกิจชะงักแปลกใจ
“แล้วเขาอยู่ไหนล่ะ ผมจะได้ขอบคุณเขาด้วยตัวเอง”
“ช่วงนี้เขาไม่อยู่ครับ ให้ผมดูแลบริษัทแทน แล้วนี่ถ้าต้องเริ่มโอกิมิแล้ว กับบริษัทมีโชคคุณสุกิจจะว่ายังไงครับ”
สุกิจชะงักครุ่นคิด

ภูริชออกอาการตื่นเต้นไปกับสุกิจด้วย เมื่อรู้เรื่องที่ธนาคารอนุมัติเงินกู้ให้
“งั้นเรื่องที่จะให้ผมดูดพนักงานที่นี่ไปที่โรงงานใหม่ของคุณสุกิจ ก็ดำเนินการได้เลย ใช่มั้ยครับ”
“ใช่ แต่นายอย่าเพิ่งเอะอะไปนะ ทำเงียบๆ อย่าให้พี่วิภารู้ โรงงานเรายังไม่เริ่ม แล้วฉันก็ยังไม่รู้ว่ามันจะเวิร์คแค่ไหน ฉันยังอยากควบเก้าอี้ตำแหน่งของที่มีโชคไว้อยู่”
ภูริชชะงักแปลกใจ
“อ้าว แล้วผมล่ะครับ”
“นายต้องไปช่วยฉันดูแลโรงงาน ฉันจะแต่งตั้งให้นายเป็นซีอีโอบริษัท”
ภูริชได้ยินก็ตื่นเต้นมาก
“ขอบคุณมากครับคุณสุกิจที่ไว้ใจผม แล้วไม่คิดจะแบ่งหุ้นให้ผมบ้างเหรอครับ ในฐานะที่ผมร่วมก่อตั้งโรงงานมากับคุณสุกิจ”
สุกิจมองภูริชอย่างไม่ค่อยพอใจ
“นายน่ะเหรอจะเป็นหุ้นส่วนโรงงานฉัน ฝันเกินไปรึเปล่า”
ภูริชไม่พอใจ แต่แกล้งทำเป็นยิ้มๆ
“ผมล้อเล่นน่ะครับ แค่ได้ตำแหน่งใหญ่ในบริษัทผมก็ดีใจแล้วครับ ดีกว่าย่ำอยู่กับที่อย่างที่มีโชคนี่”
“ดีแล้ว งั้นอย่าลืมที่ฉันสั่งล่ะ รีบจัดการให้เรียบร้อย พร้อมเมื่อไหร่ฉันจะเปิดโรงงานทันที”
สุกิจยิ้มมีความสุขมาก ขณะที่ภูริชแอบมองอย่างไม่พอใจ

มัศยานั่งทำงานอยู่ ต๋องเดินเข้ามาพร้อมช่อดอกไม้ช่อหนึ่ง ยื่นให้
“อ่ะนี่ ของเจ๊คร้าบ”
มัศยาชะงักแปลกใจ ขณะเดียวกัน น่านฟ้าเดินมาใกล้ๆ โต๊ะทำงานของมัศยา แล้วหันไปคุยกับพนักงานคนหนึ่ง
“แผนงานจัดอีเวนท์ที่ผมสั่งอยู่ไหนเหรอ”
“อยู่ที่พี่หยีค่ะ นั่นไงคะ พี่หยีอยู่พอดี”
น่านฟ้าหันไปเห็นมัศยาคุยกับต๋อง โดยที่บนโต๊ะมีช่อดอกไม้ด้วยก็สนใจ เดินเข้ามาแอบฟังมัศยากับต๋องคุยกัน
“แหมๆๆ เดี๋ยวนี้สวยขึ้นผิดกันยังกับคนละคนเลยนะเจ๊ ถึงว่ามีหนุ่มส่งช่อดอกไม้มาให้ตลอด ตลอด”
มัศยาหันมามองต๋องเหล่ๆ
“ทำไม ฮะ ฉันจะสวยแล้วมันทำไส้ติ่งแกอักเสบรึไง
“ต๋องก็แค่แซวเล่นน่า เจ๊สวยอย่างนี้แหละดีแล้ว ใครเห็นก็สดชื่น ขนาดต๋องยังเผลอมองตั้งหลายทีแน่ะ”
“ย่ะ มองแล้วช่วยพูดจาให้มันดีด้วยนะ ไม่งั้นแม่ตบปากฉีกจริงๆ ด้วย”
ต๋องรีบเอามือปิดปากตัวเอง
“แล้วนี่ ตกลงเจ๊จะบอกได้ยังว่าช่อดอกไม้นี่ท่านได้แต่ใดมา”
มัศยาอ้าปากจะตอบแต่หันไปเห็นน่านฟ้ายื่นหูเข้ามาสนใจฟัง เธอหันไปมองเหล่ๆ น่านฟ้าแกล้งวางฟอร์มขึ้นมาทันที ต๋องมองนานฟ้างงๆ
“คุณน่านมีธุระอะไรกับเจ๊หยีเหรอครับ”
น่านฟ้าวางท่าทำเป็นเอาการเอางาน
“ผมอยากได้แผนงานจัดอีเวนท์ พอดีเห็นว่าอยู่ที่เจ๊ใช่มั้ย”
“ค่ะ ได้รายละเอียดครบแล้วเดี๋ยวฉันเอาไปให้ที่โต๊ะค่ะ”
“ขอบคุณ”
น่านฟ้าเดินออกไป แอบเซ็ง

“เชื่อป่ะเจ๊ งานน่ะแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือน่ะ อยากรู้เรื่องเจ๊ชัดๆ”

น่านฟ้าเดินหงุดหงิดเข้ามาในห้องทำงาน แอนนาหันมาทักทาย
 
“ไปไหนมาคะน่าน”
น่านฟ้าเห็นแอนนาก็ชะงัก
“แอนมาเมื่อไหร่ ทำไมไม่โทรหาผมก่อนล่ะ”
“แอนผ่านมาทางนี้ค่ะ เข้ามาเห็นรถน่านจอดอยู่เลยแวะมาทักทาย”
“แอนมาก็ดีเหมือนกัน งั้นออกไปข้างนอกกับผมหน่อยสิ”
แอนนางง

มัศยานั่งทำงานที่โต๊ะ น่านฟ้าเดินโอบแอนนาผ่านมา กระหนุงหระหนิง
“เย็นนี้แอนอยากทานอะไรครับ เดี๋ยวน่านพาไป น่านตั้งใจแล้วว่าจะตามใจแอนทุกอย่างเลย”
มัศยามองเหล่ๆ แอบหมั่นไส้ เลยรีบพับแฟ้มเตรียมเก็บของ ต๋องเดินเข้ามาทัก
“อ้าว จะกลับแล้วเหรอเจ๊”
“ใช่ หมดเวลาทำงานแล้วนี่”
น่านฟ้าแกล้งทำเป็นหันไปคุยด้วย
“กลับบ้านไปพักผ่อนก็ดีแล้วเจ๊ แต่ผมคงจะไปสนุกกับแอนเขาต่อ”
“ขอโทษนะคะ ฉันถามคุณตอนไหนเหรอ”
น่านฟ้าหน้าเจื่อนนิดๆ แอนนาโต้กลับ
“น่านเขาพูดตามประสาคนมีมารยาทค่ะ”
“ฉันก็เบรกตามประสาคนที่เคยทำแบบนี้มาตลอดค่ะ”
แอนนาสะอึก มองมัศยาอย่างไม่พอใจ
“งั้นต่อไปก็ควรจะเลิกทำนะคะ เพราะนี่คือประธานบริษัท ส่วนคุณมันแค่ลูกจ้าง”
น่านฟ้าหน้าเสีย เริ่มไม่สนุกแล้ว
“เอ่อ ไปกันดีกว่าแอน ผมหิวแล้วล่ะ”
น่านฟ้ารีบดึงแขนแอนนาออกไป ต๋องเข้ามาหามัศยาช่วยไกล่เกลี่ย
“เอ่อเจ๊”
“หุบปากไปเลยต๋อง ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้ ฉันจะกลับบ้าน”
มัศยาคว้ากระเป๋าถือสะบัดพรืดเฉียดหน้าต๋อง แล้วเดินออกไปทันที

น่านฟ้าเดินออกมากับแอนนา หันไปคุยกัน
“จะเอารถผมหรือรถคุณไปดี”
“รถแอนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวแอนกลับมาส่งคุณเอง”
น่านฟ้าพยักหน้ารับ แต่แล้วก็มาสะดุดที่สินธุซึ่งยืนอยู่ มัศยาเดินออกมาเจอสินธุเข้าพอดี
“หยี ผมมาชวนคุณไปทานข้าวเย็นน่ะ”
มัศยาได้ทีแอบยิ้มสะใจ พูดกับสินธุเสียงอ่อนเสียงหวาน
“เหรอคะสินธุ ดีเหมือนกัน หยีกำลังหิวข้าวพอดีเลย”
น่านฟ้ามองคู่นั้นอย่างไม่สบอารมณ์
“เคยเห็นแต่เคี้ยวหมากมาตลอด เคี้ยวข้าวเป็นด้วยเหรอเจ๊”
“ทีคุณล่ะ เคยเห็นแต่กินหญ้าอ่อน เดี๋ยวนี้ยังกินโคแก่เลย”
แอนนาสะอึก เอาเรื่องมัศยาทันที
“เธอว่าใคร ฮะ ยัยมนุษย์ป้า”
สินธุได้ยินก็ไม่พอใจ สวนกลับแอนนาทันที
“แล้วเธอล่ะว่าใครมนุษย์ป้า ฮะ ยัยผีเสียบไม้”
มัศยาหลุดขำพรวดออกมาทันที แอนนาหน้าเจื่อน
“นี่นายเป็นใคร กล้าดียังไงมาเรียกฉันแบบนี้”
“ช่วยไม่ได้ อยากมาว่าหยีก่อนทำไมล่ะ”
แอนนาจ้องหน้าสินธุแทบจะกินเลือดกินเนื้อ มัศยารีบตัดบท
“เราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่าสินธุ อย่าเสียเวลาเลย”
สินธุสีหน้าอ่อนลง หันมายิ้มให้มัศยา
“ไปสิครับ”
มัศยาเดินออกไปกัยสินธุ น่านฟ้าและแอนนามองตามไม่พอใจมาก

มัศยาและสินธุนั่งอยู่ด้วยกันในร้านอาหาร สินธุทำท่าทางหงุดหงิดมาก
“นี่ถ้าหยีไม่ชวนมาก่อน สินธุว่าคงได้ตบปากยัยนางแบบนั่นแน่ๆ”
“เป็นผู้ชายจะไปทำร้ายผู้หญิงแบบนั้นได้ไง”
สินธุสะอึก รีบแก้ตัวทันที
“ก็ยัยนั่นปากไม่ดีกับหยีก่อนทำไม มาเรียกหยีว่ามนุษย์ป้า ดูซิ เหมือนตรงไหน สินธุว่าเดี๋ยวนี้หยีสวยกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ”
มัศยาเขินนิดๆ
“สินธุคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”
“จริงสิ ผมว่าหยีเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ สวย น่ารัก แล้วก็ดูเด็กลงอีกต่างหาก”
มัศยายิ่งยิ้มพอใจ
“แล้วสินธุว่าคนอื่นจะมองแบบสินธุมั้ย”
“แหงล่ะ ไม่งั้นผมจะมาหาหยีที่ทำงานทำไม เพราะผมกลัวคนอื่นมาสนใจหยีนี่แหละ แต่นี่ยังวางใจได้อย่าง ว่าไอ้ประธานนั่นมันมีแฟนแล้ว ไม่งั้นสินธุคงหึงแน่ๆ”
มัศยาขมวดคิ้วไม่พอใจ
“ไหนว่ากลับมาคราวนี้เพราะขอโอกาสเป็นเพื่อนไง”
สินธุหน้าเจื่อนรีบแก้ตัว
“โอเคๆ ผมลืมตัว ขอโทษนะ หยีอย่าโกรธผมนะ”
มัศยาพยักหน้า
“เดี๋ยวหยีขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
“ครับ”
มัศยาลุกออกไป สักพักโทรศัพท์มือถือสินธุดังขึ้น เขามองหน้าจอก็กวาดสายตามองรอบๆ อย่างระแวดระวังแล้วรับสาย
“ฮัลโหล เออ รู้แล้วน่า ฉันกำลังหาเงิน แต่ขอเวลาหน่อย แฟนเก่าฉันหลอกง่ายจะตาย เดี๋ยวจะคืนทั้งต้นทั้งดอกนั่นแหละ”
สินธุวางสาย สีหน้าเปลี่ยนเป็นร้ายกาจขึ้นมาทันที

น่านฟ้าพาแอนนากลับมาที่คอนโด แอนนายกจานข้าวไข่เจียวมาวางตรงหน้าน่านฟ้าอย่างเซ็งๆ
“ทำไมน่านเปลี่ยนใจกลับมากินข้าวไข่เจียวล่ะคะ แอนนึกว่าคุณจะพาไปหาร้านสวยๆ บรรยากาศดีทานข้าวกันซะอีก”
“บางทีผมก็เบื่ออะไรที่ประดิดประดอยมากๆ น่ะแอน แค่ได้ข้าวสวยร้อนๆ กับไข่เจียวผมก็พอใจแล้ว”
“ค่ะ ถ้าน่านชอบแอนก็ชอบ แอนตามใจน่านอยู่แล้วล่ะค่ะ”
“เอ่อแอน ผมอยากได้เครื่องดื่มหวานๆ เย็นๆ ทำให้ผมสักแก้วได้มั้ย”
“ได้สิคะ”

แอนนาลุกไปเข้าครัว น่านฟ้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ชื่อ “เจ๊หยี”

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 12 (ต่อ)

เสียงโทรศัพท์มือถือมัศยาดังขึ้นขณะล้างมือในห้องน้ำร้านอาหาร มัศยาเห็นชื่อน่านฟ้าโทรมาก็แปลกใจ
 
“ฮัลโหล”
น่านฟ้าโวยวายเสียงหลง
“คิดยังไงเหรอเจ๊ ถึงได้กลับไปคืนดีกับไอ้เห็บหมาจอมดูดนั่น ลืมไปแล้วเหรอว่ามันเคยทำยังไงกับเจ๊บ้าง”
มัศยาแสยะยิ้มพอใจ
“ฉันจะคบใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ ฮะ คุณน่าน ทีคุณยังคบยัยนางแบบขายาวนั่นเลย ทั้งที่คุณท่านก็ห้ามแล้วห้ามอีก ทีเรื่องของฉันจะมายุ่งทำไม”
น่านฟ้าฉุนกึกขึ้นมาทันที
“มันเหมือนกันที่ไหน ผมเป็นผู้ชายผมทำอะไรก็ไม่เสียหาย แต่เจ๊น่ะเป็นผู้หญิง แถมสวยอีกต่างหาก”
มัศยาแอบหัวเราะสะใจมาก
“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ ฉันไม่ได้ยิน”
น่านฟ้าโพล่งกลับไปทันที
“ผมบอกว่าเจ๊น่ะเป็นผู้หญิงสวย จะคบใครก็หัดเลือกหน่อยได้มั้ย ไม่รู้แหละ ผมไม่อนุญาตให้เจ๊กลับไปคืนดีกับไอ้หมอนั่น”
“คุณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉันไม่ทราบ”
“ก็ผมเป็นเจ้านายเจ๊ เป็นคนที่อยู่เคียงข้างเจ๊มาตลอด แล้วผมก็จะไม่ยอมเสียเจ๊ไปให้ไอ้บ้านั่นด้วย”
มัศยาอึ้ง นึกไม่ถึงว่าน่านฟ้าจะพูดขนาดนี้
“คุณพูดอะไรของคุณ ฉันไม่เข้าใจ”
น่านฟ้าโมโหเดือด
“ทีงี้ล่ะฉลาดน้อยขึ้นมาเลยนะ เอาเป็นว่าถ้าเจ๊ยังอยู่กับหมอนั่น ผมขอสั่งให้เจ๊กลับบ้านเดี๋ยวนี้ แล้วผมจะไปหา มีอะไรค่อยคุยกัน แค่นี้นะ”
น่านฟ้าวางสายทันที โดยไม่ทันสังเกตว่า แอนนาแอบยืนอยู่ พอน่านฟ้าเดินเข้าไป แอนนาก็แกล้งทำยิ้มร่าถือแก้วเครื่องดื่มเดินไปหาน่านฟ้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

มัศยาเดินเข้ามาหาสินธุอย่างเริงร่าอารมณ์ดีมาก
“หายไปนานจังหยี ผมเป็นห่วงนึกว่าเป็นลมในห้องน้ำแล้วซะอีก”
“หยีแข็งแรงดี ไม่เป็นลมง่ายๆ หรอก แต่ว่าตอนนี้อยากกลับแล้วล่ะ รับปากนะดีว่าจะกลับไปสอนการบ้าน เรารีบไปกันเถอะ”
“ไปสิครับ”
สินธุหันไปเรียกบริกรทันที
“เก็บเงินด้วยครับ”
มัศยายิ้มน้อยยิ้มใหญ่แอบปลื้มกับสิ่งที่น่านฟ้าพูด

มัศยาเดินเข้ามาในบ้าน อารมณ์ดี เห็นนะดีนั่งทำการบ้านอยู่ก็เข้าไปกอดไปหอม
“ไงคะคนเก่ง ทำการบ้านอยู่เหรอคะ”
“ทำใกล้เสร็จแล้วค่ะ ทำไมวันนี้แม่หยีกลับดึกจัง”
“แม่หยีไปกินข้าวกับอาสินธุมาน่ะลูก”
สมใจได้ยินก็ชักสีหน้าทันที
“ตกลงนี่ยังไง ฮะ เป็นเพื่อนหรือกลับไปเป็นแฟนกันแน่”
“เพื่อนสิแม่ หยีรู้น่าว่าควรวางตัวยังไง”
“ให้มันจริงนะ บอกตามตรงแม่ยังไม่ไว้ใจนายสินธุนี่หรอก”
“ก็ใครว่าหยีไว้ใจล่ะแม่ หยีแค่ใช้สินธุทำอะไรบางอย่างเท่านั้นเอง”
มัศยาแอบยิ้มเจ้าเล่ห์

น่านฟ้ากินข้าวหมดจานก็รวบช้อนแล้วรีบดื่มน้ำอั้กๆ แอนนาแอบมองเหล่ๆ เหมือนรู้ทัน
“อิ่มแล้วเหรอคะ ทานผลไม้มั้ยคะ แอนมีเชอรี่ในตู้เย็น เดี๋ยวแอนหยิบมาให้”
“ไม่เป็นไร ผมต้องกลับแล้วล่ะ พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า”
“ค่ะ งั้นให้แอนไปส่งมั้ย”
“เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับไปเอารถเองดีกว่า ขอบคุณสำหรับมื้อเย็นนะ”
น่านฟ้ารีบลุกพรวดทันที แอนนาลุกขึ้นแล้วแกล้งเซไปชนโต๊ะ
“อุ๊ย”
น่านฟ้าตกใจ
“เป็นไรเหรอแอน”
“แอนเวียนหัวค่ะน่าน”
น่านฟ้ามองแอนนาอย่างกังวล

มัศยาอารมณ์ดี เลือกชุดออกมาวางเต็มเตียง
“ชุดไหนดีน้า อันนี้เยอะไป เดี๋ยวหาว่าเราตั้งใจรอ อันนี้ลำลองไป ไม่สวย อันนี้ล่ะ ไหวมั้ยนะ ถ้าใส่ชุดนี้ ผมต้องทำยังไงหว่า”
มัศยาหยิบชุดมาทาบไปเรื่อยๆ

แอนนานอนอยู่บนโซฟา เล่นละครราวกับอิดโรยมาก น่านฟ้านั่งอยู่ข้างๆ คอยดูแล
“ไปหาหมอมั้ยแอน เดี๋ยวผมพาไป”
“อย่าดีกว่าค่ะ แอนไม่เป็นไรมากหรอก พอดีช่วงนี้อาจจะไดเอทมากไปหน่อย ก็เลยเพลียจนเป็นลม”
น่านฟ้าถอนใจ
“ผู้หญิงนี่เป็นอะไรกันหมด ชอบลดความอ้วนจนร่างกายไม่ไหว มีเนื้อมีหนังบ้างมันไม่ได้น่าเกลียดอะไรหรอกนะแอน”
“ได้ไงคะน่าน เพื่อนนางแบบแต่ละคนผอมๆ ทั้งนั้น ถ้าแอนอ้วนใครจะมาจ้างแอนล่ะ”
“แล้วก็ต้องมาเป็นลมหัวทิ่มแบบนี้เนี่ยนะ”
น่านฟ้าพิงพนักเซ็งๆ
“น่านต้องรีบกลับไม่ใช่เหรอคะ ไปก่อนก็ได้นะ แอนอยู่คนเดียวได้”

น่านฟ้ามองแอนนาอย่างลังเล

กลางดึก มัศยานั่งไม่ติด สมใจลุกไปปิดทีวี หันมาถามอย่างสงสัย
 
“ยังไม่ง่วงอีกเหรอ นี่มันดึกแล้วนะ”
“ยังเลยค่ะแม่ แม่ง่วงก็ไปนอนก่อนเถอะ”
“รอใครอยู่เหรอ เห็นมองประตูหลายทีแล้วนะ”
มัศยาชะงัก หาคำอธิบาย
“เปล่าค่ะ ก็มองไปเรื่อยนั่นแหละ แม่ไปนอนนะ ฝันดีค่ะ”
สมใจพยักหน้างงๆ แล้วเดินออกไป
“รีบนอนล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่นไม่ไหวหรอก”
“ค่ะแม่”
สมใจเดินขึ้นบันไดไป มัศยามองหน้าประตู เหลือบไปดูที่กระจก แอบจัดทรงผมนิดหน่อย

ตอนเช้า มัศยาใส่ชุดเดิมหลับอยู่บนโซฟา สักพักลืมตาขึ้นมาเห็นนะดียืนจ้องหน้าอยู่ก็ตกใจ
“เฮ้ย เช้าแล้วเหรอเนี่ย”
“เมื่อคืนแม่หยีนอนตรงนี้เหรอคะ ทำไมไม่ขึ้นไปนอนข้างบน”
มัศยาหันไปมองนาฬิกา โมโหมาก
“เอ่อ แม่หยีเผลอหลับน่ะลูก เดี๋ยวแม่หยีรีบไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะ”
มัศยารีบเดินเข้าห้องด้วยความโมโห

ตอนเช้า มัศยาเดินย่างสามขุมเข้ามาตามทางเดินในออฟฟิศ พนักงานเห็นมัศยาดูไม่สบอารมณ์ก็มองกันเลิ่กลั่ก ต๋องเห็นเข้าเลยเดินเข้าไปทักทาย
“ไงเจ๊ วันนี้ทำไมมาสาย ดูผิดปกติเหมือนไม่ใช่เจ๊เลยนะ”
มัศยาหันมาจ้องหน้าเอาเรื่องต๋อง
“ไม่ใช่ฉันแล้วนี่ใคร”
ต๋องกลัวๆ
“โห แรงแต่เช้าเลยอ่ะ”
น่านฟ้าเดินผิวปากอารมณ์ดีเข้ามา มัศยาเห็นน่านฟ้าก็สะบัดหน้าพรืดเดินไปทางอื่น
“อ้าวเจ๊ จะไปไหน เจ๊ เจ๊”
ต๋องรีบเข้ามากระซิบกระซาบกับน่านฟ้า
“สงสัยจะวันมามากครับคุณน่าน เหวี่ยงแต่เช้าเลย”
“จริงดิ”
น่านฟ้ากลืนน้ำลายเอื้อก ชักกลัวๆ

มัศยากำลังชงกาแฟ คนแรงมาก เสียงดังก๊องแก๊งลั่นห้องแคนทีน น่านฟ้าเดินเข้ามาออกอาการกลัวๆ
“เจ๊ เจ๊หยีคร้าบ”
มัศยาพูดด้วยเสียงไม่พอใจ แถมไม่หันหน้ามาคุยด้วย
“มีไร”
น่านฟ้าหน้าเจื่อนกลัวๆ
“คือว่า ผมอยากขอโทษเรื่องเมื่อคืน พอดีว่าผมติดธุระด่วน ก็เลย ก็เลย”
“ช่างมัน ฉันไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว”
น่านฟ้าถอนหายใจโล่งอก
“ค่อยยังชั่วหน่อย ผมกลัวเจ๊จะรอผม”
“ใครรอคุณ ทำไมฉันต้องรอด้วย คุณสำคัญอะไรขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อ่อ ใช่เซ่ ผมมันไม่ใช่ไอ้เห็บหมานั่นนี่ จะได้สำคัญสำหรับเจ๊”
“เขาชื่อสินธุ ไม่ใช่เห็บหมา ช่วยเรียกให้ดีๆ หน่อย”
“ทีตอนนั้นล่ะซ้อมเขาซะน่วม พอกลับมาง้อหน่อย หนอยๆๆ เขาชื่อสินธุ ช่วยเรียกให้ดีๆ หน่อย”
“แล้วไง ก็ฉันไม่ชอบให้ใครมาเรียกเขาแบบนั้น ตกลงไม่มีธุระอะไรใช่มั้ย ฉันจะได้ไปทำงาน”
มัศยาถือถ้วยกาแฟจะเดินออกไป แต่น่านฟ้าคว้ามือไว้
“เดี๋ยวสิเจ๊”
แรงดึงของน่านฟ้าทำเอากาแฟในถ้วยหกใส่แขนมัศยา มัศยาตกใจร้อง
“โอ๊ย”
น่านฟ้าตกใจรีบคว้าแขนมัศยามาดูด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้าง ผมขอโทษนะ”
น่านฟ้าหันไปดึงทิชชู่มาเช็ดแขนให้ แล้วช่วยเป่า มัศยามองน่านฟ้าที่เป่าแขนให้ตัวเองก็รู้สึกเคลิ้ม
“แสบมั้ย ผมนี่แย่จริงๆ น่าจะระวังกว่านี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ไม่เป็นไรได้ไง ไป ไปกับผม เดี๋ยวผมหายาทาให้”
น่านฟ้าจูงมือมัศยาออกจากห้องไป มัศยามองมือน่านฟ้าปลื้มๆ พนักงานหันมามอง ระหว่างนั้นแอนนาก็เดินเข้ามา น่านฟ้าชะงักทันที
“แอน”
แอนนามองมือน่านฟ้าที่จับมือมัศยาไว้ก็ชะงักนิดหนึ่ง แต่ก็ทำใจเย็น
“แอนมาขอบคุณน่านที่ช่วยดูแลแอนเมื่อคืนค่ะ”
มัศยาได้ยินก็หน้าเสีย ออกอาการไม่พอใจ แกะมือน่านฟ้าออกทันที
“เดี๋ยวฉันไปหายาทาเองดีกว่า คุณอยู่กับแขกของคุณเถอะ”
มัศยาเดินออกไปเลย ต๋องเดินเข้ามาพอดี เห็นบรรยากาศก็อึ้งไป

มัศยาเปิดตู้ยาออกมา เลือกยาขึ้นมาหลอดหนึ่ง แล้วเปิดฝาทาบริเวณที่กาแฟลวกอย่างเหม่อๆ ภูริชเดินเข้ามา กวาดสายตามองรอบๆ อย่างระแวดระวังเห็นว่าไม่มีใครก็เข้ามาหามัศยา
“มัศยา”
มัศยาหันมาเห็นภูริชก็แปลกใจ
“คะ”
“ผมมีเรื่องอยากคุยด้วยพอมีเวลามั้ย”
มัศยามองภูริชอย่างไม่ค่อยไว้ใจ

น่านฟ้าอยู่นั่งที่โต๊ะทำงาน แอนนาเข้ามาออเซาะ
“เป็นไรคะน่าน โกรธที่แอนมาหาเหรอ”
“เปล่า งานผมยุ่งน่ะ”
“แต่เมื่อกี้แอนยังเห็นน่านเดินจับมือถือแขนกับผู้ช่วยอยู่เลยนี่”
น่านฟ้าชะงักหันมาพูดกับแอนนาอย่างเซ็งๆ
“ผมทำกาแฟหกรดแขนเขา กำลังจะพาไปทายา แอนก็มาพอดี”
“อ้าวเหรอคะ งั้นน่านจะไปดูเขาหน่อยมั้ยล่ะ แอนรอที่นี่ได้”
“ช่างเถอะ แอนมีธุระอะไรอีกรึเปล่า”
แอนนามองน่านฟ้าอย่างรู้ทัน
“ไม่มีหรอกค่ะ แอนแค่จะมาขอบคุณน่านแค่นั้นจริงๆ งั้นแอนไปก่อนนะคะ”

แอนนาคว้ากระเป๋าถือ เดินไปที่ประตู แอบยิ้มสะใจนิดๆ

มัศยามานั่งคุยกับภูริชที่ร้านกาแฟนอกบริษัท มองภูริชอย่างแปลกใจ
 
“นึกยังไงถึงมาชวนฉันไปทำงานด้วย ไม่กลัวฉันหักหลังคุณเหรอ คุณก็รู้ว่าฉันรักมีโชคมากแค่ไหน ฉันไม่มีวันหักหลังคุณท่านหรอกค่ะ”
“เรื่องนั้นผมรู้ แต่คุณก็รู้นี่ว่ามีโชคตอนนี้มันเปลี่ยนมือไปแล้ว มันกลายเป็นของนายน่านฟ้า คุณไม่เห็นจำเป็นจะต้องจงรักภักดีอะไรเลยนี่”
“คุณประเมินฉันผิดไปค่ะ ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของ ฉันก็รักบริษัทนี้ รักโรงงานข้าวเกรียบมีโชค รักทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่ เพราะแม่ฉันพูดเสมอว่าท่านประธานโชคมีบุญคุณกับครอบครัวเรา และฉันจะต้องตั้งใจทำงานเพื่อมีโชคจนถึงที่สุด”
ภูริชถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกว่าป่วยการที่จะพูดต่อ
“อ่ะ ไม่เป็นไร ผมก็แค่ยื่นข้อเสนอให้ ถ้าไม่อยากได้ตำแหน่งกับเงินเดือนที่สูงขึ้นก็แล้วแต่”
ภูริชลุกขึ้น ก่อนจะนึกได้หันมาบอกมัศยา
“อ่อ ขออะไรอย่าง ขอให้เรื่องที่เราคุยกันจบที่โต๊ะนี่ หวังว่าจะไม่เอาไปพูดต่อจนทำให้ผมกับคุณสุกิจเดือดร้อนนะ”
ภูริชเดินออกไป

มัศยาเดินมาที่หน้าประตูทางเข้าบริษัท แอนนาเดินสวนออกมาพอดี
“แขนเป็นไงบ้าง น่านเขารู้สึกผิดมากเลยนะที่ทำเธอเจ็บตัว”
มัศยามองแอนนาไม่สบอารมณ์
“ขอบคุณที่บอกค่ะ”
“ไม่เป็นไร ฉันกับน่านน่ะ คุยกันทุกเรื่อง ไม่ว่าเขาคิดอะไรทำอะไรเขาจะปรึกษาฉันทุกอย่าง”
“แล้วคุณมาบอกฉันทำไม”
“เพราะฉันหวังดีไง ถึงได้บอก มีอีกอย่างที่เธอควรจะรู้ไว้ด้วยนะ เรื่องเมื่อคืน”
แอนนาเข้ามากระซิบข้างหูมัศยา มัศยาหน้าเจื่อน แอนนายิ้มเยาะ

มัศยาประตูเปิดพรวดเข้ามาในห้องทำงานน่านฟ้า ด้วยอารมณ์เดือดมาก น่านฟ้านั่งทำงานอยู่หันมามองด้วยความตกใจ
“มีอะไรเหรอเจ๊”
มัศยาเดินเข้ามาคว้าคอเสื้อน่านฟ้าให้ลุกขึ้นแล้วต่อยเสยเต็มแรง น่านฟ้าช็อค งง
“อะไรเนี่ยเจ๊ อยู่ๆ มาต่อยผมทำไม”
“คนปากเสียอย่างคุณ แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ ทำไม คิดว่าฉันน่าสมเพชนักรึไง ถึงเที่ยวเอาไปเม้าท์สนุกปากแบบนั้น”
“เม้าท์อะไร นี่เจ๊เอาอะไรมาพูด ผมงงไปหมดแล้ว”
“ยังจะมีหน้ามาทำซื่ออีกเหรอ”
มัศยาต่อยน่านฟ้าอีกที ดึงเข้ามาโน้มคอตีเข่า น่านฟ้าทรุดลงกับพื้น
“เจ๊ นี่พี่บัวขาวสิงเจ๊รึไง มันเจ็บนะว้อย”
“เจ็บสิดี จะได้จำ ทีหน้าทีหลังอย่าเที่ยวเอาฉันไปเม้าท์ลับหลังแบบนี้ ฉันไม่ชอบ”
มัศยาสะบัดหน้าพรืดจะเดินออกไป น่านฟ้ารีบคลานเข้ามาขวางประตูไว้
“อย่าเพิ่งไปเจ๊ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
“หลีก”
น่านฟ้ากอดเข่ามัศยาแน่น
“ไม่ ผมจะไม่ยอมให้เจ๊เข้าใจผมผิดเด็ดขาด”
“ฉันบอกให้หลีก”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ ต่อให้เจ๊เตะผมให้ตายผมก็ไม่ปล่อย จนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง”
“อยากโดนเตะใช่มั้ย ได้”
มัศยายกขาลอยขึ้น น่านฟ้าตกใจ ลุกพรวดขึ้นแบกมัศยาไว้บนบ่าทันที
“ปล่อยฉันนะ บอกให้ปล่อย”
“ไม่ เราต้องคุยกันดีๆ ก่อน ผมจะไม่ยอมให้เจ๊ทำเมินใส่ผมอีกแล้ว”
“บอกให้ปล่อย ได้ยินมั้ย”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่”
“ทำไมต้องมาแคร์ด้วย ว่าฉันจะคิดยังไงกับนาย”
“ก็เพราะผมชอบเจ๊น่ะสิ”
มัศยาอึ้ง สีหน้าอ่อนลง
“ปล่อยฉันเถอะ ฉันไม่ไปไหนแล้ว”
น่านฟ้าค่อยๆ ปล่อยมัศยาลงมา มัศยาหน้าแดง
“เมื่อกี้คุณพูดอะไรออกมา”
“ก็พูดความในใจไง เจ๊อยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าทำไมผมถึงทนไม่ได้เวลาที่เจ๊เมินใส่ หรือเวลาที่เจ๊ไปสนใจไอ้เห็บหมานั่น ก็เพราะผมชอบเจ๊น่ะสิ”
มัศยาเขินอาย
“แล้วทำไมเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้”
“ก็มันป๊อดนี่ เจ๊น่ะมือเท้าหนักยิ่งกว่าอะไร ใครจะกล้า”
น่านฟ้าและมัศยายิ้มให้กัน เขินทั้งคู่

น่านฟ้ามาหาปารณที่บริษัท ปารณตบเข่าฉาด สาแก่ใจสุดๆ
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ พูดออกมาซะที อมพะนำอยู่ได้ตั้งนาน”
“ความจริงฉันก็ไม่รู้ตัวหรอก ว่าชอบเจ๊โหด แต่พอเห็นเจ๊แกทำท่าเหมือนจะไปคืนดีกับแฟนเก่า ฉันรู้สึกร้อนรนทนไม่ได้ว่ะ มันหงุดหงิดยังไงไม่รู้”
“ถุย ไอ้ไก่อ่อนสอนขัน แล้วทำเป็นปากดีว่าเป็นคาสโนวา เรื่องแค่นี้ล่ะโง่จริง”
“ว่าแต่ฉัน แกเหอะ บอกน้องนิไปรึยังว่าแกชอบเขา”
ปารณชะงักทันที
“แกเอาอะไรมาพูดวะไอ้น่าน”
“น้ำหน้าอย่างแกเคยปิดอะไรฉันได้บ้าง นี่ ฉันจะเตือนด้วยความหวังดีนะเว้ย จีบน้องนิน่ะ ไม่ใช่ง่ายๆ ถ้าใจไม่นิ่งพอ เพราะป้ามะลิน่ะ แกหวงหลานจะตายไป แกพร้อมจะฟันแกหัวแบะทุกเมื่อเลยนะเว้ย”
ปารณกลืนน้ำลายเอื้อก

นิรชาเดินอยู่ริมทาง รถของปารณก็ขับมาข้างๆ นิรชาชะงักหันมาแปลกใจ
“รีบไปไหน ทำไมไม่รอฉันก่อนล่ะ”
“ฉันเห็นคุณคุยกับคุณน่านอยู่ก็เลยออกมาก่อนค่ะ”
เสียงโทรศัพท์นิรชาดังขึ้น เธอกดรับ
“ฮัลโหล อะไรนะคะยาย ใจเย็นๆ นะคะเดี๋ยวนิไปหา”
ปารณหันมาถามอย่างสนใจ
“ยายเธอเป็นไรเหรอ”
“ยายหนีกลับบ้านอีกแล้วค่ะ”
“งั้นขึ้นรถ ฉันพาไปหายายเอง”

นิรชาขึ้นรถไปกับปารณทันที

ป้ามะลิกำลังไขกุญแจประตูรั้วบ้านอยู่ รถปารณแล่นมาจอด นิรชาและปารณรีบเข้ามาหาป้ามะลิ
 
“ยาย ทำไมหนีกลับมาอย่างนี้ล่ะจ๊ะ”
ป้ามะลิไขกุญแจหน้าตาเฉยไม่สนใจ
“ก็ข้าคิดถึงบ้าน แล้วเอ็งน่ะไม่ต้องไปบอกใครให้มาลากข้ากลับมาอีกแล้วนะ ยังไงข้าก็ไม่กลับเด็ดขาด”
นิรชาพยักหน้าให้ปารณพูดแทน
“เอ่อ”
“โดยเฉพาะเอ็ง หุบปากไปเลยนะ เดี๋ยวก็ปากเปราะไปฟ้องเพื่อนเอ็งอีก”
“แต่ทุกคนเขาห่วงยายนะจ๊ะ”
“พอเลย ข้าไม่เชื่อแล้ว วันนี้ข้าจะกลับบ้านข้า ใครขวาง ตาย”
นิรชากับปารณสะดุ้งโหยง นิรชาหันไปพยักหน้ากับปารณ
“เอ่อ”
“บอกแล้วไงว่าหุบปาก”
“ผมจะบอกว่า รีบเข้าบ้านเถอะครับ ยุงมันกัด”
นิรชาอึ้ง ปารณหันไปพูดกับนิรชา
“ไม่ต้องห่วง ผมสัญญาว่าจะไม่มีใครทำร้ายป้ามะลิได้อีกแล้ว ผมเอาหัวเป็นประกันเลย”
ปารณยกกระเป๋าป้ามะลิขึ้นมา
“ไปครับป้า เข้าบ้านกันเถอะ”
ป้ามะลิมองปารณงงๆ ผลักประตูเข้าบ้าน ฮัมเพลงเดินเข้าห้องนอนสบายใจเฉิบ นิรชาหันมาถามปารณด้วยความสงสัย
“คุณไปพูดแบบนั้น คุณมั่นใจได้ไงคะว่าจะไม่มีใครทำร้ายยายได้อีก”
“ก็เพราะตอนนี้โรงงานนายสุกิจกำลังจะสร้างแล้วน่ะสิ เพราะฉะนั้นป้ามะลิก็ไม่ใช่อุปสรรคของมันอีกแล้ว”
“แล้วคุณน่านยอมเหรอคะ”
“โอ๊ย หมอนั่นต้องเรียกว่าพ่อพระในคราบโจร เอาเข้าจริงๆ ก็ช่วยนายสุกิจซะเต็มที่ เธอไม่ต้องห่วงยายหรอกนะ ตราบใดที่ฉันยังอยู่ ฉันจะปกป้องยายเธอเอง”
นิรชายิ้มรับซึ้งใจมาก คว้ามือปารณมาจับ
“ขอบคุณนะคะ”
ปารณมองมือนิรชายิ้มๆ แล้วจับมือนิรชาคืน พลางส่งยิ้มแสนหวาน แต่แล้วป้ามะลิก็เดินเข้ามาแทรกตรงกลาง
“ไอ้เลว แต๊ะอั๋งหลานข้าเหรอ”
ปารณหันไปเห็นป้ามะลิถือสากอยู่ก็ตกใจสุดขีด
“เย้ย”
ปารณวิ่งหน้าตั้งออกมาจากบ้านป้ามะลิ ป้ามะลิถือสากวิ่งไล่
“จะไปไหน ไอ้เวรตะไล”
ปารณหันมายกมือไหว้ท่วมหัว
“ใจเย็นๆ นะครับป้า ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ”
นิรชาตามมาตกใจมากอ้อนวอนป้ามะลิ
“ยายจ๋า”
“หนอย ไม่ได้ตั้งใจเหรอ ข้าแก่แต่ตายังไม่ฝ้าฟาง เห็นอยู่ตำตาว่าเอ็งหลอกจับมือหลานข้า”
“ไม่ใช่นะจ๊ะยาย หนูไปจับมือคุณเป้เขาก่อนจ้ะ”
ป้ามะลิหน้าแตก แต่ไว้ฟอร์ม
“เอ็งไม่ต้องมาช่วยแก้ตัวให้มัน ข้าไม่เชื่อ วันนี้ข้าต้องเอาเลือดหัวมันออกให้ได้”
ป้ามะลิวิ่งถลาเข้าหาปารณ ปารณตกใจ สากในมือของป้ามะลิฟาดเข้าที่หัวปารณอย่างจัง นิรชาหน้าแหยเจ็บแทน

ปารณนั่งเซ็งอยู่ที่คอนโด มีผ้าพันแผลพันหัวอยู่ น่านฟ้าเห็นแล้วส่ายหน้า
“ไง เชื่อรึยังว่าป้ามะลิแกโหดแค่ไหน”
“โหดไม่เท่าไหร่ นี่ไม่ฟังเหตุผลอะไรเลย เอะอะก็ฟาดเอาโป๊กๆๆ ดีนะที่หัวฉันแข็ง ไม่งั้นสมองทะลักไปแล้วมั้ง”
“นี่แหละน้า จีบใครไม่จีบไปจีบหลานสาวป้ามะลิ ลำพังฉันเจอเจ๊โหดว่าสยองแล้ว แกนี่ท่าจะหนักกว่าว่ะไอ้เป้”
ปารณถอนหายใจเครียดมาก
“แกว่าฉันจะฝ่าด่านป้ามะลิไปได้ยังไงวะ ตอนนี้ฉันชักจะไม่มั่นใจแล้วว่ะ”
“ถามฉัน ผิดคนแล้วว่ะ แกต้องไปถามหลานสาวเขาโน่น”
ปารณคิดหนักลำบากใจ

ตอนเช้า นิรชาสวมรองเท้าอยู่หน้าบ้าน ป้ามะลิเดินออกมาคุยด้วย
“จะแวะเข้าบ้านก่อนรึเปล่านิ ยายจะได้ฝากขนมไปให้แม่ด้วย”
“จะไปทำงานเลยจ้ะ นิโทรบอกแม่แต่เช้าแล้ว”
ป้ามะลิหันมามองจับผิดหลานสาว
“นี่ยังไม่หายโกรธยายอีกเหรอ”
“เปล่านี่จ๊ะ หนูจะไปโกรธยายทำไม”
“ข้าก็นึกว่าโกรธที่ข้าฟาดกบาลไอ้หมอนั่น”
“แต่ยายก็ไม่น่าทำเขาเลยนะคะ เขาเป็นเจ้านายหนู แล้วเขาก็ดีกับหนูมากด้วย”
“ดียังไง ข้ามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไอ้หมอนี่มันเจ้าชู้ หื่นกาม ไว้ใจไม่ได้”
“ยายตัดสินเขาทั้งที่ยายยังไม่รู้จักเขาดีด้วยซ้ำ”
“อ่อ นี่ตกลงเอ็งเข้าข้างมันแล้วโทษข้าใช่มั้ย งั้นต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมาหายาย ไปกับมันเลยไป”
ป้ามะลิเดินเข้าด้านในไปเลย
“ยาย”
นิรชาอ่อนใจ ก่อนจะเดินออกไป

น่านฟ้ายืนขนาบข้างๆ มัศยานั่งที่โต๊ะ สองคนหัวเราะคิกคักยิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุข มีการเกลี่ยผมให้กัน ท่ามกลางสายตาพนักงานที่มองมา วิภาเดินเข้ามาหยุดชะงักแอบมอง ต๋องเดินผ่านมา วิภารีบเรียกไว้ทันที
“ต๋องๆ”
“คร้าบ คุณท่าน มีอะไรให้ต๋องรับใช้ครับ”
“นายว่าคู่นั้นดูแปลกๆ มั้ย”
ต๋องหันไปมองน่านฟ้ากับมัศยาก็ขำ
“แปลกครับ แต่ต๋องว่าดีนะครับ เมื่อวานเห็นทะเลาะกัน แสดงว่าวันนี้คืนดีกันแล้ว”
“แต่ฉันว่ามันน่าจะเยอะกว่าแค่คืนดีกันนะ”
ต๋องชะงัก สนใจขึ้นมาทันที
“คุณท่านคิดว่ามีอะไรมากกว่านั้นเหรอครับ”

น่านฟ้าและมัศยายืนอยู่ตรงหน้าวิภา ซึ่งนั่งที่โต๊ะทำงาน มองทั้งสองคนอย่างจับผิด
“แม่ใหญ่เรียกเราสองคนมาทำไมเหรอครับ”
“ฉันจะถามว่าเรื่องพีอาร์ไปถึงไหนแล้ว”
“ตอนนี้ผมเตรียมจัดงานอีเวนท์ทั่วประเทศอยู่ครับ คิดว่าอีกไม่นานคงเรียบร้อย”
“ดีๆ งั้นก็ทำไปแล้วกัน”
น่านฟ้ากับมัศยางง มองหน้าวิภาเหมือนอยากรู้ว่ามีอะไรอีก วิภาอึกอักทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“เอ่อ แล้วเธอล่ะมัศยา ทำงานเหนื่อยมั้ย”
“ไม่เหนื่อยค่ะ คุณท่านอยากให้ดิฉันทำอะไรเพิ่มอีกเหรอคะ”
“เปล่า ฉันถามไปงั้นแหละ”
น่านฟ้าและมัศยาหันมามองหน้ากันงงๆ แล้วน่านฟ้าก็ทนไม่ไหว ถามวิภาตรงๆ
“แม่ใหญ่ครับ ตกลงที่เรียกเราสองคนมานี่ แม่ใหญ่อยากถามอะไรกันแน่ครับ”
วิภาชะงักยิ้มเขินๆ
“แกรู้ด้วยเหรอว่าฉันอยากรู้เรื่องอื่นอีก”
“ใช่ครับ”
“ใช่ค่ะ”
วิภาอึกอักก่อนจะตัดสินใจถาม
“ฉันอยากรู้ว่าตกลงเธอสองคนนี่ยังไงกันแน่ เห็นดูสนิทสนมกันแปลกๆ ช่วยบอกให้ฉันหายสงสัยหน่อยได้มั้ย”
ทั้งสองหันมายิ้มให้กันเขินๆ อายม้วน
“คือว่า ผมกับเจ๊ เอ๊ย หยี กำลังดูใจกันอยู่ครับ”

วิภาตะลึง

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 12 (ต่อ)

วิภามาหาสุกัญญาที่บ้าน เล่าเรื่องของน่านฟ้ากับมัศยาด้วยความตื่นเต้น
 
“ตาน่านกับหนูหยีน่ะเหรอคะคบกัน”
วิภาพยักหน้ารับ มีความสุขมาก
“ใช่ ฉันเองก็เพิ่งรู้เมื่อเช้านี่แหละ”
“ดิฉันคิดแล้วไม่มีผิด สองคนนี้ดูเข้ากันได้ดี ตาน่านของเราก็ดูแคร์เขามาก แต่ติดที่ปากแข็งกันนี่แหละ”
“เจ้าน่านน่ะคิดถูกแล้วที่คบกับมัศยา ผู้หญิงที่เอามันอยู่มีแค่ไม่กี่คนหรอก ขืนไปคบแม่นางแบบขายาวนั่น คงได้พากันลงเหวพอดี นี่ แต่เธออย่าบอกตาน่านนะว่าฉันเล่าให้เธอฟัง เดี๋ยวมันจะหาว่าฉันเห่อ”
วิภากับสุกัญญาหัวเราะชอบใจ
“ถ้าสองคนนี้คบกันจนถึงแต่งงานเลยก็ดีนะคะคุณพี่ ฉันเองก็อยากอุ้มหลานจะแย่”
“อย่าว่าแต่เธอเลย ฉันเองก็คิด แต่ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ฉันคิดไว้แล้วว่าจะทำยังไง ให้มันรวบรัดปิดจ๊อบเร็วที่สุด เธอคอยดูก็แล้วกัน”
ทั้งสองร่าเริงมีความสุขมาก

ป้ามะลินั่งมองน่านฟ้ากับมัศยาอย่างรำคาญ ทั้งสองนั่งเบียดกัน เอาแขนถูกันตลอด อายม้วน
“ตกลงเอ็งสองคนมาเยี่ยมข้าหรือว่ามาทำอะไร”
“มาเยี่ยมป้าสิครับ เห็นป้ากลับมาอยู่บ้านก็เลยเป็นห่วง”
น่านฟ้าหันมาขยิบตาปิ๊งๆ ให้มัศยา มัศยาอายหูแดง หุบยิ้มไม่ลง
“ใช่ค่ะ เราสองคนเป็นห่วงป้ามากค่ะ”
“เหรอ งั้นก็เลิกนั่งเอาแขนสีกันสักที เห็นแล้วรำคาญ”
ทั้งสองชะงัก หันมามองหน้ากันอายกว่าเดิม มัศยานึกขึ้นได้
“เออใช่ เราซื้อขนมมาฝากป้าด้วย เดี๋ยวไปใส่จานให้นะคะ”
มัศยาลุกพรวดขึ้น น่านฟ้าลุกตามไป
“ผมไปช่วยนะหยี”
คู่รักหวานแหววเดินออกไปที่ครัวหลังบ้าน ป้ามะลิส่ายหน้ารำคาญ ลุกพรวดเดินออกไปหน้าบ้าน
เห็นปารณยืนอยู่ในสภาพผ้าก๊อซยังพันหัวอยู่ ก็ชะงักแปลกใจ
“มาทำไม ใครเชิญไม่ทราบ”
“ผมมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับป้าครับ”
ป้ามะลิเดินมาเก็บเสื้อผ้าที่ตากไว้ ปารณจะช่วยเก็บ
“ไม่ต้อง อย่ามาแตะต้องเสื้อผ้าข้า ข้าไม่ชอบ”
ปารณรีบเก็บมือทันที
“มีอะไรก็ว่ามา ให้ไวด้วย”
“ผมจะมาบอกป้าว่า ผมชอบหลานสาวป้าครับ”
ป้ามะลิชะงักมองเหล่ๆ
“ชอบหลานข้า คิดว่าตัวเองดีพอแล้วเหรอ ถึงกล้ามาชอบหลานข้า”
ปารณมองตัวเองในชุดทำงานเรียบร้อยผูกเน็คไทหล่อเหลาเอาการก็งงๆ
“ก็ คิดว่าดีพอนะครับ”
“ถุย ไอ้หลงตัวเอง ข้าจะบอกให้นะ น้ำหน้าอย่างเอ็งมาจีบข้า ข้ายังไม่เอาเลย แล้วนับประสาอะไรกับนังนิหลานข้า ที่ทั้งสาว ทั้งสวย ทั้งฉลาด ได้ยายมาทั้งนั้น”
ปารณอึ้ง นึกไม่ถึงว่าป้ามะลิจะใช้เหตุผลนี้
“ทำไม หรือข้าพูดผิดตรงไหน”
“ไม่ผิดเลยครับ ป้ามะลิเป็นอย่างนั้นจริงๆ นิรชาถึงได้เพอร์เฟ็คมาก”
“งั้นก็เจียมตัวไว้ด้วยว่าเอ็งน่ะไม่คู่ควรกับหลานข้าหรอกโว้ย ไปๆ อย่ามาเกะกะแถวนี้ เดี๋ยวข้าอารมณ์เสียขึ้นมาอีก ลำพังเพื่อนเอ็งสองคนข้าก็รำคาญจะแย่”
ปารณชะงักทันที
“ไอ้น่านมาด้วยเหรอครับ”
“เออ เดี๋ยวจะไล่กลับให้หมดเลย วุ่นวายจริงๆ”
ปารณชะเง้อมองในบ้าน หาคนช่วย
“มองอะไร ไปเซ่”
“เอ่อ ผมไปไม่ได้ครับ ถ้ายังไม่ได้รับอนุญาตจากป้า”
“อนุญาตอะไร”
“อนุญาตให้พิสูจน์ตัวเองไงครับว่าผมดีพอที่จะคบกับหลานสาวป้า”
ป้ามะลิมองปารณอย่างดูแคลนมาก
“นี่เอ็งกล้าขอข้าเลยเหรอ”

น่านฟ้ากับมัศยาอยู่ในครัว ยกจานขนมขึ้น ก็ได้สียงโวยวายออกมาจากหน้าบ้าน
“ฟังผมก่อนนะครับป้า อย่าเพิ่งรีบไล่ผมเลยครับ”
ทั้งสองชะงักทันที
“เสียงไอ้เป้นี่”
ทั้งสองรีบเดินออกไป ก็เห็นป้ามะลิเอาไม้กวาดฟาดปารณอยู่
“โอ๊ยๆๆ ฟังผมก่อนนะครับ”
“ไม่ฟัง ถ้าขืนเอ็งไม่ไป ข้าจะตีให้ตายเลยคอยดู”
น่านฟ้าและมัศยารีบเข้าไปขวางแย่งไม้กวาดจากมือป้ามะลิ
“ใจเย็นๆ นะคะป้า”
“นั่นสิครับ เพื่อนผมเพิ่งไปเย็บแผลที่หัวมา นี่ป้าจะฝากรอยรักไว้อีกเหรอครับ”
“ปล่อยนะ เพื่อนเอ็งน่ะพูดจาไม่รู้เรื่อง หนอย กล้ามาต่อรองกับข้า มันคิดว่ามันเป็นใคร”
“แต่ผมจริงใจกับหลานสาวป้าจริงๆ นะครับ”
น่านฟ้าและมัศยาชะงัก มองหน้ากันอึ้งๆ
“ข้าไม่เชื่อ แล้วข้าก็ไม่ให้จีบหลานข้าด้วย พรุ่งนี้ข้าจะให้นังนิมันลาออกจากงาน แล้วเอ็งก็ไสหัวไปไกลๆ เลย”
น่านฟ้าเห็นท่าไม่ดีรีบไกล่เกลี่ย
“เอ่อ ฟังผมก่อนนะครับป้า ผมว่าเรื่องนี้ให้นิรชาเป็นคนตัดสินใจดีกว่ามั้ยครับ”
ป้ามะลิหันขวับ
“ไม่ดี หลานข้า ข้าตัดสินใจแทนได้ ตกลงจะไปไม่ไป”
มัศยาตัดสินใจพูดขึ้น
“งั้นเอาอย่างนี้มั้ยคะ ป้าอยากได้หลานเขยแบบไหน ก็ให้คุณปารณเขาพิสูจน์ตัวเองว่าเป็นแบบนั้นได้”
ป้ามะลิชะงัก ปารณพยักหน้า
“คิดว่าน้ำหน้าอย่างมันจะเป็นได้เหรอ”
ปารณก้าวเข้ามายืนองอาจ น้ำเสียงหนักแน่น
“ถ้าป้ายอมให้โอกาส ผมจะพิสูจน์ให้ป้าเห็นเองครับ ว่าผมเป็นหลานเขยตามสเป็กป้าได้ ป้ากล้าให้โอกาสผมมั้ยล่ะครับ”

ป้ามะลิชะงักครุ่นคิดตัดสินใจ

ตอนกลางคืน น่านฟ้ามาส่งมัศยาที่หน้าประตูรั้ว เขาฉวยโอกาสจูงมือมัศยา มัศยาชะงัก หันมามองเหล่ๆ
 
“คุณนี่เผลอเป็นไม่ได้เลยนะคุณน่าน”
“แหม ก็ผมอุตส่าห์บอกความในใจของผมแล้ว แถมเปิดตัวกับแม่ใหญ่ซะขนาดนั้น หยีจะไม่ให้ผมได้จับนิดจับหน่อยบ้างเหรอ”
มัศยาเขิน
“คุณบอกว่าคุณชอบฉัน แต่ฉันยังไม่บอกเลยนี่ว่าฉันชอบคุณรึเปล่า”
น่านฟ้าสบตาซึ้งกับมัศยา
“งั้น คุณชอบผมรึเปล่าล่ะ”
มัศยาอายม้วน มือไม้ไม่รู้จะวางตรงไหน ก่อนจะพยักหน้าอย่างเขินๆ น่านฟ้าลิงโลดด้วยความดีใจ
“งั้นเราเป็นแฟนกันนะ”
มัศยาพยักหน้า น่านฟ้าดีใจกว่าเดิม ดึงหญิงสาวมากอดแน่น ทันใดนั้น สินธุก็พรวดพราดเข้ามา
“เฮ้ย ทำไรวะ”
น่านฟ้าหันมา สินธุกระชากไหล่น่านฟ้ามาต่อยเต็มแรง มัศยาตกใจรีบห้ามทันที
“หยุดนะสินธุ”
“หยีมาห้ามผมทำไม ไอ้หมอนี่มันลวมลามหยีนะ”
น่านฟ้าตั้งหลักได้ก็โต้กลับ
“ลวมลามอะไรวะ ฉันกอดแฟนฉันผิดตรงไหนไม่ทราบ”
“ยังจะมาปากดีอีกนะ”
สินธุเงื้อหมัดจะต่อยน่านฟ้าอีก แต่มัศยาเข้ามายืนขวาง
“พอได้แล้วสินธุ”
สินธุมองมัศยาอย่างไม่พอใจ
“หยี นี่ผมกำลังปกป้องหยีนะ”
“ต่อไปคงไม่รบกวนสินธุแล้วล่ะ เพราะหยีมีคนปกป้องแล้ว”
สินธุชะงักหน้าเสีย
“หมายความว่าไง”
น่านฟ้ารีบเบียดมาตรงหน้าแล้วโอบมัศยาเยาะเย้ยสินธุทันที
“เพราะ She is my girlfriend. แล้วไงล่ะ”
สินธุอึ้ง
“หยี นี่มันอะไร ก็ไหนมันมีแฟนเป็นนางแบบนั่นแล้วไม่ใช่เหรอ”
“คนนั้นน่ะเพื่อน คนนี้ต่างหากแฟนตัวจริงของฉัน รู้แล้วก็เลิกยุ่งกับแฟนฉันสักที ไป๊ๆ ชิ่วๆ”
“หยีขอร้องนะ กลับไปเถอะ เอาไว้เราค่อยคุยกัน”
สินธุกำมือแน่น แค้นมาก หันหลังเดินออกไป น่านฟ้าเยาะเย้ยตามหลัง แต่แล้วนึกได้แกล้งกุมปาก เจ็บ
“โอ๊ะๆๆ โอ๊ย เจ็บจัง”
มัศยาตกใจรีบดูทันที
“ไหนคะ เจ็บตรงไหน”
น่านฟ้าชี้ที่ปาก
“ตรงนี้ ต้องใช้ปากจุ๊บถึงจะหาย”
มัศยาหมั่นไส้ผลักน่านฟ้าออก แล้วเดินไปเปิดประตูเข้าบ้าน น่านฟ้ายิ้มๆ เดินตามเข้าไป นะดีดีใจวิ่งเข้าไปหาน่านฟ้า
“อาน่าน”
น่านฟ้าดึงนะดีมากอดอย่างแสนรัก
“เป็นไงคะ ทำการบ้านเสร็จยัง”
“เสร็จแล้วค่ะ นะดีดีใจจังที่อาน่านมา”
“ต่อไปอาน่านคงมาบ่อยๆ แล้วล่ะ บางทีอาจจะมาทุกวันด้วยซ้ำ”
น่านฟ้าหันไปยักคิ้วให้มัศยา มัศยายิ้มรับอายๆ สมใจและนทีมองหน้ากันงงๆ
“จริงเหรอคะ นะดีอยากให้อาน่านมาทุกวันเลย”
“งั้นอาน่านก็จะมาหาทุกวัน เพราะตอนนี้อาน่านกับแม่หยีของนะดี เป็นแฟนกันแล้วนะ”
สมใจและนทีตกใจมาก
“ว่าไงนะ ตกลงนี่คุณกับน้องสาวผมคบกันแล้วเหรอ โอ้โห วาสนาไอ้หยี ได้เป็นแฟนประธานบริษัทเลยเว้ย”
สมใจหันมาตีนที
“เบาๆ หน่อยได้มั้ย เดี๋ยวคนแถวนี้ได้ยินจะนึกว่าบ้านนี้ดีใจที่ลูกสาวขายออกสักที”
มัศยาหันขวับมามองสมใจทันที
“อ้าวแม่ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”
“ก็พี่แกมันเอะอะโวยวายนี่หว่า”
“เฮ้ย แต่น้องสาวกำลังได้ดิบได้ดี อย่างนี้มันต้องฉลอง อย่าเพิ่งกลับนะ เดี๋ยวผมไปซื้อกับข้าวมาเลี้ยงต้อนรับว่าที่น้องเขย”
นทีรีบวิ่งออกจากบ้านไป มัศยาและน่านฟ้าหันมายิ้มให้กัน สมใจแอบดีใจอยู่ลึกๆ

นทีเดินมาตามทางเดินในซอย แล้วเหลือบไปเห็นคนกำลังโดนรุมกระทืบอยู่ เขาตกใจยืนเก้ๆ กังๆ คิดว่าจะทำอย่างไรดี ก่อนตัดสินใจตะโกน
“ตำรวจมา ตำรวจ”
นักเลงชะงักตกใจ
“เฮ้ย ตำรวจมาเว้ย”
นักเลงชี้หน้าคาดโทษสินธุที่นอนอยู่กับพื้น ก่อนจะวิ่งหนีไป นทีรีบวิ่งเข้าไปดู ปรากฏว่าคือสินธุนั่นเอง เขาพาสินธุมาที่ร้านอาหาร สินธุเอากระดาษทิชชู่ซับเลือดที่จมูก
“เฮ้อ ไอ้ฉันก็นึกว่าแกจะสบายแล้วจริงๆ เห็นแม่บอกว่าแกเอาเงินมาคืนน้องฉันหมด ที่ไหนได้ ไปกู้เขามา สุดท้ายตัวเองก็ต้องมาเจ็บตัว”
“ทำไงได้ล่ะพี่นที ผมรักหยี แต่ถ้าผมไม่ทำแบบนี้หยีก็คงไม่ไว้ใจผมอีกแล้ว”
“แล้วแกคิดว่า แกมีนักเลงตามกระทืบทวงหนี้แบบนี้ น้องสาวฉันมันจะไว้ใจแกเหรอ”
สินธุหน้าแหย
“ก็ถ้าพี่ไม่บอก หยีก็คงไม่รู้”
“ฉันน่ะปิดให้แกได้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรวะ ในเมื่อตอนนี้ไอ้หยีมันมีแฟนแล้ว”
สินธุชะงักหน้าเสีย
“พี่หมายถึงไอ้ประธานนั่นน่ะเหรอ”
“เออ ฉันว่าแกตัดอกตัดใจเถอะว่ะสินธุ ท่าทางรักครั้งใหม่ของหยีจะไปได้สวย ได้คนรวยแถมถูกใจแบบนี้ น่าจะคบกันยาว หรือไม่ก็อาจจะแต่งงานกับเขาเลยก็ได้”
สินธุเดือดทันที
“ผมไม่มีทางยอมให้หยีเป็นแฟนมันแน่”
“แล้วแกจะเอาอะไรไปสู้กับเขา เขาเป็นนักธุรกิจร่ำรวย ส่วนแกน่ะ หลบฝ่าเท้าเจ้าหนี้ไปวันๆ ถ้าฉันเป็นแกนะ ฉันจะยอมดีกับมัน เอาไว้พึ่งพาอาศัยเวลาร้อนเงินจะดีกว่า”
สินธุฟังนทีพูดก็ชะงัก สนใจ แต่แกล้งเล่นละครทำเหมือนเสียใจ
“แต่ผมว่า ผมคงทำใจไม่ได้แน่ๆ เลยพี่ ยังไงผมก็รักหยีอยู่ดีนั่นแหละ”

สินธุพูดพลางแอบยิ้มร้าย

คืนนั้นนะดีนอนหลับอยู่บนตักน่านฟ้า สมใจชะเง้อมองหน้าบ้านหงุดหงิด
 
“ดูมันนะ กะอีแค่ออกไปซื้อกับข้าวแถวบ้าน มันยังหายหัวไปเป็นชั่วโมงๆ ถ้าหิวข้าวอยู่คงเป็นลมตายไปแล้วมั้ง”
มัศยาหันมาช่วยแก้ต่างให้
“ไม่เป็นไรหรอกแม่ พี่นทีก็อย่างนี้ทุกที หยีชินแล้วล่ะ”
“ผมไม่หิวหรอกครับคุณน้า เดี๋ยวผมพานะดีขึ้นนอนก่อนดีกว่า ดูสิ หลับไม่รู้เรื่องเลย”
น่านฟ้าค่อยๆ ลุกขึ้น อุ้มนะดีขึ้นบันไดไป มัศยาเดินตามไป
“มาค่ะ เดี๋ยวฉันช่วย”
สมใจมองตามยิ้มๆ แอบมีความสุข

คืนนั้นน่านฟ้ากับมัศยาเดินจูงมือกันออกมาหน้าบ้าน
“ผมกลับแล้วนะ”
มัศยาพยักหน้ารับยิ้มๆ
“ขับรถดีๆ ล่ะ”
“ครับ แต่เอ จะไม่กู๊ดบายคิส ส่งแฟนหน่อยเหรอ”
น่านฟ้ายื่นแก้มให้มัศยา มัศยาหันไปมองรอบๆ เขินๆ
“บ้าเหรอ เดี๋ยวใครมาเห็นหรอก อายเขา”
“อายทำไม แฟนกันจุ๊บกัน น่ารักจะตายไป นะๆๆๆ”
น่านฟ้าหลับตาพริ้ม ยื่นแก้มให้มัศยา มัศยายื่นหน้าไปหอมแก้มน่านฟ้าฟอดหนึ่ง น่านฟ้ายิ้มดีใจ
“ถ้ารู้ว่าคบกับคุณแล้วมีความสุขแบบนี้ ผมบอกรักคุณไปนานแล้ว แล้วคุณล่ะหยี มีความสุขรึเปล่า”
มัศยาอายม้วน พยักหน้ารับ
“อื้อ”
น่านฟ้ายิ้มพอใจ
“งั้นขออีกทีได้มะ คราวนี้ขอแบบคอมโบ้เซ็ตเลย”
“ไปเลย กลับบ้านได้แล้ว คุณนี่ได้คืบจะเอาศอกทุกทีเลย”
มัศยาผลักน่านฟ้าไปที่รถอย่างอายๆ
“โอเคๆ งั้นฝันดีนะครับ จุ๊บๆ”
น่านฟ้าเปิดประตูขึ้นรถ กดกระจกลงมาโบกมือลา มัศยาโบกมือยิ้มเขินๆ สินธุแอบดูอยู่อย่างครุ่นคิด

ตอนเช้า ต๋องคุยกับวิภาอย่างตื่นเต้น
“คุณท่านเอาจริงเหรอครับ”
วิภายิ้มรับอย่างมั่นใจ
“จริงสิ”
“แน่นะครับ”
“แน่สิ”
ต๋องอ้าปากจะถามย้ำอีก วิภาค้อนขวับ
“แกจะถามอะไรกันนักกันหนา ฉันบอกให้ทำตามที่ฉันสั่งก็ไปทำสิ”
“ก็คุณท่านเล่นจัดใหญ่ขนาดนั้น ผมเลยชักไม่ค่อยมั่นใจนี่ครับ แล้วนี่เจ๊หยีกับคุณน่านรู้รึยังครับ”
“ยัง ฉันตั้งใจจะเซอร์ไพร้ส์สองคนนี้”
“โห ถ้าผมเป็นเจ๊หยีคงดีใจแย่เลยครับ”
“เออน่า ฉันสั่งให้ทำอะไรก็รีบไปทำเร็ว”
“ครับๆๆ งั้นผมขอตัวไปปฏิบัติภารกิจก่อนนะครับ”
วิภาพยักหน้ารับยิ้มๆ ต๋องเปิดประตูเดินออกไป วิภามีความสุขมาก

ภายในออฟฟิศมีโชค พนักงานกำลังทำงานกันอยู่ สุกิจและภูริชเดินเข้ามา ต๋องเดินเข้ามายืนบนเก้าอี้ พลางประกาศกับทุกคน
“ประกาศจากคุณท่านจ้า ขอให้ทุกคนฟังทางนี้”
ทุกคนหันขวับมาทางต๋องกันหมด
“พรุ่งนี้ตอนเย็น ใครไม่ติดภารกิจอะไร คุณท่านบอกให้อย่าเพิ่งรีบกลับ คุณท่านจะจัดอาหารมาเลี้ยงทุกคนจ้า”
ทุกคนฮือฮาด้วยความแปลกใจ
“เนื่องในโอกาสอะไรเหรอ”
“เนื่องในโอกาสที่ เอ่อ ท่านประธานของเราจะเปิดตัวแฟนไง”
ทุกคนฮือฮาหนักกว่าเดิม สุกิจและภูริชมองหน้ากันแปลกใจ
“หมายถึงนางแบบคนนั้นเหรอต๋อง”
“ไม่ใช่นางแบบหรอก แต่เป็น เป็น”
จังหวะนั้นเองมัศยาก็เดินเข้ามาพอดี ต๋องหันไปเห็นมัศยาก็ผายมือไปทันที
“เป็นรองผู้จัดการฝ่ายการตลาด เจ๊หยี มัศยาของเราคนนี้นี่เอง”
พนักงานฮือฮา ปรบมือกันใหญ่ สุกิจและภูริชมองหน้ากันอย่างกังวล มัศยาหน้าตาเหรอหรา
“มีอะไรเหรอกันเหรอคะ”

เวลาต่อมา มัศยาลากแขนต๋องมาคุยที่มุมหนึ่ง
“ไอ้ต๋อง นี่แกทำอะไรของแก ฉันไม่ได้อยากให้ใครรู้เรื่องนี้นะ”
“ใครบอกว่าฝีมือต๋อง ต๋องน่ะแค่รับคำสั่งคุณท่านมาน่ะเจ๊”
มัศยาชะงัก
“หา คุณท่านเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิเจ๊ ต๋องเองยังแปลกใจว่าทำไมคุณท่านจะต้องประกาศให้ทุกคนรู้กันขนาดนั้นด้วย”
“อย่างนี้ฉันก็วางตัวลำบากแย่สิ คนหมั่นไส้กันทั้งออฟฟิศพอดี”
“ไม่หรอกมั้ง คุณท่านคงหวังดี อยากให้ทุกคนให้เกียรติเจ๊ หรือไม่ก็กันคนมายุ่งกับคุณน่านก็ได้”
“แล้วคุณน่านรู้เรื่องนี้รึยัง”
ต๋องยักไหล่ไม่รู้เหมือนกัน

หลังจากฟังสิ่งที่ต๋องพูด ภูริชคุยกับสุกิจด้วยความหงุดหงิด
“ผมก็เพิ่งรู้ว่าทำไมมัศยาถึงได้ปฏิเสธที่จะไปช่วยงานเรา ที่แท้ก็เพราะตั้งใจจะจับประธานนี่เอง”
“พี่วิภานี่ก็แปลก ทำเป็นเห่อจนออกนอกหน้า กับอีแค่ลูกเลี้ยงไปคว้าลูกจ้างในบริษัทมาเป็นแฟน เห็นแล้วคลื่นไส้”
“แต่ก็ดีนะครับ เราจะได้ตัดมัศยาออกไปเลย แล้วทาบทามคนอื่นแทน”
“หรือนายอยากจะลาออกซะเอง แล้วไปช่วยฉันคุมโอกิมิ”
ภูริชชะงักทันที
“จะดีเหรอครับคุณสุกิจ”
“ก็ถ้าฉันให้เงินเดือนที่สูงกว่าที่นี่ นายจะอยากไปทำมั้ยล่ะ”

ภูริชออกอาการสนใจขึ้นมาทันที

ภูริชมาพบน่านฟ้าที่ห้องทำงาน พร้อมกับยื่นจดหมายลาออก
 
“ลาออกงั้นเหรอ”
“ครับท่านประธาน ผมขอลาออกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครับ”
“พอจะบอกเหตุผลผมได้มั้ย ในเมื่อคุณทำงานให้ที่นี่มาตั้งหลายปี อยู่ๆ นึกยังไงถึงได้ลาออก”
“ผมได้งานใหม่ที่ตำแหน่งและเงินเดือนสูงกว่าที่นี่ครับ และผมคิดว่าที่นั่นมีโอกาสโตได้มากกว่า เลยตัดสินใจแบบนี้”
น่านฟ้าสบตาภูริชเห็นแววตามั่นใจก็พยักหน้ารับ
“งั้นก็ตามใจ ผมอนุมัติให้คุณลาออกได้ ขอให้คุณโชคดีก็แล้วกัน”
“ขอบคุณครับ”
ภูริชลุกออกไป แอบยิ้มเจ้าเล่ห์

น่านฟ้านัดเจอกับปารณที่ร้านอาหาร เล่าเรื่องที่ภูริชขอลาออกให้ฟัง ปารณเดาสถานการณ์ออกทันที
“ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย ก็ในเมื่อโรงงานนายสุกิจใกล้จะเปิดแล้ว นี่ถ้าสั่งของมาลงครบ ตกแต่งอีกหน่อย ได้คนมาทำงานก็เปิดได้แล้ว นายสุกิจคงตั้งใจให้นายภูริชมาคุมโรงงานแทนน่ะสิ”
“แต่ถ้าฉันเป็นอาสุกิจ ฉันจะทำเองมากกว่า นายภูริชไม่เห็นจะน่าไว้ใจตรงไหนเลย”
“อาแกน่ะ เหมือนจะฉลาด แต่จริงๆ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง เอะอะอะไรก็ใช้แต่นายภูริชหมด ฉันยังแอบคิดเลยว่า สักวันจะต้องมีการหักหลังกันแน่ๆ”
“ไม่รู้เว้ย ฉันก็ช่วยจนไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว ให้มากกว่านี้ฉันก็ไม่เอาด้วยแล้วล่ะ”
“ดีแล้วล่ะ กับคนแบบนั้นน่ะ ให้ดิ้นรนเองดีกว่า ถ้าแกอยากจะช่วยนะ นี่ มาช่วยเพื่อนคนนี้นี่”
น่านฟ้าชะงักสนใจ
“แกมีอะไรให้ฉันช่วยเหรอวะ”
ปารณอึกอักก่อนจะเอ่ยปากอย่างอายๆ
“ก็เรื่องป้ามะลิน่ะดิ ฉันออกตัวแรงว่าจะพิสูจน์ตัวเองกับป้าแก แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง แกช่วยฉันคิดหน่อยสิวะ”
น่านฟ้าขำออกมา
“โถ่ แกนี่มันกากจริงๆ ไหนอวดว่าเก่งนักเก่งหนา เรื่องแค่นี้ล่ะไม่มีปัญญา”
“ก็ยายนิรชาน่ะโหดอย่างกับอะไรดี แกเองก็รู้นี่หว่า นะๆๆๆ ช่วยฉันหน่อย แล้วฉันจะไม่ลืมพระคุณแกเลยไอ้น่าน”
“เอาชนะใจป้ามะลิน่ะเหรอ”
น่านฟ้าครุ่นคิด

ตอนเย็น นิรชาช่วยป้ามะลินวดแป้งข้าวเกรียบอยู่ ทันใดนั้น เสียงรถของปารณก็ดังขึ้น นิรชาและป้ามะลิได้ยินก็ชะงัก
“ใครมาวะ เอ็งออกไปดูซิ”
“จ้ะยาย”
ป้ามะลินวดแป้งไป ชิมไปด้วย สักพักนิรชาเดินเข้ามา โดยมีปารณเดินตามมายืนเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูก ก่อนจะยกมือไหว้ป้ามะลิ
“สวัสดีครับป้า”
ป้ามะลิหันขวับมามองค้อนปารณทันที
“เอ็งมาทำไม”
“เอ่อ ผมมาหาป้าครับ”
“มาหาข้าทำไม ข้าไม่อยากเจอเอ็ง บ้านนี้ก็ไม่ได้ต้อนรับเอ็ง รังเกียจน่ะ เข้าใจคำนี้มั้ย”
ปารณหน้าเจื่อน
“ยายจ๋า คุณปารณเขา”
“เอ็งไม่ต้องมาช่วยกันพูด ข้ารำคาญหู ไป๊ๆๆ ไล่มันกลับไป เห็นแล้วรำคาญตา”
“แต่วันนี้ผมตั้งใจจะมาช่วยป้าทำข้าวเกรียบนะครับ เห็นป้าเหนื่อย กลางวันต้องไปทำงานโรงงาน กลางคืนยังต้องมาเตรียมข้าวเกรียบไปขายอีก”
“น้ำหน้าอย่างเอ็งเนี่ยนะ จะช่วยข้าทำข้าวเกรียบ ถุย”
ปารณยิ้มแหยๆ
“ผมทำได้จริงๆ นะครับ ผมหนักเอาเบาสู้สุดๆ ป้าให้ผมช่วยป้านะครับ”
ป้ามะลิมองปารณอย่างจับผิด ขณะที่นิรชาพยักเพยิดเอาใจช่วย
“แน่ใจนะ ว่าเอ็งทำได้”
ปารณยิ้มกว้างอย่างเต็มใจ
“แน่ใจครับ ขอแค่ป้าให้โอกาสผมได้พิสูจน์ตัวเอง ผมยอมทำตามทุกอย่างที่ป้าสั่งเลยครับ”
ป้ามะลิหันมายิ้มเจ้าเล่ห์

ตอนกลางคืน ป้ามะลินั่งดูละครหัวเราะชอบใจ นิรชานั่งอยู่ข้างๆ อึกอักอยากคุยด้วย
“เอ่อ ยายจ๋า”
ป้ามะลิหันมาทำน้ำเสียงรำคาญ
“ทำไม”
“ยายจะให้คุณปารณเขาทำถึงเมื่อไหร่จ๊ะ”
“ก็ทำจนกว่าข้าจะพอใจน่ะสิ อยากคุยดีนักว่าทำได้ ข้าก็จะจัดให้สมใจเลยล่ะ เอ็งน่ะ กลับบ้านไปได้แล้วไป เดี๋ยวแม่เขาจะรอ”
“แล้วคุณปารณล่ะจ๊ะ”
“เอ๊า มันยังทำงานให้ข้าไม่เสร็จ มันจะกลับได้ไง”
“แต่ว่า”
ป้ามะลิชักรำคาญหันไปแหวใส่นิรชา
“เอ๊ จะมาถามอะไรเซ้าซี้อยู่ได้ ไปๆ กลับบ้านได้แล้ว เป็นผู้หญิงเดินทางดึกๆ ดื่นๆ มันอันตราย ไปได้แล้วไป”
นิรชาหน้าเจื่อนๆ ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าถือ หันมายกมือไหว้ป้ามะลิแล้วเดินออกไป พลางแอบเหลียวหลังกลับไปมองในครัวด้วยความกังวล
ภายในครัว ปารณกำลังนวดแป้งหลายกะละมังอย่างเหน็ดเหนื่อย ป้ามะลิเดินผ่านมาส่องดู แอบหัวเราะสะใจ

คืนนั้น มัศยาคุยกับน่านฟ้าอยู่ที่บ้านของเธอด้วยความกังวลเรื่องของปารณ
“คุณไปบอกคุณปารณอย่างนั้น เดี๋ยวเกิดเขาโดนอีโต้เสียบหลังกลับมาจะทำไง”
“ไม่หรอกน่า ป้ามะลิแกก็วางฟอร์มทำเป็นดุไปงั้นแหละ เอาเข้าจริงๆ ผมว่าแกใจดีจะตายไป ไม่งั้นแกไม่ช่วยผมจนมาถึงวันนี้หรอก”
มัศยาชะงักคิดตาม ก็เห็นด้วย
“ก็จริง ขอให้คุณปารณเอาชนะใจป้ามะลิได้ก็แล้วกัน”
“ไอ้เป้น่ะมันเหมือนผมนี่แหละ ลองตั้งใจจริงแล้วไม่มีทางถอดใจง่ายๆ หรอก”
มัศยาพยักหน้าเห็นด้วย ทันใดนั้น เสียงของสินธุก็ดังขึ้น
“หยี อยู่รึเปล่าครับ”
น่านฟ้าชะงักไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที
“แต่อย่างหมอนี่ เขาเรียกว่าพูดไม่รู้เรื่อง หนอย ริอ่านมาหาแฟนคนอื่นดึกๆ ดื่นๆ อย่างนี้ต้องจัดการซะหน่อยแล้ว”
น่านฟ้าลุกขึ้นย่างสามขุมออกไปทันที มัศยารีบตามไป
“คุณน่าน ใจเย็นๆ นะ”
น่านฟ้าเดินออกมาที่หน้าประตูรั้ว เปิดประตูออกไป เห็นสินธุยืนอยู่ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ
“มาที่นี่ทำไม นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว รู้รึเปล่าว่ามันรบกวนคนอื่น”
มัศยารีบตามมาไกล่เกลี่ย
“คุณน่าน ใจเย็นๆ ก่อนสิ”
สินธุตีหน้าเศร้าอย่างรู้สึกผิด
“ผมขอโทษที่มารบกวน ตอนแรกผมแค่ผ่านมาเฉยๆ แต่พอเห็นรถคุณจอดอยู่ ก็เลยตั้งใจจะคุยกับคุณ”
“คุยกับผมเนี่ยนะ”

“ใช่ ผมตั้งใจจะแสดงความยินดีกับคุณ ที่เอาชนะใจหยีได้ ผมมันไม่ดีเองที่ไม่รู้จักสิ่งที่มีค่า ทำหยีหลุดมือไป คุณโชคดีมากเลยนะ”

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 12 (ต่อ)

น่านฟ้ากอดอก พยักหน้าหงึกๆ
 
“หยี ผมดีใจด้วยนะ ที่หยีเจอคนที่ใช่สำหรับหยี ขอให้คุณสองคนรักกันนานๆ มีความสุขมากๆ นะ ผมตั้งใจมาพูดแค่นี้แหละ”
สินธุพูดจบก็หันหลังเดินออกไป น่านฟ้างงๆ ก่อนจะเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน นายโอเคใช่มะ”
“ผมไม่เป็นไรหรอก คนที่แพ้ ก็ต้องดูแลตัวเองอยู่แล้ว ถ้าเป็นไปได้ผมขออะไรอย่างหนึ่งได้มั้ย”
มัศยาหันไปมองน่านฟ้า น่านฟ้าพยักหน้ารับ
“ว่ามาสิสินธุ”
“ขอให้เราเป็นเพื่อนกันตลอดไป แค่นี้หยีให้ผมได้รึเปล่า”
“ได้สิ”
น่านฟ้าสวนขวับ
“แต่แค่เพื่อนเท่านั้นนะ Just Friend!”
“ถึงผมขอมากกว่านี้ก็คงเป็นไม่ได้อยู่แล้วล่ะ งั้นผมกลับก่อนนะ”
สินธุเดินออกไป น่านฟ้าและมัศยามองหน้ากันงงๆ
“หมอนี่มาแปลกเว้ย แต่ก็ดีนะ ถ้าคิดได้ ผมจะได้ไม่ต้องคอยระแวงกลัวจะมายุ่งกับแฟนผมอีก จริงมั้ยจ๊ะที่รัก”
มัศยาเบ้หน้าใส่ แล้วเดินเข้าบ้านไป น่านฟ้ามองตามยิ้มๆ รีบตามเข้าบ้านไปทันที

รถภูริชจอดอยู่ที่ริมถนนหน้าซอยบ้านนิรชา ไม่นานนักรถแท็กซี่แล่นมาจอด นิรชาเปิดประตูลงมา ภูริชรีบเปิดประตูลงจากรถ วิ่งเข้ามาหานิรชาทันที นิรชาตกใจ แต่ทำใจดีสู้เสือ
“คุณมาทำไม”
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ขึ้นรถไปกับฉันเดี๋ยวนี้”
“ไม่ ฉันจะกลับบ้าน”
นิรชาสะบัดหน้าเดินหนี ภูริชคว้าแขนไว้
“บอกให้ขึ้นรถยังไงล่ะ”
นิรชาสะบัดแขนภูริชออก
“ถ้าคุณบังคับฉัน ฉันจะร้องให้คนช่วย อยากเสี่ยงติดคุกก็เชิญ”
ภูริชชะงัก กลัวๆ นิดๆ จังหวะนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือเขาดังขึ้น
“ฮัลโหล”
“อยู่ไหน ป่านนี้แล้วทำไมไม่กลับบ้าน”
ภูริชหงุดหงิดขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินเสียงยุวรินทร์
“เออๆ กลับเดี๋ยวนี้แหละ”
ภูริชวางสาย ขณะที่นิรชาแสยะยิ้มใส่ แล้วเดินออกไป ภูริชหงุดหงิดฮึดฮัด
“สักวันเธอต้องเป็นของฉัน นังนิรชา”

กลางคืน ปารณเนื้อตัวมอมแมมไปด้วยแป้งข้าวเกรียบ คุยโทรศัพท์กับนิรชาด้วยความตกใจ
“นี่ไอ้ภูริชมันยังกล้ายุ่งกับเธออีกเหรอ”
“ค่ะ แต่คราวนี้ฉันไม่ยอมแล้ว อ้อ อีกอย่างมีคนโทรมาตามนายภูริชพอดีด้วย ถ้าฉันเดาไม่ผิดน่าจะเมียเขานั่นแหละ หมอนั่นก็เลยเลิกตื๊อฉัน”
“แสดงว่าแผนเราได้ผล เพราะเมียนายภูริชจะได้เล่นงานแทนเรา แต่ยังไงเธอก็ต้องระวังตัวให้ดีนะ ฉันเป็นห่วง”
นิรชายิ้มรับ ปลื้มๆ
“ค่ะ”
เสียงของป้ามะลิดังแว้ดๆ เข้ามาในสาย
“อู้งานเหรอ ทำได้ไม่เท่าไหร่ก็พักแล้ว อย่างนี้เหรอจะมาพิสูจน์ตัวเองให้ข้าเห็น”
นิรชาชะงักทันที ปารณยิ้มเจื่อนๆ กลัวป้ามะลิมาก
“ขอโทษครับป้า ผมจะรีบทำเดี๋ยวนี้แหละครับ”
ป้ามะลิแหวใส่ปารณไม่ยั้ง
“ให้ไวล่ะ เสร็จแล้วพรุ่งนี้เอ็งจะได้ไปทอดขายให้ข้า”
ปารณชะงักตกใจมาก
“หา ป้าจะให้ผมไปขายให้ด้วยเหรอครับ”
“ทำไม หรือว่าเอ็งทำไม่ได้”
ปารณลนลานรีบรับคำสั่งทันที
“ได้ครับ เดี๋ยวผมนวดแป้งถึงเช้า แล้วจะรีบหอบไปทอดขายที่ตลาดให้ป้าเองเลยครับ”
“ดี ทำไปล่ะ ข้าจะไปนอนแล้ว”
ป้ามะลิเดินหาวเข้าบ้านไป ปารณรีบคุยโทรศัพท์ต่อ
“แค่นี้ก่อนนะนิรชา เดี๋ยวฉันทำไม่ทัน ยายเธอด่าฉันตายเลย”
นิรชาวางสายยิ้มๆ ปลื้มปารณมาก

ตอนเช้า วิภา ต๋องและพนักงานบริษัท ฉลองกันอย่างสนุกสนาน น่านฟ้าและมัศยาเดินเข้ามา ทุกคนปรบมือกราว น่านฟ้าหันไปมองมัศยางงๆ
“นี่มันอะไรเหรอ”
วิภารีบถามมัศยาทันที
“มัศยา เธอไม่ได้บอกตาน่านเหรอว่าฉันจัดงานฉลองให้เธอสองคน”
มัศยานึกได้หันไปยิ้มเจื่อนๆ
“เปล่าค่ะ ดิฉันเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
“แล้วแม่ใหญ่ฉลองให้ทำไมครับ”
“ฉันก็ฉลองที่แกกับมัศยาคบกันไง ลูกชายมีแฟนเป็นตัวเป็นตนคนเป็นแม่ก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา”
ต๋องรีบแทรกขึ้นทันที
“ไม่ใช่ตื่นเต้นธรรมดานะครับคุณน่าน แต่ตื่นเต้นมาก”
น่านฟ้าเหรอหรา ระหว่างนั้น แอนนาเดินเข้ามา ยิ้มหวานใส่
“สวัสดีค่ะ ฉลองอะไรกันอยู่เหรอคะ”
วิภาได้ทีรีบประกาศเสียงดัง
“ฉลองให้กันตาน่านกับหนูมัศยาว่าที่ลูกสะใภ้ฉันน่ะสิ”
แอนนาหน้าเสียหันไปมองน่านฟ้า
“นี่มันอะไรกันคะน่าน”
“คือ ผมกับหยีกำลังคบกันครับ”
แอนนาเดือดจัด
“ไม่จริง คนอย่างน่านเนี่ยนะจะคบกับยัยป้านี่ แอนไม่เชื่อ”
วิภาได้ยินก็เดือดขึ้นทันที
“อ้าวๆ เรื่องอะไรมาเรียกมัศยาว่าป้า เธอน่ะมีดีอะไรนักหนาเหรอ ฉันยังไม่เห็นข้อดีอะไรของเธอเลยนอกจากตื๊อผู้ชายเก่ง”
แอนนาไม่พอใจสวนกลับวิภา
“นี่มันจะเกินไปแล้วนะคะ”
น่านฟ้าเห็นท่าไม่ดีรีบเดินเข้าไปหาแอนนา
“ผมว่าเราไปคุยข้างนอกดีกว่า”
น่านฟ้าจับแขนแอนนาเดินออกไป มัศยามองตามหน้าเสีย บรรยากาศเงียบกริบ กร่อย
“เอ่อ เขาคงไปเคลียร์กันเฉยๆ เธออย่าคิดมากนะมัศยา”

วิภาปลอบ

น่านฟ้าพาแอนนามาคุยที่ห้องทำงานของเขา แอนนาโวยวายใส่ด้วยความเสียใจ
 
“คุณคิดอะไรของคุณ น่าน ทำแบบนี้แอนเสียใจนะ”
“ผมเพิ่งรู้ใจตัวเองว่าผมรักมัศยา”
แอนนาเจ็บใจกว่าเดิม น้ำตาซึมออกมา
“รักเหรอ คนอย่างคุณรักใครเป็นเหรอคะน่าน แอนคิดว่าคุณจะเป็นคนที่รักสนุกเอ็นจอยกับชีวิตมากกว่าซะอีก”
“เมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว”
“ไม่จริงหรอกค่ะน่าน แอนว่าคุณกำลังสับสน คุณไม่ได้รักเขา แต่คุณแค่หลงไปกับสิ่งที่เขาทำให้คุณมาตลอด แอนต่างหากคือคนที่เข้าใจคุณ แอนรู้ว่าคุณคบแอนแบบไหน และยอมรับคุณได้ทุกอย่าง แต่คุณคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะรับสิ่งที่คุณเป็นได้เหรอ”
“พอเถอะแอน เอาเป็นว่าถ้าผมเคยให้ความหวังแอน ผมขอโทษ แต่ตอนนี้ผมกับหยีเราคบกัน และเราก็มีความสุขดี ขอให้แอนเข้าใจผมด้วย”
แอนนาทนฟังไม่ไหว คว้ากระเป๋าถือขึ้นมา
“แอนไม่มีทางยอมแพ้ผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาด”
แอนนาเปิดประตูเดินออกไป น่านฟ้าถอนหายใจเครียดมาก

น่านฟ้านั่งกินข้าวกับมัศยาอยู่ในร้านอาหาร กินไปเหม่อไป มัศยาเหลือบมองด้วยความแปลกใจ
“คิดอะไรอยู่เหรอคะ”
น่านฟ้าชะงักแกล้งทำเป็นยิ้มร่าเริง
“เปล่าจ้ะ ผมกำลังคิดว่าเย็นนี้จะเล่านิทานเรื่องอะไรให้นะดีฟังดีน้า”
“อย่ามาปิดฉันเลย ฉันเห็นสีหน้าคุณตั้งแต่ตอนที่เข้ามาในออฟฟิศแล้ว ทุกคนกำลังฉลองให้เรา ฉันก็รู้แล้วมันผิดปกติ”
“ก็ผมเซอร์ไพร้ส์ไง ไม่คิดว่าแม่ใหญ่จะเห่อมากขนาดนี้”
“ฉันขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้เล่าให้คุณฟังตั้งแต่เมื่อวาน ฉันแค่รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ใจจริงฉันไม่อยากให้คุณท่านทำแบบนี้ด้วย เพราะฉันก็กลัวใครๆ หมั่นไส้”
“ใครจะหมั่นไส้ก็ช่างเขาสิ เอ้อ จริงๆ มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากบอกคุณเหมือนกัน นายภูริชลาออกแล้วนะ ผมตั้งใจจะแต่งตั้งคุณขึ้นเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดแทน”
มัศยาอึกอักลำบากใจ
“จะดีเหรอคะ เดี๋ยวใครก็หาว่าฉันใช้เส้นประธานบริษัทขอเลื่อนตำแหน่งตัวเอง”
“ผมอยากให้หยีเลื่อนมาเป็นประธานบริษัทแทนผมด้วยซ้ำไป ผมจะได้ไปทำอย่างอื่น”
น่านฟ้ากลุ้มใจจนมัศยาสังเกตได้
“คุณน่าน”
“ฮึ”
“ถ้าคุณมีเรื่องอะไรลำบากใจ หรือไม่สบายใจที่เกิดจากฉัน คุณบอกฉันเลยนะ ฉันพร้อมจะแก้ไขมันเพื่อคุณ”
น่านฟ้าสบตามัศยาด้วยความซึ้งใจ คว้ามือมัศยามากุมไว้
“แฟนใครก็ไม่รู้ ทั้งสวย ทั้งน่ารัก ทั้งนิสัยดี มาขอจูบทีได้ม้า”
น่านฟ้าทำปากจูจุ๊บใส่ มัศยาคว้าทิชชู่ปาใส่หน้าด้วยความหมั่นไส้ แต่แล้วแว่บหนึ่งก็เห็นสีหน้าน่านฟ้ายังคงกลุ้มใจอยู่ดี

ปารณทอดข้าวเกรียบขายอยู่ในตลาด พลางตะโกนไปด้วย
“ข้าวเกรียบป้ามะลิ ของแท้คร้าบ”
ลูกค้าคนหนึ่งเข้ามาด้วยความแปลกใจ
“อ้าว แล้วป้ามะลิแกหายไปไหนล่ะ ไม่เห็นแกมาขายหลายวันแล้ว”
“ป้าแกติดธุระน่ะครับ เลยให้ผมมาขายแทน เอากี่ถุงดีครับ”
“สองถุงแล้วกัน”
“สองถุงนะครับ จัดให้ครับ”
ปารณหยิบข้าวเกรียบใส่ถุงยื่นให้ลูกค้า ทันใดนั้นเองก็มีมือๆ หนึ่งหยิบข้าวเกรียบมาชิม
“อื้ม อร่อยจังค่ะ”
ปารณเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าเป็นนิรชาก็ยิ้มให้
“มาได้ไงเนี่ย”
“ฉันเห็นคุณไม่เข้าออฟฟิศเลยแวะเอางานมาให้เซ็นที่นี่ค่ะ”
“ดีเลย ฉันจะได้ไม่ต้องกลับไปที่ออฟฟิศอีก งั้นรอเดี๋ยวนะ ฉันจะเก็บร้านแล้วล่ะ”
“งั้นฉันช่วยนะคะ”
สองคนกุลีกุจอช่วยกันเก็บของ จากนั้นก็เดินกินลูกชิ้นปิ้งไปด้วยกัน พลางคุยกันไป
“ความจริงคุณไม่น่าทำขนาดนี้เลยนะคะ รู้ทั้งรู้ว่ายายจงใจแกล้ง ก็ยังยอมอยู่ได้”
ปารณหันมายิ้มกับนิรชา
“แค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่เป็นไรได้ไงคะ”
นิรชาเหลือบไปมองมือปารณ แล้วคว้าขึ้นมาดู ถอนใจสงสาร
“ดูสิ มีแต่แผลน้ำมันลวก เจ็บมั้ยคะเนี่ย”
ปารณมองนิรชาอย่างซึ้งใจ
“ไม่เจ็บหรอก เจ็บกว่านี้ฉันก็ทนได้”
ปารณคว้ามือนิรชาขึ้นมาสบตาหวาน
“ฉันเคยบอกกับเธอรึยัง ว่าฉันรู้สึกยังไงกับเธอ”
นิรชาอึกอักเขินอาย ทำตัวไม่ถูก ก่อนจะส่ายหน้าอย่างอายๆ
“จริงเหรอ ฉันนึกว่าฉันบอกเธอไปแล้วซะอีก”
“คุณไม่เคยบอก แต่สิ่งที่คุณแสดงออก มันแทนความหมายได้ทุกอย่างแล้วล่ะ”
ปารณยิ้มดีใจ
“งั้นเธอก็รู้มาตลอดสินะว่าฉันรู้สึกยังไง”
นิรชาพยักหน้ายิ้มๆ
“เอ แล้วอย่างนี้ฉันควรจะบอกดีมั้ยนะ”
“ก็แล้วแต่คุณสิคะ”
“ฉันอยากบอกว่า บอกว่า เอ่อ”
ทันใดนั้น รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็แล่นเข้ามาเบียดนิรชาเกือบชน ปารณตกใจรีบดึงตัวนิรชาเข้ามากอดทันที สองคนใกล้ชิดกัน สบตากันหวานซึ้ง
“ฉันรักเธอนะ”

นิรชาอายมาก

ภูริชนั่งดื่มอยู่คนเดียวในผับด้วยความหงุดหงิด ยุวรินทร์เดินเข้ามา กวาดสายตารอบๆ พอเห็นภูริชก็รีบเดินเข้าไปหา
 
“เลิกงานทำไมไม่กลับบ้าน”
ภูริชเหลือบมาเห็นยุวรินทร์ก็ส่ายหน้าเอือมๆ
“ตามมาทำไม”
“ก็ตามมาดูสิว่าคุณไปไหน อยู่กับใคร นี่ดีนะที่เพื่อนฉันเห็นรถคุณเลยโทรไปบอกฉัน ไม่งั้นฉันคงตามไม่เจอหรอก”
“เพื่อนคนไหน สาระแนไม่เข้าเรื่อง”
ยุวรินทร์ดึงแขนภูริชขึ้นมา เอาเรื่อง
“กลับบ้านกับฉันเดี๋ยวนี้”
ภูริชกระชากมือกลับอย่างรำคาญ
“ไม่ อยากกลับเมื่อไหร่จะกลับเอง”
“ไม่ได้ ฉันไม่ไว้ใจคุณ ต่อไปนี้คุณไปไหนฉันจะตามคุณทุกที่”
ภูริชลุกพรวดขึ้นโมโหมาก
“นี่มันจะมากไปแล้วนะ ฉันเป็นผัวนะ ไม่ใช่นักโทษ”
“ก็ถ้าเป็นผัวดีๆ ฉันจะทำตัวแบบนี้มั้ย”
“ไปเลยไป อย่าทำให้ฉันโมโห ไม่งั้นฉันไม่ไว้หน้าจริงๆ ด้วย”
ยุวรินทร์เดินเข้าใส่ภูริชจงใจเอาเรื่อง
“ทำไม จะทำอะไรฉัน บอกมาซิ บอกมาเซ่”
ภูริชผลักยุวรินทร์ด้วยความรำคาญ
“นี่คุณกล้าผลักฉันเหรอ”
ยุวรินทร์ทุบภูริชไม่ยั้ง ลูกค้าในร้านหันมามอง ภูริชเห็นสายตาลูกค้าในผับก็ชักอาย เลยคว้ามือยุวรินทร์ออกไปหน้าผับ
“มานี่เลย”
“ปล่อยนะ ฉันเจ็บ”
ภูริชปล่อยมือยุวรินทร์ แล้วตวาดใส่
“ฉันว่าเธอชักจะก้าวก่ายชีวิตฉันมากเกินไปแล้ว”
“ก็ฉันเป็นเมียคุณ ฉันมีสิทธิ์”
“อ่อ คิดอย่างนี้ใช่มั้ย ดี งั้นเราหย่ากันเลยดีว่า”
ยุวรินทร์อึ้ง
“นี่คุณท้าหย่าฉันเหรอ”
“ใช่ ฉันเบื่อที่ต้องทนนิสัยน่ารำคาญของเธอเต็มทีแล้ว”
“แต่ฉันไม่เบื่อ แล้วฉันก็ไม่หย่าด้วย อยากหย่าก็ไปฟ้องศาลเอาเองแล้วกัน”
ภูริชเงื้อมืออยากจะตบ ยุวรินทร์ยื่นหน้าเข้าใส่
“เอาเซ่ อยากดังก็ทำเลย ฉันจะได้แฉคุณให้หมด รวมทั้งเรื่องคุณกับนายคุณวางแผนทำร้ายคนอื่นสารพัดด้วย อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ เห็นฉันเป็นเมียโง่ๆ ในบ้าน แต่บอกไว้เลยว่า ฉันรู้ทุกอย่าง”
ภูริชสะอึก ยุรวินทร์นึกถึงเรื่องที่เธอเคยแอบฟังภูริชคุยกับสุกิจ
“ครับคุณสุกิจ เดี๋ยวผมให้คนของผมจัดการนังมัศยาเองครับ ไม่ต้องห่วงครับ คนของผมไว้ใจได้ จะไม่มีการสาวถึงคุณสุกิจแน่นอน”
ภูริชวางสาย ยุวรินทร์แอบฟังอยู่
ต่อมาภูริชคุยโทรศัพท์อีกมุมหนึ่งของบ้าน
“ดีมาก รีบจัดการป้านั่นให้เร็วที่สุด อย่าให้มันไปช่วยไอ้ประธานได้”
ยุวรินทร์แอบมองอยู่ด้วยความสงสัย วันต่อมา ยุวรินทร์เข้าไปในห้องทำงานของภูริช รื้อเอกสารที่โต๊ะจนเห็นหน้าปกแฟ้มเขียนว่า “แผนการตลาดข้าวเกรียบโอกิมิ”
ภูริชกำมือแน่นด้วยความโมโห เมื่อนึกถึงว่าตัวเองมีความลับปิดบังอยู่
“นี่เธอขู่ฉันเหรอ”
“ฉันไม่ได้ขู่ ฉันแค่อยากให้คุณรู้ว่า ทำเลวอะไรไว้ อย่าคิดว่าคนอื่นไม่รู้ แล้วถ้าคิดจะเลิกกับฉันล่ะก็ ฝันไปได้เลย”
ภูริชเดือดจัดอยากจะฆ่ายุวรินทร์ แต่ไม่กล้า เลยเดินออกไป ยุวรินทร์ยิ้มเยาะสะใจมาก

ปารณและนิรชาเดินจูงมือกันมาถึงหน้าบ้านนิรชา
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
ปารณยิ้มรับทันที
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ให้ฉันรับส่งเธอทุกวันฉันก็ทำได้”
“คุณนี่ปากหวานตลอดเลยนะ นี่ถ้าฉันไม่รู้จักคุณดีพอ ฉันคงไม่กล้าไปไหนมาไหนด้วยแน่ๆ”
“ทำไมล่ะ”
“ฉันกลัวคุณมาหลอกฉันน่ะสิ จำได้มั้ยว่าตอนเจอกันครั้งแรก เราเจอกันยังไง”
“จำได้สิ เธอน่ะหลอกเงินกับของฉันไปตั้งเยอะ”
“แล้วทำไมตอนนี้คุณถึงยังชอบฉันล่ะคะ”
ปารณชะงักคิด
“สงสัยสเป็คฉันจะชอบผู้หญิงร้ายๆ อย่างเธอล่ะมั้ง เอ้อ ว่าแต่ฉันบอกเธอไปแล้วว่าฉันรู้สึกกับเธอยังไง แล้วเธอล่ะ รักฉันบ้างรึเปล่า”
นิรชายิ้มเขินๆ ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
“ว่าไงล่ะ ช่วยบอกให้ฉันชื่นใจหน่อยสินิ”
นิรชาอ้าปากทำท่าจะบอก แต่แล้วเสียงของนารีก็ดังขึ้น
“กลับมาแล้วเหรอนิ”

ปารณและนิรชาชะงักทันที ปารณถอนหายใจเซ็งนิดๆ

นิรชาพาปารณเข้ามาในบ้าน รินน้ำมาให้ ขณะที่ปารณนั่งคุยกับนารี
 
“ขอบคุณคุณมากนะ ที่อุตส่าห์ชวนนิไปทำงาน เห็นมันมีงานมั่นคงฉันก็ค่อยสบายใจหน่อย”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณน้า ผมเต็มใจช่วยเหลือนิกับคุณน้าอยู่แล้ว”
“คุณเป็นคนดีจริงๆ ฉันเองก็ไม่นึกมาก่อนว่า สังคมสมัยนี้ยังจะมีคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทนอยู่ด้วย”
นิรชาเอาน้ำมาวางเสิร์ฟ หลุดขำออกมา ปารณหน้าเจื่อน อายๆ นารีหันมาถามนิรชา งงๆ
“หัวเราะอะไรเหรอนิ”
“เปล่าจ้ะแม่”
ปารณอึกอัก จนสุดท้ายก็ยอมบอกนารี
“ความจริงผมก็ไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้นหรอกครับคุณน้า คือว่า ที่ผมดูแลนิมาตลอดก็เพราะ เอ่อ เพราะ”
“เพราะอะไรเหรอ”
“ผมกำลังจีบนิอยู่น่ะครับ”
นารีได้ฟังก็อึ้ง หันไปมองนิรชา
“จริงเหรอนิ”
นิรชาพยักหน้าขำๆ
“แล้วเราล่ะ ชอบคุณปารณเขารึเปล่า”
“แม่นี่ มาถามอะไรแบบนี้ล่ะ”
“แม่จะได้รู้ไว้ไง ถ้าเราชอบเขา แม่ก็จะได้ไม่ขัด แต่ถ้าไม่ชอบก็จะได้บอกเขาไปเลย อย่าไปให้ความหวังเขา ว่าไงล่ะ”
ปารณตาวาวอยากฟังมาก นิรชาเขิน
“ชอบจ้ะ”
ปารณยิ้มร่าดีใจ
“งั้นก็ดีแล้ว ฉันฝากยัยนิด้วยนะคุณ ดีเหมือนกัน มีคนดูแลยัยนิ เผื่อฉันเป็นอะไรขึ้นมา จะได้หมดห่วง”
“แม่อย่าพูดอย่างนั้นสิจ๊ะ แม่ต้องอยู่กับนิไปอีกนาน”
“เฮ้อ จะไปหวังอะไรกับคนป่วย ว่าแต่ยายรู้เรื่องนี้รึยัง”
นิรชากับปารณชะงักทันที
“รู้แล้วจ้ะ”
“แล้วยายแกยอมเหรอ”
“ไม่ยอมครับ แต่ไม่ต้องห่วงครับคุณน้า ผมตั้งใจแล้วว่าจะต้องทำให้ป้ามะลิยอมรับในตัวผมให้ได้ ต่อให้ยากแค่ไหนผมก็จะสู้ครับ”
ปารณจริงจัง มั่นใจมาก

น่านฟ้ากำลังขับรถอยู่ พลางคิดถึงคำพูดของแอนนา
“ไม่จริงหรอกค่ะน่าน แอนว่าคุณกำลังสับสน คุณไม่ได้รักเขา แต่คุณแค่หลงไปกับสิ่งที่เขาทำให้คุณมาตลอด แอนต่างหากคือคนที่เข้าใจคุณ แอนรู้ว่าคุณคบแอนแบบไหน และยอมรับคุณได้ทุกอย่าง แต่คุณคิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะรับสิ่งที่คุณเป็นได้เหรอ”
น่านฟ้าตัดสินใจเลี้ยวรถไปจอดข้างทาง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกทันที
“ฮัลโหล หยีเหรอ ผมเองนะ คุณแวะมาหาผมที่คอนโดหน่อยได้มั้ย เปล่า คิดถึงเฉยๆ นะๆๆ”

น่านฟ้านั่งเหม่ออยู่ที่โซฟาในคอนโด เสียงออดดังขึ้น เขารีบไปเปิดประตูทันที มัศยายืนอยู่
“เข้ามาสิจ๊ะยาหยี”
มัศยาเดินเข้ามางงๆ
“เป็นไรของคุณ คุณน่าน นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วรู้มั้ย ยังจะให้ฉันมาที่นี่อีก”
“โถๆๆๆ ทูนหัว อย่าบ่นนักเลยจ้ะ แฟนคิดถึง ชวนมาหาแค่นี้ทำเป็นบ่น”
มัศยามองน่านฟ้าจับผิด
“คิดอกุศลอะไรกับฉันรึเปล่าเนี่ย”
“เปล่าเลย ไม่มี้”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจจ้ะ มาๆ นั่งลงดีกว่า เดี๋ยวผมหาอะไรเย็นๆ มาให้ดื่มนะ”
น่านฟ้าเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำส้มมารินใส่แก้ว มัศยายังมองเขาอย่างจับผิด
“แอบใส่ยานอนหลับให้ฉันกินรึเปล่า”
“ผมจะทำแบบนั้นทำไม ในเมื่อตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนะ”
น่านฟ้าเอาแก้วน้ำส้มมายื่นให้มัศยา มัศยาดื่มน้ำส้มแล้ววางลงด้วยความแปลกใจ
“อ่ะ ตกลงมีอะไร ฉันรู้ว่าคุณคงไม่อยู่ๆ นึกจะให้ฉันมาหากลางดึกโดยไม่มีธุระอะไรแน่ๆ”
น่านฟ้าดึงมัศยามาซบที่ไหล่
“คุณดีใจมั้ยที่คบกับผม”
“อื้อ”
“แล้วทำไมคุณถึงดีใจล่ะ ในเมื่อคุณก็รู้ว่าผมนิสัยห่วยแตกแค่ไหน”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้ตัวอีกทีใจมันก็ไปแล้วอ่ะ”
น่านฟ้าผละออก สบตามัศยาซึ้งๆ
“ขอบคุณนะ ที่คุณรับในสิ่งที่ผมเป็นได้ ผมรักคุณนะหยี”
มัศยายิ้มรับอายๆ น่านฟ้าค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปจูบมัศยาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะดึงมัศยาเข้ามากอด
“คุณน่าน ฉันถามอะไรคุณอย่างสิ”
“อะไรเหรอครับ”
“ที่คุณบอกว่าคุณชอบฉัน คุณขอฉันเป็นแฟน คุณคิดจริงจังกับฉันแค่ไหน”
น่านฟ้าชะงักนิดๆ
“ถามอะไรอย่างนั้นล่ะ”
“ฉันอยากรู้ว่าคุณคิดจะจริงจังกับฉันถึงขั้นแต่งงานรึเปล่า”
“นั่นมันเรื่องของอนาคต”
มัศยาไม่พอใจ ผละจากอกน่านฟ้า แล้วจ้องตาคาดคั้น
“ตอบฉันมาสิคุณน่าน คุณรักฉันมากพอจะแต่งงานด้วยมั้ย”
น่านฟ้าชักลังเล กดดันกับคำถามนั้น ก่อนจะยิ้มร่าทำตลกขึ้นมาทันที
“โถ่หยี คุณถามเป็นคนหัวโบราณไปได้ สมัยนี้คนเป็นแฟนกัน แค่เอ็นจอยกัน คุณสนุก ผมก็สนุก มีความสุขไปวันๆ มันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ จะไปคาดหวังอะไรมากมาย จริงมั้ย”
มัศยาชะงัก ช็อคกับคำตอบ
“ที่แท้คุณก็คิดแบบนี้นี่เอง งั้นฉันว่า เราคงคิดต่างกัน เราไม่เหมาะจะคบกันหรอกค่ะ”
มัศยาลุกพรวดขึ้นทันที
“หยี คุณจะไปไหน”

มัศยาเปิดประตูออกไปเลย น่านฟ้าหน้าเจื่อน ทรุดลง เอามือกุมหน้า เซ็ง

จบตอนที่ 12
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 12
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 12
เช้าวันรุ่งขึ้น เพ็ญพรรอจนเห็นว่าวาทินีเดินฮัมเพลงออกมาจากในห้องไปแล้ว เธอก็รีบแอบเข้าไปรื้อค้นหาหลักฐานในห้อง แต่จู่ๆ วาทินีดันนึกได้ว่าลืมมือถือ จึงโผล่พรวดเข้า “นังพรเพ็ญ แกเข้ามาในห้องฉันทำไม” เพ็ญพรหน้าซีด ก่อนจะรีบแก้ตัว “เออ ฉัน ฉันเข้ามาเอาของให้พ่อ” “แล้วเจอหรือยัง” “ไม่เจอ” เพ็ญพรพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะรีบเดินออกไป วาทินีหันไปมองเพ็ญพรอย่างไม่เชื่อในคำพูด “โชคดีที่มันไม่เจอยาบ้าที่เราซ่อนเอาไว้” พอวาทินีเดินออกจากห้อง เพ็ญพรก็จะย้อนกลับเข้าไปค้นใหม่ แต่ปรากฏว่าห้องถูกล็อกไปแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น