xs
xsm
sm
md
lg

บางระจัน ตอนที่ 18 จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บางระจัน ตอนที่ 18 อวสาน

ยามเช้า หอรบปืนใหญ่อังวะตั้งตระหง่าน จอกยีโบ ยืนม้ามองตรงไปข้างหน้า สุกี้ควบม้าผ่านแถวทหารมา... เห็นจำนวนทหารอังวะมากมายนับพัน สุกี้มามองอองนายในชุดทหารอังวะ ย่างม้าออกมาช้าๆ มาเทียบอยู่ข้างๆจอกยีโบ

"อองนาย เราจะให้โอกาสเจ้า จอกยีโบแจ้งว่าเจ้ายังลอบไปหาผู้หญิงโยเดียผู้นั้นอยู่ ถ้าเจ้ายังเป็นอังวะ และต้องการตอบแทนคุณแผ่นดิน วันนี้เจ้าต้องเอาหัวผู้หญิงที่ชื่อสไบมาให้ข้า ถ้าเจ้าทำไม่สำเร็จ ก็จงอย่าเอาหัวเจ้ากลับอังวะ สงคราม..ไม่มีคำว่าสงสาร"
สุกี้หันไปพยักหน้าให้จอกยีโบ เคลื่อนทัพ
"ทหาร...เคลื่อนทัพเดินหน้า"

ขบวนทหารเดินหน้าไปช้าๆอย่างมีระเบียบ อองนายย่างม้าไปอย่างคนไร้หัวใจ จอกยีโบเดินม้าตรงไปอย่างแน่วแน่ สุกี้นั่งม้ามองไปข้างหน้าอย่างทระนง กองทัพอังวะเคลื่อนเข้ามามากมาย ดูน่ากลัว

สไบในชุดตะเบ็งมาน ควงดาบสองมืออย่างคล่องแคล่ว สีหน้าจริงจัง ด้านหลังคือหญิงชาวบ้านหลายคนที่กำลังซ้อมดาบอยู่อย่างตั้งใจ ครูดาบยืนสั่งการอยู่

"จำไว้...รบครั้งนี้มิใช่การซ้อม สงครามคือการฆ่า เราไม่ฆ่าเขาเขาก็ฆ่าเรา ถึงเป็นหญิงก็ตัดคอชายขาดกระเด็นได้ กำดาบให้มั่น...ฟันให้เต็มแรง ฟัน"
สไบ และนักรบหญิงทุกคนฟันหุ่นฟางที่อยู่ข้างหน้าขาดกระเด็น สไบเอาดาบใส่ฝัก ยกขึ้นพนมเหนือหัว
"พ่อจ๊ะ ลูกจะขอใช้ดาบพ่อเล่มนี้ปกป้องแผ่นดิน ขอวิญญาณพ่อจงมาอยู่ใกล้ๆลูกนะจ๊ะ ชีวิตลูกที่เหลืออีกไม่กี่เพลานี้ ไม่มีสิ่งใดต้องอาลัยแล้ว ขอได้แสดงความกตัญญูแทนพ่อ ได้ปกป้องค่ายระจันนี้ก็ถือสมค่าแก่ชีวิต สมกับที่ได้เกิดมาเป็นลูกพ่อ"
สไบกอดดาบพ่อไว้แน่น เหมือนพร้อมยอมตายแล้ว

จวงในชุดตะเบ็งมานถือดาบ ออกมายื่นให้สังข์ มือจวงสั่น สังข์กุมมือจวงไว้
"กลัวแสนกลัว ก็ต้องกอดคอกันตาย แรงน้อยก็จะสู้ประสาหญิง ตายมันเสียทั้งที่เป็นหญิงระจัน นอนศพเคียงยศไว้ให้คนเห็น"

จวงมองสังข์ สังข์ดึงจวงมากอดไว้แนบอกให้กำลังใจเมียรัก

เฟื่องในชุดตะเบ็งมานกำลังหวีผม ขาบดึงหวีมาช่วยหวีลงที่ผมของเมีย

"มือน้อยนุ่มนิ่ม จักโลมเล้าประคองหน้าผัวให้หายเหนื่อยเมื่อกลับจากหน้านา เนื้อนวล..ผัวเจ้าจักหาเหนื่อยเพียงชั่วประคอง แต่ยามศึกยามเข็ญ หญิงงามใช่จะหนีหน้า จับอาวุธมาหนุนหลังร่วมตาย"
ขาบกุมมือเฟื่องเลื่อนตัวเข้าไปใกล้ กระซิบข้างหูถาม เฟื่องยิ้มอาย กระซิบข้างหูเป็นคำตอบ เห็นสองผัวเมียที่คลอเคลียกอดกัน
"วาจาอ่อนเสนาะหูกลับปลอบใจชายให้เหิมศึก เสียงใสไพเราะของเจ้านั้นสะอื้นรักชาติ ร่างน้อยจักทอดเหนือดินแดนแทนฟูกนุ่มบนเหย้า"
ขาบเลื่อนมือลงลูบไล้แขนเรียวงามของเฟื่อง แล้วดึงร่างบางมากอดแนบอกไว้ สูดลมหายใจลงที่ผม
เฟื่องจูบลงที่แก้มขาบด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน

แฟงนั่งอยู่กลางแสงแดดอ่อน ทัพนั่งซ้อนหลัง ผูกปมตะเบ็งมานตรงคอแล้วเลื่อนแขนสวมกอดแฟงไว้
จากด้านหลัง
"ขอฝากนามไว้ให้แก่หญิงไทที่จะเกิดมาภายหลัง ปลงใจบูชาชีวิต กตัญญูแก่ข้าวแดงแกงร้อน เดือดร้อนแทนแผ่นดินบ้านเกิดเถิด"
ทัพซบหน้าลงแนบหน้ากับแฟง
"รักเหย้ารักแผ่นดิน ไม่ต้องให้ใครเคี่ยวเข็ญบังคับ ล้วนร่างอรชรของทัพสตรีที่จากเหย้า ห่างเปลมาจับดาบ ด้วยหัวใจกล้าเหลือหลาย ไม่แพ้ชายบนแผ่นดิน"

ทัพกับแฟงที่กอดกันด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจ

อ้ายเลาผงกหัว คลอเคลียทัพและแฟง ทัพปลดเชือกอ้ายเลาจากที่ผูก ปลดบังเหียนออก

"อ้ายเลา อ้ายเพื่อนยากของข้า เอ็งร่วมรบ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับข้ามานับครั้งไม่ถ้วน"
ทัพกอดคออ้ายเลาไว้ แฟงลูบอ้ายเลาด้วยรอยยิ้ม
"ไปซะ ห้อไปให้ไกลจากที่นี่"
ทัพมองหน้าม้าคู่ใจ
"เอ็งหนีเข้าป่าเข้าดงไปเสีย อย่าได้ออกมาให้พวกข้าศึกมันเห็น อย่าให้มันจับตัวเอ็งไปเป็นม้าใช้ของข้าศึก"
ทัพกอดอ้ายเลาไว้ด้วยความผูกพัน
"ไปซะ อ้ายเลาเพื่อนยาก"
อ้ายเลายืนนิ่ง ทัพมองอย่างอาลัย แฟงลูบหัวอ้ายเลา
"ไปซะอ้ายเลา พี่ทัพเค้าให้เจ้าไปเพราะรัก ไม่ใช่เพราะชัง"
อ้ายเลายืนเฉย ไม่ยอมขยับ ทัพมองแล้วตัดสินใจ ตบข้างลำตัว อ้ายเลาร้อง
"ห้อ อ้ายเลา ห้อไป"

ทัพสั่งเหมือนทุกครั้ง อ้ายเลาวิ่งผงาดออกไป แฟงมองสงสารทัพที่แววตามองอาลัยม้าคู่ใจ
 
อ่านต่อหน้า 2

บางระจัน ตอนที่ 18 อวสาน (ต่อ)

ทัพกับแฟงนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ทัพกำลังเอาด้ายดิบพันดาบติดกับฝ่ามือให้แฟงช้าๆ อย่างทะนุถนอม

"จากนี้จนตาย...ดาบจะไม่มีวันหลุดมือฉันเป็นอันขาด"
ทัพน้ำตาร่วง ยกมือที่พันดาบติดอยู่ของแฟงขึ้นมาจูบอย่างทะนุถนอม
"แฟงเอ๋ย...มือนี้พี่เฝ้าถนอม แม้จับแรงก็ยังมิกล้า ใยต้องมายอมให้พวกมันย่ำยี"
แฟงซบลงที่บ่าทัพร้องไห้
"ขอฉันซบบ่าพี่ร้องไห้เป็นครั้งสุดท้าย จากนี้ไปพี่จะมิมีวันได้เห็นน้ำตาฉันอีก"

เอิบ กับช่วงก้มกราบพระอาจารย์ด้วยความสะเทือนใจ
"ศึกนี้..ชีวิตลูกคงมิเหลือกลับมาบวชให้พ่อแม่แล้ว" เอิบบอก
ช่วงบอก
"ขอพระคุณเจ้าเทศน์ให้ลูกไปสู่สวรรค์ด้วยเถิด"
"การประพฤติรักษาศีล ทำจิตให้บริสุทธิ์ก็นับว่าเป็นกุศลแล้ว การตายคือการดับเพื่อไปเกิดใหม่ สรรพสิ่งนั้นเกิดมา ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นวัฏฏะสงสาร ไม่มีอะไรมั่นคงตลอดไปดอก"
พระอาจารย์ธรรมโชติ เอาห่อจีวรกับใบลานมัดคืนให้เอิบกับช่วง
"เอ็งสองคนเก็บบทสวดกับไตรจีวรไว้กับตัวเถิด อย่าเอามาฝากหลวงพ่อเลย พระพุทธคุณนั้นประเสริฐที่สุด มัดไว้ติดตัวอย่างเก่าดีแล้ว"
เอิบ ช่วง มัดติดตัวอย่างเดิม
เคลิ้มบอก
"แล้วหลวงพ่อจะทำอย่างไร....ถ้าคนระจันตายหมดทั้งค่าย"
"นั่นซิ...พวกอังวะมันคงบุกมาถึงในวิหารนี่" ฟักบอก
พระอาจารย์ธรรมโชติ นิ่งมองเอิบกับช่วยนาน ก่อนพูด
"ลูกเอ๋ย...หลวงพ่อจะอยู่รอพวกเจ้า จะอยู่รอทุกคนที่นี่ อย่างน้อยก็ขอได้สวดบังสกุลให้แก่ทุกคนก่อน"
"ลูกจะขอออกไปตาย ไม่ต้องห่วงศพแล้ว"
เคลิ้มนิ่งไม่มีน้ำตา แต่เอิบ ช่วง น้ำตาร่วง ทั้งหมดก้มกราบลา คลานออกไป

พระอาจารย์ธรรมโชติ ยังคงนั่งนิ่งมองออกไปนอกโบสถ์ ไกลแสนไกล

บริเวณลานประตูระเนียดค่าย ทุกคนมารวมกัน นักรบชาย และนักรบหญิงในชุดตะเบ็งมาน ถือทั้งดาบ ไม้ เคียว สุดแต่อาวุธที่จะหาได้

พันเรืองกล่าวต่อหน้าทุกคน ที่แววตาห้าวหาญ พร้อมจะสู้ศึกทั้งชายหญิง
"ขอลาตาย เพื่อนเอ๋ย พี่น้องทั้งหลายเอ๋ย ร่มฟ้าจะคุ้มหัวเราชั่วแสงตะวันนี้ ไม่ทันดับเข้าเย็น ร่มค่ายหลังคาเรือนเขาจะยื้อไปเป็นเจ้าของ ใครล่ะจะให้มันมาปล้นบ้านระจัน ไม่มีชีวิตมาแลก ใครจะยอมให้เพื่อนเดินทัพลอยชายมาเหยียบถึงลานค่าย"

กองทัพสุกี้เคลื่อนมาเต็มทุ่ง ฝุ่นตลบ ใจมองตรงไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย จอกยี่โบเดินม้ามานิ่ง ดวงตามีแววเหี้ยมโหด อองนายเริ่มใจไม่ดี ไม่รู้จะทำอย่างไร

ทัพและทุกสายตามองไปที่ทองแสงใหญ่ พ่อค่ายที่ยืนข้างพันเรือง
ทองแสงบอก
"ทุ่งบางระจันนี้จงเป็นพยาน หากกูไม่อาจป้องแผ่นดินนี้ได้ หญ้าเขียวระจันก็จะให้มันเปลี่ยนเป็นสีแดง ถึงฝนจักไม่มีอีกสักร้อยมื้อพันวัน กูก็จักขอใช้เลือดปลูกข้าวงอกเป็นรวงแดงฉานไปทั้งทุ่ง ยามไถหว่าน...ลูกหลานก็จะพบแต่กระดูกนับด้วยหมื่นให้เป็นเครื่องเตือนใจว่าพวกกู...รักแผ่นดินนี้แค่ไหน"

ทัพและทุกคนยกดาบเฮ เสียงดังสนั่นก้องกังวาน ไม่มีใครเศร้า ไม่มีใครสลด ทุกคนสีหน้าอิ่มเอิบ ยิ้มแย้มที่จะได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน

สุกี้เดินม้านำหน้าหอปืนมา แล้วยกมือขึ้น กองทหารและหอปืนใหญ่ทั้งหมดนิ่ง ใจบนหลังม้าเริ่มทำอะไรไม่ถูก

"ตั้งระดับปืน" สุกี้สั่ง
ทหารอังวะบนหอ ตั้งปืนหันไปที่ค่าย
"บรรจุดินปืน"
ทหารบนหอปืนใส่ถุงดินปืน อองนายเริ่มใจไม่ดี
"บรรจุกระสุน"
ทหารบนหอปืนบรรจุลุกปืน
"กองปืนใหญ่พร้อม"
จอกยีโบนิ่ง หันมาดูอองนายเพียงนิดเดียว อองนายเริ่มกระสับกระส่าย

ประตูค่ายระจันปิดสนิท มีคนเอาเสาไปค้ำยันประตูไว้อีกหลายท่อน จนเห็นว่าไม่มีใครพังเข้ามาได้
พ่อค่าย และกลุ่มทัพ แฟง เฟื่องขาบ จวง สังข์และกลุ่มนักรบเข้ามารวมตัวกันเต็มลานค่าย
ทองแก้วยืนอยู่บนเชิงเทิน ตะโกนลงมา
"มันเคลื่อนหอปืนมาประชิดกำแพงค่ายเราแล้ว เราจะไม่ออกไปรบกลางแปลงกับมัน เราจะสู้ตายอยู่ในนี้ ที่นี่แผ่นดินเรา อย่าให้มันมาแย่งไป"

ทั้งหมดชูดาบเฮ สนั่น

ใจนั่งม้านิ่ง น้ำตาคลอเต็มตาจนมองไม่เห็นอะไรข้างหน้าแล้ว สุกี้นั่งม้านิ่ง ค่อยๆยกมือขึ้นให้สัญญาณ

จอกยีโบนิ่งเหมือนไม่หายใจ แต่แววตานั้นเหี้ยมนัก สุกี้ตะโกนเต็มเสียง พร้อมกับโบกมือลง
"ยิง..."
ปืนใหญ่บนหอระดมยิงออกไป จ้าละหวั่น

ลูกปืนใหญ่ตกใส่หอประตูค่ายแตกกระจาย นักรบบนหอกระเด็นตกลงมาหลายคน ตามแนวกำแพงค่ายถูกยิงกระจายเป็นหลายจุด นักรบระจันต่างวิ่งหลบแทบไม่ทัน
ระเบิดตกไปทั่วทั้งค่าย แต่พวกพ่อค่ายไม่มีใครยอมหนี
"อย่าถอย พวกเราอย่าถอย เราจะยืนปักหลักสู้ตายอยู่ตรงนี้" อินบอก
"ข้าจะยืนป้องพ่อแม่พี่น้องระจันตรงนี้ ขอให้มันปีนค่ายเข้ามา ข้าจะขอตายเป็นคนแรก" โชติว่า
ชาวค่ายที่วิ่งหนีต่างกลับมาถืออาวุธอยู่ที่เดิม

ปืนใหญ่บนหอยังคงระดมยิงมาไม่ขาดระยะ สุกี้กับจอกยีโบยืนม้ามองนิ่งอย่างสะใจ ใจน้ำตาเต็มหน้า
ปืนใหญ่ระดมยิงไปเรื่อยๆ

ลูกปืนใหญ่ถูกยิงมาฉีกกำแพงค่ายออกเป็นชิ้นๆ ไม่เหลือชิ้นดี ในลานค่ายถูกระเบิดไปทั่ว แม้ในบ้านพ่อค่ายก็โดน ไฟเริ่มไหม้ พวกพ่อค่ายระจันยังยืนกำดาบแน่นไม่ยอมถอย
"ยิงเข้ามา ยิงมาเลย กูไม่กลัวมึง" โชติว่า
เมืองบอก
"กูสู้ตาย"
สุดท้าย ลูกปืนใหญ่มาตกใส่ประตู ที่เดียวสองลูกซ้อน จนประตูค่ายพังทลายลง

"เข้ามา พวกมึงเข้ามาเลย" อินบอก
 
อ่านต่อหน้า 3

บางระจัน ตอนที่ 18 อวสาน (ต่อ)

ปืนใหญ่อังวะยังระดมยิงไม่ยั้ง

อองนายสุดจะทนอยู่เฉยได้ ชักม้าควบตรงไปทางค่ายระจันทันที
"หนีไป อย่าสู้เขา หนีไป หนีไป อย่าสู้"
ใจควบม้าตรงไปที่ค่ายระจันอย่างรวดเร็ว สุกี้มองนิ่ง....ก่อนยกมือให้สัญญาณหยุดยิง
"ตั้งแต่นี้ไป อองนายไม่ใช่คนอังวะอีกแล้ว สยา..สั่งบุก ฆ่ามันให้หมด"
จอกยีโบหยิบหน้ากากเหล็กขึ้นมาใส่ กองทหารม้าจอกยีโบใส่หน้ากากเหล็กพร้อมกัน
"ทหาร...บุก"
จอกยีโบควบม้าออกไปทันที กองทหารต่างเฮตามออกไป กองทหารม้าจอกยีโบควบม้าพุ่งไปอย่างรวดเร็ว กองทหารพลราบ ถือดาบ หอก วิ่งตามอย่างรวดเร็ว

ใจควบม้าข้ามสะพานตรงเข้าประตูค่ายไป ทุกคนในค่ายไม่รู้ ต่างกรูเข้าฟันใจทันที ใจไม่สู้ ควบม้าวนหนีไปมา
"หนีไป พวกพ่อสู้เขาไม่ได้ดอก หนีไป"
ไม่มีใครฟังใจอีกแล้ว ต่างฟาดฟันใจกันชุลมุน
จอกยีโบกับกองม้าหน้ากากควบม้าตามเข้ามาเกิดการต่อสู้เป็นพัลวัน
พันเรือง ทองแสงใหญ่ วิ่งนำหน้าเข้าต้านทันที
"บางระจันรบ" พันเรืองบอก
ชาวระจันทั้งชายหญิง ต่างเฮเข้าฟันกับพวกอังวะทันที
พันเรือง นายทองแสงใหญ่วิ่งนำนักรบดาหน้าเข้าไปฟันกับทหารอังวะ
ทัพ / แฟง / สังข์ / ขาบ / เฟื่อง / จวง / สไบ / ฟัก / เคลิ้ม / เอิบ / ช่วง ต่างเข้าตะลุมบอนกับอังวะ ต่างฝ่ายต่างล้มตาย
อิน /เมือง /โชติ /ทองแก้ว /ดอกไม้ นำนักรบพุ่งตามฟันอย่างบ้าเลือด
สุกี้ควบม้าปีนค่ายเข้ามามอง พันเรืองกับทองแสงใหญ่วิ่งเข้ามา สุกี้ชักปืนยิงสวนออกไปพร้อมกันทีเดียวสองกระบอก
พันเรือง กับทองแสงโดนปืนกระเด็นล้มลง แต่ยังพยายามลุกขึ้นมาสู้ ถูกรุมฟันจนนับไม่ถ้วน
นักรบบ้านระจัน ชาย หญิง ต่างฟาดฟันล้มตายลงไปเรื่อยๆ
ใจควบม้าวิ่งตามหาสไบไปทั่ว
"สไบ สไบอยู่ไหน สไบ"
สไบถือดาบวิ่งเข้ามา
"มา..เข้ามา ก่อนตายขอให้ได้ฟันอังวะสักแผลก็ยังดี"
สไบไล่ฟันใจ ใจพยายามป้องกันตัว โดดลงจากม้า จอกยีโบควบม้ามองอยู่ไกลๆ ตะโกนมา
"อองนาย ตัดคอผู้หญิงคนนั้นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้"
ใจรีบเร่งให้สไบหนี
"สไบหนีไป หนีไป..สยาจะฆ่าสไบ"
สไบไม่เชื่อ หันมาฟันใจ ใจไม่ทันตั้งตัวถูกสไบฟันจนได้เลือด
"ทหาร...จับผู้หญิงคนนั้นมาให้ข้า จับเป็นไม่ได้ให้จับตาย"
ทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งกรูมาทางสไบ พวกผู้หญิงที่อยู่ใกล้ๆต่างวิ่งเข้าขวาง

ทหารอังวะวิ่งเข้ามาจากนอกค่ายอีก หญิงคนหนึ่งกำลังถูกทหารอังวะรุม สไบหันไปช่วย

สไบไล่ฟันทหารอังวะเพื่อช่วยชาวค่ายให้หนี หันมาเห็นใจก็เข้าฟันอีก

"แกอย่าอยู่เลย พวกอังวะ"
สไบฟันถูกใจอีกแผล ใจไม่ยอมสู้
"ฟันพี่ซิ ถ้าสไบเกลียดพี่ ฟันคอพี่ให้ขาดตรงนี้"
สไบถือดาบค้าง มือสั่น ฟันฉับลงที่ต้นแขนใจ จนคมดาบฝังเข้าไปในเนื้อ
"อย่าอยู่เลย"
ใจยืนนิ่งให้ฟัน สไบเสียใจ สงสาร ดึงดาบคืน ร้องไห้โฮ
"กลับมาทำไม ทำไมต้องกลับมา"
ใจโผเข้ากอดสไบไว้
"สไบ"
จอกยีโบควบม้าเข้ามา ฟันฉับเข้าหลังสไบ แต่ใจจับสไบหลบจึงถูกคมดาบจอกยีโบแทน
"ไอ้คนทรยศ"
สไบตัดสินใจดึงใจวิ่งฝ่าเปลวไฟหลบ
"ไปทางนี้ พี่ใจ"
ทหารอังวะพุ่งเข้ามาขวาง สไบสู้เต็มที่ ใจพยายามช่วย
"ทางนี้พี่ใจ"

สไบตัดสินใจดึงใจวิ่งไปทางด้านหลัง หายไปในเปลวเพลิงและกลุ่มควัน จอกยีโบชักม้ากลับมามองไม่เห็นใจแล้ว โกรธมาก

ลานกำแพงค่าย การรบเป็นไปอย่างดุเดือด สุกี้มองอยู่บนหลังม้าตรงประตูค่าย อิน เมือง โชติ ทองแก้ว ดอกไม้ สู้จนเลือดท่วมตัว คอยขวางพวกอังวะอยู่ตรงที่กำแพงพัง ทหารอังวะพากันบุกเข้ามาไม่ขาดสาย

อิน เมือง โชติ ทองแก้ว ดอกไม้ แต่ละคนถูกฟัน แทงเลือดโทรมร่าง แต่ละคนทรุดลงกับพื้นที่ละคนๆ
"พ่อค่ายทั้งหลาย พ่อจันหนวดเขี้ยว พ่อขุนสรรค์ พ่อแท่น พ่อใหญ่ทองเหม็น นักรบที่สถิตอยู่หลังอ้ายเผือก รับพวกข้าไปด้วย ลูกผู้ชายวิเศษไชยชาญจะขอยิ้มจนลมหายใจสิ้นไปจากร่าง
นักรบทั้งหมดจากวิเศษไชยชาญที่สิ้นใจตายลงไปท่ามกลางศพทหารอังวะที่วิ่งเข้ามาก่ายกองทับถม

สไบพาใจวิ่งมาตามทาง รอบๆมีแต่เพลิงโหมไหม้อยู่ ทหารอังวะวิ่งตามมากลุ่มหนึ่งราว 10 คน
"สไบ ถอยไป"
ใจร้องสั่ง แล้วเข้าไปฟันต้านทหารอังวะไว้ สุดท้ายก็ตัดสินใจวิ่งออกไปช่วยพวกหน้าค่ายรบ
ใจฆ่าทหารอังวะได้หมด หันกลับ เรียกหาสไบ
"สไบ สไบ"

ใจสังหรณ์ รีบวิ่งตามไปทางหน้าค่าย

สุกี้พระนายกองมองการรบยิ้มน้อยๆ อยู่ท่ามกลางทะเลเพลิง ฟัก เคลิ้ม เอิบ ช่วง กำลังตะลุยฟันทหารอังวะอยู่ สุกี้ยกปืนขึ้นเล็ง...ยิง ถูกเคลิ้มทรุดลง ทหารอังวะเข้าซ้ำ เคลิ้มกัดฟันสู้ต่อ ฟักเข้ามาช่วย

สุกี้บรรจุกระสุนใหม่อีกครั้งอย่างใจเย็น เล็งไปยิงฟักจนทรุด เอิบ ช่วง ถูกฟันหลายแผลจนห่อผ้าไตรขาดร่วง
สุกี้บรรจุกระสุนต่อ เล็งไปที่เอิบ ช่วงหันมาเห็นเอาตัวเข้าบัง จึงถูกกระสุนแทน เอิบเข้ามาพยุงช่วงไว้จึงถูกพวกอังวะเข้ารุมฟันพร้อมกันหลายดาบ เห็นใบลานขาดกระจุย ลอยว่อน ช่วงไม่ยอมทรุดกัดฟันคว้าหอกวิ่งเข้าแทงพวกอังวะที่เดียวได้สามคน เอิบ เข้ามาพยุงช่วง เคลิ้ม ฟัก เข้ามาช่วย ทั้งสี่ตัดสินใจวิ่งเข้าหาสุ
สุกี้บรรจุกระสุนอย่างใจเย็น ฟัก เคลิ้ม เอิบ ช่วง วิ่งดาหน้าเข้าหาสุกี้
จอกยีโบและทหารม้า โผล่ออกมาข้างหลัง ต่างประทับปืนขึ้นพร้อมกัน...ยิง นักรบทั้งสี่ถูกกระสุน ร่างกระเด็นขาดใจตายอยู่บนศพทหารอังวะ ตรงหน้าสุกี้
แววตาทุกคนยังจ้องเขม็ง สีหน้าห้าวหาญ มือกำดาบแน่น เหมือนทุกคนจะยิ้มด้วยความภูมิใจ

ใจวิ่งย้อนกลับมา เห็นเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้ไปทั้งค่าย ร้องเรียกหา
"สไบ...สไบ"

สุกี้นายกอง นั่งม้ามองภาพการรบอย่างพอใจ ยังเหลือนักรบบ้านระจันที่ยังยืนหยัดสู้ไม่ถอยอยู่อีกเพียงกลุ่มเดียว
ทัพ แฟง เฟื่อง ขาบ สังข์ จวง ทุกคนถือดาบสองมือ เนื้อตัว ใบหน้าเลอะไปด้วยเลือด
ทหารอังวะยังดาหน้าเข้ามา
ทัพกับทุกคนที่ยืนหันหลังชนกันเป็นวง สู้กับทหารอังวะที่กำลังล้อมรอบเข้ามาอีกมหาศาล
"เราจักยืนตายตรงนี้ ก้าวเดียวก็จะไม่ถอย คนเราเกิดและตายหนเดียว ขอแค่ชื่อยัง" ทัพบอก
สีหน้าทุกคนไม่ยอมแพ้ สุกี้ มองด้วยความชื่นชมอยู่ไม่น้อย

"คนโยเดีย .. จิตใจมันสามัคคี รู้คุณแผ่นดินเกิดของมันยิ่งนัก" สุกี้บอก
 
อ่านต่อหน้า 4

บางระจัน ตอนที่ 18 อวสาน (ต่อ)

อังวะนับสิบ เข้ามาทางสังข์กับจวง สังข์พยายามป้องกันจวงสุดชีวิต แต่สุดท้ายจวงพลาดถูกทหารอังวะแทง จวงร้อง สังข์โอบร่างจวงไว้ ทหารอีก 2 ได้โอกาสทั้งฟันทั้งแทงจนสังข์ทรุด

สังข์ที่โอบกอดร่างจวงทรุดลง สังข์กับจวงมองหน้ากัน ยิ้มสุดท้ายให้กันแล้วล้มลงขาดใจตาย

ทหารอีกจำนวนหนึ่งมาทางเฟื่องกับขาบ ขาบเอาตัวบังเฟื่องไว้ แต่พอเฟื่องหันมา ทหารอีก 2 ก็แทงเข้าชายโครง เฟื่องไม่ยอมทรุด ถอยไปติดเสา
แฟงหันมาเห็น วิ่งมาช่วย
"พี่เฟื่อง"
แฟงเข้ามาฟันสู้ ทัพเข้ามาช่วยอีก
"พี่เฟื่อง"
"แฟง...แฟงอย่าอยู่เลย รักษาลูกไว้" เฟื่องบอก
"ไม่..ฉันจะอยู่กับพี่เฟื่อง"
ขาบเข้ามาช่วยอีกคน จนอังวะตายหมด ขาบรีบเข้าไปหาเฟื่อง
ทัพเข้าไปหาแฟง
"พี่ทัพ...ฉันขอ ขอแฟงให้ฉันเถอะ ขอหลานให้ฉัน" เฟื่องบอก
แฟงกอดเฟื่องร้องไห้
"พี่เฟื่อง"
ระเบิดปืนใหญ่ตกมาใกล้ๆ ขาบรีบพาเฟื่อง แฟงหลบ
ระเบิดอีกลูกตกลงใกล้ขาบกระเด็นไป ขาบถูกระเบิดเลือดท่วมตัว
"ไอ้ทัพ..พาแฟงไป รักษาลูกเอ็งไว้"
ทัพเข้ามาแยกแฟงออกไป แฟงไม่ยอมจะพยายามวิ่งไปหาเฟื่อง ทัพจับแฟงไว้แน่น
"พี่เฟื่อง"
"อย่าแฟง"

ทหารอังวะกรูกันเข้ามาอีก ขาบ ทัพลุกขึ้นสู้ ขาบพลาดถูกแทงเข้าจาก 3 ทาง หน้าและซ้าย ขวา ขาบยืนต่อไปไม่ไหว ทรุดร่างลง

ทหารอังวะกรูกันเข้ามาอีก ขาบ ทัพลุกขึ้นสู้ ขาบพลาดถูกแทงเข้าจาก 3 ทาง หน้าและซ้าย ขวา ขาบยืนต่อไปไม่ไหว ทรุดร่างลง

"รีบไปแฟง ทำเพื่อพี่..เพื่อลูก" เฟื่องบอก
ทัพเริ่มต้านอังวะจะไม่ไหวแล้ว หันไปหาแฟง
"ไป แฟง วิ่งไป"
"ไม่...ฉันจะสู้กับพี่"
แฟงจับดาบลุกขึ้นฟันช่วยทัพ ทั้งคู่ต่างช่วยกันรบ ทัพสงสารแฟง จนร้องไห้
"แฟง ถ้าแฟงจะรักษาลูกของเราไว้ ผีปู่ย่าจะไม่มีวันสาปแช่งเราดอก ไปเถอะแฟง พี่จะหมดแรงแล้ว"
ทัพเริ่มล้า ถูกอังวะฟัน เฟื่องตัดสินใจเฮือกสุดท้ายมาขวางไว้ถูกฟันยับ...ทรุดลง
ขาบถลามาหา ถูกฟันยับไปหลายแผล ทรุดลงข้างเฟื่อง
จอกยีโบควบม้าตามมา ชาวบ้านระจันเข้าขวาง ถูกจอกยีโบฆ่าตายหมด
ทัพลากแฟงหนี ทหารอังวะตาม ทหารม้าจอกยีโบเข้ามาล้อมขาบกับเฟื่องไว้
จอกยีโบขว้างหอกซัดเข้าใส่เฟื่อง ขาบอาตัวเข้ารับ หอกถูกขาบทะลุถึงเฟื่อง
"ตามไปฆ่ามัน"
จอกยีโบและทหารรีบตามทัพ แฟงไป
เฟื่องกับขาบทรุดร่างลงพิงเสาใกล้ๆกัน ต่างมองแล้วยื่นมือกุมกันไว้ สองคนน้ำตาไหลออกมา
"ชีวิตพี่...ปกป้องเฟื่องได้แค่นี้"
"พี่ขาบ ปกป้องแผ่นดิน ของเรา ต่าง หาก"
"พี่รักเฟื่อง รัก เหลือเกิน"
เฟื่องเงียบ พยายามระงับความเจ็บปวด
"เฟื่อง..บอกรัก พี่ สักคำได้ไม๊ เฟื่องยังไม่เคยบอกรัก พี่ เลย"
ขาบประคองหน้าเฟื่องขึ้นมา
"ฉัน..ได้ตาย ในอ้อมกอดพี่ แล้ว"
"พี่..ต้องการหัวใจเอ็งด้วย เฟื่องรักพี่บ้างไม๊"
"ชาตินี้...ขอฉัน ได้รักพี่ทัพคนเดียว ฉันขอมีรักเดียว"
ขาบร้องไห้สะอื้นแรง มันเจ็บเข้าไปถึงในหัวใจ
"อย่าให้คนทั้งแผ่นดิน เขาตราหน้าว่าฉัน เป็นหญิงสองใจเลย"
ขาบยิ่งร้องไห้หนัก
"ทำไม...พี่ถึงไม่ได้หัวใจเฟื่อง"
เฟื่องกอดขาบแน่น ร้องไห้ไม่แพ้กัน
"พี่ขาบ....ชาติหน้าฉันจะรักพี่ ขอให้เราได้พบกันอีก ฉันจะรักพี่คนเดียว"

ทั้งคู่ต่างกอดกันร้องไห้ แล้วหลับตาลง สิ้นใจทั้งที่ยังกอดกันไว้

หลวงพ่อธรรมโชติยืนอยู่ที่หน้าต่างด้วยแววตาปวดร้าว เห็นความตายของทุกชีวิตด้านนอก

พวกทหารอังวะถือคบไฟวิ่งมา ตรงเข้าไปในวิหาร ทหารอังวะกรูกันเข้ามาจนแน่นวิหาร แต่ไม่มีร่างของหลวงพ่อยืนอยู่แล้ว
"หายไปไหน มันหายไปไหน"
ทหารพากันมองหา แต่ไม่เจอร่างของหลวงพ่อธรรมโชติ
ทหารคนหนึ่งปาคบไฟลงพื้น ไฟติดลุกพรึบขึ้นทันที แล้ววิ่งออกไป
ท่ามกลางเปลวไฟ ปรากฎร่างของหลวงพ่อธรรมโชติ ใบหน้าหมองเศร้า วูบไหว

สไบ กำลังรบกับทหารอังวะเนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด เห็นศพนักรบเรียงรายก่ายกอง เลือดนองพื้นไปทั่ว จอกยีโบควบม้ามาเห็นสไบก็ชักปืนทันที จอกยีโบหันไปเห็นใจเดินมาก็ยิ้มสะใจ
"อองนาย เสียดายที่เอ็งไม่มีโอกาสได้เห็นผู้หญิงโยเดีย คนที่ทำให้เอ็งกล้าทรยศข้า ทรยศอังวะ ต้องสิ้นใจลงตรงหน้าเอ็ง...ให้สาสมกับที่เอ็งทรยศแผ่นดิน"
"อย่าสยา....อย่า สไบหนีไป"
สไบได้ยินเสียงใจหันไปมองใจ จอกยีโบ...ยิง กระสุนพุ่งตรงเข้าหาสไบที่ยืนอยู่...เลือดกระฉูด
"พี่ใจ"
ร่างสไบทรุดลง
"สไบ"
สไบได้ยินเสียงเรียก แผ่วๆ แต่ไม่อาจขยับมาหาใจได้ เห็นใจที่กำลังคลานมาหา พยายามเรียกสไบ
"พี่ใจ"
ใจคลานไปหาจนถึงร่างสไบ กอดสไบไว้ทั้งๆที่เลือดท่วมร่างสไบ
จอกยีโบบอก
"ข้าสมเพชเอ็งนัก พวกระจันมันยังรักศักดิ์ศรี รักแผ่นดิน แต่เอ็งไม่มีเลย เพลานี้เอ็งได้ตายจากอังวะแล้ว แต่ข้าจะให้เอ็งอยู่อย่างคนตายทั้งเป็น"
จอกยีโบมองใจอย่างเครียดแค้น แล้วชักม้าออกไป
"พี่จะพาสไบไป อดทนไว้ สไบ"
"ฉันไปไม่ไหว เจ็บเหลือเกิน"
สไบน้ำตาไหลออก ใจพยายามกอดสไบให้นั่งสบาย ทรุดหน้าลงแนบหน้าสไบ
"ชาติ"
"เราจะรักกัน พี่จะรักสไบคนเดียว"
"ฉันเชื่อ...ฉัน เชื่อแล้วว่าพี่รักฉัน"
ใจสะอื้น น้ำตาไหล สไบยิ้มแตะมือซับน้ำตาให้ใจ สไบพยายามจะยิ้มให้ใจ ก่อนมือจะค่อยๆลดลง

ใจร้องตะโกนออกมาด้วยความเสียใจ กอดร่างคนรักไว้แนบอก แทบจะขาดใจตายตาม

ทัพดึงแฟงวิ่งมา แต่ทหารอังวะตามมาไม่ลดละ เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆเป็นหลายสิบ ทัพไม่มีทางหนี หันมาสู้

"ไปเถอะแฟง พี่จะสู้เพื่อแฟงกับลูก"
ทัพปล่อยมือแฟง วิ่งเข้าฟันพวกอังวะที่ถาโถมมา
มีทหารอังวะบางกลุ่มวิ่งไปหาแฟง แฟงสู้ยิบตา สุดท้ายพลาดถูกฟันกระเด็นหงายไปในพงหญ้า
ทัพตกใจ หันมาเรียกสุดเสียง
"แฟง"
ทัพวิ่งมาหา ถูกพวกอังวะฟันไปหลายแผล จนทรุดมาไม่ถึงแฟง ทัพทรุดคุกเข่าอยู่กลางถนน ทหารอังวะได้ทีตรงเข้าจะรุมฟัน
เสียงม้าร้องเสียงดังควบมา ทหารกำลังจะดาหน้าเข้ามา เห็นอ้ายเลากระโจนวิ่งมาที่ปลายถนน ตรงเข้ามาเตะทหารหลายคนล้มคว่ำ สลบไป
"อ้ายเลา อ้ายเพื่อนยาก"
อ้ายเลายกขา ร้องดัง วิ่งตะลุยไปทางทหาร ทั้งเตะทั้งดีด ทหารหลายคนล้ม อ้ายเลาตามมาเหยียบซ้ำ
มุมถนนอีกด้าน จอกยีโบกับสุกี้ควบม้ามา จอกยีโบยกปืนเล็ง อ้ายเลาหันหัว พุ่งมาเอาร่างบังทัพไว้
ทหารยิงอ้ายเลา กระสุนเจาะร่าง ทหารอีกหลายคนกระหน่ำยิง
"อ้ายเลา"
ทุกอย่างรวดเร็วเกินกว่าทัพจะเข้าไปช่วย อ้ายเลาล้มลง ขาดใจ ลงต่อหน้าทัพ
ทัพ ตกตะลึงที่อ้ายเลาไม่หนี และยอมตายเพื่อช่วยนาย
"อ้ายเลา"
ทัพกำลังจะเข้าไปหาอ้ายเลา
สุกี้ยกปืนขึ้นเล็ง ลั่นกระสุนพุ่งเร็วเจาะเข้าที่หน้าอกทัพ
ทัพทรุด มองเลือดที่ทะลักออกมา
"แฟง"
จอกยีโบชักดาบควบม้าพุ่งเข้าหาทัพ ฟันฉับเข้าที่คอ ทัพสะดุ้งเฮือก ค่อยๆล้มลงที่กลางถนน
สุกี้ จอกยีโบ และทหารเดินผ่านร่างทัพออกไปยังหน้าค่าย ทิ้งร่างทัพให้จมกองเลือดอยู่ตรงนั้น
แฟงค่อยๆคลานออกมาหาทัพ ทั้งคู่เอื้อมมือจับกันไว้
"ขอฝากค่ายระจันที่เสียไป ให้คนเกิดมาหลังช่วยจดจำ"
"ร่มฟ้าบ้านระจัน ขอสู้ศึกเอาเลือดพลี ถวายชีวิตแด่เจ้าเหนือหัว และดินทุกก้อนของแผ่นดิน รักใดไม่เท่ารักแผ่นดิน"
ทัพนอนยาวเหยียดไปกับแผ่นดิน....กำมือแฟงไว้แน่น ทุกอย่างเงียบ
"ลูกขอกราบลงที่แผ่นดิน กราบแม่พระธรณี กราบพระแม่โพสพ ที่เลี้ยงลูกมาให้เติบใหญ่ให้ลูกได้มีที่อยู่ที่กิน ให้อาศัยเป็นบ้านเกิดเมืองนอน ให้ลูกได้เป็นคนไท...บนแผ่นดินนี้สมแล้วที่ลูกหวงแผ่นดินยิ่งชีวิต ได้ตายเพื่อแผ่นดิน บุญของลูกนักที่ได้แทนคุณแผ่นดินด้วยชีวิต"

สุกี้นายกองย่างม้ามาจากหลังค่ายกับจอกยีโบ ผ่านซากศพทหารอังวะและชาวระจันที่นอนเกลื่อนกลาดเต็มลาน เลือดนองไปทั้งค่าย เปลวไฟยังลุกโหมอยู่เป็นหย่อมๆ

"ค่ายบ้านระจันต้องแหลกยับเมื่อวันจันทร์เดือน 8 แรม 2 ค่ำ พุทธศักราช 2308 ปีจอ อัฐศก นับเวลาตั้งค่ายสู้ศึกเมื่อเดือน 4 ปีระกาจวบจนเสียค่ายรวมได้ 5 เดือน จากนั้น.....แม่ทัพเนเมียวสีหบดีแห่งอังวะ ได้นำทัพเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยานาน 1 ปี 2 เดือน ก่อนจะบุกเข้าตี เผาทำลายจนย่อยยับ ทั้งเลือดและน้ำตาชาวไท หลั่งไหลทับถมลงรดแผ่นดิน ไร้สิ้นเอกราช เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 ขึ้น 11 ค่ำ เดือนเมษายนพุทธศักราช 2310

ท่ามกลางความยับเยินค่ายระจัน ใจยังนั่งกอดร่างสไบอยู่กลางลานอย่างน่าสงสาร สุกี้นำจอกยีโบ และนายทหารม้าสำคัญออกประตูค่ายไป เหลือไว้แต่เพียงพลทหารที่คอยตรวจผู้รอดชีวิต

ผ่านเวลา.... ณ เนินเขาสูงแห่งหนึ่ง มองเห็นยอดพระเจดีย์ชเวดากองที่เป็นทองเหลืองอร่าม
พระธุดงค์รูปหนึ่งเดินมาหยุดมองด้วยกิริยาสงบ
พระธุดงค์รูปนั้นคืออดีตนายทหารอองนาย หรือ ไอ้ใจ แห่งค่ายบ้านระจันที่วันนี้อยู่ในสมณเพศ
พระธุดงค์ย้อนนึกไปถึงรอยยิ้มของสหายทุกคนที่เคยอยู่ร่วมค่ายบ้านระจันกันมา เป็นรอยยิ้มที่หาญกล้า เต็มไปด้วยความรักชาติ
"นักรบบ้านระจัน สมัครสามัคคีเป็นหนึ่ง พลีเลือดพลีเนื้อเพื่อรักษา หวงแหนชาติ เสียงโห่ เสียงกึกก้องจับใจ จักลือไปชั่วแผ่นดินไทย ไม่มีวันสูญ"

พระธุดงค์รูปนั้นยืนเด่นชัดอยู่ในแมกไม้เขียวขจี พร้อมๆกับภาพของวีรชนทุกคนในค่ายระจันผ่านเข้ามาในความทรงจำ
 
จบบริบูรณ์...
กำลังโหลดความคิดเห็น