xs
xsm
sm
md
lg

เงาใจ ตอนที่ 14

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เงาใจ ตอนที่ 14

ขณะที่กินรีนั่งกินของว่าง อ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่นนั้น แล้วจู่ๆ หล่อนก็รู้สึกเหม็นขนมขึ้นมาจนทนไม่ไหว ต้องวางลงบนจานแล้วผลักไปไกลๆ กิจจาเดินเข้ามาพอดี

“นรี วันนี้พ่อจะไปประชุมงานที่เชียงใหม่ ไปกับพ่อไหม เผื่อนรีจะไปเดินเล่นระหว่างรอพ่อ”
“ก็ดีค่ะ งั้นนรีขอไปแต่งตัวก่อน”
ระหว่างที่กินรีลุกขึ้น จู่ๆ ก็รู้สึกเวียนหัวจนเซ ดีที่กิจจารับไว้ทัน
“นรี เป็นอะไรลูก” กิจจาพาลูกลงนั่ง
“เอ่อ นรีเวียนหัว”
“ไปหาหมอไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ พ่อไปประชุมเถอะ นรีคงไม่ไปไหนวันนี้”
“พ่อไม่ไปแล้ว นรีไม่สบายพ่ออยู่บ้านดีกว่า”
กินรีฝืนยิ้ม “นรีเป็นพยาบาลนะพ่อ นรีดูแลตัวเองได้ พ่ออย่าให้งานเสียเลย”
เห็นกิจจายังลังเล กินรีจึงบอกอีกว่า
“พ่ออ่ะ เชื่อนรีสิว่านรีไม่เป็นอะไรจริงๆ”
กิจจามองกินรีด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ต้องตัดใจลุกเดินไป โดยไม่วายหันมามองอีกทีก่อนเดินไป กินรียิ้มส่งแต่พอกิจจาออกไปแล้ว ก็มองจานขนมด้วยความสงสัย แล้วก็รู้สึกไม่อยากแม้แต่จะมองต้องหันหน้าหนี
กินรีฉุกคิดอาการเมื่อครู่ของตัวเอง พลางยกมือจับที่ท้องลูบเบาๆ

ด้านรุทรวางถุงขนมของฝากเยอะแยะ ลงตรงโต๊ะในร้านดอกไม้ มณียืนยิ้มมองอยู่ เมทินีเดินเข้าไปกอดแม่กับน้องด้วยความคิดถึง
“โอ๊ย ที่จริงเมกับวาทิตปลอดภัยกลับมาแม่กับไมก็ดีใจจะแย่แล้ว ไม่ต้องเอาขนมมาให้หรอก”
“วาทิตเขาอยากเอามาฝากแม่จ้ะ”
“เจ้านี้เขาอร่อยครับ แล้วเมเขาก็บอกว่าเป็นของที่คุณแม่ชอบทั้งนั้น”
“แม่ชอบก็จริง แต่สงสัยจะมีคนแย่งแม่กิน ใช่ไหมไม”
ไมตรียิ้มรับเจื่อนๆ แต่ไม่มีใครสังเกต
“อ้าว เมก็นึกว่าแม่จะบอกว่าแม่จะแย่งไมกินไม่ทัน นี่หวงไม่ให้ไมกินเหรอเนี่ย”
มณีกับเมทินีหัวเราะกันขำ
“เดี๋ยวให้เด็กเอาไปไว้ในบ้านนะ”
“ไม่ต้องหรอกแม่ ไมเอาไปเองดีกว่า”
ไมตรีเดินถือถุงขนมออกไป
เมทินีสังเกตท่าทีน้อง “ไมเป็นอะไรหรือเปล่าแม่”
“ก็ห่วงเมนั่นแหล่ะ ช่วงที่เมหายไปไมก็ซึมเลยนะ เป็นห่วงพี่”
“แหม เมก็มาแล้วจะซึมอะไรอีก เดี๋ยวต้องแหย่หน่อยแล้ว”
“ก่อนไปแกล้งน้อง ช่วยแม่ทำกับข้าวก่อนนะ” มณีบอกกับรุทรว่า “วันนี้ทานข้าวเย็นกับแม่ให้หายคิดถึงนะวาทิต”
“ครับ”

เมทินีกับมณีช่วยกันทำอาหารอยู่ในครัว มณีแอบลอบสังเกตท่าทีลูกสาว จนเมทินีรู้สึกตัว
“มีอะไรเหรอแม่”
“ทำไมมาคราวนี้ดูเมกับวาทิตเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ดูสิวาทิตอยากซื้อขนม เมแนะนำขนมที่แม่ชอบ เมื่อก่อนไม่เห็นเป็นอย่างนี้เลย”
เมทินียิ้ม “เพราะตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนมั้งจ๊ะ”
“ตอนทะเลาะกัน ตีกัน มาพึ่งแม่เป็นคนแรก ตอนรักกันบอกคนอื่นก่อนแม่”
เมทินีหยุดชะงักรู้ทันที “ทิปปี้แอบโทร.บอกแม่แล้วใช่ไหม”
มณีพยักหน้า พลางยิ้ม “เรื่องดีๆแบบนี้ใครจะทนเก็บไว้ได้ละเม”
เมทินียิ้มเขินอายม้วน
“แม่ดีใจนะที่เมกับวาทิตในที่สุดก็รักกัน ต่อไปก็รีบมีหลานให้แม่อุ้มเร็วๆ นะ”
เมทินีอายใหญ่ “แม่อ่ะ วาทิตเขาไม่แข็งแรง”
มณีประชด “จ้ะ สุขภาพแย่มาก เห็นทิปปี้บอกว่าบุกน้ำลุยไฟกันมา วาทิตเขาช่วยเมตลอดไม่ใช่เหรอ เราซะอีกเจ็บป่วยเป็นภาระเขาตลอด”
เมทินีหมั่นไส้เพื่อนสาว “แหม ทิปปี้นะ เล่าตกสักเรื่องก็ได้”
“อย่ามาเฉไฉ ตกลงจะมีหลานให้อุ้มได้ใช่ไหม”
“ไม่เอาอ่ะแม่ มาคุยอะไรเรื่องนี้”
เมทินีอายสับหมูรัวเร็วซะละเอียด มณีมองลูกสาวแล้วยิ้มขำๆ

ไมตรีนั่งทำงานอยู่ใกล้กอกุหลาบในสวนสวย เมทินีเดินมานั่งด้วย ไมตรีเห็นก็ยิ้มรับจ๋อยๆ
“กับข้าวเสร็จแล้วเหรอพี่เม”
เมทินีพยักหน้ารับ ไมตรีจะลุกขึ้นเมทินีดึงแขนไว้
“ไม มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่านี่”
“แม่บอกว่าช่วงที่พี่หายไป ไมเป็นห่วงพี่มาก”
“ใช่”
“แต่พี่กลับมาแล้ว ไมไม่สดชื่นเลยนะ หรือว่าจริงๆ ไม่อยากให้พี่กลับ”
“เฮ้ย ไม่ใช่นะพี่เม ไมเครียดเรื่องเรียน”
เมทินีรู้ทัน “ไม เรื่องเรียนที่ไมกลัวก็มีแค่ภาษาอังกฤษอย่างเดียว บอกพี่มาตรงๆ ดีกว่า เรามีกันสองคนพี่น้อง ถ้าโกหกกันยังไงพี่ก็จับได้”
ไมตรีถอนใจ หน้าเครียด แต่พอเห็นเมทินีจ้องหน้าคาดคั้นก็จำใจเล่า
ไมตรีบอกเสียงเศร้า “พอดีเพื่อนไม จู่ๆ เขาก็มาสั่งดอกไม้ แล้วก็ไม่ยอมบอกว่าเอาไปให้ใคร”
“เพื่อนผู้หญิงใช่ไหม”
ไมตรีพยักหน้ารับ เมทินีรู้ทันทีว่าเพื่อนหญิงคนนี้ต้องเป็นคนที่น้องชายชอบ
“ไมก็เลยคิดว่าเขาเอาไปให้แฟน”
“ถ้าไม่ใช่แฟนแล้วใครเขาจะให้ดอกไม้กัน พี่เมก็เห็นพวกลูกค้าหนุ่มๆ สาวๆ มาสั่งดอกไม้กับเรา ร้อยละร้อยให้แฟนทั้งนั้น”
“ไมก็สรุปเร็วเกินไป บางคนเขาก็สั่งไปให้เพื่อนให้พี่รับปริญญา บางคนเขาก็ให้วันเกิดหรือเยี่ยมไข้ก็เยอะนะ”
“แต่ที่เค้าสั่งเป็นดอกกุหลาบหลายๆ สีแล้วติดการ์ดรูปหัวใจ”
เมทินียิ้ม “ไม ฟังพี่นะ ก่อนที่ไมจะเชื่อว่าอะไรมันจริงหรือไม่จริง ไมต้องเห็นกับตาก่อน”
ไมตรีนิ่งคิดตาม แต่ยังตัดสินใจไม่ได้
เมทินีตบไหล่ปลอบ “ปัญหามีแก้ไม่ได้มีไว้กลุ้ม ยิ่งถ้ากลุ้มโดยไม่คิดแก้ไขมันจะยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่ที่ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง”
ไมตรีมองพี่สาว เมทินียิ้มเป็นกำลังใจให้ ไมตรียิ้มตอบ
“งั้นตอนนี้ไมแก้ปัญหาแรกก่อนแล้วกัน” เมทินีมองงงๆ “ไปกินข้าวกัน”
สองพี่น้องลุกขึ้น เดินกอดคอหยอกล้อกันเข้าบ้านไป

ตอนเย็นวันเดียวกัน อังกูร กินรี และกิจจา นั่งทานข้าวมื้อค่ำด้วยกัน กิจจาได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากอังกูรแล้วก็เป็นห่วง
“แล้วไอ้วาทิตปลอมกับเมทินีบอกหรือเปล่าว่า ตกลงมันหายไปอยู่ไหนมา หรือมันแอบไปทำเรื่องโอนสมบัติกัน”
“ทั้งสองคนยืนยันว่าหลงป่าครับ”
“ไอ้วิทย์มันแต่งเรื่องให้นะสิ”
“แต่ผมเชื่อเม”
กินรีเคี้ยวข้าวอยู่ชะงักทันที กิจจาเองก็อดคิดไม่ได้ว่าอังกูรจะกลับไปหาเม
“อย่าบอกว่าจะกลับไปกินน้ำใต้ศอกไอ้วาทิตปลอมนั่นนะ ถ้าใจอ่อนแบบนี้ แผนเราจะพังกันหมด”
“ไม่ต้องห่วงครับ ยังไงผมก็ต้องเอาสมบัติที่ควรเป็นของผมคืนแน่”
“แล้วจะรออะไรอีกล่ะ ตอนนี้พวกมันกลับมากันแล้วจัดการให้หมดพร้อมๆ กันเลยสิ”
“คุณพ่อ คุณกูร พอเถอะค่ะ เราอย่าไปยุ่งกับพวกนั้นอีกเลย”
“นรี นี่ลูกเข้าข้างไอ้วิทย์เหรอ”
“ลูกไม่ได้เข้าข้างใคร แต่สมบัตินั่นก็ของเขา เราจะไปเอามาทำไม แค่นี้เราสามคนก็อยู่กันได้สบายๆ แล้ว เชื่อนรีเถอะนะคะ พ่อ คุณกูร”
อังกูรรำคาญ รวบช้อนวางด้วยความไม่พอใจแล้วลุกออกไปเลย
“นรี ลูกพูดอะไรของลูกเนี่ย ไอ้อังกูรมันโง่จัดการศัตรูให้เราก็ดีอยู่แล้ว จะมาขัดขากันเองทำไม เกิดอังกูรมันปอดแหกขึ้นมา เราจะอดกันหมด” กิจจาหัวเสีย
กินรีไม่อยากฟังกิจจา ลุกออกตามอังกูรไป

“โธ่เว้ย ไอ้ลูกคนนี้ ไม่ได้อย่างใจเลย”

อังกูรหัวเสียกำลังขึ้นรถ กินรีรีบวิ่งตามมาเรียกไว้

“คุณกูร เลิกยุ่งกับพวกนั้นเถอะนะคะ”
“ฉันว่าเธอน่ะเลิกยุ่งกับฉันดีกว่า อย่าทำให้ฉันรำคาญมากไปกว่านี้เลย”
“ไม่ค่ะ นรีจะไม่ยอมให้คุณทำผิด ชีวิตคุณยังอีกไกล ถ้าพ่อเลี้ยงวิทย์เค้าร้ายคุณก็ออกไปสร้างตัวคุณเองสิ คุณกูรเป็นคนเก่ง นรีเชื่อว่าคุณทำได้”
อังกูรตวาด “เลิกพูดบ้าบออะไรนี่ซะที ฉันว่าเธอหัดทำตัวให้ดีเหมือนพ่อเธอดีกว่า ถ้าทำตัวน่ารำคาญมากๆ ฉันกับเธออาจจะไม่เจอกันอีก”
พูดจบอังกูรก็ขึ้นรถขับออกไป กินรียืนเสียใจที่ห้ามอังกูรไม่ได้ กิจจาเดินตามออกมา
“นรี พ่อขอสั่งเลยนะ ถ้าลูกไม่เห็นด้วยกับพ่อกับกูร ลูกก็ห้ามมาขวางอีก”
กินรีหันกลับมาหากิจจาๆมองด้วยความโกรธ แต่จู่ๆ ร่างกินรีก็เป็นลมร่วงผล็อยลง กิจจาวิ่งเข้าไปคว้าทัน
“นรี...นรี” กิจจาร้องตะโกนเสียงดัง “ใครโทร.ตามหมอหน่อย”

กินรีนอนลืมตาอยู่บนเตียงนอน มีกิจจากับหมอยืนคุยกันอยู่ข้างๆ เตียง
“อาการพวกนี้ก็คงจะเป็นสักระยะนะครับคุณอา ยังไงก็ให้นรีพักผ่อนๆ เยอะๆ ทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ แล้วก็ไปฝากครรภ์ซะจะได้เข้าโปรแกรมตรวจตามนัดครับ”
“ขอบคุณมากนะหมอ”
“ยังไงพี่ก็ขอแสดงความยินดีด้วยอีกครั้งนะนรี สงสัยในรุ่นพยาบาลของนรีพี่จะได้ไปงานนรีเป็นงานแรกก็ไม่รู้” กินรียิ้มให้ “พี่ไปนะ” หมอหันมาทางกิจจา “ผมไปนะครับคุณอา”
“ขับรถดีๆ นะหมอ”
หมอเดินออกจากห้องไป กิจจารีบเดินมาจับมือกินรีท่าทางดีใจ
“นรี ลูกรักของพ่อ ดีมากที่ท้องถ้ากูรรู้เขาคงดีใจรีบแต่งงานกับลูกพ่อเลย”
“พ่ออย่าบอกคุณกูรนะ”
กิจจางง “ทำไมล่ะ เรามีแต่ได้กับได้ ยิ่งถ้ากูรจัดการไอ้วิทย์กับไอ้วาทิตตัวปลอมนั่นได้เมื่อไหร่ หลานของพ่อก็คือทายาทพันๆ ล้านคนเดียวไม่ต้องแบ่งกับใคร”
กินรีท้วง “แล้วถ้าเกิดคุณกูรทำพลาดต้องติดคุกเสียอนาคตล่ะ พ่อคิดตรงนี้บ้างไหม”
“ถ้ามันโง่ขนาดนั้นก็ให้มันโดนจับไป ไม่สมควรเป็นพ่อของหลานพ่อหรอก หรือถึงมันไม่โดนจับ พ่อก็ไม่เอามาเป็นเขย คนมีแต่ตัวพ่อรับไม่ได้”
“คุณพ่อ”
กินรีหน่าย กลอกตาเซ็งๆ กับความคิดความเห็นแก่ได้ของกิจจา

คืนนั้น รุทรกับเมทินีลงนอนด้วยกัน เมทินีเขยิบมาใกล้ๆ นอนซบไหล่ รุทรนอนตัวเกร็ง สักพักเมทินีผงกหัวเท้าคางมองหน้ารุทร อีกฝ่ายมองเกร็งๆ
“วาทิต เธอชอบเด็กไหม”
“ก็...ก็ชอบ”
เมทินียิ้มดีใจ “ถ้าบ้านเรามีเด็กเล็กๆ ก็คงดีเนอะ เธอว่าไหม”
รุทรยิ้มฝืดๆ พยักหน้ารับ
เมทินีเขินอาย “เธอก็ชอบเด็ก ตัวฉันก็ชอบเด็ก แม่ฉันกับคุณพ่อก็ยิ่งรักเด็ก และท่านคงจะมีความสุขมากถ้ามีเด็กเล็กๆ มาวิ่งเล่นอยู่ในบ้าน แล้วแม่ฉันท่านก็อยากอุ้มหลาน” เธอมองจ้องตาเขาอย่างจริงจัง “วาทิต...ตอนนี้สุขภาพเธอก็ดีขึ้นมากแล้ว เราก็น่าจะมี ลูก ด้วยกันได้ใช่ไหม”
เมทินีมองหน้ารุทรนิ่ง ดวงตาเต็มไปด้วยความรัก รุทรมองตอบเกือบเคลิ้มไป แต่ชะงักเมื่อคิดได้ว่าเมทินีเป็นคนรักของน้องชาย
“เอ่อ แต่ผมว่า ผมไปตรวจสุขภาพให้แน่นอนก่อนดีกว่านะ”
“ก็ได้ ดีเหมือนกัน”
เมทินีนอนซบรุทร ยิ้มหวังมีความสุข
“ฉันหวังว่าเราจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ด้วยกันซะทีนะวาทิต”
“อือ”
รุทรรับปากไม่เต็มคำนัก แต่เมทินีก็มีความสุขนอนซบรุทรหลับไป รุทรได้แต่มองเมทินีที่ซบไหล่ตัวเองแล้วถอนใจกังวล

เช้าวันถัดมา ทุกคนอยู่ที่ห้องทำงานพ่อเลี้ยงวิทย์ในสำนักงานไร่ส้ม ทิปปี้ส่งเอกสารให้พ่อเลี้ยงรับไปอ่านแล้วเซ็นรับรอง รุทร และอังกูรนั่งอยู่ด้วย
“ที่ฉันเรียกทุกคนมาวันนี้ก็เพราะ จะไปธุระที่ต่างประเทศสักระยะ เลยจะออกบันทึกอย่างเป็นทางการเรื่องการมอบอำนาจบริหารงานทุกอย่างให้วาทิตตัดสินใจแทน”
อังกูรโกรธ “อะไรนะครับ คุณลุงทำแบบนี้ไม่ได้ วาทิตเพิ่งเรียนงานไม่เท่าไหร่ จะตัดสินใจแทนคุณลุงได้ไง”
“ลุงเชื่อว่าวาทิตทำได้” พ่อเลี้ยงบอกเสียงเรียบ
“ยังไงครับ วาทิตไม่เคยทำงานที่นี่มาก่อน หรือวาทิตเคยไปทำงานที่อื่นมาถึงเข้ามาทำงานได้เลย”
พ่อเลี้ยงวิทย์กับรุทรพยามนิ่ง
“เอาเป็นว่าลุงตัดสินใจแล้ว ทุกคนมีหน้าที่รับทราบและปฏิบัติตาม” พ่อเลี้ยงกำชับทิปปี้ “ทิปปี้ เดี๋ยวทำสำเนาให้กูร และประกาศให้คนงานทราบด้วยนะ”
“ค่ะพ่อเลี้ยง”
อังกูรลุกขึ้นด้วยความไม่พอใจ เดินไปหาวาทิตแล้วจ้องหน้าพร้อมยิ้มให้อย่างคนที่มั่นใจว่าตัวเองเหนือกว่า
“ถ้าคุณลุงเขาต้องการอย่างนั้น พี่ก็คงต้องยอมฝากงานทุกอย่างให้นายดูแล แต่พี่บอกไว้ก่อนนะว่าแค่ฝากชั่วคราว เพราะอีกหน่อยพี่ก็อาจจะอยากได้อำนาจแบบที่นายได้บ้าง”
“กูร แกมาขู่น้องแบบนี้ คิดจะทำอะไร”
อังกูรยิ้มเยาะ “ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณลุง คนอย่างผมไม่ทำร้ายใคร คุณลุงก็ทราบ”
จากนั้นอังกูรก็เดินออกไป พ่อเลี้ยงกับรุทรมองหน้ากันด้วยความกังวล

ฝ่ายไมตรีพาวารินเดินไปตามแปลงดอกไม้ วารินมองดูดอกไม้ แล้วยิ้มแย้มมีความสุข ไมตรีดูซึมๆ
“ที่จริงเธอไปซื้อร้านอื่นก็ได้นะ ไม่เห็นต้องมาซะไกลถึงร้านฉันเลย”
“ไม่ได้ ดอกไม้พิเศษๆ ฉันก็ต้องซื้อร้านเพื่อนสิ”
“ฮึ ถ้างั้นก็รีบๆ เลือกเขาเถอะ จะได้เอาไปให้แม่จัด แล้วเธอจะได้รีบเอาไปให้คนที่เขารอ”
“ทำไมฉันถึงต้องเลือกดอกไม้ใหม่ล่ะ ก็ฉันสั่งกุหลาบไปแล้วนี่”
“พวกดอกไม้บอกรักโหลๆ น่ะ คนเค้าชอบสั่งกันเยอะ หมดเร็ว”
“งั้นช่วยฉันเลือกสิ”
“ไม่ได้หรอก จะเลือกดอกไม้ให้แฟนทั้งที เธอก็ต้องเลือกด้วยตัวเองสิ”
วารินงง “แฟนเหรอ”
ไมตรีเสียงขุ่นไม่พอใจ “ใช่”
วารินเห็นอีกฝ่ายคิดอย่างนั้น ก็ยิ้มทำเป็นไม่สนใจ ไมตรีเห็นวารินไม่ตอบก็อดรนทนไม่ไหวตัดสินใจถาม
“นี่ริน ตกลงเธอมีแฟนแล้วจริงๆ เหรอ”
วารินแกล้งโดยบอกว่า “ทำไม ถ้าฉันมีแฟนแล้วมันผิดมากเหรอไง เธอถึงต้องทำหน้าตกใจแบบนั้น”
“มันก็ไม่ผิดหรอก ยังไงก็เลือกให้มันดีๆ แล้วกัน” หน้าไมตรีจ๋อยสนิท
“แหม ถ้าอย่างนั้นต้องพามาแนะนำให้นายรู้จักซักหน่อย”
ไมตรีพูดสวนอย่างไม่พอใจ “ไม่ต้อง ไม่อยากรู้จัก”
วารินชะงัก แล้วหัวเราะ ไมตรีมองงงๆ “เธอหัวเราะอะไรของเธอ”
“เอาล่ะ ตั้งใจฟังดีๆนะดอกไม้ที่ฉันสั่งเนี่ย ฉันสั่งให้พี่ชายอีกคนของฉัน เขากำลังตกหลุมรัก ฉันเลยอยากให้เขาจีบคนที่รักสำเร็จ”
“อ้าว แล้วทำไมวันนั้นฉันถามว่าเอาไปให้ใครทำไมไม่บอก”
วารินทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ “ก็ถ้าฉันบอกเธอวันนั้น เธอก็คงไม่แสดงความรู้สึกบางอย่างออกมาน่ะสิ”
ไมตรีเขินใหญ่ “ริน เธอนี่ร้ายมากนะ”
“ก็เธออยากทำตัวอ่านยากทำไม ฉันก็อยากรู้น่ะสิว่าเธอคิดไงกับฉัน”
“เธอนี่มันตัวแสบจริงๆ วันนี้ฉันจะต้องแกแค้นให้ได้”
ไมตรีมองซ้ายมองขวาแล้วเห็นสายยางก็รีบวิ่งไปเปิดก๊อกน้ำ วารินร้องกรี๊ดวิ่งหนี ไมตรีวิ่งจะเอาน้ำฉีดใส่ วารินวิ่งหนีไปจนไกล ไมตรีทิ้งสายยางแล้ววิ่งตาม

สองคนวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน

ไม่นานต่อมา มณีจัดดอกไม้ให้วารินอยู่ มีวารินกับไมตรีนั่งดูด้วย มณีมองเด็กทั้งสองแล้วยิ้มออก

“นี่ริน รู้ไหมแม่ได้ยินชื่อรินมานานแล้ว เพิ่งมาเห็นตัวจริง น่ารักกว่าที่ไมเขาเล่าอีกเป็นกองเลย”
วารินตื่นเต้น “ไมพูดถึงรินด้วยเหรอคะ”
ไมตรีเขิน “แม่”
มณีมองไมตรีที่เขินแล้วขำเอ็นดู
“เอาละ อยู่คุยกันไปก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่ไปเตรียมอาหารก่อน”
มณีมองไมตรีกับวารินด้วยความเอ็นดู และเดินออกไป
วารินมองไปรอบๆ ชมบ้าน แล้วเห็นกรอบรูปของไมตรีกับครอบครัว จนไปสะดุดกับรูปที่มุมหนึ่ง วารินถึงกับจ้องค้าง แล้วต้องเดินไปดูใกล้ๆ เห็นเป็นรูปวันงานแต่งงานของวาทิตกับเมทินีที่ถ่ายรวมญาติมีทั้งพ่อเลี้ยงวิทย์ มณี และไมตรี
วารินยืนจ้องรูปตาไม่กระพริบ “นี่พี่สาวเธอเหรอไม”
ไมตรียิ้มภูมิใจ พร้อมแนะนำ “ใช่ พี่เม...เป็นไงสวยไหม”
“เอ่อ...สวย”
มณีเดินยิ้มแย้มเข้ามาพอดี “อ้าวเด็กๆ ไปทานข้าวกันได้แล้วจ้ะ”
“ครับ” ไมตรีหันมาหาวาริน “ไปริน”
วารินหันมายิ้มให้แม่ลูก มณีเดินนำไปก่อน ไมตรีเดินตามออกไป
วารินมองรูปเมทินีนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนจะตามไป

กินรีนั่งกินข้าวกับกิจจาสองคน
“พ่อให้เขาทำแต่อาหารดีๆ อย่างที่หมอเขาบอก หลานพ่อจะได้แข็งแรง”
กินรียิ้มรับ “ค่ะ”
“แล้วนี่ยังแพ้อยู่ไหม”
“ก็ดีขึ้นแล้วค่ะ นี่นรียังคิดว่าอยากจะกลับไปทำงาน”
“นรีพอจะทำงานไหวไหม”
“ทำงาน” กินรีฉงน
“พ่ออยากให้นรีกลับไปเฝ้าไอ้วาทิตปลอม”
“ก็ในเมื่อคุณกูรพูดไปว่าสุขภาพของเขาแข็งแรงแล้ว จะให้นรีไปทำไม”
“พ่อกลัวว่า ถ้ากูรกำจัดสองพ่อลูกนั่นได้แล้ว อาจจะเบี้ยวเรา”
“แต่นรีไม่อยากยุ่งเรื่องพวกนี้อีกแล้ว นรีกำลังจะมีลูกจะมีชีวิตใหม่”
“ก็เพราะจะมีลูกไง พ่อถึงอยากให้นรีเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดให้หลานของพ่อ หรือนรีอยากจะให้เมทินีแย่งกูรไปตอนที่กูรมีทุกอย่าง”
กินรีนิ่งคิดตาม กิจจารอคำตอบ
“ขอนรีคิดสักหน่อยนะคะ”
“ตามใจ แต่อย่าให้ช้านะ”
กิจจามองกินรีด้วยความรู้สึกขัดใจ

ที่บ้านท้ายไร่ วาทิตนอนเป็นผักอยู่ แรมวัดไข้ วัดความดันเสร็จก็จดบันทึก อีกมุมหนึ่งวารินยืนช่อดอกไม้ให้อนุวัตร
“แน่ใจเหรอว่าแผนนี้ของรินจะได้ผล”
“แผนน่ะจะได้หรือไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับตัวพี่วัตรด้วย ถ้าพี่วัตรชอบเจ๊บุษจริงก็ต้องแสดงให้เค้ารู้ว่าพี่จริงใจกับเค้าแค่ไหน”
“ขอบใจนะริน พี่จะพยามทำให้ได้”
วารินยิ้มเนือยๆ อนุวัตรสงสัยท่าทีน้อง
“เฮ้ย ทำไมวันนี้โค้ชดูหน้าเมื่อยแบบนี้อ่ะ”
แรมเอากล่องเครื่องมือวัดหัวใจ วัดความดัน และสมุดจดบันทึกมาวางที่โต๊ะใกล้ๆ แล้วฟังเด็กๆ คุยกัน
“นั่นสิ แม่ว่าจะถามเหมือนกัน รินดูเงียบๆ ไปนะ”
“วันนี้รินไปบ้านไมตรีมา พี่สาวของไม คือพี่เมทินี เจ้าสาวของพี่วาทิต”
อนุวัตรกับแรมอ้าปากค้างแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ตกลงพี่สาวของเพื่อนริน ที่ต้องลำบากหาเงินช่วยไม่ให้เขาติดคุก ก็คือเจ้าสาวของวาทิตงั้นเหรอลูก”
วารินพยักหน้ารับ
“โอ๊ย ตายๆๆๆ รู้สึกผิดที่ตอนแรกดันไปว่าเจ้าสาวของวาทิตแต่งงาน เพราะอยากได้เงิน”
“โธ่เอ๊ย ที่จริงเขาก็เป็นคนดีนะ แม่ก็ยังนึกเลยว่าตอนที่เขามาติดต่อซื้อดอกไม้ ดูเขาก็น่ารักดี จะมาปอกลอกคิดร้ายกับวาทิตได้ยังไง” พูดไปพูดมาแล้วนึกได้ “แล้วรินบอกอะไรกับเพื่อนหรือเปล่าลูก”
“เปล่าจ้ะ ขืนบอกไป ไมก็รู้น่ะสิว่าพี่วาทิตที่อยู่กับพี่สาวเขาตอนนี้เป็นตัวปลอม”
“ค่อยยังชั่ว ไม่งั้นไอ้รุทรลำบากแน่” อนุวัตรว่า
“แต่รินก็รู้สึกอึดอัดนะ ถ้าวันหนึ่งไมรู้ว่ารินโกหก เค้าคงเกลียดริน”
แรมลูบหัวลูกปลอบ “ไว้วันหนึ่งที่วาทิตฟื้นทุกอย่างก็จะดีขึ้นเองนะริน”
“รินก็ขอให้เป็นอย่างนั้นจ้ะแม่”
วารินรู้สึกอยากให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีเร็วๆ

ฟากบุษบันเดินมากับลูกน้องเพื่อตรวจตลาด พูดบ่นบ้าไม่หยุดปาก สักพักมีคนเอาของมาให้ทั้งกาแฟ ผลไม้ หมู ผักก็จะมีคนยื่นมาให้ บุษบันรับของมาอย่างงงๆ ของเยอะมาก ต้องส่งให้ลูกน้องถือจนเต็มมือ แถมต้องเอาปากคาบไว้ด้วย บุษบันนึกสงสัย
“จะมีใครให้อะไรฉันอีกไหม โอ๊ย!!ใครมันเล่นตลกกับฉันเนี่ย”
ลูกน้องส่ายหน้าว่าไม่รู้ แต่พูดไม่ได้เพราะปากคาบถุงอาหารอยู่
“หรือว่าจะมีคนมาแอบชอบฉัน” แม่เลี้ยงสาวใหญ่ยิ้มหวานแล้วนึกได้ “แต่คนทำแบบนี้ได้ก็ต้องเป็นพวกแก่ๆ น่าเกลียด อี้ๆ”
บุษบันทำท่าขยะแขยง แล้วนิ่งคิดไม่อยากจะเชื่อว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิตตน ระหว่างนั้นอนุวัตรเดินผ่านมา
“ไอ้หน้าลิงมานี่หน่อย”
อนุวัตรเดินเข้าไปหา “วันนี้ฝนคงตก เจ๊เรียกผมก่อน”
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
“หรา แต่ผมยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน เจ๊เลี้ยงหน่อยสิ”

บุษบันค้อนให้หนึ่งวงใหญ่

ถัดมา สองคนอยู่ในร้านก๋วยเตี๋ยว บุษบันนั่งมองอนุวัตรที่กินก๋วยเตี๋ยวจนอิ่มอย่างไม่ค่อยพอใจ

“นี่ฉันให้แกมาช่วยฉันคิดนะว่า ใครเป็นคนให้ของพวกนี้กับฉัน แล้วตกลงฉันเสียเงินเลี้ยง แกไปแล้วก็ไม่เห็นได้คำตอบอะไรเลย เสียเวลาจริงๆ”
อนุวัตรแกล้งทำจ๋อย ระหว่างนั้นมีเด็กวิ่งเอาช่อดอกไม้มาให้บุษบัน
“นี่ไงไอ้หน้าลิงมาอีกแล้ว”
อนุวัตรทำฉุนแกล้งกระชากดอกไม้จากมือบุษบันมาดูการ์ด
“ฮึ โธ่เอ๊ย นึกว่าใคร”
“แล้วใครล่ะ”
“อย่าไปสนใจเลยเจ๊”
อนุวัตรทำท่าจะเอาช่อดอกไม้ไปทิ้งถังขยะ บุษบันรีบดึงแขน
“ต้องสนสิ ก็ฉันอยากรู้ว่าเป็นใครนี่”
“เจ๊อยากรู้จริงเหรอว่าใคร”
อนุวัตรโยกโย้อยู่นั่น จนบุษบันชักรำคาญ “นี่บอกมาเหอะน่า เล่นตัวอยู่ได้”
“ในการ์ดนี้เขียนชื่อว่า...อนุวัตร”
“อะไรนะ”
บุษบันตกใจรีบกระชากการ์ดมาดูชื่ออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา พลางหันไปมองอีกฝ่ายให้แน่ใจ ก็เห็นอนุวัตยิ้มให้อยู่ บุษบันลุกขึ้นโวยแหลก
“ไอ้หน้าลิง แกทำบ้าอะไรของแก”
เสียงโวยวาย ทำเอาผู้คนในตลาดเริ่มหันมามองทั้งสองคน
อนุวัตรลุกขึ้นมองหน้าบุษบัน
“ทำไมล่ะเจ๊ ผมก็เป็นคน เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีครบ 32 ทุกอย่าง ไม่ขาดไม่เกิน พอดีเป๊ะ”
“แกอย่ามาล้อเล่นทำตลกใส่ฉันนะ มันเป็นเรื่องของความรู้สึกรู้ไว้ด้วย”
“ก็เพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึกไง ผมถึงได้จริงจังทำทุกอย่างขนาดนี้ เจ๊รู้ไว้เลยนะว่าผมชอบเจ๊ ชอบมานานแล้วด้วย”
บุษบันอึ้งกับคำสารภาพของหนุ่มเสียงแปร๋น
“เอาล่ะ ผมยอมแล้วเจ๊จะให้ผมเป็นอะไรก็ได้สำหรับเจ๊ แต่เจ๊อย่าตัดผมออกจากชีวิตเจ๊เลยนะ ผมอยู่โดยไม่เห็นหน้าเจ๊ไม่ได้”
บุษบันได้ยินประโยคนี้ก็ยิ่งอึ้งหนักเข้าไปใหญ่ มองจ้องหน้าอนุวัตร
“แก เอ่อ เธอชอบฉันจริงๆ เหรอ”
อนุวัตรพยักหน้ารับ
“แต่ถ้าฉันยังตัดรุทรไม่ได้ เธอทำใจได้เหรอ”
“ถามจริงๆ เจ๊ชอบไอ้รุทรมากใช่ไหม” บุษบันพยักหน้ารับ “โอเค โอเค งั้นผมไปเปลี่ยนชื่อเป็นรุทรให้เอาไหม”
“ไม่ต้องเลย ถ้าฉันจะคบกับใคร ฉันก็อยากได้คนที่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่คบคนหนึ่งเพื่อมาแทนคนหนึ่ง”
อนุวัตรพยักหน้ารับเข้าใจ สักพักฉุกคิดขึ้นมาได้
“เดี๋ยวนะ เจ๊พูดแบบนี้ก็แปลว่าเจ๊เปิดใจรับผมแล้วใช่ไหม”
บุษบันยิ้มเขิน แต่ยังคงวางฟอร์ม “ก็นิดนึงอ่ะ”
คนในตลาดปรบมือด้วยความยินดีให้กับทั้งคู่ อนุวัตรกระโดดดีใจ โผเข้ากอดบุษบันหมับ บุษบันเผลอกอดตอบ พอนึกได้รีบผลักออก

สองคนยิ้มเขิน ยืนบิดมองหน้ากันไปมา ท่ามกลางเสียงชาวบ้านชาวตลาดเฮลั่น
 
อ่านต่อหน้า 2

เงาใจ ตอนที่ 14 (ต่อ)

ยามเย็นบนถนนสายเปลี่ยว อังกูรกับชาติยืนอยู่กับมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์สองคน อังกูรกดแชร์สถานที่ให้มือถือของชาติ

“แกไปตามแผนที่ ที่ฉันแชร์ให้แก แล้วตรงไปที่บ้านที่อยู่ท้ายไร่ แล้วจัดการฆ่าไอ้วาทิตมันซะ”
ชาติหยิบปืนออกมา “ไม่ต้องห่วงครับคุณกูร นอนนิ่งๆ แบบนั้นผมหลับตายิงยังตายเลย”
“ไม่ได้ ห้ามใช้ปืน”
“งั้นจะให้ผมทำไงล่ะครับ”
“แกจะทำไงก็ได้ แต่ต้องทำให้มันตายแบบดูเป็นธรรมชาติที่สุด ถ้าแกใช้ปืนตำรวจอาจแกะรอยจนเจอแก”
“ก็ได้ครับ คุณกูรรอฟังข่าวดีได้เลย”
อังกูรยิ้มพอใจ ชาติใส่หมวกกันน็อคแล้วขึ้นรถขี่ออกไป

ขณะเดียวกัน รุทรนอนไม่หลับกระสับกระส่าย มองไปยังเมทินีก็เห็นว่าหลับแล้ว
รุทรเดินลงมาหน้าบ้าน แล้วกดโทรศัพท์หาแรม
“แม่ เป็นไงบ้าง” เขายิ้มฟังปลายสาย “ไม่มีอะไรหรอก ไม่รู้ทำไมวันนี้คิดถึงแม่จัง ไม่ได้อ้อน แต่มันเป็นจริงๆ คิดถึงจนทนไม่ไหวเลยต้องลุกมาโทร.หา”
แรมจันทร์อยู่ที่บ้านท้ายไร่ กำลังใช้แขนหนีบโทรศัพท์คุยสายกับรุทรไปด้วย ทาโลชั่นกันผิวแห้งให้วาทิตไปด้วย
“ปากหวานขึ้นทุกวันนะเรา”
“จริงนะแม่ ผมอยากเจอแม่กับทุกคนมาก แต่ผมก็ไม่รู้จะไปยังไง”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก เอาไว้วาทิตฟื้นแล้วเราค่อยเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาก็ได้นะ”
“ครับแม่ ช่วงนี้แม่ก็ดูแลตัวเองด้วยนะ อยู่ๆ ผมก็ร้อนรนห่วงแม่ไม่รู้ว่าแม่จะไม่สบายหรือเปล่า”
“แม่คงไม่เป็นไรมั้ง เอาเป็นว่ามีอะไรแม่จะรีบโทรบอกแล้วกันนะ พรุ่งนี้พ่อเลี้ยงก็จะมาช่วยดูแลวาทิต ไม่มีอะไรต้องห่วงนะ”
“ครับแม่ ได้ยินเสียงแม่สดใจก็หายห่วง แม่ดูแลตัวเองด้วยนะ”
รุทรกดวางสายแล้วยิ้มสบายใจ เดินเข้าบ้านไป

รุทรค่อยๆ ย่องเข้ามาแล้ววางโทรศัพท์แล้วลงนอน
“ไปไหนมาเหรอ”
รุทรสะดุ้งไม่คิดว่าเมทินีจะตื่นตอนนี้
“ผมลงไปหาน้ำผลไม้ดื่มน่ะ”
“งั้นก็นอนกันเถอะ”
เมทินีดึงรุทรให้ลงนอน แล้วก็กอดรุทรหลับไป รุทรนอนยิ้ม แล้วค่อยๆ หลับตาลง

ฝ่ายอนุวัตรเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียว ทาแป้งขาวลายพร้อยไปทั้งตัว ยืนหวีผมทำท่าเก๊กหล่อมุมนั้นมุมนี้
“อยากรักแม่ม่าย อยากเอาใจคนดี กี่เดือนกี่ปี่ดูสวยโสภีไม่สร่าง”
อนุวัตรร้องเพลงอารมณ์ดี หวีผมเสร็จ หยิบเสื้อมาใส่เตรียมจะเข้านอน

เวลานั้น ชาติขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่มุมหนึ่ง มันลงจากรถมาซุ่มมองไปที่บ้าน เปิดหน้ากากหมวกกันน็อคดูโดยรอบ เห็นวารินนั่งอ่านหนังสือเสร็จ แล้วดับไฟ
ชาติดูโทรศัพท์ แล้วเดินไปตามทางในสวนผัก หายไปในความมืด

ชาติหลบซุ่มอยู่ที่มุมหนึ่งมองดูเหตุการณ์ จนเห็นแรมหยิบผ้าขนหนูเดินออกไป ชาติจึงค่อยๆ ย่องเข้าไป แล้วปีนหน้าต่างเข้าไปด้านในห้องนอนวาทิต ชาติยืนดูร่างวาทิตที่นอนหลับ จนต้องเปิดหน้ากากหมวกกันน็อคดูอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
จากนั้นชาติดึงหมอนที่หนุนคอวาทิตออกมาแล้วจัดการวางทาบไปบนหน้าของวาทิต แล้วออกแรงกดเต็มแรง

แรมเดินมาจะไปอาบน้ำ แต่นึกได้ว่าลืมหยิบยาสีฟันโดยหยิบมาแต่แปรงสีฟัน จึงเดินกลับ

ขณะที่ชาติกำลังกดหมอนปิดหน้าวาทิตอย่างเต็มแรงอยู่นั้น ประตูห้องเปิดออก แรมเห็นภาพชาติในชุดดำสวมหมวกกันน็อกดำปิดหน้า กำลังกดหมอนอยู่ก็ร้องกรี๊ด
“แกทำอะไรลูกฉัน”
แรมรีบวิ่งเข้าไปดึงแขนชาติออก แต่ถูกชาติผลักจนร่างกระเด็นกระดอนไป
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยจ้า ช่วยด้วย” แรมร้องตะโกนสุดเสียง
ชาติเห็นแรมตั้งท่าจะลุกขึ้น ก็โมโหควักปืนออกมาแล้วยิงไปที่ขาหนึ่งนัดจนแรมล้มทันที
เสียงปืนที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ทำให้อนุวัตรกับวารินต่างพุ่งออกมาจากห้องนอนของตน
“พี่วัตร เสียงอะไรอ่ะ”
“พี่ว่าเหมือนปืน ดังมาจากท้ายไร่ด้วย”
“แม่ พี่วาทิต”

วารินรีบวิ่งไปทันที อนุวัตรกระโจนตามไปติดๆ

แรมนอนกองอยู่ที่พื้นมือกุมแผลที่ถูกยิง ร้องขอชาติที่เอาปืนเล็งไปยังร่างวาทิตบนเตียง

“อย่านะ อย่ายิงลูกฉันนะ ฉันขอละ”
แรมยกมือไหว้ขอร้อง ชาติหันมามองแล้วลดปืนลง เดินไปที่ประตูห้องปิดล็อกลงกลอนจนแน่นหนาจากนั้นเดินไปที่หน้าต่าง ปีนออกไปโดยไว
ชาติกระโดดลงมาจากทางหน้าต่างห้องนอนวาทิต แล้ววิ่งหายไปในความมืด คลาดกันเพียงนิดเดียว กับอนุวัตรและวารินก็วิ่งเข้าประตูบ้านมา

แรมเจ็บแผลซึ่งถูกยิงที่ขา แต่ยังพยายามคลานไปที่เตียงวาทิต
“วาทิต...วาทิต อย่าเป็นอะไรไปนะลูก วาทิต”
แรมคลานมาจนถึงเตียง เอื้อมมือไปจะจับมือวาทิตแต่ว่าเอื้อมไม่ถึง เจ้าตัวหมดสติฟุบอยู่ที่ข้างเตียงนั่นเอง

สองคนวิ่งขึ้นมายังหน้าห้องพักวาทิตที่ปิดอยู่ อนุวัตรผลักประตูแต่ว่าเปิดไม่ออก
“แม่แรมครับ แม่แรม แม่แรมครับ”
“แม่จ๋า แม่ แม่เป็นอะไรหรือเปล่า” วารินเข้ามาเขย่าประตู
“ทำไมประตูมันเปิดไม่ออกล่ะพี่วัตร ปกติแม่ไม่เคยล็อกประตูนี่นา” วารินใจคอไม่ดี
“น้องรินถอยไป”
อนุวัตรบอก พอวารินถอยออกห่างจากประตู อนุวัตรก็กระโดดถีบบานประตูเต็มแรงจนเปิดออก

อนุวัตรกับวารินเข้ามาในห้อง แต่ไม่เห็นแรม เพราะอยู่อีกฟากของเตียงที่บังอยู่
“แม่ไม่อยู่น่ะพี่วัตร” วารินบอก น้ำเสียงตกใจมาก
อนุวัตรสังเกตเห็นว่าที่พื้นมีรอยเลือดเป็นทางไปที่เตียงวาทิต
“รอยเลือดนี่”
อนุวัตรอุทานแล้วก็รีบเข้าไปดูอีกด้านของข้างเตียง จึงเห็นแรมนอนฟุบอยู่
“แม่แรม”
อนุวัตรร้องเรียกแล้วรีบเข้าไปประคองช้อนแรมให้นอนหงายเอาหัวพาดตักตัวเอง
“แม่”
วารินเองก็รีบเข้าไปดูแรมเช่นกัน
แรมรู้สึกตัวก็ห่วงวาทิตทันที
“วาทิตเป็นอะไรหรือเปล่า ดูวาทิตด้วย”
“น้องรินดูวาทิตสิว่าเป็นอะไรมั้ย”
อนุวัตรร้องบอก วารินรีบลุกไปดูวาทิตที่นอนแน่นิ่งมีหมอนตกอยู่ข้างเตียง วารินค่อยๆ เอามืออังที่จมูกวาทิตแล้วก็ตกใจมาก
“พี่วาทิตไม่หายใจ”
ไม่นานต่อมา มีเสียงไซเรนรถพยาบาลดังขึ้น
ร่างวาทิต กับแรม นอนอยู่บนเตียงเข็นคนละเตียง บุรุษพยาบาลรีบเข็นเตียงทั้งคู่เข้าห้องฉุกเฉิน อนุวัตรกับวารินหยุดรอที่หน้าห้องฉุกเฉิน อนุวัตรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหารุทร

กลางดึก โทรศัพท์มือถือของรุทรที่วางอยู่หัวเตียงดังขึ้น รุทรงัวเงียเอื้อมมือไปหยิบมาดู พอเห็นว่าเป็นอนุวัตรโทร.มาก็หายง่วงทันที รุทรรีบลุกขึ้นแล้วเปิดประตูออกไปที่ระเบียง
เมทินีลุกขึ้นมานั่งมองด้วยสีหน้าสงสัย
รุทรคุยโทรศัพท์กับอนุวัตรอยู่นอกระเบียง ท่าทางตกใจซีเรียสมาก เมทินีนั่งมองด้วยความสงสัยแกมเป็นห่วง สักพักรุทรก็วางสายเปิดประตูห้องกลับเข้ามา
“มีอะไรเหรอวาทิต ท่าทางเครียดเชียว”
“ผมมีเรื่องด่วนต้องไปทำ”
“ให้ฉันไปเป็นเพื่อนนะ”
“ไม่ต้องหรอก เมอยู่บ้านนี่แหละ ผมจะไปกับคุณพ่อ”

ที่บ้านกิจจา กินรีเดินมาจากมุมหนึ่ง ได้ยินเสียงคนคุยกันดังมาจากในห้องนั่งเล่น จึงหยุดแอบฟัง เสียงอังกูรด่าว่าชาติ ดังขึ้น
“ฉันสั่งให้ไปจัดการไอ้วาทิตแบบเงียบๆ ไม่ให้ใครเห็น นี่มึงดันไปยิงคนดูแลมันอีก”
กินรีแอบย่องเดินมาแอบฟังก็เห็นอังกูร กิจจา และชาติ ยืนคุยกันอยู่ อังกูรตบหน้าชาติด้วยความโมโห
“ทำไมถึงโง่อย่างนี้”
“ก็มันโผล่มาตอนผมกำลังเอาหมอนปิดหน้าไอ้วาทิตพอดี แต่ผมยิงที่ขาคงไม่ถึงตายหรอกครับ”
“ที่แกพลาดก็ตรงไม่ยิงมันให้ตายนี่แหละ ตีงูหลังหัก ระวังมันจะกลับมากัดเอา” กิจจาด่า
“มันไม่ทันเห็นหน้าผมหรอกครับ” ชาติรีบแก้ตัว
“เออ ให้มันจริงเถอะ ถ้าตำรวจตามกลิ่นเจอ ฉันบอกไว้ก่อนนะว่าไม่รู้ไม่เห็น”
อังกูรมองหน้ากิจจาทึ่งในความเห็นแก่ตัวเอาตัวรอด แต่กิจจาไม่สน
“ช่วงนี้อย่าออกมาเพ่นพ่านดีที่สุด มีอะไรเดี๋ยวฉันเรียกแกเอง”
อังกูรตัดบทเพราะยังไงก็ยังต้องพึ่งกิจจาอยู่ เสียงโทรศัพท์ของอังกูรดังขึ้น อังกูรหยิบมากดรับ
“ว่าไง ดีมาก มีอะไรก็รีบโทร.รายงานฉันทันทีเลยนะ”
อังกูรวางสายแล้วมองหน้ากิจจายิ้มๆ
“คนที่ไร่โทร.มาบอกว่าไอ้วิทย์กับไอ้วาทิตตัวปลอมออกไปข้างนอกด้วยกันเมื่อกี้ ท่าทางร้อนรน”
“หรือไอ้วาทิตมันจะตายแน่”
กิจจากับอังกูรยิ้มร้าย เพราะมั่นใจว่าวาทิตไม่รอดแน่ๆ
กินรีตกใจแทบหมดแรง ต้องเกาะประตูจนมีเสียงให้คนด้านในได้ยิน
“ใครน่ะ”
กินรีค่อยๆ เดินออกมา พยามปรับสีหน้าให้ปรกติ
“อาหารเสร็จแล้วค่ะ”
“ไปกูร ไปฉลองล่วงหน้ากันหน่อย”
กิจจากับอังกูรเดินไป มีชาติเดินตามไป กินรีมองตามทั้งสามแล้วรู้สึกใจคอไม่ดี เพราะไม่คาดคิดว่าพ่อกับอังกูรจะถึงขนาดฆ่าคน

“คุณวาทิต” กินรีทอดถอนใจ

ขณะกิจจากำลังจะนอน กินรีเคาะประตูเข้ามา

“ยังไม่นอนอีกเหรอนรี ลูกต้องพักผ่อนมากๆ นะ”
“นรีได้ยินที่พ่อพูดกันหมดแล้วค่ะ”
กิจจางง “พูดเรื่องอะไร”
“คุณวาทิตตายแล้วเหรอคะ”
กิจจาพอรู้ว่าเป็นเรื่องนี้ก็ไม่ได้ใส่ใจ
“อืม แต่ที่ตายมันคือไอ้วาทิตตัวจริง ส่วนไอ้วาทิตตัวปลอมมันยังอยู่”
กินรีทั้งตกใจทั้งสับสน “พ่อ นี่มันอะไรกันค่ะ พวกเรากำลังถลำลึกลงไปกันใหญ่แล้วนะคะ ทำไมต้องฆ่ากันด้วย”
“นรี ถ้าวาทิตไม่ตาย กูรจะได้สมบัติได้ไง”
กินรีแย้ง “แต่คุณวาทิตไม่ผิดอะไร”
“นรี ถ้าคิดการใหญ่ก็เลิกใส่ใจการเล็กได้แล้ว”
“แต่พ่อกับคุณกูรเป็นผู้ร้ายฆ่าคน”
“ผิดแล้วล่ะลูก อังกูรกับไอ้ชาติต่างหาก”
กินรียังรับไม่ได้ กิจจาเดินมาโอบกอดปลอบประโลม
“นรี ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อนรีกับหลานของพ่อนะ ลูกรู้ใช่ไหมว่าอย่าพูดอะไรออกไป ไม่งั้นกูรจะโดนจับและเราก็จะไม่ได้อะไรเลย ทำใจให้สบายกลับไปนอนหลับพักผ่อนเยอะๆ นะ หลานของพ่อจะได้แข็งแรง”
กินรีมองกิจจาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ว่าพ่อของเธอจะใจเหี้ยมได้ขนาดนี้ กิจจายิ้มประคองกินรีไปส่งหน้าห้อง

ฟากเมทินีกำลังพยายามโทรศัพท์หารุทรกับพ่อเลี้ยงวิทย์โดยมีทิปปี้นั่งคอยลุ้น ส่วนเอื้องคำกับจั่นเป็งนั่งคอยฟังความอยู่ไม่ห่างกันนัก เมทินีกดวางสาย
“เป็นไงมั่งเม ติดมั้ย” ทิปปี้ถาม คนอื่นๆ ลุ้นพอกัน
“ไม่ติดเลย ทั้งเบอร์วาทิตทั้งเบอร์คุณพ่อ แกรู้หรือเปล่าทิปปี้ว่าคุณพ่อกับวาทิตมีเบอร์อื่นอีกมั้ย”
“ฉันก็รู้เท่าที่แกรู้นั่นแหละ คงไม่มีหรอก”
“ทำไงดีล่ะทิปปี้ ฉันเป็นห่วงวาทิตกับคุณพ่อจังเลยไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า รู้งี้ฉันดื้อขอตามไปด้วยก็ดี”
ทิปปี้จับมือเมทินีให้กำลังใจ เอื้องคำกับจั่นเป็งมองหน้ากันเป็นห่วงวาทิตและพ่อเลี้ยง
เมทินีมีสีหน้ากังวลเป็นห่วงรุทรกับพ่อเลี้ยงมากกว่าใคร

อีกฟาก ที่หน้าห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลในแม่ฮ่องสอน อนุวัตรกำลังเดินวนไปวนมาอยู่ด้วยความกังวล
พ่อเลี้ยงวิทย์กับรุทรปรี่เข้ามาหาอนุวัตร
“แม่กับวาทิตเป็นยังไงมั่ง”
“แม่แรมโดนยิงที่ขา หมอเอากระสุนออกแล้ว ตอนนี้ปลอดภัยแล้วพักอยู่ห้องคนไข้ น้องรินดูอยู่”
“แล้ววาทิตล่ะ วาทิตเป็นยังไง” พ่อเลี้ยงร้อนใจสุดขีด
“หมอกำลังช่วยชีวิตอยู่ครับคุณลุง ยังไม่ออกจากห้องฉุกเฉินเลย”
“นี่มันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง”
อนุวัตรบอกอีกว่า “ไม่รู้ว่าเป็นพวกจะเข้ามาขโมยของหรือเปล่า”
“ขโมยงั้นเหรอ”
รุทรพูดยังไม่ทันขาดคำ หมอก็เปิดประตูห้องฉุกเฉินออกมา พ่อเลี้ยงวิทย์รีบปรี่เข้าไปหา รุทรกับอนุวัตรตามไปติดๆ
“วาทิตเป็นยังไงมั่งครับหมอ” พ่อเลี้ยงถามอย่างร้อนใจ
“คุณวาทิตขาดอากาศหายใจเป็นเวลานาน หมอพยายามสุดความสามารถแล้วครับแต่ช่วยไว้ไม่ได้จริงๆ คุณวาทิตสิ้นใจตั้งแต่ก่อนมาถึงโรงพยาบาลแล้วครับ เสียใจด้วยนะครับ”
“วาทิต” พ่อเลี้ยงวิทย์อุทานออกมาเบาๆ แล้วก็นิ่งเงียบไป
รุทรกับอนุวัตรมองหน้ากันสงสัย เพราะคิดว่าพ่อเลี้ยงวิทย์คงจะฟูมฟายกับการเสียชีวิตของวาทิตแต่ก็เปล่า พ่อเลี้ยงวิทย์เดินเหมือนคนหมดแรงไปนั่งลงที่เก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน รุทรรีบตามเข้าไปเพื่อปลอบใจ
“คุณลุงทำใจดีๆ ไว้นะครับ”
“วาทิต”
พ่อเลี้ยงวิทย์เรียกชื่อวาทิตเบาๆ แล้วน้ำตาก็ไหลพราก นั่งนิ่งไม่ไหวติง และไม่พูดอะไรอีกเลยสักคำ

รุทรเปิดประตูห้องพักฟื้นแรมเข้ามา วารินที่นั่งร้องไห้อยู่ก็โผเข้ามากอดรุทร
“พี่วาทิตตายแล้วจริงๆ เหรอพี่รุทร ทำไมพี่วาทิตต้องตายด้วยล่ะ รินยังไม่ได้คุยกับพี่เขาเลย รินอยากบอกพี่วาทิตเขาว่ารินรักพี่นะ ถึงแม้จะไม่เคยคุยกันรินก็รักพี่วาทิตนะ”
รุทรกอดวารินเอาไว้พยายามกลั้นน้ำตาเพราะรู้ดีว่าตัวเองต้องเข้มแข็งเป็นหลัก
“พี่เชื่อว่าวาทิตเขารู้นะรินว่าเราทุกคนรักเขา”
“ไอ้คนทำนี่ใจมันทำด้วยอะไร แค่จะขโมยของถึงกับต้องฆ่าคนที่นอนเป็นผักแบบวาทิต ยิงผู้หญิงแก่ๆ แบบแม่แรมได้แบบนี้”
รุทรคิดปราดเดียว “แต่ฉันกลับไม่คิดว่าเป็นขโมย”
อนุวัตรกับวารินมองรุทรเป็นตาเดียว
“แกคิดว่ามีคนจงใจเข้ามาฆ่าวาทิตงั้นเหรอ”
“ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่แกลองคิดดูสิ ถ้าเป็นคนมาขโมยของ มันจะพุ่งตรงไปบ้านท้ายไร่โดยผ่านบ้านแม่กับบ้านพักคนงานไปอย่างรู้เส้นทางเหรอ แล้วมันรู้ได้ไงว่าบ้านเล็กๆ จะมีทรัพย์สินมากกว่าบ้านแม่” รุทรว่า
วารินนึกตาม “จริงด้วย แบบนี้แสดงว่าคนที่จะตรงไปบ้านท้ายไร่ ก็เพราะรู้ว่าไปแล้วจะเจอกับอะไร”
อนุวัตรอึ้ง “นี่แกจะบอกว่าเรื่องนี้มีคนบงการ”
“ก็อาจเป็นได้”
“เฮ้ย ถ้างั้นก็แสดงว่าอาจจะมีคนรู้แล้วสิว่าวาทิตมีฝาแฝดคือแก”
รุทรคิดตาม และเครียดขึ้นมาทันที

ในขณะที่แรมจันทร์นอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ วาทิตเดินเข้ามาหาแล้วเรียกปลุกเบาๆ
“แม่แรมครับ แม่แรม”
แรมลืมตาขึ้นมา แล้วยิ้มชื่นดีใจ
“วาทิต เป็นยังไงบ้าง นี่ลูกหายดีแล้วใช่มั้ย”
“ผมไม่เป็นอะไรแล้วครับแม่แรม”
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วลูก มาให้แม่กอดให้ชื่นใจหน่อย”
แรมอ้าแขนออก วาทิตเข้าไปสวมกอดอย่างมีความสุข
“ผมต้องไปแล้วครับแม่”
วาทิตถอนตัวออกมา มองจ้องหน้าแรมราวกับจะจดจำภาพไว้
“วาทิตจะไปไหนลูก ทำไมไม่อยู่กับแม่”
“ผมอยู่ไม่ได้หรอกครับแม่แรม ผมต้องไปแล้ว แม่แรมดูแลตัวเองด้วยนะครับ”
วาทิตบอกแล้วก็เดินออกเลย แรมดึงมือเอาไว้พยายามยื้อยุดแต่ไม่เป็นผล

“วาทิตอย่าไป วาทิต อย่าไปนะลูก อยู่กับแม่ที่นี่อย่าไปไหน วาทิต”

ที่แท้แรมฝันไป และยังร้องเรียกวาทิต เสียงดังลั่นห้อง

“วาทิต อย่าไปลูก...”
รุทรสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงของแรม ชายหนุ่มลุกไปหา เห็นแรมลืมตาด้วยท่าทางงุนงง
“แม่ครับ นี่ผมรุทรเองครับแม่ รินกับวัตรก็อยู่ครับ”
รุทรหันไปมองวารินกับอนุวัตรที่หลับอยู่ที่โซฟาคนละตัว
“วาทิตล่ะรุทร วาทิตเป็นยังไง น้องเป็นยังไงบ้าง แม่ฝันเห็นวาทิตมาลา ไม่จริงใช่มั้ยน้องไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ยลูก”
รุทรกุมมือแรมเอาไว้จ้องหน้าแล้วพูด
“แม่ทำใจดีๆ เอาไว้นะครับ วาทิตเขาจากเราไปแล้วครับ”
“โธ่..วาทิต ลูกแม่”
แรมปล่อยโฮออกมา ทำเอาวารินกับอนุวัตรสะดุ้งตื่น
“แม่เป็นอะไรจ๊ะ แม่เจ็บตรงไหนเหรอ”
วารินรีบลุกเดินมาที่เตียง
“พี่วาทิตเขาจากเราไปแล้วริน” แรมครวญคร่ำ
“แม่อย่าร้องไห้สิจ๊ะ เดี๋ยวพี่วาทิตเขาจะไม่สบายใจนะ แม่ยังมีหนู มีพี่รุทร แล้วก็พี่วัตรอยู่นะจ๊ะแม่”
วารินปลอบแม่ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ร้องไห้อยู่ สองคนกอดกันร้องไห้ทั้งคู่
รุทรเดินเข้ามาโอบแรมกับวารินเอาไว้ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ อนุวัตรมองภาพตรงหน้าด้วยความสะเทือนใจ

รุทรยืนคุยอยู่กับหมอที่ปลายเตียง โดยมีพ่อเลี้ยงวิทย์ซึ่งนอนลืมตา มองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยอยู่ข้างหลัง
“พ่อเลี้ยงมีอาการปฏิเสธการรับรู้ สาเหตุน่ะมาจากการเจอเรื่องสะเทือนใจมากแบบไม่ทันตั้งตัว”
“แล้วมีทางรักษามั้ยครับ”
“ต้องรักษาด้วยการให้ทานยาควบคู่ไปกับการดูแลด้านจิตใจ อาการของคนไข้จะดีขึ้นมากน้อยหรือเร็วแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสภาวะจิตใจของคนไข้ว่าเข้มแข็งพอจะรับความจริงได้แค่ไหน ช่วงนี้หมออยากให้พ่อเลี้ยงพักที่โรงพยาบาลสักสองสามวันเพื่อดูอาการหลังจากนั้นก็กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้”
“ขอบคุณมากครับคุณหมอ”
รุทรยกมือไหว้ขอบคุณ หมอยิ้มให้แล้วก็เดินนำพยาบาลออกจากห้องไป รุทรเดินเข้าไปหาพ่อเลี้ยง
“คุณลุงเข้มแข็งไว้นะครับ ผมสัญญาว่าจะหาคนที่มันฆ่าวาทิตมาให้ได้ คุณลุงพักผ่อนให้สบายใจก่อนช่วงนี้ผมจะจัดการดูแลทุกอย่างให้เองครับไม่ต้องห่วง”
รุทรบอก แต่พ่อเลี้ยงวิทย์ก็ยังคงเหม่อลอยไม่มีปฏิกิริยาตอบรับแต่อย่างใด

รุทรขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านแล้วลงจากรถ เอื้องคำ จั่นเป็ง หนาน ที่ยืนรออยู่ด้วยความกระวนกระวาย รีบเข้าไปหา
“คุณวาทิตกลับมาแล้ว มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะถึงได้หายไปทั้งคืนเลย ไปอยู่ไหนมา แล้วพ่อเลี้ยงล่ะคะ”
เอื้องคำยิงคำถามเป็นชุด จั่นเป็งค่อนเอา
“โหป้า เล่นถามแบบนี้คุณวาทิตจะตอบยังไงทันล่ะ”
“ก็ข้าเป็นห่วงนี่นังจั่นเป็ง”
“ไม่มีอะไรหรอกครับทุกคน เมื่อคืนคุณพ่อไม่สบายก็เลยโทรตามให้ผมพาไปหาหมอ ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้วแต่หมอขอให้นอนดูอาการสักสองสามวัน”
“คุณลุงป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลเลยเหรอ” สิ้นเสียงนั้น อังกูรเดินเข้ามา “สงสัยต้องไปเยี่ยมสักหน่อยแล้ว”
“ไม่ต้องลำบากก็ได้ครับพี่กูร คุณพ่อไม่ได้เป็นอะไรมาก อีกสองสามวันก็กลับบ้านได้แล้ว อีกอย่างหมออยากให้ท่านพักผ่อนมากๆ ไม่อยากให้ใครไปกวน”
“ไม่อยากให้กวนหรือไม่อยากให้รู้ความจริง” อังกูรพูดขึ้นมาลอยๆ
“พี่กูรหมายความว่ายังไง”
“ก็ไม่มีอะไร พี่แค่รู้สึกว่าคนที่นี่มีเรื่องปกปิดกันเยอะ สงสัยจะไม่เคยได้ยินที่เขาว่าความลับไม่มีในโลก”
รุทรพยายามคุมสติ “ใช่ครับความลับไม่มีใครโลก โดยเฉพาะความลับของคนที่ทำผิดคิดร้าย”
คำพูดตอกกลับเอาแรงๆ ทำเอาอังกูรจ้องหน้าด้วยความโกรธ แต่รุทรก็ไม่กลัวจ้องหน้าตอบ เมทินีเดินเข้ามาสมทบ
“วาทิต เธอหายไปไหนมาทั้งคืน ฉันเป็นห่วงรู้มั้ย”
พลางเมทินีเข้ามาเกาะแขนรุทรถามน้ำเสียงเป็นห่วง
“ชื่นใจจังที่รู้ว่าเมเป็นห่วงผมขนาดนี้”
ไม่เท่านั้นรุทรยังดึงเมทินีเข้ามากอด จดสายตามองหน้าอังกูรยิ้มเย้ย
อังกูรกัดกรามแน่นด้วยความโกรธ

ถัดมารุทรกับเมทินีคุยกันอยู่ในห้องนอน
“คุณพ่อเป็นอะไรมากหรือเปล่าวาทิต ถึงกับต้องนอนโรงพยาบาลเลยเหรอ”
เมทินีถามด้วยความเป็นห่วง
“หมอบอกว่าคุณพ่อมีอาการเครียดอยากให้นอนพักสบายๆ สักสองสามวันน่ะ”
“คุณพ่อมีเรื่องอะไรที่ต้องเครียดเหรอ ฉันไม่เห็นรู้เลย”
“คนเราบางครั้งก็เครียดกับเรื่องบางเรื่องแบบไม่รู้ตัวเหมือนกันนะครับเม ผมว่าคุณพ่อท่านก็คงมีเรื่องเครียดที่ไม่อยากบอกใครนั่นแหละ ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อทั้งคืนยังไม่ได้นอนเลยเนี่ย ผมขอนอนพักหน่อยนะ เพลียจังเลย”
รุทรตัดบทแล้วก็เดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เมทินีมองรุทรแบบยังไม่หายข้องใจ

อีกฟาก บุษบันเดินอยู่หน้าบ้านท้ายไร่ พบว่าบ้านทั้งหลังปิดประตูเงียบเชียบ
“หายไปไหนของเขานะ” บุษบันบ่นออกมา
“ใครหายไปไหนเหรอเจ๊” เสียงอนุวัตรแหลมเข้ามา
“ก็เธอน่ะสิ อยู่ๆ ก็หายหัวไปเลย” บุษบันค่อยๆ หันมามอง “ไอ้หน้าลิง”
บุษบันอุทานด้วยน้ำเสียงดีใจปรี่เข้าไปหา แต่อนุวัตรเดินมาหาหน้าตาเฉยๆ
“ก็ผมน่ะสิ ว่าแต่เจ๊มาทำอะไรที่นี่เนี่ย มีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่า”
บุษบันงง “นี่เป็นอะไร ทำไมดูแปลกๆ ฉันโทร.มาก็ไม่รับสายเลย”
อนุวัตรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู “ขอโทษที พอดีช่วงนี้ยุ่งๆ”
“ยุ่งเรื่องที่เขาลือกันใช่ไหม”
อนุวัตรฉงน “ลือ? ลืออะไรเหรอ”
“ที่ตลาดเขาบอกว่าเมื่อคืนแถวนี้มีเสียงปืน”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรนี่”
“ค่อยยังชั่ว หายห่วงไปหน่อย แล้วแม่แรมกับรุทรล่ะ อยู่ไหน ฉันไปเยี่ยมหน่อยนะ”
บุษบันจะเดินเข้าบ้านแต่อนุวัตรขวางไว้
“เอ่อ...แม่แรมพารุทรมันไปโรงพยาบาลน่ะ พอดีหมอขอเช็คอาการ ว่าแต่เจ๊เถอะ พร้อมจะเจอไอ้รุทรแล้วเหรอ”
“มันก็ตัดใจได้นิดหน่อยนะ” เจ๊ยิ้มอาย “ตั้งแต่เธอมาจีบฉันนั่นแหละ”
อนุวัตรใจลอยไม่ทันได้ฟัง บุษบันแอบหยิกจนอนุวัตรสะดุ้ง
“นี่ พอจีบติดแล้วเป็นแบบนี้เหรอ”
“เปล่าเจ๊ ผมขอเวลาสักนิดนะ รับรองจะกลับมาเอาใจเจ๊ให้ชุ่มฉ่ำเลย ตอนนี้เจ๊กลับไปก่อนนะ”
อนุวัตรดันบุษบันขึ้นรถ บุษบันมองอย่างไม่เข้าใจก่อนจะค้อนให้หนึ่งวง
“อย่าคิดชิ่งเชียวนะ โค้งสุดท้ายแล้ว ฉันไม่ปล่อยนายแน่นายวัตร”
บุษบันขึ้นรถขับออกไป อนุวัตรมองตามยิ้มเศร้าๆ
“ขอบคุณนะเจ๊ แต่ผมขอช่วยไอ้รุทรจัดการเรื่องสำคัญก่อนนะ แล้วจะกลับไปสานต่อความรักของเรา”
อนุวัตรหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทร.ออก
“ไอ้รุทร เป็นไงมั่งได้เรื่องไปถึงไหนแล้ว”

รุทรอยู่ในห้องนั่งเล่น กำลังคุยโทรศัพท์กับอนุวัตร
“ฉันยังมืดแปดด้านจริงๆ ว่ะไอ้วัตร ไม่รู้จะสืบยังไงถึงจะได้ตัวไอ้คนที่มันฆ่าวาทิต ถ้ายังไม่ได้ตัวคนร้ายฉันจะไม่ยอมให้เผาน้องฉันเด็ดขาด”
“ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิด เดี๋ยวก็เจอวิธีเองแหละ ยังไงฉันจะช่วยๆ คิดอีกทาง ตอนนี้แกก็ระวังตัวด้วยนะโว้ย ไอ้คนที่ฆ่าวาทิตมันอาจจะกำลังเล็งแกอีกคนก็ได้”
“แบบนั้นก็ดีน่ะสิ ฉันจะได้ล่อมันออกมาให้จับซะเลย”
น้ำเสียงอนุวัตรที่ดังลอดออกมาตกใจมาก “เฮ้ย อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม แม่แรมยังเสียใจเรื่องวาทิตไม่เลิกเลยนะ อย่าให้ต้องมาเสียใจเรื่องแกอีก เฮ้ย ไอ้รุทรแค่นี้ก่อนนะโว้ย ต้องไปทำงานแล้วว่ะ”
รุทรกดวางสายโทรศัพท์แล้วก็วางเอาไว้บนโต๊ะ
ทิปปี้เดินถือเอกสารเข้ามา
“เจอตัวพอดีเลยวาทิต เซ็นเอกสารให้หน่อย สั่งปุ๋ยล็อตใหม่น่ะ”
รุทรรับเอกสารมาอ่านก่อนจะเซ็นชื่อแล้วส่งคืนให้ทิปปี้
“เออ ทิปปี้ ช่วงที่ฉันไม่อยู่เนี่ยพี่กูรมีอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า”
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่ อ้อ จะมีก็แต่ที่มาถามว่าพ่อเลี้ยงไปไหนมาบ้าง ฉันไม่รู้เลยบอกให้ไปถามหนานเอา”

รุทรพุ่งมาหาหนานที่โรงรถ สอบถามเรื่องอังกูร
“ใช่ครับ คุณกูรมาถามผมว่าที่พ่อเลี้ยงหายๆ ไปน่ะ ไปไหนมาบ้าง”
หนานพูดไปเช็ดรถของวิทย์ไป
“แล้วหนานบอกไปว่าอะไร”
“ผมไม่รู้หรอกครับเพราะช่วงหลังๆ มานี่พ่อเลี้ยงแทบจะไม่ได้ให้ผมขับรถให้เลย ผมก็เลยบอกคุณกูรไปว่าถ้าอยากรู้ให้ลองเช็คเนวิเกเตอร์รถพ่อเลี้ยงดู เพราะท่านชอบใช้เวลาขับรถ”
“คันนี้ใช่มั้ย เปิดให้ฉันดูหน่อยสิ อยากรู้เหมือนกันว่าคุณพ่อชอบหายไปไหน”
รุทรสั่ง หนานสตาร์ตเครื่องแล้วเปิดเนวิเกเตอร์ให้รุทรดู จุดหมายปลายทางที่เซฟไว้คือบ้านท้ายไร่ รุทรเริ่มมองอะไรชัดขึ้นแล้ว
“ขอบใจมากหนาน อย่าบอกพี่กูรนะว่าฉันมาถามเรื่องนี้”
“ครับคุณวาทิต”
หนานรับปาก พลางมองรุทรงงๆ ว่ามีเรื่องอะไรกันแน่ แล้วเดินออกไป
สีหน้ารุทรเครียดเคร่ง แววตาวาววาบโกรธจัด แน่ใจแล้วว่าอังกูรต้องเป็นคนบงการฆ่าวาทิต

“อังกูร” รุทรคำรามในลำคอ

อ่านต่อหน้า 3

เงาใจ ตอนที่ 14 (ต่อ)

เมทินีเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น เจอโทรศัพท์ของรุทรที่ลืมไว้วางอยู่บนโต๊ะ จึงหยิบขึ้นมากะจะเอาไปไว้ในห้องนอน ระหว่างนี้มีเสียงข้อความไลน์เข้าดังขึ้น เมทินีถือวิสาสะดู เห็นข้อความจากวารินที่อ่านได้จากหน้าจอว่า

“วันนี้แม่ร้องไห้อีกแล้ว รินก็ร้องแต่ไม่ต้องห่วง รินดูแลแม่ได้”
เมทินีฉงนฉงาย นึกถึงเหตุการณ์ตอนลงจากเขา ที่รุทรเผลอบอกว่าโทรศัพท์บอกแม่แล้ว เมทินีคาใจ สงสัยมากจะเปิดข้อความอื่นๆ ดู แต่พบว่าโทรศัพท์มีรหัสล็อก จึงได้แต่มองโทรศัพท์อย่างขุ่นข้องและคาใจ

ตกตอนกลางคืน พอรุทรเข้าห้องน้ำ เมทินีรีบเอาโทรศัพท์มือถือของรุทรไปวางที่หัวเตียงแล้วก็ทำเป็นมานั่งหวีผมทาครีมอยู่หน้ากระจก เมื่อรุทรออกมาจากห้องน้ำ เห็นโทรศัพท์วางอยู่หัวเตียงก็เดินเข้าไปดู
“นี่มันโทรศัพท์ของผมนี่ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ผมหาทั้งวันเลยวันนี้” รุทรเสียงแข็ง
“เธอคงวางลืมเอาไว้น่ะ ฉันว่าตั้งแต่ลงมาจากเขาเธอดูแปลกๆ ไปนะวาทิต”
“แปลกยังไงเหรอ”
“ไม่รู้สิ เธอดูเงียบๆ เหมือนมีอะไรในใจแต่ไม่ยอมบอก ถามจริงๆ เถอะวาทิต มีอะไรที่ฉันไม่รู้และควรจะรู้หรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรนี่”
“ฉันขอนะวาทิตมีอะไรอย่าปิดบังกัน ฉันพร้อมจะรับฟังเธอทุกเรื่องนะ”
เมทินีพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงใจ รุทรฝืนยิ้มให้เมทินีสบายใจ แล้วเดินมาโอบกอดเธอไว้
“คิดมากน่าเม ผมไม่มีอะไรปิดบังคุณหรอก”
เมทินีซบหน้าลงพิงกับไหล่รุทร แววตายังไม่คลายความสงสัย

รุทรพาตัวเองมาอยู่ที่ห้องพักฟื้นแรมในโรงพยาบาล ซึ่งวารินกำลังเก็บของใช้แม่อยู่
“พ่อเลี้ยงเป็นยังไงบ้างรุทร แม่ยังไม่ได้ไปเยี่ยมท่านเลย” แรมเอ่ยถามด้วยสีหน้าห่วงใย
“คุณลุงยังช็อกอยู่เลยครับแม่ ยังไม่พูดกับใครเหมือนเดิม”
“น่าสงสารพ่อเลี้ยงเขานะ เขาคงรักวาทิตไม่น้อยไปกว่าที่แม่รักหรอก เผลอๆ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำเพราะเขาเลี้ยงกันมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วรุทรจะต้องกลับเข้าไปที่ไร่อีกจริงๆ เหรอลูก ไม่ไปไม่ได้เหรอ มันอันตราย แม่เป็นห่วง”
แรมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงลูกชาย
“นั่นสิวะไอ้รุทร อยากสืบอยากอะไรก็ออกมาทำที่บ้านเราไม่ดีกว่าเหรอ”
“รินก็ไม่อยากให้พี่รุทรกลับไปที่นั่นอีกเหมือนกัน”
“ไม่ได้หรอกครับแม่ ไอ้วัตร น้องริน แม่ครับถ้าผมไม่กลับเข้าไปแล้วใครจะดูแลคุณลุงยิ่งตอนนี้สภาพจิตใจคุณลุงไม่ปกติยิ่งเป็นอันตรายได้ง่าย”
“ก็จริงของรุทร พ่อเลี้ยงเองไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ ท่านรักและดูแลวาทิตมาตั้งแต่เด็กจนวันสุดท้าย แล้วยังช่วยดูแลครอบครัวเรามาตลอด แต่รุทรต้องรับปากกับแม่ว่าจะดูแลตัวเองดีดีด้วย แม่เสียน้องเราไปคนนึงแล้ว แม่เสียใครไม่ได้อีกแล้วนะลูก”
แรมกังวลมาก
“ให้ฉันเข้าไปที่ไร่กับแกมั้ยไอ้รุทร จะได้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา” อนุวัตรบอก
“รินไปด้วยพี่รุทร”
“ไม่ต้องหรอก ถ้าสองคนไปกับพี่แล้วใครจะดูแลแม่ล่ะ อีกอย่างพี่ไม่อยากต้องมาคอยเป็นห่วงกันอีก ผมสัญญาครับแม่ว่าผมจะดูแลตัวเอง ดูแลคุณลุงให้ดีที่สุดแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ”

แรม อนุวัตร และวาริน มาส่งรุทร ที่ลานจอดรถหน้าโรงพยาบาล
“ฉันฝากแกดูแลแม่กับน้องรินแทนฉันด้วยนะไอ้วัตร เดี๋ยวฉันจะพาคุณลุงวิทย์กลับไร่เหมือนกัน”
“แกไม่สั่งฉันก็ต้องทำอยู่แล้ว”
“ระวังตัวด้วยนะรุทร” แรมกำชับ
“ครับแม่”
รุทรเข้าไปกอดแรมปลอบ แรมกอดลูกชายแน่นเหมือนกลัวจะเสียไปอีกคน
“พี่รุทร”
วารินเรียกทำตาแดงๆ รุทรรู้ทันน้องก็อ้าแขนรอ วารินโผเข้ามากอด ทั้งสามคนกอดกันถ่ายทอดความรักที่มีให้กันและกัน

รถตู้ของพ่อเลี้ยงวิทย์แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน หนานที่เป็นคนขับรถรีบลงมาเปิดประตู จัดแจงพาพ่อเลี้ยงลงไปนั่งเก้าอี้เข็นที่เตรียมรอไว้โดยมีรุทรคอยช่วย
เมทินี เอื้องคำ จั่นเป็ง ที่มายืนรออยู่รีบเข้ามาหาพ่อเลี้ยงวิทย์
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ”
เมทินีถามด้วยความเป็นห่วง แต่ว่าพ่อเลี้ยงวิทย์เอาแต่มองเหม่อไปข้างหน้าเหมือนไม่ได้ยิน
“พ่อเลี้ยงทานอะไรร้อนๆ หน่อยมั้ยคะ เดี๋ยวเอื้องคำจะไปทำข้าวต้มกุ้งมาให้”
เอื้องคำถามแต่พ่อเลี้ยงวิทย์ก็ยังคงเงียบ
“พ่อเลี้ยงดูแปลกๆ ไปนะป้า ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ”
จั่นเป็งกระซิบถาม เอื้องคำก็สงสัยเหมือนกัน
“คุณพ่อเป็นอะไรทำไมดูเงียบๆ” เมทินีถาม
“คุณพ่อมีอาการเครียดมาก ตอนนี้ท่านไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ผมไม่อยากให้ใครมากวนใจคุณพ่อในช่วงนี้นะ”
รุทรบอกแล้วก็เข็นรถพาพ่อเลี้ยงวิทย์เข้าไปข้างในบ้าน

อังกูรยืนหลบมุมฟังอยู่ ยิ้มชั่วออกมาอย่างสาสมใจ

รุทรพาพ่อเลี้ยงวิทย์มานั่งรับอากาศบริสุทธ์ในบริเวณสวนสวยข้างบ้าน มีเมทินีคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ

“ฉันนึกว่าคุณพ่อเครียดเรื่องงาน พักสองสามวันก็หาย แต่ทำไมกลายเป็นแบบนี้ล่ะวาทิต”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันเม เราไม่มีทางรู้หรอกนะว่าคนที่เราเห็นๆ อยู่ดูมีความสุขดีแต่ข้างในเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับคุณพ่อผมก็จะดูแลท่านให้ดีที่สุด”
“เมก็จะช่วยดูแลคุณพ่อ เหมือนกับเป็นพ่อของตัวเองเลยค่ะเมสัญญา”
เมทินีพูดอย่างแน่วนิ่ง ทั้งคู่ยิ้มให้กันอบอุ่น
“ช่วยกันดูแลคนไม่สมประกอบ น่าสงสารจังเลยนะ”
สิ้นเสียงนั้น เห็นอังกูรเดินเข้ามาสีหน้ายิ้มเยาะ
รุทรพอเห็นอังกูรก็กำมือแน่นด้วยความแค้นในใจ
“พี่กูรพูดอะไร คุณพ่อไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยอย่ามาพูดพล่อยๆ”
“อ่อ...ถ้าไม่ใช่ไม่สมประกอบ งั้นก็คงเป็นบ้า” อังกูรไม่หยุด
รุทรโกรธสุดขีด “พี่กูร ขอโทษคุณพ่อเดี๋ยวนี้”
“ทำไมฉันต้องขอโทษ แกเป็นใครมาสั่งฉัน”
รุทรบันดาลโทสะ ตรงเข้าชกหน้าอังกูรทันทีจนร่างอังกูรล้มลง เมทินีตกใจร้องกรี๊ด ถลาเข้าดึงรุทรไว้ อังกูรจ้องหน้ารุทร ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามา เมทินีรีบเข้ามาขวางกลางทันที
“พอเถอะค่ะ พูดจาดีๆ กันก็ได้ พี่กูรเองทำไมต้องพูดเหมือนวาทิตไม่ใช่น้อง”
อังกูรยิ้มกวน “พี่ไม่กล้าคิดอย่างนั้นหรอกเม ในเมื่อมีคนอยากให้คิดว่าวาทิตเป็นน้องพี่ก็ต้องคิด ยกเว้นถ้าวันหนึ่งเกิดไม่ใช่ขึ้นมา พี่ไม่เอาไว้แน่ทั้งหัวหงอกหัวดำ”
“พี่กูรพูดอะไรเมไม่เข้าใจ”
“อีกไม่นานหรอก เมจะเข้าใจทุกอย่าง”
อังกูรจะเดินไป รุทรพูดตามหลังว่า “ผมเห็นด้วย”
อังกูรชะงักหันกลับ
“อีกไม่นานใครที่มันทำชั่วไว้ ก็จะต้องได้รับสิ่งที่มันทำ อย่างสาสม”
อังกูรเหยียดยิ้มแล้วเดินไปไม่สนใจ เมทินีหันกลับมาจ้องหน้ารุทร
“นี่มันอะไรกัน เธอกับพี่กูรทำไมถึงทำเหมือนเป็นศัตรูกันขนาดนี้”
รุทรถอนใจ “ไม่มีอะไรหรอกเม เราพาคุณพ่อไปพักผ่อนกันเถอะ”
รุทรเข็นรถพ่อเลี้ยงวิทย์ไป เมทินีมองตาม พลางถอนใจ กังวลว่าเหตุการณ์จะเลวร้ายลงไปอีกไหม

กินรีมีสีหน้าแปลกใจมากเมื่อได้ฟังจบลง
“จะให้นรีกลับไปดูแลพ่อเลี้ยง ไม่ค่ะ นรีไม่ไป”
อังกูรเดินเข้ามากอดเอาใจกินรี
“แต่เธอต้องไป เพราะฉันบอกอากิจจาแล้ว ท่านก็อนุญาต”
“คุณกูรคิดจะทำอะไรอีกคะ บอกมาตรงๆ ดีกว่า หรือคุณคิดจะฆ่าใครอีก”
อังกูรแปลกใจ “อากิจจาบอกเรื่องนี้กับเธอเหรอ”
“นรีได้ยินเองกับหูค่ะ”
“ถ้าเธอรู้แล้วก็ยิ่งต้องช่วยฉันสิ”
“พูดแบบนี้แสดงว่าไม่ใช่แค่ดูแลพ่อเลี้ยงใช่ไหมคะ”
“ถูก การที่เธอไปครั้งนี้ก็เพื่อจะช่วยฉันเอาสมบัติของไอ้วิทย์มาเป็นของฉัน”
“นรีไม่อยากยุ่งเรื่องนี้”
อังกูรโน้มน้าวและหว่านล้อม “ไม่เอาน่า คราวนี้ฉันไม่ได้ฆ่าใคร แค่เอาสิ่งที่ควรจะเป็นของฉันคืนมา หรือเธออยากจะให้ไอ้วาทิตปลอมมันเอาของๆ ฉันไป”
กินรีนิ่งไม่รู้จะพูดยังไง
“นรี ตอนนี้ฉันมีแค่เธอคนเดียว เธอคือชีวิตของฉัน และจะเป็นครอบครัวของฉัน ช่วยฉันเถอะนะ”
กินรีถอนใจ “สัญญาว่าจะไม่มีการตายอีกแล้วนะคะ”
“ฉันสัญญา”
อังกูรก็ดึงกินรีมากอด แต่สีหน้ากินรีกลับกังวลกลัวไปหมด จนอังกูรพากินรีเดินไปที่โทรศัพท์บ้านที่วางใกล้ๆ ยกหูกดเบอร์โทร.ออกแล้วส่งสายให้กินรี
“อย่าให้ใครรู้ว่าเรานัดกัน”
กินรีรับหูโทรศัพท์มาถือ รอจนปลายสายรับสาย
“จั่นเป็งเหรอ ฉันเองนะนรี คุณวาทิตกลับมาแล้วใช่ไหม”

สองสาวอยู่ตรงมุมพักผ่อนในไร่ ทิปปี้ตกใจหลังจากที่ฟังเรื่องราวจากเมทินี
“อุ๊ต๊ะ นี่วาทิตกับพี่กูรทะเลาะกันหนักข้อขึ้นทุกวันๆ แล้วนะ”
“ฉันก็ไม่เข้าใจ ตั้งแต่กลับมามีแต่เรื่องแปลกๆ”
“นั่นสิ จู่ๆ พ่อเลี้ยงก็ไม่พูดหลังจากหายไปหลายวันกับวาทิต”
“แล้วนี่ก็มาทะเลาะกัน ยังกับคนที่ไม่ใช่พี่น้องกัน”
“แต่เอาจริงๆ เขาสองคนก็ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ อยู่แล้วนี่” ทิปปี้ว่า
“แต่ก็ไม่เคยทะเลาะกันมากมายแล้วก็บ่อยขนาดนี้ แล้วก็ยังพูดจาอะไรก็ไม่รู้เหมือนเข้าใจกันอยู่สองคน”
“แกคิดว่ามันมีอะไรเหรอ”
“ฉันก็ไม่รู้ แต่มันต้องเกี่ยวกับการป่วยของคุณพ่อแน่ๆ”
“แปลกนะ เมื่อก่อนสองคนนี่ทะเลาะกันก็มีสาเหตุเดียวคือแย่งแก แต่ตอนนี้ทำไมมันโยงไปเรื่องอื่นด้วย”

เมทินีเองก็เครียดมาก คิดไม่ออกถึงสาเหตุอื่นที่รุทรกับอังกูรทะเลาะกัน

ถัดมา รุทร เมทินี กินรี เอื้องคำ ยืนอยู่ข้างเตียงพ่อเลี้ยงวิทย์ที่เอาแต่เหม่อลอย เอื้องคำเอ่ยขึ้นว่า

“ตอนที่จั่นเป็งบอกว่าคุณนรีจะกลับมาดูแลคุณวาทิตนี่ป้าดีใจมากนะคะ เพราะตอนนี้คนที่คุณนรีต้องดูแลคงจะเป็นพ่อเลี้ยงมากกว่าค่ะ”
กินรีแกล้งทำเป็นตกใจ “เอ่อ พ่อเลี้ยงเป็นอะไรเหรอ”
“ไม่ทราบค่ะ อยู่ๆ ก็ซึมไปเลย”
รุทรบอกว่า “คุณพ่อคงมีเรื่องเครียดเยอะน่ะ ตอนนี้หมอก็เลยให้ดูแลใกล้ชิดหน่อย”
กินรียิ้มแสนดี “ไม่ต้องห่วงนะคะคุณวาทิต นรีจะดูแลอย่างดีที่สุด”
“งั้นฉันช่วยสลับเวรกับเธอก็ได้นะนรี เพราะของคุณพ่อคงดูแลยากกว่าวาทิต เธอคนเดียวจะไม่ไหว”
“เอ่อ ไม่ต้องหรอก ฉันทำได้”
เมทินีทักท้วง “แต่เธอจะได้พักผ่อนตอนไหนล่ะ”
กินรีตัดบท “ฉันบอกว่าฉันทำได้ก็ทำได้สิ”
“คุณนรีเธอจัดได้ เธอเป็นพยาบาล ฉันว่าคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่ามายุ่งดีกว่า แค่นี้ก็สร้างสารพัดความยุ่งยากไม่รู้กี่เรื่องแล้ว”
คำพูดของเอื้องคำ ทำให้เมทินีจำต้องเงียบ ด้วยไม่อยากมีเรื่องในสถานการณ์อย่างนี้
รุทรสรุป “เอาละ ยังไงฉันก็ฝากคุณพ่อด้วยนะ นรี”
รุทรเดินไปจับมือพ่อเลี้ยงวิทย์ด้วยความสงสารแล้วเดินออกไป เมทินีกับเอื้องคำตามไป เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว กินรีมองพ่อเลี้ยงด้วยความสงสาร

กินรีเข็นรถเข็นพาพ่อเลี้ยงวิทย์มาที่โต๊ะเขียนหนังสือ แล้วกินรีก็เดินวนไปวนมากระวนกระวายใจ สักพักอังกูรก็เปิดประตูเดินเข้ามาเงียบๆ พอเห็นกินรีจัดให้พ่อเลี้ยงนั่งรอก็พอใจ
อังกูรเดินถือพินัยกรรมมาหาพ่อเลี้ยง แล้ววางลงบนโต๊ะ
“เซ็นซะไอ้แก่ เรื่องวุ่นๆ ที่แกขยันสร้างจะได้จบๆ ซะที”
พ่อเลี้ยงวิทย์นั่งนิ่งนาน จนอังกูรรำคาญจับมือขึ้นวางบนโต๊ะยัดปากกาใส่มือ แต่พ่อเลี้ยงไม่ยอมจนกำทำให้ปากกาตก อังกูรโกรธมากเงื้อหมัดจะชก กินรีต้องรีบห้าม
“พอเถอะค่ะคุณกูร อย่าทำร้ายพ่อเลี้ยงเลย”
“ไม่เห็นเหรอว่ามันไม่ยอมเซ็น”
“เราค่อยๆ พูดก็ได้นี่คะ เกิดแกโวยวายขึ้นมาจะทำไง”
อังกูรหงุดหงิดไม่พอใจมาก
กินรีกล่อม “นรีว่าเราต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ หาวิธีให้แกยอมเซ็นดีกว่าค่ะ”
“จะทำอะไรก็รีบๆ ทำเถอะน่า”
“รีบไม่ได้ค่ะ นรีว่าเรารออีกสักหน่อยให้แกพอจะคุ้นๆ กับนรีแล้วอาจจะมีทาง”
อังกูรรำคาญสุดขีด “โธ่เว้ย” เขาจับแขนกินรีบีบ “ถ้าเธอทำไม่สำเร็จฉันเอาเธอตายแน่”
กินรีเห็นสายตาอำมหิตคู่นั้น แม้จะรู้สึกกลัวจับใจ แต่ก็ไม่อยากให้ใครทำร้ายพ่อเลี้ยงวิทย์
ระหว่างนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น อังกูรกับกินรีเหลียวขวับไปที่ประตูด้วยความตกใจ

เป็นรุทรที่เปิดประตูเข้าห้องมา เห็นกินรียืนข้างพ่อเลี้ยงวิทย์ที่นั่งบนรถเข็นที่โต๊ะทำงาน สายตารุทรพบว่ามีปากกาวางอยู่ใกล้มือ เขานึกสงสัย ส่วนอังกูรหลบอยู่มุมหนึ่ง หยิบของเตรียมฟาดหัวรุทรทุกเมื่อ

“ยังไม่พาคุณพ่อเข้านอนอีกเหรอนรี”
กินรีอึกอัก “คือ นรียังไม่ได้ให้ยาก่อนนอนกับพ่อเลี้ยง เดี๋ยวทานยาเสร็จแล้วนรีจะพาไปนอนค่ะ”
รุทรเดินมาจ้องหน้ากินรีด้วยท่าทีสงสัย
“ปกติคุณพ่อก็ทานยาที่เตียงได้ แล้วจะให้ยา ต้องใช้ปากกามากกว่าแก้วน้ำกับยาเหรอ”
รุทรเดินไปหยิบปากกาชู กินรีพยายามทำสีหน้าให้ปกติที่สุด
“นรีกำลังจะจัดยาให้พ่อเลี้ยงจริงๆ นะคะ”
“มีอะไรหรือเปล่านรี” รุทรจ้องตาอีกฝ่าย
“ไม่มีอะไรค่ะ”
รุทรจ้องหน้ากินรีนิ่ง มองไปรอบๆ ห้อง แล้วตัดสินใจเดินไปมุมหนึ่ง ทำให้เหมือนว่าเป็นมุมที่อังกูรหลบอยู่
กินรีมีสีหน้าไม่ดี กลัวรุทรจับได้
อังกูรที่หลบอยู่กำของที่อยู่ในมือแน่น ลุ้นว่ารุทรจะจับได้ไหม ถ้ารุทรเดินมาก็พร้อมตีรุทร
รุทรค่อยๆ เดินเข้าไป อังกูรหลบนิ่งอยู่
รุทรเดินไปที่มุมนั้น แต่ไม่พบอะไร กินรีถอนหายใจอย่างโล่งใจ รุทรหันกลับมามอง กินรีรีบหลบตา
“ให้คุณพ่อทานยาแล้วก็รีบเข้านอนได้แล้วนะ”
“ค่ะ”
รุทรมองกินรีอย่างสงสัย แต่ก็เดินออกไปจากห้อง กินรีรีบไปปิดประตู อังกูรออกมาจากมุมที่ซ่อน
“นรีว่าคุณกูรรีบออกไปก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวมีใครมาเห็น”
อังกูรจับแขนกินรีมองแกมบังคับ
“ฉันให้เวลาพรุ่งนี้อีกวัน เธอต้องทำให้ไอ้วิทย์มันเซ็นพินัยกรรมให้ได้ รู้ไหมนรี”

กินรีพยักหน้ารับอย่างจำยอม อังกูรรีบออกไปจากห้องอย่างระแวดระวัง

รุทรกลับมาที่ห้อง ไฟในห้องมืดสลัว รุทรเข้าใจว่าเมทินีหลับไปแล้วเพราะมีผ้าห่มคลุมปิดทั้งร่าง รุทรขึ้นเตียงหันมาทางเมทินี ยิ้มเจ้าเล่ห์กะจะแอบเปิดผ้าห่มหอมแก้มเมทินี

จู่ๆ ไฟในห้องสว่างพรึบ รุทรค้างเติ่งในท่านั้น หันมาเห็นเมทินียืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างเตียง
“จะทำอะไรน่ะวาทิต”
รุทรอึ้ง แม้พยายามปรับท่าทีเป็นปกติแต่ยังเขินอยู่ รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ทำไมยังไม่นอนอีกเม”
เมทินีเดินมาใกล้รุทร ยิ้มล้อ
“ถ้าฉันหลับ ก็ไม่รู้นะสิ ว่าจะมีคนมาแอบขโมยหอมแก้ม”
รุทรยิ้ม พยักหน้ารับ “ใครว่าแอบล่ะ จะหอมจริงๆ ต่างหาก”
ขาดคำรุทรจะคว้าตัวเมทินีมาจะหอม แต่เมทินีรู้หลบทัน ยิ้มกวนๆ ท้าท้าย
“เล่นแบบนี้ใช่ไหม ถ้าผมจับเมได้คูณสองนะ”
เมทินียิ้มท้าทายไม่กลัว รุทรวิ่งไล่จับ เมทินีหนีรุทรทั้งคู่วิ่งไล่กันอยู่ในห้อง จนรุทรจับตัวเมทินีได้หยิกแก้มเธอเป็นการใหญ่ เมทินีหัวเราะบ้าจี้ดิ้นหนี สองคนล้มลงไปที่เตียงทั้งคู่ ใบหน้าแทบจะติดกัน
รุทรค่อยๆ โน้มหน้าจะจูบ เมทินีหลับตาพริ้มรอรับจูบนั้น รุทรเปลี่ยนไปหอมหน้าผากแทน
“นอนเถอะเมดึกแล้ว”
ทั้งคู่ลงนอนด้วยกัน รุทรห่มผ้าให้เมทินี นอนมองตาซึ้งๆ กันนิ่งนาน
“ฝันดีนะเม”
“ต่อไปนี้เธอต้องบอกฝันดีฉันทุกคืนเลยนะวาทิต”
รุทรยิ้มรับ เมทินียิ้มตอบหลับตาลง รุทรมองเมทินีลูบผมด้วยความรัก แล้วค่อยๆ หลับตามกันไป

รุ่งเช้า กินรีเข็นรถพ่อเลี้ยงวิทย์ไปตามทาง โดยมีเมทินีเดินตาม
“ที่จริงเธอไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนฉันก็ได้ ฉันอยู่กับพ่อเลี้ยงสองคนได้”
“ไม่ได้หรอก วาทิตเค้าสั่งไว้”
กินรีชักกังวล “อ๋อ เหรอ ถ้าเธอไม่เบื่อก็ตามใจ” กินรีทำเป็นนึกได้ “ตายจริงฉันลืมยาก่อนอาหารเธอช่วยไปหยิบยากับน้ำให้หน่อยได้ไหม ฉันเตรียมไว้ที่โต๊ะหัวเตียงพ่อเลี้ยงน่ะ”
“ได้สิรอเดี๋ยวนะ”
กินรีเห็นเมทินีเดินพ้นไปแล้ว ก็รีบเข็นรถพาพ่อเลี้ยงออกไปทันที

กินรีเข็นรถมาจอดที่โต๊ะทำงานในบ้าน แล้วเดินมาหาวิทย์ลงนั่งตรงหน้า
“พ่อเลี้ยงคะ นรีไม่ได้อยากทำแบบนี้ นรีขอโทษ แต่พ่อเลี้ยงยอมเซ็นพินัยกรรมเถอะนะคะ”
กินรีหยิบพินัยกรรมออกมาพร้อมปากกา พ่อเลี้ยงยังนั่งนิ่ง กินรีมองด้วยความสงสาร หยิบรูปวาทิตที่อยู่บนโต๊ะทำงานมาดู
“นรีรู้ว่ากำลังทำผิดต่อคุณวาทิต แต่นรีไม่อยากให้คุณกูรทำร้ายใครอีกแล้ว นรีต้องการชีวิตที่สมบูรณ์ คุณวาทิตช่วยดลใจให้พ่อเลี้ยงเซ็นเถอะนะคะ มันเป็นทางออกที่ดีที่สุด”
กินรีร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกผิด แล้ววางรูปวาทิตลงที่เดิม
พ่อเลี้ยงวิทย์ขยับปากเอ่ยชื่อวาทิตออกมาเบาๆ “วาทิต”
กินรีตกใจ พอมองหน้าพ่อเลี้ยงเห็นสายตาที่เคยว่างเปล่ามองจ้องไปที่รูปวาทิต
“ใช่ค่ะ คุณวาทิต”
พ่อเลี้ยงพึมพำ “วาทิต”
กินรีคิดบางอย่างออกทันที หลับตาลงแล้วลืมขึ้น ตัดสินใจโกหก
“พ่อเลี้ยง ถ้ายังรักคุณวาทิตก็เซ็นชื่อนะคะ ทำเพื่อคุณวาทิตนะคะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์เงยหน้ามองจากรูปไปตรงหน้า ในสำนึกเห็นเป็นวาทิตยืนยิ้มอยู่ พ่อเลี้ยงคลี่ยิ้มออกมา
“วาทิต”
กินรีจับปากกาใส่มือแล้วจับมือพ่อเลี้ยงวางตรงตำแหน่งที่ต้องลงชื่อ ให้เซ็นชื่อลงในพินัยกรรม จากนั้นกินรีจับปากกาออก เอาตลับหมึกออกมา จับนิ้วโป้งพ่อเลี้ยงวิทย์แตะหมึก ประทับลงในพินัยกรรม พอเสร็จสมใจก็รีบเอาผ้าเช็ดมือทำความสะอาดทันที
กินรีมองพ่อเลี้ยงด้วยความสงสารจับใจ
“นรีขอโทษนะคะพ่อเลี้ยง”

เมทินีถือถุงยาเดินเข้าบ้านมา เจอกับกินรีที่เข็นรถพ่อเลี้ยงวิทย์มาจากห้องทำงาน
“เธอหายไปไหนมา ฉันตามหาซะทั่วเลย”
“ฉันเห็นว่าข้างนอกมันร้อนเลยพาพ่อเลี้ยงไปล้างหน้าล้างตาหน่อย”
เมทินียื่นซองยาให้ “ยาก่อนอาหาร”
“ขอบใจนะ เดี๋ยวฉันจะพาพ่อเลี้ยงไปที่ห้องอาหาร เธอช่วยบอกป้าเอื้องคำให้เตรียมอาหารกลางวันด้วยนะ”
กินรีเข็นรถวิทย์ไปทางห้องอาหาร เมทินีมองตามแล้วถอนใจเซ็งๆ
“วาทิตนะวาทิต แทนที่จะให้ฉันไปช่วยงานเธอ กลับให้ฉันมาเป็นผู้ช่วยพยาบาลของนรีซะงั้น”

กินรีกลับมาที่บ้านพ่อแล้ว กิจจากำลังเซ็นชื่อในตำแหน่งพยานของพินัยกรรม แล้วส่งให้อังกูร
“ตอนนี้มีพยานทั้งทนายแล้วก็อาครบแล้ว ถือว่าหนังสือพินัยกรรมฉบับนี้สมบูรณ์”
กิจจากับอังกูรยิ้มอารมณ์ดีกับชัยชนะครั้งนี้
“ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นรีขอกลับไปบ้านพ่อเลี้ยงนะคะ หายมานานคนจะสงสัย”
“แต่ก่อนไปนรีไปเลือกชุดสวยๆ กลับไปใส่วันประกาศพินัยกรรมด้วยนะลูก จะได้ช่วยรักษาหน้าให้กูรเขาด้วย”
อังกูรได้ยินคำนี้ ก็รู้ทันทีว่ากิจจากำลังบอกว่าจะจับเขาแล้ว เมื่อกินรีลุกไปกิจจาก็ลุยต่อทันที
“ตกลงกูรจะประกาศพินัยกรรมเมื่อไหร่”
“พรุ่งนี้ครับ”
“ดี งั้นอาจะไปฟังด้วยในฐานะพยาน”
“ครับ”
“ไม่นึกเลยว่าสวรรค์จะเข้าข้างเราขนาดนี้ ไอ้วาทิตตาย ไอ้วิทย์บ้า สมบัติเป็นของกูรทั้งหมด สงสัยอาต้องรีบไปหาฤกษ์งานแต่งของกูรกับนรีแล้ว”
กิจจาหัวเราะสมใจ อังกูรเพียงยิ้มบางๆ อำพรางแผนร้ายที่คิดไว้แล้วในใจ ไม่มีทางที่เขาจะยอมแต่งงานกับกินรี

คืนนั้นรุทรประคองพ่อเลี้ยงวิทย์ลงนอนบนเตียงแล้วห่มผ้าให้ โดยเมทินียืนช่วยอยู่ใกล้ๆ
ระหว่างนั้นมีเสียงเคาะประตู พอเปิดออกก็เป็นเอื้องคำเดินเข้ามา
“เมื่อสักครู่คุณกูรโทร.มาบอกว่าพรุ่งนี้ให้คุณวาทิตกับคุณเมประชุมตอนแปดโมงเช้าค่ะ”
“พี่กูรบอกหรือเปล่าว่ามีเรื่องอะไร”
“ไม่ได้บอกนะคะ บอกแค่ว่า...เอ่อ...” เอื้องคำอึกอัก
“บอกว่าอะไรเหรอป้า”
“คุณกูรจะเปิดพินัยกรรมของพ่อเลี้ยงค่ะ”
“พินัยกรรม”

รุทรกับเมทินีมองหน้ากันงงๆ

อ่านต่อหน้า 4

เงาใจ ตอนที่ 14 (ต่อ)

รุ่งเช้า อังกูรพาตัวเองมานั่งยิ้มเผล่ทำตัวเป็นประธานเปิดพินัยกรรมอยู่ที่ห้องรับแขกในบ้านพ่อเลี้ยงวิทย์ โดยในนั้นยังมีรุทร เมทินี กิจจาและ อำนาจ ทนายของกิจจานั่งอยู่ด้วย

“ตอนนี้คุณลุงไม่สบาย การบริหารงานต่างๆ อาจจะเป็นปัญหาได้ พี่เลยโทร.ปรึกษากับคุณอากิจจา ซึ่งคุณอาแนะนำว่าพี่ควรเปิดพินัยกรรม”
“พินัยกรรม คุณพ่อทำเมื่อไหร่” รุทรไม่เชื่อ
อังกูรหันไปหากิจจาให้เป็นคนตอบ
“ก็ช่วงก่อนที่วาทิตจะแต่งงานกับเม”
เมทินีย้อนแย้งทันทีว่า “คุณพ่อท่านเคยบอกเมกับวาทิตว่า อยากจะยกทุกอย่างให้ด้วยการโอนให้กับมือ ไม่เห็นเคยพูดเรื่องพินัยกรรม”
กิจจาไม่พอใจที่เมทินีขัด แต่พยามทำปกติไม่ให้เมทินีหรือรุทรจับพิรุธได้
“เมทินี เธอเป็นคนนอก วิทย์คงไม่จำเป็นต้องเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง และพินัยกรรมฉบับนี้ทำขึ้นก่อนที่เธอจะแต่งงานกับวาทิตไม่นาน เพราะวิทย์เค้ากลัวว่าเธออาจจะอยากได้มากกว่ายี่สิบล้านที่เอาไปช่วยน้องชาย”
เมทินีโดนกิจจาสวนกลับแบบนี้ จึงจำใจต้องเงียบไป
“อย่าเสียเวลาเลย เชิญคุณอำนาจเปิดพินัยกรรมเถอะครับ”
ทนายอำนาจเปิดกระเป๋าหยิบพินัยกรรมออกจากซองมาเปิดอ่าน
“ข้าพเจ้านายวิทย์ วุฒิธรรม ขอทำหนังสือพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นเป็นหลักฐานสำคัญเพื่อแสดงว่า เมื่อข้าพเสียชีวิตหรือไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ หรือทุพพลภาพ จนไม่สามารถประกอบกิจการงานตามปกติได้ ข้าพเจ้ามีเจตนาประสงค์ที่จะขอยกทรัพย์สินและกิจการทั้งหมดที่เป็นของข้าพเจ้า หรือมีชื่อข้าพเจ้าเป็นเจ้าของให้แก่ นายอังกูร วุฒิธรรม เป็นผู้ดูแลทั้งหมด และนางเมทินี วุฒิธรรม ลูกสะใภ้ของข้าพเจ้าจะได้ในส่วนของทรัพย์สิน 20 เปอร์เซ็นต์ และสามารถอาศัยอยู่ในบ้านวุฒิธรรมต่อไป ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าหนังสือพินัยกรรมฉบับนี้ทำขึ้นในขณะที่ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทุกประการ โดยข้าพเจ้าได้ลงมือชื่อและพิมพ์ลายนิ้วมือต่อหน้าพยานทั้งสองตามที่ลงลายมือชื่อไว้ ลงชื่อ วิทย์ วุฒิธรรม”
อำนาจอ่านจบ รุทรรีบดึงจดหมายมาดู
“เป็นไปไม่ได้ พินัยกรรมนี้ต้องปลอมแน่ๆ คุณพ่อไม่มีทางคิดจะยกทุกอย่างให้พี่กูร”
กิจจาเสียงเข้ม “พูดให้ดีนะวาทิต อาเซ็นเป็นพยานอยู่ ให้เกียรติอาด้วย”
“ผมไม่ได้จะหมิ่นเกียรติใคร แต่คิดว่าควรจะมีการพิสูจน์พินัยกรรมฉบับนี้ เพราะมันมีหลายจุดที่น่าสงสัย สำนักงานทนายความนี่ก็ไม่ใช่สำนักงานที่ทางไร่เคยใช้”
กิจจาโต้ว่า “ทนายอำนาจก็รู้จักกับวิทย์ ถ้าวิทย์จะใช้เค้าก็ไม่เห็นแปลก”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง ที่คุณพ่อท่านจะยกทุกอย่างให้พี่กูร ท่านต้องยกให้วาทิต”
รุทรชะงักไปนิด เพราะความโมโหทำให้ลืมไปว่าตัวเองเป็นวาทิตอยู่
อังกูรรู้ทันยิ้มกวน ตีรวนใส่
“มันก็ถูกของแกนะ ที่คุณลุงจะต้องยกทุกอย่างให้วาทิต แล้ววาทิตล่ะ วาทิตอยู่ไหน”
รุทรชะงักไปนิด “พี่กูรพูดแบบนี้หมายความว่าไง ผมนี่ไงวาทิต ยืนอยู่ตรงนี้”
“หยุดพล่ามได้แล้ว แกไม่ใช่วาทิต”
รุทรพอตั้งตัวได้ ก็ยืนนิ่งจ้องหน้าอังกูร ด้วยเตรียมใจมาแล้วว่าอังกูรจะต้องแฉเขาสักวัน
ด้านเมทินีพอได้ยินอังกูรพูดคำนั้นก็สงสัย ถามทันที
“ไม่ใช่วาทิต พี่กูรหมายความว่าไง”
“ถามมันเองสิเมว่ามันเป็นใคร แล้ววาทิตตัวจริงอยู่ที่ไหน มันทำอะไรกับวาทิตตัวจริงไว้บ้าง”
เมทินีจ้องมองหน้ารุทร แล้วหันมามองอังกูร
“พี่กูรพูดอะไร เมไม่เข้าใจ”
อังกูรยิ้มร้าย เปิดฉากแฉรุทรทันที “มันชื่อรุทร มีแม่ชื่อแรม บ้านอยู่แม่ฮ่องสอน”
พร้อมกันนั้น อังกูรโยนแฟ้มที่มีข้อมูลประวัติของรุทรลงบนโต๊ะ
เมทินีมองแฟ้มนั้น สลับกับมองหน้ารุทร ค่อยๆ หยิบแฟ้มขึ้นมาเปิดดู เห็นรูปแรม เธอนึกไปถึงตอนที่เห็นภาพพักหน้าจอโทรศัพท์ของรุทรเป็นภาพแรมกับวาริน
เมทินียืนถือแฟ้มอึ้งตะลึงตะไล เปิดไปอีกเห็นรูปวาริน เมทินีเริ่มน้ำตาคลอ มองรุทรด้วยความเสียใจ
“วาทิต นี่มันเกิดอะไรขึ้น เธออธิบายให้ฉันฟังซิว่าคนพวกนี้คือใคร”
รุทรไม่ตอบ จำนนต่อหลักฐาน เมทินีมองอึ้งที่เห็นรุทรเอาแต่เงียบ น้ำตาร่วงรินเป็นสาย
“เขาเป็นใครวาทิต” เมทินีตะโกนใส่รุทร “บอกฉันมาซิ อธิบายฉันมาซิวาทิต”
“เมใจเย็นๆ นะ มันไม่ใช่อย่างที่เมคิด ผมอธิบายได้”
“แล้วนี่มันคืออะไร เธอคือวาทิตของฉันใช่ไหม”
รุทรมองเมทินีด้วยแววตาขอโทษแว่บหนึ่งแล้วหลบตาวูบ ยิ่งเห็นอาการเงียบของวาทิตทำให้เมทินีเข้าใจได้ทันที
“เธอทำแบบนี้ทำไม ต้องการอะไร” เมทินีร้องไห้โฮ
อังกูรพูดสวนขึ้น “สมบัติไง ถ้ามันไม่อยากได้สมบัติวาทิตก็คงไม่ตาย”
เมทินีตกใจเมื่อได้ฟัง “วาทิตตายแล้ว”
อังกูรใส่ไฟต่อทันที “มันนั่นแหละเป็นคนฆ่า แล้วก็ทำให้คุณลุงเป็นแบบนี้”
“ไอ้สารเลว แกกล่าวหาฉัน” รุทรหันไปหาเมทินีจับแขน พยายามอธิบาย “เม…เมอย่าไปฟังมันนะ เมต้องเชื่อผม ผมได้ฆ่าวาทิต ไม่ได้ทำร้ายคุณลุง” รุทรหันมาด่าอังกูร “ไอ้อังกูรแกมันชั่ว แกมันเลว” แล้วหันมาหาเมทินี “เม...”
วินาทีที่รุทรหันมาอีก เมทินีตบหน้าเขาฉาดใหญ่น้ำตาร่วงพรู
“พอสักทีเถอะ หยุดสร้างเรื่องได้แล้ว”
รุทรอึ้งมองเมทินีนิ่งงันไป เมทินีมองรุทรด้วยแววตาที่เจ็บปวดเสียใจสุดจะประมาณ
ทั้งคู่มองกันด้วยสายตาที่รักกันมาก แต่ก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน
“เธอเห็นฉันเป็นอะไร”
“เม”
รุทรจะอธิบาย แต่พูดไม่ออก อังกูรจึงพูดสวนขึ้นมา
“ละครจบแล้วคุณรุทร แกรีบเก็บข้าวของออกไปจากที่นี่ซะ หรือจะให้ฉันแจ้งตำรวจมาลากคอแกเข้าคุก”
เมทินีเดินร้องไห้ออกไป รุทรมองตาม ก่อนจะหันกลับมามองอังกูรโกรธสุดๆ แล้วตัดสินใจวิ่งตามเมทินีไป
อังกูรมองตามไป ยิ้มร้ายออกมาอย่างผู้ชนะ

เมทินีวิ่งร้องไห้เข้ามาในห้อง รีบปิดประตูยืนร้องไห้
รุทรวิ่งตามมาอยู่หน้าประตู จะเข้าห้องไปหา พยายามเคาะให้เมทินีเปิดประตู
“เมฟังผมก่อน ออกมาฟังผมก่อนเม”
ส่วนในห้องเมทินียืนพิงประตูร้องไห้เสียใจสุดๆ เอามืออุดหูไม่อยากฟังรุทร
รุทรอยู่หน้าประตูพยายามเรียก แต่ก็หมดหวัง ยืนพิงประตู ทั้งเศร้าทั้งเสียใจพอกัน

ฝ่ายอังกูรกับกิจจาเดินยิ้มคุยกันมา ใบหน้าเบิกบานมีความสุขเป็นที่สุด
“ผมไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อนเลย”
“ยินดีด้วยกับความสำเร็จของลูกเขย กูรเห็นไหมว่านรีน่ะเก่งแค่ไหน” อังกูรฝืนยิ้มรับ “ถ้าอย่างนั้นเราไปฉลองความสำเร็จกันหน่อยดีไหม”
“ได้เลยครับ”

ทั้งสองเดินยิ้มเริงร่าออกไปด้วยกัน

สองสาวคุยกันอยู่ในออฟฟิศ ทิปปี้รู้สึกตกใจมากที่ได้ยินเรื่องราวจากเมทินี

“อะไรนะ นี่วาทิตที่แกอยู่ด้วยคือรุทร ลูกชายของป้าที่เราเคยไปขอซื้อดอกเสี้ยนที่เป็นแฟนยัยปากจัดนั่นเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน”
พูดจบเมทินีก็น้ำตาไหลออกมา ทิปปี้จับมือปลอบ
“ฉันเสียใจที่ทำร้ายวาทิต วาทิตไม่น่ามาตายเพราะฉัน”
“ตายเพราะแกที่ไหน ตายเพราะนายรุทรพี่ชายเขาต่างหากล่ะ”
เมทินีร้องไห้หนักขึ้น
“ฉันมันโง่...โง่ที่ไปเชื่อเขา ทั้งที่ความรู้สึกตัวเองก็บอกว่ามันไม่ใช่”
“อย่าโทษตัวเองเลย ก็หน้าเหมือนกันซะขนาดนี้ เราทุกคนก็ต้องเชื่อ”
ทิปปี้เปลี่ยนเป็นกอดเมทินีด้วยความสงสาร
“เออ แล้วแกจะเอายังไงต่อไป”
“ฉันต้องอยู่ที่นี่ต่อ เพราะคุณพ่อมีบุญคุณกับฉันและครอบครัวมาก ฉันจะคอยอยู่ดูแลท่าน”
“ยังไงแกต้องเข้มแข็งไว้นะเม แต่ฉันยังติดใจอยู่นิดเดียว ทำไมพ่อเลี้ยงทำพินัยกรรมถึงไม่ใช้งานสำนักกฎหมายของทางไร่ที่มีสำนักงานทนายอภิชาติที่ใช้กันอยู่ในทุกเรื่อง ทำไมต้องไปใช้ทนายของอากิจจา ฉันว่างานนี้พ่อเลี้ยงอันตรายแน่”
“แกสรุปรุนแรงไปหรือเปล่า”
“เม ฟังให้ดีนะ พ่อฉันเคยเล่าให้ฟังว่าพ่อเลี้ยงกับอากิจจาแตกคอกันเพราะอากิจจาเคยโดนจับทุจริต คนแบบนี้พ่อเลี้ยงจะไว้ใจให้มารับรู้เรื่องทรัพย์สมบัติเหรอ”
เมทินีลอบถอนใจเครียดทันที

รุทรเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ดูรูปวาทิตที่ตั้งโชว์อยู่ เมทินีเดินเข้ามาพอเห็นรุทร ก็จะเดินหนี รุทรรีบเดินมาขวาง
“เมฟังผมก่อนนะ ผมจำเป็นจริงๆ ที่ต้องทำแบบนี้”
เมทินีไม่พูด จะเดินหนีท่าเดียว รุทรจับแขนเอาไว้ เมทินีมองรุทรน้ำตาคลอ
“คุณจะเล่นละครอะไรอีก แค่เนี้ยยังเล่นกับหัวใจฉันไม่พออีกเหรอ เลิกเอาความรู้สึกของคนมาล้อเล่นสักที”
เมทินีจะหนี รุทรพยายามยื้อเอาไว้
“คนรักกันต้องเชื่อใจกัน เมจำได้ไหมว่าเมเคยบอกว่ารักผม เรารักกันไม่ใช่เหรอเม”
เมทินีมองรุทรน้ำตาไหล “ใช่”
รุทรยิ้ม เมทินีสะบัดแขนออก มองรุทรนิ่งน้ำตาไหลพราก
“แต่คนที่ฉันบอกรักคือวาทิต ไม่ใช่คุณ”
รุทรอึ้ง เมทินีเดินหนีไป รุทรมองตามเสียใจ พูดไม่ออก

เมทินีร้องไห้เข้ามาในห้อง ฟุบหน้าลงบนเตียงร้องไห้หนักหน่วง คิดถึงเรื่องราวที่อยู่กับรุทร ทั้งเคยหัวเราะ มีความสุข รักกัน ในใจเต็มไปความสับสน
ฝ่ายรุทรทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง เสียใจเหลือเกิน เพราะรักเมทินีหมดใจ แต่กลับทำให้คนที่รักต้องเสียใจ และช้ำใจว่าคนที่เมทินีรัก ไม่ใช่เขาแต่เป็นวาทิต

วันต่อมา อังกูร กินรี กิจจานั่งคุยกันตรงเฉลียงหน้าบ้าน กิจจาท่าทางอารมณ์ดี แต่อังกูรไม่ค่อยชอบใจ
“คุณอามีธุระอะไรก็รีบพูดมาเถอะครับ ผมจะได้กลับไปจัดการเรื่องทางโน้น”
“อะไรกัน จะรีบไปไหน อายังไม่ได้สิ่งที่กูรรับปากกับอาเลย”
“ถ้าเป็นเรื่องแต่งงานกับนรี ผมขอเวลาอีกสักระยะ”
“แต่อาไม่อยากรอ”
กินรีมองเห็นท่าทีของทั้งคู่ก็พอรู้ว่าต่างซ่อนมีดคนละเล่มไว้ และไม่มีใครยอมใคร
กินรีทักท้วง “พ่อคะ นรีว่าเรารออีกสักนิดอย่างที่คุณกูรบอกก็ได้นะคะ”
“นรี ลูกก็รู้ว่าเรารอไม่ได้ ถ้าลูกพ่อท้องใหญ่ขึ้นมาเราจะเอาหน้าไปไว้ไหน”
กินรีตกใจไม่คิดว่ากิจจาจะพูด “พ่อ”
อังกูรตกใจเหมือนกันที่รู้ข่าว “นรีท้อง”
กิจจายิ้มเป็นต่อ “ใช่ เดือนกว่าแล้วนะ ดีใจไหมกูรจะได้เป็นพ่อคนแล้ว”
อังกูรกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ “อาจจะไม่ใช่ลูกผมก็ได้”
คราวนี้กิจจาโกรธจัด ลุกไปกระชากคอเสื้ออังกูรทันที
“กล้าดูถูกลูกสาวฉันเหรอ”
อังกูรก็จ้องหน้ากิจจาไม่สะทกสะท้าน
“ก็ลูกสาวคุณอาเป็นฝ่ายเข้าหาผม ผมก็ไม่แน่ใจว่าก่อนหน้านี้เข้าหาใครมาบ้าง”
กิจจาโกรธมือไม้สั่น แต่เถียงไม่ขึ้น อังกูรปัดมือออก
“ไอ้กูร แกนี่ไม่เบา เก็บสันดานความเลวของพ่อกับแม่แกได้ครบนี่”
อังกูรพอโดนด่าพ่อแม่ก็โกรธขึ้นมึงกู “กล้าด่าพ่อแม่กูเหรอไอ้แก่”
อังกูรเงื้อมือจะชก กินรีตกใจร้องกรี๊ด แต่กิจจาไวกว่าหยิบปืนออกมาขู่
“คิดว่าไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างแกจะเก่งกว่าฉันเหรอ”
อังกูรจำใจลดมือลง
“ฉันคิดอยู่แล้วว่าแกต้องมาไม้นี้ ฉันถึงต้องเตรียมแผนรับมือแกไว้”
“แผนอะไร”
กิจจายิ้มร้าย อังกูรมองด้วยความระแวง กิจจาหยิบเครื่องอัดเสียงมากดเปิด
มันเป็นเสียงสนทนาการวางแผนชั่วเพื่อจัดการกับวาทิต อังกูรได้ยินก็ตกใจ
“คงไม่อยากไปใช้เงินในคุกใช่ไหมลูกเขย ถ้าแกไม่แต่งงานกับนรี อย่างมากก็ติดคุกด้วยกัน”

เห็นอังกูรเดินอารมณ์ไม่ดีขึ้นรถ ขับออกไปโดยไม่สนใจจะไหว้ลากิจจาที่เดินมากับกินรี และมองตามรถของอังกูรไป
“ในที่สุดพ่อก็ทำให้ลูกกับหลานของพ่อสุขสบายที่สุด อย่างที่ใครๆ ก็ต้องอิจฉา”
กิจจาโอบไหล่กินรีอย่างมีความสุข แต่กินรีไม่ได้รู้สึกสุขไปด้วย
“แปลกนะคะ เมื่อก่อนนรีพยามทำทุกอย่างเพื่อจะให้คุณกูรหันมามองนรีบ้าง แต่วันนี้พ่อบังคับให้เขามาแต่งงานกับนรีได้ นรีกลับไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือมีความสุขเลย”
“เอาน่านรีอย่าไปคิดมากเลย มันไม่รักเราก็ช่าง ขอให้มันแต่งงานและแบ่งสมบัติให้เราก็พอ”
“งั้นนรีขอตัวกลับไปดูแลพ่อเลี้ยงที่โน่นนะคะ”
“เฮ้ย ไปดูแลมันทำไม ธุระของเราเสร็จแล้ว”
“แต่ว่าถ้านรีไม่ดูแล้วใครจะดู”
“พอได้แล้วนรี ลูกไม่ใช่ลูกจ้างของไอ้วิทย์มัน ใครจะดูแลมันก็ช่าง ลูกอยู่บ้านเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ก็พอ”
กินรีงง “เตรียมตัวอะไรคะ”
กิจจายิ้มให้กินรี

เมทินีนั่งอ่านหนังสือเฝ้าพ่อเลี้ยงวิทย์ที่นอนหลับบนเตียง จนมีเสียงเคาะประตู เอื้องคำเปิดประตูเข้ามา เมทินีเห็นแล้วแค่เพียงยิ้มให้ แล้วหันไปอ่านหนังสือต่อ
เอื้องคำปรายตาดูเมทินี เห็นเธออ่านหนังสือด้วยท่าทีเหม่อลอย
“คุณไม่สบายใจใช่ไหม”
เมทินีสะดุ้ง “เอ่อ...เปล่าจ้ะ”
เอื้องคำเดินมามองหน้าเมทินี พูดด้วยเสียงอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง
“อย่าโกหกฉันเลย เป็นใคร ใครก็โกรธ ดีไม่ดีเกลียดด้วยซ้ำ ฉันอยากให้คุณจัดการเรื่องนี้ ทำกันได้ถึงขนาดนี้ ไม่รู้จิตใจทำด้วยอะไร”
เอื้องคำมองพ่อเลี้ยงแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความสงสาร
“ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถึงมีสิ่งร้ายๆ เข้ามาทำร้ายคนดีๆ อย่างคุณวาทิต แล้วก็พ่อเลี้ยง”
เอื้องคำมองเมทินี ที่ร้องไห้อยู่เช่นกัน จนอดสงสารไม่ได้
“คุณน่ะต้องอยู่กับคุณวาทิตตัวปลอมมาตลอด น่าสงสารกว่าใครทั้งนั้น”
เมทินีถอนสะอื้น
“ช่างมันเถอะค่ะ มันไม่มีความหมายอะไรกับเมเลย สิ่งที่เขาทำมันคือการโกหกหลอกลวงทั้งหมด ตอนนี้สิ่งที่เมจะทำคือการดูแลคุณพ่อให้ดีที่สุด เมจะทำหน้าที่นี้แทนวาทิตเองค่ะ”
“ขอบคุณมากที่คุณไม่คิดทิ้งพ่อเลี้ยง ป้าขอโทษที่เคยดูคุณผิดไป”
“ไม่เป็นไรค่ะป้า เมดีใจที่ป้าเข้าใจเมค่ะ ป้าคะเรามาช่วยกันดูแลคุณพ่อนะคะ”
“ได้เจ้า”
เมทินีโผเข้ากอดเอื้องคำ ร้องไห้โฮ

รุทรเก็บของลงกระเป๋าเตรียมตัวกลับ เมทินีเปิดประตูเข้าห้องมา พอเห็นรุทรก็ชะงักจะเดินออก
“คุณไม่ต้องไปหรอก ผมเก็บของเสร็จแล้ว วันพรุ่งนี้ผมก็จะไปแล้ว ทนหน่อยแล้วกันนะ”
รุทรยกกระเป๋าเป้ พร้อมหมอน เตรียมไปนอนที่อื่น เมทินีหลบให้ รุทรยกของผ่าน แต่หยุดหันมามองเม
เมทินีเบือนหน้าหนีไม่มอง
“ผมรู้ว่าผมแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว แต่ผมอยากจะขอฝากให้คุณช่วยดูแลคุณลุงด้วย ถ้ามีอะไรที่อยากให้ผมช่วยเหลือก็เรียกได้ ผมจะรีบมาทันที และคุณก็ดูแลตัวเองด้วยนะ”
รุทรมองเมทินีด้วยความรัก และความห่วงใย เมทินีพยายามกลั้นน้ำตา ไม่มอง
รุทรยิ้มน้ำตาคลอ “ฝันดีนะเม” แล้วเดินออกไปเลย
เมทินีมองตาม ก่อนจะเหลียวไปมองรูปของวาทิตแล้วทอดถอนใจ ปล่อยโฮออกมา
“วาทิต เมควรจะทำยังไงดี”

กลางดึกเมทินีนอนไม่หลับ มองไปยั่งที่นอนฝั่งรุทร มีเพียงความว่างเปล่า อดนึกถึงคืนวันเก่าๆ ไม่ได้
สุดท้ายเป็นคำพูดรุทรที่บอกว่า “วันพรุ่งนี้ผมก็จะไปแล้ว” / “ฝันดีนะเม” ดังก้องในหู
เมทินีลุกขึ้นนั่งกอดเข่า ในใจสับสนว้าวุ่นไปหมด โกรธรุทรแต่ก็ไม่อยากให้เขาไป สุดท้ายเมทินีล้มตัวลงนอนน้ำตาไหลรินเป็นสาย

ด้านรุทรนอนอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกชั้นล่าง มีกระเป๋าข้าวของที่เตรียมจะขนกลับวางอยู่ข้างๆ
รุทรเองก็นอนไม่หลับสับสนว้าวุ่นใจหนักเช่นกัน และไม่รู้จะทำอย่างต่อไปดี โดยเฉพาะเรื่องของเมทินี อยากให้เธอเข้าใจ
“แต่คนที่ฉันบอกรักคือวาทิต ไม่ใช่คุณ”

คำพูดนี้ดังก้องขึ้นในหู น้ำตาลูกผู้ชายไหลริน

เช้ามืดวันนี้ ภายในห้องนอนพ่อเลี้ยงวิทย์ เอื้องคำเข้ามาดูแลเช็ดตัวให้พ่อเลี้ยงที่นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้รถเข็น เมื่อเสร็จแล้วมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนจะเห็นรุทรเปิดประตูเข้ามา ความเครียดในหลายเรื่องที่ถาโถม ทำให้ใบหน้ารุทรยามนี้ เริ่มมีหนวดเคราครึ้มๆ เป็นปรากฏ

“คุณรุทร”
“ผมจะขอมาลาคุณลุงครับ”
เอื้องคำไม่ไว้ใจรุทร ทำท่าไม่อยากให้เข้าใกล้
“ผมไม่ทำร้ายคุณลุงหรอกครับ ผมสัญญา”
เอื้องคำมองไปเห็นอังกูรเดินมาหยุดหน้าประตู แต่รุทรไม่รู้ อังกูรพยักหน้าให้เป็นเชิงบอกให้ออกไป เขาจะดูแลพ่อเลี้ยงเอง
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพ่อเลี้ยง ฉันเรียกตำรวจจับคุณแน่”
รุทรพยักหน้ารับ เอื้องคำเดินออกไป รุทรเดินมาที่รถเข็น ลงนั่งกราบที่เท้าพ่อเลี้ยงวิทย์
“ผมขอโทษคุณลุงด้วยนะครับที่ไม่สามารถอยู่ดูแลคุณลุงได้ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่คุณลุงให้กับครอบครัวของผม”
ระหว่างนั้นอังกูรเดินเข้ามาในห้อง เปิดฉากพูดจาเย้ยหยัน
“ฮึ ฉันนึกว่าแกจะไปแล้วนะเนี่ย ยังอยู่รอเศษเงินจากไอ้แก่เสียสตินี่อีกเหรอ”
รุทรโมโห ลุกขึ้นจ้องหน้า แล้วกระชากคอเสื้ออังกูรมาเต็มแรง
“อย่าให้ฉันได้ยินแกพูดถึงคุณลุงแบบนี้อีก”
“ทำไม แกจะทำอะไรฉัน อย่าลืมสิว่าฉันเป็นหลานไอ้แก่นี่ แต่แกมันตระกูลกาฝาก”
“ฉันจะหาตัวการคนที่ฆ่าวาทิตให้ได้ แล้วทุกคนจะได้รู้ความจริง”
อังกูรกวนโทสะ “จะหาทำไมให้เหนื่อย ยืนอยู่นี่แล้วไง ฉันนี่แหละเป็นคนทำทุกอย่าง”
รุทรโกรธจัด “ไอ้อังกูร ทำไมแกทำแบบนี้”
“ฉันทำได้มากกว่าที่แกคิดอีก”
อังกูรถีบรถเข็นวิทย์
“ไอ้อังกูร”
รุทรสุดทนไหว ต่อยอังกูรเต็มแรงร่างเซไป อังกูรโมโหสุดขีด สองคนต่อสู้กัน อังกูรถูกต่อยจนล้มลง รุทรตามไปต่อยไม่ยั้ง จนอังกูรฟุบคาพื้น รุทรจะต่อยซ้ำ เมทินีเปิดประตูเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี ร้องห้ามเสียงดัง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
สองหนุ่มชะงัก เอื้องคำ จั่นเป็งตามเข้ามา สองคนต่างตกใจ รีบเข้าไปดูพ่อเลี้ยงวิทย์
เมทินีตบหน้ารุทรฉาดใหญ่ รุทรมองอึ้ง ตะลึงตะไล อังกูรใส่ร้ายทันที
“เม ช่วยพี่ด้วย ไอ้นี่จะฆ่าคุณลุงแต่พี่มาช่วยไว้ทัน มันเลยจะฆ่าพี่”
“ผม..ผมไม่...”
“เห็นอยู่กับตา แกมันไอ้สันดานโจร”
รุทรจะเข้าไปหาเมทินีแต่อังกูรมาขวางไว้ “จะทำร้ายเมหรือไง”
เมทินีแค้นแสนแค้น “ทำไมถึงเลวได้ขนาดนี้ ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ออกไป”
รุทรพยายามจะอธิบาย “เม...”
เมทินีสวนขึ้นทันที “ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก”
รุทรมองเมทินีนิ่ง อึ้งที่ถูกไล่ อังกูรถือโอกาสจับมือเมทินีแสดงความเป็นเจ้าของ
รุทรตัดสินใจเดินออกไป เมทินีมองตามหน้าเศร้า แต่ต้องตัดใจ รีบเดินไปดูแลพ่อเลี้ยง
อังกูรมองตามหลังรุทรไปอย่างสะใจ ส่วนเมทินีพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา

ถัดจากนั้น รุทรแบกกระเป๋าออกมายังหน้าบ้าน เจอกิจจา กินรีและเจ้าหน้าที่อำเภอยืนอยู่ กิจจายิ้มเยาะรุทร หนานอยู่แถวนั้นรีบมาช่วยรับกระเป๋าจากรุทร
“ให้ผมไปส่งนะครับคุณรุทร”
กิจจาสั่งเสียงเข้ม “ไม่ได้ จะเอาเงินของทางไร่ไปส่งโจรที่มันปล้นไร่ได้ยังไง”
“แต่...” หนานอิดออด
รุทรสวนขึ้น “ไม่เป็นไรหรอก ผมไปเองได้ครับ”
จากนั้นรุทรถือกระเป๋า เดินออกไปทางหน้าไร่
“มาอย่างราชสีห์แต่ไปอย่างหมา” กิจจาหัวเราะสะใจ
สักพักอังกูรเดินออกมา พอเห็นนายทะเบียนจากอำเภอก็สงสัย
“คุณอามีธุระอะไร”
“ก็เรื่องที่เราตกลงกันไว้ไง กูรแต่งงานกับนรี”
อังกูรฟังแล้วตกใจ ไม่คิดว่ากิจจาจะจู่โจมปานสายฟ้าแล่บขนาดนี้

รุทรสะพายกระเป๋าเดินออกไปหน้าบ้าน โดยไม่รู้ว่าเมทินียืนแอบมองด้านหลังของเขาที่เดินจากไป เมทินีน้ำตาไหล แต่รีบปาดเช็ดน้ำตาเรียกความเข้มแข็งกลับมาโดยไว

ที่ห้องรับแขกบ้านพ่อเลี้ยงวิทย์ไม่นานต่อมา กิจจานั่งดูอังกูรกับกินรีจดทะเบียนสมรสต่อหน้านายทะเบียนจากอำเภออย่างมีความสุข
กิจจาหันมาคุยฟุ้งกับเมทินี “นี่ถ้านรีไม่ท้องอาก็คงไม่ว่าอะไร แต่พอเค้าท้องเราเป็นฝ่ายหญิงก็ต้องรีบจัดการให้มันเรียบร้อยใช่ไหมหนูเม”
“ใช่ค่ะ” เมทินีพยักหน้า
เจ้าหน้าที่ส่งทะเบียนสมรสให้ทั้งคู่
“ตอนนี้คุณทั้งคู่ก็เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วนะครับ ขอให้มีความสุขมากๆ ครับ”
เจ้าหน้าที่ลุกขึ้นลาทุกคนแล้วเดินออกไปมีเอื้องคำเดินไปส่ง อังกูรไม่สนใจรีบพุ่งไปหาเมทินีทันที
“เม ฟังพี่อธิบายนะ”
“เมขอแสดงความยินดีด้วยนะคะพี่กูร นรี”
เมทินียิ้มจริงใจ กินรียิ้มรับ
“เม” อังกูรเซ้าซี้พยายามจะอธิบาย
“เมขอตัวกลับไปดูคุณพ่อนะคะ”
เมทินีตัดบทเดินแยกขึ้นด้านบนไป อังกูรจ้องหน้ากิจจาด้วยความแค้น
“พอใจแล้วใช่ไหม”
“ยัง” อังกูรไม่เข้าใจว่ากิจจาต้องการอะไรอีก “แต่ลูกสาวอาทั้งที สินสอดสักพันล้านน่าจะพอนะ”
อังกูรแทบกระอัก “มันจะมากไปแล้ว”
“มากที่ไหน แกได้มาจากไอ้วิทย์ตั้งกี่พันล้าน แบ่งให้พ่อตาหน่อยคงไม่เป็นไร ส่วนที่เหลือก็เป็นสินสมรส”
“ไว้คำสั่งศาลออกมาเมื่อไหร่ ฉันจะจัดการให้”
“อย่าให้รอนานนักนะกูร เพราะความลับที่กูรทำไว้มันอาจจะทำให้กูรไม่ได้อะไรเลย แล้วทุกอย่างมันจะตกเป็นของพ่อตา คนนี้นะ”

อังกูรมองสองพ่อลูกด้วยความแค้นสุดๆ

เมทินีนั่งจัดดอกไม้อยู่ในสวน มีพ่อเลี้ยงวิทย์นั่งรถเข็นดูวิวอยู่ใกล้ๆ

“เมจัดดอกไม้ในห้องคุณพ่อให้ใหม่นะคะ”
พ่อเลี้ยงชราไม่ได้ตอบสนองใดๆ แต่เมทินีก็ยังจัดต่อ ระหว่างนั้นอังกูรเดินเข้ามานั่งด้วย
“พี่มีเรื่องอย่างคุยด้วย”
“คะ”
“พี่ไม่ได้รักนรี พี่รักเม”
“ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ พี่กูรก็รู้”
“ทำไมล่ะ ในเมื่อตอนนี้เราก็ต่างไม่มีใคร”
“พี่กูร พี่เพิ่งจดทะเบียนเมื่อเช้านี้ จะบอกว่าไม่มีใครได้ไง อย่าลืมสิว่าพี่กำลังจะมีลูก”
“แต่พี่ไม่ได้อยากได้ลูก นรีมันคิดจับพี่”
“พี่กูร เมขอร้อง ยังไงเมก็รักพี่กูรไม่ได้”
อังกูรสวนออกมาอย่างแค้นใจ “เมยังรักไอ้รุทรใช่ไหม”
เมทินีอึ้ง ก่อนตอบ
“อย่าพูดถึงเขาอีกเลยค่ะ เมรักพี่กูรได้แค่พี่ชาย ถ้าพี่กูรเป็นพี่น้องกับเมไม่ได้ เมก็เสียใจ”
อังกูรนิ่งอึ้ง ตะลึงตะไล
“เมฝากพี่กูรดูคุณพ่อก่อนนะค่ะ เมจะไปเตรียมอาหารให้ท่าน”
เมทินีเดินออกไป อังกูรหันมามองเยาะพ่อเลี้ยงวิทย์
“เป็นยังไงบ้างคุณลุง เห็นฝีมือหลานชายคนนี้แล้วหรือยัง ไม่ว่าจะมีไอ้วาทิตสักกี่คน ผมก็จัดการมันได้ รู้ไว้นะไอ้แก่ทุกอย่างมันต้องเป็นของฉัน ใครที่มันมาขัดขวางทางของฉันมันจะได้ไปอยู่กับวาทิตลูกชายสุดที่รักของแก แต่ถ้าคุณลุงอยากไปหามันก็ได้นะครับ ผมจะช่วย”
อังกูรเดินออกไป โดยไม่ทันเห็นว่า ใบหน้าพ่อเลี้ยงวิทย์ตอนนี้ มีหยดน้ำตาไหลรินออกมาจากหางตา

รุทรกลับมาถึงบ้านแล้ว เวลานี้ทุกคนนั่งคุยกันอยู่ตรงระเบียงหน้าบ้าน อนุวัตรถอนใจ
“เฮ้อ วาทิตตาย แม่แรมเจ็บ ลุงวิทย์ก็ไม่รู้เรื่อง ทรัพย์สมบัติของคุณลุงกับวาทิตก็ตกไปเป็นของอังกูรซะงั้น ส่วนแกก็กระเด็นออกมาจากไร่แล้ว นี่เราจะต้องนั่งดูคนชั่วเสวยสุขงั้นเหรอ ไม่แฟร์อ่ะ”
“นั่นสิรุทร แม่เริ่มห่วงพ่อเลี้ยงแล้ว”
“ผมก็ห่วงครับ แต่ทำอะไรไม่ได้ มันหมดหน้าที่ของผมแล้ว”
“แล้วพี่รุทรกลับมาบ้านแบบนี้ ทั้งคุณลุงวิทย์แล้วก็พี่เมไม่แย่เหรอค่ะ”
“อังกูรมันรักเมมาก มันไม่ทำร้ายเมหรอก ส่วนคุณลุงมันก็คงไม่ทำอะไรแล้ว แต่ก็ประมาทไม่ได้ คนอย่างอังกูรมันร้ายกว่าที่เราคิด”
“วาทิต ช่วยดูแลคนดีอย่างพ่อเลี้ยง แล้วหนูเมด้วยนะลูก”
ทุกคนมองแรม วารินเข้าไปกอดแม่ แรมมองรุทรที่เครียดอยู่
“ไอ้รุทรแกยังเครียดเรื่องคุณเมอยู่ใช่ไหม”
อนุวัตรตบบ่าเพื่อน รุทรถอนหายใจกลุ้มใจมาก
“ให้แม่ไปพูดกับหนูเมให้ไหมลูก เขาจะได้เข้าใจว่ารุทรไม่ได้คิดร้าย”
“ช่างเถอะครับแม่ มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก” ทุกคนมองหน้ากัน ไม่เข้าใจท่าทีและคำพูดรุทร “เมไม่สนใจผมหรอกครับ เพราะยังไงผมก็เป็นแค่เงาของวาทิต”
ทุกคนมองรุทรด้วยความเห็นใจ รุทรมองออกไปข้างหน้า คล้ายกับยอมรับความจริง
อนุวัตรมองแม่กับวาริน สายตามาหยุดมองรุทร แล้วนึกขึ้นมาได้ว่านัดบุษบันมานอนที่บ้านท้ายไร่
“เอ่อ ไอ้รุทรแกกลับมาบ้านแล้ว คืนนี้แกก็ต้องไปนอนที่บ้านท้ายไร่ของแกใช่ไหมวะ”
“ไม่ละ คืนนี้ฉันจะนอนที่บ้าน” รุทรนึกสงสัย “ทำไมวะ อนุวัตร ก็ฉันจะไปนอนเองไง”
อนุวัตรชิงพูดก่อน
“แกรู้ไหมไอ้รุทรตอนแกไม่อยู่ ฉันต้องดูแลแม่ ดูแลริน ดูแลไร่ และที่สำคัญต้องดูบ้านท้ายไร่ให้แก เกิดข้าวของหายไปจะทำยังไง”
รุทรตัดบท “พอๆ แกจะนอนที่ไหนมันก็เรื่องของแก แต่ยังไงก็ขอบใจแกมากไอ้วัตร”
อนุวัตรยิ้มนึกดีใจ รุทรมองเหม่อออกไปข้างนอกอย่างเดิม

บนถนนเปลี่ยวสายนั้น อังกูรกับชาติบิดมอเตอร์ไซค์แข่งกันมาตามทางด้วยความเร็วสูง อีกมุมของถนน เห็นอังกูรเบรคจนรถหมุนแล้วหยุดรถได้อย่างสง่างาม ชาติตามมาจอดใกล้ๆ
“ขี่แบบนี้แสดงว่าวันนี้มีอะไรโมโหใช่ไหมครับ”
“ใช่ และฉันก็ต้องการให้แกทำให้ฉันหายโมโห”
“ใคร ที่ไหน เมื่อไหร่บอกมาเลยครับ”
“ไอ้กิจจา”
ชาติงง “พ่อตาป้ายแดงของคุณกูรน่ะเหรอ”
“แกทำได้ใช่ไหม”
“สบายมาก ผมอยากล้างแค้นที่มันเอาด้ามปืนตบหน้าผมคราวที่แล้ว”
อังกูรยิ้มร้ายพอใจ

ตกกลางคืน กิจจาปิดไฟแล้วขึ้นเตียงนอน สักพักก็ได้ยินเสียงเหมือนของตกหล่นหลายชิ้น กิจจาลืมตาตื่นแล้วลุกขึ้นฟัง ก็ได้ยินเสียงโครมครามอีก กิจจาตัดสินใจหยิบปืนแล้วเดินย่องๆลงไป

กิจจาเดินลงมา พอไปถึงห้องนั่งเล่นก็ตกใจที่เห็นข้าวของกระจัดกระจาย พยายามมองหาตัวคนร้ายแต่ไม่เจอจนได้ยินเสียงดังมาจากห้องทำงาน กิจจาจึงเดินตามเสียงนั้นเข้าไป ฉากหลบที่มุมจนแน่ใจว่าตำแหน่งคนร้ายอยู่ในนี้ก็กระชับปืนในมือแล้วโผล่ออกมาเล็งปืนใส่ ตะโกนขึ้น
“ออกมา”
เป็นชาติที่ก้าวออกมา พร้อมกับปัดปืนในมือกิจจาจนปืนหล่นไป
“ไอ้ชาติ”
ชาติยิ้มร้าย กิจจาคิดปราด หาทางรอดชีวิต
“อังกูรมันสั่งแกมาใช่ไหม”
ชาติไม่ตอบ มองกิจจาเตรียมจะลงมือฆ่า
“แกใจเย็นๆ ก่อนนะ เราตกลงกันได้” ชาติมองกิจจา “ฉันจะให้ค่าจ้างแกมากกว่าไอ้อังกูรสองเท่า แกจะมีเงินไปใช่เล่นสบายๆ เลยนะ ไม่ดีเหรอ”
ชาติมองจ้อง คิดตามด้วยความโลภ กิจจาบอกอีกว่า
“เงินอยู่ในลิ้นชัก ไปหยิบเอาซิ”
คราวนี้ชาติเดินไปหยิบเงินที่โต๊ะ กิจจาใช้จังหวะนั้นหยิบปืนมายิงชาติหลายนัด ร่างชาติล้มลงไปนอน
กิจจาเดินมาดูชาติที่นอนนิ่งแล้วยิ้มพอใจ แต่พอหันหลังจะเดินกลับ ชาติซึ่งแกล้งตายก็ลุกพรวด ใช้เชือกรัดคอกิจจาจนขาดใจตาย
ชาติถอดเสื้อออกเผยให้รู้ว่า มันใส่เสื้อเกราะซึ่งมีรอยกระสุนบนนั้น

ชาติมองดูศพกิจจาอย่างสมเพชแล้วยิ้มชั่วสะใจออกมา

อ่านต่อตอนที่ 15
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 12
บ้านศิลาแดง ตอนที่ 12
เช้าวันรุ่งขึ้น เพ็ญพรรอจนเห็นว่าวาทินีเดินฮัมเพลงออกมาจากในห้องไปแล้ว เธอก็รีบแอบเข้าไปรื้อค้นหาหลักฐานในห้อง แต่จู่ๆ วาทินีดันนึกได้ว่าลืมมือถือ จึงโผล่พรวดเข้า “นังพรเพ็ญ แกเข้ามาในห้องฉันทำไม” เพ็ญพรหน้าซีด ก่อนจะรีบแก้ตัว “เออ ฉัน ฉันเข้ามาเอาของให้พ่อ” “แล้วเจอหรือยัง” “ไม่เจอ” เพ็ญพรพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะรีบเดินออกไป วาทินีหันไปมองเพ็ญพรอย่างไม่เชื่อในคำพูด “โชคดีที่มันไม่เจอยาบ้าที่เราซ่อนเอาไว้” พอวาทินีเดินออกจากห้อง เพ็ญพรก็จะย้อนกลับเข้าไปค้นใหม่ แต่ปรากฏว่าห้องถูกล็อกไปแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น