ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 8
น่านฟ้าปราดเข้ามาในบ้านมัศยา หน้าเครียด
“พวกแกทำอะไร ฮะ”
คนร้าย 2 คนหันมาเอาเรื่องน่านฟ้าแทน
“ก็มาทวงหนี้น่ะสิวะ”
“อ่อ พวกรับจ้างทวงหนี้ รู้ใช่มั้ยว่าผิดกฎหมาย”
“พูดแบบนี้วอนเจ็บตัวนี่หว่า”
คนร้าย 2 คน ผละจากนทีข้ามาหาน่านฟ้า มัศยารีบเข้าไปบังหน้าน่านฟ้าทันที
“อย่าทำอะไรเขานะ”
“ไม่เป็นไรเจ๊ ผมจัดการเอง”
น่านฟ้าเบี่ยงตัวมาตรงหน้ามัศยา ทำท่าควักปืนจากในเสื้อแจ็กเก็ต
“เตือนแล้วนะว่าอย่าทำผิดกฎหมาย ถ้าไม่เชื่อกันงั้นเจอนี่เลย”
คนร้ายหน้าเสียด้วยความตกใจ แต่แล้วน่านฟ้ากลับควักนามบัตรออกมาแทน คนร้ายชะงัก อึ้ง
“อะไรของแก ฮะ”
“นามบัตรผมเอง พรุ่งนี้พี่สองคนโทรมาตามเบอร์โทรนี้นะ เดี๋ยวผมจัดการให้”
นทียิ้มหน้าบานด้วยความดีใจ สมใจอึดอัดใจ
“แต่คุณน่านคะ”
“ไม่เป็นไรครับ เจ๊หยีเป็นลูกน้องผม ผมต้องดูแลลูกน้องผมให้ดีที่สุด พวกพี่กลับไปก่อนนะ พรุ่งนี้เราค่อยคุยกัน”
คนร้ายมองหน้ากันแล้วเดินออกไป นะดีตะโกนหานที
“พ่อ”
นะดีรีบเข้าไปกอดนทีทันที น่านฟ้าอึ้งไป
มัศยาและน่านฟ้าเดินคุยกันมาหน้าบ้าน น่านฟ้าเห็นหญิงสาวเครียดมากก็พยายามปลอบ
“อย่าคิดมากน่ะเจ๊ เงินแค่ไม่เท่าไหร่ผมช่วยได้”
“ไม่เท่าไหร่สำหรับคุณ แต่สำหรับครอบครัวฉันมันเยอะมากนะ”
“เจ๊ก็นึกซะว่าผมเป็นคนในครอบครัวเจ๊ไปสิ เจ๊จะได้สบายใจ”
มัศยาชะงักกึก หันมามองค้อนๆ น่านฟ้า น่านฟ้าหน้าเจื่อนยิ้มแหยๆ
“โอเคๆ ไม่พูดเล่นก็ได้ ผมแค่อยากให้เจ๊สบายใจแค่นั้นเอง”
“ฉันจะสบายใจได้ไง ในเมื่อพี่ชายฉันยังสร้างความเดือดร้อนให้ที่บ้านไม่หยุดหย่อนแบบนี้”
“ผมเองก็นึกไม่ถึงนะว่า นะดีจะเป็นหลานสาวเจ๊ ทำไมเจ๊ไม่บอกผมแต่แรกล่ะ”
“แล้วทำไมฉันต้องบอกด้วยล่ะ ถ้าคุณรู้แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้นรึไง”
“ดีสิ”
มัศยาหันขวับ งงๆ น่านฟ้ายิ้มเจื่อน
“ดีตรงที่ไม่ต้องผิดศีลไง โกหกน่ะ ตกนรกนะเจ๊”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจโกหกใคร ฉันแค่อยากให้นะดีไม่รู้สึกว่าขาดแม่ เพราะมีฉันเป็นแม่เขาต่างหากล่ะ”
“แหม จะว่าไป เจ๊นี่ดูอำมหิต แต่จิตใจดีกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยนะ”
มัศยาหันมามองเหล่ๆ
“ฉันอำมหิตแต่กับคนที่สมควรโดนต่างหากล่ะ”
น่านฟ้าหัวเราะชอบใจ
มัศยาเดินเข้ามาในบ้าน ยิ้มแย้มอารมณ์ดีขึ้น สมใจนั่งรออยู่รีบเข้ามาคุยด้วย
“คุณน่านกลับไปแล้วเหรอ”
“ค่ะแม่”
“แม่ไม่สบายใจเลย ไอ้ทีมันก่อเรื่อง แต่คุณน่านต้องมาเดือดร้อนแทน”
“แม่ไม่ต้องคิดมากนะ เดี๋ยวหยีจะหาทางเคลียร์กับคุณน่านเอง”
“ความจริง ถ้าไม่ต้องช่วยนายสินธุ เราก็ยังจะพอมีเงินใช้หนี้ได้บ้าง”
มัศยาได้ยินก็ชะงัก
“เรื่องนี้เดี๋ยวหยีจัดการเองค่ะ ยังไงหยีก็จะต้องช่วยครอบครัวเราให้ปลอดภัยให้ได้ค่ะแม่”
มัศยาเดินขึ้นบ้านไป สมใจส่ายหน้าระอา
น่านฟ้ากำลังขับรถอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนรถชนท้าย เขาชะงักรีบเลี้ยวรถไปจอดข้างถนน ก่อนจะเดินมาที่ท้ายรถ เห็นว่ามีรถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่โดยที่คนขี่สวมหมวกกันน็อคทั้งสองคน
“ผมขับดีๆ พี่มาชนท้ายผมทำไม มีประกันรึเปล่าเนี่ย”
ชายทั้งสองไม่พูดพร่ำทำเพลง ต่อยท้องน่านฟ้าจนตัวงอ ทรุดลง จากนั้นชายอีกคนก็ล็อคตัวน่านฟ้าไว้ ให้เพื่อนต่อยอัดน่านฟ้าหลายที น่านฟ้าได้ทีกระโดดถีบ แล้วพยายามต่อสู้ แต่สุดท้ายก็โดนถอดนาฬิกาข้อมือออกจนได้
ทันใดนั้นแสงไฟหน้ารถคันหนึ่งสาดมา คนร้ายตกใจรีบขึ้นรถขับออกไปทันที น่านฟ้ามองด้วยความโมโห
รถมอเตอร์ไซค์ขับมาจอดข้างทาง คนร้ายถอดหมวกกันน็อคออกมา คือชาย 2 คน ที่เพิ่งทวงหนี้ที่บ้านมัศยานั่นเอง
“ไอ้บ้าเอ๊ย ได้นาฬิกามาแค่เรือนเดียวเอง”
“รู้ที่อยู่มันแล้วนี่ ค่อยไปเอาอีกรอบก็ได้”
สองคนยิ้มกริ่มอย่างพอใจ
น่านฟ้านอนน่วมอยู่ที่คอนโดฯ ปารณ โดยปารณนั่งทายาให้
“ทำไมแกไม่ไปแจ้งความวะ อย่างนี้ก็เท่ากับเจ็บตัวฟรีชัดๆ”
“ช่วงนี้ฉันยุ่งพอแล้ว ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวอีกว่ะ”
“แล้วไง ก็ต้องมาทนเจ็บ แถมของยังหายอีกเนี่ยนะ”
“ของปลอม ฉันไม่เสียดายหรอกว่ะ สมหน้าหน้าไอ้ขี้ขโมย ไม่เคยเจอเศรษฐีใส่ของปลอม ป่านนี้คงคลั่งตายแล้วล่ะว่ะ”
น่านฟ้าหัวเราะสะใจ ก่อนจะเอามือกุมปากเพราะเจ็บ
“เอ้าๆๆ ไอ้ไม่เจียมสังขาร เฮ้อ ฉันไม่รู้จะเห็นใจหรือสมน้ำหน้าแกเลยจริงๆ”
เสียงโทรศัพท์มือถือของปารณก็ดังขึ้น เขาหยิบมาดูหน้าจอเห็นชื่อนิรชาก็หลุดยิ้มด้วยความดีใจรีบรับสาย
“ฮัลโหล อะไรนะ ได้ๆ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ปารณวางสายทันที น่านฟ้าหน้าเหวอ
“อ้าวเฮ้ย จะทิ้งกันไปไหนวะ”
“อย่ามาสำออย แกไม่ได้เป็นไรมาก แต่คนที่โทรมาเขาเดือดร้อนมากกว่า ไปก่อนนะ ก่อนออกปิดประตูให้ด้วยแล้วกัน”
ปารณคว้ากุญแจรถกับกระเป๋าเงินรีบเดินออกไปทันที น่านฟ้ามองงงๆ
นทีนอนหลับอยู่ในห้องนอนนะดี โดยที่นะดีนั่งมองอยู่ข้างๆ มัศยาเข้ามาเห็นเข้าก็แปลกใจ
“อ้าว ไม่นอนอีกเหรอลูก”
“หนูอยากฟังพ่อเล่านิทาน แต่พ่อไม่เล่า หนูนอนไม่หลับค่ะแม่หยี”
มัศยาถอนหายใจเอือมพี่ชาย ลูบหัวนะดีเบาๆ
“ดึกแล้ว นอนเถอะลูก ไว้พรุ่งนี้แม่หยีเล่าให้ฟังเองนะ”
“ให้อาน่านเล่าแทนได้มั้ยคะ นะดีชอบให้อาน่านเล่านิทานให้ฟัง”
มัศยาชะงักทันที แปลกใจ
“ทำไมต้องเป็นอาน่านด้วยล่ะ”
“อาน่านใจดี อาน่านตลก นะดีอยากให้อาน่านเป็นแฟนแม่หยีมากกว่าอาสินธุซะอีก”
มัศยาหน้าเจื่อน
“ไม่เอาลูก อย่าพูดแบบนี้ อาสินธุก็ใจดี แค่เขาไม่ค่อยมีเวลาเท่านั้นเอง นอนซะนะคนดีของแม่หยี”
นะดียอมนอนลงห่มผ้า หลับตาปี๋ มัศยาซึมๆ ไป
คืนนั้น น่านฟ้าเข้ามาในห้องนอน ทิ้งตัวลงก่ายหน้าผากอยู่กับเตียง ก่อนจะยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อนึกถึงตอนที่ได้ยินนะดีเรียกนทีว่าพ่อ น่านฟ้าลุกพรวด หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหามัศยา มัศยากำลังจะนอน เห็นเบอร์น่านฟ้าก็แปลกใจ กดรับ
“ดึกแล้ว คุณไม่นอนอีกเหรอ”
น่านฟ้าอมยิ้มนิดๆ หยอดกลับทันที
“ผมนอนไม่หลับ เลยโทรมาหาเจ๊น่ะสิ”
มัศยาชะงักแปลกใจ
“นอนไม่หลับก็นับแกะไปสิ โทรหาฉันทำไม”
“ผมมันไม่ใช่สไตล์นับแกะ แต่ชอบนับดาว กับคนที่รู้ใจมากกว่า”
มัศยายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่แกล้งตีหน้ายักษ์ พยายามเก็บอาการ
“นี่ ฉันไม่ใช่แฟนคุณนะคุณน่าน ถ้าอยากจะหลับช่วยโทรหาให้ถูกคนหน่อย”
น่านฟ้ายิ้มรับทันควัน
“ไม่ใช่แฟน แต่เป็นเหมือนอากาศเลยนะ ขาดเจ๊ไปผมตายแน่ๆ เจ๊น่ะช่วยดูแลผมทุกอย่าง แล้วจะไม่ให้ผม คิดถึงเจ๊ได้ไง”
มัศยาอายหน้าแดง
“คุณน่าน ถ้าคุณเมาก็นอนไปเลยไป ฉันง่วง จะนอนแล้ว แค่นี้นะ”
มัศยาวางสายทันที แต่เก็บอาการอายไม่ได้ ในขณะที่น่านฟ้าวางมือถือลงอมยิ้มเหมือนกัน
ตอนดึก นิรชายืนเครียดเป็นหนูติดจั่น สักพักปารณเดินเข้ามา เธอรีบเข้าไปหาทันที
“ขอโทษที่ต้องรบกวนตอนดึก แต่ฉันหารถไม่ได้จริงๆ”
“ไม่เป็นไร ดีแล้วที่เธอนึกถึงฉัน ว่าแต่แม่เป็นไงบ้าง”
“เชิญข้างในเลยค่ะ”
นิรชานำปารณเข้าไปในบ้าน นารีกำลังอาเจียนอยู่ นิรชารีบเข้ามาดูแม่ทันที
“แม่ เป็นไงบ้างจ๊ะ”
นารีค่อยๆ นอนลงบนเตียง ปารณเข้ามาดู
“ตัวร้อนตั้งแต่เมื่อค่ำแล้วค่ะ นี่ยังอาเจียนอีกด้วย”
“งั้นพาไปโรงพยาบาลดีกว่ามั้ย”
นารีได้ยินก็รีบสวนขึ้น
“อย่าเลยค่ะคุณ ฉันไม่เป็นไรมากหรอก”
“ไม่เป็นไรอะไรแม่ ไข้สูงขนาดนี้ ไปโรงพยาบาลเถอะนะ”
“ไปก็เปลืองตังค์เปล่าๆ แม่รู้ว่าแม่อยู่ได้อีกไม่นานหรอกนิ”
นิรชาน้ำตาไหล เสียใจ
“แม่อย่าพูดแบบนี้สิ แม่ต้องหาย แม่ต้องอยู่กับนิไปนานๆ”
“แม่พูดจริงๆ แม่มันคงบาปหนัก ถึงได้โดนกรรมลงโทษแบบนี้ คนอกตัญญูอย่างแม่ ก็สมควรแล้วล่ะ”
นิรชาฟุบหน้าลงกอดแม่ร้องไห้
“ไม่เอา หนูไม่ให้แม่พูดแบบนี้อีก แม่ไปโรงพยาบาลกับหนูเถอะนะ”
“ไปเถอะครับ ผมพาไปเอง เรื่องเงินไม่ต้องห่วง ผมจะช่วยเองครับ”
นารีหันมามองปารณอย่างมีความหวัง
“ถ้าอยากช่วยจริงๆ ช่วยดูแลนิแทนฉันด้วยนะคะ”
ปารณได้ยินก็ชะงัก หันมามองนิรชา
“ไม่ หนูจะให้แม่ดูแลคนเดียว”
นารีหันมาพูดกับปารณ
“นิเป็นเด็กดี คุณช่วยสงสารมันเถอะนะ ดูแลมันตอนฉันไม่อยู่ ได้มั้ยคะ”
“ครับ ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลนิให้”
นิรชาร้องไห้โฮ ด้วยความเสียใจ
“แต่ผมจะรักษาคำพูดก็ต่อเมื่อ คุณน้ายอมรักษาตัวอย่างดีที่สุด เชื่อผมนะครับ ทำเพื่อนิ ไปโรงพยาบาลกับผมเถอะ”
นารีมองหน้าลูกสาวอย่างครุ่นคิด
นิรชาและปารณนั่งคุยกันที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล หลังจากพานารีมารักษาตัวแล้ว
“ขอบคุณมากนะคะ ที่พาแม่มาส่งโรงพยาบาล ถ้าคุณไม่พูด แม่ฉันต้องไม่ยอมมาแน่ๆ”
“เอาน่า ไม่ต้องคิดมากหรอก ถือว่าช่วยๆ กัน”
“คุณอย่าถือสาแม่ฉันเลยนะ แม่ฉันคงห่วงฉันมากก็เลยพูดไปเรื่อยเปื่อยอย่างนั้น”
“แต่ฉันพูดจริงนะ”
นิรชาชะงัก
“ถ้าเธอไม่มีใคร ขอให้เธอนึกถึงฉันแล้วกัน ไม่รู้ชาติที่แล้วฉันเคยทำเวรทำกรรมอะไรมากับเธอ ถึงอดห่วงเธอไม่ได้”
นิรชายิ้มนิดๆ เขินๆ รีบตัดบท
“เอ่อ เรื่องเงินค่ารักษาแม่ เดี๋ยวฉันได้ส่วนที่เหลือจากนายสุกิจ ฉันจะเอามาคืนนายนะ”
“ให้แม่เธอหายก่อนเถอะ เรื่องเงินค่อยว่ากันทีหลังก็ได้”
นิรชามองปารณด้วยความตื้นตัน ก่อนจะยกมือไหว้ ปารณตกใจรีบคว้ามือหญิงสาวไว้
“ไม่ต้องไหว้ฉันหรอก”
ทั้งสองชะงัก จับมือกันอยู่ พยาบาลเดินเข้ามาพอดี
“คุณหมอเรียกพบญาติคนไข้ค่ะ”
นิรชาและปารณปล่อยมือจากกันทันที
“ครับ ขอบคุณครับ”
ทั้งสองเดินตามพยาบาลไปอย่างเขินๆ
ปารณและนิรชานั่งคุยกับหมอด้วยความเครียด
“ดูจากอาการแล้วมะเร็งลุกลามเร็วกว่าที่คิดครับ”
นิรชาหน้าเสีย
“งั้นมีทางไหนจะรักษาให้หายปกติได้ครับ”
“ตอนนี้คงต้องให้ยาเคมีบำบัดเพื่อลดการลุกลามของมะเร็ง จากนั้นก็ต้องติดตามอาการอีกทีว่าจะผ่าตัดได้เมื่อไหร่ครับ”
ปารณกุมมือนิรชาไว้ด้วยความเป็นห่วง
“ทำยังไงก็ได้ ขอให้แม่ของฉันหาย คุณหมอต้องช่วยแม่ฉันให้ได้นะคะ”
นิรชาเศร้ามาก
ปารณมาส่งนิรชาที่หน้าบ้าน ทั้งสองยืนคุยกัน นิรชามีแต่ความกังวลใจ
“แน่ใจนะว่าไม่ให้ฉันกลับไปส่งที่โรงพยาบาล”
“ไม่เป็นไรค่ะ รบกวนคุณมาเยอะแล้ว เดี๋ยวฉันเก็บเสื้อผ้าไปโรงพยาบาลตอนเช้าเอาก็ได้ค่ะ”
“ตามใจ ยังไงก็ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะ ฉันเป็นห่วง”
นิรชาได้ยินคำว่า เป็นห่วง ก็ยิ้มนิดๆ รู้สึกดี
“ขอบคุณค่ะ”
“งั้นฉันไปก่อนนะ”
ปารณเดินออกไป นิรชามองตามด้วยความตื้นตัน
ตอนเช้า มัศยาง่วนกับการหาเอกสารที่โต๊ะทำงาน เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามาเลยค่ะ”
วิภาเดินเข้ามาในห้อง มัศยาเห็นวิภารีบยกมือไหว้ทันที
“สวัสดีค่ะคุณท่าน”
“ทำไมวันนี้เข้าออฟฟิศล่ะ นึกว่าจะไปทำข้าวเกรียบกันซะอีก”
“ดิฉันกำลังรวบรวมแหล่งซื้อวัตถุดิบให้คุณน่านค่ะ เผื่อว่าถ้าคุณน่านจะลุยสูตรใหม่จะได้มีหลายตัวเลือก”
“ดีๆ ว่าแต่นายน่านไม่เข้ามาด้วยเหรอ”
มัศยาชะงักคิด
“เอ ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
“ไม่รู้ได้ไง ฉันเห็นเธอกับตาน่านน่ะ ตัวติดกันตลอดเวลายังกับเหาฉลาม เธอไม่รู้นี่ถือว่าแปลกนะ”
“อุ๊ย ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ คุณน่านก็มีชีวิตส่วนตัวของเขา แฟนเขาก็มีนะคะคุณท่าน”
วิภาชะงักทันที
“ว่าไงนะ ตาน่านน่ะเหรอมีแฟน มันคบใครเป็นตัวเป็นตนกับเขาเป็นด้วยเหรอ”
ต๋องวิ่งหน้าตั้งเข้ามา
“คุณท่านครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ”
วิภาและมัศยาหันมาทางต๋องด้วยความแปลกใจ
สุกิจกำลังรับหน้าเสื่อกับหุ้นส่วนที่ยืนโวยวายอยู่ในห้องประชุม
“ใจเย็นๆ ก่อนนะครับทุกคน เดี๋ยวพี่วิภาจะเข้ามาตอบคำถามทุกคนเดี๋ยวนี้แล้วครับ”
“เชิญนั่งก่อนดีมั้ยครับ”
ภูริชช่วยคลี่คลายสถานการณ์ วิภาเดินเข้ามาโดยมีมัศยาและต๋องตามมาด้วย
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
หุ้นส่วนโวยทันที
“มีคนปล่อยข่าวว่า มีโชคกำลังล้มละลาย เลยเทขายหุ้นไปหมด มันจริงรึเปล่าครับคุณวิภา”
“ถ้าจริงนี่พวกผมเสียหายนะ”
“ก็ไหนประธานคนใหม่รับปากว่าจะเพิ่มยอดขายภายให้ 3 เดือน ไง นี่เท่ากับว่าทำไม่ได้แล้วยังทำบริษัทเจ๊งอีกด้วยนะ”
วิภาเครียดจัดพยายามไกล่เกลี่ย
“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ ฉันว่าคงมีคนไม่หวังดีปล่อยข่าวลือมากกว่า เพราะมีโชคยังไม่วิกฤตขนาดนั้นนะคะ”
สุกิจได้ทีรีบช่วยวิภา
“นั่นสิครับ พวกคุณไปได้ข่าวมาจากไหน”
“ยุคนี้ข่าวมันไปไว คิดว่าจะปิดกันได้เหรอ”
“ตกลงคุณวิภาจะว่ายังไง ไม่งั้นผมขายหุ้นทิ้งหมดจริงๆ ด้วย”
วิภาหันมามองมัศยากับต๋อง
“มัศยา ต๋อง รีบไปตามคุณน่านมาเดี๋ยวนี้ บอกว่ามีเรื่องด่วน”
“ค่ะคุณท่าน”
มัศยากับต๋องรีบเดินออกจากห้องทันที
มัศยาพยายามต่อโทรศัพท์หาน่านฟ้า แต่ไม่ติดสักที ก็หงุดหงิดมาก ต๋องขับรถบริษัทแล่นมาจอดตรงหน้ามัศยา
“ไปรับที่บ้านเลยดีกว่าเจ๊”
มัศยาพยักหน้าแล้วรีบขึ้นรถทันที
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 8 (ต่อ)
มัศยากับต๋องเดินเข้ามาในบริเวณบ้านน่านฟ้า เห็นสุกัญญากำลังเล็มกิ่งต้นไม้อยู่
“คุณน่านอยู่มั้ยคะ”
“อ้าว ไม่ได้ไปทำงานเหรอ”
ทั้งสองมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“แย่แล้วเจ๊ สงสัยต้องไปค้างบ้านแฟนจนลืมไปทำงานแน่เลย”
มัศยาโมโหขึ้นมาทันที
“ถึงว่า ปิดมือถือหนี ฉันไม่น่าไว้ใจโจรเลยจริงๆ”
สุกัญญาหันมาถามด้วยความแปลกใจ
“เกิดเรื่องอะไรเหรอหนู”
“มีเรื่องที่บริษัทค่ะ คุณท่านเลยให้มารับตัวคุณน่านไปชี้แจงหุ้นส่วนตอนนี้เลย”
“งั้นเอาไงดีล่ะเจ๊”
“ก็ต้องไปตามทุกที่ที่คิดว่าคุณน่านไปน่ะสิ งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”
มัศยากับต๋องจะเดินออกไป สุกัญญาเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนหนูหยี”
ทั้งสองชะงักหันมา
“น้าขอขึ้นไปดูบนห้องให้แน่ใจก่อนดีกว่า ปกติตาน่านจะตื่นเช้า แต่วันนี้ไม่เห็นลงมาเลย คิดว่าไม่ได้กลับบ้านน่ะ”
“งั้นหนูขออนุญาตขึ้นไปดูเองได้มั้ยคะ”
มัศยาจริงจังมาก
มัศยาเข้ามาในห้องนอนน่านฟ้า เห็นว่าบนเตียงมีคนนอนคลุมโปงอยู่ เธอเดือดทันที
“หนอย อู้งานมานอนแบบนี้เหรอ”
มัศยาเดินไปที่เตียง เปิดผ้าห่มออกทันที เห็นน่านฟ้านอนขดตัว ใบหน้าเขียวช้ำก็ตกใจ
“คุณน่าน”
น่านฟ้าค่อยๆ พลิกตัวหันมา เห็นมัศยาก็ยิ้มให้
“เจ๊หยี มาแต่เช้าเลยนะ”
“คุณไปทำอะไรมา ทำไมหน้าตาช้ำแบบนั้นล่ะ”
มัศยาเข้าไปจับแขนน่านฟ้าก็ตกใจกว่าเดิม
“เฮ้ย คุณตัวร้อนนี่ เป็นไรมากรึเปล่า”
“เมื่อคืนไปเล่นบทพระเอกมา โดนซะน่วมเลย”
น่านฟ้าค่อยๆ ประคองตัวเองลุกขึ้นนั่ง
“ว่าแต่ เจ๊มาทำไมแต่เช้า”
“เกิดเรื่องที่บริษัทน่ะสิ คุณท่านเลยให้ฉันมาตามคุณ แต่ดูสภาพแล้วไม่น่าจะไหวมั้ง”
“ไหวสิไหว งั้นขอผมแต่งตัวแป๊บหนึ่งนะ”
น่านฟ้าลุกขึ้นจากเตียง แต่แล้วก็เวียนหัว เซลงกับเตียงทับมัศยาจนหน้าเกือบชนกัน ทั้งสองมองหน้ากัน แต่พอรู้ตัวก็ผละจากกัน
“ไหวแน่เหรอคุณน่าน ให้ฉันเรียนคุณท่านให้มั้ย”
“ไม่เป็นไร ผมเป็นประธานบริษัท จะให้ลอยตัวหนีปัญหาได้ไง”
น่านฟ้าค่อยๆ ประคองตัวเองเข้าห้องน้ำไป
ต๋องและสุกัญญานั่งอยู่ในห้องรับแขก มัศยาเดินเข้ามาหน้าเครียด
“หายไปซะนาน สงสัยคุณน่านนอนยังไม่ตื่นใช่มั้ยเจ๊”
“เขาป่วยน่ะ”
สุกัญญาตกใจ
“หา ป่วยเหรอ”
สุกัญญารีบลุกขึ้นจะไปดู
“คุณน่านแต่งตัวแล้วค่ะ บอกว่าจะไปกับเรา แต่ว่า”
“มีอะไรเหรอหนู”
“เดี๋ยวคุณน่านลงมาลองถามแกเองดีกว่าค่ะ หนูเองก็ยังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”
น่านฟ้าเดินเข้ามา หน้าตาโทรมมาก
“ตาน่าน นั่นหน้าไปโดนอะไรมา หะ”
“โดนโจรดักตีเมื่อคืนครับแม่”
สุกัญญาเข้ามาประคองลูกชายด้วยความตกใจ
“ตายแล้ว ไปหาหมอก่อนดีมั้ย ดูสิ ตัวก็ร้อนด้วย”
“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมไหว ไปไอ้ต๋อง พาฉันไปเดี๋ยวนี้ เรื่องสำคัญรออยู่”
“ครับคุณน่าน”
ต๋องประคองน่านฟ้าเดินออกไป มัศยาหันมาบอกสุกัญญา
“ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวหนูดูแลเอง”
“ฝากตาน่านด้วยนะหนู”
“ค่ะ”
มัศยารีบเดินตามทั้งสองคนไปทันที
น่านฟ้านั่งพิงเบาะรถหลับอยู่ด้านหลังกับมัศยา ขณะที่ต๋องขับรถอยู่ มัศยาหันมาจับแขนน่านฟ้าซึ่งตัวร้อนมาก
“ไหวมั้ยคุณน่าน แวะหาหมอก่อนดีกว่ามั้ย”
“ไม่เป็นไร คงไข้ขึ้นเพราะระบมแผลช้ำในน่ะ”
“แต่ถ้าไม่ไหวก็บอกคุณท่านได้นะครับคุณน่าน”
“ฉันบอกว่าไหวก็ไหวสิ แกรีบขับรถเร็วๆ แล้วกัน”
น่านฟ้าหลับไป มัศยากังวลไม่น้อย
วิภานั่งอยู่ที่หัวโต๊ะประชุม หุ้นส่วนนั่งปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด วิภามองนาฬิกาด้วยความกังวล ในขณะที่สุกิจและภูริชยืนคุยกันอยู่หน้าห้องประชุมหน้าระรื่น
“แผนกดดันของคุณสุกิจดูจะได้ผลนะครับ”
“สำหรับฉัน ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้มันกระเด็นออกจากตำแหน่งประธานเร็วที่สุด ฉันจะทำทุกอย่าง”
สุกิจยิ้มร้าย นึกถึงเหตุการณ์วันก่อนที่เขานั่งคุยกับบรรดาหุ้นส่วนที่สนามไดรฟ์กอล์ฟ
“พักนี้ไม่เห็นได้ข่าวประธานคนใหม่เลยเป็นไงบ้างล่ะคุณสุกิจ”
“เฮ้อ แย่ครับ”
“ทำไมล่ะ ก็ไหนบอกว่าจะพิสูจน์ตัวเองให้พวกเราเห็นไม่ใช่เหรอ”
“พิสูจน์อะไรล่ะครับ ผมเห็นวันๆ ยังเที่ยวเตร่ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าอยู่เลย นึกแล้วก็ห่วงบริษัทจริงๆ ไอ้ผมมันก็พูดอะไรมากไม่ได้เพราะพี่วิภาเขาถือหางลูกเลี้ยงเขา”
“ทำแบบนี้ได้ยังไง พูดแล้วก็ต้องรักษาคำพูดสิ คุณโชคบริหารบริษัทถือเรื่องสัจจะสำคัญที่สุด พวกเราถึงได้อยู่กับคุณโชคมาตลอด”
“นั่นน่ะคุณโชค แต่นี่มันลูกชายปลายแถว ลูกไม้หล่นซะไกลต้น ผมถึงห่วงกลัวว่ามีโชคจะไปไม่รอดนี่สิครับ”
เสียงโทรศัพท์มือถือสุกิจดังขึ้น
“ขอเวลาแป๊บนะครับ”
สุกิจกดรับสาย แปลกใจ
“ครับ ผมสุกิจเอง ว่าไงนะ นักข่าวเหรอ คุณไปเอามาจากไหนว่ามีโชคกำลังจะล้มละลาย”
หุ้นส่วนได้ยินก็มองหน้ากัน
“เอาล่ะๆ เดี๋ยวเอาไว้ผมจะคุยกับประธานอีกที แต่ขอร้องเลยนะว่าอย่าเพิ่งลงข่าวนี้”
สุกิจยิ้มเจ้าเล่ห์
สุกิจยิ้มพอใจเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองวางแผนไว้
“แล้วก็ได้ผลตามคาดจริงๆ ด้วย อยากรู้นักนะครับว่า ไอ้ประธานมันจะแก้ตัวว่ายังไง” ภูริชถาม
“ฉันก็อยากเห็นหน้ามันตอนโดนหุ้นส่วนรุมเหมือนกัน แต่ฉันไม่ได้กะไว้แค่นั้นนะ ฉันจะทำให้มันปวดหัวยิ่งกว่านี้อีกหลายเท่า จนมันไม่เป็นอันทำอะไรเลยล่ะ”
สุกิจและภูริชหัวเราะชอบใจ
น่านฟ้า มัศยาและต๋องเดินเข้ามาในบริษัท สักพักน่านฟ้าหยุดเดินด้วยอาการเวียนหัว
“ไหวมั้ยคุณน่าน”
“ไหวๆ รีบไปกันดีกว่า”
น่านฟ้าพยายามจะเดินออกไป แต่แล้วก็เซจนไปชนผนัง ทุกคนตกใจกันหมด
“คุณน่าน”
ภายในห้องประชุมใหญ่ หุ้นส่วนมองนาฬิกาด้วยความร้อนใจ
“ตกลงยังไงเนี่ย พวกเรารอมา 2 ชั่งโมงแล้วนะ”
“นั่นสิคุณวิภา ถ้าประธานบริษัทไม่มาทำงาน เอาแต่เที่ยวเตร่แบบนี้ ผมว่าปลดออกดีกว่ามั้ย”
หุ้นส่วนทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกันหมด สุกิจกับภูริชแอบมองหน้ากันยิ้มๆ วิภาพยายามไกล่เกลี่ย
“ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ อีกเดี๋ยวคงมาแล้วล่ะ”
“นั่นสิครับ ลองเย็นๆ ก่อนนะครับ ภูริช ให้เด็กเอาของว่างมาเสิร์ฟแขกก่อนเร็ว”
“ครับคุณสุกิจ”
ภูริชจะเดินออกไป แต่แล้วหุ้นส่วนคนหนึ่งก็ลุกพรวดขึ้น
“ไม่ต้องแล้ว ผมตัดสินใจแล้ว ผมจะถอนหุ้นทั้งหมด”
วิภาหน้าเสีย ทันใดนั้นน่านฟ้าก็เดินเข้ามา
“ฟังผมก่อน แล้วค่อยตัดสินใจได้มั้ยครับ”
ทุกคนหันมามองน่านฟ้า
มัศยากับต๋องยืนคุยกันอยู่หน้าห้องประชุมอย่างร้อนใจ
“เจ๊ว่าคุณน่านจะกู้สถานการณ์ได้มั้ย”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าทุกคนได้เห็นความพยายามของเขาก็น่าจะฟังบ้างนะ”
ต๋องพยักหน้า แอบลุ้นไปด้วย
น่านฟ้าพยายามไกล่เกลี่ยกับหุ้นส่วนอย่างจริงจัง
“ผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องนี้”
น่านฟ้าแอบเหลือบไปทางสุกิจและภูริช ทั้งสองทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“แต่ผมขอยืนยันว่า ตลอดเวลาตั้งแต่ผมรับปากกับทุกคนว่าจะพิสูจน์ตัวเอง ผมได้พยายามทำอย่างเต็มที่”
“จริงค่ะ ฉันยืนยันได้ว่าประธานของเราไม่ได้ละเลยหน้าที่เลยจริงๆ”
วิภาช่วยยืนยัน
“พูดน่ะมันง่าย แล้วไหนล่ะผลงานที่จะทำให้เราเชื่อ”
“ใช่ กางตัวเลขดูกันเลยดีกว่าว่ายอดขายเพิ่มขึ้นแค่ไหนแล้ว”
น่านฟ้าชะงัก พูดไม่ออก วิภาพยายามช่วยอีกแรง
“ประธานบอกว่าขอเวลา 3 เดือน ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการทำงานเพื่อเพิ่มยอดขาย ถ้ารีบเอามากางตอนนี้ มันก็ไม่แฟร์กับประธานสิคะ”
“แก้ตัวชัดๆ ผมว่าพวกเราอย่ารอเลยดีกว่า ยิ่งมีข่าวไม่ดีออกมา หุ้นได้ร่วงลงกว่านี้แน่”
หุ้นส่วนทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกันหมด วิภาหันมามองน่านฟ้าด้วยความกังวล
“เอาอย่างนี้ดีมั้ยครับ ผมอาจะไม่มีตัวเลขมาการันตีความพยายามก็จริง แต่ผมมีอะไรที่เด็ดกว่านั้น”
ทุกคนชะงักสนใจ สุกิจแย้ง
“อย่าทำเป็นเล่นนะตาน่าน มันไม่ได้สนุกหรอกนะ”
“สนุกสิครับ แต่ผมต้องขอเวลาทุกท่านหนึ่งวัน พรุ่งนี้มากันใหม่แล้วผมจะพิสูจน์ให้เห็นกับตา ตกลงมั้ยครับ”
ทุกคนมองหน้ากัน
หลังประชุมเสร็จ วิภาคุยกับน่านฟ้าด้วยความกังวล
“แกบ้าไปแล้วเหรอตาน่าน ทำแบบนี้มันเสี่ยงมากเลยรู้มั้ย”
“เสี่ยงยังไงครับแม่ใหญ่ ก็เขาอยากให้ผมพิสูจน์ตัวเอง ผมก็ต้องทำสิครับ”
“แต่เขาอยากดูตัวเลขยอดขาย เขาไม่ได้อยากดูแกทอดข้าวเกรียบโชว์นะ”
“ก็ทีแม่ใหญ่ยังประทับใจข้าวเกรียบของผมเลย แล้วทำไมผมจะใช้ข้าวเกรียบของผมเอาชนะใจคนพวกนั้นบ้างไม่ได้ล่ะครับ”
“เฮ้อ แกไม่เข้าใจหรอกตาน่าน”
วิภานั่งลงไม่รู้จะพูดอย่างไร
“แม่ใหญ่ลองไว้ใจผมอีกสักครั้งสิครับ ผมจะต้องเรียกความมั่นใจกลับคืนมาให้ได้แน่”
“สำหรับฉันน่ะ แต่กับคนอื่นนี่สิ เฮ้อ มัศยา เธอช่วยพูดกับประธานของเธอหน่อยซิ ฉันล่ะปวดหัวเหลือเกิน”
น่านฟ้าหันไปทางมัศยา
“ลองให้โอกาสท่านประธานเถอะค่ะ”
วิภาชะงัก
“นั่นสิครับคุณท่าน ต๋องยังจำรสข้าวเกรียบของคุณน่านได้ไม่ลืมเลย มันอร่อยติดลิ้นจนยากจะลืมจริงๆ นะครับ”
“นะคะคุณท่าน ให้โอกาสคุณน่านอีกสักครั้งเถอะค่ะ”
วิภาครุ่นคิด
ต๋องขับรถให้น่านฟ้ากับมัศยานั่งออกมาจากบริษัท
“ขอบคุณมากนะที่ช่วยพูดกับแม่ใหญ่ แกด้วยไอ้ต๋อง”
“เราทีมเดียวกัน เจ้านายว่าไง ต๋องก็ว่าตามกันอยู่แล้วล่ะครับ”
“แต่ฉันมีข้อแม้หนึ่ง ที่คุณต้องทำ ถ้าคุณไม่ฟังฉัน ฉันจะไปบอกคุณท่านให้ยกเลิกแผนการคุณทั้งหมด”
น่านฟ้าชะงักหันมา ชักเกรงๆ
“โห ดูโหดจังเจ๊ ข้อแม้อะไรเหรอ”
มัศยายิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะพาน่านฟ้ามาหาหมอที่โรงพยาบาล และนั่งคอยอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินกับต๋อง
“เจ๊นี่เด็ดขาดจริงๆ เลย ออกคำสั่งคำเดียว ทำเอาคุณน่านต้องยอมมาโรงพยาบาลจนได้”
“ก็ดูเจ้านายแกสิ โดนซ้อมจนน่วมขนาดนั้นยังไม่ยอมไปหาหมอ ดีนะไม่ช้ำในตายซะก่อน”
“แหมๆๆ เป็นห่วงกันจริงน้า”
“แล้วแกไม่ห่วงรึไง”
“ห่วง แต่ไม่ขนาดเจ๊แน่ๆ ระวังนะเจ๊ ใกล้คุณน่านมากๆ จะหวั่นไหวไม่รู้ตัว”
มัศยาหมั่นไส้บิดหูต๋องเต็มแรง
“โอ๊ย”
“ทีหลังอย่ามาแซวอีก ฉันไม่ชอบ”
พยาบาลเข็นรถเข็นที่น่านฟ้านั่งเดินเข้ามา
“เรียบร้อยแล้วเจ๊ เดี๋ยวไปจ่ายเงิน รับยาก็กลับบ้านได้เลย”
“แล้วหมอว่าไงบ้างคะ”
“ช้ำตามเนื้อตามตัวนิดหน่อย ผมน่ะกระดูกเหล็กจะตาย ไม่เป็นไรง่ายๆ หรอก”
น่านฟ้ายิ้มลำพอง
สุกัญญาประคองน่านฟ้านอนลงบนเตียง มัศยาและต๋องยืนอยู่ใกล้ๆ
“นอนพักซะลูก ทีหน้าทีหลัง เกิดอะไรขึ้นต้องปลุกแม่นะ ไม่ใช่ปล่อยให้แม่เข้าใจผิดนึกว่าเราไปทำงานแล้วแบบนี้”
“ก็ผมไม่ได้เป็นไรมากนี่ครับ”
“เป็นมากเป็นน้อยก็ต้องบอก นึกถึงใจคนที่เขาเป็นห่วงบ้าง”
ต๋องได้ทีพูดขึ้นทันที
“ใช่ครับคุณน่าน อย่างเจ๊หยีคุณน่านก็ต้องบอกนะครับ เพราะเจ๊หยีแกก็ห่วงคุณน่านม้ากมากเหมือนกัน”
มัศยาตบหลังต๋องเต็มแรง
“โอ๊ย เอาอีกแล้วนะเจ๊ พูดความจริงทีไร ชอบใช้กำลังกับต๋องทุกที”
สุกัญญาหัวเราะชอบใจ
“ฉันทำกับข้าวเย็นไว้แล้ว เดี๋ยวอยู่ทานด้วยกันทั้งคู่เลยนะ”
“เอ่อ”
“ห้ามปฏิเสธจ้ะ รอแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวลงไปตั้งโต๊ะก่อน”
สุกัญญาเดินออกไป ต๋องรีบพูดทันที
“เดี๋ยวผมไปช่วยนะครับ เจ๊อยู่เป็นเพื่อนคุณน่านนี่แหละ เผื่อไข้ขึ้นอีกจะได้ดูแลทันไง”
ต๋องแอบยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วรีบเดินออกไป น่านฟ้ามองมัศยายิ้มๆ
“ขอบคุณนะเจ๊ที่เป็นห่วงผม”
มัศยาเขินมาก
“ไม่ใช่แต่ฉันซะหน่อย เขาก็ห่วงคุณกันทั้งนั้นแหละ”
มัศยาเบือนหน้าหลบอาการอาย
สุกิจนั่งอยู่ที่บ้านด้วยความหงุดหงิด อนงค์ยกถ้วยกาแฟเข้ามาวางให้
“กาแฟค่ะคุณ”
“บ้ารึเปล่าฮะ เอากาแฟมาให้กินตอนกลางคืน อยากเห็นผมตาค้างช็อคตายรึไง”
อนงค์หน้าเจื่อน
“เปล่าค่ะ ก็เห็นคุณชอบดื่ม ฉันเลยชงมาให้”
“นอกจากเรื่องสิ้นคิดแบบนี้ เคยคิดอะไรสร้างสรรค์ให้สามีบ้าง ดูซิ จนป่านนี้ผมยังสอยตำแหน่งประธานมาไม่ได้เลย จะเปิดโรงงานเองก็ลำบาก หมุนเงินไม่ทันอีก”
“คุณก็ใจเย็นๆ สิคะ พี่โชคเพิ่งเสียไม่นาน ตอนนี้บริษัทคงยังไม่นิ่ง”
“หุบปากไปเลยนะ ถ้าพูดแล้วไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น”
สุกิจลุกขึ้นแกะเน็คไทออก แล้วเหวี่ยงใส่อนงค์ ก่อนจะเดินหัวเสียออกไป อนงค์มองตามจ๋อยๆ หยิบถ้วยกาแฟเดินไป แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอรีบรับสายทันที
“สวัสดีค่ะ บ้านคุณสุกิจค่ะ คุณพี่”
วิภานัดอนงค์ออกมาทานอาหารนอกบ้าน
“อ่ะ กินเยอะๆ นะ พักนี้ฉันว่าเธอดูซูบไปนะอนงค์”
“ขอบคุณค่ะ”
วิภานั่งกินข้าวหน้านิ่ง อนงค์ทนไม่ไหวเลยเอ่ยปากถาม
“ไม่ทราบว่าคุณพี่มีธุระอะไรรึเปล่าคะ เรียกฉันออกมาตอนนี้”
“ทำไม กลัวนายสุกิจดุเอาเหรอ ถ้ามันดุเธอ ฉันจัดการเอง ทำไม ฉันอยากจะกินข้าวกับน้องสะใภ้บ้าง มันจะอะไรนักหนา”
“คุณสุกิจไม่ทราบหรอกค่ะ ฉันไม่ได้บอกเขา ป่านนี้คงหลับไปแล้วมั้ง เห็นวันนี้ท่าทางหงุดหงิด คงจะเครียดงานมั้งคะ”
วิภาแสยะยิ้มหมั่นไส้
“เครียดงานเหรอ ใครควรจะเครียดกันแน่”
อนงค์มองวิภาอย่างแปลกใจ
“เอาล่ะ ถ้าเธออยากรู้ฉันบอกให้ก็ได้ ฉันแค่เป็นห่วงสุกิจ ไม่อยากให้เขาทะเยอทะยานเกินไป เพราะอะไรที่เขาพยายามทำน่ะ มันอยู่ในสายตาฉันทั้งนั้น”
“คุณสุกิจทำอะไรเหรอคะคุณพี่”
“ฉันว่าเธอเป็นเมีย เธอเองต้องรู้อยู่แล้ว ฉันถึงอยากให้เธอปรามๆ มันบ้าง สุกิจน่ะเป็นคนรั้น ยิ่งฉันพูดอะไรมาก มันก็ยิ่งต่อต้าน แต่ฉันอยากให้มันรู้นะว่า ไม่มีใครรักและหวังดีกับมันเท่าพี่คนนี้หรอก เธอเข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย”
อนงค์พยักหน้ารับอย่างกังวล
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 8 (ต่อ)
น่านฟ้านอนหลับอยู่ มัศยาค่อยๆ เอามือไปแตะแขนเขา แล้วตกใจ รีบหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำทันที
สักพักก็ออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าเปียกหมาด ค่อยๆ เช็ดหน้าให้น่านฟ้า ก่อนจะเลิกเสื้อชายหนุ่มออกจะเช็ดท้องให้ น่านฟ้ากุมมือมัศยาทันที
“นั่นแน่ แต๊ะอั๋งเขาเหรอ”
มัศยาตกใจชักมือกลับทันที
“ก็นายตัวร้อนเป็นไฟเลย ฉันเลยจะเช็ดตัวให้ต่างหาก”
น่านฟ้ายิ้มกวนๆ ลุกพรวดขึ้น
“ตกใจหมด เห็นล้วงเข้าไปในเสื้อ นึกว่าจะลวมลามผมซะอีก”
“ทุเรศ พูดจาน่าเกลียด ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย ฉันจะได้ลงไปข้างล่าง”
มัศยาลุกพรวดขึ้น น่านฟ้าคว้ามือเธอไว้
“จะรีบไปไหนล่ะเจ๊ แม่ยังไม่เรียกเลย ไหนๆ ก็กรุณาเช็ดตัวให้ผมแล้ว ก็ช่วยทำให้เสร็จหน่อยเถอะ นะๆๆๆ”
น่านฟ้าส่งสายตาเว้าวอน มัศยาหมั่นไส้ แต่ก็ยอมเช็ดตัวให้ น่านฟ้านอนมองยิ้มๆ
“จะว่าไป เจ๊ในมุมอ่อนโยนนี่ก็น่ารักใช่เล่นนะเนี่ย”
“หุบปากแล้วนอนนิ่งๆ ได้มั้ย”
“เสียอย่างเดียวปากจัดไปหน่อย”
“รู้แล้วก็อย่าพูดมาก ไม่งั้นฉันด่าไฟแล่บจริงๆ ด้วย”
น่านฟ้าคว้ามือมัศยามาแนบอกมองเคลิ้มๆ
“พอได้แล้ว ขอบคุณนะครับ คุณใจดีกับผมจัง”
มัศยาเผลอเคลิ้มกับสายตาเจ้าชู้นั้น ก่อนจะรู้ตัว เอาผ้าโปะลงกลางหน้าน่านฟ้าทันที
“บอกให้หุบปากไง”
น่านฟ้าดึงผ้าออกมาโวยวาย
“เจ๊อ่ะ คนอุตส่าห์ทำซึ้ง ทำซะเสียมู้ดหมดเลย”
มัศยาลุกขึ้นทันที พยายามตัดบท
“ฉันลงไปกินข้าวดีกว่า”
น่านฟ้าลุกตามชนมัศยาเต็มๆ มัศยาจะหันมาด่า แต่ว่าหน้าของทั้งคู่ใกล้ชิดกันมาก ทั้งสองเผลอสบตากันโดยไม่รู้ตัว ต๋องเข้ามาเห็นพอดี
“อะแฮ่ม”
มัศยากับน่านฟ้าผละออกจากกันทันควัน
“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะครับ แต่อาหารพร้อมแล้วครับ”
ต๋องยิ้มกวนๆ แล้วรีบเดินไปทันที น่านฟ้ากับมัศยาเขิน
มัศยากับต๋องเดินมาที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านน่านฟ้า ต๋องแอบมองมัศยายิ้มๆ
“กับข้าวอร่อยมั้ยเจ๊”
“ฝีมือคุณสุกัญญามีเหรอจะไม่อร่อย”
“แต่ผมว่ามันหวานไปนิดนะ ไม่รู้เพราะอาหาร หรือเพราะคนร่วมโต๊ะที่สวีทกันเหลือเกิน”
มัศยาเงื้อหมัดขึ้นจะอัดต๋อง
“โอ๊ะๆๆๆ กลัวแล้วจ้า ไม่แซวแล้ว”
มัศยาเปิดประตูจะขึ้นรถ น่านฟ้าวิ่งตามมา
“เดี๋ยวก่อนเจ๊”
ต๋องหันไปทางน่านฟ้า
“ลืมกู้ดบายคิสเหรอครับคุณน่าน”
น่านฟ้าเตะต๋องเต็มแรง
“กู้ดบายคิกต่างหาก”
ต๋องกุมก้นเซ็งๆ
“พรุ่งนี้ไปตลาดเช้ากับผมนะเจ๊ เดี๋ยวผมไปรับ”
“คุณพักผ่อนเถอะ ยิ่งเป็นไข้อยู่ด้วย เดี๋ยวฉันให้ต๋องไปเตรียมอุปกรณ์ให้ก็ได้”
“ไม่เอา ผมอยากไปเลือกเอง นะๆๆ เจอกันตอนเช้านะ”
“ก็ได้ค่ะ งั้นรีบไปนอนซะ อย่าลืมทานยาแก้ไข้ กับทายาด้วยล่ะ”
“ครับพ้ม”
มัศยายิ้มรับแล้วเข้าไปนั่งในรถ ต๋องยิ้มกวนๆ น่านฟ้าชี้หน้าคาดโทษ ต๋องรีบเปิดประตูขึ้นรถทันที
เวลาเดียวกันนั้น แอนนานั่งอยู่ในรถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านน่านฟ้า มองต๋องกับมัศยาที่ขับรถออกไปด้วยความไม่ไว้ใจ
น่านฟ้ากำลังจะเดินเข้าบ้าน แต่เสียงออดดังขึ้น เขาชะงักแปลกใจ เดินไปที่ประตู เห็นแอนนายืนอยู่
น่านฟ้าพาแอนนาเข้ามาในบ้าน แอนนายกมือไหว้สุกัญญา สุกัญญารับไหว้อย่างไม่เต็มใจ
“หายไปนานเลยนะแอน แม่นึกว่าเลิกติดต่อกับตาน่านไปแล้วซะอีก”
แอนนาหน้าเจื่อนหันไปทางน่านฟ้า
“แอนเขาติดงานที่ต่างประเทศนะครับแม่ ครั้งนี้ไปนานหน่อย”
“นานจนลูกชายแม่ซังกะตายไปนานเลย”
แอนนารีบอธิบายพัลวัน
“ความจริงแอนยังคิดถึงน่านตลอดนะคะคุณแม่ แต่เรื่องงานก็สำคัญ”
“จ้ะ แม่รู้ คุยกันตามสบายนะ แม่ขอตัวก่อนล่ะ”
สุกัญญาลุกออกไปทันที แอนนามองตามเซ็งๆ น่านฟ้าช่วยปลอบใจ
“อย่าคิดมากนะ คุณแม่ก็เป็นแบบนี้แหละ”
“แอนเข้าใจค่ะ แอนถึงอยากกลับมาแก้ไขทุกอย่าง ทั้งเรื่องของน่านแล้วก็ทุกคนที่คงโกรธแอนแทนน่านกันหมดแล้ว”
“ถ้าผมไม่โกรธ ก็ไม่มีใครโกรธแอนหรอก”
แอนนากุมมือน่านฟ้าสีหน้าเว้าวอน
“งั้นเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมนะคะน่าน”
น่านฟ้าสบตาแอนนา พลันหน้าของมัศยาก็ผุดขึ้นในความคิดของเขา น่านฟ้าชักมือกลับทันที
“ผมขอเวลาหน่อยแล้วกันนะ”
แอนนาถอนใจเซ็ง
เวลาต่อมา น่านฟ้าเดินมาส่งแอนนาที่รถ
“ฝันดีนะคะน่าน”
แอนนาทำท่าจะเข้าไปจูบแก้มน่านฟ้า แต่เขาผละออกเสียก่อน
“รีบกลับเถอะครับ ดึกมากแล้ว”
แอนนาหน้าเจื่อนแกล้งทำเป็นยิ้มแล้วขึ้นรถ ปิดประตู น่านฟ้ารีบเดินเข้าบ้านทันที
คืนนั้น น่านฟ้าเดินเข้ามาในห้อง มองผ้าเปียกที่มัศยาเช็ดตัวให้ เขาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เวลาเดียวกันนั้น มัศยานั่งเช็ดผมอยู่ในห้องนอน ภาพของน่านฟ้าก็ผุดขึ้นมาในความคิด มัศยาเผลอยิ้ม แต่พอเหลือบไปเห็นรูปคู่ของเธอกับสินธุก็ชะงัก เรียกสติกลับมา
“บ้าจริง จะไปคิดถึงหมอนั่นทำไมนะ”
มัศยากระโดดลงนอนบนเตียงเอาหมอนปิดหน้า พยายามจะลืมเหตุการณ์ความใกล้ชิดระหว่างเธอกับน่านฟ้าให้ได้
ตอนเช้า น่านฟ้ามารับมัศยาที่บ้านตามที่นัดกันไว้ มัศยารีบขึ้นรถ น่านฟ้าหันมายิ้มหวานให้มัศยาที่นั่งข้างๆ
“อรุณสวัสดิ์ครับเจ๊ วันนี้เจ๊สวยจัง”
มัศยามองเสื้อผ้าตัวเองก็ค้อนใส่
“ชุดนี้ใส่มาหมื่นกว่าครั้งแล้ว ไม่ต้องมาประจบเลย จะไปก็รีบไปเถอะ”
น่านฟ้าถอนใจเซ็งๆ
“เจ๊อ่ะ ชอบทำผมเสียมู้ดทุกที”
น่านฟ้าเข้าเกียร์แล้วออกรถออกไปทันที คนร้ายขี่มอเตอร์ไซค์แล่นตามไป
น่านฟ้าและมัศยาเดินมาตามทางเดินในตลาดน้ำ คนร้ายสวมหมวกปิดหน้า ปราดเข้ามายืนขวางไว้ ทั้งสองชะงักแปลกใจ รู้สึกไม่ไว้ใจ น่านฟ้ารีบบังหน้ามัศยาทันทีอย่างสุภาพบุรุษ
“มีอะไรรึเปล่าครับ”
“มีแน่ๆ ไอ้คนรวยกระจอก ตายซะเถอะ”
คนร้ายทั้งสองคนไม่พูดพร่ำทำเพลง ต่อยน่านฟ้าจนเซ ขณะที่อีกคนเข้ามาประกบ มัศยาตกใจคิดหาทาง
“เฮ้ย หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
คนร้ายสองคนไม่สนใจ รุมซ้อมน่านฟ้า มัศยาชักเดือดหันซ้ายหันขวา เจอไม้ท่อนหนึ่งก็หยิบขึ้นมาถือกระชับมือไว้
“ไม่หยุดใช่มั้ย”
มัศยาฟาดใส่คนร้ายทั้งคู่ไม่ยั้ง คนร้ายสองคนผละจากน่านฟ้า มองมัศยาอย่างโมโห
“อีบ้าเอ๊ย”
คนร้ายตั้งท่าจะทำร้ายมัศยา น่านฟ้าเห็นก็ตกใจ
“เจ๊หยี ระวัง”
มัศยาหันมาควงไม้อย่างคล่องแคล่วถนัดมือ ฟาดทั้งคู่หลายทีจนสองคนตั้งหลักแทบไม่ทัน หันมามองหน้ากัน แล้ววิ่งหนีไป มัศยาจะตามไป แต่เห็นน่านฟ้าทรุดอยู่กับพื้นก็รีบเข้ามาดู
“เป็นไงบ้างคุณน่าน”
มัศยาประคองน่านฟ้ามานั่ง น่านฟ้ามองหญิงสาวด้วยความทึ่ง
“นี่เจ๊เป็นสตั๊นแมนเก่ารึเปล่า ซัดไอ้สองคนนั้นอั้กๆๆ ซะขนาดนั้น”
“รู้ไว้ก็ดี ว่าฉันน่ะปฏิกิริยาเร็ว ถ้าขืนมารุ่มร่ามระวังจะโดนแบบนี้บ้าง”
น่านฟ้าเบ้ปาก
“ว่าแต่ คุณพอรู้มั้ยว่าไอ้สองคนนี้เป็นใคร”
“นึกไม่ออก”
“ลองนึกดีๆ อยู่ๆ คนเราไม่มาดักทำร้ายกันแบบนี้หรอก ถ้าไม่ซวยจริงๆ”
“ก็นั่นน่ะสิ หรือช่วงนี้ผมจะซวยจริงๆ หว่า”
มัศยาหงุดหงิดใส่น่านฟ้า
“นี่คุณน่าน ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ วันนี้ถ้าฉันไม่อยู่ รู้ใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“รู้คร้าบ เพราะมีเจ๊ที่ช่วยผมไว้ ผมถึงได้รอดตาย เจ๊คือบอดี้การ์ดที่เจ๋งฝุดๆ สำหรับผมเลย”
“ฉันไม่ได้ให้คุณมายอฉัน แต่คุณต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ไป ไปแจ้งความกัน”
น่านฟ้าชะงักลังเล
“โอ๊ย เรื่องแค่นี้ไม่เป็นไรหรอกเจ๊ เดี๋ยวผมจัดการเอง”
“อย่างคุณจะจัดการยังไง ฮะ”
“ผมมีวิธีของผมแล้วกัน แต่ตอนนี้มีเรื่องที่สำคัญกว่า เรารีบไปซื้อของกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน”
น่านฟ้าพูดจบก็ลากมัศยาออกไปเลย
“คุณน่าน คุณจะทำเป็นเรื่องเล่นๆ แบบนี้ไม่ได้นะ”
มัศยาโวยวายตลอดทาง
ภูริชยืนคุยกับพนักงานกลุ่มหนึ่งในบริษัท หน้าเครียด
“ผมว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วล่ะ ในวงการธุรกิจเขารู้กันหมดว่ามีโชคกำลังจะล้มละลาย”
พนักงานมองหน้ากันใจเสีย
“แล้วคุณท่านจะนิ่งนอนใจแบบนี้เหรอครับพี่”
“ก็นั่นน่ะสิ ตอนนี้คุณท่านเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ตั้งแต่เสียท่านประธานโชคไป ทุกอย่างเลยไปฝากไว้กับเด็กไม่เอาไหนอย่างประธานน่านฟ้า”
“งั้นพวกเราก็มีสิทธิ์ตกงานกันหมดน่ะสิครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ เว้นก็แต่หาคนมาช่วยกู้สถานการณ์ ซึ่งตอนนี้ผมเห็นอยู่แค่คนเดียวคือ คุณสุกิจ”
พนักงานพยักหน้าเห็นด้วยกันหมด
“เอาอย่างนี้สิ ถ้าพวกเราร่วมแรงร่วมใจกัน แสดงพลังให้คุณท่านกับหุ้นส่วนได้เห็น ไม่แน่นะ อาจจะมีการปรับเปลี่ยนประธาน ให้คุณสุกิจขึ้นมาแทนก็ได้”
พนักงานคนหนึ่งหันมาถามภูริชด้วยความสนใจ
“ยังไงเหรอครับพี่”
“กระจายข่าวให้ทั่ว ทำให้ผู้ใหญ่ได้รู้ว่า พวกเรารักบริษัทและอยากให้คุณสุกิจขึ้นมาแทนตำแหน่งนายน่านฟ้า”
พนักงานพยักหน้าเห็นด้วย ภูริชยิ้มเจ้าเล่ห์
น่านฟ้าและมัศยาง่วนกับการนวดแป้งทำข้าวเกรียบอยู่ที่บ้านน่านฟ้า
“เร็วๆ สิเจ๊ เดี๋ยวไม่ทัน”
“นี่ฉันก็เร่งสุดๆ แล้วนะ”
น่านฟ้ามองมัศยานวดแป้งไม่ทันใจก็หงุดหงิด
“เรี่ยวแรงไปไหนหมดเนี่ย นี่ขนาดผมเจ็บตัวอยู่ยังคล่องกว่าเจ๊อีก มานี่มา”
น่านฟ้าเข้ามานวดแป้งกะละมังเดียวกับมัศยา มัศยามองค้อน มือน่านฟ้าจับมือมัศยานวด แล้วแกล้งปล่อยมือ
“ขอโทษทีเจ๊ พลาดไปนิด”
มัศยานวดแป้งต่ออย่างระอา สุกัญญาแอบมองอยู่ที่ประตู ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความเอ็นดู
แอนนาเข้ามาที่บริเวณแผนกต้อนรับของบริษัทมีโชค
“ฉันมาขอพบคุณน่านฟ้าค่ะ”
วิภาเดินเข้ามาพอดี มองอย่างสงสัย
“วันนี้ท่านประธานไม่ได้เข้ามาค่ะ”
พนักงานตอบ แอนนาชะงักแปลกใจ
“เหรอคะ พอจะทราบมั้ยคะว่าท่านไปไหน พอดีฉันโทรหามือถือไม่ติดน่ะค่ะ”
วิภาตัดสินใจเดินเข้ามาหาแอนนาทันที
“มาหาน่านฟ้าเหรอ”
แอนนาชะงักหันมามองวิภาซึ่งดูเจ้ายศเจ้าอย่างมาก
วิภาและแอนนานั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงานของวิภา วิภามองแอนนาซึ่งใส่กระโปรงสั้นมากด้วยความไม่ชอบ
“เธอเป็นเพื่อนตาน่านเหรอ”
แอนนายิ้มรับอย่างมั่นใจมาก
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิงค่ะ เราเคยคบกันค่ะ แต่พอดีช่วงหลายเดือนก่อน หนูติดงานเดินแบบที่ต่างประเทศตลอด ก็เลยห่างๆ กัน”
วิภาเลิกคิ้วขึ้นมาทันที ทึ่งในคำตอบ
“งั้นเหรอ แสดงว่าไม่ได้เป็นเพื่อนแล้วก็ไม่ได้เป็นแฟน”
“ค่ะ แต่คิดว่าเร็วๆ นี้เราคงกลับมาคบกันค่ะ”
“มั่นใจจริงๆ นะ”
“หนูกับน่าน คบกันมานานค่ะ ก่อนหน้านี้หนูอาจจะทำตัวไม่น่ารักเท่าไหร่เพราะเลือกให้เวลากับงานมากกว่าเขา แต่เรื่องของชื่อเสียง และอาชีพนางแบบของหนู มันก็สำคัญจริงๆ แต่พอตอนนี้ทุกอย่างอยู่ตัวแล้ว”
“ก็เลยคิดจะกลับมากินน้ำพริกถ้วยเก่า ว่างั้นสิ”
แอนนาชะงัก
“รู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นแม่ใหญ่ของตาน่าน”
“ทราบแล้วค่ะ แต่เพิ่งได้เห็นตัวจริงของคุณแม่ใหญ่ก็วันนี้เอง”
“ถึงฉันจะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของตาน่าน แต่ก็ไม่ต่างกัน เพราะฉะนั้น ความสุขหรือความทุกข์ของตาน่าน มันมีผลต่อฉันทั้งนั้น พูดแบบนี้เข้าใจใช่มั้ย”
แอนนารับรู้ได้ทันทีว่าวิภาพูดในเชิงขู่
“เข้าใจค่ะ หนูรู้ว่าคุณแม่ใหญ่รักน่านไม่ต่างจากลูกแท้ๆ หนูเองก็จริงใจกับเขา และอยากเห็นเขามีความสุขเหมือนกันค่ะ อ้อ ความจริงหนูเองตั้งใจจะบอกน่านว่า ถ้าทางมีโชคอยากให้หนูเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ หนูยินดีนะคะ ยินดีแบบไม่รับค่าตอบแทนก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เรามันแค่ข้าวเกรียบบ้านๆ คงไม่เหมาะกับพรีเซ็นเตอร์นางแบบอินเตอร์อย่างเธอหรอก”
แอนนาสะอึกนิดๆ รีบตัดบท
“ไม่มีอะไรแล้ว หนูขอตัวไปรอเขาก่อนนะคะ”
แอนนาหยิบกระเป๋าถือ ลุกออกไป วิภามองอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
ต๋องนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน วิภาเดินเข้ามาหา ต๋องเห็นวิภาก็ลุกพรวดขึ้นทันที
“เมื่อไหร่เจ้านายแกจะมาสักที ฮะ”
ต๋องมองนาฬิกาข้อมือ ตอบกลับไป
“สงสัยจะยังเตรียมของไม่เสร็จมั้งครับ”
วิภาหงุดหงิดฮึดฮัด
“ชักช้าแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่ทันกันพอดี”
“ใจเย็นๆ เถอะครับคุณท่าน ผมว่าคุณน่านต้องบริหารเวลาไว้แล้ว คุณท่านไปนั่งพักสบายๆ เดี๋ยวผมหาอะไรเย็นๆ ไปบริการดีมั้ยครับ”
วิภาหงุดหงิด
แอนนานั่งอ่านนิตยสารพลางมองนาฬิกาข้อมือด้วยความหงุดหงิด ลองหยิบโทรศัพท์มือถือมากดโทรออก แต่ก็โทรไม่ติด เลยหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านต่อ ระหว่างนั้นสุกิจและภูริชเดินเข้ามาหลบยืนคุยกัน
“ไอ้เจ้าน่านมันมารึยัง”
“ยังเลยครับ”
“แล้วที่ฉันสั่งให้ทำเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
“ครับ รับรองว่านายน่านฟ้าเจอบทหนักแน่ครับ”
สุกิจแอบยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างพอใจ แล้วเดินออกไป แอนนาลดมือที่อ่านนิตยาสารลง แปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เธอเดินออกมา สวนกับวิภาซึ่งเดินมาพอดี
“อ้าว นี่เธอยังอยู่อีกเหรอ”
แอนนาสะอึก เซ็งมาก
“กำลังจะกลับแล้วค่ะ พอดีมีงานต่อคงรอน่านไม่ไหวแล้ว”
“ดีแล้วล่ะ อย่าเสียเวลารอเลย ตาน่านเขามีเรื่องสำคัญต้องทำหลายอย่าง”
“ค่ะ หนูลาเลยนะคะ”
วิภารับไหว้อย่างไม่ค่อยเต็มใจ แอนนาเดินออกไป ไม่พอใจเหมือนกัน
สุกิจและภูริชยืนต้อนรับหุ้นส่วนที่ทยอยกันเดินเข้ามาในบริษัท
“คุณน่านฟ้ามาถึงรึยังครับคุณสุกิจ”
“เอ ยังเลยนี่ครับ”
หุ้นส่วนหันไปมองหน้ากันเซ็งๆ
“เชิญรอที่ห้องประชุมก่อนดีมั้ยครับ” ภูริชเชื้อเชิญ
“ไว้ผมจะช่วยโทรตามอีกทีครับ จริงๆ นี่ก็ตามมาหลายรอบแล้วนะครับ แต่คิดว่าคงติดธุระเลยไม่รับสาย”
“ธุระอะไรจะไปสำคัญกว่าที่รับปากพวกเราอีกเหรอ”
หุ้นส่วนส่ายหน้าเซ็งๆ ทยอยกันเดินเข้าบริษัท สุกิจและภูริชหันมายิ้มให้กัน
พนักงานบริษัทมีโชคทยอยกันเดินมาที่ลานหน้าบริษัท พร้อมป้าย “เราไม่เอาประธานน่านฟ้า” ทุกคนตั้งป้อมยืนกันอยู่เต็มไปหมด
วิภานั่งเซ็นเอกสารอยู่ ได้ยินเสียงโวยวายจากด้านล่างก็ชะงักวางปากกา เดินไปที่หน้าต่าง เห็นพนักงานยืนประท้วงกันอยู่เสียงดังเอะอะเต็มไปหมด เธอแปลกใจ รีบยกหูโทรศัพท์ทันที
“นายต๋อง เข้ามาที่ห้องฉันสิ”
วิภาเดินไปดูที่หน้าต่างอีกครั้ง ต๋องเปิดประตูเข้ามา หน้าตาเลิ่กลั่ก
“คุณท่านเห็นแล้วใช่มั้ยครับ”
“ใครเป็นหัวโจก ให้พนักงานเราออกมาประท้วงแบบนี้”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ตอนนี้เราต้องรับศึกสองด้านแล้วครับคุณท่าน”
วิภาชะงักสนใจขึ้นมาทันที
“มีอะไรอีกเหรอ”
หุ้นส่วนยืนปรึกษากันหน้าเครียดอยู่ในห้องประชุม โดยมีสุกิจคอยดูแล วิภาเดินเข้ามา หน้าเสีย
“มากันแล้วเหรอคะ”
“ไหนล่ะ ประธานลูกเลี้ยงของคุณวิภา นี่พวกเรายังไม่เห็นแม้แต่เงาเลยนะ”
“คราวนี้เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะ เพราะผมจะไม่เสียเวลากับเรื่องนี้อีกแล้ว”
“ใจเย็นๆ นะคะ อีกเดี๋ยวคงมาถึงแล้วล่ะค่ะ”
ระหว่างนั้น ภูริชเดินเข้ามาหน้าเครียด
“แย่แล้วครับ พนักงานกำลังประท้วงกันใหญ่ ท่าทางจะไม่ยอมง่ายๆ”
หุ้นส่วนมองหน้ากัน วิภาหน้าเจื่อนไม่รู้จะรับมืออย่างไร แต่ตัดสินใจพูดขึ้น
“ไม่ต้องห่วงนะคะทุกคน เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
วิภาเดินออกไป สุกิจและภูริชมองหน้ากันยิ้มสะใจ
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 8 (ต่อ)
ภายในห้องครัวบ้านน่านฟ้า น่านฟ้าใช้กระชอนตักข้าวเกรียบร้อนๆ ขึ้นมาจากกระทะ มัศยาสูดกลิ่นอย่างพอใจ
“หอมจัง”
“น่ากินใช่มั้ยล่ะ”
สุกัญญาเดินเข้ามา ถือโทรศัพท์มือถือของน่านฟ้าเข้ามาด้วย
“ตาน่าน โทรศัพท์เรามีคนโทรเข้ามาตั้งเยอะแน่ะ”
“อ๋อ พอดีผมลืมเปิดเสียงไว้น่ะครับเลยไม่ได้ยิน”
น่านฟ้ามองหน้าจอมือถือก็ตกใจ
“โห หกสิบมิสคอล นี่ต้องถึงขนาดมีใครตายนะเนี่ยถึงจะจิกกันขนาดนี้”
“อาจจะมีเรื่องอะไรก็ได้นะ ฉันว่าคุณโทรกลับไปดีกว่า”
น่านฟ้ารีบกดโทรกลับไปทันที
“ฮัลโหล ต๋องเหรอ มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
น่านฟ้าฟังก็ตกใจ
“ว่าไงนะ”
หน้าบริษัทมีโชค พนักงานถือป้ายขับไล่น่านฟ้า โดยมีตัวแทนถือโทรโข่งประกาศเสียงลั่น
“เราไม่เอาประธานน่านฟ้า”
“ใช่”
“เราอยู่มีโชคมาหลายปี ตั้งใจทำงานให้ที่นี่ เราจะไม่ยอมให้มีโชคล้มละลายเด็ดขาด จริงมั้ยพวกเรา”
“เฮ”
วิภาเดินนำ สุกิจ ภูริช ต๋อง และหุ้นส่วนคนอื่นๆ เข้ามาหาทุกคน
“นี่มันอะไรกัน ฮะ มาโหวกเหวกโวยวายอะไรกัน ไม่ทำการทำงานกันรึไง”
ตัวแทนรีบเดินเข้ามาหาวิภา
“ผมเป็นตัวแทนของพนักงานทุกคนในมีโชค ขอเรียกร้องให้แต่งตั้งคุณสุกิจเป็นประธานแทนคุณน่านฟ้าครับ”
วิภาชะงักหันมาทางสุกิจ สุกิจทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“นี่มันเรื่องของผู้บริหาร พวกเธอเป็นพนักงาน ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น”
“ถึงเราจะเป็นแค่พนักงานปลายแถว แต่เราก็อยู่ที่นี่มาหลายปี เรารักมีโชคกันทุกคน และไม่อยากให้มีโชคต้องล้มละลาย เราเลยเรียกร้องให้คุณท่านปลดประธานน่านฟ้า แล้วแต่งตั้งคุณสุกิจแทนครับ”
หุ้นส่วนคนหนึ่งได้ยินก็หันมาพูดกับวิภา
“เห็นรึยังล่ะคุณวิภา อย่าว่าแต่พวกผมเลย แม้แต่พนักงานที่นี่ก็ไม่มีใครอยากได้ประธานน่านฟ้า แล้วคุณวิภาจะดึงดันทำไม”
ทุกคนเออออกันหมด
“แต่ประธานรับปากแล้วว่า วันนี้จะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นถึงความพยายามกอบกู้บริษัทของเขา อีกเดี๋ยวก็คงจะมาถึงแล้ว ช่วยใจเย็นๆ รอกันหน่อยไม่ได้รึไง”
“หมดเวลาสำหรับเด็กคนนี้แล้วล่ะครับ ผมตัดสินใจแล้ว ถ้าคุณวิภาไม่ปลดนายน่านฟ้า ผมขอถอนหุ้นทั้งหมด”
“ผมด้วย”
“ผมก็เหมือนกัน”
ตัวแทนพนักงานหันไปพูดกับพนักงานทุกคน
“หุ้นส่วนเห็นด้วยกับพวกเราแล้ว”
“เฮ”
วิภาเครียดจัดไม่รู้จะรับมืออย่างไรดี
น่านฟ้าขับรถมาโดยมีมัศยานั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความร้อนใจ
“ทำไมรถติดแบบนี้นะ”
“แหมเจ๊ ไม่น่าถาม อยู่กรุงเทพ ถ้ารถไม่ติดก็ไม่ใช่กรุงเทพแล้ว”
“แต่คุณท่านกำลังลำบากนะ ยิ่งเราไปช้า ท่านยิ่งเครียด”
“นั่นสินะ”
มัศยาครุ่นคิดแล้วหันไปบอกน่านฟ้า
“เอาอย่างนี้แล้วกัน จอดรถเลย”
“หะ”
“เชื่อฉันเถอะน่า บอกให้จอดก็จอด”
มัสยาเสียงเข้มดุ น่านฟ้าจอดรถ มัศยารีบลงจากรถไปโบกรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
“ไปบริษัทมีโชค 2 คน”
น่านฟ้าหันมาโวยวาย
“เฮ้ย ซ้อนสามเหรอ ไม่ดีมั้งเจ๊”
“งั้นฉันขอเช่ารถเลยละกัน เดี๋ยวให้พันหนึ่งเลย จ่ายไปสิคุณน่าน”
น่านฟ้ารีบควักเงินให้มอเตอร์ไซค์รับจ้าง
“แล้วรถผมล่ะเจ๊”
คนขับมอเตอร์ไซค์ถาม
“เดี๋ยวตามไปเอารถที่มีโชคได้เลย”
มัศยารีบขึ้นค่อมรถทันที ประจำที่คนขับ น่านฟ้ามองงงๆ
“เจ๊ขี่เป็นเหรอ”
“ขึ้นมาเถอะน่า”
คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างดึงหมวกที่แขวนไว้ยื่นให้น่านฟ้า
“เอาไปลูกพี่ สวมหมวกกันน็อคจะได้ปลอดภัย”
“เร็วๆ สิคุณน่าน”
น่านฟ้าลนลานรีบขึ้นซ้อนท้าย มัศยาบิดรถเต็มแรง
“เย้ย”
น่านฟ้าร้องเสียงหลง
การประท้วงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ตัวแทนและพนักงานยังคงส่งเสียงเรียกร้องให้ปลดน่านฟ้า สุกิจปราดเข้ามาหาวิภา
“สงสัยเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วนะครับพี่วิภา”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น นอกจากอดทนรอตาน่าน”
ต๋องเข้ามากระซิบวิภา
“คุณน่านกำลังรีบมาแล้วครับ”
วิภาพยักหน้า หันมาบอกกับทุกคน
“ท่านประธานกำลังมา ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบก่อน”
สุกิจอ้าปากจะค้านแต่วิภาก็สวนขึ้น
“ถ้าไม่เกรงใจฉัน ก็ขอให้นึกถึงคุณโชคบ้าง อย่างน้อยน่านฟ้าก็เป็นลูกชายคนเดียวของคุณโชค ขอให้ทุกคนอดทนรออีกนิด ถือว่าฉันขอร้องก็แล้วกัน”
ทุกคนเงียบกริบ
เวลาเดียวกันนั้น น่านฟ้าซ้อนท้ายมัศยา กอดเอวหญิงสาวแน่น ทันใดนั้นมีรถคันหนึ่งตัดหน้ามา มัศยาหักหลบทันที
การประท้วงเต็มไปด้วยความชุลมุน วิภามองนาฬิกาข้อมือหน้าเครียด หันไปถามต๋อง
“ไหนว่าออกมาแล้วไง จนป่านนี้ยังไม่เห็นมาอีก”
“เดี๋ยวต๋องโทรตามให้อีกทีนะครับ”
หุ้นส่วนหน้าบึ้งตึงกันหมด พนักงานนั่งถือป้ายรออย่างหงุดหงิด สุกิจเดินเข้ามาหาวิภาด้วยความร้อนใจ
“พี่วิภาแน่ใจเหรอว่าตาน่านจะมา”
“นายน่านไม่ใช่คนเดิมแล้ว เขารับปากเขาต้องมา”
ต๋องยื่นโทรศัพท์ให้วิภา
“คุณท่านครับ สายคุณน่านครับ”
วิภาชะงัก ก่อนรับสาย
“แกอยู่ไหน ฮะ ตาน่าน อะไรนะ รถล้มเหรอ แล้วแกเป็นอะไรมากรึเปล่า”
น่านฟ้าในสภาพเสื้อผ้าถลอกปอกเปิก คุยโทรศัพท์ไปพลางเดินเข้ามาหาวิภา
“เป็นอะไรแค่ไหน ผมก็ต้องมาให้ได้ครับ”
ทุกคนหันมามองน่านฟ้า น่านฟ้ากดวายสายแล้วเข้ามาหาวิภา
“เป็นอะไรมากรึเปล่า”
“ไม่เป็นไรครับแม่ใหญ่ บาดเจ็บนิดหน่อย แต่ผมทนได้”
หุ้นส่วนเข้ามา มองน่านฟ้าอย่างระอา
“ประธานน่านฟ้า ทำไมสภาพเป็นแบบนี้ ไม่หลงเหลือคราบเจ้าของบริษัทเลย”
“พอดีผมซิ่งมอเตอร์ไซค์เพื่อมาให้ทันทุกคนไงครับ รถเลยประสบอุบัติเหตุ แต่ยังไงผมก็ต้องมา”
“งั้นก็ว่ามาเลย อะไรที่คุณบอกกับพวกเราว่าจะพิสูจน์ตัวเองให้เห็น ไหนล่ะผลงาน”
น่านฟ้าหันไปมอง มัศยาในสภาพมอมแมม หอบถุงข้าวเกรียบเข้ามา
“นี่ค่ะ ผลงานของท่านประธาน”
ทุกคนมองห่อข้าวเกรียบอย่างงงๆ
“นี่เล่นตลกอะไรเหรอครับ แค่ทอดข้าวเกรียบเนี่ยนะ คือการพิสูจน์ว่าเหมาะสมกับตำแหน่งประธาน”
หุ้นส่วนหัวเราะกันใหญ่ มัศยาทนไม่ไหวโพล่งขึ้นทันที
“ก่อนจะหัวเราะ ช่วยชิมดูก่อนดีมั้ยคะ เพราะนี่คือข้าวเกรียบสูตรใหม่ที่ประธานน่านฟ้าลงทุนคิดสูตรเองกับมือและตั้งใจจะใส่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของมีโชคค่ะ”
ทุกคนชะงักกันหมด มัศยาเปิดซองเดินเข้าไปยื่นต่อหน้าหุ้นส่วน ทุกคนมองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจหยิบคนละชิ้นมาชิม บรรดาพนักงานทั้งหลายแปลกใจ น่านฟ้าหันมามองหน้าวิภา วิภายิ้มให้เอาใจช่วย หุ้นส่วนทุกคนได้ชิมก็ทึ่ง สุกิจและภูริชหน้าเสีย
“เป็นไงคะ ข้าวเกรียบสูตรใหม่ของประธาน”
“ผมไม่เถียงว่ามันอร่อยมาก อร่อยกว่าสูตรเดิมซะอีก แต่นี่มันหน้าที่ของฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้การันตีความสามารถในการเป็นประธานบริษัทมีโชคซะหน่อย”
ทุกคนพนักหน้าเห็นด้วยกันหมด
“แล้วพวกคุณลืมไปแล้วเหรอว่า ก่อนจะมีข้าวเกรียบมีโชคทุกวันนี้ คุณโชคก็เริ่มจากการทอดข้าวเกรียบแบบนี้ น่านฟ้าเองก็กำลังเดินตามรอยพ่อเขา ด้วยการหาทางคิดสูตรที่ดีขึ้น เพื่อจะเพิ่มยอดขายให้กับข้าวเกรียบมีโชคยังไงล่ะ”
ทุกคนเงียบกริบเถียงไม่ออก มัศยาพูดต่อ
“ดิฉันเห็นด้วยกับคุณท่านค่ะ อีกอย่างดิฉันคือผู้ช่วยของท่านประธาน คือคนที่รับรู้เหตุการณ์มาตลอดว่า กว่าจะได้ข้าวเกรียบสูตรใหม่ ประธานต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน”
“อีกอย่าง นี่ก็ยังไม่ครบกำหนด 3 เดือนตามที่ประธานรับปากกับทุกคนไว้เลย แล้วไม่คิดจะรักษาคำพูดกันบ้างเลยเหรอคะ”
ทุกคนหน้าเสีย รู้สึกผิด
สุกิจอารมณ์เสียเดินเข้ามาในห้องทำงาน ภูริชตามมาด้วย
“เจ็บใจจริงๆ อุตส่าห์ปั่นหัวพวกนั้นได้แล้ว ไอ้น่านมันกลับเอาตัวรอดไปได้อีก”
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณท่าน เราก็ทำสำเร็จไปแล้วครับ”
สุกิจหันขวับมาเอาเรื่องภูริช
“ก็ไหนว่าพวกพนักงานเชื่อกันหมดไง ทำไมมันคล้อยตามพี่วิภาได้”
“ก็คุณท่านใช้ไม้ตายด้วยการอ้างคุณโชคนี่ครับ พวกพนักงานเรามีแต่คนเก่าคนแก่ที่รักคุณโชคทั้งนั้น”
“ขนาดตายไปแล้ว ยังทำให้เราลำบากได้ มันน่าเจ็บใจจริงๆ”
“แล้วอย่างนี้ คุณสุกิจะทำยังไงต่อดีครับ”
“ทำทุกอย่างที่ทำได้ แล้วเด็กนิรชานั่นล่ะ มันมัวไปมุดหัวที่ไหน ถึงปล่อยให้ไอ้น่านมันมีเวลาไปคิดสูตรข้าวเกรียบ”
ภูริชสะอึก ไม่รู้จะพูดอย่างไร
“เอ่อ เดี๋ยวผมตามให้ครับ”
“อย่าลืมว่าตอนนี้มันเป็นต่อเรา เพราะฉะนั้นอะไรที่ทำให้มันวอดวายจนหลุดจากตำแหน่งประธานได้ เราต้องทำทุกอย่าง”
สุกิจหน้าเหี้ยมเกรียม
น่านฟ้ายื่นเงินจำนวนหนึ่งให้กับเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์
“นี่ครับพี่ ขอโทษด้วยนะที่ทำรถพี่เสียหาย”
เจ้าของรถมอเตอร์ไซค์รับเงินมาเก็บลงกระเป๋าเสื้อทันที
“จ่ายเงินมาแค่นั้นก็จบแล้ว คนอย่างพี่ เงินซื้อได้ทุกอย่าง ไปก่อนนะ”
เจ้าของรถสตาร์ทรถแล้วขี่ออกไป มัศยาเอามือกุมแขนข้างที่เคยหัก น่านฟ้าหันมามองแปลกใจ
“เป็นไรเหรอเจ๊”
“ไม่เป็นไร แค่เจ็บตรงที่เคยหักน่ะ”
น่านฟ้ารีบคว้าแขนมาจับทันทีด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ใช่หักซ้ำอีกรอบเหรอ เฮ้อ เจ๊ก็ไม่น่าเลย มาช้าอีกหน่อยก็ได้ ดูซิเลยต้องเจ็บตัวเลย เห็นมั้ย”
มัศยามองน่านฟ้าที่ดูเป็นห่วงมากอย่างเขินๆ พอน่านฟ้าเงยหน้าขึ้น เธอก็ดึงแขนกลับทันที
“ฉันน่ะกระดูกเหล็กจะตายไป ไม่เป็นไรหรอก นายต่างหาก เจ็บตัวซ้ำซากแบบนี้ ไปรดน้ำมนต์สัก 9วัด ล้างซวยหน่อยดีมั้ย”
“นั่นสินะ”
สองคนหัวเราะให้กัน
น่านฟ้าและมัศยาเดินหัวเราะคิกคักกันเข้ามาในบ้าน นทีนั่งสอนนะดีทำการบ้านอยู่ นะดีเห็นน่านฟ้าก็ดีใจมาก
“อาน่าน”
นะดีเข้ามากอดน่านฟ้าด้วยความดีใจ น่านฟ้านั่งลงลูบหัวนะดีอย่างเอ็นดู
“ไงครับคนเก่ง ทำการบ้านอยู่เหรอ”
นทีลุกพรวดขึ้นทันทีเดินเข้ามาหาน่านฟ้า
“คุณมาก็ดีแล้ว ยัยนะดีพูดถึงคุณตลอดเลย ท่าทางจะติดคุณมากนะ”
“เอ่อ คือผม”
“ผมไม่คิดมากหรอก ดีซะอีกที่มีคนดูแลลูกแทนผม ไอ้ผมน่ะมันงานยุ่ง ต้องเดินทางตลอด บางทีก็ต้องไปต่างประเทศด้วยนะ”
“ครับ”
“จะว่าไป คุณมาบ้านนี้บ่อยแบบนี้ น่าจะเป็นน้องเขยผมไปเลยนะ”
มัศยาหน้าเจื่อน
“พี่ที”
”ทำไมวะ ฉันพูดความจริงนี่ แกมันจะขึ้นคานอยู่แล้ว ขืนรอไอ้สินธุสร้างตัวได้หง่อมกันพอดี”
สมใจเห็นนทีชักพูดมากก็รีบสวน
“เงียบไปเลยไอ้ที คุณน่านเขาเป็นเจ้านายน้อง พูดจาอะไรไม่รู้จักคิด”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ถือ”
น่านฟ้าหันไปยิ้มกรุ้มกริ่มกับมัศยา มัศยาชักอาย ทำหน้าไม่ถูกเลยแกล้งหงุดหงิดเป็นการกลบเกลื่อน
“ฉันว่าคุณกลับไปพักผ่อนดีกว่ามั้ยคุณน่าน โดนมาอ่วนซะขนาดนี้”
“โห ไม่ทันไรก็ไล่กลับบ้านซะแล้ว”
“แม่หยีอย่าไล่อาน่านสิคะ นะดีอยากให้อาน่านอยู่นานๆ”
“เห็นมั้ย นะดียังเข้าข้างเลย”
มัศยาขมวดคิ้วใส่นะดีแกมดุนิดๆ นะดีรีบกอดน่านฟ้า นทียิ้มพอใจ
“มีคนเล่นด้วยแล้ว งั้นพ่อไปก่อนนะนะดี”
สมใจหันขวับมาทันที
“จะไปไหนอีก ฮะ เพิ่งจะได้อยู่กับลูกเองนี่”
“ผมก็มีงานต้องทำสิแม่ ไม่งั้นจะเอาเงินที่ไหนส่งเสียเลี้ยงลูกล่ะ ไปก่อนนะ”
นทียิ้มพอใจ เดินออกไปเลย สมใจส่ายหน้าระอา
นะดีนอนหลับอยู่บนเตียง น่านฟ้าพับหนังสือนิทานลง แล้วห่มผ้าให้ ก่อนจะเดินออกจากห้อง ก็เจอมัศยายืนอยู่
“กล่อมหลับไปเรียบร้อยแล้ว แหม กว่าจะหลับได้ เล่นซะเสียงแทบแหบเลย”
มัศยามองน่านฟ้าอย่างตื้นตัน
“จริงๆ คุณไม่ต้องตามใจนะดีอย่างนี้ทุกครั้งก็ได้นะ เดี๋ยวจะเหลิงกันพอดี”
“โธ่ เจ๊ จะเอาอะไรกับเด็ก ผมเองก็เป็นคนจิตใจอ่อนโยนรักเด็กอยู่แล้ว แต่ให้ชอบคนแก่ก็พอได้นะ”
“เอาอีกแล้วนะ”
“ผมไม่ได้บอกซะหน่อยว่าหมายถึงเจ๊ นี่แสดงว่า ยอมรับแล้วสิว่าตัวเองแก่”
“คุณน่าน”
น่านฟ้าหัวเราะชอบใจ
น่านฟ้าเดินมาเปิดประตูรถจะกลับ นทีเดินเข้ามาแตะไหล่ น่านฟ้าตกใจหันขวับ
“ผมเอง”
ทั้งสองไปนั่งคุยกันที่ร้านอาหาร นทีตักอาหารใส่ปากอย่างตะกละตะกราม น่านฟ้านั่งมองเอือมนิดๆ
“โทษทีนะ พอดีเมื่อเย็นกินข้าวที่บ้านไม่ค่อยอิ่มน่ะ”
“ตามสบายเลยครับ ผมเลี้ยงเอง”
นทียิ้มพอใจ หันไปบอกเด็กเสิร์ฟ
“น้องๆ เอาเหล้ามาด้วย”
“ตกลงมีอะไรอยากจะคุยกับผมเหรอ”
“คือว่า คุณก็รู้ว่าพักนี้ผมกำลังเดือดร้อน แล้วผมก็ไม่อยากรบกวนน้องกับแม่ เพราะเห็นว่า นะดีก็ยังต้องกินต้องใช้เยอะ ไหนจะค่าใช้จ่ายในบ้านอีก”
“ตกลงมีอะไรเหรอครับ”
“อ่ะ งั้นผมไม่อ้อมค้อมเลยละกัน ผมอยากขอยืมเงินคุณหน่อยได้มั้ย”
น่านฟ้าชะงักทันที
“ผมรู้ว่าผมยังเป็นหนี้คุณอยู่ แต่ในเมื่อคุณเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แล้วคุณก็เอ็นดูลูกสาวผมมาก คุณคงไม่อยากเห็นนะดีลำบากใช่มั้ย”
“ผมว่าคุณทำแบบนี้ไม่ถูกนะ คุณเป็นหัวหน้าครอบครัว ควรจะดูแลทุกคนมากกว่า”
“เรื่องนั้นผมรู้ ผมก็พยายามอยู่ แต่ถ้าคุณจะให้โอกาสผมได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็เอาเงินให้ผมยืมเถอะนะ”
น่านฟ้าครุ่นคิด ลำบากใจ
หลังจากแยกกับนที น่านฟ้ามาหาปารณที่คอนโดฯ เล่าเรื่องที่นทียืมเงินให้ฟัง ปารณส่ายหน้าระอา
“แล้วแกก็ยอมให้ไปจนได้”
น่านฟ้าพยักหน้ารับ
“อะไรของแกวะไอ้น่าน ปกติฉันเห็นแกไม่เคยยอมให้ใครเอาเปรียบง่ายๆ นะเว้ย”
“ก็ฉันสงสารเจ๊โหด ถ้าฉันไม่ช่วย ยัยเจ๊โหดก็ต้องเป็นคนหาเงินมาช่วย แล้วเจ๊เขาจะไปหาจากไหน”
“แต่นี่มันเรื่องในครอบครัวเขานะเว้ย แกเป็นนักบุญรึไง ถึงต้องไปสาระแนขนาดนั้น หรือว่า เดือดร้อนแทนคุณมัศยา”
น่านฟ้าชะงัก
“นั่นไง เป็นห่วงเขาล่ะสิ ปากก็ว่าเขาฉอดๆๆ สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงว่าชอบเขา”
น่านฟ้าไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เลยแกล้งโมโหใส่
“เฮ้ย ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นแกนะเว้ย ฉันแค่เล่าให้แกฟัง ไม่ได้ต้องการให้ใครมาวิพากษ์วิจารณ์ฉัน”
“โถๆๆ แซวแค่นี้ก็ต้องโมโหด้วย เออๆ อยากช่วยใครก็ช่วย เงินแก ฉันไม่เกี่ยวอยู่แล้ว”
“ดี เออ แล้วที่ฉันมานี่ ฉันมีเรื่องอยากให้แกช่วย”
“เรื่องอะไรอีก เรื่องเยอะจริงๆ นะแกเนี่ย”
“ช่วยสืบให้หน่อยว่าใครเป็นคนลอบทำร้ายฉัน”
ปารณชะงักสนใจขึ้นมาทันที
วันต่อมา น่านฟ้าและปารณนั่งคุยกับนักสืบอย่างเคร่งเครียด
“ถ้าผมเดาไม่ผิด คนร้ายน่าจะเกี่ยวข้องกับคนที่มาทวงหนี้นายนที เพราะมันตามมาปล้นผม แต่ได้นาฬิกาปลอมไป”
นักสืบพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็เป็นไปได้ แต่เห็นคุณบอกว่า คุณยังมีศัตรูคนอื่นในบริษัทด้วยนี่ครับ”
ปารณชะงักหันมาทางน่านฟ้า
“ใช่ นายสุกิจไง”
น่านฟ้าครุ่นคิด
“ผมว่าไม่น่าใช่ เพราะล่าสุด นายสุกิจใช้วิธีใช้หุ้นส่วนกับพนักงานบริษัทเป็นเครื่องมือขับไล่ผม อย่างนี้คงไม่วางแผนลอบกัดลับหลังอีกหรอก”
“ถ้าแกคิดว่าเป็นไอ้โจรกระจอกพวกนั้น แล้วทำไมแกไม่แจ้งความไปเลยวะ”
“ฉันกลัวมันจะสาวไปถึงนายนทีน่ะสิ ฉันไม่อยากให้เจ๊หยีเดือดร้อน”
ปารณยิ้มแซวๆ รู้ทัน
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง แต่ถึงยังไงเรื่องนายสุกิจแกก็ไม่ควรไว้ใจนะเว้ย”
“แล้วแกคิดว่าฉันควรทำไง”
“ไม่ต้องห่วง ฉันว่ามีคนหนึ่งที่ช่วยแกได้”
“ส่วนเรื่องคนร้ายจากเบาะแสที่ให้มา ผมจะหาทางติดตามคนร้ายให้ครับ แต่ถ้าเดาไม่ผิด อีกไม่นานมันต้องติดต่อคุณมาแน่ เพราะมันยังไม่ได้เงินใช้หนี้ของนายนที ไม่ใช่เหรอครับ”
น่านฟ้าครุ่นคิด
มัศยาช่วยป้ามะลินวดแป้ง ขณะที่ป้ามะลิบ่นไปด้วย
“ทีหลังไม่ต้องมาถามข้าอีกนะ หนอย คิดสูตรได้แค่นี้ทำเป็นอวดดีไม่คิดจะพัฒนาต่อ”
“เขาบอกว่าเขาขอไปทำธุระ เดี๋ยวจะตามมาค่ะป้า”
“เฮอะ ให้มันจริงเหอะ ไม่ใช่ท่าดีทีเหลวล่ะ”
ทันใดนั้น เสียงน่านฟ้าก็ดังขึ้น
“แหมๆๆ ขอไปทำธุระนิดเดียวแค่นี้ นินทาผมใหญ่เลยนะคร้าบ”
น่านฟ้าเดินยิ้มร่าเข้ามา
“อาการคุณเป็นไงบ้าง หายเจ็บรึยัง”
“ไม่ต้องห่วงหรอกเจ๊ ถ้าเจ๊กระดูกเหล็ก กระดูกผมก็แพรตตินั่มแล้วล่ะ เจ็บตัวแค่นี้จิ๊บจ๊อย”
“ปากดีเหลือเกิน แล้วไอ้ข้าวเกรียบของเอ็งล่ะ ตกลงจะว่าไง”
“ผมคิดแล้วครับว่า ผมจะทำข้าวเกรียบสมุนไพรที่ไม่ใช่แค่ใบเตย”
มัศยาและป้ามะลิชะงักทันที
“ไม่ใช่แค่ใบเตย แล้วคุณจะทำอีกกี่รส”
“อีกหลายรส ไหนๆ จะทำแล้วก็ต้องทำให้เต็มที่ แต่ทีนี้ผมคงต้องขอแรงป้ามะลิช่วยผมด้วยนะครับ”
ป้ามะลิชะงัก หงุดหงิดขึ้นมาทันที
น่านฟ้ากับมัศยาเดินคุยกันมาที่หน้าบ้านป้ามะลี
“คุณนี่ก็กล้านะ ไปมัดมือชกให้ป้ามะลิช่วย คิดเหรอว่าแกจะช่วย ข้าวเกรียบตั้งกี่สูตร แกจะยอมเสียเวลามาช่วยเราเหรอ”
“จะไปยากอะไร มีน้าสมใจซะอย่าง ตอนนี้ผมคงต้องพึ่งบารมีแม่เจ๊ซะแล้วล่ะ”
มัศยาครุ่นคิด
“เรื่องนั้นไม่ยากหรอก ที่ฉันห่วงคือเวลาที่มันบีบเข้ามามากกว่า”
น่านฟ้ามองมัศยายิ้มๆ แอบหยอด
“ลองถ้ามีเจ๊ ผมไม่กลัวหรอก”
“ทำไม ฮะ ฉันไปหยุดเวลาให้คุณได้รึไง”
“เปล่า เจ๊หยุดเวลาให้ผมไม่ได้ แต่หยุดผมได้ ทำให้ผมไม่สนใจเรื่องอื่นเลยไง”
มัศยามองน่านฟ้าอย่างหมั่นไส้ เปิดประตูขึ้นรถไปเลย น่านฟ้าแอบยิ้ม
จบตอนที่ 8