เงาใจตอนที่ 12
“เม...เม...” รุทรตะโกนสุดเสียง เมื่อเห็นว่าเมทินีเอาแต่ยืนเหม่อ “เม!”
เมทินีถึงกับสะดุ้ง ตื่นจากมโนเมื่อครู่ เหลียวมองไปทางเสียงเรียกพบว่ารุทรปูที่นอนในเต็นท์จนเสร็จแล้ว เมทินีสลัดความคิดในหัวพยุงตัวเองมาลงนั่ง แล้วหยิบเป้ของรุทรออกจากเต็นท์ส่งให้ รุทรมองฉงน
“ทำไมล่ะ”
“บอกตรงๆ เลยนะวาทิต จู่ๆ เธอก็มีแรงแบกฉันขึ้นเขา มีแรงแบกฉันกลับมานี่ แล้วยังสร้างเต็นท์ต่อได้อีก ฉันกำลังคิดว่าเธอมีแรง”
“แล้วไง”
“เธอก็อาจจะผิดสัญญาทำมิดีมิร้ายฉันน่ะสิ”
รุทรฟังแล้วเพลีย “นี่ถ้าผมจะผิดสัญญา ผมทำที่บ้านไม่ดีกว่าเหรอ แอร์เย็นๆสะดวกสบายด้วย”
“แต่ที่บ้านคุณพ่ออยู่ไง เธออาจจะกลัวฉันร้องก็ได้” นางยังหาข้ออ้างอีก
รุทรส่ายหน้าระอาใจ
“ขอโทษนะวาทิต แต่ฉันกลัว”
รุทรพยักหน้าเข้าใจ เมทินีเข้าเต็นท์แล้วตัดสินใจปิดซิปประตูเต็นท์เลยทันที รุทรถอนใจเซ็ง เดินไปหยิบเป้ไปหาที่นอนใกล้ๆ กองไฟ
เมทินีสวดมนต์ก่อนนอนเสร็จพอดีแล้วล้มตัวลงนอน พอกำลังเคลิ้มๆ จะหลับตา ก็มีเสียงลมพัด เงาของต้นไม้เริ่มมาพาดพิงเต๊นท์
“ไม่เอาน่าผีไม่มีหรอก”
เมทินีหันนอนตะแคง แล้วก็เห็นเงาเหมือนคนก็ตกใจ
“ว้าย”
เมทินีลุกขึ้นเปิดซิปดู ก็เห็นรุทรกำลังจัดที่นอนไม่เสร็จ
“นี่วาทิต นอนได้แล้ว”
รุทรเหลียวมองมางงๆ “ทำไม”
“ก็เงาเธอน่ะสิ ทำฉันตกใจ นอนเถอะ”
รุทรเซ็งเหลือ “มีงี้ด้วย”
รุทรล้มตัวลงนอน
ส่วนในเต็นท์ เมทินีพยามข่มตาลง แต่เสียงลมก็เริ่มแรงขึ้น แถมเงาต้นไม้เริ่มขยับไหวไปมามากขึ้นเหมือนรูปร่างคน สักพักมีเสียงนกฮูกร้องอีก บรรยากาศวังเวง จนเมทินีสะดุ้ง
“โอ๊ย มันเสียงบ้าอะไรเนี่ย”
เสียงสัตว์กลางคืนต่างๆ ร้องระงม และดังเยอะขึ้นๆ เมทินีลุกขึ้นขยับไปเปิดซิปดู แล้วต้องเพ่งซ้ำ เมื่อเห็นเงาด้านหลังของนกฮูกตัวใหญ่เกาะอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆ
“ตัวอะไร”
เหมือนนกฮูกจะได้ยิน มันจึงหันคอ 180 องศามาหาเมทินี พร้องเสียงร้องฮูก...ดังลั่น
เมทินีกรี๊ด “อ๊าย”
เมทินีหอบผ้าห่มค่อยๆ ย่อง เดินกะเผลกๆ ออกจากเต็นท์ด้วยความกลัวนกฮูกที่หันมองมาตามตลอด จนถึงบริเวณข้างกองไฟ ที่รุทรนอนอยู่จึงกระซิบปลุก
“วาทิต...วาทิต” รุทรไม่ขยับใดๆ “บ้าจริง ทำไมหลับง่ายจัง บรรยากาศมันชวนหลับตรงไหน”
เมทินีลงนั่งข้างๆ ด้วยความหวาดผวา มองไปรอบๆ อย่างระแวง และด้วยความกลัวจนขึ้นสมอง เมทินีตัดสินใจลงนอนคลุมโปงข้างรุทรแต่หันหลังให้
เสียงนกฮูกร้องอีก เมทินีตกใจกลัวรีบหันหน้าไปหาวาทิตแล้วซุกแขนรุทรนอนตัวสั่น
รุทรซึ่งแกล้งหลับอยู่ แอบอมยิ้มขำ
ทางด้านชาติพาใบหน้าที่เป็นแผลจากการโดนกิจจาตบด้วยด้ามปืนออกมาพบอังกูรที่ร้านเหล้า ชาติวางแก้วเหล้าอย่างโมโห อังกูรนั่งมองอยู่
“เจ็บใจจริงๆ ครับนาย ไอ้แก่นั่นมันดูถูกผมว่าเป็นมือปืนกระจอก แล้วยังกล้าตบผมด้วยด้ามปืน”
ชาติลูบแผลด้วยความเจ็บใจ
“ฉันไม่กระทืบแกซ้ำก็ดีแค่ไหนแล้ว ถ้าแกไม่มัวแต่ติดอยู่ในบ่อน ป่านนี้ได้ส่งไอ้วาทิตมันลงนรกไปแล้ว”
“โธ่...คุณกูร ผมไม่รู้นี่ว่าจะให้เริ่มงานเร็วอย่างนี้”
“ต่อไปถ้าแกพลาดอีก ฉันจะไม่แค่ใช้ด้ามปืน แต่ฉันจะให้แกกินลูกปืน จำไว้”
ชาติจ๋อย “ครับผม...ว่าแต่ไอ้กิจจานี่ผมว่ามันไม่เบานะครับ”
อังกูรคิดตาม “ฉันก็คิดว่าอย่างนั้น ขนาดมันรู้ว่าแกเป็นมือปืน แทนที่จะกลัว กลับขู่แกอีก ฉันว่าเราคงประมาทไอ้แก่นี่ไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ชิ่งมันเลยสิครับนาย จะไปอยู่ให้มันข่มทำไม”
“ไม่ได้ ฉันยังต้องการความช่วยเหลือจากมัน โดยเฉพาะกินรี”
“คุณกูรจะทำอะไรครับ”
อังกูรครุ่นคิด “ฉันมานั่งๆคิดๆดูแล้ว ไอ้วาทิตมันเปลี่ยนไปมากอย่างแกว่า ฉันอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันถึงได้แข็งแรง ฉลาดผิดหูผิดตาแบบนี้ คนเดียวที่จะช่วยได้ก็คือนรี”
“ตอนนี้หน้าคุณกูร คุณนรีแกยังไม่มองเลย แล้วคุณกูรจะหาวิธีไหนไปขอให้แกช่วยครับ”
“นั่นสิ ฉันก็ยังคิดไม่ออก”
ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของอังกูรดังขึ้น อังกูรหยิบมาดูแล้วกดรับ
“ครับคุณอา...พรุ่งนี้เหรอครับ ได้ครับ” อังกูรกดวางสาย
“ไอ้แก่นั่นมันคงจะเรียกคุณกูรไปฟ้องเรื่องผมใช่ไหมครับ”
“จะเรื่องอะไรก็ช่าง แต่ฉันคิดว่า ฉันพอจะหาทางดึงนรีมาช่วยฉันได้แล้ว”
พระอาทิตย์โผล่พ้นเหลี่ยมเขาไกลโพ้น ส่องแสงไปทั่วทุ่งบัวตองยามรุ่งอรุณ ดอกบัวตองสีเหลืองสด เบ่งบานอวดความสวยเต็มขุนเขาแห่งนี้
เหล่านกโผผินบินออกหากิน โฉบตัวลงเกาะตามกิ่งไม้ ผีเสื้อป่าโบยบินไปมา
กองไฟหน้าเต็นท์มอดแล้ว แต่ยังมีควันฉุยเล็กน้อย รุทรตื่นแล้วสักพัก เขานอนลืมตามองหน้าเมทินีที่หลับอยู่ในอ้อมแขน
ใบหน้าสวยตรงหน้า ปลุกเร้าความรู้สึกหวามไหวแปลกๆ ให้ผุดพรายขึ้นมาในใจของรุทรเป็นริ้วๆ กระทั่งเมทินีลืมตาขึ้น และพบว่ารุทรมองจ้องตนอยู่แล้ว ต่างคนต่างมองตากันอย่างถูกมนต์สะกด นิ่งและนาน
จนเมทินีรู้สึกตัว ผลักรุทรออกไป แล้วลุกขึ้นชี้หน้าโวยลั่น
“วาทิต นี่เธอทำอะไรฉัน”
รุทรนอนมอง งงๆ
เมทินีโกรธจัดเสียงดังมากขึ้น “วาทิตฉันถามเธอได้ยินมั้ย เธอ...เธอทำอะไรฉัน”
“ผมทำอะไร”
“จำสัญญาได้มั้ย แล้วดูซิ เธอผิดสัญญาจนได้” ยิ่งพูดเมทินียิ่งของขึ้นโวยวายแหลก “เธอทำอะไรฉัน ฉันไม่ยอม ไม่ยอม”
รุทรนึกได้ ขณะลุกนั่ง “เดี๋ยว...เดี๋ยว ผมว่าเมแหละฉวยโอกาสทำผมมากกว่า เมื่อคืนเมนอนอยู่ในเต็นท์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมผมตื่นขึ้นมาคุณมานอนกอดผม ตายแล้ว...นี่เมทำอะไรผมหรือเปล่า” รุทรยกมือกอดอกปกป้องตัวเอง แลดูน่าขัน
“หือ ฉันน่ะเหรอทำอะไรเธอ นี่เธอกล้าพูดแบบนี้กับฉัน กล้าคิดทุเรศแบบนี้ได้ยังไง” เมทินีคว้าฟืนมาถือ “วันนี้เธอตายแน่...ตายลูกเดียวนายวาทิต”
เมทินีกระโจนใส่ วิ่งไล่ตีวาทิตพัลวัน วาทิตออกวิ่งพร้อมถือกล้องหันมาถ่ายรูปเมทินี
สองคนไล่ตีกันในบรรยากาศสวยๆ ของท้องทุ่งบัวตองยามเช้า กลางแสงแดดอ่อนอุ่น
พอวิ่งหนีมาบนเนิน สุดท้ายรุทรวิ่งมาหยุดกึก เมื่อเจอหญิงชาวเขาอุ้มลูกเดินมา เมทินีเงื้อไม้จะตีแล้วชะงักมอง
ทั้งคู่ต่างออกอาการดีใจ ตะโกนออกมาพร้อมกัน
“เจอคนแล้ว” / “เราเจอคนแล้ว”
หญิงชาวเขาหน้าตาสวยราวกับ อ้อม พิยดา อุ้มลูกมองนิ่ง ท่าทีหวาดๆ ลูกสาวผู้น่ารักหน้าตาละม้ายเด็กดัง น้องนาวา ยิ้มมองมา เมทินียิ้มให้ลูกชาวเขา ลืมความโกรธสิ้น เข้ามายืนใกล้รุทร
“วาทิตดูสิ เด็กชาวเขาทำไมน่ารักอย่างนี้ ชื่ออะไรคะหนู”
“ไม่ได้หรอก ฉันมีลูกคนเดียว” หญิงชาวเขาบอก
เมทินี รุทรงง มองหน้ากัน
“ฉันถามว่าเด็กชื่ออะไรจ๊ะ” เมทินีถามอีก
“หน้าหนาวมันก็หนาวล่ะซิ...เธอถามแปลกๆ พวกคนกรุงที่ถามโง่ๆ”
ชายชาวเขาผู้เป็นพ่อ และผัว หน้าตาคล้ายหนุ่มไฮโซเมืองกรุง อาร์ท ศรา สะพายเข่ง ใส่ของใช้ทำสวนเดินขึ้นมาส่งเสียงดัง
“อ้าวเฮ้ย คุยอะไรกัน โธ่เอ๊ย เอ็งคุยกับมันทั้งวันก็ไม่รู้เรื่องหรอก”
เมทินีกะรุทรถามแทบจะพร้อมกัน “อ้าว...ทำไมล่ะ” / “นั่นสิ...ทำไมไม่รู้เรื่องครับ”
“ก็เมียข้าหูมันตึง” ตาผัวบอก
สองคนอึ้ง พยักหน้ารับรู้พร้อมกัน “อ๋อ งั้นเหรอ”
“คือรถผมเสีย แถวนี้จะหาร้านซ่อมรถได้ที่ไหน” รุทรบอก
“ร้านไม่มี แต่เดินไปปู้นมีหมู่บ้าน จะไปกับข้าก็ได้เย็นๆ ข้าก็กลับ”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปกันเองได้ ขอบคุณครับ”
“งั้นข้าไปก่อนนะ” ชาวเขาหน้าตาดีจัดบอก
ทั้งสองเดินไป รุทร และเมทินีมองตาม
เมทินีนึกได้ว่าโกรธกันอยู่ จึง ไล่ตีรุทรต่อ พ่อ แม่ ลูก มองตาม สองคนงงๆ
ในบรรยากาศป่าอันเขียวขจี รุทรกับเมทินีเดินมาในป่ากันสองคน จนชักเริ่มเหนื่อย และเมทินีเริ่มบ่น
“นี่เราโดนหลอกหรือเปล่า เดินมาตั้งไกลแล้วไม่เห็นบ้านสักหลัง”
“คงไม่มั้ง เค้าบอกว่าตรงปู้นก็คงหมายถึงตรงนั้น ก็ไม่น่าไกล”
“นี่เธอไม่เคยได้ยินหรือไงที่เขาว่าถ้าชาวเขาบอกว่าตรงปู้นนะ ให้เช็คให้ดีว่ามันปู้นสั้นปู้นยาว”
“ทำไมเหรอ”
“ก็ถ้าตรงปู้นสั้นก็หมายถึงตรงโน้นใกล้ๆ แต่ถ้าตรงปู้นน....ยาว แสดงว่าอีกไกล”
รุทรเห็นเมทินีอธิบายประกอบเสียงน่ารักก็อดขำไม่ได้
“โอเค ไม่ต้องบ่นแล้ว ถ้าเมเหนื่อยก็พักก่อนนะ”
เมทินีมองสำรวจไปรอบๆ แล้วก็เห็นที่หนึ่ง
“ไปตรงนั้นเถอะ หญ้ามันสั้นหน่อยน่าจะนั่งได้”
เมทินีชี้ไปตรงบริเวณที่ถูกถางหญ้าให้เตียนๆ แล้วเดินไปรุทรเดิมตามไป ทันใดนั้นทั้งสองคนก็สะดุดอะไรบางอย่างจนเซไปทั้งคู่
โดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งสองคนถูกตาข่ายยักษ์ห่อหุ้มร่างแล้วดึงลอยวูบขึ้นไปห้อยโตงเตงบนอากาศ
“อ๊าก...” / “อ๊าย...”
เสียงสองเมียผัวกำมะลอ ดังกึกก้องไปทั้งราวไพร
ขึ้น เงาใจ ตอนที่ 12
ระหว่างนั้น เหนือยอดต้นไม้สูงใหญ่กลางป่า ณ หมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงแห่งนี้ แลเห็นเหล่าฝูงนกแตกฮือบินออกจากต้นไม้ ชาวเขาคนหนึ่งกำลังตำข้าวอยู่หน้าบ้าน พอเห็นก็รีบวิ่งไปลานกลางหมู่บ้านแล้วตีกลองรัวดังลั่น ปากตะโกนอย่างตื่นเต้น
“จับได้แล้ว...เร็วจับได้แล้ว”
ชาวเขาชายหลายคนรีบวิ่งไปหยิบอาวุธพวกธนู มีด ขวาน กระชับในมือ
ที่กระท่อมหลังใหญ่ เห็นเท้าคู่หนึ่งก้าวออกมาอย่างมาดมั่น เมื่อมองจากเท้าขึ้นไป ผ่านมือกร้านใหญ่ที่ถืออาวุธพร้อม ขึ้นไปจนเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของ กะเวน ชายผู้เป็นผู้นำในหมู่บ้านชาวเขากะเหรี่ยงแห่งนี้ ช่างดูเหี้ยมจริงจัง ข้างๆ เป็น วาโพ เมียร่างยักษ์ของกะเวนเดินมายืนเคียงข้าง กะเวนจะเดินลงจากบ้านด้วยมาดผู้นำ แต่ขยับไปได้แค่ก้าวเดียว มือของวาโพก็ดึงคอเสื้อไว้ แล้วยื่นมือมาสะกิดออดอ้อนเหมือนเด็กๆ
“อุ้ม...อุ้ม...อุ้ม”
กะเวนหน้าเสีย เหงื่อแตกพลั่ก ยื่นมืออันสั่นเทาไปอุ้มเมียร่างยักษ์ลงบันไดเรือนไปอย่างทุลักทุเล
ที่บริเวณลานกลางหมู่บ้านในเวลาต่อมา กะเวนวางร่างของวางโพให้ยืนได้ที่แล้ว ตัวเองก็มายืนวางสีหน้ามุ่งมั่นดุดัน ดูน่าเกรงขามสมเป็นผู้นำ ต่อหน้าชายชาวเขาพร้อมอาวุธหลายคนยืนรออยู่
“ดูจากฝูงนกแล้ว วันนี้พวกเราจะไม่ผิดหวังแน่” กระเวนเอ่ยขึ้น
ชาวเขาทุกคนพร้อมกันร้องเฮ้
กะเวนชูอาวุธแล้ววิ่งนำไป ชาวเขาชายทุกคนวิ่งตามเป็นพรวน
มีเสียงเหล่าชาวเขาหญิงตบมือเป็นกำลังใจชวนให้ฮึกเหิม ราวกับออกรบสู้สงครามก็ไม่ปาน
ฝ่ายรุทรกับเมทินีติดอยู่ในตาข่าย ห้อยโตงเตงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พยามดิ้นแต่ไม่หลุด
“ทำไงดีล่ะวาทิต ไอ้กับดักจับสัตว์นี่มันแกะไม่ได้เลย”
“เค้าเตรียมไว้จับสัตว์ใหญ่”
“งั้นก็แสดงว่าเดี๋ยวต้องมีคนมาดูน่ะสิ”
รุทรได้ยินเสียงเหมือนเท้าคนเดินย่ำแห่กันมา “ฟังเสียงสิ ผมว่ามาแล้วละ”
รุทรกับเมทินีมองหน้ากันอย่างดีใจ แล้วรีบมองไปรอบๆ หาคนช่วย
พวกกะเวนวิ่งมาถึงอย่างฮึกเหิม พอเห็นตาข่ายมีสิ่งมีชีวิตก็ร้องเฮดีใจลั่น สายตากะเวน มองย้อนแสงไป จึงไม่รู้ว่าเป็นคน
กะเวนพยายามเพ่งมอง “ตัวอะไรวะ” สุดท้ายตัดสินใจสั่งการ “พวกเราเตรียมอาวุธ”
รุทรกับเมทินีได้ฟัง เหลียวมองหน้ากันด้วยความตกใจ
รุทรร้องขึ้นทันที “เฮ้ย...เดี๋ยว อย่าทำอะไรพวกเรา”
“พวกเราเป็นคนค่ะ” เมทินีร้องบอก
กะเวนกับชาวเขาถอนใจเซ็งพร้อมกันด้วยความผิดหวัง
กระเวนบอกน้ำเสียงขุ่น “ปล่อยพวกมันลงมา”
มีดอันใหญ่สับเชือกทีเดียวขาด พร้อมเสียงกรี๊ดและเสียงร้องของรุทรกับเมทินีประสานกัน ตาข่ายร่วงลงสู่พื้น ชายชาวเขาช่วยกันแกะตาข่ายออก รุทรกับเมทินีดีใจที่เป็นอิสระรีบลุกขึ้น
“ขอบคุณครับที่ช่วยพวกเรา”
กะเวนยืนจ้องหน้าทั้งสองอย่างไม่ชอบใจ
ระหว่างนั้นเมทินีรู้สึกเจ็บที่ขา จึงมองดู เห็นเลือดออกและมีเศษไม้ปักอยู่ก็เข้าใจผิดคิดว่าโดนยิง
“วาทิต ฉันโดนธนูยิง” เมทินีเจ็บแผลจนจะล้ม รุทรต้องรีบประคอง
“เม...เม” รุทนร้องบอกกับกะเวน “ช่วยด้วยครับ ช่วยพวกเราด้วย”
กะเวนมองรุทรกับเมทินีด้วยสีหน้าเซ็งสุดๆ ที่เหยื่อก็ไม่ได้ ยังต้องมาช่วยทั้งคู่อีก
ร่างของเมทินีนอนอยู่บนแคร่ไม่ไผ่ที่ใต้ถุนบ้านกะเวน มีรุทรและกะเวนยืนอยู่ใกล้ๆ ชาวเขาทั้งหมู่บ้านไม่เว้นแม้แต่คนแก่กับเด็กก็มาล้อมดูอยู่ วาโพเดินเข้ามาหากะเวน พอเห็นรุทรก็รู้สึกปิ๊งทันที
“พวกนี้เป็นใครน่ะไอ้เวน”
กะเวนสะดุ้งกับการเรียกชื่อรีบกระซิบทันที
“บอกกี่ครั้งแล้วถ้าไม่เรียกข้าเต็มๆ ว่ากะเวน ก็เรียกพี่เวนก็ยังดี”
วาโพหงุดหงิด “เฮ้อ ยุ่งยากจริง”
กะเวนบอกว่า “มันติดอยู่ในกับดักของพวกเรา เจ้าไปหายามาทำแผลให้แม่หญิงนี่หน่อย”
วาโพเดินมาดูแผลแล้วหันไปหยิบกล่องยา เอามาเปิดแล้วปิด ทุกคนงงกับการกระทำของวาโพ
วาโพหัยนมาถามกับรุทร “บอกมาก่อน แม่หญิงนี่เป็นเมียคุณเหรอ”
กะเวนงง “มันเกี่ยวอะไรกับเอ็งวะวาโพ”
“ถ้าเป็นเมียไม่รักษา แต่ถ้าไม่ใช่ข้าถึงจะช่วย”
เมทินีรำคาญนิดๆ “ไม่ใช่หรอก เราเป็นเพื่อนกัน เอายามาใส่เร็ว ฉันเจ็บแผล”
วาโพจะเริ่มเช็ดแผล แต่แล้วหยุดมองรุทรเป็นเชิงถาม รุทรรู้ทันที
“เราเป็นเพื่อนกันจริงๆ”
วาโพตัดสินใจดึงไม้ออก เมทินีสะดุ้งสุดตัว “อ๊อย...เจ็บ”
“แผลสดแบบนี้ต้องใช้แอลกอฮอลล์ทำความสะอาด แล้วตามด้วยทิงเจอร์”
วาโพลงมือทำแผล เมทินีแสบแต่ก็กัดฟันทน วาโพทำแผลจนเสร็จ
“เรียบร้อยแล้วจ้ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
กะเวนเอ่ยขึ้นเสียงขุ่น “เสร็จธุระแล้วพวกเอ็งออกไปจากที่นี่ได้”
“แต่พวกเราไม่มีที่ไปนะครับ ขอพักที่นี่สักคืน หรือว่าจะให้เช่าก็ได้” รุทรว่า
“ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกเอ็ง”
ไม่เท่านั้น กะเวนดึงมีดออกมา รุทรกับเมทินีตกใจมาก
รุทรจะอธิบาย แต่เมทินีเอามือกันรุทรเป็นเชิงว่าตนจะจัดการเอง
“เดี๋ยวฉันตัดการเอง” พลางหันมาพูดกับกระเวน “ใจเย็นๆ แล้วฟังฉันก่อนนะคะ คือว่าเราสองคนหลงทางมาตั้งแต่เมื่อวาน เราเลยจะมาขอความช่วยเหลือ จนมาติดกับดักนี่ล่ะค่ะ และเราสองคนไม่ได้มีเจตนาร้ายเลยนะคะ”
กะเวนมองหน้ารุทรกับเมทินีนิ่งคิดจะเชื่อดีหรือไม่
“ถ้าไม่เชื่อก็ไปดูที่เชิงเขาลูกโน้นได้ รถเราเสียหลักจอดอยู่ตรงนั้น”
กะเวนไม่เชื่ออยู่ดี “ข้าไม่เชื่อ ไป ไป พวกเอ็งออกไปเลย”
กระเวนไล่รุทรกับเมทินีโดยไม่แยแส
ระหว่างที่เมทินีกับรุทรมองหน้ากันเป็นเชิงหารือว่าจะเอายังไงต่อไปดี
วาโพไม่พอใจผัวมาก เพราะชอบรุทรอยู่ รีบออกตัวช่วยขอร้องผัว
“พี่เวน อุ๊ย!” วาโพทำเสียงอ้อนๆ “พี่กระเวนให้เขาอยู่เถอะ”
“ยังไงข้าก็ให้อยู่ไม่ได้”
วาโพพยายามอ้อนผัว “พี่กะเวน แต่พวกเขาบาดเจ็บอยู่นะ ให้เขาพักสักหน่อยเถอะ”
“ไม่ได้ ข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่ให้อยู่” กะเวนยืนกรานเสียงแข็ง
“ไม่ได้ ฉันจะให้อยู่”
กระเวนกับวาโพเถียงกันเป็นภาษากระเหรี่ยง
วาโพบอกว่า “เต่อเปะบะ” (ไม่ได้)
“เป๋” (ได้) วาโพโต้
รุทรกับเมทินีมองตามกระเวนที วาโพที โดยเฉพาะเมทินีงง ไม่เข้าใจภาษาที่สองคนพูด คิดในใจ พูดภาษาอะไรกันเนี่ย
วาโพโมโห “ยาเจ่อแก๊งเน่นาเน่อมา นาเน่อบะเก่อนายาต่า” (แต่ข้าเป็นเมียเอ็ง เอ็งต้องฟังข้า)
กะเวนหงุดหงิดขึ้นเสียงใส่ “วาโพ”
ก่อนที่เรื่องจะลุกลาม รุทรรีบพูดสวนขึ้นเป็นภาษากระเหรี่ยงเช่นเดียวกันว่า
“คริเก่อยานา เม่อยาคีกาโอบวิพีอีเต่อคอหอ” (ผมขอร้อง ให้เราสองคนพักอยู่ที่นี่เถอะนะครับ)
ทั้งสามพากันงง โดยเฉพาะเมทินี เพราะไม่คาดคิดว่ารุทรที่เข้าใจว่าเป็นวาทิต จะพูดภาษากะเหรี่ยงได้
วาโพไม่สนใจกะเวนหันมายิ้มหวานให้รุทร “ได้ซิจ๊ะ พวกคุณพักที่นี่จนแผลแม่นี่ เอ๊ย แม่หญิงหายเลยก็ได้”
กะเวนมองหน้าวาโพอย่างฮึดฮัดขัดใจ แต่วาโพเอาแต่ยิ้มหวานให้รุทรอย่างพึงใจ
รุทรกับเมทินีหันมายิ้มให้กัน
โดยในใจเมทินีอดนึกสงสัยที่รุทรพูดภาษากระเหรี่ยงได้อยู่อย่างนั้น
ประตูกระท่อมร้างหลังหนึ่งเปิดออก วาโพเดินนำรุทรที่ประคองเมทินีเข้ามาในห้อง
“พออยู่ได้ไหมจ๊ะ ถ้าไม่ได้คุณไปอยู่ที่บ้านวาโพก็ได้นะ”
รุทรยิ้มเจื่อนๆ “เอ่อ ไม่เป็นไรครับ พวกเราอยู่ได้”
รุทรกับเมทินีมองไปรอบๆ ห้อง เห็นข้าวของเครื่องใช้สภาพเหมือนมีคนอยู่
“บ้านเหมือนมีคนอยู่ เจ้าของบ้านไปไหนล่ะคะ”
“แม่แก่แกเพิ่งตายไปเมื่อวาน กับดักสัตว์ที่พวกคุณมาติดไง พวกเราทำก็เพื่อพิธีส่งแกให้ผีป่าจ้ะ”
เมทินีกลัวผีอยู่แล้ว ก็รีบยกมือไหว้รอบทิศ
“แล้วที่นี่มีอู่หรือมีช่างซ่อมรถไหมครับ”
“ไม่มีหรอกจ้ะ คนนี่ไม่ได้ใช้รถ เพราะจะมีรถมาขายของแล้วก็รับซื้อพืชผักของหมู่บ้านเราไป ถ้าคุณจะหาช่างก็ลองขอติดรถเขาเข้าไปในเมืองสิ”
“ก็ได้ครับ แล้วรถจะมาเมื่อไหร่”
“ก็คงอีกสองอาทิตย์น่ะ” วาโพบอก
รุทรตกใจ “ห๊า สองอาทิตย์เลยเหรอ”
“พวกคุณพักตามสบายนะ”
วาโพเดินออกไป รุทรกับเมทินีมองหน้ากันเซ็งๆ
“เดี๋ยวผมจะไปเอาของที่รถนะ”
“ไม่เอาฉันไปด้วย”
“จะไปยังไงตั้งไกล แล้วขาเมก็เจ็บ เมรอนี่แหละ”
รุทรพูดจบก็เดินออกไปเลย เมทินีมองไปรอบๆ ด้วยความกลัว เดินลากขาที่เจ็บไปนั่งข้างๆ ตู้ใบเดียวในกระท่อม แล้วดึงตู้เปิดเพื่อจะสำรวจ แต่ดันมีรูป ยาย หรือ แม่แก่ เจ้าของบ้านตกลงมา เมทินีร้องกรี๊ด
ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่ ไมตรีนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดคณะ ทำแบบฝึกหัดหน้านิ่วคิ้วขมวด
“How to make present perfect tense? แล้วไอ้ present perfect นี่มันอะไรวะ”
วีด้าสาวสวยรุ่นพี่ และเป็นพี่รหัสของไมตรี ถือหนังสือเดินผ่านมาได้ยินก็เลยแวะมาที่ไมตรีนั่งอยู่
“บ่นอะไรน้องรัก”
ไมตรีเงยหน้ายิ้มทัก “ก็ที่จะสอบภาษาอังกฤษน่ะสิครับพี่วีด้า ผมต้องตกอีกแน่ๆ เลย”
วีด้าตกใจ “ไม่ได้นะไม ถ้าเธอตกตัวนี้ พี่ว่าเธอจะลำบากเทอมหน้า ดีไม่ดีไม่จบนะ”
ไมตรีทอดถอนใจ บ่นบ้าตามประสา “ผมเข้ามาเรียนเกษตร จะให้เรียนไอ้ภาษานี่ทำไมก็ไม่รู้”
วีด้าขำ “นี่คุณน้องรหัสที่รัก ภาษาอังกฤษน่ะมันเป็นภาษาโลกธุรกิจแล้วนะ ยังไงมันก็รู้กันทุกคน เอางี้พี่ติวให้ไหม”
ไมตรีดีใจมาก “จริงเหรอพี่วีด้า ถ้าพี่เป็นติวเตอร์ให้ผมต้องเจ๋งแน่ๆ เพราะพี่จบ High school จากเมืองนอก พี่สอนให้ผมพูดเป็นฝรั่งเลยนะพี่”
“ย่ะ เอาแค่ตัวพื้นฐานให้ผ่านก่อนดีไหม” วีด้าค่อนค้อนพองาม
ไมตรียิ้มรับแหยๆ
วีด้านึกได้ “นี่ แต่ต้องรอพี่ซ้อมลีดเสร็จก่อนนะ ถ้ารอได้พี่ติวให้ได้ทุกเย็นเลย”
“ได้พี่ รอถึงเช้าก็ยอมอ่ะ” ไมตรีปะเหลาะ
“งั้นพี่ไปเรียนก่อนนะ เย็นนี้เจอกัน”
วีด้ายิ้มให้แล้วเดินไป ไมตรีมองหนังสืออังกฤษด้วยสายตาผู้ชนะ
ถัดมา เห็นอาจารย์วิชาภาษาอังกฤษเดินออกจากห้องเรียน มีนักศึกษาทยอยเดินตามออกมา ไมตรี วาริน แต และฝ้าย เดินตามๆ กันมา
“วันนี้เลิกเร็ว เราไปกินขนมจีนสันป่าข่อยกันไหม” วารินชวน
แตกับฝ้ายหูผึ่งทันที
แตกรี๊ด “แอร๊ย ได้เรยยยย อยากกินมาก”
“เอ่อ...แต่ฉันไปไม่ได้นะ ขอตัว ฉันมีธุระสำคัญ” ไมตรีบอก
แตอ้อน “แหม...กินแป๊บเดียวเองนะไม”
วารินตัดบท “ไม่เป็นไรหรอก กินน่ะเมื่อไหร่ก็ได้ เธอรีบไปเถอะ”
ไมตรียิ้ม “ขอบใจนะ งั้นไปละ”
จากนั้นไมตรีเดินลงไปที่หน้าตึก แล้วรีบเดินไปอีกทางหนึ่ง สามสาวมองตามแล้วนึกสงสัย
“เฮ้ย...ไมรีบกลับ แต่ไม่เอารถเครื่องไปเหรอ” แตตั้งข้อสังเกต
“นั่นสิ หรือไม่กลับบ้าน” ฝ้ายว่า
วารินคิดตาม นึกสงสัยเหมือนกัน
ในขณะนั้น วีด้าสาวสวยดาวเด่นแม่โจ้ พี่รหัสของไมตรี ซ้อมลีดอยู่กับเพื่อนๆ ในสนาม ท่วงท่าสง่างาม วาริน แต และฝ้าย เดินผ่านมาเห็นพอดี
“นั่นพี่วีด้านี่”
ฝ้ายชี้ให้ดู ทั้งสามก็หันไปมองตาม เห็นวีด้ากับเพื่อนๆ ซ้อมลีดอยู่ดูสง่างามมาก สามสาวชื่นชมสุดๆ
“พี่วีด้าเค้าทั้งสวยทั้งเก่งเลยเนอะ” วารินบอก
“มากอ่ะแก พี่วีด้าน่ารักมาก ฉันปลื้มพี่เขามากเลย” แตว่า
สามสาวยืนชื่นชมวีด้าตาเป็นประกายอยู่อย่างนั้น
พอมาวีด้าซ้อมลีดเสร็จหันไปสั่งทุกคน “พวกเราเดี๋ยวพักกันก่อนนะ”
วีด้าเดินตรงไปที่ผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นส่งน้ำให้วีด้า พอเขาหันหน้ามา ที่แท้เป็นไมตรี
วารินมองอึ้ง จุกเจ็บในอก แต และฝ้าย เห็นไมตรีคุยกับวีด้ากระหนุงกระหนิง เหมือนคู่รัก ก็หันมามองวาริน สองสาวมองหน้ากันจะเอาไงดี ฝ้ายส่งซิกให้แต
“เออ รินเราไปกันเถอะ”
สองสาวดึงแขนวารินออกไป
วารินเหลียวหลังมองไมตรีกับวีด้าไปตลอดทาง
อ่านต่อหน้า 2
เงาใจตอนที่ 12 (ต่อ)
บนอัฒจันทร์เชียร์ตอนนี้ ไมตรีกับวีด้าคุยกันอยู่บนนั้น
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปซ้อมอีกเที่ยวนะ ไมจดที่ไมสงสัยไว้เลย ไล่ตั้งแต่แรกเลยนะ เดี๋ยวพี่จะมาติวตามหัวข้อให้
“พี่วีด้าไม่ติวให้ผมตั้งแต่แรกเลยเหรอครับ”
“พี่น่ะได้ แต่ถ้าเราเริ่มจากนับหนึ่งเลยน่ะ คงดึกทุกวัน เอางี้ ถ้างั้นเดี๋ยวก็ไปติวใต้หอพี่เลยแล้วกัน”
“ครับพี่”
ไมตรียิ้มรับ วีด้าวิ่งกลับไปซ้อมลีดต่อกับเพื่อนๆ
“แหม…วีด้าเดี๋ยวนี้กินเด็กเลยนะยะ”
วีด้ายิ้มกริ่ม
“ก็เขาว่ากินเด็กเป็นอมตะไม่ใช่เหรอ น้องเขาก็หล่อ น่ารักดี จะลองดูก็ไม่แปลกนิ”
เพื่อนๆ ต่างร้องแซวกันยกใหญ่
“พอเลยพวกแก รีบซ้อมกันต่อ เดี๋ยวฉันต้องไปติวหนังสือให้น้องอีก”
วีด้าไล่เพื่อนๆ ให้ไปซ้อมลีด ส่วนตัวเองหันมามองไมตรีที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ แล้วยิ้มอ็นดู ก่อนจะกลับไปซ้อมกับเพื่อนๆ ต่อ
ที่ร้านขนมจีนในตลาดสันป่าข่อย วาริน แต ฝ้าย นั่งกินอยู่ด้วยกันที่นั่น แต ฝ้าย มีทีท่าไม่พอใจไมตรีมาก
“นายไมตรีนี่ไม่ใช่เล่นนะ บอกกับเราว่ามีธุระสำคัญที่แท้ก็ไปนั่งเฝ้าพี่วีด้า”
“ไม คงไม่ได้ไปนั่งเฝ้าหรอกมั้ง ไมเขาเป็นนักกีฬาก็คงซ้อมกีฬาอยู่แถวนั้น” ฝ้ายบอก
“แหม...ซ้อมกีฬาอะไรย่ะ ถึงได้ตัวติดหนึบอยู่กับพี่วีด้าขนาดนั้น” แตว่า
“ก็แค่คนรู้จักกันน่ะแก ไม่มีอะไรหรอก”
“นี่ ทำยังกับแกไม่เห็นเหมือนที่ฉันเห็น ไมตรีกับพี่วีด้าดูสนิ๊ทสนิทกัน โอ๊ย!เห็นแค่นั้นก็รู้แล้ว ว่าสองคนนั้นชะ...”
ฝ้ายส่งสายตาทำปากขมุบขมิบเป็นเชิงห้ามแตไม่ให้พูดต่อ และให้ดูวารินที่นั่งเหม่อตักพริกใส่จานอาหารของตัวเองไปเรื่อยๆ สองสาวมองอาการเหม่อของวารินแล้วถอนหายใจ แตตัดสินใจเรียกวาริน
“ริน ริน” วารินนิ่ง แตเลยตะโกน “ไอ้ริน”
วารินสะดุ้ง ตกใจ “ห๊ะ อะไร”
“แกนั่งเหม่อไปถึงไหนเนี้ย แล้วดู...”
แตพยักหน้าให้วารินก้มมองจานอาหารของตัวเอง วารินตกใจเล็กน้อยที่เห็นพริกลอยอยู่เต็มจานอหารของตัวเอง แต่ก็พยายามแถ
“ฉันเป็นคนกินเผ็ดน่ะ”
แตหมั่นไส้ “เหรอ ฉันนึกว่าแกเป็นคนกินพริก เห็นพริกลอยเต็มจานแกเลยเนี่ย”
วารินยิ้มเจื่อนๆ ให้เพื่อน สองสาวมองอาการของวารินแล้วส่ายหัวรู้ว่าเพื่อนกำลังคิดเรื่องไมตรี
วารินนั่งเหม่อเศร้าอยู่อย่างนั้น
อังกูรนั่งคุยกับกิจจาในห้องรับแขกแล้ว ขณะกินรีเดินถือน้ำเข้ามาให้ และนั่งลงข้างๆกิจจา
“ไอ้ชาติมันโทร.บอกผมว่าคุณอารู้แล้วว่ามันเป็นมือปืน ถ้าคุณอาไม่พอใจผมจะให้มันย้ายไปอยู่ที่อื่นดีไหมครับ”
กิจจายิ้ม “ไม่ต้องหรอก เรื่องเล็กๆ แค่นี้อาไม่ได้คิดอะไร แล้วเมื่อคืนอาก็สั่งสอนให้ไอ้ชาติมันปรับตัวกับนายใหม่อย่างอาไปแล้ว”
“ถ้างั้นคุณอาเรียกผมมาทำไมครับ”
“อาอยากคุยเรื่องนรีว่ากูรจะเอายังไง”
อังกูรหันขวับมองกินรีอย่างไม่พอใจ กินรีมองอังกูรท่าทีหวาดกลัว หลบสายตาวูบ
“นรีมาบอกคุณอาหรือครับ”
“นรีเป็นลูกของอานะกูร เรื่องของลูก ทำไมคนเป็นพ่อจะรู้ไม่ได้ อายอมไม่ได้ที่กูรจะไม่ให้เกียรตินรี”
“แล้วคุณอาจะให้ผมทำยังไงครับ”
กิจจายิ้มมีเลศนัย “เกิดเป็นลูกผู้ชาย ยังไงก็ต้องมีความรับผิดชอบ อามีลูกสาวคนเดียวที่เป็นแก้วตาดวงใจ และใครที่มาทำให้นรีต้องเจ็บ มันจะต้องเจ็บมากกว่านรี กูรคงเข้าใจอานะ”
อังกูรพอได้ยินก็นั่งนิ่งเฉย กิจจาเองก็ประเมินท่าทีของอังกูรอยู่
“ครับ ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้น และจะดูแลนรีอย่างดีที่สุด”
กินรีมองอังกูร แทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน กิจจายิ้ม พอใจ
“ดูแลอย่างเดียวมันไม่พอหรอก กูรโตแล้วนะคงจะรู้ว่าต้องทำยังไง”
“ครับ คุณอาไม่ต้องห่วง”
“ดีมาก ให้มันได้อย่างนี้ซิ ถึงจะได้ผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย ถ้าเป็นแบบนี้เราคงต้องรีบกำจัดไอ้วิทย์กับไอ้วาทิตโดยเร็วที่สุด”
กิจจาหัวเราะชอบใจหวังในทรัพย์สมบัติของพ่อเลี้ยงวิทย์ ปล่อยให้อังกูรนั่งอยู่กับกินรีสองคน
“เอ้า ตามสบายนะกูร ตามสบายเลย”
กิจจาหัวเราะชอบใจอย่างมีความสุข และเดินออกไป อังกูรนั่งนิ่ง
กินรียิ้มหวานรีบลุกไปหาอังกูร ทั้งกอดและซบอังกูรด้วยความดีใจ
“นรีดีใจนะคะที่คุณกูรยอมรับเรื่องของเรา”
อังกูรตบหน้ากินรีฉาดใหญ่ กินรีมองอังกูรด้วยความตกใจ ลูบแก้มข้างที่โดนตบ
“ทำไมต้องเอาเรื่องไปฟ้องพ่อเธอด้วย”
กินรีทั้งตกใจ และเสียใจ จนจะร้องไห้ “นรีขอโทษ”
“อยากอยู่กับฉันมากนักใช่ไหม”
อังกูรง้างมือเหมือนจะกระชากผมกินรี โดยกินรีหลับตาด้วยความกลัว อังเปลี่ยนไปลูบผม จับแก้ม ทำทีเป็นเอ็นดู ท่าทางหื่นโหยออกแนวโรคจิต ที่สุดดึงกินรีมาจูบบดขยี้ และถอนจูบจากกินรีเฉยๆ
กินรีมองอังกูรด้วยความไม่เข้าใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อังกูรจับหน้ากินรีให้ประสานตาจ้องกันยิ้มมีเลศนัย
“เธอต้องร่วมมือกับฉันนะนรี แล้วเราก็จะได้อยู่ด้วยกัน”
กินรีมองอังกูรด้วยความรัก ยอมสิ้นทุกอย่าง โผเข้าสวมกอดเขาแน่น อังกูรกอดตอบใช้มือลูบผมกินรีไปมาเหมือนรักใคร่เอ็นดู ทว่าใบหน้ายิ้มร้ายโดยที่อีกฝ่ายไม่เห็น
ขณะที่ชาติซึ่งอยู่ในบ้านพัก กำลังจะอาบน้ำ แกะกระดุมเสื้อแต่ยังไม่ถอด อังกูรเดินเข้ามาหา ชาติหันมาเห็นพอดี
“อ้าว! นายไปคุยกับคุณกิจจามาแล้วหรือครับ”
“เออ คุยเสร็จแล้ว”
อังกูรเดินมานั่ง ชาติเดินมายืนถามข้างๆ
“แล้วคุยเรื่องอะไรกันเหรอครับนาย”
อังกูรทำหน้าเซ็ง “เรื่องกินรี”
“อย่างนี้ก็แปลว่าคุณกิจจาก็รู้เรื่องนายกับคุณกินรีแล้วซิครับ”
“ใช่ และฉันก็ว่าดีนะที่เขารู้”
ชาติสงสัย “ดียังไงครับ”
“ก็จะได้คนมาช่วยให้จุดมุ่งหมายของฉันเป็นความจริงเร็วขึ้น ยิ่งตอนนี้ไอ้วาทิตมันแข็งแรงขึ้นมากจนน่าแปลกใจ เหมือนไม่ใช่ไอ้วาทิตที่เรารู้จักจัก คุณลุงเองก็หายไปดูไร่ชาบ่อยๆ และไปหลายวันกว่าจะกลับ ไม่ค่อยห่วงไอ้วาทิตเหมือนเดิม ฉันว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างที่จะต้องรู้ให้ได้” อังกูมองหน้าชาติ “แกก็ต้องคอยจับตาดูมันไว้ มีโอกาสเมื่อไหร่ก็จัดการมันได้เลย และห้ามพลาดอีกเด็ดขาด”
“ครับนาย”
“ฉันกลับละ”
อังกูรเดินออกไปแล้ว
ชาติถอดเสื้อ จู่ๆ กินรีเดินพรวดเข้ามาเห็นชาติเปลือยท่อนบนก็ตกใจ
“ว้าย”
ชาติยิ้มกริ่มเดินเข้าหากินรีที่ปิดตา ไม่กล้ามอง
“คุณนรีมาหาผมถึงที่ มีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ”
“ฉันมาหาคุณกูร”
“คุณกูรกลับไปแล้วครับ”
กินรีจะเดินหนีออกจากห้อง แต่ถูกชาติจับแขนเอาไว้ กินรีรีบสะบัดออกด้วยความรังเกียจ
“เลิกทำรุ่มร่ามกับฉันได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะฟ้องพ่อ”
ชาติไม่กลัวคำขู่นั้น ยังคงเดินเข้าหา แถมยิ้มกรุ้มกริ่มโลมเลีย กินรีร้องโวยวาย
“ว้าย อย่านะไอ้บ้า”
กินรีรีบวิ่งหนีกลับออกไป ชาติมองตามยิ้มร้าย ด้วยคาดหวังจะเอากินรีมาเป็นของตัวเองให้ได้
“รอให้หมดประโยชน์กับนายก่อนเถอะ เธอไม่พ้นมือฉันแน่”
เมทินีนั่งทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างกระท่อมด้วยความเซ็ง โดยที่ลานกลางหมู่บ้าน ชาวเขาแต่ละคนก็มองเมทินีด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เด็กๆ มายืนจ้องหน้า หนักๆ เข้าก็ขว้างของใส่ เมทินีตกใจรีบหลบ
“มาขว้างพี่ทำไมคะเด็กๆ”
ยังมีของขว้างมาอีก เมทินีเลยหลบเข้ามาในบ้านดีกว่าด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี รุทรเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับแบกเป้ และ กระเป๋าของเมทินีเข้ามา เมทินีเห็นก็ดีใจ
“ผมเอากระเป๋าเมมาใบเดียวนะ มันหนัก ถ้าจะเอาอย่างอื่นวันหลังค่อยเดินไปใหม่”
“ไม่เป็นไรหรอก คราวหน้าฉันไปด้วยนะ ไม่อยู่คนเดียวแล้ว”
รุทรขำ “นี่เมกลัวผีขนาดหนักเลยเหรอ”
“โอ๊ย...ผีน่ะเลิกกลัวแล้ว คนน่ากลัวกว่าเยอะ ฉันว่าคนที่นี่แปลกๆ นะ”
รุทรพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ทุกคนมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเลย”
“วาทิต บอกตรงๆ ฉันกลัวน่ะ ไม่รู้หมู่บ้านี้เป็นพวกค้ายาหรือเปล่า”
“เอางี้ คืนนี้เราพักที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยออกไปเดินหาหมู่บ้านอื่น เผื่อจะมีที่พอซ่อมรถให้เราได้ แล้วเราค่อยย้ายนะ”
เมทินีพยักหน้ารับด้วยความเข้าใจ
“มากินข้าวได้แล้ว” เสียงวาโพดังขึ้น
“เม รอที่นี่นะ เดี๋ยวผมเอาข้าวมาให้”
“ไม่เอา ฉันไปด้วย ไม่อยากอยู่คนเดียวแล้ว”
มีการเผาไฟย่างหมูป่าอยู่กลางลานของหมู่บ้าน ชาวบ้านนั่งล้อมเป็นวงๆ กินอาหารกันอยู่ กะเวนกับวาโพนั่งที่แคร่อยู่มุมหนึ่ง รุทรประคองเมทินีที่เดินไม่ค่อยถนัดมายืนเก้ๆกังๆ
“ไปนั่งที่อื่น” กระเวนไล่
วาโพปราม “พอเถอะพี่เวน จะอะไรนักหนา”
“เอ็งมาห้ามข้าทำไมวะวาโพ ก็เห็นๆ อยู่มันสองคนเป็นคนเมือง”
“แต่เค้าบาดเจ็บ”
“ช่างมันสิ แค่นี้ยังน้อยไปสำหรับไอ้พวกคนเมืองที่ชั่วช้า ไม่โดนฆ่าก็ดีแล้ว”
พูดจบกะเวนก็เดินผลักเมทินีกับรุทรออกไป วาโพส่ายหน้ารำคาญ
“เราสองคนกลับไปที่บ้านก็ได้ครับ ท่าทางคุณกะเวนคงไม่อยากให้เรากินข้าวด้วย”
“ไม่ต้องหรอก พวกคุณนั่งเถอะ ฉันจัดการเรื่องนี้เอง”
วาโพลุกเดินไป เมทินีฉุนจัด
“ฉันทนไม่ไหวแล้วนะวาทิต จะมาเกลียดอะไรเราสองคนกันนักกันหนา ฉันจะไปคุยให้รู้เรื่อง”
เมทินีมองตามไปทางที่กะเวนกับวาโพเดินไปด้วยความโมโห
กะเวนกับวาโพเถียงกันอยู่ตรงใต้ถุนเรือน รุทรกับเมทินีเดินเข้ามาได้ยินพอดี
“ข้าไม่สน อย่างน้อยข้าก็จะให้เขาพักจนกว่าแผลของแม่หญิงนั่นจะหาย” วาโพบอก
“เออ...เอ็งทำใจดีไปเถอะ คนเมืองสองคนนี้มันจะทำลายหมู่บ้านเรา” กระเวนโมโห
รุทรกับเมทินีเดินเข้ามาจ้องหน้ากะเวน
“นี่คุณจะกล่าวหาพวกเราเกินไปหน่อยไหม” เมทินีฉุนขาด
“ข้าพูดความจริง” กระเวนเสียงขุ่น
“ความจริงก็คือพวกแค่อยากมาขอความช่วยเหลือแค่นั้นนะครับ ไม่ได้คิดจะทำลายอะไรใครเลย” รุทรพูดดีๆ ด้วย
“ฟังให้ดีนะ คนที่แอบเข้ามาถางป่าตัดไม้คือใคร คนที่พยามใช้เงินล่อลวงเด็กในหมู่บ้านเข้าไปทำงาน หลอกให้พวกเราส่งยาเสพติดจนโดนจับไปหลายคน คนพวกนี้คือใครถ้าไม่ใช่พวกเอ็ง”
รุทรกับเมทินีได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็รู้สึกอึ้ง เริ่มเข้าใจความรู้สึกของคนในหมู่จนไม่รู้จะแก้ตัวยังไง กะเวนเดินมาจ้องหน้าทั้งสอง
“ทุกคนที่เข้ามาก็มาขอความช่วยเหลือ มาตีสนิทเหมือนที่พวกเอ็งกำลังทำนี่ไง”
รุทรยิ้มให้ “ผมเข้าใจแล้ว พวกคุณอาจจะเจออะไรมาเยอะ เอาเป็นว่าพวกผมสองคนขอบคุณที่ช่วยเหลือเราวันนี้ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะไปจากที่นี่นะครับ”
“แต่แผลของแม่หญิงล่ะ” วาโพท้วง
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือทุกอย่างนะคะ”
รุทรกับเมทินีพยุงกันเดินกลับไปยังที่พัก วาโพกับกะเวนมองตามไป
“ข้าว่าสองคนนี่ไม่เหมือนกับพวกก่อนๆที่เคยเข้ามาหาเรานะ
กะเวนเบ้ปาก ยังไม่อยากเชื่อใจรุทรกับเมทินีนัก
เวลาเดียวกันนั้น วารินนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพ์ จนโทรศัพท์สั่น วารินรีบควานหาโทรศัพท์ใต้หนังสือที่ทับอยู่ทันที แต่พอวารินกดดูก็ถอนใจเซ็ง เป็นข้อความจากแตว่า
“พรุ่งนี้จะแวะซื้อข้าวเหนียวหมูย่างน้ำพริกตาแดงที่เธอชอบไปให้ เจอกันเช้าๆนะ”
วารินพิมพ์ตอบ “ขอบใจนะ”
จากนั้นวารินก็วางโทรศัพท์อย่างเซ็งๆ แทบจะเป็นโยนลงบนโต๊ะ แล้วจะไปนั่งทำงานต่อแต่เสียงข้อความก็ดังขึ้นมาอีก วารินคิดว่าเป็นแตอีกแน่ๆ หยิบโทรศัพท์มาดูแล้วต้องชะงัก เป็นข้อความจากไมตรีว่า
“พรุ่งนี้เธอไปติวให้แตกับฝ้ายที่มหาลัยใช่ปะ”
วารินมองข้อความแล้วไม่อยากตอบ จนมีเสียงข้อความอีก วารินไม่ดูจับโทรศัพท์คว่ำ เสียงข้อความดังขึ้นอีกสามครั้งวารินตัดสินใจปิดคอมพ์ ปิดไฟแล้วเดินเข้าห้องนอนไป
โทรศัพท์วารินที่คว่ำอยู่ มีเสียงข้อความดังขึ้นอีกครั้ง
อีกฟาก สามคนอยู่ที่ห้องพักฟื้นวาทิตในบ้านท้ายไร่ พ่อเลี้ยงวิทย์พยายามกดโทรศัพท์หารุทรและเมทินีตลอดเวลา แรมที่ให้อาหารทางสายยางกับวาทิตเสร็จก็เก็บของแล้วเดินมาดู
“ยังติดต่อรุทรไม่ได้อีกเหรอคะ”
“ใช่ ไม่รู้ป่านนี้จะถึงโรงเรียนหรือยัง ลองโทร.หาเมก็ไม่ติดเหมือนกัน”
“ไม่มีทางจะเช็คทางอื่นเลยหรือคะ”
“ฉันก็ไม่รู้จะเช็คยังไง โรงเรียนนี้จนมาก โทรศัพท์อะไรก็ไม่มี”
“ตายแล้ว แบบนี้จะรู้ได้ไงคะว่าถึงโรงเรียนหรือยัง ทางที่ไปรุทรก็ไม่เคยไปซะด้วย ฉันชักไม่สบายใจแล้วสิคะ
เห็นแรมเริ่มกังวล อนุวัตรรีบปลอบ “บางทีมันอาจจะปิดเครื่องหรือสัญญาณไม่มีก็ได้นะแม่”
“ถ้ารถมันวิ่งมันก็ต้องผ่านที่ๆ มีสัญญาณบ้างสิวัตร นี่ตั้งแต่บ่ายแล้วนะ เงียบไปเลยทั้งรุทรทั้งแฟนวาทิต”
“เอางี้แล้วกันแม่ เดี๋ยวผมจะลองทิ้งข้อความไว้ เผื่อมันจะเปิดอ่านทีหลัง”
พ่อเลี้ยงกับแรมจำใจพยักหน้ารับเพราะไม่เห็นทางอื่นที่ดีกว่า
“หวังว่าพ่อคงไม่ทำให้พี่ของลูกเขาลำบากนะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์พูดแล้วก็ถอนใจด้วยความเป็นห่วง แรมเองมองวาทิตแต่ใจกังวลไปถึงรุทร
รุทรในคราบวาทิตกับเมทินีเดินคุยมาด้วยกัน มุ่งหน้าไปยังที่พัก ท่ามกลางบรรยากาศสวยๆ ยามค่ำคืน
“เมไหวหรือเปล่ายังเจ็บแผลอยู่ไหม”
“ก็ยังเจ็บอยู่นิดหน่อยนะ แต่ไม่เป็นไรมากแล้วล่ะ ขอบใจมากนะที่ช่วยดูแลฉัน”
สองคนหันมามองหน้ากันซึ้งๆ
“ที่จริงแล้วคนที่นี่ก็น่าสงสารนะ เพราะถูกหลอกมาเยอะ เลยทำให้ไม่ไว้ใจใครง่ายๆ”
เมทินีพูดต่อทันที “โดยเฉพาะคนแปลกหน้าอย่างเราสองคน”
เมทินีถอนหายใจ แหงนมองท้องฟ้าเห็นดวงดาว ดวงจันทร์สาดแสง สวยกระจ่างฟ้า
“ท้องฟ้าสวยจังเลยเนอะ”
รุทรแหงนมองตามและหันมามองหน้าเมทินี เมทินีหันมามองรุทรพอดี
“สวยมาก...” เมทินียิ้มเขิน รุทรกระซิบใกล้ๆ “ท้องฟ้าน่ะสวยมาก”
“วาทิตอ่ะ บ้า”
เมทินีตีแขนรุทรเผียะ งอนใส่และรู้ตัวว่าเดินมาถึงหน้าที่พักแล้ว
“ขอบใจมากนะวาทิตที่มาส่ง”
รุทรรีบเดินไปดักหน้า “มาส่งอะไรล่ะเม ผมกับเมเราพักด้วยกันที่นี่”
เมทินีตกใจ “พักด้วยกัน ไม่ได้หรอก”
“ทำไมจะไม่ได้ตอนอยู่ที่บ้านเราก็นอนห้องเดียวกัน แถมยังเคย…”
รุทรเม้มปากแล้วยักคิ้วส่งให้ เมทินีรู้ทันทีว่าเขาจะสื่อว่าเคยจูบกันมาแล้ว เมทินีทั้งเขินทั้งโมโห
“ยังไงก็ไม่ได้ คนที่นี่เขาเข้าใจว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกัน เพื่อนกันจะนอนบ้านเดียวกันได้ยังไง”
เมทินีเดินเข้าไปในบ้านพยายามจะเปิดประตูเข้าไป รุทรตามมาจับประตูไว้จะเข้าห้อง
“ผมไม่สนใจ ผมง่วงแล้ว”
เมทินีโวยวาย “ไม่ได้นะวาทิต เดี๋ยวเหมือนเมื่อตอนเช้าอีกที่เธอมาทำลุ่มล่ามกับฉัน”
“อะไรผมไม่ได้ทำอะไรเลย เมนั่นแหละมานอนข้างผมเอง ใครกันแน่ที่ทำลุ่มล่าม”
เมทินีโกรธจัด “วาทิต”
ทั้งคู่แย้งกันไปมา จนรุทรได้ทีหนีเข้ากระท่อมไปได้
“ไปนอนก่อนนะ ฝันดีจะ” รุทรส่งจูบให้ “ม๊วฟฟ”
“ไม่ได้นะวาทิต ลงมาเดี๋ยวนี้ วาทิต...วาทิต”
เมทินีพยายามเรียก แต่ชายหนุ่มไม่สนใจเดินเข้าที่พักไปเลย เมทินีมองไปรอบๆ อย่างหวั่นกลัว
เสียงของเมทินีที่เรียกชื่อ “วาทิตๆ” ดังไล่หลังมา รุทรหันมายิ้มมองเมทินี พอหันกลับมามองมุมที่จะนอนแล้วยิ้มอีก เมื่อพบว่าที่นอนอีกมุมมีรูปยายเจ้าของบ้านที่ตายไปแล้ววางอยู่ตรงผนัง
รุทรล้มลงนอนอีกฝั่ง ตั้งใจจะแกล้งให้เมทินีนอนตรงนั้น
เมทินีพยายามเรียกเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล วาทิตไม่สนใจ ไร้วี่แววจะออกมา เมทินีกวาดตามองไป พบว่ารอบบริเวณเต็มไปด้วยความมืด สักพักเสียงนกกลางคืนร้องน่ากลัว ผสมกับลมพัดต้นไม้ ใบไม้โยกไหว แสงไฟหน้ากระท่อมริบหรี่ๆ
เมทินีมองบรรยากาศวังเวงนั้น แล้วกลืนน้ำลายลงคอ กลัวสุดๆ
“ไม่ไหวแล้ว”
เมทินีตัดสินใจวิ่งเข้าที่พักด้วยความไว
เมทินีวิ่งเข้ามาในกระท่อม หยุดยืนมองรุทรที่นอนหลับแผ่หลาแล้วนึกหมั่นไส้ ทำท่าจะกำหมัดจะทุบรัวๆใส่ชายหนุ่ม
“หัวถึงหมอนก็หลับเลยนะ”
เมทินีรู้สึกขัดหูขัดตา เดินไปนอนในฝั่งที่ว่างอยู่ แล้วล้มตัวลงนอน แต่นอนไม่หลับจึงพลิกตัวมาทางฝั่งรุทร เห็นรุทรนอนสบายแล้วยิ่งขัดใจ จึงพลิกกลับไปอีกฝั่งก็พบกับรูปของยายเจ้าของบ้านที่ตายไปแล้ว วางอยู่ตรงหน้า
“ว้าย” เมทินีกรีดร้องลั่น รุทรสะดุ้งตื่น พอมองสภาพเมทินีแล้วยิ้มขำ
เมทินีพนมมือไหว้ปลกๆ ตัวสั่นเทา “คุณยายขาหนูขอโทษนะคะที่มารบกวน หนูมาขออาศัยนอนเท่านั้นนะคะคุณยาย”
รุทรหัวเราะเสียงดังลั่นเมทินีหันมามองค้อนจนตาคว่ำ
“หยุดหัวเราะเลยนะวาทิต มาแลกที่กันนอนเลย”
“เรื่องอะไรล่ะเม ใครมาก่อนก็มีสิทธิ์ก่อนซิ แล้วก็แค่รูปจะกลัวทำไม ถ้าคนในรูปออกมาเมื่อไหร่ ค่อยกลัว”
“หยุดพูดไปเลยนะ”
“ได้ ผมไม่พูดก็ได้ นอนละนะ ฝันดี” รุทรล้มตัวลงนอน ไม่สนใจ
เมทินีมองไปรอบๆ ด้วยความกลัว เสียงหมาหอนดังเข้ามาผสมโรงอีก เมทินีมองรูปคุณยายแล้วผวากลัว ค่อยๆ ข้ามไปนอนเบียดฝั่งรุทร
รุทรตื่นมามอง เมทินีกระเถิบ หันมาจนหน้าแทบติดกับรุทร เมทินีตกใจจะถอยหนี แต่ก็กลัวรูปยาย
“อะไรเนี้ยเม จะมานอนเบียดผมทำไม หรือว่า…”
รุทรใช้สายตากรุ้มกริ่มมองสำรวจทุกสัดส่วน เมทินีโมโห
“อย่ามาลามกตอนนี้ได้ไหมวาทิต”
“ลามกอะไร ผมแค่คิดว่าเมกลัวใช่ไหมถึงมานอนเบียดผมแบบนี้” เมทินีจะเถียงแต่ถูกรุทรขัดขึ้นก่อน “พอๆ เลิกกลัวได้แล้ว ผมก็อยู่กับเมตรงนี้ เมไม่ต้องกลัวนะ”
รุทรยิ้มให้อย่างอบอุ่น เมทินีมองซึ้งๆ
จากนั้นรุทรประคองพาเมทินีนอนลง รุทรยิ้มให้แล้วหลับตานอน เมทินีมองรุทรรู้สึกอบอุ่นในใจ ค่อยๆ หลับตาม
กลางดึก รุทรกับเมทินีนอนชิดติดกันอยู่ในกระท่อม เมทินีนอนตบยุงที่มากัด และเกาตามตัว
“วาทิต วาทิต”
รุทรงัวเงีย “อะไรเม”
“ยุงมันกัดอ่ะ”
“กัดก็ตบสิ”
เมทินีลุกขึ้นนั่ง ทั้งตบ ทั้งเกา
“ยุงมันเยอะ ตบไม่ไหว มียากันยุงไหม”
รุทรต้องลุกนั่งตามอย่างเซ็งๆ “ไม่มีหรอกเม”
“แล้วจะทำยังไงดี ยุงก็เยอะ กัดก็เจ็บ เนี่ยคันไปหมดทั้งตัวแล้ว”
“สุมไฟไง ไล่ยุงได้”
“เหรอ ดีๆ ไปทำสิ”
เมทินีดันแขนรุทรให้ไปทำ รุทรชี้มาที่ตัวเอง “ผมเหรอ”
“ใช่ เร็วๆ สิวาทิต ยุงเยอะเห็นไหมเนี่ย”
รุทรจำยอมต้องไปสุมไฟให้เมทินี พอสุมเสร็จก็กลับมานอน เมทินียังนอนยุกยิก ตบไปเกาไป ลุกขึ้นนั่งมองไปที่กองไฟ
“วาทิตนะวาทิต สุมไฟแค่นั้นจะให้ยุงมันอาบแดดเล่นรึไง เรื่องแค่นี้ต้องให้ถึงมือเราอยู่เรื่อย”
เมทินีเดินไปสุมไฟเพิ่มอีกเยอะมาก แล้วกลับขึ้นมานอน โดยไม่รู้ว่า ไฟลุกลามไปทั่วกระท่อม
เช้าแล้ว รุทรกับเมทินีนั่งหลับหันหลังพิงกันอยู่ตรงลานกลางหมู่บ้าน ข้างๆ มีถังน้ำ กะละมัง ข้างหลังกระท่อมแม่แก่ไหม้วอดไปทั้งหลัง จากผลงานของเมทินี รุทรตื่นก่อน หันมามองเมทินี เรียกเบาๆ
“เมๆ ตื่นได้แล้ว”
เมทินีงัวเงียตื่น “ทำไมเรามาอยู่ที่นี่กันล่ะ”
“ก็เมื่อคืนเมทำอะไรไว้ล่ะ เราถึงต้องมานั่งอยู่แบบนี้”
เมทินีนึกได้ทันที “ไฟไหม้บ้าน แย่แล้ววาทิตทำไงดี ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
รุทรคิดหนัก มองไปรอบบ้านที่ไฟไหม้ เมทินีมองตามอย่างรู้สึกผิด
กะเวนเดินมาสีหน้าโกรธจัดตรงรี่เข้ามาเอาเรื่อง วาโพต้องคอยมาห้าม ชาวบ้านเดินมาด้วยไม่พอใจเช่นกัน รุทรกับเมทินีตื่นมาท่ามกลางวงล้อม มองหน้ากันด้วยความตกใจ
“เห็นไหมไอ้พวกคนเมืองนำความเดือนร้อนมาสู่หมู่บ้านเราแล้ว” กระเวนหันมาเฉ่งวาโพ “ข้าบอกเอ็งแล้ววาโพ ออกไปเลย ออกไปจากหมู่บ้านของเรา”
ชาวบ้านต่างโห่ร้องขับไล่ “ออกไปๆๆ” ไม่หยุดหย่อน
“ใจเย็นๆ แล้วฟังเราอธิบายก่อนนะคะ...” เมทินีพยายามจะอธิบาย
กะเวนไม่สน “ข้าไม่ฟัง พวกเอ็งสองคนเผาบ้านไปทั้งหลังแบบนี้ยังไม่พอใจอีกเหรอไง ออกไปเลย ออกไป”
กระเวนกับชาวบ้านต่างส่งเสียงขับไล่ วาโพพยายามจะช่วย
“พี่กระเวนเรื่องของฟืนไฟ อะไรมันก็เกิดขึ้นได้นะ”
“ไม่ต้องไปเข้าข้างมันเลยวาโพ ยังไงวันนี้สองคนนี้ก็ต้องชดใช้ ถ้าไม่ยอมออกไปจากหมู่บ้าน ก็จะต้องลงโทษพวกมันให้สาสม หรือไม่ก็ฆ่าพวกมันทิ้ง แล้วเอาศพออกไปทิ้งกลางป่า” กระเวนหันไปหาชาวบ้าน “ใช่ไหมพวกเรา”
ชาวบ้านประสานเสียงกันหลายคน “ใช่ ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามัน”
รุทรกับเมทินีได้แต่มองหน้ากันพูดไม่ออก โดยเฉพาะเมทินีรู้สึกผิดสุดๆ
ในระหว่างนั้นมีชาวบ้านชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“ช่วยด้วยจ้า”
กระเวนหันไปถาม “มีอะไร”
“ครูเจ็บท้องจะคลอดลูกแล้วจ้า”
วาโพเดินมาจับแขนกระเวน
“เจ็บท้องคลอดลูก แย่แล้วพี่กระเวน หมอตำแยประจำหมู่บ้านเราก็ตายไปแล้ว จะทำไงดี”
กระเวนตะโกนถาม “พวกเรามีใครทำคลอดเป็นบ้าง”
ชาวบ้านทุกคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กไม่มีใครทำได้
เมทินีมองดูทุกคนแล้วคิดปราดเดียว พร้อมกับยกมืออาสา รุทรมองเมทินีด้วยความตกใจ กระเวน วาโพ ชาวบ้านมองเมทินีเป็นตาเดียว
รุทรถามเบาๆ “เม คิดจะทำอะไรเนี่ย”
เมทินีไม่ตอบ ได้แต่ขยิบตาส่งให้รุทรแทน รุทรถอนหายใจรู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาอีกแน่
ในบ้านหลังนั้น ครูเจ็บท้องจวนคลอดร้องด้วยความเจ็บปวด สองมือดึงผ้าที่ผูกไว้ที่ขื่อจนเกร็ง เหงื่อโทรมร่าง รุทรกับเมทินีนั่งมองหน้ากันว่าจะทำยังไง
“โอ๊ย เจ็บจังเลย”
ผัวครูบอก “คุณสองคนจะทำอะไรก็รีบทำเถอะครับ เมียผมจะไม่ไหวแล้ว”
รุทรกับเมทินีมองหน้ากัน
เมทินีถามเบาๆ “จะทำยังดีล่ะวาทิต”
รุทรตอบเบาๆ “อ้าว เมมาถามผมได้ไง เมเป็นคนอาสาเองนะ”
เมทินีบอกอีกเบาๆ “ก็ต้องช่วยกันสิวาทิต”
“อ้าวนี่คุณสองคนจะทำอะไรก็ทำซิครับ เร็วๆ เมียผมเจ็บท้องจะแย่แล้ว” ผัวครูเร่ง
ครูหญิงยังร้องด้วยความเจ็บปวด เมทินีกับรุทรเริ่มลนลานทำอะไรไม่ถูก
“เอ่อ…ต้อง…ต้อง…ไปเตรียมต้มน้ำก่อนครับ” รุทรบอก
“ได้ครับ เดี๋ยวผมไปต้มให้ ฝากเมียกับลูกผมด้วยนะครับ”
รุทรบอก ครูชายรีบออกไปเตรียมต้มน้ำ เมทินีสงสัย
“ต้องต้มน้ำด้วยเหรอวาทิต”
“ก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละ”
“โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน”
“เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน เบ่งออกมาเลยค่ะ” เมทินีช่วยเบ่ง
“ไม่ได้นะเม จะให้ใช้แรงเบ่งแบบนี้ได้ยังไง ครูครับหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ หายใจออก แล้วเบ่งนะครับ” วาทิตท้วง
“นี่วาทิต เธออย่ามารู้ดีไปหน่อยเลย ฉันเป็นผู้หญิงนะ ครูคะเบ่งสุดแรงเลยค่ะ” เมทินีไม่ยอม
รุทรก็ไม่ยอม “ไม่ได้นะครับ อย่าทำแบบนั้น นี่เมอย่าก่อเรื่องได้ไหม”
เมทินีโมโห “วาทิตเธอว่าฉันเหรอ”
“หรือไม่จริง ทำบ้านเขาไหม้ไปหลังนึงเนี่ย”
“วาทิต”
“ทำคลอดก็ไม่เป็นยังจะดันไปรับอาสาอีก” รุทรว่า
“ก็ที่ฉันอาสาก็เพื่อชดเชยความผิดที่ไปเผาบ้านเขาไงล่ะ แล้วก็ยังเป็นทางรอดที่ไม่ให้เราต้องถูกฆ่าด้วย”
ครูทนไม่ไหว “จะเถียงกันอีกนานไหม โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว”
รุทรกับเมทินีมัวแต่เถียงกัน ครูทนเจ็บท้องไม่ไหว เบ่งเต็มแรงเกิด รุทรกับเมทินีมองมาด้วยความตกใจ เสียงเด็กร้องจ้าตามมา
เมทินีตะลึง “วาทิต เด็ก…เด็ก...ออกมาแล้ว”
เมทินีน้ำตาคลอด้วยความดีใจจนจะเป็นลม รุทรรีบเข้ามาประคองซึ่งเขาเองก็ดีใจไม่ต่างจากกัน เมทินีเข้าไปอุ้มเด็ก มีรุทรคอยประคอง
สองคนต่างมองตากันด้วยความปลาบปลื้มใจกับชีวิตใหม่ แต่จังหวะนั้น เสียงร้องของครูก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“โอ๊ย เจ็บอีกแล้ว ช่วยที ยังไม่หมด”
รุทรกับเมทินีมองหน้ากันงงๆ และมองไปที่ท้องครู ต้องตกใจเมื่อพบว่ายังต้องทำคลอดเด็กแฝดอีกคนที่กำลังจะออกมา
สักครู่ใหญ่ๆ รุทรกับเมทินีอุ้มเด็กมาคนละคน เดินออกมาหาทุกคนที่รออยู่ ทุกคนต่างปรบมือยินดีกันอีกครั้ง ทั้งคู่มองตากันอย่างเป็นปลื้ม
แฟนของครูเข้ามาอุ้มลูกเข้าไปหาครูในบ้าน รุทรกับเมทินียิ้มอย่างมีความสุข ทุกคนต่างชื่นชม
กระเวนโวยวายขึ้น “ทำคลอดเสร็จแล้ว จะลดโทษที่จะฆ่าพวกเอ็งให้ แต่พวกเอ็งสองคนต้อออกไปจากหมู่บ้านเราได้แล้ว ไปเลย”
รุทรกับเมทินีมองหน้ากัน ชาวบ้านทุกคนนิ่งเงียบ วาโพตบหัวกระเวน
“ไอ้พี่กระเวน จะไล่เขาไปได้ไง เขาสองคนช่วยทำคลอดครูไว้นะ เราต้องตอบแทนเขาซิ”
กระเวนลูบหัวตัวเองอย่างหงุดหงิดและขัดใจ มองรุทรกับเมทินีโดยไม่พอใจ
“คุณสองคนอยู่ที่นี่ต่อไปได้เลยนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันจะหาที่พักให้ใหม่” วาโพบอก
รุทรกับเมทินียิ้มให้กันด้วยความดีใจ
อ่านต่อหน้า 3
เงาใจตอนที่ 12 (ต่อ)
กะเวน และวาโพ พารุทรกับเมทินีมาถึงหน้ากระท่อมหลังใหม่ กะเวนนั้นมองทั้งสองด้วยสายตาระอาใจ หวั่นๆ กลัวจะก่อเรื่องขึ้นมาอีก
รุทรกับเมทินีที่หน้ายังมีร่องรอยเลอะเขม่าควันเริ่มจ๋อยเมื่อเจอสายตาตำหนิของกระเวน
“นี่เป็นบ้านหลังสุดท้ายของที่นี่ที่ว่างอยู่ ถ้าพวกเอ็งเผาที่นี่อีกก็คงต้องให้นอนหนาวอยู่ลานหมู่บ้านนั่นล่ะ”
“พวกผมต้องขอโทษอีกครั้งนะครับที่ทำให้ลำบาก”
เมทินีเสริมว่า “รับรองค่ะ ฉันจะไม่ยุ่งกับฟืนไฟอะไรอีกแล้ว”
วาโพเดินมาหารุทรยิ้มหวานให้ พร้อมกับชูยากันยุงชนิดทาให้ดู
“ทีนี้ถ้ายุงกัดบอกฉันนะ จะได้ให้ยากันยุง อันนี้เป็นสูตรเฉพาะของเผ่าเราเลยนะ”
“ขอบคุณนะวาโพ”
รุทรยื่นมือจะรับยากันยุง แต่วาโพดึงมือกลับ
“ฉันทาให้คุณก่อน แล้วเดี๋ยวคุณค่อยทาให้ฉันด้วยนะ”
รุทรอึดอัด เกรงใจกระเวนอีกด้วย “เอ่อ...ไม่รบกวนดีกว่านะวาโพ ขอแค่ยาก็พอ”
วาโพค้อนให้รุทรหนึ่งวงก่อนจะวางขวดยาในมือของรุทร แต่ยังอิดออดไม่ค่อยอยากจะปล่อยมือรุทรเอาเสียเลย จนกระเวนเห็นต้องมาแกะแงะนิ้ววาโพออกอยากยากลำบาก
“ไป กลับบ้าน”
“เดี๋ยวฉันเอาอาหารมาให้นะจ๊ะ”
กะเวนลากวาโพไปอย่างยากเย็น รุทรกับเมทินีมองตามแล้วพากันขำ
รุทรกับเมทินีเดินเข้ามาในกระท่อม
“ว่าไปคนที่นี่ก็ปากร้ายใจดีนะ ขนาดฉันเผาบ้านเขาไปหลังก็ยังหาที่อยู่ให้เราอีก”
รุทรนิ่งคิด “มันแสดงว่าจริงๆ แล้วพวกเขาจิตใจดี แต่ต้องป้องกันตัวจากการเอาเปรียบของคนเห็นแก่ตัวบางกลุ่ม”
“ถ้ามีโอกาสที่ฉันจะตอบแทนอะไรให้พวกเขาได้ ฉันจะทำเต็มที่เลย อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้รู้ว่าคนเมืองไม่ได้เลวร้ายซะทุกคน”
เมทินีพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นจริงจัง รุทรแอบมองด้วยความชื่นชม แต่พอนึกได้ว่าเมทินีพูดจากใจจริงหรือสร้างภาพ ความคลางแคลงใจก็เริ่มกลับมา
“พรุ่งนี้เราก็จะช่วยดูแลเด็กๆ แทนครูลีพูไง”
เมทินียิ้มรับ “ฉันจะตั้งใจเป็นพี่เลี้ยงเด็กอย่างเต็มที่ รู้ไหม ตอนเด็กๆ ฉันชอบเล่นครูนักเรียนที่สุดเลย”
“จริงเหรอ” ท่าทีรุทรไม่เชื่อนัก
“ไม่เชื่อล่ะสิ คอยดูแล้วกัน”
เมทินีเชิดหน้าท้าทาย รุมรมองแล้วพยักหน้ารับคำท้า ทั้งคู่ก็ยิ้มให้กันเผลอจ้องหน้ากันซึ้งๆ จนได้สติก็แกล้งเฉไฉมองไปคนละทาง
ไม่นานต่อมา วาโพถือถาดอาหารที่มีฝาครอบมาหยุดหน้าบ้าน พร้อมกับเสื้อผ้า
“มาแล้วจ้า วาโพคนสวยมาแล้วจ้า”
วาโพไม่ได้สนใจเมทินี ยิ้มให้รุทรแล้วเดินถือถาดอาหารขึ้นมาบนบ้าน วาโพนั่งลงวางถาดอาหาร เมทินีนั่งลงตามตาลุกวาวเพราะกำลังหิว รุทรมองยิ้มๆ
“ฉันเอาเสื้อผ้ากับอาหารมาให้ ถ้าพวกคุณจะขับถ่ายก็นู้นเลยจ้า เข้าป่าไปเลย เลือกหามุมที่ชอบปลดปล่อยกันได้ตามสบาย แต่ถ้าอยากอาบน้ำก็เดินไปที่ลำธารได้เลย แหมชวนคุยเพลิน คงหิวกันแล้วซิ ฉันเอาอาหารเด็ดๆ มาให้ พวกคุณต้องชอบแน่ๆ”
เมทินีกับรุทรรับของมา แล้วขอบคุณวาโพ
“ฉันเปิดเลยนะ”
วาโพพยักหน้า เมทินีเปิดฝาครอบอาหารออกแล้วต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ว้าย” เพราะอาหารที่อยู่ตรงหน้ามีแต่อาหารแปลกๆที่กินไม่ได้ทั้งนั้น
วาโพมองเมทินีอย่างไม่พอใจ
“เป็นอะไรไป อาหารดีๆ ทั้งนั้น น่ากินจะตาย นี่” สาวชาวเขาชี้ไปที่อาหาร “อึ่งทอดน้ำปลา กระรอกอบน้ำผึ้ง งูสิงห์ทอดกรอบ”
เมทินีทำหน้าเหยเก จะอ๊วกให้ได้ รุทรมองแล้วขำ
“วาโพ ฉันขอโทษนะ อาหารพวกนี้ฉันไม่ค่อยถนัดนะ เธอพอจะมีอย่างอื่นไหม”
วาโพค้อนควัก “เรื่องมากจริง จะเอาอะไรล่ะ”
เมทินียิ้ม “มีหมูไหม ฉันอยากกินหมูทอด”
“หมู” วาโพยิ้ม “ได้ๆ เดี๋ยวฉันเอามาให้”
วาโพลุกออกไปพร้อมกับถาดอาหาร เมทินีหันมายิ้มให้รุทร
เวลาผ่านไปไม่นาน วาโพกลับมามาพร้อมลูกหมูตัวเล็กน่ารัก เมทินีที่รออยู่ตรงส่วนครัวหลังกระท่อม เห็นแล้วชอบใจ รุทรมองยิ้มๆ
“ชอบล่ะซิคุณ”
“มันน่ารักดีจัง”
“ตัวโตกำลังดี คัดพิเศษมาให้เลยนะเนี้ย อ่ะเอาไป”
วาโพยื่นลูกหมูส่งให้ เมทินีงง
“รับไปซิคุณ ฉันไม่มีเวลาทำให้หรอกนะ มีงานต้องทำอีกเยอะ เอาไปทำกินกันเองก็แล้วกัน แหม เนื้อมันกำลังดีเลยแหละตอนนี้ โตกำลังได้ที่ อุปกรณ์การทำมีครบนะ ทำได้ตามสบาย ออ แล้วอย่าเผาบ้านอีกล่ะ ไปก่อนนะ”
วาโพบอกทิ้งท้ายก่อนหันไปยิ้มหวานให้รุทร แล้วเดินออกไป เมทินีมองลูกหมูในมือยังงงอยู่ รุทรแกล้งแย่งหมูจากมือเมทินี คว้ามีดเดินออกไป
เมทินีตกใจ “เธอจะทำอะไรน่ะวาทิต”
“ก็จะทำหมูทอดกินไง”
“ทำหมูทอด” เมทินีคิด แล้วนึกได้ว่าต้องฆ่าลูกหมู เธอร้องเสียงหลง “ว้าย อย่าฆ่ามันนะ ไม่ได้ๆ”
รุทรแกล้ง พูดจริงจัง “แต่ถ้าเราไม่ฆ่าเราก็ไม่มีอะไรกินนะ”
เมทินีตกใจ “วาทิต ไม่เอานะฉันไม่ยอม”
“เม...มีเหตุผลหน่อยสิ นี่มันวิถีชีวิตที่เราต้องทำเพื่อความอยู่รอดนะ”
รุทรแกล้งทำเป็นไม่สนใจ ทำท่าจะใช้มีดฟันหมูให้ได้ เมทินีคว้าไม้มาขวาง รุทรมองตาม บอกด้วยหน้าตาจริงจังมาก
“ถ้าเธอจะทุบหัวกุ๊กกู๋ ฉันก็จะทุบหัวเธอเหมือนกัน”
รุทรฟังแล้วงง “กุ๊กกู๋ อะไรคือกุ๊กกู๋”
“ก็หมูน้อยตัวนี้ไงชื่อกุ๊กกู๋ มันเป็นของฉันแล้ว ฉันจะเลี้ยงมันเอง เธอห้ามทำร้ายมันเด็ดขาด”
เมทินีเงื้อไม้จะทุบรุทรจริงๆ รุทรมองแอบหันไปยิ้มขำ และหันกลับมา แกล้งทำหน้าเม้งใส่เมทินี
“ไม่ทำก็ไม่ทำ ก็กินข้าวเปล่าๆ ไปแล้วกัน”
รุทรแกล้งโมโหยื่นหมูส่งคืนให้เมทินี ทำหน้าเซ็งใส่ แล้วเดินยิ้มหนีไปในกระท่อม
เมทินีกอดลูกหมูมองตามรุทรไปด้วยความรู้สึกผิด
เมทินีคุยกับลูกหมูที่อยู่ในคอกหลังกระท่อม แถมเอาข้าวให้มันกินด้วย
“ตกใจมากไหมกุ๊กกู๋ ไม่เป็นไรแล้วนะ ฉันจะดูแลแกเองนะ”
ระหว่างมีตัวบุ้งเกาะที่แขนเมทินี รุทรเดินมาหยุดมอง แล้วยิ้มออกมาที่เห็นเมทินีในมุมอ่อนโยนรักสัตว์
แต่ไม่วายแกล้งแซว “ใจดีจังเลยนะเม แหมข้าวเปล่านี่อร๊อยอร่อยเนอะ”
เมทินีค้อนควัก จนรู้สึกแสบๆ คันๆ ที่แขน เมทินีเกาแขนที่คัน รุทรมองมาด้วยสีหน้าสงสัย
“เป็นอะไรน่ะเม”
“ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ดีๆ ก็ทั้งแสบทั้งคันขึ้นมา ทำยังไงดีล่ะวาทิต”
เมทินีเกาแขนอยู่อย่างนั้น รุทรจับแขนเมทินีมาดูอาการ พบว่ามีรอยผื่นแดงไปทั่ว แต่ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรกัด และต้องรักษายังไง เลยบอกไม่ได้
“เดี๋ยวผมหายามาให้นะเม”
เย็นลงแล้ว ขณะที่รุทรส่งขันที่มีน้ำสีเหลืองอ๋อยยื่นให้ตรงหน้า เมทินีมองฉงน
“ยื่นแขนมาเม เดี๋ยวผมราด เอ่อ…ยาให้”
“ยาอะไรน่ะวาทิต เธอไปเอามาจากไหน”
“เอ่อ…” รุทรอึกอักไปชั่วครู่ ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติ “เอาเถอะน่าเม ผมหามาได้ก็แล้วกัน ถ้าไม่รีบรักษาเดี๋ยวมันจะยิ่งคันไปมากกว่านี้นะ”
“ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวฉันทาเอง”
เมทินีใช้มือจุ่มลงไปในขัน รุทรตกใจจะร้องห้าม เมทินีเอามือจุ่มฉี่มาปิดปากรุทร แถมนิ้วยังเข้าไปในปากรุทรด้วย รุทรนั้นแทบจะอ๊วก ไอแค่กๆ
“ขอโทษวาทิต ฉันไม่ได้ตั้งใจ แต่ฉันจะทำเอง”
เมทินีใช้มือจุ่มน้ำสีเหลืองทาไปแขนบริเวณที่คัน แล้วรู้สึกดี
“ยาดีจังเลยวาทิต แค่ทายังดีขนาดนี้ ถ้ากินต้องหายเร็วแน่ๆ”
เมทินีจะกิน รุทรร้องห้ามเสียงหลง “ไม่ได้นะเม อย่าๆๆๆ”
ก่อนหน้านี้รุทรเดินไปเดินมาคิดหนักไม่รู้จะหายาที่ไหนมาทา สุดท้ายนึกได้ตัดสินใจหยิบขันเดินออกมาไปแอบตรงมุม ถอดกางเกงออก ฉี่ใส่ขัน รุทรถือขันฉี่ของตัวเองขึ้นมามอง
รุทรยังไม่กล้าบอก ได้แต่ร้องห้ามเมทินีไม่ให้กิน อีกฝ่ายมองฉงน
“ไม่ได้นะเม อย่ากินนะ”
“ทำไมล่ะวาทิต ยาดีขนาดนี้ มันกินไม่ได้เหรอ
“คือ…”
“ถ้าไม่บอกฉันก็จะกิน”
“มันเป็นฉี่ผม เมจะกินได้ยังไง”
เมทินีอึ้ง ตะลึงตะไล รุทรหน้าเจื่อน
“ฉี่เธอเหรอ ที่เอามาทาแขนฉันคือฉี่เธอเหรอวาทิต”
รุทรพยักหน้ารับ เมทินีมองมาด้วยความโกรธ
“วาทิต เธอตาย...”
เมทินีแค้นสุดขีด วิ่งไล่ตีรุทรพัลวัน
รุทรเดินนำมาที่ลำธารหลังกระท่อม ถือเสื้อผ้าชาวเขาที่วาโพน้ำมาให้ พร้อมอุปกรณ์อาบน้ำมาด้วย เมทินีเดินตามหน้ามุ่ย ยื่นแขนที่ทาฉี่รุทรออกห่างตัวอย่างรังเกียจ รุทรมองแล้วอดขำไม่ได้ เมทินีมองตาคว่ำ รุทรทำเป็นไม่สนใจ
เมทินีมองสำรวจไปรอบๆ ลำธาร “จะอาบน้ำได้เหรอวาทิต”
“ได้ซิเม เราต้องปรับตัวอยู่กับมันให้ได้ ผมว่าอาบน้ำแบบนี้ธรรมชาติดีนะ ผมชอบ”
พลางรุทรวางเสื้อผ้าลง แล้วจะถอดเสื้อผ้า เมทินีเห็นรีบห้ามเสียงดุ
“หยุดเลยวาทิต เธอจะมาถอดเสื้อผ้าแบบนี้อีกแล้วนะ เห็นไหมเนี่ยว่าฉันยืนอยู่ตรงนี้”
รุทรมองเมทินีแล้วถอนหายใจ
“ถ้างั้นเมก็รีบออกไปจากตรงนี้ซิ”
เมทินีทำหน้าเหวอที่รุทรไล่ แลดูน่ารัก ปนน่าขัน
“แล้วก็รีบมาอาบน้ำซะนะฉี่ผมซึมเข้าไปในผิวเมแล้ว”
เมทินียี้แขนที่เปรอะฉี่ของรุทร สอดตามองหาที่เปลี่ยนชุด แล้วเดินออกไปทางหนึ่ง
รุทรมองตาม ส่ายหัวขำๆ
รุทรเล่นน้ำอย่างสบายใจ เมทินีเปลี่ยนเป็นนุ่งผ้าถุงกระโจมอก เดินออกมาเห็นเสื้อผ้าของรุทรถอดวางอยู่ครบทุกอย่าง ทั้งเสื้อ กางเกง ก็รู้สึกตกใจ เพราะเท่ากับว่ารุทรแก้ผ้าอาบน้ำโดยไม่ได้ใส่อะไรเลย
เมทินีตัดสินใจตะโกนถาม “วาทิตเธอถอดเสื้อผ้าหมดเลยเหรอ”
รุทรหันมาตามเสียงเรียก ยิ้มขำ “ใช่ ทำไมล่ะเม ก็มาอาบน้ำนิจะใส่ทำไม ออ ถ้าเมไม่เชื่อเดี๋ยวผมขึ้นไปให้เมดู”
เมทินีร้องลั่น “ไม่ต้องๆๆ วาทิตบ้า”
เมทินีรีบเดินออกไป รุทรขำคิก ตะโกนแกล้ง “เมไม่ดูก่อนเหรอ เมๆ”
เมทินีบ่นพึมพำ
“วาทิตนะวาทิต ไม่อายผีสางเทวดา เจ้าป่าเข้าเขาบางหรือไงนะ”
เมทินีทำหน้ายี้ใส่แล้วเดินหนีไปอาบน้ำอีกมุม
เมทินีนุ่งผ้าถุงกระโจมอก ถอดวางเสื้อผ้าไว้ แล้วเดินลงลำธาร รุทรว่ายน้ำไปแอบดู พอเมทินีมองมาก็รีบหลบ
ต่างคนต่างลอบมองกัน โดยอีกมุมหลังโขดหิน เมทินีนึกกลัวขึ้นมาเลยแอบมาดูให้แน่ใจว่ารุทรไม่ได้แอบมองเธอ พอเห็นรุทรว่ายน้ำหันไปทางอื่น เมทินีจึงเริ่มถู สบู่ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี
เมทินีลงแหวกว่ายล้างตัวแต่ผ้าถุงเริ่มจะหลุดเพราะนุ่งไม่ค่อยเป็น เมทินีตกใจผูกปมอีกที อย่างลำบากจนในที่สุดก็ตัดสินใจเอามือกุมไว้ แต่พอหันกลับไป ก็ต้องตกใจที่เจอรุทรมาอยู่ซะใกล้
“ว้าย...มาทำไม” เธอรีบผลักเขาออกห่างแล้วเอามือจับปมผ้าถุงไว้แน่น
“ผมลืมสบู่มา ขอยืมหน่อยสิ”
เมทินีว่ายกลับไปเอาขวดสบู่มาส่งให้
“แผลเมโดนน้ำนานไม่ดีนะ”
“รู้แล้ว เดี๋ยวจะขึ้นแล้ว”
เมทินีรีบว่ายกลับไปตรงที่วางเสื้อผ้า จะหยิบผ้าเช็ดตัวที่เสื้อผ้าตัวเองวางซ้อนทับไว้ แต่หยิบไม่ได้พอจะขึ้นก็นึกได้ว่าผ้าเปียกน้ำแนบตัว จึงหันไปมองรุทรก็เห็นเขาจ้องอยู่
“หันไปทางอื่นก่อน”
รุทรหันไป เมทินีลุกขึ้นไปที่กองผ้า แต่ดึงพลาดจนกองเสื้อผ้าทั้งของเธอและรุทรตกน้ำลอยไปทันที เมทินีตกใจมาก
“วาทิต เสื้อผ้าตกน้ำเก็บที”
รุทรเห็นก็รีบว่ายตาม เมทินีเองก็ว่ายตามไปด้วย ท่ามกลางกระแสน้ำไหลแรง
รุทรว่ายน้ำมากอบเสื้อผ้าทั้งหมดไว้ได้แล้วชูให้ดู เมทินีรีบว่ายตามหลังมา
“เก็บได้หมดหรือเปล่าวาทิต”
“น่าจะครบนะ”
“เฮ้อ ทำไมมันซวยอย่างนี้ ชุดใหม่ชุดเก่าเปียกน้ำหมดเลย ฉันเอาเสื้อผ้ามาแค่นี้เองด้วย”
“เอาน่า ดีกว่าไม่ได้เสื้อผ้ากลับไปนะ” เมทินีค้อนควัก รุทรเริ่มนับแยกผ้าไปด้วยส่งให้เมทินีไปด้วย “นี่ของผม ของผม...ของเม...ของเม...ของเม”
เมทินีรับมาตามที่รุทรบอก
“นี่...ก็ของเม...แล้วนี่ของใคร”
รุทรกับเมทินีมองผ้าในมือรุทร เห็นเป็นผ้าถุงของชาวเขา ทั้งคู่พยายามนึกว่ามาจากไหน ยังไง
“อ๋อ ก็ผ้านุ่งที่วาโพให้ฉันยืมใส่อาบน้ำไง”
รุทรได้ยินก็อึ้ง มองหน้าเมทินี
“งั้นเมใส่อะไรอยู่ล่ะ”
เมทินีนึกได้กรี๊ดลั่น “หันไป...วาทิตหันไป...”
รุทรรีบหันหน้าหนี แต่ไม่วายขำ
ตกกลางคืน รุทรอยู่ในเสื้อผ้าชุดใหม่นั่งทายากันยุงอยู่ ส่วนเมทินีนั่งเช็ดผมห่างออกมา พอเห็นรุทรมองมาเมทินีรีบหลบสายตา
รุทรมองแล้วยิ้ม นึกอยากแกล้งขึ้นมา
เมทินีถามโดยไม่มองหน้า “ที่ลำธารเธอไม่เห็นอะไรใช่ไหมวาทิต”
รุทรมองเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม “ก็…เห็นนะ”
เมทินีร้อนรน “บ้าวาทิต ทะลึ่ง ลามก”
“อะไรเม ว่าผมทำไมเนี่ย”
“ก็เธอเห็น…” เมทินีเอามือปิดหน้าอกตัวเอง จะร้องไห้
“ผมจะบอกว่า ผมเห็นความสวยงามของธรรมชาติ ผมชอบ ทำไมเมมีอะไรที่ผมต้องเห็นด้วยเหรอ” รุทรมองสำรวจเรือนร่างเมทินี “ก็ดูๆ แล้วไม่มีนะ”
“วาทิตบ้า” เมทินีโมโหเช็ดผมตัวเองแรงๆ เป็นการระบาย
รุทรขำ ค่อยๆ กระเถิบเข้าไปใกล้ เมทินีหันมามอง
“เช็ดผมแรงๆ แบบนั้นได้ยังไงเม มานี่ผมเช็ดผมให้”
“มะ..ไม่เป็นไร เมทำเอง”
“ผมอยากทำให้”
รุทรแย่งผ้าจากเมทินีมาเช็ดผมให้จนได้ เมทินีมองเขิน ทั้งคู่มองสบตากันซึ้งๆ ใบหน้าใกล้ชิดกันมาก จนรุทรเกือบเผลอใจจะจูบเมทินี
“วาทิต วาทิต”
รุทรสะดุ้งกับชื่อของวาทิต ได้สติ รีบถอยห่างจากเมทินี
“ใช่ วาทิต” รุทรนึกได้ว่าเมทินีคือคนรักของน้องชาย
เมทินีมองฉงนฉงาย รุทรเห็นยากันยุงจึงส่งให้เมทิแก้เก้อ
“เมทาซะ ยุงจะได้ไม่กัด”
เมทินีรับมา แล้วเขย่ายาใส่ฝามือทายกใหญ่ รุทรลุกเดินไปจัดผ้าห่ม จัดที่นอน
จนพอรุทรลงนั่งหันไปก็ต้องแปลกใจ ที่เห็นเมทินียังเทยาใส่ฝ่ามือประโคมทาไม่เสร็จที
“โห...เมยังทายากันยุงไม่เสร็จอีกเหรอ”
เมทินีหันหน้ามา รุทรสะดุ้งตกใจ เพราะใบหน้าเมทินีขาววอก มือเท้าคอแขนล้วนขาวไปหมด
“เย้ย...ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ”
“ฉันกลัวยุงนี่ เลยต้องทาให้หนาไว้ก่อน”
“ถ้าเมทาแบบนี้ทุกวัน ยาเขาหมดหมู่บ้านแน่”
รุทรขำ แล้วลงนอน เมทินีลงนอนด้วย
ผ่านไปสักระยะแต่ทั้งสองคนก็ยังไม่หลับ
เมทินีถอนใจ “ไม่รู้ป่านนี้แม่กับไมจะเป็นไงบ้าง ฉันเริ่มคิดถึงแม่กับน้องแล้วอ่ะวาทิต”
“ผมเข้าใจ เราสองคนมีคนข้างหลังให้เป็นห่วง เอาเป็นว่าผมจะหาทางซ่อมรถไปด้วยนะ เผื่อจะได้ไม่ต้องคอยถึงวันที่มีรถเข้ามา”
เมทินีมองซึ้ง “ขอบใจนะวาทิต”
รุทรยิ้มตอบ แล้วทั้งสองก็ผล็อยหลับไปในที่สุด
รุ่งเช้า วาโพวิ่งมาหน้ากระท่อมด้วยท่าทางร้อนรนใจ พร้อมกับตะโกนเรียกเสียงดัง
“คุณวาทิต คุณเม ช่วยด้วยค่ะ”
รุทรกับเมทินีรีบออกมา
“มีอะไรเหรอวาโพ”
“ไปช่วยทีเซ็งมันทีจ้ะ มันแย่แล้ว”
รุทรกับเมทินีมองหน้ากัน ก่อนจะรีบตามวาโพออกไป
รุทรกับเมทินีเดินมาถึงลานกลางหมู่บ้าน พบว่ามีคนมุงดูกันอยู่เยอะแยะ ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ มีเสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากวง รุทรกับเมทินีแหวกชาวบ้านเข้าไปดู ก็เห็น ทีเซ็ง ชายชาวเขากำลังชักด้วยลมบ้าหมู มีลูกๆ ของ ทีเซ็งกำลังร้องไห้กระจองอแง
กะเวนในชุดหมอผี อุปกรณ์ครบครัน เดินวนไปมา
“ไอ้ผีบ้า จะออกไม่ออก ไม่ออกใช่ไหมได้”
กระเวนหยิบข้าวสารออกมาแล้วท่องคาถาพึมพำ แล้วปาใส่ทีเซ็ง ทีเซ็งยิ่งร้อง
“ออกไหม ยังๆ ไม่ออกอีก”
กระเวนยังปาข้าวสารใส่อีกหลายที ทีเซ็งร้องด้วยความเจ็บปวด
กระเวนให้ลูกน้องนำขันน้ำมาให้ จุดเทียนท่องคาถา จากนั้นก็สาดน้ำใส่ทีเซ็งโครม ทีเซ็งตัวสั่นชักหนักมากขึ้น
รุทรหันท่าไม่ดีรีบเข้าไปขวาง “หยุดได้แล้วครับ”
กะเวนฉุน “เอ็งมาขวางพิธีของข้าทำไมวะ เดี๋ยวผีมันก็กินตับ ไต ไส้พุง ไอ้ทีเซ็งหมดกันพอดีออกไปเลย”
“เขาไม่ได้ถูกผีเข้า แต่เขาเป็นลมบ้าหมู หรือลมชัก”
กะเวน และวาโพ มองหน้ากันงงไม่รู้จัก รุทรรีบเข้าไปหาทีเซ็ง เมทินีเข้าไปช่วย
รุทรบอกกับลูกๆ ที่กอดพ่ออยู่ “น้องต้องปล่อยนะครับ อย่ากอดรัดแบบนี้ ผู้ป่วยจะยิ่งเกร็ง” แล้วหันมาทางเมทินี “เม ช่วยกันคนหน่อย”
เด็กๆ ยอมปล่อย เมทินีรีบลุกขึ้นช่วยกันคน
“ทุกคนถอยออกไปก่อนนะคะ ผู้ป่วยจะได้มีอากาศหายใจ”
ทุกคนถอย เว้นกะเวนไม่เชื่อ ลงนั่งใกล้ๆ
“ไหนล่ะ ไม่เห็นมันจะดีขึ้นเลย ข้าว่าผีเข้า นี่ไงยิ่งกัดปากใหญ่แล้ว”
จังหวะนั้นรุทรไม่รู้จะทำไง รีบคว้ามือกะเวนให้ทีเซ็งกัด ผู้ใหญ่และหมอผีร้องลั่น
“จ๊าก... เจ็บโว้ย เอ็งทำแบบนี้ทำมาย”
“ถือว่าช่วยลูกบ้าน” รุทรบอกกับคนป่วยว่า “ใจเย็นๆ นะครับ ทำใจให้สบาย”
สักพักอาการทีเซ็งก็ค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ กะเวนรีบดึงมือออก
ชาวบ้านทุกคนมองรุทรอย่างชื่นชม เมทินีเองก็ถึงกับยิ้ม ยกนิ้วให้
ไม่นานต่อมา กะเวนพารุทรกับเมทินีมาหยุดยืนอยู่หน้าโรงเรียน ที่สภาพเป็นเพิงเก่าๆ แสงแดดส่องทะลุมาในห้อง เพราะหลังคาที่ทำจากใบจากหลุด มีเด็กๆ อยู่ในนั้นหลายคน
“นี่ละโรงเรียนแห่งเดียวของเรา ช่วงนี้คงต้องฝากพวกเอ็งหน่อยนะ ชาวบ้านที่นี่เรียนไม่สูง ไม่รู้จะสอนเด็กๆ ยังไง”
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา ฉันจะดูแลเอง” เมทินียิ้ม
“ให้ผมช่วยไหม”
“ไม่ต้องหรอก เธอไปหาทางซ่อมรถดีกว่า ทางนี้ปล่อยครูเมจัดการเอง”
เมทินีเดินเข้าไปที่หน้ากระดานดำ แนะนำตัว
“สวัสดีค่ะเด็กๆ พี่เมจะมาสอนแทนครูลีพูนะ”
กะเวนกับรุทรที่ยืนดูอยู่
“ท่าทางเด็กๆ จะตื่นเต้นนะที่มีครูคนใหม่”
รุทรมองเข้าไป เห็นเมทินีเข้าเล่นกับเด็กๆ ก็รู้สึกประทับใจ
“ครับ เห็นแบบนี้ผมก็สบายใจ งั้นผมขอไปดูรถก่อนนะ” รุทรกับกะเวนเดินออกไปด้วยกัน
เมทินีเดินมายืนหน้ากระดานดำเขียนชื่อตัวเอง
“นี่คือชื่อของพี่ค่ะ เมทินี เพราะไหม”
เด็กๆ พูดตามออกมาพร้อมกันว่า “เพราะ”
“วันนี้เราจะเรียนอะไรกันดี” สายตาเมทินีมองไปที่ตู้หนังสือ “เดี๋ยวพี่เมลองดูหนังสือในตู้ก่อนนะคะ”
เมทินีเดินไปที่ตู้เก็บหนังสือหยิบหนังสือเล่นนั้นเล่มนี้ รื้อค้น จนได้มาหนึ่งเล่ม เป็นวิชาคณิตศาสตร์
“เอาละค่ะ เรามาเรียนวิชา…ว้าย”
ระหว่างนั้นตู้หนังสือก็พังโครมลงมาต่อหน้าต่อตาเด็กทุกคน
เมทินีอึ้ง คิดในใจว่าทำพังอีกแล้วช้านน..
อ่านต่อหน้า 4
เงาใจตอนที่ 12 (ต่อ)
อีกฟาก ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ วันนี้ไม่มีนักศึกษามากนัก ตึกเรียนปิดหมด ด้วยเป็นวันเสาร์
บริเวณม้านั่งหน้าคณะเกษตร วาริน แต และฝ้าย นั่งอ่านหนังสือติววิชากันอยู่ วารินอ่านจบแล้วปิดหนังสือ
“โห..ริน อ่านจบแล้วเหรอ” แตเอ่ยขึ้น
วารินพยักหน้ารับ “เธอสองคนรีบอ่านสิ มีอะไรตรงไหนไม่เข้าใจ เดี๋ยวฉันติวให้”
แตกับฝ้ายนั่งอ่านต่อ วารินหยิบโทรศัพท์มาแล้วเปิดข้อความดู
หน้าจอโทรศัพท์เห็นข้อความ สองข้อความจากไมตรี “พรุ่งนี้เธอไปติวให้แตกับฝ้ายที่มหาลัยใช่ปะ” // “เราต้องอ่านภาษาอังกฤษไม่งั้นจะไปด้วย เสียดาย เสียดาย ”
วารินดูข้อความแล้วเหม่อ แตยื่นหน้ามาดูแล้วแซว
“แหม...มาไม่ได้ก็มีส่งข้อความด้วยนะ”
วารินสะดุ้งรีบปิด “นี่...เสียมารยาทนะ”
“แฮะๆๆ คือฉันจะบอกว่าเที่ยงแล้ว เราพักก่อนไหม มันหิวอ่ะ แต่ตาเจ้ากรรมเหลือบไปเห็น...” แตหัวเราะแก้เก้อ
“ไม่ต้องแก้ตัวเลย วันนี้เธอน่ะผิดสองข้อหาแล้วนะ”
แตงง “อะไรอ่ะ ฉันผิดอะไร”
“ก็ใครน้า บอกจะซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งน้ำพริกตาแดงมาให้ติวเตอร์”
“โห...ก็ฉันตื่นสายนี่ ขอโทษแล้วกัน เดี๋ยววันนี้เลี้ยงข้าว”
“เลี้ยงวันนี้ต้องไปห้างนะ เพราะโรงอาหารปิด”
วารินหัวเราะ “เอ...งั้นจะกินอะไรดีน้า พิซซ่า สุกี้ หรือไก่ทอดดี”
“แหม กะรุมทึ้งเพื่อนเลยนะ ไม่ต้องห่วง วันนี้โรงอาหารคณะปิด แต่มีที่หนึ่งที่เปิดและถูกกว่าด้วย”
สองสาวถามพร้อมกัน “ที่ไหน”
แตไม่ตอบ ได้แต่ยิ้ม
ไมตรีกับวีด้านั่งติวด้วยกันตรงม้านั่งร้านอาหาร ใต้หอนักศึกษาหญิง
“เป็นไงเข้าใจขึ้นบ้างไหม”
“ขอบคุณมากครับพี่วีด้า นี่ถ้าไม่ได้พี่ ผมคงตายแน่”
“อย่าเพิ่งประมาท ที่พี่สอนไปมันเป็นแค่โครงสร้างหลักไวยากรณ์ เดี๋ยวเราพักกินข้าวก่อนไหม แล้วค่อยทำแบบฝึกหัดที่เป็นการสร้างรูปประโยค”
ไมตรีกับวีด้าลุกจากโต๊ะ เดินไปดูอาหารแต่ละร้านด้วยกัน
ระหว่างนี้ วาริน เดินเข้ามาจากอีกทาง กำลังดูว่าจะหาโต๊ะนั่งแล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นไมตรีกับวีด้ายืนเลือกซื้ออาหารด้วยกัน แตกับฝ้ายเดินกระหืดกระหอบเข้ามาที่วาริน
“ริน มาแว้ว โทษที แล้วทำไมไม่ไปนั่งล่ะ”
แต่วารินหูอื้อไม่แม้แต่จะรู้ว่าเพื่อนมาถึงแล้ว แตกับฝ้ายสงสัยมองตามสายตาวารินไปก็ต้องอ้าปากค้าง เห็นไมตรีกับวีด้าได้ชามก๋วยเตี๋ยวแล้วพากันเดินมาโต๊ะเครื่องปรุงหน้าร้าน ไมตรีถือชามให้วีด้าตักเครื่องปรุงใส่ชาม
แต และฝ้ายยืนมองกันเหวอไปเลย
“เฮ้ย...อีกแล้วเหรอ หรือเขาสองคนเป็นแฟนกันแล้วพวกเราไม่รู้อ่ะริน” แตว่า
พูดจบแตกันหาวารินก็เห็นเดินออกไปแล้ว
“รินรอด้วย”
แตวิ่งตามไป ฝ้ายวิ่งตามไปอีกคน
ไมตรียืนถือชามก๋วยเตี๋ยวสองชาม วีด้าปรุงเสร็จไปหนึ่งชาม
“แน่ใจนะว่าจะไม่ปรุงอะไรสักหน่อย” ไมตรียิ้มแล้วส่ายหน้า “งั้นไมยกไปที่โต๊ะนะ พี่จะไปซื้อน้ำให้”
วาริน แต และฝ้าย นั่งกินข้าวแกงด้วยกันที่ร้านข้างทาง วารินกินเงียบๆ ไม่พูดไม่จา จนแตกับฝ้ายสะกิดกันดูแล้วสงสาร
“ริน โอเคหรือเปล่า” ฝ้ายถาม
“เมื่อวานตอนที่เจอไมกับพี่วีด้าที่สนามกีฬา เธอก็มีอาการแปลกๆ นะริน แล้วยังวันนี้อีก ฉันถามตรงๆ นะ ชอบไมใช่ไหม” ฝ้ายยิงตรง
วารินนั่งนิ่งตอบไม่ได้ ไม่รู้จะพูดยังไงถูก ได้แต่วางช้อนแล้วนั่งนิ่งไม่กล้าสู้ตาเพื่อนทั้งสอง
“ฉันขออะไรพวกเธออย่างได้หรือเปล่า”
แตกับฝ้ายพยักหน้ารับพร้อมกัน
“เราจะไม่คุยเรื่องไมกันอีก”
ฟากเมทินีกับเด็กๆ ช่วยกันเก็บหนังสือจากในตู้ที่พัง แต่ระหว่างนั้นเสาโรงเรียนก็เริ่มโยก เมทินีสังเกตเห็นมองไปรอบๆ ปรากฏว่าหลังคากำลังจะพัง
“เด็กๆ วิ่งออกไปเร็ว”
เมทินีรีบต้อนเด็กๆ วิ่งออกไป หลังคาหล่นลงโครม พร้อมเสียงกรี๊ดของเมทินีและเด็กๆ
หลังคาโรงเรียนที่ทำจากใบจากพังทับห้องเรียน เมทินีและเด็กยืนดูสภาพโรงเรียนด้วยความตะลึง ทุกคนยืนอยู่ในที่ปลอดภัยห่างจากโรงเรียนพอควร
เมทินีทรุดตัวลงนั่งกับพื้นถอนใจเครียด
ระหว่างนี้รุทรหอบของพวกถุงขนมที่ตั้งใจจะไปแจกโรงเรียนที่ดอยอ่างขาง เดินเข้ามาไม่ทันเห็นสภาพโรงเรียน แต่เห็นเด็กๆ และเมทินียืนอออยู่ก็ร้องทัก
“อ้าว ทำไมมาอยู่กันตรงนี้ละครับเด็กๆ งั้นมาช่วยพี่รับขนมไปกินกันเร้ว”
เมทินีกับเด็กๆ หันมามองรุทร สีหน้าแววตาไม่ได้สนุกด้วย แต่รุทรยังไม่เก็ท
“เรื่องซ่อมรถไม่ต้องห่วงนะ ผมว่าจะมาดูว่ากะเวนมีเครื่องมืออะไรบ้างพรุ่งนี้จะไปซ่อมต่อ” รุทรมองขนม “แล้วนี่ผมคิดว่าเราคงไม่ได้ไปโรงเรียนโน้นแล้ว เลยเอาขนมมาแจกเด็กๆ ที่นี่แล้วกัน เมว่าดีไหม”
เมทินียิ้มรับเจื่อนๆ ไม่ตอบอะไร แต่หันมองนำไปทางโรงเรียน รุทรมองตามไปก็ต้องอึ้งตะลึงตะไล อ้าปากค้าง
“เฮ้ย....เกิดอะไรขึ้นน่ะเม”
เมทินีมองวาทิตแล้วทำคอตก เพราะไม่รู้จะอธิบายยังไง รู้แต่ว่าตายซะยังดีกว่า
เด็กๆ ทุกคนช่วยกันเก็บกวาดหลังคามากองไว้ที่หนึ่ง แล้วเมทินีกับรุทรก็เดินมาดูสภาพโรงเรียนที่ตอนนี้แม้แต่เสายังอยู่ไม่ครบ โต๊ะเก้าอี้บางส่วนพัง
“ฉันทำพังอีกแล้ว”
“ไม่เอาน่าอย่าโทษตัวเอง”
“งั้นจะให้โทษใครล่ะ มาสองวันทำเรื่องไปสองเรื่อง” เมทินีจ๋อยสนิท
“แต่ผมว่าดีออก”
เมทินีหันขวับมาด้วยความโมโห “นี่วาทิต ถ้าไม่คิดช่วยก็อย่ามากวนนะ”
“ผมไม่ได้กวน การที่โรงเรียนมันพังวันนี้ แสดงว่าโครงมันต้องใกล้จะพังอยู่แล้วโชคดีที่เมพาเด็กๆ หนีออกมาได้ ถ้าเกิดเมไม่มาสอน เด็กๆ อยู่กันเอง ผมว่าเหตุการณ์วันนี้มันนะแย่กว่าเยอะนะ”
“เธอว่ากะเวนกับชาวบ้าน จะคิดเหมือนเธอเหรอ”
เมทินีมองหน้ารุทรนิ่ง รุทรเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเมทินีจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
จริงดังว่า กะเวนมองเมทินีด้วยหางตา ท่าทีเหมือนไม่พอใจ รุทรกับเมทินียืนจ๋อย รับผิด รอคำพิพากษา
“ฉันขอโทษนะคะเมื่อวานก็ทำไฟไหม วันนี้ทำโรงเรียนพัง จะลงโทษฉันยังไงก็ได้ ฉันรับผิดเอง”
กะเวนขมวดคิ้ว “ลงโทษงั้นหรือ”
“ใช่ ฉันยอมทุกอย่าง...เอ่อ...แต่อย่าถึงกับพิการหรือตายเลยนะคะ”
“จะบ้าเหรอ ข้าจะลงโทษเอ็งทำไม ไอ้เรื่องไฟไหมบ้านน่ะข้าก็โกรธหรอก แต่ที่เอ็งช่วยเด็กๆ วันนี้” กระเวนยิ้มร่า “ข้าขอบใจ”
รุทรกับเมทินียิ้มดีใจ
“โรงเรียนมันเก่ามากอย่างที่คุณวาทิตพูด คงถึงเวลาที่ต้องซ่อมแซมซะที” กระเวนบอก
รุทรยิ้มกว้าง “ใช่ครับ ผมว่าถ้าเราร่วมมือกันวันเดียวก็เสร็จ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าเอ็งสองคนต้องช่วยพวกเราซ่อมโรงเรียนด้วยนะไม่งั้นข้าโกรธจริงๆ”
รุทรกะเมทินีตอบพร้อมกัน “ได้ครับ” / “ได้ค่ะ”
“ดีมาก แล้วคืนนี้เราจะเลี้ยงฉลองให้กับครูลีพูที่ได้ลูกแฝด เอ็งสองคนเตรียมตัวมาสนุกกันล่ะ”
รุทรกับเมทินียิ้มรับ
กะเวนค่อยๆ คลี่ยิ้มให้รุทรกับเมทินี เห็นเป็นครั้งแรก แทนการขอบคุณ
ทางด้านอังกูรกดโทรศัพท์แล้วเดินไปเดินมารอสาย แต่ได้ยินแค่เสียงฝากข้อความ อังกูรกดใหม่อีกเบอร์ ก็เป็นเสียงฝากข้อความเหมือนกัน
“หายไปไหนทั้งคู่เลย”
อังกูรกดโทรศัพท์อีกครั้ง “ทิปปี้เหรอ วาทิตกับเมโทร.กลับมาหาบ้างหรือเปล่า”
ทิปปี้คุยสายอยู่ในออฟฟิศไร่ส้ม ส่ายหน้าปฏิเสธอังกูร
“ไม่มีใครโทรกลับหาทิปปี้เลย ทั้งวาทิตทั้งเม หายเข้ากลีบเมฆไปทั้งคู่ สงสัยเที่ยวกันเพลิน”
อังกูรฟังแล้วหงุดหงิด “ทิปปี้ อย่ามองโลกในแง่ดีนักเลย ถ้าเที่ยวเพลินทำไมต้องปิดเครื่องทั้งคู่ พี่กลัวจะมีอันตรายมากกว่า”
ทิปปี้คิดได้ “จริงด้วย ตายแล้วพี่กูร ถ้างั้นจะทำไงดีล่ะ”
“ทิปปี้พอจะรู้ไหมว่าไอ้โรงเรียนที่วาทิตกับเมไปน่ะอยู่ที่ไหน พี่จะได้ไปตาม”
“ทิปปี้ไม่รู้หรอกค่ะ ต้องถามพ่อเลี้ยง เพราะเวลาที่วาทิตกับพ่อเลี้ยงจะไปบริจาคเครื่องดนตรี ก็เห็นจัดการกันเองไปกันเองสองคนแค่นั้น”
“แล้วนี่พี่จะไปตามสองคนนั่นได้ที่ไหน”
ระหว่างนั้น มีโทรศัพท์สายออฟฟิศเข้ามา ทิปปี้วางสายอังกูร แล้วรีบเดินไปรับสาย
“ไร่ส้มธนาธรสวัสดีค่ะ” ทิปปี้แปลกใจ “ยังไม่ถึงเหรอคะ เอ่อไม่ทราบ จริงๆ ค่ะ ได้ค่ะได้ ถ้ายังไงดิฉันติดต่อคุณวาทิตได้แล้วจะรีบแจ้งนะคะ รบกวนขอเบอร์ของคุณครูได้ไหมคะ” ทิปปี้หยิบปากกามาจดใส่กระดาษ “ขอบคุณค่ะ”
ทิปปี้วางสาย สีหน้าไม่ดี อังกูรเดินมาถึงออฟฟิศแล้ว และได้ยินหมด รีบมาถามทัน
“สองคนนั่นยังไม่ถึงโรงเรียนใช่ไหม”
“ค่ะ ทางโรงเรียนจัดที่พักไว้ตั้งแต่เมื่อวานแต่ก็ไม่มา นึกว่าจะมาถึงวันนี้ แต่ตอนนี้เค้ารอวาทิตกับเมไม่ได้แล้วต้องเปิดงาน”
อังกูรถอนใจเครียดหนัก ห่วงเมทินี “ตอนนี้เมอยู่ที่ไหน”
จังหวะนั้นโทรศัพท์ของอังกูรสั่น เขาหยิบมาดู พอเห็นเป็นสายกินรีก็หงุดหงิดไม่พอใจ จึงแยกเดินมามุมหนึ่งที่ห่างจากทิปปี้
อังกูรไม่พอใจ “ว่าไง มีอะไร ฉันกำลังยุ่ง...อะไรนะ
อังกูรวางสาย แล้วรีบเดินมาหาทิปปี้ “ทิปปี้ พี่ออกไปข้างนอกนะ”
พูดจบก็เดินไปเลย ทิ้งสาวผิวหมึกให้เครียดอยู่คนเดียว
“แล้วเรื่องเมกับวาทิตจะเอาไงล่ะเนี่ย”
เย็นลงแล้ว วาริน แต ฝ้าย เดินมาที่ป้ายรถหน้ามหา’ลัย รถแดงวิ่งมาพอดี แตกับฝ้ายโบกเรียกแล้ววิ่งไปที่คนขับ
“ไปหนองป่าครั่งเจ้า” แตหันมาทางวาริน “ไปก่อนนะ”
แตกับฝ้ายโบกมือให้วารินแล้วขึ้นรถแดงแล่นไป วารินยืนรอรถต่อ ระหว่างนั้นไมตรีก็ขี่รถเครื่องออกมาจากประตูมหาวิทยาลัยผ่านมาเห็นวารินจึงหยุดรถ
“อ้าว...ริน เพิ่งเลิกติวเหรอ”
วารินพยักหน้ารับ
“จะไปขึ้นรถที่ขนส่งใช่ปะ เราไปส่งให้นะ”
“ไม่ต้องหรอก ขอบใจ” วารินน้อยใจอยู่ ตอบอย่างหมางเมิน
ไมตรีเริ่มเห็นความผิดปกติแต่ก็ยังชวนคุยต่อ
“ไปเถอะ เราไปส่งได้” เด็กหนุ่มยิ้ม ล้อเล่น “หรือจะให้ไปส่งที่แม่ฮ่องสอนก็ได้นะ”
วารินขึ้นเสียงใส่ “บอกว่าไม่ต้องไง”
พร้อมกับเดินหนี แต่ไมตรีขี่รถไปดัก “เป็นอะไรอ่ะ”
“เปล่า”
“ถ้าไม่เป็นอะไรก็ขึ้นมาจะไปส่ง”
ไมตรีจับข้อมือวารินไว้ไม่ให้เดิน วารินพยามจะดึงมือออก
“ฉันว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันแล้ว”
ไมตรีกับวารินมองหน้ากัน
ไมตรีขี่รถโดยมีวารินซ้อนท้ายแต่นั่งหันข้างให้ไมตรี รถแล่นมาตามถนนหลวง
“ดูเธอจะเหม็นหน้าฉันมากเลยนะ”
วารินเงียบไม่ตอบ
“ตกลงนี่เธอจะไม่พูดกับฉันใช่มั้ย”
วารินเงียบอีก
“เธอไม่พอใจอะไรฉันก็บอกมาซิริน ไม่ใช่นั่งเงียบแบบนี้”
“นายว่าพี่วีด้าเขาป็นยังไง”
“ก็สวยดีนี่ แถมยังเก่งอีกด้วย”
“แล้วนายชอบมั้ย”
“ทั้งสวยทั้งเก่งใครๆ เขาก็ชอบกันทั้งนั้นแหละ”
ขาดคำวารินบอกขึ้นว่า “จอด”
“ยังไม่ถึงท่ารถเลยนะ”
“ฉันบอกให้จอด ฉันจะลงตรงนี้”
ไมตรีจอดรถ วารินลงรถแล้วเดินหนีไป ไมตรีวิ่งตามไปดักหน้า
“เดี๋ยววาริน เธอจะไปไหน”
“ฉันจะเดินไปของฉันเอง”
ไมตรีขวางไว้ “ตกลงเธอเป็นอะไรของเธอกันแน่”
วารินไม่ตอบ
“ถ้าเธอไม่พูด ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเธอโกรธฉันเรื่องอะไร”
“ฉันไม่ได้โกรธ แต่ฉันไม่ชอบคนโกหก”
“ฉันโกหกอะไรเธอ” ไมตรีงงมาก
“ก็วันนี้เธอบอกต้องอ่านหนังสือมาไม่ได้ แต่ดันมานั่งจู๋จี๋กันอยู่”
ไมตรีงงหนัก “จู๋จี๋อะไรกัน กับใคร”
“กับพี่วีด้าคนสวยคนเก่งที่เธอชอบ ที่โรงอาหารไง”
“เธอเห็นเหรอ”
“ใช่ นี่ถ้าฉันไม่เห็นเธอก็โกหกฉันอีกใช่มั้ย”
“มันไม่ใช่อย่างที่เธอเข้าใจนะริน ฉันให้พี่เขาติวภาษาอังกฤษให้”
วารินไม่เชื่อ “ฉันว่าเหตุผลของเธอฟังขึ้น”
“ฉันพูดเรื่องจริง ถ้าเธอไม่เชื่อฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง”
“ฉันไม่เชื่อแน่นอน ทำไมทีฉันจะติวให้เธอ เธอไม่ยอมแต่กลับไปให้พี่วีด้าติวให้ ฉันมันไม่มีค่าไม่มีความหมายเลยใช่มั้ย”
“ก็ฉันเคยบอกเธอไปแล้วว่า ฉันจะพึ่งเธอทุกเรื่องไม่ได้ เธอเองก็ต้องอ่านหนังสือของเธอ”
“มันก็จริง ฉันก็ต้องอ่านหนังสือของฉัน เธอก็อ่านของเธอ เราไม่ต้องเจอกันก็ได้ ถ้าไม่จำเป็น” วารินพาลแล้ว
“ฉันไม่เข้าใจ เธอเป็นอะไรของเธอ ทำไมถึงไม่มีเหตุผลเลย”
“ก็ต่างคนต่างยุ่งไง ก็ต่างคนต่างอยู่ไม่เห็นเป็นไร”
ไมตรีอึ้ง ถามย้ำ “เธอแน่ใจนะ ว่าเธอต้องการอย่างนั้น”
“ใช่”
ทั้งคู่มองหน้ากัน สักพักวารินเดินหนีไป ไมตรีมองตามไม่กล้าเรียก ได้แต่หันกลับมาแล้วเดินไปที่รถมอเตอร์ไซค์ขี่กลับไปตามทางที่มา วารินหันกลับมามองตามรถของไมตรีน้ำตาร่วง
ไมตรีขี่รถมาตามถนนในตัวเมือง ด้วยสีหน้าสับสน สักครู่จึงจอดรถคิดว่าจะเอายังไงดี
“โว้ย” ไมตรีตัดสินใจเลี้ยวรถกลับไปหาวาริน
ไมตรีขี่รถกลับมาจุดเดิมที่แยกกับวาริน ลงรถไปเดินดูรอบๆ สีหน้าไมตรีเครียด เมื่อมองหาวารินไม่เจอ
เด็กหนุ่มเศร้าที่ทิ้งวาริน หยิบโทรศัพท์มาจะกดโทร.หาแต่แบตดันหมด ตัดใจเดินกลับไปที่รถ ใจหนึ่งอยากจะกลับบ้านไป แต่อีกใจก็อยากจะอยู่ ด้วยเป็นห่วงวาริน
ไมตรีกุมขมับเครียดหนัก ไม่รู้จะทำไงดี
รถขนส่งแล่นมาตามถนน มุ่งหน้าสู่แม่ฮ่องสอน วารินนั่งอยู่บนรถคันนั้นด้วยใบหน้าหมองเศร้า เด็กสาวหยิบโทรศัพท์ออกมองหวังให้ไมตรีโทรมาหา สักพักวารินทนไม่ไหวจึงโทรหาไมตรีแต่เป็นการฝากข้อความ
“เธอคงรำคาญฉันมากซินะถึงได้ปิดโทรศัพท์หนี”
ที่ดอกไม้เมทินี ฟลอร่า มณีปิดสมุดบัญชี คนงานที่ล็อกตู้เย็นเสร็จเดินมาหา
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“งั้นก็ไปนอนเถอะ”
คนงานเดินออกไป มณีจะเดินไปปิดไฟ ก็เห็นไมตรียืนเหม่อมองไปนอกร้าน
“ไม พี่เมโทร.หาบ้างหรือเปล่า เห็นบอกจะไปงานโรงเรียนอะไรแล้วก็หายไปเลย วันนี้แม่โทร.หาก็ไม่ติด”
มณีพูดซะยาวแต่ไมตรียืนเหม่อไม่ได้ฟัง
“ไม...” มณีเรียกลูกดังขึ้น “ไม”
“อะไรครับแม่”
“ยืนเหม่อคิดอะไร”
“เอ่อ...ไม...เอ่อ”
มณีพอเดาออก “มีปัญหากับเพื่อนคนนั้นใช่ไหม”
ไมตรีแปลกใจ “แม่รู้ได้ไง”
“ก็ไมเหม่อที่ไรเรื่องเพื่อนคนนี้ทุกที แต่ถ้ามีปัญหาเรื่องอื่นแม่เห็นไมจัดการแก้ปัญหาทันที ยกเว้นเพื่อนคนนี้ที่ไมแก้ไม่ได้ ได้แต่กลุ้ม”
“ไมไม่เข้าใจเค้า ตอนที่ไมโกรธเค้า เค้าก็ตามตื้อขอเป็นเพื่อน แต่พอไมเป็นเพื่อน อยู่ดีๆ เค้าก็โกรธไมไม่ยอมพูดกับไม กลายเป็นไมต้องตื้อเค้า ไมไม่รู้ว่าเค้าเป็นอะไร”
“ไมคิดว่าปัญหามาจากเค้าเหรอ”
ไมตรีงง “ทำไมแม่พูดแบบนี้ล่ะครับ”
“สำหรับเพื่อนคนนี้แม่เชื่อว่า วันที่เค้าอยากเป็นเพื่อนกับไม ก็เพราะตัวของไม และวันนี้ที่เค้าไม่อยากเป็นเพื่อนกับไม แม่ก็คิดว่ามันต้องมาจากตัวของไม”
ไมตรีคิดตาม “จริงสิ ไมมัวแต่มองคนอื่น บางทีอาจจะเป็นไมก็ได้ที่ทำไม่ดีกับเค้าแต่ไมไม่รู้ตัว” เด็กหนุ่มยิ้มออกกอดมารดา “ขอบคุณครับแม่”
มณีนึกได้ “จริงด้วยไม แม่คุยเรื่องเมค้างไว้ ตกลงติดต่อพี่เค้าได้ไหม”
“เมื่อเย็นไมโทร.ไปก็เหมือนปิดเครื่องครับ”
“ตายแล้วแม่ชักเป็นห่วงแล้วสิ”
“ไม่เป็นไรนะแม่ พรุ่งนี้ไมจะโทรตามอีกที”
มณีพยักหน้ารับรู้ แต่ใจก็ยังนึกห่วงเมทินีไม่คลาย
เวลาเดียวกัน รุทรในชุดหนุ่มชาวกะเหรี่ยงนั่งคอยเมทินีอยู่หน้ากระท่อม จนเริ่มเซ็งเพราะคอยนาน
“เสร็จหรือยังเม งานมีคืนนี้นะ”
“เสร็จแล้วๆ”
เมทินีเดินออกมา รุทรหันไปมองตะลึงในความสวยของเมทินี แต่สะดุดตากับชุดที่เมทินีใส่ ซึ่งเป็นชุดยาว
เมทินีเขิน “ตาค้างไปเลย ฉันสวยใช่ไหมล่ะ”
รุทรไม่ค่อยพอใจ “เมรู้ไหมว่าชุดผู้หญิงชาวเขาที่ใส่อยู่ตอนนี้ หมายถึงสาวโสดที่หนุ่มๆสามารถจีบได้”
เมทินีตกใจ “จริงเหรอ”
เมทินีก้มมองดูชุดตัวเองที่ใส่อยู่ตรงตามที่รุทรบอก
“ไปหาชุดเปลี่ยนเถอะ”
“แต่ฉันว่าไม่เป็นไรหรอก”
“แล้วเมไม่กลัวหนุ่มๆ พวกนั้นลวนลามเหรอ”
“วาทิต ฉันรู้ว่าต้องทำตัวยังไงไม่ต้องห่วงหรอก ฉันดูแลตัวเองได้”
เมทินีเดินออกไป รุทรมองตามตาขุ่นด้วยความหมั่นไส้
“ฮึ คงอยากให้ผู้ชายมาล้อมหน้าล้อมหลังตามนิสัยละสิ”
ที่ลานกลางหมู่บ้านคืนนี้ มีงานเลี้ยงฉลองเด็กแฝดเกิดใหม่ เห็นชาวเขากลุ่มหนึ่งเล่นดนตรี อีกกลุ่มเต้นรำอยู่ในลานเต้นรำตรงกลาง
อีกมุมหนึ่ง รุทรกับเมทินีนั่งกินข้าวร่วมกับกะเวน วาโพ และชาวบ้านผู้หลักผู้ใหญ่ กะเวนกับวาโพได้ฟังเรื่องของรุทรกับเมทินีก็เลยเข้าใจ
“อ๋อ ที่แท้ก็จะเดินทางไปงานโรงเรียนที่เคยช่วยเหลือแล้วหลงมาที่นี่” วาโพหันไปตบหัวกะเวน “เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าดูสองคนนี่ไม่ผิดจริงๆ เขาเป็นคนดี”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะวะ ที่ผ่านๆ มามีคนเมืองดีๆ เข้ามาที่นี่ไหมล่ะ”
รุทรกับเมทินีขำที่กะเวนกับวาโพเถียงกัน ระหว่างนั้นมีหนุ่มๆ ถือแก้วเหล้ามายื่นให้เมทินี ซึ่งมองงงๆ ไม่กล้ารับ
“รับไปเถอะ คืนนี้คนรุมจีบคุณเยอะแน่ๆ” วาโพยิ้ม
เมทินีหยิบมาดื่มแล้วขมปี๋ “นี่มันเหล้านี่”
รุทรได้ยินก็หยิบถ้วยมาดมทันทีแล้วเห็นว่ากลิ่นแรงมาก
“กินไปเถอะจะได้อุ่นๆ แล้วก็ถือว่าพวกเขาต้อนรับเพื่อนใหม่แล้วกัน” กระเวนว่า
มีหนุ่มๆ มาส่งอีก รุทรเริ่มเป็นห่วงเมทินี
“เม...ไม่ต้องฝืนทำเก่งก็ได้ กินไม่ได้ก็บอกเขาไป”
กะเวนสวนขึ้น “ไหนเอ็งบอกไม่ได้เป็นผัวเมียกัน แล้วจะไปยุ่งกับคุณเมทำไม”
รุทรไม่วายแย้ง “แต่เมจะเมานะครับ”
“เมาก็เมา นี่มันเป็นประเพณี ยิ่งแม่หญิงได้เหล้าเยอะ ยิ่งแสดงว่าเค้าเป็นสวยและเป็นคนดีที่หนุ่มโสดหมายปอง ถ้าเกิดคืนนี้แม่หญิงได้ใครเป็นผัว พรุ่งนี้ก็ไม่มีคนมาจีบเองแหละ”
รุทรตาเหลือก ตกใจ “ห๊า...จะได้ผัวกันคืนนี้เลยเหรอ”
รุทรมองเมทินี พบว่าเธอเริ่มเมาแล้ว และเห็นมีชายหนุ่มมาดึงเมทินีไปสอนเต้นรำชาวเขา เหล่าหนุ่มๆตามไปล้อมหน้าล้อมหลังเมทินีเป็นพรวน เมทินีเริ่มหัดเต้น แต่เต้นผิดๆ ถูกๆ บรรยากาศสนุกสนาน
รุทรหมั่นไส้บ่นพึมพำ “ฮึ...หน้าบานเป็นจานดิจิตอลเลยนะ”
วาโพจับมือรุทร “ไปเต้นกันเถอะ”
รุทรเรียนเต้นกับวาโพ แต่ตามองจ้องเมทินีที่เต้นกับหนุ่มๆ เห็นเมทินีเริ่มคุยกันอย่างสนุกสนานกับหนุ่มชาวเขา รุทรยิ่งขัดหูขัดตา จนเตะผิดๆ ถูกๆ ทั้งขาวาโพ เหยียบเท้าวาโพ บางช่วงที่วาโพต้องคล้องแขนจะซบแต่รุทรดันหันไปอีกด้าน ร่างวาโพล้มคะมำไป แต่รีบลุกขึ้นมาเต้นกับรุทรต่อ โดยรุทรไม่รู้ด้วยซ้ำ
ผลจากที่ล้มเมื่อครู่ วาโพเริ่มเจ็บมากจนทนไม่ไหว เลยกระซิบกับรุทร
“คุณจ๊ะ ไปเดินเล่นไหม”
“เดินที่ไหนครับ แถวนี้มีที่เดินเล่นด้วยเหรอ”
“มีสิ บนบ้านฉันไง”
รุทรตกใจ “เย้ย ไม่ไปดีกว่าครับ”
“ทำไมล่ะ ฉันชอบคุณนะ ถ้าคุณผิดผีกับฉัน พรุ่งนี้คุณจะได้เป็นหัวหน้าเผ่าแทนไอ้กะเวนทันที”
รุทรไม่เข้าใจคำพูดนั้น วาโพยิ้มเหมือนคนมีข้อต่อรองที่เหนือกว่า
วาโพเล่าว่า ในสมัยอดีต กะเวนยังเป็นเพียงลูกน้องต๊อกต๋อยของเผ่า คอยยืนนวดหัวหน้าเผ่าพ่อของเธอ บรรดาหนุ่มๆ ชายฉกรรจ์ นักต่อสู้ประจำเผ่า แต่ละคนกล้ามเป็นมัดๆ แมนๆ ทั้งสิ้น
ต่อมา วาโพยืนข้างพ่อ หัวหน้าเผ่าที่นั่งบนเก้าอี้ประจำตำแหน่ง แต่บัดนี้ล้มป่วย สภาพดูย่ำแย่
“วันนี้จะเป็นการคัดเลือกหัวหน้าเผ่าคนใหม่ เพราะตัวข้าไม่มีลูกชาย ดังนั้นคนที่แข็งแรงที่สุด เก่งที่สุดจะได้วาโพลูกสาวแสนสวยของข้า และได้เป็นหัวหน้าเผ่าสืบต่อจากข้าทันที”
พูดจบชาวบ้านก็ตบมือยินดี โห่ร้องกันลั่น
วาโพ มองหนุ่มๆ แต่ละคนแล้วยิ้มชอบ แต่เชียร์สุดๆ คือหมีชู่หล่อสุดในกลุ่ม
“เอาล่ะ เริ่มได้”
“หมีชู่ สู้ๆ นะ ต้องชนะนะ” วาโพเชียร์ดังลั่น
นักสู้ทุกคนลงมาในสนาม แล้วเริ่มต่อสู้กัน แต่ภายในเวลาไม่นาน หมีชู่ก็ล้มชายหนุ่มในแต่ละเผ่าไปได้ จนมาถึงเผ่าสุดท้าย
“เชิญหัวหน้าเผ่าสุดท้าย เผ่าจอเลาะ”
หัวหน้าเผ่าจอเลาะ กลัวหมีชู่จึงถีบกระเวนออกมาสู้แทน กระเวนหันไปมอง เห็นหัวหน้าเผ่าวิ่งหนีไปกับลูกน้อง
“เอ็งชื่ออะไร” พ่อวาโพถาม
“ฉันชื่อกระเวนจ้ะ”
“เอ้า เริ่มสู้กันได้”
หมีชู่สุดหล่อวิ่งเข้าใส่กระเวน แต่กระเวนหลบซ้าย หลบขวา ทุกคนต่างร้องเชียร์เสียงดัง วาโพเชียร์อย่างเมามัน
หมีชู่เสียหลักล้มลงหัวฟาดก้อนหินสลบคาที่ กระเวนมองอึ้ง เพราะยังไม่ได้สู้อะไร
ทุกคนเงียบกริบ วาโพมองอึ้งตาค้างไม่อยากเชื่อ
“ในที่สุดข้าก็ได้ทั้งหัวหน้าเผ่าและผัวให้วาโพ กะเวนจะคือหัวหน้าเผ่าคนใหม่”
ทุกคนปรบมือยินดี กะเวนรีบไปหาหัวหน้าเผ่าด้วยความดีใจ มองวาโพตาเยิ้ม วาโพยี้ใส่ด้วยความรังเกียจ
“ไม่นะพ่อ ข้าไม่เอาไอ้เวนนี่อ่ะ เปลี่ยนกฎแข่งใหม่เถอะ”
“ไม่ทันแล้ว”
กะเวนกะวาโพร้องถามพร้อมกัน “ทำไม”
“ข้าจะตาย” พูดจบผู้เป็นพ่อก็ล้มลงสิ้นใจตาย
เล่าจบแล้ว วาโพยังเต้นอยู่
“ตั้งแต่นั้น ชีวิตฉันก็เหมือนอยู่ในนรก จนมาเจอคุณนี่แหละ” วาโพหันซ้ายหันขวาหารุทร “ไปไหนแล้วล่ะ คุณรุทร”
วาโพมองไปยังมุมที่เมทินีนั่ง เห็นรุทรกำลังกันหนุ่มๆ ออกจากเมทินีที่เวลานี้เมาปลิ้น วาโพรีบเดินไปหา
“คุณมาทำอะไรตรงนี้”
“เมเค้าเมา”
“เมาก็เรื่องของเค้าสิ ไม่เห็นเหรอว่าวันนี้เค้าสนุก เค้าอาจจะอยากหาผัวก็ได้”
รุทรเสียงเข้มใส่วาโพ “ไม่ใช่ เมไม่ได้เป็นแบบนั้น”
วาโพอารมณ์เสีย จังหวะนั้นกระเวนมาดึงตัววาโพออกไป
รุทรเห็นหนุ่มๆ ส่งแก้วให้เมทินีไม่หยุดก็ชักโมโหแย่งแก้วจากเมทินีมา
“เอามา ฉันจะกินอีก” เมทินีพยายามแย่งคืน
“อยากกินใช่ไหม ได้จัดให้”
รุทรยกดื่มรวดใส่ปากตัวเอง “มา ใครจะกล้าเข้ามาจีบก็มาเลย”
รุทรเดินไล่ไปแย่งเหล้าในมือหนุ่มๆ มาดื่มหลายต่อหลายแก้ว จนหลายๆ คนเริ่มขยาด ขยับหนี
“ไปไหนล่ะ มีอีกก็มาสิ”
หนุ่มๆ พากันเผ่นแนบ รุทรเดินกลับไปที่เมทินีนั่งอยู่ เห็นเมทินีแล้วส่ายหน้าระอาใจ
“เม กลับเถอะ”
“ม่ายย...อาวว... ฉันยังไม่ง่วง”
“ไม่ง่วงก็ต้องกลับ”
“ฉันกลับเองจ่ะ” อยู่ดีๆ วาโพก็โผล่มา ทำเอารุทรตกใจ “ถ้าคุณเมเขาไม่กลับ วาโพกลับกับคุณก็ได้นะคะ ปะ”
วาโพดึงแขนรุทรไป แต่รุทรขืนตัวไม่ยอมเดินตาม กระเวนเดินเข้ามาท่าทางไม่พอใจ
“วาโพกลับบ้าน”
วาโพไม่ยอม กระเวนรีบแบกลากออกไป วาโพโวยวายลั่น
รุทรจะลากเมทินีกลับบ้าง แต่เมทินีไม่ยอม
“ดื้อนักใช่ไหม”
รุทรตัดสินใจอุ้มเมทินีขึ้นบ่าไป เหล่าหนุ่มพากันผิดหวัง แต่ไม่วายจะเดินตามมา
รุทรหันมาชี้หน้า “ไม่ต้องตามมาแล้ว ไปจีบคนอื่น คนนี้ห้าม”
จากนั้นรุทรอุ้มก็เมทินีเดินไปทันที
วาโพอารมณ์เสียทั้งเรื่องของรุทร และกระเวนที่พาตัวออกมา
“ไหนบอกไม่ใช่ผัวเมียกัน แต่ทำไมหวงกันท่าน่าดู ไอ้พี่เวนก็เหมือนกันไม่รู้จะลากข้าออกมาทำไม ข้าจะกลับไปดูคุณสองคน”
วาโพอารมณ์เสียลุกขึ้น กะเวนจับมือวาโพดึงไว้ อีกฝ่ายสะดุ้ง
“เอ็งจะไปยุ่งกับเขาทำไม อยู่กินเหล้ากับข้าเถอะ”
วาโพยืนนิ่งมองกระเวน
“นะ วาโพ นะ”
“เออ ก็ได้”
กระเวนยิ้มกระหยิ่ม หวังจะมอมเหล้าวาโพ คืนนี้เธอต้องเสร็จฉันแน่
สองคนเดินมาตามทางเดินไปกระท่อมที่พัก รุทรมองดูเมทินีที่เดินเมาเซไปเซมา แล้วขำ
“จะถึงไหมเม เดินหน้า 2 ก้าว ถอยหลัง 3 ก้าว”
เมทินีพูดอ้อแอ้ๆ “วาทิต... เมื่อไหร่จะถึงบ้านสักที เมง่วงแล้ว...”
“ก็เดินดีๆ ให้มันตรงๆ ซิ”
เมทินียืนนิ่งยืดตัวตรงแล้วเดินไป แต่ก็เซอยู่ดี รุทรเดินมาหา
“ไปต้องเดินแล้วเม”
รุทรจับเมทินีให้ขี่หลัง เมทินีกอดรุทรแน่น สองคนพากันกลับไปที่กระท่อม
กระเวนเทหล้าให้วาโพ หมดไปหลายขวด แต่วาโพก็ยังไม่เมา
“ถึงเอ็งกับข้าจะเริ่มต้นที่เราไม่ได้รักกัน แต่อยู่ๆ ไปข้าก็หวงนะ” กระเวนเอ่ยขึ้น
“ไอ้เวน นี่เอ็งพูดอะไรของเอ็ง”
กะเวนลุกขึ้นจ้องหน้า “ข้ารักเอ็งนะวาโพ เอ็งเข้าใจไหม ไม่มีใครรักเอ็งเท่าข้าหรอก”
วาโพตกใจ “นี่เอ็งกำลังบอกรักข้าเหรอ”
กระเวนยิ้มเขิน ทำท่าจะจูบ วาโพผลักกระเวนออกวิ่งเข้าห้องล็อกกลอนแน่นหนา กระเวนนั่งจ๋องอยู่หน้าห้อง
“วาโพให้ข้าเข้าไปนอนด้วยเถอะนะ วาโพ ยอมข้าสักทีเถอะนะๆๆ”
“พี่กระเวนนอนข้างนอกไปนั่นแหละ”
กระเวนเกาประตูแกรกๆ วาโพไม่ยอมเปิด
รุทรอุ้มเมทินีมานอนบนที่นอนอย่างทุลักทุเล เมทินีเมาปลิ้น ฮัมเพลงพื้นเมืองที่ได้ยินมาติดหู
“โห...ท่าทางจะสนุกไม่สร่าง ชอบละสิ ผู้ชายมารุมเกือบหมดหมู่บ้านนี่”
เมทินีไม่รู้สติ “สนุกจังเลยวาทิต แต่ฉันปวดหัวอ่ะ”
เมทินีนอนกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วก็ลุกขึ้นนั่ง รุทรเห็นสภาพแล้วส่ายหน้าเหนื่อยใจ
“ฮึ...ก็เล่นกินซะขนาดนี้ก็ต้องปวดสิ”
รุทรลุกขึ้นเมทินีรีบดึงไว้ “จะไปไหน”
“เดี๋ยวจะไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้ เมรอนี่ละ”
เมทินีดึงรุทรไว้ไม่ให้ไป ทั้งคู่ประสานสายตากัน ตกอยู่ในภวังค์
เมทินีส่งเสียงอ้อแอ้ “วาทิต รู้ไหมฉันคิดอะไร”
รุทรส่ายหน้า “ผมไม่รู้”
“เมื่อก่อน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเธอกับฉันจะมาแต่งงานกัน ฉันเห็นเธอเป็นผู้ชายอ่อนแอขี้โรค คนแบบนี้จะดูแลใครด้าย”
“แต่เมก็ยอมแต่งนี่ หึ...เมคงเสียใจมากที่ต้องมาอยู่กับผม” รุทรอดที่จะโมโหแทนวาทิตไม่ได้
“ม่าย... ฉันจะเสียใจทำไม เพราะตอนนี้ฉันมีความสุขมาก”
รุทรอึ้งมองเมทินีนิ่ง
“เธอทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยที่ได้อยู่ใกล้ๆ กับเธอนะวาทิต”
พลางเมทินีจับมือรุทรมากุมไว้ มองตาซึ้งๆ “วาทิต ฉันชอบเธอนะ”
รุทรอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน มองหน้าเมทินีนิ่ง เมทินีเลื่อนหน้ามาใกล้แล้วจูบรุทรเบาๆ รุทรเองก็รู้สึกดีจึงจูบตอบ
พระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า พร้อมเสียงไก่ขันดังแว่วมา เมทินีนอนซบแขนรุทรอยู่ เหมือนตอนที่หลงป่าครั้งแรก รุทรไม่ใส่เสื้อนอนมองเมทินีใส่เสื้อกล้ามตาแป๋ว เมทินีค่อยๆ ลืมตาตื่นมองเห็นรุทรมองมา
“ตื่นแล้วเหรอเม”
เมทินีเพียงพยักหน้ารับ
“เม…เมื่อคืนนี้เมจำอะไรได้บ้างไหม”
“ไม่เลยอ่ะวาทิต”
“ไม่เลยสักนิด”
เมทินีส่ายหน้า จับหัวตัวเองเพราะรู้สึกมึนหัว
“ถ้างั้นผมไปหุงข้าวก่อนนะ”
รุทรเดินเซ็งออกไป เมทินีลุกขึ้นนั่งนึกเรื่องเมื่อคืน
“เรื่องเมื่อคืน เรากินเหล้าอยู่ แล้วก็กลับมาที่บ้าน แล้วก็…” เมทินีนึกได้ ตาโตตกใจ “เฮ้ย”
สถานที่ห้องนอนในกระท่อมรุทรกับเมทินี
เมทินีนั่งมองตัวเองบอกรักรุทร และจูบกับรุทร
และค่อยๆถอนจูบออกจากกัน และฟุบหลับซบอกรุทร
เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้ว เมทินีนั่งยีหัวตัวเองด้วยความโมโห
“ทำอะไรลงไปเนี่ยเรา” เมทินีลุกขึ้นเดินออกมาที่หน้าบ้าน
พอเดินออกมานอกบ้านแล้วเมทินีเผลอยิ้ม
“ใครจะกล้าจำได้ บ้าจริงเราพูดอะไรออกไปเนี่ย”
เมทินียืนบิดเขิน ทีเซ็งเดินมามองใกล้ๆเมทินีหันไปเห็นก็ตกใจ
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ ทีเซ็งเหรอ เป็นไงบ้าง วันนี้ไม่เป็นลมบ้าหมูแล้วนะ”
ทีเซ็งพูดภาษากระเหรี่ยง “เต่อบ่ะ เลอนอมีบ่ะ” (ไม่เป็นไรแล้ว)
เมทินีไม่เข้าใจ “อะไรคะ”
ทีเซ็งจับมือแล้วเขย่าไหว้เหมือนขอบคุณ
“อ๋อ...ขอบคุณใช่ไหม” ทีเซ็งยิ้มพยักหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ”
ทีเซ็งส่งผลไม้ให้แล้วพูดอีกเมทินีไม่เข้าใจ รุทรเปิดประตูตามออกมา ยิ้มทัก
“อ้าว...ผมก็นึกว่าใครมา”
“ทีเซ็งเค้ามาขอบคุณ แล้วก็เอาผลไม้มาให้”
ทีเซ็งมองเมทินีกับรุทรแล้วอมยิ้ม พูดคำกระเหรี่ยงว่า
“ดีเลาะมื่อนา เน่อมีมื่อเจอ่ะ” (แล้วเมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหม)
ทีเซ็งถามแล้วชี้ไปที่รุทรกับเมทินี ทำให้เมทินีคิดว่าทีเซ็งถามว่าเขาอยู่กับรุทรใช่ไหม
“ใช่จ้ะ เราอยู่กันสองคน”
เมทินีตอบพร้อมชูสองนิ้ว ทีเซ็งพูดกะเหรี่ยงแล้วชูสองนิ้วตามด้วยความตกใจ
“ห๊ะ!คีล่ายาน่ะ” (เมื่อคืนสองทีเลยเหรอ)
เมทินีชูสองนิ้ว ยิ้มรับหน้าบาน “สองคนจ้า”
รุทรฟังแล้วอึ้ง พยายามจะห้ามเมทินี แต่ไม่ทัน
“เม…”
ทีเซ็งพูดต่อว่า “เมอกานอ พ่อซาควา ชู่ระโดะมะ เคเม่อนา เน่อมาดิก คีล่าเม่อ่ะ” (หนุ่มๆสาวๆแรงดีกันจริงๆ แล้วคืนนี้จะสองทีอีกไหม)
พลางทีเซ็งชูสองนิ้วอีก เมทินีชูนิ้วตาม “ก็สองไง สองเหมือนเดิม”
ทีเซ็งยิ้มเขินแล้วรีบวิ่งไป เมทินีมองตามงงๆ “อะไรของเค้า”
“เขาอาย ก็เมเล่นไปบอกว่า...” รุทรพูดไม่ออก
“บอกอะไร”
“โอ๊ย จะพูดยังไงดี เอางี้ ทีเซ็งเขาถามว่าเราอยู่กันสองคนเมื่อคืนน่ะ เราเอ่อ กันกี่ที แล้วเมก็ตอบว่าสองที”
เมทินีไม่เก็ทอยู่ดี “แล้วเราเอ่อ...กันกี่ที นี่มันอะไร”
รุทรทำมือปั๊มสองครั้ง เมทินีตกใจตาโต
“บ้าเหรอ แล้วทำไมเธอไม่เตือนฉันวาทิต”
“ผมห้ามทันซะที่ไหนล่ะ แต่ก็ดีนะคืนนี้หนุ่มๆ คงไม่มายุ่งกับเมอีกแล้ว เพราะคงเข้าใจกันทั้งหมู่บ้านแล้วว่าเมมีผัวแล้ว เมื่อคืนสองที แถมคืนนี้ยังจะโดนอีกสองที”
เมทินีกรี๊ด “อ๊าย... ตาบ้า”
เมทินีไล่ตีรุทรยกใหญ่ สองคนวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน ท่าทีมีความสุขมากกว่าโกรธกันจริงจัง สักพักเมทินีหน้ามืด ร่างซวนเซทำท่าจะวูบไป รุทรคว้าตัวไว้ได้ทัน
เรียกสติด้วยความตกใจ “เมๆๆ”
อ่านต่อตอนที่ 13