บางระจัน ตอนที่ 9
ทองเหม็น นั่งบนหลังควายกับพวก 4-5 ตัวเดินนำ ส่วนทองแสงใหญ่ นำกองหน้าเดินตามออกไปก่อน จันหนวดเขี้ยว อิน เมืองเป็นปีกขวา นำนักรบออกไป
ทองแก้ว อยู่บนหลังม้ากับพวกทัพ ฟัก สังข์ เคลิ้ม เอิบ ช่วง และกองนักรบม้า สังข์กังวลมองหาขาบ
"ไอ้ขาบมันคงยังไม่ฟื้นไข้" สังข์บอก
"ไม่เป็นไร ให้มันพักเสียก่อน" ทัพว่า
"ลำพังเราแค่นี้ พวกมันก็ไม่รอดแล้ว...ไป"
ทุกคนยิ้มให้กันอย่างมั่นใจ ดึงม้าเหยาะย่างไป
ทัพกับพวกกำลังพ้นประตูค่าย แฟงวิ่งเร็วมาทางด้านหลัง
"พี่ทัพ พี่ทัพ"
ทัพหันมามอง...แต่หยุดม้าไม่ได้แล้ว ต้องเดินม้าออกประตูค่ายไป
แฟงวิ่งมาไม่ทัน ประตูค่ายปิดลง แฟงหยุดอยู่หน้าประตูพนมมือไหว้ฟ้าดิน
"พี่ต้องชนะกลับมา ขอให้พวกเราชนะ ข้าศึกที่ยกมาย่ำยีแผ่นดินไทย มันต้องย่อยยับทุกคน"
แฟงได้แต่ถอยมายืนส่งใจให้กับทัพและเหล่านักรบ
ทองเหม็นควบควายบุกนำหน้าเข้าปะทะกับทหารติงจาโบอย่างรวดเร็ว
"ฆ่ามันให้หมด ฆ่ามัน"
การตะลุมบอนของทองเหม็นนั้นควงขวานเข้าฟันทหารอังวะ เลือดสาดกระจาย ทองแสงใหญ่ใช้ดาบตะลุยฟัน แทงจนทหารอังวะล้มตายเกลื่อน นักรบบางระจันสู้ประชิดตัว จนทหารอังวะพากันถอยวิ่งหนี
ทหารอังวะวิ่งหนีมาจากด้านทองเหม็น
อิน เมือง จันหนวดเขี้ยว กับพวกนักรบที่ซุ่มรออยู่แล้ว พอเห็นทหารพากันหนีมาเป็นขบวนใหญ่
กลุ่มของ อิน ก็ออกจากที่ซ่อน เข้ารุมทันที ทหารอังวะถูกฆ่าล้มตายลงอีกมาก
ทองเหม็น ควบควายตามมา ทองแสงใหญ่ นำชาวบ้านจากลานที่ 1 ตามมาตีซ้ำ
ทองแก้ว ทัพ กับกองม้า ทุกคนที่รออยู่บนหลังม้า เตรียมพร้อม ทหารอังวะอีกขบวนบนหลังม้ากำลังเคลื่อนโผล่พ้นแนวป่า ทองแก้วยกดาบ
"นักรบบ้านระจัน"
ทัพ / ทุกคน บอก "บุกไปฆ่ามัน"
อ้ายเลาวิ่งห้อนำทัพม้าของบ้านคำหยาด ทุกคนบนหลังม้าแววตาดุดัน ทหารอังวะควบม้าเข้าสู้
ทัพที่ควบอ้ายเลาทะยานเข้าฟันกองหน้าม้าอังวะ สังข์ควงดาบเข้าตะลุย ฟัก เอิบ ช่วง เคลิ้มตามตะลุยเข้ามา
ทหารอังวะล้มตายลงไปอีกมาก
ติงจาโบกับทหารอีกกลุ่มอยู่บนหลังม้า ทหารคนหนึ่งควบม้าเร็วเข้ามารายงาน
"เป็นอย่างที่สายของจอกยีโบส่งข่าวมา"
ติงจาโบยิ้มเหี้ยม
"พวกมันติดกับเราแล้วทั้ง 3 กอง ไป ... ขยี้มันให้แหลก"
ติงจาโบนำทัพทหารอังวะบนหลังม้าและเดินเท้าเคลื่อนทัพเพื่อไปตลบหลังนักรบบ้านระจันทันที
ทองเหม็น ทองแสงใหญ่กับนักรบส่วนหนึ่งกำลังเก็บรวบรวมอาวุธออกจากศพทหารที่ตาย อิน จันหนวดเขี้ยว เมืองเดินมาหา
"พวกข้าลุยฟัน จนมันเตลิดมาทางเอ็งตามแผน" ทองเหม็นบอก
นายจันบอก
"พวกข้าก็ออกสกัดฟัน จนไม่มีเหลือสมใจ"
ทองแสงใหญ่ดึงอาวุธออกจากมือศพทหารอังวะ
"อาวุธพวกมัน .. เอามาให้เราเก็บไว้ฆ่าพวกมันแท้ๆ"
ทุกคนพากันยิ้ม คิดว่ากำลังจะกลับไป...
ทัพมองไปรอบๆ...เงียบสนิท แล้วดึงอ้ายเลาหันมาทางทุกคน
ทองแก้วบอก
"พวกมันถอยทัพไปหมดแล้ว"
"แต่กองตระเวนแจ้งว่าพวกมันมากันเป็นพัน แต่นี่ไม่กี่ร้อย" ทัพบอก
"มันอาจจะรบอยู่ทางพ่อทองเหม็น กับ พ่อเมือง" สังข์บอก
เอิบบอก
"หรือไม่ ... มันก็หนีหัวหดกลับไปหมด"
ช่วงหัวเราะเห็นด้วย แต่ทัพสีหน้ายังไม่แน่ใจ
"ข้าว่าไม่ใช่ .. พวกอังวะมันยังไม่หนี เร็ว...ไปช่วยพวกกองหน้าเร็ว"
ทัพควบม้านำทุกคนออกไป
กลุ่มของพ่อค่ายทั้ง 5 ดูนักรบเก็บรวมรวมอาวุธทั้งหมดอยู่ และเตรียมจะกลับค่าย
ทองเหม็นที่เดินนำชะงัก พูดขึ้น
"ข้าได้กลิ่น"
"กลิ่นอะไร พี่ทองเหม็น" เมืองถาม
"กลิ่นสาป.... กลิ่นมันมาจากในป่ารอบๆไปหมด"
ในป่ารอบๆ บริเวณลานโล่ง ทัพของติงจาโบเคลื่อนมาโอบล้อมนักรบบ้านระจันไว้หมดทุกด้านแล้ว
นักรบบ้านระจันเป็นเพียงจุดเล็กๆในวงล้อมของทัพอังวะ เสียงใบไม้ขยับ ทุกคนกำดาบแน่น หันหลังชนกันเป็นวงล้อมเตรียมพร้อม
ทหารอังวะเคลื่อนออกจากแนวป่า ล้อมนักรบบางระจันไว้ทุกด้าน ทุกคนตกตะลึงนึกไม่ถึง
ติงจาโบบนหลังม้าเคลื่อนออกมามองด้วยรอยยิ้มเหยียดหยัน
"พวกเอ็งมันเหิมเกริม มีคนแค่หยิบมือยังคิดจะสู้กับกองทัพอังวะ"
ทองเหม็นบอก
"ถุย...แค่หยิบมือนี่แหละที่จะฟันคอพวกมึงหลุดจากบ่า เข้ามาสิวะ"
ติงจาโบประกาศก้อง
"ฆ่ามัน"
ติงจาโบร้องสั่ง ทหารกรูกันเข้าไป
นักรบบางระจันที่เป็นแค่จุดเล็กๆที่กำลังโดนกองทัพอังวะล้อมกรอบเข้ามา แต่ทุกคนกำดาบ
ฟันทหารอังวะ สู้ไม่ถอย
ทัพควบอ้ายเลานำทุกคนเร่งไปทางสมรภูมิรบอีกด้านอย่างรวดเร็ว ด้วยสังหรณ์ใจ
ในกระท่อมแม่หมอ ค่ายระจัน แฟงมองเฟื่องที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ขาบเข้าไปกอดร่างเมียรักไว้
เฟื่องถามขึ้นคำแรก
"ลูกฉัน... ลูกฉันล่ะ"
เฟื่องมองไปที่แม่หมอทันที
กลุ่มนักรบบ้านระจันสู้สุดใจ ทหารอังวะกลับถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย ติงจาโบบนหลังม้า มีทหารคุ้มกันรอบ ยิ้มแล้วหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
ทัพควบอ้ายเลามา แต่พอพ้นแนวป่า ทัพกับพวกทุกคนเผชิญหน้ากับกองม้าของอังวะที่ตั้งรออยู่
ทัพและทุกคนกำดาบเตรียมพร้อม ทั้งสองฝ่ายควบม้าพุ่งเข้าหา ตะลุมบอนกัน ทัพฟันทหารอังวะล้มตายบนหลังม้า
อีกด้านสังข์ ฟัก เอิบ ช่วง เคลิ้มต่างสู้จนเหงื่อโทรมร่าง ทหารอังวะ 4 คนล้อมฟันจนทองแก้วตกลงจากหลังม้า ทหารอังวะจะเข้ามาแทง ทัพควบอ้ายเลาพุ่งเข้าไปฟันทหารอังวะคว่ำลงก่อนถึงตัวทองแก้ว
ทุกคนที่กำลังสู้ไม่ถอย แต่ทหารอังวะกลับเพิ่มเข้ามาล้อมไว้อีกมากมาย
กำนันพันเรืองกับพ่อค่ายที่เหลือ มองไปที่ตะวันที่บ่ายคล้อย
"ตะวันเลยหัวแล้ว แต่พวกที่ไปรบ ยังไม่กลับ" พันเรืองบอก
ขุนสรรค์บอก
"ถ้ามันมากันร่วมพัน ศึกนี้ยืดเยื้อแน่"
"เรียกคนมาเพิ่มเถอะ ข้าจะนำไปเอง" ดอกไม้ว่า
"ข้าไปด้วย ข้าจะนำคนไปส่งเสบียงพวกเราเอง" แท่นบอก
ทุกคนปรึกษากันด้วยแววตากังวล
เฟื่องผละจากอกขาบ เข้าไปหาแม่หมอ ทุกคนมอง
"ลูกฉัน ลูกฉันล่ะ"
"เอ็งไม่ได้ท้อง ข้าดูแล้ว เอ็งอาจจะสมบุกสมบันเดินทางมาหนัก เลือดลมในตัวเอ็งเลยเดินไม่สะดวก แต่เอ็งไม่ได้ท้อง"
เฟื่องหน้าสลดลง
"ฉันไม่ได้ท้อง"
เฟื่องหันไปมองขาบ ขาบกุมมือเฟื่องยิ้ม
"ไม่เป็นไร เฟื่อง โชคดีแล้วที่เฟื่องไม่เป็นอะไร"
เสียงกลองระดมพลดังขึ้น สไบกับแฟงสะดุ้งทันที
เสียงกลองรัวดังขึ้น
"กลองเรียกระดมคนอีกแล้ว"
"พี่ทัพ .. คนระจันที่ไปรบคงยังไม่ได้ชัย ถึงต้องตีกลองเรียกคนเพิ่ม"
"แฟงดูเฟื่องแทนพี่ด้วย พี่จะไปช่วยไอ้ทัพ"
ขาบพุ่งลงจากบ้านหมอไปก่อน ทั้งๆที่เจ็บ แฟงหันมาทางเฟื่อง
"พี่เฟื่องอยู่กับสไบได้มั้ยจ้ะ ฉันขอไปดูว่ามีอะไร"
"ไปเถอะ แฟง รีบไป พี่อยู่กับแม่หมอได้ สไบก็ด้วย ไปเถอะ เผื่อเค้ามีอะไรให้เราช่วยได้ ไม่ต้องห่วงพี่ ไปเลย"
แฟงกับสไบลุกเร็วออกไป เฟื่องมองตามอย่างเป็นห่วง
แฟงวิ่งตรงไปทางลานหน้าค่าย สไบตามหลังมา กำลังจะวิ่งไป ใจวิ่งมาจากอีกทาง คว้ามือสไบไว้
"จะไปไหน สไบ ไม่ต้องไป อยู่ที่นี่"
"ฉันจะไปลานหน้าค่าย เค้าตีกลองระดมคนเพิ่ม"
"ไม่ใช่หน้าที่สไบ"
"เอ๊ะ พี่ใจพูดแปลก ยามศึกยังงี้ ไม่ว่าหญิงหรือชายมีอะไรต้องช่วยกัน"
"มีคนไปเยอะอยู่แล้ว ตอนนี้พี่เจิดกำลังจับไข้หนัก สไบไปช่วยพี่หน่อย"
เสียงและแววตาใจขอร้องจนสไบลังเล
แฟงวิ่งมามองเห็นนักรบที่กำลังรวมกัน ขาบไปรวมอยู่กับกลุ่มด้านหน้า พันเรือง พ่อค่าย ยืนบอกทุกคน
"เราต้องออกไปดูการรบพวกพ่อทองเหม็น พ่อทองแก้ว จนป่านนี้ยังไม่กลับค่าย น่าจะรับศึกหนักอยู่ และเราจะเร่งเอาเสบียงไปส่งด้วย ขอให้พวกเราช่วยกัน ไม่อย่างนั้นทัพระจันเราอาจเพลี่ยงพล้ำได้"
พวกผู้ชายต่างวิ่งไปหยิบอาวุธ ผู้หญิงอีกพวกวิ่งยกหาบอาหารออกมาจากหลังค่าย
แฟงมองเหล่านักรบแล้วตัดสินใจถอยออกมา
ขาบขึ้นม้าควบมาอย่างรวดเร็วกับนักรบชายฉกรรจ์ จวงวิ่งเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
"พี่ขาบ พี่หายไข้แล้วหรือ"
"ถึงเจ็บแค่ไหน ข้าก็ต้องออกไปช่วยรบ ฝากเฟื่องด้วยนะจวง"
"เฟื่องเป็นอะไร"
"เฟื่องไม่สบายอยู่ที่เรือนแม่หมอนะจ๊ะ พี่ไปล่ะ"
ขาบไม่รอช้าควบม้าออกไปทันที จวงตกใจรีบวิ่งกลับไป
แฟงเดินมองมาตามกระท่อมชาวบ้านในค่าย เห็นบ้านหลังหนึ่งที่ราวตากผ้า มีเสื้อผ้าผู้ชาย
แฟงเดินมาใกล้แล้ว ดึงเสื้อผู้ชายสีเปลือกไม้ที่ตากอยู่ออกไปจากราว
หลังพุ่มไม้ แฟงใส่เสื้อ กางเกงเป็นผู้ชาย โพกผมด้วยผ้า ใบหน้ามอมด้วยเขม่า ดำ จำไม่ได้ว่าเป็นผู้หญิง แฟงเดินเร็ว แววตาเด็ดเดี่ยวออกไปทันที
สไบกำลังเช็ดตัวให้เจิดที่แกล้งหนาวสั่น จับไข้ มีใจคอยมองอยู่ด้านหลัง กลัวเจิดฆ่าสไบ เจิดกับใจสบตากัน ใจยิ้มน้อยๆให้เจิดอย่างรู้กัน
เจิดยิ้ม พอสไบหันมา สองคนเล่นละครสีหน้าเคร่งขรึม
"หนาว หนาวเหลือเกิน สไบ ช่วยพี่ด้วย...ช่วยพี่ด้วย"
สไบเช็ดตัวเจิด มีใจคอยมองไม่ยอมให้สไบออกไปส่งเสบียง
ขบวนนักรบที่มีแท่น ดอกไม้นำออกไป ขาบอยู่หัวขบวนด้วย มีกลุ่มแบกเสบียงตาม พันเรืองโชติ ยืนส่งอย่างเป็นห่วง
แถวขบวนนักรบ หน้าตาท่าทางห้าวหาญกำลังทยอยออกไปพ้นประตูค่าย
แฟงที่ปลอมเป็นชาย แฝงตัวมาในขบวนด้านท้าย แบกอาหารที่เป็นเสบียงในห่อผ้า เดินผ่านออกไปกับกลุ่มผู้ชาย 4-5 คน
แฟงแววตามุ่งมั่น ไม่กลัวตายกำลังพ้นออกไปด้านนอก ก่อนประตูค่ายจะปิดลง
ทัพกำลังฟันทหารอังวะคนสุดท้ายล้มลง ทุกคนที่ฟันทหารอังวะตายจนหมด เลือดเลอะโทรมกาย
ทองแก้วบอก
"พวกมันซ้อนแผนเรา มันรู้ว่าเราวางแผนรบยังไง"
"แล้วพวกกองตะลุย ของพ่อทองเหม็นละ" สังข์ถาม
สังข์ไม่กล้าพูดต่อ ทัพไม่รอ ควบอ้ายเลา
"ไป...เร็วเถอะ"
ทัพควบอ้ายเลานำทุกคนที่เหลือทะยานเพื่อไปช่วยพวกที่โดนล้อมทันที
พวก ทองเหม็นสู้จนเหนื่อยอ่อน แต่ก็ยังตะลุยฟันทหารอังวะที่เข้ามาไม่ขาดสาย นักรบบางระจันหลายคนถูกล้อมแทง จนล้มคว่ำตายลง
ติงจาโบบนหลังม้าที่มีทหารคุ้มกันแน่นหนา มองไปที่ ทองเหม็นที่เอาขวานฟันสู้อย่างบ้าคลั่ง
" เข้ามา พวกมึงเข้ามา"
ติงจาโบหันไป ทหารส่งปืนให้ ติงจาโบมองเล็งไปที่ ทองเหม็น
ทองเหม็น ทองแก้วหันหลังชนกัน ช่วยกันฟันข้าศึกที่เข้ามา ติงจาโบประทับปืนเล็ง นิ้วแตะที่ไก
เสียงโห่ร้องดังมา ทัพควบอ้ายเลาโผล่พ้นป่าเข้ามา กับพวกกองม้าตามหลัง ติงจาโบกำลังจะยิง อ้ายเลายกขาหน้าขึ้นกลางอากาศ ร้องดัง ติงจาโบเงยมองตกใจ กระสุนพุ่งขึ้นฟ้า เสียงดังปัง
อ้ายเลาร้องดัง พวก ทองเหม็นหันมาเห็นทัพ และกองม้าที่กำลังเข้ามา
"นักรบบ้านระจัน"
"สู้ตาย"
นักรบบางระจันเฮ ทหารอังวะตะลุยมา
ทุกคนเหมือนได้กำลังใจ ตะลุยฟันกลับไปอย่างรวดเร็ว รุนแรง ลืมความเหนื่อยอ่อน
ทัพมองไปที่ติงจาโบที่รับปืนกระบอกใหม่มาจากทหาร ยกปืนเล็งมาที่ทัพทันที
แฟงกับพวกนักรบวิ่งเร็ว บุกป่าอย่างไม่หยุดพัก ตั้งใจจะไปถึงให้เร็วที่สุด
ทัพหันมอง เห็นติงจาโบเล็งปืนมา แล้วยิง ทัพควบอ้ายเลาวิ่ง ติงจาโบยิงซ้ำ แต่ไม่โดนเพราะทัพควบอ้ายเลาล่อให้ติงจาโบยิงตามโดนต้นไม้ทะลุ
ติงจาโบโมโหเก็บปืน ควบม้าตามทัพไปทันที ทหาร 4 คน ควบม้าตามติงจาโบไปด้วย แท่น ดอกไม้ นำพวกมาสมทบออกมาจากป่าพอดี
แฟงเห็นติงจาโบควบม้าไล่ตามทัพอยู่ ตกใจ
ทัพควบม้าเร็ว ล่อติงจาโบที่ตามมากับทหาร อีก 4 คน
กลุ่มนักรบบ้านระจันเป็นฝ่ายได้เปรียบ ลุยกลับทหารอังวะ ล้มตาย
อีกมุมหนึ่ง ทหารอังวะหลายคนหันหลังจะหนีแต่เจอเข้ากับ พวก แท่น ดอกไม้ที่มาสมทบ
"พวกข้ามาแล้ว"
ทองเหม็นหันมามองดีใจ
"ฟันโว๊ย ฟันมันให้ยับ พวกเรามาแล้ว"
นักรบบ้านระจันยิ่งเหมือนได้กำลังแรงใจพากันตะลุยฟันทหารอังวะ
แฟง ยืนมองตามทัพอยู่อย่างเป็นห่วง
"พี่ทัพ"
เสียงปืนดังขึ้นด้านชายป่า แฟงส่งกระจาดเสบียงให้กับคนข้างๆ หยิบดาบที่พกมา
"พี่ทัพ"
แฟงกำดาบ วิ่งไปทางเสียงปืนทันที
ติงจาโบยิงใส่ทัพอีกนัด แต่ทัพก้มต่ำ ควบอ้ายเลาข้ามน้ำ พุ่งหายเข้าไปในป่าไผ่
ติงจาโบกับพวกดึงม้า
"ตามมันไป"
ติงจาโบดึงม้ารอ ทหาร 2 คน ข้ามน้ำ แล้วพุ่งตามเข้าไปในป่า
ติงจาโบรีบส่งปืนให้ทหารใส่กระสุนให้ใหม่ ทหารส่งปืนอีกกระบอกที่บรรจุกระสุนเสร็จแล้วให้
ชั่วครู่เดียว ม้า 2 ตัววิ่งกลับออกมา มีศพทหาร 2 คน พาดมาบนหลังม้า ถูกฟันเลือดหยดเป็นทาง
ทหารอีก 2 คนที่เหลือระวังทันที ติงจาโบกำปืนแน่น มองไปด้านในป่าที่เงียบกริบ
ด้านในป่า ทัพกำดาบคู่แน่น บนหลังอ้ายเลา
"อีกนิดเดียว อ้ายเลา เพื่อนยาก ... เราจะกุดหัวแม่ทัพอังวะกลับไปที่ค่าย"
ทัพมองไป ปลุกใจตัวเองและอ้ายเลา รอจังหวะ
ในกระท่อม ใจนั่งนิ่ง แต่ในใจกำลังกังวลเรื่องรบ สไบละสายตาจากเจิดที่แกล้งหลับสนิท หันมามองใจ
"พี่เจิดไม่เป็นอะไรแล้ว พี่ใจอยากออกไปช่วยรบมั้ย"
ใจหันมองสไบที่จ้องมา สายตาใจเต็มไปด้วยความอึดอัด
อีกด้านในป่า ทัพซุ่มรอ
ด้านตรงข้ามลำน้ำ ติงจาโบมองทหารอีก 2 คน ทหารถือดาบเตรียมพร้อมจะเข้าไป ทางด้านหลัง แฟงที่วิ่งมา หลบซุ่มมอง แฟงเห็นด้านหลังทหารกับติงจาโบก็กำดาบแน่นในมือ ก็หวังจะฟันทหารลงให้ได้
แฟงค่อยๆย่องออกมา แล้วฟันดาบเข้าที่หลังทหาร
ม้าร้อง ทหารอังวะล้มลง แฟงฟันซ้ำ ทหารอีกคน พุ่งเข้ามา แฟงกวัดแกว่งดาบ
ติงจาโบยกปืนเล็งแล้วเหนี่ยวไก
เสียงปืนปัง
ทัพที่อยู่ด้านในป่าไผ่ ดึงอ้ายเลาออกมามองด้วยความสงสัย
แฟงมองติงจาโบที่ยิงพลาด รับปืนกระบอกใหม่จ่อปืนเล็งมาอีกนัด ทหารเข้ามาใกล้ แฟงจ่อดาบไป
ทัพโผล่ออกมาพ้นป่า เห็นติงจาโบกำลังเล็งปืนไปที่หนุ่มน้อยที่ล้มอยู่บนพื้น ทัพเพ่งมอง แค่เห็นแววตาทัพก็รู้แล้วว่าเป็นแฟง
"แฟง"
แฟงหันมามองทัพ
"พี่ทัพ"
ติงจาโบเหนี่ยวไก ทัพตะโกนลั่น
"แฟง"
สไบเดินเร็วออกมาจากกระท่อม ใจตามหลังมา
"ฉันจะไปที่หน้าค่าย ดูพวกที่ไปรบว่ากลับมาหรือยัง พี่จะไปกับฉันมั้ย"
ใจมองสไบเป็นห่วงเรื่องรบ
ทัพมองตะลึง กระสุนติงจาโบเฉียดแฟงที่ม้วนตัวหลบไป ทำให้ผ้าโผกหัวแฟงหลุด
ทัพพุ่งอ้ายเลาฝ่าทหาร ตรงเข้าหาติงจาโบ ทหารขวาง ทัพควบอ้ายเลาเข้าฟันจนทหารล้มคว่ำ ติงจาโบรับปืนกระบอกใหม่ หันมองทัพที่เข้ามาใกล้ แล้วยกปืนเล็ง
แฟงลุกพรวด คว้าท่อนไม้ปาไปที่มือติงจาโบ ปืนหลุดมือ กระสุนเฉียดทัพ อ้ายเลาร้องดัง ทัพควงดาบกำลังจะถึงตัวติงจาโบ ทหารอีก 8 คน วิ่งกรูมาช่วยนาย ทุกคนระดมยิงมาที่ทัพ
ทัพก้มตัวต่ำ ฝ่ากระสุน ควบอ้ายเลาพุ่งไปทางแฟง
“แฟง เตรียมโดด”
แฟงก้มต่ำหลบห่ากระสุน มองไปที่ทัพ
ติงจาโบสั่ง
“ฆ่ามันให้หมด”
ติงจาโบ สั่ง ทหารระดมยิง
ทัพพุ่งอ้ายเลา ก้มต่ำ แฟงวิ่งเข้ามาทางทัพ ชั่วขณะที่ทัพพุ่งอ้ายเลามาเกือบถึงตัวแฟง ทัพช้อนแขนไปจับมือแฟงไว้ สองมือประสานกัน ทัพใช้อ้อมแขนแข็งแรงช้อนร่างแฟงขึ้นม้าอย่างสวยงาม
ติงจาโบลุกขึ้นมาคว้าปืนกระบอกใหม่ยิงกระหน่ำไปที่ทัพที่มีแฟงซ้อนท้าย ทัพพุ่งม้าเข้าป่า อำพรางตัว กระสุนเฉียดทั้งคู่ไปหวุดหวิด ติงจาโบมองด้วยความโมโห
ทหารอังวะที่ล้มตายเกลื่อนพื้น นักรบบ้านระจันทุกคนเหงื่อ เลือดเลอะปนกันทั้งตัว แต่สีหน้าทุกคนอิ่มเอมใจ สังข์ชูดาบนำ
“นักรบระจัน คือผู้ชนะ....เฮ....ผู้ชนะคือนักรบระจัน....เฮ”
ทุกคน ไชโยโห่ร้องดังด้วยความดีใจ
ทัพพุ่งอ้ายเลาทะยานไปข้างหน้า มีแฟงกอดเอวทัพแน่น ทัพเหลือบมอง แฟงซบลงที่หลังทัพอย่างเหนื่อยอ่อนแต่อบอุ่นใจ
“พี่จะพากลับไปที่ค่าย”
ทัพพูดไม่ทันขาดคำ เสียงปืนไล่หลังดังมา อ้ายเลาตกใจ แฟงหันไปมอง เห็นทหารอังวะ 5 คนควบม้า ยิงไล่หลังมา ทัพทะยานอ้ายเลาไป แต่ทหารอังวะก็ควบม้าตามติด
“กลับค่ายไม่ได้แล้ว พี่ทัพ เราหนีไม่ทันแน่ๆ””
ทัพดึงอ้ายเลา พุ่งฉีกออกไปอีกทาง ทหารอังวะควบม้าไล่ล่าทัพกับแฟงไปทันที
เฟื่อง จวง จันทร์ เฟี้ยม ยืนรวมอยู่กับชาวบ้านหญิงหลายคนทางด้านใน ชะเง้อมองการกลับมาของเหล่านักรบ
สไบเดินมากับใจ ตรงเข้ามาหาเฟื่อง เฟื่องเห็นสไบก็บอกขึ้น
“รบครั้งนี้ยืดเยื้อ ยังไม่กลับมากันเลย”
“ขออย่าให้มีคนเจ็บ คนตายเลยเจ้าประคู้ณ” สไบว่า
เฟื่อง สไบสายตากังวล ใจมองนิ่ง พนักงานกลองมองออกไปนอกค่ายแล้วรีบตีกลอ เสียงกลองศึกดังขึ้น ได้ยินเสียงโห่ร้องมาจากด้านนอก ทุกคนที่รอด้านใน สีหน้าตื่นเต้นทันที
“มากันแล้ว”
ประตูค่ายค่อยๆเปิดต้อนรับเหล่านักรบ ทุกคนที่รออยู่ตื่นเต้นดีใจ....ต่างเฮ..เข้าหากัน ชาวระจันพากันดีใจ แต่ใจ..สีหน้าเครียดลงทันที
เหล่าผู้นำเดินเข้ามาก่อน ตามด้วยสังข์ ขาบ กลุ่มทหารม้าคำหยาดทยอยเข้ามา เฟื่อง จวง สไบ จันทร์ เฟี้ยม ยิ้มดีใจ
ใจมองเมินไปทางอื่น กำหมัดอย่างเจ็บใจ
นักรบเฮ ทุกคนด้านในที่รอคอยเฮไปด้วย ชาวค่ายหญิงพากันช่วยประคองคนเจ็บไปทางเรือนพยายาบาล เฟื่อง สไบตรงเข้าไปหากลุ่มสังข์ ขาบ จันทร์มองหาทัพไม่เห็นจึงร้องถามขึ้นทันที
“ไอ้ทัพล่ะพ่อสังข์ ไอ้ทัพอยู่ไหน”
“เออ....พวกฉัน..ก็”
ฟักรีบชักม้าเข้ามาหาขาบ
“อย่าเพิ่งบอกน้าจันทร์ว่าพี่ทัพหายไป”
“นึกว่ามันกลับมาก่อนแล้วเสียอีก” สังข์บอก
จันทร์หน้าเสีย เฟื่องมองหาแฟง
“ว่าไงพ่อสังข์พ่อขาบ ไอ้ทัพของน้าละ ทำไมไม่กลับมาด้วย”
“ไอ้ทัพมันคอยระวังหลังอยู่จ๊ะแม่” สังข์ว่า
“แล้วแฟงละ” เฟื่องถาม
เฟี้ยมบอก
“เออ...นั่นซิ ใครเห็นแฟงบ้าง”
ทุกคนสีหน้ากังวลทันที
“ตอนพวกพ่อแท่นยกกองหนุนตามออกไปแฟงยังอยู่กับฉันนะW
จวงบอก
“หรือว่าแฟงจะตามไปดูเขารบกัน”
ฟักตกใจ เฟี้ยมจะเป็นลม
“ตายแล้ว...มันจะออกไปดูเขารบกันทำไม ทำไมมันห้าวเยี่ยงนี้” เฟี้ยมว่า
“ใจเย็นก่อนแม่...เดี๋ยวฉันจะไปตามแฟงให้ ฉันเห็นมันอยู่กับพี่ทัพกลางทุ่งนี้เอง"
“งั้นก็ไปตามมันกลับมาทั้งคู่ หน้าสิ่วหน้าขวานเยี่ยงนี้จะมัวคุยกันอยู่นอกค่ายทำไม” จันทร์ว่า
“ไปตามมันมา...ไปตามมันมาเดี๋ยวนี้เลย” เฟื้ยมบอก
ฟักหน้าเสีย
“ไอ้สังข์ เอ็งไปกับข้า ตามหาแฟงกับพี่ทัพกัน”
ฟักกับสังข์โดดขึ้นม้าควบไปที่ประตูค่าย
ขบวนแท่นสวนเข้ามา
“พวกเอ็งจะออกไปไหนกันอีก”
“พี่ทัพกับน้องสาวฉันยังไม่กลับ พวกฉันจะออกไปตาม"
แท่นนิ่งคิดเป็นห่วง แต่ต้องตัดใจ
“อย่าเลย พวกเราเหนื่อยกันมามากแล้ว พักก่อน...ตอนนี้พ่อทองเหม็นกับพวกลาดตระเวนออกตรวจรอบๆอยู่ค่ายอยู่ ถ้าเจอพ่อทัพกับน้องเอ็งคงพากันกลับมา พวกเราไปพักผ่อนกันก่อน รอพวกลาดตระเวนกลับมาแล้วค่อยว่ากัน อย่าเพิ่งออกไป จะยิ่งทำให้ข้าเป็นห่วงเพิ่มอีก”
แท่นนำขบวนตรงไปที่กลุ่มพ่อค่ายซึ่งรออยู่
ฟัก กับ สังข์ มองหน้ากันตัดสินใจไม่ไป เชื่อมั่นว่าทัพจะปกป้องแฟงได้
อ่านต่อหน้า 2
บางระจัน ตอนที่ 9 (ต่อ)
ทัพควบอ้ายเลาพุ่งมา มีแฟงกอดเอวไว้แน่น ทหารอังวะยังยิงปืนไล่มา ทัพเหลียวมองแฟงด้วยความเป็นห่วง
“จับพี่แน่นๆนะ แฟง”
แฟงกอดเอวทัพไว้สองมือ ทัพกระตุกบังเหียนอ้ายเลาแรง อ้ายเลาพุ่งทะยานข้ามลำธารหายเข้าไปในพงป่า ทหารอังวะดึงม้าหยุดมอง ตกตะลึงภาพอ้ายเลาพาทัพกับแฟงทะยานข้ามน้ำไปอย่างแข็งแกร่ง
ทหารดึงม้าให้ลุยข้ามไป แต่แค่ครึ่งลำน้ำ ทหารอังวะก็ตกตะลึงอีกครั้งเมื่อทัพพุ่งออกจากพงไม้มา
ทัพก้มต่ำ พุ่งฟันเข้าที่กลางตัวทหารอังวะที่มัวดึงม้าข้ามน้ำ ทหารอังวะดิ้น ตกหลังม้าตายลงมา 2- 3 คนทันที
ทหารอังวะอีก 2 เล็งปืนมาทางทัพ กระสุนดินพุ่งออกจากมือแฟงที่ยืนเล็งมาริมป่าเข้าเบ้าตาทหารอังวะ ปืนอังวะลั่นขึ้นฟ้า
ทัพดึงอ้ายเลาเลี้ยวมา ฟันเข้าที่ทหารอังวะอีก 2 ล้มจากหลังม้าตกลงมาตายกลางน้ำ ม้าอังวะที่เหลือพากันวิ่งเตลิดไป
แฟงวิ่งออกมา ทัพดึงแฟงขึ้นมานั่งบนหลังอ้ายเลาที่ยืนกลางน้ำอย่างสง่างาม ทั้งสองคนบนหลังม้ามองศพทหารอังวะที่เลือดทะลักไหลลงน้ำแดงฉาน
ทัพดึงอ้ายเลา แต่ก็ทรุดตัว แฟงมองแขนซ้ายทัพ เห็นรอยแผลจากกระสุนถาก
“พี่ทัพ พี่ถูกยิง”
ทัพมองแฟงยิ้มให้อย่างอดทน
“กระสุนแค่ถากไป.. ไม่เป็นไร แฟง พี่ไหว เราต้องรีบไปจากตรงนี้”
แฟงกอดเอวทัพแน่น ทัพรีบควบม้าออกไป
เฟื่องกำลังเอายาสมุนไพรทาลงที่แผลตามตัวขาบที่โดนฟัน ขาบมองเฟื่องแล้วเลื่อนมือมากุมมือเฟื่องไว้อย่างเกรงใจ
“พี่เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า”
เฟื่องเลี่ยงดึงมือออกจากมือขาบ มาหยิบยา ขาบยิ้มเศร้า
“พี่ไม่เป็นไร”
“คืนนี้ฉันจะกลับไปรอแฟงที่เรือน”
“รอเสียที่นี่ได้มั้ย เฟื่อง”
เฟื่องมองขาบที่เอ่ยน้ำเสียงอ้อนวอน
“แผลพี่ค่อยยังชั่วแล้ว ฉันอยากกลับไปดูแม่”
“ถ้าเฟื่องอยากดูแลแม่ พี่ก็สุดจะรั้งตัวเฟื่องไว้ พี่รู้ว่าเฟื่องไม่ได้เต็มใจจะอยู่กับพี่ พี่บังคับเฟื่องมาแล้วครั้งหนึ่ง ขอให้รู้ว่าพี่ยังเสียใจที่หักห้ามตัวเองให้รักเฟื่องน้อยลงไม่ได้ ถึงทำให้เฟื่องเกลียดและไม่มีวันยกโทษให้พี่”
เฟื่องมองขาบที่เอ่ยด้วยความจริงใจ
“พี่รู้ใจฉันดีแล้ว ก็อย่าถาม อย่าขออะไรให้ฉันลำบากใจอีกเลย”
เฟื่องตัดบทแล้วเดินออกไป ขาบได้แต่มองตามด้วยความเศร้า
บริเวณริมลำธาร เขตระจัน ทัพนั่งพิงต้นไม้ แฟงเอาน้ำในกระบอกไม้ไผ่ที่ตักมาจากลำธารราดล้างเลือดที่แขนซ้ายของทัพ
“ล้างเลือดออกก่อนนะ พี่ทัพ พักก่อน เดี๋ยวฉันจะขี่อ้ายเลาพาพี่กลับค่ายเอง”
ทัพยิ้ม
“แผลแค่นิดเดียวเอง แฟง”
“นิดเดียว ฉันก็ปล่อยให้พี่ไปไม่ได้ เกิดเจอพวกข้าศึกอีก”
แฟงดึงผ้าที่มีออกมาฉีก แล้วมัดปิดแผลไว้
ทัพมองหน้าแฟงที่กุลีกุจอช่วยทำแผลอยู่ใกล้ชิด
“พี่ทัพ หิวมั้ย เดี๋ยวฉันไปหาปลามาย่างให้กินนะ”
แฟงจะลุกออกไป ทัพดึงมือรั้งตัวแฟงไว้
“ไม่ต้องไปไหนแล้ว แฟง มานั่งตรงนี้ “
แฟงมองทัพ
“มานั่งข้างๆพี่”
ทัพดึงแฟงที่ลงนั่งอย่างว่าง่าย แต่แววตาแฟงยังเป็นห่วงทัพ
“ฉันไปไม่ไกลหรอกจ้ะ ถ้าเจอข้าศึก ฉันจะรีบวิ่งกลับมาบอกพี่”
“ไม่ต้องไป อยู่กับพี่ตรงนี้”
แฟงมองเห็นสายตาทัพที่มองตรงมา
“พี่ไม่ตีเอ็งก็ดีแค่ไหนแล้ว หนีออกมาคนเดียวอย่างนี้ เป็นผู้หญิง ถ้าเกิดถูกฟัน หรือถูกข้าศึกมันจับได้”
ทัพละคำพูดไม่ดีไว้ สายตาไม่สบายใจ ตรงข้ามกับแฟงที่ยิ้มกว้าง
“ฉันไม่กลัว ฉันรู้ว่าฉันจะต้องเจอพี่”
แฟงกุมมือทัพไว้ด้วยความเป็นเด็ก สายตาอ้อน
“อย่าตีฉันเลยนะจ๊ะ พี่ทัพคนเก่ง”
ทัพมองรอยยิ้มบนใบหน้านวลของแฟง แล้วใจกระตุก เมื่อได้พินิจแล้วว่า แฟงตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสาวน้อยคนงาม ไม่ใช่เด็กดื้อเหมือนที่เคยมองเห็นมาตลอด เห็นเห็นเศษกิ่งไม้แห้งติดผมแฟง ทัพหยิบออกให้
“ฉันอยากจะช่วย เท่าที่สองมือฉันทำได้ ฉันไม่เคยกลัวตาย ตอนที่อยู่บ้านศรีบัวทอง ฉันหลอกข้าศึกมาให้พ่อแท่นกับพวกฆ่า ตอนนั้นฉันก็ปลงใจแล้วว่า ขอตายเพื่อพี่น้อง เพื่อแผ่นดินนี้ ฉันขอตายเพื่อให้ไทยได้อยู่เป็นไท”
“พี่รักน้ำใจเอ็งนัก แฟง”
แฟงยิ้มปลื้ม ทัพกุมมือแฟงแน่น ความรู้สึกผูกพันก่อตัวขึ้นในใจของทั้งคู่ที่เฉียดตายร่วมกันมา
“แต่ก่อนพี่เห็นเอ็งเป็นเด็กทะโมน แต่ตอนนี้พี่เห็นเอ็งไม่เหมือนเดิม”
แฟงสีหน้าไม่ดีทันที ขยับเข้าใกล้ทัพอย่างอยากรู้
“พี่ทัพเห็นฉันเป็นอะไร ไม่ใช่แฟงน้องพี่คนเดิมแล้วหรือจ๊ะ”
น้ำเสียงและแววตาแฟงออดอ้อน วิบวับอย่างไม่รู้ตัว ยิ่งทำให้ทัพยิ้ม
“ตอนนี้พี่เห็นเอ็งเป็นเหมือน แฟง ดอกไม้ไพร”
แฟงมองทัพอย่างแปลกใจ ทัพยื่นมือปัดปอยผมที่ปิดอยู่ให้พ้นวงหน้านวล
รอยยิ้มและใบหน้าใสกระจ่าง แววตากลมโตของแฟงยิ่งทำให้ทัพใจเต้นไม่เป็นส่ำ
“ดอกไม้ไพรที่ใจงามยิ่ง เป็นหญิงแต่เด็ดเดี่ยว ตั้งมั่นเพื่อแผ่นดิน ไม่เสียดายชีวิต น้ำใจเอ็งงามกว่าดวงหน้า งามเสียยิ่งกว่าสิ่งใด แฟงเอ๋ย”
แฟงยิ้มมองทัพ หัวใจพองโต
เฟื่องนั่งมองไปไกล รอแฟง เฟี้ยมเดินออกมามองลูกสาว เฟื่องเอ่ยปากขึ้นก่อน
"ป่านนี้แฟงยังไม่กลับมาเลยจ้ะ แม่ หายไปกับพี่ทัพตั้งนานแล้ว"
เฟี้ยมบอก
"หายไปกับไอ้ทัพ ก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไรหรอก เฟื่อง"
เฟี้ยมมองลึกลงไปถึงหัวใจลูกสาวคนโต
"ทัพมันคนมีฝีมือ มันต้องพาแฟงกลับมาจนได้ แต่ถ้าเอ็งห่วงเรื่องอื่น แม่ก็อยากพูดให้เอ็งเบาใจ ทัพมันคนดี เรื่องคิดจะล่วงเกินนังแฟง แม่เชื่อว่า ทัพไม่ทำ"
"ฉัน แค่เป็นห่วงน้อง"
"เอ็งควรจะเป็นห่วงผัวเอ็ง ไอ้ขาบที่นอนเจ็บ"
เฟื่องมองแม่ที่สั่งสอนด้วยสายตาอึดอัด
"ข้ารู้ว่าเอ็งไม่รักไม่ชอบน้ำหน้าไอ้ขาบ มันหักหาญเอาตัวเอ็งไปจากไอ้ทัพ แต่เอ็งได้ชื่อว่าเป็นเมียมัน กินอยู่ แต่งงานแต่งการกับมันแล้ว"
เฟื่องกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อออกมาเพราะคำพูดสะเทือนใจ
"ได้ชื่อว่า เมีย เราก็ต้องเป็นเมีย ดูแลผัวไม่ให้ขาดตกบกพร่องเสียก่อน ถ้าไอ้ขาบมันไม่ดีกับเอ็ง จนทนอยู่กันไม่ได้ ต่อไปแม่ก็จะไม่ห้าม"
เฟี้ยมมองเตือนสติลูกสาว
"แต่ตอนนี้เอ็งทำหน้าที่เมียที่ดีแล้วหรือยัง เฟื่อง .. มัวแต่เสียใจกับอดีต แล้วชีวิตเอ็งจะหาความสุขข้างหน้าได้ยังไง"
เฟี้ยมเตือนแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน เฟื่องน้ำตาหยด สะเทือนใจมากกับคำเตือนของแม่
สังข์สีหน้ากังวล จวงวางสำรับข้าวลงตรงหน้า สังข์รู้สึกอึดอัด คิดว่าจวงไม่ได้ทำจากใจ ลุกขึ้นหยิบดาบ
"ไอ้ทัพมันหายไปนานแล้ว พี่ไปตามหาดีกว่า"
"รออีกสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวคงกลับกันมา ฉันว่าพี่ทัพกับแฟงต้องไม่เป็นอะไร"
จวงเตือน สังข์ฟังด้วยความไม่สบายใจ
ทัพยิ้มมองแฟง แฟงรู้สึกอายกับคำชมและสายตาของทัพมาก
"พี่ทัพพูดเสียจนฉันอาย"
"พี่พูดจริง แฟงจะต้องอายทำไม"
ทัพขยับมาใกล้ แฟงมองตาโต
ฝนตกลงมาปรอยๆ กระเด็นโดนหน้าแฟง ทัพเอื้อมมือมาแตะเม็ดฝนที่แก้ม แฟงตื่นเต้น ใจระรัว ทัพเข้าใกล้ แฟงผินหน้าหนี เลี่ยงเอ่ยขึ้นเบาๆ
"ป่านนี้ ทุกคนคงถามหาพี่กับฉัน"
"ก็ติดฝนอยู่ "
อ้ายเลาวิ่งไปหลบฝนใต้ต้นไม้ใหญ่ ทัพหยิบผ้าโพกหัวที่เหลือของแฟงบังฝนให้ ฝนลงมาไม่ขาดเม็ด ทัพขยับไปใกล้ แฟงกอดอก
"หนาวเหรอ"
ทัพเอาผ้าโพกหัวคลุมลงที่ไหล่แฟง
"เหนื่อยก็พักก่อน ... ที่ไหล่พี่"
แฟงมองทัพอย่างอายๆ ทัพโอบแฟงลงพิงที่ไหล่ แฟงยิ้มทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ จนพูดไม่ออกที่ได้ใกล้ชิดทัพ ความวาบหวามท่ามกลางเม็ดฝนพรำเกิดขึ้นในใจของทั้งคู่
ขาบนั่งเศร้า มองฝนที่หยดลงมา เฟื่องวิ่งฝ่าฝนมา ขาบลุก วิ่งลงไปรับเฟื่อง
"เฟื่อง ตากฝนมาทำไม"
ขาบประคองเฟื่องขึ้นเรือนมา รีบหยิบผ้าเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้
เฟื่องยิ้มมองขาบ ยกหม้อแกงเล็กๆขึ้นให้ขาบดู
"ฉันทำแกงมา กินข้าวด้วยกันนะ"
ขาบดีใจมาก ดึงเฟื่องมากอดไว้ เฟื่องตกใจก่อนจะค่อยๆคลี่ยิ้ม ขาบรีบดึงหม้อออกจากมือเฟื่อง ท่าทางกระตือรือร้น
"เฟื่องนั่งนะ เดี๋ยวพี่ไปเตรียมสำรับเอง"
"ไม่ต้องพี่ขาบ หน้าที่ฉันเอง"
เฟื่องดึงมือขาบ ขาบมองรอยยิ้มเฟื่อง
"พี่อยากทำทุกอย่างให้เฟื่อง ให้เฟื่องได้อยู่สุขสบายที่สุด"
ขาบมองเฟื่องด้วยแววตาจริงใจมาก เฟื่องมองรอยยิ้มแววตาของขาบแล้วยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน
เม็ดฝนที่ยังพรำอยู่ แฟงหลับซบอยู่ที่ไหล่ทัพ ทัพค่อยๆดึงแฟงลงมานอนในตัก แฟงหลับ ซุกตัว ทัพเอาผ้าโพกหัวคลุมลงให้
ทัพมองแฟงที่หลับด้วยสายตาอ่อนโยน ไล้มือเบาๆปัดน้ำฝนที่กระเซ็นบนแก้มแฟงที่หลับสนิทไปเหมือนเด็กๆ
แสงจากก้อนไต้ ไฟส่องแสงให้ความสว่างที่วงข้าวของเฟื่องกับขาบ เฟื่องตักแกงให้ ขาบกินอย่างไม่รู้จักอิ่ม สีหน้าแช่มชื่น เฟื่องหยิบปลาช่อนทอดให้ ขาบกินด้วยความสุขที่มีเฟื่องอยู่ใกล้ๆ
สไบเอาข้าววางไว้ให้ดอกรัก มองสภาพดอกรักที่เหม่อลอย ไม่ยอมพูดจาด้วย
"พี่ดอกรักจ้ะ กินข้าวเถอะนะ จะได้มีแรง ฉันทำของชอบพี่มาให้"
"มันไว้ใจไม่ได้ มันหลอกสไบ มันจะฆ่าเรา มันจะฆ่าพวกเราทุกคน"
ดอกรักพูดพร่ำอยู่แต่ในโลกของตัวเอง สไบเศร้า ลุกขึ้นเดินออกมา เห็นใจที่มาหยุดมองอยู่หน้าประตู
ใจมองดอกรักที่เป็นคนไม่มีสติ และสไบมองพี่ชายด้วยความสงสาร
ใจดึงมือสไบนั่งลงที่ศาลาท่าน้ำลับตาคน ด้านหลังค่าย
"ถ้าฉันเจอตัวไอ้คนที่มันทำให้พี่ดอกรักเป็นอย่างนี้ ฉันจะฟันมันด้วยมือฉันเอง"
ใจฟังแล้วกอดร่างสไบไว้แน่น
"พี่ใจ ทำไมกอดฉันแน่นอย่างนี้ละจ๊ะ"
"พี่คิดถึง สไบ"
ใจก้มลงจูบแก้มสไบ สไบเอียงอาย
"พี่ใจ เดี๋ยวมีคนเห็น"
"ไม่มีใครออกจากเรือนตอนนี้หรอก"
ใจสวมกอดสไบแน่น จูบลงที่แก้มอีกข้าง
"พี่อยากอยู่กับสไบ อยากกอดสไบ อยากให้สไบรู้ว่าพี่รักสไบแค่ไหน"
"ฉันก็อยากอยู่กับพี่"
ใจกอดสไบแน่น สไบอิงหัวลงในอกกว้างของใจ
"พี่อยากพาสไบกลับบ้าน"
"บ้านพี่ใจอยู่ที่ไหนจ้ะ"
สไบขยับมองใจ ใจมองสไบแล้วยิ้ม
"บ้านพี่อยู่ไกลจากวิเศษไชยชาญ จากที่นี่...บางระจัน"
"ที่บ้านพี่เป็นยังไงจ๊ะ เล่าให้สไบฟังหน่อย"
ใจยิ้มให้สไบ แล้วถอนสายตามองไปไกลนึกถึงความจริงในชีวิต
"พ่อเป็นคนใจดี มีเมตตา พ่อสอนพี่ทุกอย่าง"
ในอดีต ใจ หรืออองนาย เจิดหรืออูทินลิน และศิษย์คนอื่นๆวัย 10-12 ปี กำลังเรียนเขียนอ่าน
จาด หรือจอกยีโบ ผู้เป็นครูที่เข้มงวด ใจส่งกระดานชนวนให้ตรวจ ยิ้มมั่นใจว่าทำถูก จอกยีโบมองปราดเดียวก็เอาไม้เรียวหวดลงที่มือ กระดานชนวนหลุดมือ ศิษย์คนอื่นๆนั่งนิ่งเงียบกริบ
ใจก้มหน้า กัดฟันไม่ยอมร้องไห้ จอกยีโบเดินดูคนอื่นๆ ใจมองสบตาเจิดที่มองด้วยสายตาสงสาร
ใจกอดสไบไว้ รอยยิ้มยังเต็มใบหน้า แต่แววตาไม่ยิ้มไปด้วยขณะที่กำลังนึกถึงความหลัง สไบที่อิงซบในอก ไม่ได้เห็นแววตาเศร้าของใจ
" พ่อรักพี่ ชมว่าพี่เป็นคนเก่งที่สุด"
ใจกับเจิดกำลังลงไปในอ่างที่ขุดด้วยไม้ขนาดใหญ่ มีน้ำเต็ม บริเวณรอบๆมีเทียนจุดเต็มไปหมดๆ
จาดมองทั้งคู่นิ่ง แล้วบอก
"ดำลงไป...ใครโผล่ขึ้นมาก่อนจะโดนข้าโบย 30 ที"
ใจกับเจิดนอนลงไปในอ่างอย่างกลัวๆ จาดเอาไม้เรียวตี จนทุกคนสะดุ้ง ใจค่อยๆนอนลงไปจนน้ำมิดจมูก จนสำลัก โผล่พรวดขึ้นมาโดนจาดตีจนต้องดำลงไป เจิดนอนนิ่ง..นาน
จาดมองใจนิ่ง อย่างพิจารณา ใจนอนนิ่ง พยายามกลั้นหายใจ นิ่งนาน
ผ่านเวลา ในอดีต ณ ลานฝึกการต่อสู้ สำนักดาบจอกยีโบ กรุงอังวะสุกี้วัย 18 ปีสู้กับศิษย์เอกคนหนึ่งอยู่กลางลาน เจิดกับใจในวัย 18 และ 17 ปี และศิษย์คนอื่นๆอายุรุ่นเดียวกัน นั่งดูอยู่รอบๆ จาดนั่งประจำที่เป็นประธาน
สุกี้สู้อย่างดุเดือด รุกรบอย่างไม่ปรานี ท่วงท่าเด็ดขาดจนดูเป็นจริงไม่เหมือนซ้อม จาดยิ้มพอใจ
สุดท้ายสุกี้ก็ล้มศิษย์เอกลงอย่างทารุณ
จาดให้คู่เจิดกับใจออกมาต่อสู้ เป็นคู่ต่อไป เจิดกับใจสู้กันดุเดือดไม่แพ้คู่ของสุกี้ ใจดูจะมีฝีมือเหนือกว่า แต่ไม่กล้าทำรุนแรงกับเจิด จาดไม่พอใจตะโกนดุ
"จะฆ่าคน ห้ามสงสาร ความปรานีมิใช่สันดานอุปนิกขิต"
ใจพยายามรุกมากขึ้น แต่ก็ยังดูไม่ถูกใจจาดอยู่ดี
บริเวณหน้าสำนัก ฉับกุงโบขี่ม้ามากับนายทหาร 2 คน ตรงมาที่จาด
จาดสีหน้าเปลี่ยนไป ลุกขึ้นรับ ฉับกุงโบมองไปที่ใจกับเจิดสู้กันอยู่ แล้วหันไปมองสุกี้ที่ยืนมองการต่อสู้ของใจกับเจิดอย่างทระนง
"เรียกเขามาซิ"
จาดเข้าใจที่ฉับกุโบพูด จึงหันไปพยักหน้าให้สุกี้มาหา สุกี้เดินเข้ามาไหว้ฉับกุงโบ
"ถึงเวลาต้องไปอยู่โยเดียแล้ว"
"ท่านจะให้ข้าพเจ้าเดินทางเมื่อไหร่" สุกี้ถาม
"เดี๋ยวนี้"
"ข้าพเจ้าพร้อม"
ฉับกุงโบเดินออกไป สุกี้เดินตามไปอย่างเด็ดเดี่ยว
"ข้ามั่นใจเหลือเกินว่าข้าคัดเลือกเจ้ามาไม่ผิด"
ใจมองตามสุกี้ที่เดินตามไปขึ้นม้ากับฉับกุงโบอย่างอาลัย เจิดถือโอกาสเตะใจกระเด็นไป
เวลาต่อมา จอกยีโบนั่งบริกรรมอยู่ที่แท่นพิธี อูทินลิน, อองนาย, ศิษย์เอกอีกผู้หนึ่งในชุดเสื้อคลุม เดินเข้ามาที่อ่างแช่ว่าน ที่ตั้งอยู่ ๓ อ่างในประรำผ้าขาว มีศิษย์รุ่นน้องคอยต้มว่านเทใส่อ่างทั้ง ๓ อยู่
บรรยากาศรอบๆโรงแช่ว่านเต็มไปด้วยไอน้ำระเหยเป็นควันคลุ้งไปทั้งโรง
ศิษย์รุ่นน้องสามคนมารับเสื้อคลุมที่อูทินลิน อองนาย และศิษย์เอกถอดส่งให้ ก่อนจะกว้าลงไปแช่ในอ่าง
อูทินลินหันมามองอองนายที่แช่น้ำว่านนิ่งอยู่
"พวกเราถูกคัดเลือกให้ธำรงความยิ่งใหญ่ให้กับแผ่นดิน เราต้องกล้าสังหารทุกคนที่ขัดขวางงานของเรา อย่าใจอ่อนเด็ดขาด"
อองนาย นิ่ง แต่แววตานั้นอ่อนไหว หนักใจ
"แต่มนุษย์จะหมดความเมตตาได้อย่างไร"
"นั่นไม่ใช่วิถีของเรา....อย่าใจอ่อน อองนาย"
พูดจบอูทินลินก็เลื่อนตัวจมลงไป อองนายยังสงสัยในคำกล่าวของอูทินลิน มองจอกยีโบอย่างไม่แน่ใจ
จอกยีโบยังคงนั่งบริกรรมต่อไปเรื่อยๆ อองนายค่อยๆเลื่อนตัวจมน้ำหว่านไป....จนมิด
ใจนิ่งเงียบ สไบขยับตัวมอง ถามด้วยเสียงสดใส
"สัญญานะ พี่ต้องพาฉันไปที่บ้านพี่"
"พี่อยากพาสไบไปซะตั้งแต่ตอนนี้"
สไบยิ้มกว้าง
" รอข้าศึกมันถอยกลับอังวะไปหมดแล้ว เราค่อยไปกันนะจ๊ะ"
ใจฟังแล้วกอดสไบแน่น
"ข้าศึกมีเป็นหมื่นเป็นแสนนะ สไบ ถ้าไม่ได้กรุงศรี เขาจะไม่มีวันถอยกลับอังวะ"
"ฉันไม่ยอมดอก ฉันจะสู้ เราจะช่วยกันขับไล่พวกอังวะออกไปจากแผ่นดินของเรา พวกมันต้องแพ้"
ใจตอบไม่ออก มองสไบแล้วดึงมาแนบอก หลบซ่อนสายตากดดัน
"อีกไม่นาน ทุกอย่างมันต้องจบสิ้น ถึงวันนั้น จะมีแค่เรา สไบกับพี่ พี่จะพาสไบไปอยู่ที่บ้าน .... บ้านของเรา มีลูกเล็กๆวิ่งกันสี่ห้าคน พี่จะดูแลสไบให้สมกับที่พี่รักสไบตั้งแต่แรกเห็น"
สไบยิ้มในอกใจที่วาดหวังด้วยสายตามีความสุข
บรรยากาศเช้ามืด แสงทองจับขอบฟ้า เม็ดฝนเกาะใบไม้เขียวชุ่มชื่นไปทั่ว อ้ายเลาเดินเหยาะย่างมา ทัพมีแฟง นั่งอยู่ในอก สองคนมองอาทิตย์จับขอบฟ้าด้วยสายตามีความสุข
ขาบ / เคลิ้ม / เอิบ / ช่วง / ชาวค่ายกำลังซ้อมดาบ เฟื่องและพวกผู้หญิงหาน้ำให้กิน ยามหอค่ายตะโกนด้วยความดีใจ
"พ่อทัพกับแม่แฟงกลับมาแล้ว พ่อทัพกับม่แฟงกลับมาแล้ว...เปิดประตูเร็ว"
เฟื่อง / ขาบ / เคลิ้ม / เอิบ / ช่วง / ชาวบ้านหยุดทำงานขยับมาดู
ประตูค่ายเปิดออก ทัพกับแฟงที่เข้ามาในค่าย ชาวค่ายต่างเข้ามาแสดงความดีใจ ทัพอุ้มแฟงลงจากอ้ายเลา เฟื่องกับขาบวิ่งมาหา ทัพกับแฟงหันมามองเฟื่องกับขาบที่ยืนเคียงกัน
"พี่เฟื่อง"
เฟื่องกับขาบเดินมาหาทัพกับแฟงด้วยรอยยิ้ม แฟงไม่กล้าเข้าใกล้เฟื่อง
"เป็นยังไงบ้างแฟง"
"เราโดนพวกอังวะไล่จนหนีลึกเข้าไปในป่า" ทัพบอก
"ฝนตกหนักทั้งคืนด้วย" ขาบบอก
"ดีแล้วที่ไม่มีใครออกไปตามข้ากับแฟง"
ทัพแววตายิ้ม เฟื่องกับขาบมอง แฟงหน้าแดงอาย
"ฉันไปหาแม่ก่อนนะ"
แฟงวิ่งไปด้วยความอาย เฟื่องอมยิ้ม เดินตามไป
"ฉันไปคุยกับแฟงก่อนนะ"
เฟื่องเดินตามแฟง ขาบหันมามองทัพทันที
"ไอ้ทัพ ... เอ็งกับแฟง"
"ไอ้บ้าขาบ... เอ็งไม่ต้องมองข้าด้วยสายตาอย่างนั้น ข้าไม่ได้ทำอะไรแฟงให้เสียหายเด็ดขาด ฝนตก ข้าก็ติดฝน แล้วแฟงก็หลับไปจนเช้า"
"นี่เป็นเอ็งนะ ข้าถึงเชื่อว่าเอ็งพูดจริง" ขาบว่า
"เชื่อเถอะ ถ้าข้าจะรักหญิงคนไหน ข้าจะให้แต่ความยกย่อง เทิดทูน"
ทัพมองตามแฟงไปด้วยรอยยิ้มสุขใจ แล้วหันมาบอกเอิบกับช่วง
"ข้าถูกพวกอังวะมันไล่ยิงเกือบตาย....ดีว่าแฟงช่วยทำแผลให้"
เอิบช่วงเข้ามากอดทัพ อุ้มโยน
เอิบบอก
"โธ่..ข้าหลงเป็นห่วงทั้งคืน"
"ดีใจจริงๆที่พี่กลับมาปลอดภัย.....เฮ" ช่วงบอก
ชายฉกรรจ์เข้ามาแบกทัพโยนอย่างดีใจ ไชโยโห่ร้องกันยกใหญ่
แฟงเดินเร็วมาด้วยความอาย เฟื่องเดินมาดึงมือแฟงไว้ มองด้วยสายตาอยากรู้
"พี่เฟื่อง มันไม่ใช่อย่างที่พี่กำลังคิด"
เฟื่องอมยิ้ม
"รู้รึ พี่คิดอะไร"
"ฉันกับพี่ทัพติดฝนเท่านั้นจริงๆ พี่ทัพโดนไล่ยิงจากพวกทหารอังวะ อ้ายเลามันเตลิดเข้าไปในป่า แต่พวกข้าศึกก็ถูกพี่ทัพฟันจนละเอียด"
"พอแล้ว แฟง"
เฟื่องจับมือแฟงกระตุกห้ามเบาๆ พร้อมอมยิ้ม
"พี่เชื่อ ผู้ชายอย่างพี่ทัพหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว"
แฟงยิ้มโล่งใจ
"แม่คงจะบ่นฉันสามกระบุงโกย"
"บ่นก็ต้องฟัง เตรียมก้นไว้ด้วย แม่บอกว่าจะตีเสียให้เข็ดที่หนีออกไปสนามรบ"
แฟงทำหน้ากลัว เฟื่องหัวเราะ แฟงรีบวิ่งไป เฟื่องมองแล้วยิ้มคลายยิ้มลง เปลี่ยนสีหน้าเป็นเศร้าลง
"พี่รู้ดีแฟง รู้มาก่อน รู้แก่ใจตัวเองที่สุดว่า ผู้ชายอย่างพี่ทัพหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว"
เฟื่องแววตาเศร้าลงชั่วขณะเมื่อนึกถึงคนรักเก่า
ทัพยืนอยู่กับสังข์ ขาบ สีหน้าทัพเต็มไปด้วยความสงสัย
"ครั้งที่ผ่านมาเราถูกพวกข้าศึกล้อมไว้ถูกทุกด้าน ถ้าไม่มีพวกพ่อแท่นตามไปช่วยตีกระหนาบ เราเห็นจะชนะยากเต็มที" ทัพบอก
"เอ็งสงสัยว่า จะมีหนอนบ่อนไส้" สังข์ว่า
"ใช่ มันวางแผนตั้งรับเราได้ถูกหมด ข้าว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันจงใจ"
"แล้วเอ็งสงสัยใคร" ขาบถาม
"ไอ้ใจ" สังข์บอก
ด้านหลัง ใจลอบฟังอยู่ด้วยสายตาคมปลาบ
"ทำไมเอ็งคิดว่าไอ้ใจ" ทัพถาม
"มันไม่มีหัวนอนปลายตีน มาจากไหนก็ไม่รู้ ถึงมันเคยช่วยสไบกับพวกกระทุ่มด่านไว้หลายครั้ง ข้าก็ไม่วางใจ"
"ข้าจะไม่กล่าวหาใคร ถ้าไม่มีหลักฐาน" ทัพบอก
" ข้าจะช่วยดูอีกแรง ไม่ว่าใครข้าจะไม่ปล่อยให้มันลอบกัดเราอีก" ขาบบอก
ทัพ ขาบ สังข์เดินไปทางลานซ้อมอาวุธ ใจขยับออกมาจากที่ซ่อน แววตาใจกร้าวขึ้นเมื่อรู้ว่ากำลังถูกเพ่งเล็ง
สไบกำลังป้อนข้าวดอกรัก ดอกรักปัดมือ
"ข้าไม่กินของพวกศัตรู"
ข้าวหกกระจายเกลื่อน สไบมองอย่างอดทน ใจเย็น
"กินสักนิดนะ พี่ดอกรัก"
สไบเก็บข้าวที่หกใส่จาน ดอกรักมองจ้อง
"เอ็งมันโง่"
สไบหันมองดอกรักอย่างไม่ถือสา
"ข้าเตือนแล้ว เอ็งจะถูกหลอก สไบ .. เอ็งกำลังถูกหลอก"
"พี่ดอกรัก พี่จำฉันได้แล้วเหรอ"
สไบเข้าไปจับดอกรักที่แววตาสับสน มึนงง วูบหนึ่งที่จำสไบได้
"สไบ"
"พี่ดอกรัก พี่จำฉันได้แล้วใช่มั้ย"
"สไบ ไอ้ใจมันหลอกเรา มันเป็นพวกศัตรู"
ดอกรักบอกสไบด้วยสติที่กลับมาเป็นคนเดิม เจิดก้าวเข้ามา สไบ ดอกรักหันไปมอง พอเห็นเจิดก็พุ่งพรวด
"มึง .. ไอ้พวกอังวะ"
เจิดทำเป็นยืนเฉย ตีสีหน้าไม่รู้เรื่อง ดอกรักพุ่งเข้าหา สไบขวาง
"พี่ดอกรัก อย่า"
ดอกรักไม่ฟังใคร ด้วยความแค้นฝังใจ ผลักสไบพ้นทาง
ดอกรักพุ่งเข้าบีบคอเจิด
"มึง"
สไบล้มไปหัวกระแทกเสา ร้องครางขึ้น
"พี่ดอกรักอย่า"
ดอกรักไม่สนใจ เลือดขึ้นหน้า บีบคอเจิด
"มึง ไอ้พวกอังวะ มึงหลอกกู"
เจิดมองดอกรักที่แววตากลับมาเป็นคนเดิม ก็จับสองมือดอกรักไว้ จ้องด้วยแววตาน่ากลัว
ดอกรักเหวี่ยงเจิดไป เจิดทำเป็นล้มกลิ้งกับพื้น
"กูจะฆ่ามึง"
ดอกรักพุ่งจะเข้าไปเตะซ้ำ สไบเข้ามาดึงดอกรักไว้สุดแรง
"พี่ดอกรัก อย่าทำพี่เจิด"
ดอกรักเหวี่ยงสไบพ้นทางด้วยความโกรธ ร่างสไบปลิวไปกระแทกเสาด้วยแรงของดอกรัก
"โอ๊ย"
ดอกรักได้สติ หันไปมอง สไบเลือดอาบหน้า
"สไบ"
ดอกรักเข้าไปประคองสไบที่หัวแตก ไว้ทันที
"สไบ พี่ขอโทษ"
ด้านหลังเจิดกำลังจะเดินเข้ามาทางดอกรัก
เอิบ ช่วงโผล่พรวดเข้ามา
"มีอะไรกัน ... เสียงเอะอะอะไร"
เจิดต้องหยุด ช่วงมองไป
"เฮ้ย ... ไอ้ดอกรักเอ็งทำอะไรสไบ"
เอิบ ช่วงรีบเข้าไปดูสไบ เจิดจ้องมองไปที่ดอกรักด้วยสายตาไร้ความปรานี
ทัพ สังข์ ขาบมองเฟื่อง แฟงช่วยทำแผลเอาผ้าปิดหัวสไบที่แตก เอิบ ช่วงมองอยู่ใกล้ๆ
"ไอ้ดอกรักนี่มันบ้า ทำร้ายกระทั่งสไบ"
"ไม่ใช่หรอกจ้ะ พี่ดอกรักเริ่มจำฉันได้แล้วต่างหาก"
แฟงถาม
"จำได้ทุกอย่างเลยเหรอ"
"จำได้ แล้วก็พูดเรื่องนั้นอีก .. หาว่าพี่ใจ พี่เจิดเป็นทหารอังวะ"
ทัพนิ่งฟัง สีหน้าข้องใจ
ท่าน้ำหลังค่าย ใจมองเจิดที่พุ่งเข้ามาหา สีหน้าเครียด
"ฆ่าไอ้ดอกรักซะ อองนาย ถ้ามีคนเชื่อมันเราจะตายอยู่ที่นี่" เจิดว่า
ใจสีหน้าอึดอัด เจิดเร่ง
"อย่าใจอ่อน อองนาย ข้าเคยบอกแล้วว่าเราต้องฆ่ามัน แต่แกเห็นแก่สไบ เรื่องมันถึงยุ่งแบบนี้ ถ้าแกไม่ลงมือ ฉันจะฆ่ามันทั้งสองคน"
"พี่ฆ่าสไบไม่ได้ สไบเป็นเมียฉัน"
"เมียคนไทย คิดว่าสยาจะรับได้หรือ อองนาย"
ใจมองเจิดอย่างกดดัน
"แกมาทำหน้าที่อะไรที่นี่ อองนาย อย่าลืมสิว่าเราเป็นศัตรูพวกมัน เราต้องทำให้มันแพ้ เราต้องการเสบียงไปเลี้ยงกองทัพเพื่อตีโยธยาให้ราบ ไม่ใช่มาคอยช่วยพวกมัน"
"ฉันรู้ ไม่ต้องย้ำ ฉันสอดแนมพวกมันจนเราเกือบชนะ"
"เกือบไม่ได้ เราต้องชนะเท่านั้น เราสาบานแล้วว่าจะทำทุกอย่างเพื่อพระเจ้ามังระ ที่นี่ไม่ใช่แผ่นดินของเรา ผู้หญิงไทยไม่ได้มีไว้รัก ไม่ได้มีไว้เป็นเมียที่เราจะยกย่อง"
"แต่ฉันรักสไบ ฉันจะพาเค้ากลับอังวะ อูทินลิน...ฉันขอชีวิตสไบไว้คนเดียว"
ใจมองเจิดขอร้อง เจิดมองตัดสินใจแล้วพยักหน้า
"ฉันให้ได้แค่ชีวิตผู้หญิงคนนั้น แต่แกก็รู้ว่าความรักของแกกับสไบไม่มีวันสมหวัง จะไม่มีใครยอมรับผู้หญิงไทย"
"ฉันไม่สนใจ ถึงตอนนั้น กลับไปด้วยชัยชนะ ฉันจะขออะไรก็ได้"
ใจแววตาแน่วแน่
"ไม่ต้องห่วงอูทินลิน กรุงโยเดียจะต้องแหลกเพราะกองทัพอังวะของเราแน่ และฉันจะฆ่าดอกรักเอง ฉันจะทำให้ค่ายระจันนี้แตกให้เร็วที่สุด"
ใจกับเจิดมองกัน สายตาใจมองคิดอย่างรอบคอบ แต่สายตาเจิดกลับไม่เชื่อว่าใจจะทำได้
ทัพนั่งลงตรงหน้าดอกรักที่ถูกล่ามโซ่ไว้ รีบถามทัพ
"สไบ สไบเจ็บมากหรือเปล่า ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้สไบหัวแตก"
"สไบไม่เป็นไรแล้ว ... ใจเย็นๆ"
ทัพเอาน้ำเย็นเข้าลูบ บอกดอกรักที่สีหน้าร้อนรน
"ค่อยๆนึกสิ ดอกรัก วันนั้น ที่เอ็งถูกทำร้าย เอ็งจำหน้าคนที่ทำได้ใช่มั้ย"
ดอกรักกุมหัว พยายามนึกทบทวน
"ไอ้ใจ"
ทัพนิ่วหน้าทันทีที่ได้ยินชื่อใจ
"เอ็งแน่ใจหรือเปล่า ลองคิดดีดี"
"ฉันสงสัย ฉันตามมันออกไป ฉันเห็นไอ้ใจมันกำลังคุย คุยกับ ..."
ทัพมองลุ้นดอกรักที่พยายามคิด ดอกรักกุมหัว ส่ายหน้า
"ใคร สักคน"
ทัพมองผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังให้กำลังใจดอกรัก
"ไม่เป็นไร เอ็งพักก่อน ... ค่อยๆคิด วันไหนคิดออก บอกข้านะ ดอกรัก"
ดอกรักมองทัพที่บอกอย่าปลอบประโลม
"บอกข้าคนเดียว อย่าพูดกับคนอื่น ไม่อย่างนั้นสไบจะเดือดร้อน"
ดอกรักจับมือทัพอย่างขอร้องด้วยสติที่คิดห่วงแต่สไบ
"ช่วยสไบด้วย อย่าให้สไบถูกพวกมันฆ่า ... ช่วยสไบด้วย"
"ข้าจะช่วยทุกคน ถ้าเราจับได้ว่าใครมันมาสอดแนมส่งข่าวให้พวกอังวะ ค่ายระจันเราจะปลอดภัย"
สายตาทัพมองไปไกล คิดหาทางจัดการเรื่องสายลับ
สไบกำลังตักข้าว เตรียมสำรับให้ดอกรัก แฟง เฟื่องช่วยงานในครัว อีกทางรุ่งกำลังตำน้ำพริก
รุ่งบอก
"ไอ้ดอกรักนี่มันผีเข้าผีออก พวกเราอย่าไปเข้าใกล้มันเชียว เกิดมันบ้าขึ้นมา บีบคอเราตายเลย"
เจิดลอบมาจากด้านข้างกองฟืน แอบราดน้ำมันลงไปที่กองฟืน
"พี่ดอกรักไม่ทำร้ายใครหรอกจ้ะ" สไบบอก
"หัวเอ็งนั่น คงเดินชนเสาเองสินะ"
รุ่งประชด แฟงที่กำลังขูดมะพร้าว กระแทกกะลาแรง ไม่พอใจ รุ่งขยับถอยห่างทันที
"ถ้าพี่ดอกรักเป็นบ้า ถือมีดไล่ฟันปากคนพูดมากนี่ก็คงดีนะ คนเขาว่าอย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา"
แฟงตวัดสายตาไปทางรุ่ง รุ่งมุบมิบแต่ไม่กล้า เจิดหยิบฟืนติดไฟจากเตาใหญ่ โยนลงไปที่กองฟืนที่ราดน้ำมัน
ไฟลุกพรึ่บ วาบติดเตา รุ่งร้องลั่น
"ว๊าย อกอีรุ่งจะแตก ฟืนติดไฟ ... ไฟไหม้ ไฟไหม้"
กองฟืนไฟลุกติดพรึ่บ ชาวบ้านหญิงวี๊ดว๊าย ตกใจ สไบ แฟง เฟื่องทิ้งงานในมือทันที
"เอาน้ำมา"
แฟงวิ่งเร็วไปหยิบกระชุตักน้ำในโอ่ง ไฟลุกโหมแรง เฟื่องคว้าน้ำใกล้มือสาดเข้าไปก่อน
ทุกคนพากันไปวุ่นกับการดับไฟอีกด้าน
ที่สำรับ เจิดลอบมาเทผงยาพิษสีขาวลงไปในสำรับข้าวดอกรัก
"ถอยไป"
ทุกคนหันมอง แฟงยกถัง สาดน้ำโครมใหญ่เข้าไปในกองฟืน
ไฟดับลงทันที ทุกคนสีหน้าโล่ง
"อยู่ๆฟืนมันติดไฟได้ยังไง สะเก็ดไฟจากเตาหุงข้าวหรือเปล่า"
รุ่งหันไปทางชาวบ้านหญิงอีกคนที่หน้าตาไม่รู้เรื่อง
"ช่วยๆกันระวังหน่อยแล้วกัน"
เฟื่องเตือน ทุกคนกลับเข้าที่ทำงานกันต่อ สไบเดินกลับมาที่ถาดอาหาร
"ฉันเอาข้าวไปให้พี่ดอกรักก่อนนะ"
สไบยิ้มมองทุกคน ยกถาดสำรับออกไป แฟงขยับ
"ฉันไปด้วย"
แฟงเดินออกไปกับสไบ
มุมหนึ่ง เจิดลอบมองอยู่ด้วยสายตาเหี้ยม
ทัพมองสไบที่เอาสำรับวางลง แฟงนั่งใกล้ทัพ ดอกรักนั่งกอดเข่านิ่ง อยู่ในภวังค์ของตัวเอง
"พี่ดอกรักจ้ะ"
ดอกรักเงยมองแววตาว่างเปล่า แฟงหันไปถามทัพ
"จำใครไม่ได้อีกแล้วเหรอ"
"จำได้บ้าง เดี๋ยวๆก็ลืม"
สไบจะป้อนข้าว แต่ดอกรักยังเหม่อลอย ไม่ยอมกิน
"กินสักนิดนะจ๊ะ พี่จะได้มีแรง"
ดอกรักมองข้าวในจาน แล้วพูดออกมา
"ข้าว"
"จ้ะ ข้าว ข้าวนาบ้านระจัน พวกเราปลูกไว้เลี้ยงชาวค่าย"
สไบมองดอกรักที่แววตาอยู่ในภวังค์แล้วยิ้มให้
"ที่สามโก้ พี่กับฉันเคยทำนาด้วยกัน ข้าวของพี่เป็นข้าวพันธุ์ดีกว่าใครๆ พี่จะตั้งใจคัดพันธุ์เก็บไว้ปลูกในปีต่อๆไปเสมอ พี่บอกฉันว่าอยากให้ลูกหลานเรามีข้าวดีดีกิน เกิดเป็นคนไทต้องได้กินข้าวอร่อย"
ดอกรักพยายามนึกตามคำบอกเล่าของสไบอย่างตั้งใจ....
เสียงเพลงเกี่ยวข้าวค่อยๆดังขึ้น
ทุ่งนาสามโก้ รวงข้าวเหลืองอร่ามงดงาม กำลังถูกเคียวของสไบเข้ามาเกี่ยวขาด สไบกำลังเกี่ยวข้าวในนา มีดอกรักเดินเกี่ยวอยู่ข้างๆ สองคนยิ้มแย้มพูดคุยกัน ด้านหลังคือชาวบ้านที่กำลังช่วยเกี่ยวข้าวในนา
ชาวนากำลังเกี่ยวข้าวร้องเพลงกันอย่างมีความสุข
สไบกับดอกรักกลางทุ่งนา มองกันด้วยความชื่นใจ
ข้าวเหลืองออกรวง เมล็ดข้าวเต็ม สไบประคองต้นข้าวที่กำลังหอมมาดมด้วยความชื่นใจ
ชาวบ้านที่มาช่วยกันลงแขก เสียงร้องเพลงเกี่ยวข้าว ดังในสายลมหน้าหนาว
สไบกับชาวบ้านหญิงกำลังเกี่ยวข้าวหยอกล้อกันอย่างมีความสุข ดอกรักมองอย่างมีความสุข
รวงข้าวมากมายไหวลู่ลมไปทั้งทุ่ง ดอกรักกับชาวบ้าน เต้นหยอกล้อกันอย่างมีความสุข
สไบกำลังช่วยชาวนาเกี่ยวข้าว มองหัวเราะชอบใจ
ชาวบ้านที่เกี่ยวข้าวต่างยิ้มให้กันด้วยสีหน้าสุขใจ พร้อมกับร้องเพลงตามกันไปเรื่อยๆ
ทุ่งนาสีเหลืองทองอร่ามไปทั้งทุ่งสุดลูกหูลูกตา
ดอกรักหยิบข้าวขาวสวยในจานที่สไบถือขึ้นมา
"แผ่นดินเราอุดมสมบูรณ์ ดินดีน้ำดี ข้าวงามงอกเงยเต็มทุ่ง พวกเราไม่เคยอดอยาก ศัตรูถึงบุกมารุกมาราน เพราะอยากเป็นเจ้าของแผ่นดิน"
"อังวะ ศัตรู มันจะมาแย่งข้าวเรา ข้าจะฆ่ามัน"
"พี่ดอกรัก ... พี่จำได้แล้วใช่มั้ย"
สไบมองดอกรักที่สีหน้ามีความทรงจำกลับมาเป็นเสี้ยวๆ
"มันจะมาแย่งข้าว ข้าไม่ให้ ข้าจะเก็บไว้ให้ลูกหลาน...ไท"
ดอกรักมองสไบแล้วย้อนนึก
เมล็ดข้าวสวยในมือ ดอกรักดม แล้วยิ้มให้สไบ
"ข้าวหอมปิ่นแก้ว"
สไบยิ้ม น้ำตาไหล รู้ว่าดอกรักจำได้แล้ว
"จ๊ะ..ข้าวหอมปิ่นแก้วที่พี่หวงนักหวงหนา พันธุ์ที่พี่ชอบกิน กินซิจ๊ะ"
ดอกรักค่อยๆเอาเข้าปาก แล้วเคี้ยวอย่างอร่อย สไบมองแล้วยิ้ม กระเถิบไปใกล้ เอากับป้อนถึงปากดอกรัก
"กินเถิดนะจ๊ะพี่ กินให้หมด กินให้มีเรี่ยวแรงรบ"
ดอกรักเปิบข้าวอย่างเอร็ดอร่อย สไบยิ้ม
"เราจะรบ เพื่อรักษาดิน รักษาน้ำ รักษาข้าวให้เป็นเลือดเป็นเนื้อต่อไปแก่ลูกหลานไท"
สไบยิ้มมองดอกรักที่กินข้าวเปล่าด้วยความอิ่มเอมใจ สไบเปิบกับข้าวป้อนถึงปากดอกรักที่กลายเป็นคนสงบเสงี่ยม ไม่อาละวาด
แฟงกับทัพมองสไบที่ป้อนข้าวดอกรักด้วยความตื้นตันใจ
"น่าสงสาร ทั้งสไบ ทั้งพี่ดอกรัก" แฟงว่า
ดอกรักเคี้ยวข้าวไปอีกสองสามคำ ก็เกิดอาการตัวเกร็ง มือไม้เกร็ง หายใจไม่ออก ลงไปดิ้นชักกับพื้น
ทุกคนตกใจ สไบร้อง
"พี่ดอกรัก"
ทัพพุ่งเข้าไปที่ดอกรักทันที
"พี่ดอกรักเป็นอะไร" สไบถาม
ดอกรักเริ่มน้ำลายฟูมปาก เกร็งทั้งร่าง ทัพมองแล้วรู้ทันที
"ดอกรักถูกวางยา...แฟง ไปตามหมอมาเร็ว แล้วให้ไอ้เอิบไอ้ช่วงไปตามไอ้สังข์ ไอ้ขาบมาด้วย"
แฟงวิ่งพรวดออกไปทันที สไบหน้าตาตื่นกลัว ทัพช้อนร่างดอกรักขึ้น แต่ดอกรักอาเจียนออกมาอย่างหนัก
ใจกำลังฝึกซ้อมมวยอยู่กับหมู่เคลิ้ม และผู้ชายคนอื่นๆ สังข์ ขาบยืนมองจ้องใจอย่างสังเกต
เอิบ ช่วงวิ่งมาหน้าตาตื่น
"ไปเร็ว ... ไอ้ดอกรักถูกวางยา"
สังข์ ขาบวิ่งออกไปกับเอิบ ช่วง ทันที
ใจหันไปมองสังข์ ขาบที่วิ่งออกไป สังหรณ์ใจว่า เกิดเรื่องขึ้นแล้ว
ทัพมองพ่อหมอที่กำลังยัดยาว่านเข้าไปในปากดอกรัก สังข์ ขาบ เอิบ ช่วงช่วยกันจับแขนจับขายึดดอกรักไว้
ดอกรักดิ้นพราดๆ เฟื่อง สไบมองตกใจอยู่ด้านหนึ่ง
ด้านนอก ใจลอบมองเข้ามา สีหน้าไม่ดีเมื่อเห็นอาการดอกรักที่ดิ้น ถุยยาออก พร้อมอาเจียน หมอหมดแรงเอายาให้ดอกรักกิน ทัพพุ่งเข้าไปหยิบยาจากมือหมอยัดลงไปปากดอกรักเอง ดอกรักดิ้นแรง กัดมือทัพ แต่ทัพทน ใจมองแล้วถอยหลบไป
ดอกรักกระตุกร่างอีก สองสามครั้งแล้วแน่นิ่ง
"พี่ดอกรัก"
สไบพุ่งเข้ามาใกล้ด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เป็นไรแล้ว ยากำลังขับพิษ" หมอบอก
"นี่มันถึงกับวางยาในข้าว ไอ้ดอกรักมันคงเห็นหน้าไอ้อังวะนั่นจริงๆ"
"ใคร .. พี่ดอกรักเห็นหน้าใคร " สไบถาม
ทุกคนมองทัพที่สีหน้าเครียดอย่างมาก เพราะรู้ว่าดอกรักหมายถึงใจ
ใจผลักเจิดกระแทกต้นไม้ด้วยความโมโห
"ฉันบอกแล้วว่าอย่าเพิ่งลงมือ พวกมันกำลังสงสัยเรา"
"เอ็งไม่มีวันฆ่าไอ้ดอกรัก เอ็งมันใจอ่อน เพราะเอ็งสงสารสไบ"
"ฉันทำได้"
"ก็ทำสิวะ อย่ามัวแต่รอ หรือจะให้พวกบ้านระจัน มันจับได้ แล้วเอาดาบตัดคอเราก่อนรึไง"
เจิดถามเสียงเข้ม ใจมองด้วยความอึดอัด หันหลังเดินออกไป เจิดมองอย่างผิดหวังในตัวใจอย่างมาก
เวลาต่อมา ใจเดินหน้าเครียดเข้ามา ทัพ สังข์ ขาบที่ก้าวมายืนขวางหน้า
"ข้ามีเรื่องจะคุยด้วยหน่อยใจ" ทัพว่า
ใจยิ้ม ทำใจดีสู้เสือ
"มีเรื่องอะไรหรือทัพ"
"เอ็งรู้หรือยังว่าดอกรักถูกวางยาพิษ"
"เมื่อไหร่ .. ใครมันทำชั่วขนาดนั้น"
ใจตีสีหน้าไม่รู้เรื่อง ท่ามกลางสายตาสังเกตของทัพ สังข์ ขาบ
สไบนั่งเฝ้าดูดอกรักที่อาการสงบนิ่ง
"พี่ดอกรักคงไม่เป็นอะไรแล้วจ้ะ"
เอิบ ช่วง ฟักมองกัน
"ดูมันดีๆล่ะ มีอะไรก็ตะโกนเรียกเลยนะ"
"พวกพี่อยู่แถวนี้ มีอะไรไม่ชอบมาพากล ก็ร้องเลย" ฟักบอก
"ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนสไบ" แฟงบอก
"มีน้องแฟงอยู่ด้วยก็หายห่วง ตะโกนเสียงดังๆข้ามคลองไปทางโน่นเลยนะจ๊ะ" ช่วงว่า
แฟงซัดผัวะเข้ากลางหลังช่วง
"ไป ไปดีกว่า"
ช่วงออกไปก่อน เอิบตามไป แฟงมองพี่ชายแล้วเรียก
"พี่ฟัก พวกสอดแนมนี่น่ากลัวนะ นึกไม่ออกเลยว่ามันเป็นใคร"
ฟักมองน้องอย่างเห็นใจ
"ระวังตัวไว้มากๆ ข้าศึกที่มันกำดาบพุ่งมาฟันยังไม่น่ากลัวเท่า"
ฟักมองสไบ
"สไบก็เหมือนกัน อย่าวางใจใครง่ายๆ อย่าบอกเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องบอกใคร"
สไบยิ้ม
"จ้ะพี่"
ฟักออกไป แฟงหันมายิ้มให้กำลังใจสไบ
สไบถามขึ้น สายตาที่มองดอกรักมีแต่ความสงสาร
"ฉันอยากเห็นหน้าไอ้คนใจร้ายคนนั้น อยากจะถามมันว่า ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า"
ใจมองทัพด้วยสายตาไม่ตื่นเต้น ตกใจ
"เอ็งจับตัวมันได้ไม๊"
"ไม่ได้ ... เอ็งล่ะพอรู้ไม๊ว่ามีใครที่ไม่ชอบใจไอ้ดอกรัก ถึงขนาดอยากให้มันตาย"
ทัพกับใจประสานสายตามองกันอย่างวัดใจ
กลางคืนต่อเนื่อง เจิดปิดหน้าอำพรางตัวในความมืด มุ่งตรงไปที่เรือนดอกรัก
ด้านในกระท่อม สไบกับแฟงนั่งเฝ้าอาการดอกรัก
ดอกรักเริ่มมีอาการแปลกๆ เส้นเอ็นเส้นเลือดโปนแดงขึ้นเต็มคอ
"แฟง....ดูพี่ดอกรักซิ เป็นอะไรไม่รู้"
สไบกับแฟงมองตกใจ สไบรีบเขย่าร่างดอกรัก
"พี่ดอกรัก ... พี่เป็นอะไร พี่เป็นอะไรพี่ดอกรัก"
ดอกรักดิ้นทุรนทุราย
ร่างเจิดที่พุ่งเข้ามาทางประตู แฟงหันไปเห็นพอดี ตกใจ
"สไบระวัง"
แฟง หันไปกระชากมีดที่เหน็บฝามากำไว้ในมือไว้เตรียมพร้อม
"แก"
เจิดที่ไม่คิดว่าแฟงจะอยู่ด้วย
"แฟง ... ระวัง"
เจิดพุ่งเข้าหา แฟงถือมีดไว้
"สไบ ออกไปเรียกพี่ทัพ เรียกทุกคนมาเร็ว"
สไบมองหาทางออก เพราะเจิดขวางประตู
สไบตัดสินใจจะโดดออกทางหน้าต่าง เจิดพุ่งเข้าไปกระชากสไบ แฟงได้โอกาสพุ่งเข้าจ้วงแทงลงที่แขนเจิด เจิดสะดุ้งด้วยความเจ็บ แต่ไม่ยอมปล่อย กระชากสไบกลิ้งลงมา ทำเอาตะเกียงหล่นไหม้บ้านซ้ำอีก
สไบล้มลงกับพื้น แฟงพุ่งเข้าหา แต่เจอเจิดหันมาตบกลิ้งไปกับพื้นอีกคน
ไฟลุกโหม ควันทั้งห้อง สไบกับแฟงสำลักควัน
ท่ามกลางควันไฟ สไบมองเห็นเจิดเดินย่างสามขุมเข้าไปทางดอกรัก
"อย่า"
อ่านต่อหน้า 3
บางระจัน ตอนที่ 9 (ต่อ)
ทางเดินในค่ายระจัน แถวลานชนไก่ เวลากลางคืน ทัพมองใจด้วยสายตาสังเกต
"ดอกรักมันพูดถึงแต่ชื่อเอ็ง ว่าเป็นพวกสอดแนมอังวะ"
"ดอกรักไม่ชอบหน้าฉันเพราะเรื่องสไบอยู่แล้ว"
"แล้วทุกครั้งที่พวกข้าออกไปรบ เอ็งอยู่กับใคร"
สังข์ถามคาดคั้น หวังว่าใจจะตอบไม่ได้ แต่ใจตอบออกมา เสียงหนักแน่น
"ฉันอยู่กับสไบ"
สไบร้องห้ามเจิดที่ปิดหน้าอำพรางตัว
"อย่า.. อย่าทำพี่ดอกรัก"
เจิดไม่สน เดินตรงเข้าหาดอกรัก
สไบวิ่งพุ่งฝ่าควันเข้าไป แฟงที่กำลังสำลักควัน มองตกใจ สไบกอดกลางตัวเจิดไว้ เจิดจิกหัวสไบหน้าหงาย จังหวะนั้น สไบมองแววตาที่จ้องมาแล้วสะดุดใจ พึมพำเสียวแผ่ว
"พี่เจิด"
เจิดตกใจที่สไบเรียกชื่อ เลยเหวี่ยงสไบกระแทกฝาเรือน แล้วรีบพุ่งไปทางดอกรัก
เจิดดึงมีดสั้นที่พกในเอวออกมา ดอกรักลืมตาขึ้นมา เห็นเจิดกำลังจะจ้วงแทงลงมา
ดอกรักคว้ามือเจิดไว้ก่อนมีดจะแทงลงที่อกตัวเอง แฟงชักมีด ลุกวิ่งฝ่าควันเข้าไป จ้วงแทงจากด้านหลัง ตรงไหล่เจิด
เจิดร้อง ดอกรักพยายามดันมีดขึ้น แต่เจิดกัดฟัน แฟงกำลังจะแทงเจิดซ้ำ เจิดทุ่มแรงทั้งหมดกระแทกมีดลงปักกลางอกดอกรัก
ดอกรักสะดุ้งทั้งร่างด้วยความเจ็บ จ้องตา
"มึง .. ไอ้เจิด"
เจิดบิดมีดกระชากออก เลือดทะลักกลางอกดอกรัก แฟงพุ่งเข้าหา เจิดหันมาเตะแฟงกระเด็นไปสุดเรือนอีกด้าน
สไบเห็นภาพดอกรักกำลังสำลักเลือด
"พี่ดอกรัก"
เจิดเดินเข้าหาสไบ ท่ามกลางเปลวไฟที่กำลังพวยพุ่ง สไบมองมีดในมือเจิดที่มีเลือดดอกรักหยดลงมา
เจิดเข้ามากระชากหัวสไบ ยกมีด จะจ้วงแทงลงไปที่สไบ
เอิบ ช่วงที่กำลังทำความสะอาดไก่ชนอยู่ ช่วงนั่งท่องบทสวดมนต์อยู่
"อะหังภันเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ. ทุติยัมปิอะหังภันเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ.ตะติยัมปิอะหังภันเต, ปัพพัชชัง ยาจามิ"
เอิบบอก
"สักวันนะไอ้ช่วง เสร็จศึก กูจะขึ้นพิษณุโลก ไปหาพันธุ์เหลืองหางขาวอย่างพระนเรศวรมาเลี้ยงให้ได้"
ช่วงบอก
"ถุย ไอ้เอิบ มึงเป็นไพร่ อย่าสะเออะเป็นเจ้าของไก่เจ้าเลี้ยง ไก่พระนเรศวร พระองค์ชนเอาบ้านเอาเมือง ไก่มึง..ชนกับใครกูเห็นแพ้ทุกที กูว่าต้มกินอร่อยที่สุด"
"เดี๋ยวกูดีด..ถ้ามึงต้มไก่กูกิน กูจะสับมึงยับแน่"
เอิบอุ้มไก่ ลุกขึ้นจะดีดเท้าใส่ ช่วงหลบ หันไปเห็นแสงเพลิงบ้านดอกรัก
"เดี๋ยวไอ้เอิบ มึงดูนั่น"
เอิบหยุดหันไปมองทางเรือนดอกรัก เห็นไฟลุกทางเรือน
"เฮ้ย !!! แสงไฟอะไรวะนั่น"
"นั่นซิ เฮ้ย..แถวนั้นมันเรือนดอกรักนี่"
ชาวบ้านวิ่งสวนเข้ามา ตะโกนต่อๆกัน
"ไฟไหม้ ไฟไหม้เรือนดอกรัก ไฟไหม้ ไฟไหม้"
เอิบ ช่วงรีบวางไก่ใส่สุ่ม แล้ววิ่งมุ่งตรงไปที่เรือนดอกรักทันที
ดอกรักมองเห็นสไบกำลังจะถูกแทง ก็กระเสือกระสนเข้าไปจับขาเจิดไว้
เจิดหันมาจ้วงแทงลงกลางหลังดอกรักอีกแผล
"พี่ดอกรัก"
สไบลุกขึ้น เจิดหันมาบีบคอสไบ
แฟงกัดฟันฝืนเจ็บ มองเห็นสไบกำลังคับขัน ก็กำมีดในมือ
ทัพได้ยินเสียงชาวบ้านตะโกนต่อๆกันมา
"ไฟไหม้ ... ไฟไหม้เรือนไอ้ดอกรักที่ท้ายค่าย"
ทุกคนตกใจ ใจอุทานขึ้นก่อน
"สไบ"
ใจหันหลังวิ่งไปทันที ทัพ สังข์ ขาบวิ่งตามอย่างเร็ว
ชาวบ้านพากันวิ่งถือกระชุน้ำผ่านไปเพื่อช่วยดับไฟ
แฟงถือมีดวิ่งพุ่งเข้ามาแทงลงไปที่ไหล่อีกข้างของเจิด เจิดสะดุ้ง แฟงฟันปาดลงกลางหลัง
เจิดมือหลุดจากสไบ
สไบรีบเข้าไปกอดร่างดอกรัก ช้อนหัวเงยขึ้น ดอกรักสำลักเลือดอยู่ในอกสไบ
"พี่ดอกรัก"
เจิดหันมาจะแทงสไบ
ที่หน้าประตู เอิบ ช่วงโผล่มา
"เฮ้ย ... มึง" เอิบร้องโวย
เจิดมองเห็นเอิบกับช่วงก็ตัดสินใจกระโดดหนีออกไปทันที
"มันหนีไปแล้ว"
เอิบไล่ตามเจิด โดดพ้นหน้าต่าง ตามออกไปอย่างเร็ว ช่วงเข้ามาดูแฟงที่ทรุดลง
"แฟง"
"ฉันไม่เป็นไรจ้ะ พี่ช่วง"
สไบกอดดอกรัก สะอื้นทั้งน้ำตา
"แต่พี่ดอกรัก"
"ออกไปก่อน ออกไปเดี๋ยวนี้"
ช่วงแบกดอกรักขึ้น แฟงรีบคว้ามือสไบออกจากกระท่อมที่กำลังลุกติดไฟทันที
เจิดวิ่งเร็วมา มีเอิบตามหลัง
"หยุดนะ มึง หยุด"
ฟักกับเคลิ้มวิ่งมาจากอีกด้าน เห็นเจิดปิดหน้า วิ่งผ่านหน้าไป
"จับมัน ไอ้ฟัก พี่เคลิ้ม จับมันไว้"
ฟักกับเคลิ้มวิ่งตามไล่เจิดไปกับเอิบทันที
ช่วงแบกดอกรักออกมา แฟง สไบตาม ใจ ทัพ สังข์ ขาบ วิ่งมาจากอีกด้าน
ชาวบ้านระดมพลรีบสาดน้ำช่วยดับไฟ ช่วงวางร่างดอกรักลง ดอกรักสำลักเลือดออกมา สไบช้อนหัวพี่ชายนอนไว้ในตัก ทุกคนเข้าไปมอง
"พี่ดอกรัก"
เฟื่อง จวง กับชาวบ้านวิ่งมาจากอีกด้าน ตรงมาใกล้ขาบ สังข์ ตกใจ
"ใครทำเอ็งดอกรัก บอกซิ ใครทำ" ขาบถาม
ใจสีหน้าเครียดเขม็ง
ดอกรักสำลักเลือดออกมา สไบกำมือดอกรัก ดอกรักมองทอดสายตาไปที่สไบ
"ระวังตัวนะ ... สไบ"
ดอกรักพูดได้แค่นั้น ก่อนจะสะดุ้งเฮือกลมหายใจสุดท้าย
"พี่ดอกรัก"
ดอกรักหลับตา หมดลมในตักสไบ สไบปล่อยโฮด้วยความเสียใจ
แฟงน้ำตาไหล ทัพขยับมาใกล้แฟง ลูบหัวแฟงเบาๆปลอบใจ
ทุกคนหน้าตาสลด เสียใจ
"ไอ้พวกสอดแนมอังวะ มันเข้ามาฆ่าพี่ดอกรัก"
ใจมองนิ่ง พยายามไม่แสดงอะไรออกมา
"ฉัน.. ฉันจะขอล้างแค้น มัน ...ฉันจะขอแก้แค้นให้พี่ดอกรัก"
ทุกคนมองเห็นความเจ็บปวด เสียใจของสไบ
"คนที่มันฆ่าพี่ดอกรัก มันจะต้องไม่ตายดี"
ใจตัวชา แต่พยายามเก็บอาการสะท้านสะเทือนในใจ
"ถ้ามันไม่ตายด้วยคมดาบนักรบบ้านระจัน มันก็ต้องตายด้วยมือฉัน"
สไบน้ำตาไหลหยด ทุกคนมองอย่างสงสาร ใจนั่งนิ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปใกล้ ได้แต่มองภาพสไบกอดศพดอกรักร้องไห้
เจิดวิ่งหนีเร็วมา เอิบ ฟัก หมู่เคลิ้มตามไล่หลัง เจิดวิ่งมาสุดที่ริมคลอง หันไปมองหาทางหนี ฟักพุ่งถีบ เจิดกระเด็น
ฟักตามมาเตะ เจิดเจ็บเพราะแผล ยังลุกไม่ขึ้น ฟักตามไปชก จนเจิดลุกไม่ขึ้น เคลิ้มกับเอิบคุมเชิง แต่ไม่เข้ารุม
เอิบบอก
"เปิดหน้ามัน ไอ้ฟัก มันเป็นพวกอังวะ"
ฟักกระชากเจิดขึ้นมา จะดึงผ้าโพกหัวออก เจิดไม่ยอม เอาหัวโขก จนฟักหงาย เคลิ้มจะเข้ามา เจิดกัดฟันเตะเคลิ้ม เคลิ้มไม่ยอม เข้าล็อกคอ จะกระชากผ้าออกให้ได้
เจิดล้วงมีดเสือกเข้าข้างหลัง หวังให้โดนเคลิ้ม แต่เคลิ้มผละมือ หลบทัน
เจิดวิ่ง ฟักกับเอิบเข้าขวาง เจิดโดนล้อมไว้สามทาง เจิดถอย
ฟักบอก
"กูขอดูหน้ามึงหน่อย ไอ้สันดานชั่ว"
ฟักเข้าไป เจิดจะจ้วงแทงฟัก แต่ฟักไวกว่า ล็อกข้อมือเจิด มีดหล่นลงพื้น
เจิดใช้ศอกอีกข้างฟัน ฟักถอย เคลิ้มโดดเตะ เจิดล้มคว่ำลงที่ตอไม้แห้งแหลม
ตอไม้แหลมแทงเข้าร่างเจิด ทุกคนตกใจ
เจิดกัดฟันกระชากร่างออก เลือดทะลักออกจากท้อง
สามคนเข้ามา จะกระชากผ้า เจิดตัดสินใจ พุ่งลงน้ำ สามคนมองชะงัก
"ไม่รอดหรอก มึง"
เอิบโดดลงตามไปทันที
ฟักกับเคลิ้มมองอยู่ริมฝั่งด้วยสายตาลุ้นระทึก
สไบมองศพดอกรักที่วางอยู่หน้าเรือนที่ถูกเผาไหม้ไปบางส่วน ไฟดับเพราะน้ำจากชาวบ้านที่ช่วยกันสาดเข้าไป ร่างดอกรักที่เลอะคราบเลือดวางอยู่บนเสื่อเก่า แฟง เฟื่อง จวงอยู่ข้างสไบ
กลุ่มผู้ใหญ่อยู่อีกด้าน ทุกคนมองดอกรักด้วยสายตาสงสาร
สไบยังสะอื้น เฟื่องโอบสไบไว้
"หักอกหักใจบ้าง สไบ ถ้าดอกรักรู้ว่าสไบเป็นทุกข์ ดอกรักจะยิ่งเป็นห่วง"
"พี่ดอกรักเตือนฉันแล้ว ฉันไม่ดีเองที่ไม่เคยเชื่อเลย"
"สไบเห็นหน้ามันมั้ย" จวงถาม
สไบแวบคิด ที่เห็นแววตาเจิด
"คุ้นมั้ยว่า มันเป็นใคร"
"ฉันไม่แน่ใจ"
"ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันฝากแผลไว้ที่หลังมัน พวกพี่ทัพก็กำลังล่าตัวมัน ไอ้พวกสอดแนมอังวะคนนี้ มันไม่มีทางรอดไปได้" แฟงบอก
แฟงเจ็บใจ สไบนั่งนิ่งตาลุกวาว
ทัพ สังข์ ขาบวิ่งเร็วมา เห็นฟักกับเคลิ้มที่มองรอเอิบอยู่
"เห็นหน้ามันมั้ย"
"ยังพี่ ... มันเจ็บ ตกน้ำไป ไอ้เอิบกำลังงมศพมัน"
เอิบดำหาเจิดอยู่ใต้น้ำว้าวุ่น เอิบทะลึ่งขึ้นน้ำมา
"เจอมั้ย" ขาบถาม
"ไม่เจอเลย"
เคลิ้มบอก
"มันโดนตอไม้นั่นแทง"
"แฟงบอกว่าได้ฟันที่ไหล่ กับที่หลังมันด้วย" ทัพบอก
"เจ็บหนักขนาดนั้น มันไปได้ไม่ไกลแน่" ขาบบอก
"ข้าว่าศพมันต้องลงไปติดที่ด้านล่าง" สังข์บอก
"ไป !! หามันให้เจอ" ทัพบอก
ทัพ สังข์ ขาบ ฟัก เคลิ้มวิ่งลงน้ำไปค้นหาอย่างรวดเร็ว เอิบที่ปีนขึ้นฝั่ง หอบ ใจมองตาม
ในวิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ น้ำตาเทียนลอยอยู่ในบาตรน้ำมนต์ พระธรรมโชตินั่งสมาธิสงบนิ่งอยู่หน้าพระประธาน มองฃบาตร สงบนิ่ง เพ่งเห็นอะไรบางอย่างในฌานของท่าน
ใจหลบออกมา วิ่งลัดเลาะมาในป่า เป็นร่างตะคุ่มๆในความมืด กำมีดสั้นที่พกมาไว้อย่างระวังตัว จนใกล้จาดหรือจอกยีโบที่ยืนตระหง่านอยู่ ใจหยุดเท้า
"สยา"
จาดขยับตัว ใจเห็นร่างเจิดที่นอนอยู่บนพื้น ทหารอังวะสองคนกำลังห้ามเลือด พันแผลที่ท้อง
"อูทินลิน"
"อูทินลิน มันส่งนกไปบอกข้าว่าคืนนี้มันจะลงมือแทนเอ็ง ให้ข้ามารอที่นี่ นึกว่าอูทินลินจะล่อพวกบ้านระจันมาให้ข้าฟันคอพวกมัน แต่ไม่นึกเลยว่า ข้าจะมาเจอสภาพอูทินลินที่ใกล้ตาย"
"ข้าเตือนอูทินลินแล้วว่าอย่าเพิ่งลงมือ"
จาดฟังแล้วตบหน้าใจอย่างแรงทันที ใจหน้าสะบัด
"มองไว้ อองนาย ความใจอ่อนของแกฆ่าเพื่อน"
"ไม่ใช่ข้าจะไม่ทำนะ สยา"
"ไม่ต้องแก้ตัว"
"ข้าไม่ได้แก้ตัว ข้ารู้หน้าที่ ข้าคือทหารอังวะ ข้าต้องทำทุกอย่างเพื่อให้กองทัพของเราชนะพวกโยเดียให้ได้"
"แต่แกไม่ทำ มีโอกาสตั้งกี่ครั้งตอนอยู่ในค่าย แกก็ไม่ทำ เพราะแกห่วงผู้หญิง หรือใจแกเป็นพวกโยเดียไปแล้ว"
"ไม่ สยา ... ข้าคืออังวะ"
"ข้า อยากจะให้คนที่นอนเจียนตายตรงนี้คือแก ไม่ใช่อูทินลิน"
ใจกำมือแน่นด้วยความกดดัน
"มองไว้ อองนาย นี่คือผลของความใจอ่อนของแก ชีวิตอูทินลิน เพื่อนคนเดียวของแกกำลังจะตาย" จอกยีโบสั่งทหาร "ไป รีบเอาตัวกลับค่าย"
ทหารอังวะคล่องแคล่ว 2 คนรีบแบกร่างเจิดออกไปเร็ว
จาดมองใจที่กำลังกดดันอย่างหนัก
"ถ้าแกยอมแลกเพื่อน ยอมแลกหน้าที่เพราะผู้หญิงโยเดียคนเดียว ก็แปลว่าแกไม่ใช่คนอังวะอีกต่อไป แกกับข้าขาดกัน เจอในสนามรบคราวหน้าข้าจะขอฟันคอแกด้วยมือของข้าเอง"
จาดจ้องใจ แล้วหันหลังเดินเร็วหายไปในความมืด ใจหน้าเครียด เสียงฝีเท้าข้างหลังวิ่งมา ใจได้ยินก็หันขวับ
ทัพวิ่งนำทุกคนมาอย่างเร็ว เนื้อตัวเปียกปอน
ทุกคนมาหยุดตรงที่สุดคลอง ทัพมองไปในน้ำ
"ศพมันต้องลอยมาถึงนี้"
ขาบมองบนพื้นที่ห่างออกไป
"รอยเลือด"
ทุกคนวิ่งมาดู
"มีคนช่วยมันไว้" ทัพบอก
ขาบมองสังเกตบนพื้น รอยหักของกิ่งไม้ ใบไม้
"มันเดินไปทางนี้"
"จากรอยเท้านี่ มันมากันหลายคนเลยนะ"
ทุกคนมองสังข์ที่เตือนขึ้น
"แสดงว่ามันต้องนัดกันมาเจอตรงนี้ มันถึงมาช่วยกันทัน พวกมันรู้ทางหนีทีไล่อย่างดี"
เคลิ้มบอก
"ตามมันไปเลยซิ"
"ตามไปกลางดึกอย่างนี้ เราอาจจะโดนหลอกเข้าไปติดกับดักพวกมันได้"
"ข้าว่าในค่ายเรา ไม่ได้มีพวกสอดแนมแค่คนเดียว" ขาบบอก
"ใช่ .. เราต้องหาพวกมันที่เหลือให้เจอ เอ็งสงสัยเหมือนข้าหรือเปล่า ทัพ" สังข์ว่า
ทุกคนหันมามองทัพ ทัพเอ่ยชื่อนึกออกมา
"ไอ้ใจ"
ช่วงถือคบ เอิบ ถือกระถางธูปนำชายร่างกำยำแบกร่างดอกรักที่ห่อเสื่อเข้ามา ใจและชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งกำลังขุด สไบ แฟง เฟื่อง จวง เฟี้ยม จันทร์ เดินปาดน้ำตาตามหลังมา
"พ่อดอกรักคงรู้ว่าพวกมันเป็นใคร ถึงได้ถูกฆ่าปิดปาก" จันทร์บอก
เฟี้ยมบอก
"อุตส่าห์พากันหนีมาตั้งแต่สามโก้ กระทุ่มด่าน ไม่น่าเลย..พ่อดอกรัก"
"ที่นี้พวกเราจะนอนกันเป็นปกติสุขได้ยังไง ในเมื่อมีพวกอังวะมันมาแอบอยู่ในค่ายเรายังนี้"
สไบยิ่งฟังยิ่งสะเทือนใจ ร้องไห้ไม่หยุด
"พี่ดอกรัก ฉันขอฝังพี่ไว้ตรงนี้ก่อนนะ เสร็จศึกแล้วฉันจะขุดเอากระดูกพี่ขึ้นมาทำบุญให้"
ที่เนินดินหลังค่าย ชาย 3- 4 คนกำลังช่วยกันขุดหลุม สไบมองไปเห็นใจเป็นหนึ่งในชาวบ้านชายที่กำลังขุดหลุมอยู่
"พี่ใจ"
ใจหันมามองสไบที่เดินมาข้างศพดอกรัก สายตาใจเศร้า มองสไบ แล้วหันกลับไปขุดดินต่อ
ทัพ สังข์ ขาบ เคลิ้ม ฟัก วิ่งกลับเข้ามา อีกด้านเอิบตามเข้ามา
"ไอ้ใจล่ะ" สังข์ถาม
สไบมองไป ทุกคนมองตามเห็นใจกำลังขุดดิน เหงื่ออาบทั้งร่างเหมือนอาบน้ำ
กลุ่มผู้ชายเดินเข้าไป สังข์เห็นใจก็ถามขึ้นทันที
"ทำไมเอ็งไม่ไปช่วยหาไอ้พวกสอดแนมอังวะกับพวกข้า"
"อยู่ที่นี่ ฉันยังพอมีประโยชน์กว่า แห่กันไปก็เปลืองแรงเปล่า"
สังข์โมโห โดดลงไปในหลุมชกกับใจ ใจล้มคว่ำ ทุกคนเอะอะ
"มึงคิดว่าจะรอดเหรอ ไอ้ใจ" สังข์บอก
"หยุดก่อน ไอ้สังข์"
ทัพกระโดดลงไปในหลุมกระชากสังข์ขึ้นมา ทุกคนดึงสังข์ไว้
สไบมองใจที่ถูกทุกคนเพ่งเล็ง
"ถ้าสงสัยฉันก็ฆ่าฉันเลย ฝังฉันไว้กับไอ้ดอกรักตรงนี้ ไม่ต้องปล่อยฉัน ฆ่าฉันให้ตายตามดอกรักไปซะ จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว"
ใจเอ่ยท้าด้วยเสียงเครียด ทุกคนมอง ทัพมองใจด้วยสายตาคมกริบ
เต้นท์ที่พักจอกยีโบในค่ายอังวะ วิเศษไชยชาญ เวลากลางคืน ร่างเจิดที่โชกเลือดถูกวางลงในที่พักของจอกยีโบ
"ไปพาหมอมาเร็ว"
ทหารรีบออกไป จาดมองเจิดที่รู้สึกตัว สติเลือนราง
"สยา .. อย่าฆ่าอองนาย ยกโทษให้มันด้วย"
เจิดพยายามร้องขอชีวิตเพื่อนรุ่นน้อง ต่อหน้าครูที่แววตาดุดัน
ทุกคนมองจ้องไปที่ใจ ใจกระโดดขึ้นมาบนปากหลุม
"ฉันมันคนไม่มีหัวนอนปลายตีน เป็นคนที่น่าสงสัย อย่าเสียเวลาซักให้มากความ ดาบในมือทุกคนก็มี ฟันฉันให้ตายๆไปซะ"
สไบมองด้วยความสะเทือนใจ
"คนอย่างฉัน จะเกิด จะตาย มันก็ค่าเท่ากัน ไม่มีพ่อแม่พี่น้องให้อาวรณ์อยู่แล้ว"
ใจมองจ้องไปที่ทัพ
"พวกเอ็ง จะได้สิ้นสงสัย"
สังข์บอก
"มึงไม่ต้องปากดีท้ากูไอ้ใจ คิดว่ากูไม่กล้าหรือไง"
"ฉันรู้ว่าพวกเอ็งกล้า .. ดอกรักตาย ฉันก็ต้องถูกหมายหัวอยู่แล้ว"
"ข้าไม่ตัดสินใคร เพราะความโกรธเกลียด" ทัพบอก
"ฉันรู้ว่าเอ็งยุติธรรม ทัพ ลองคิดให้ดี...ตอนเกิดเรื่องฉันก็อยู่กับพวกเอ็ง เอ็งยังจะสงสัยฉันอีกหรือ"
ใจโยนจอบห่างตัว คุกเข่าลงหน้าหลุมดิน
"ตัดคอ แล้วถีบฉันลงไปในนี้ซะ ฉันตั้งใจขุดให้ดอกรักมันหลับสบาย แต่ถ้าจะเป็นหลุมฝังศพตัวเอง..ก็ยินดี"
"พี่ใจ"
ทุกคนมองไปทางกลุ่มทัพ สลับกับใจ ที่แววตายอมตาย
"เอาเลย ฟันคอฉันเลย ฉันจะได้ตายตามดอกรักไปให้สมกับความผิดที่ฉันไม่รู้เรื่อง"
ใจร้องท้า ทุกคนสีหน้าเครียด สังข์สะบัดออกจากขาบที่ดึงไว้ พุ่งเข้าไปเงื้อดาบ ใจนั่งนิ่ง
ทัพตะโกนห้าม
"ไอ้สังข์ วางดาบลง"
สังข์หันมามอง ทัพพูดขึ้น
"ไอ้ใจไม่ใช่พวกสอดแนม"
ทุกคนมองทัพ ใจเงยมองทัพช้าๆ
"อย่าฆ่าคนเพราะแค่สงสัย ใจมันเป็นพวกเดียวกับเรา อย่าให้ศัตรูมันดีใจที่เรามาฆ่าพวกเดียวกัน เพราะความระแวง"
ใจมองประสานสายตากับทัพ
"ข้าจะหาคนผิดมารับโทษให้ได้ ข้าสาบาน"
ใจมองทัพที่ตัดสินใจเป็นเด็ดขาด สังข์ถอยออกมาห่างใจ แต่สีหน้ายังไม่วางใจ สไบมองใจ มีแววความเคลือบแคลงใจบางอย่างที่ค่อยๆก่อขึ้นมา
จอกยีโบมองอูทินลิน หมอกำลังห้ามเลือด รักษาแผล อูทินลินหายใจรวยริน ไม่ได้สติ
จอกยีโบหน้าเครียด นึกถึงภาพที่เพิ่งเจอกับใจในป่า
"ข้าไม่ได้แก้ตัว ข้ารู้หน้าที่ ข้าคือทหารอังวะ ข้าต้องทำทุกอย่างเพื่อให้กองทัพของเราชนะพวกโยเดียให้ได้"
หมอกำลังช่วยยื้อชีวิตอูทินลินไว้เต็มที่
อ่านต่อหน้า 4
บางระจัน ตอนที่ 9 (ต่อ)
พระธรรมโชติ ยังคงนั่งสมาธิสงบนิ่งอยู่ที่หน้าพระประธานเหมือนเดิม เหมือนท่านรับรู้อะไรบางอย่าง ด้วยญาณพิเศษ
เช้าวันใหม่ เนินดินตรงที่ฝังดอกรัก มีดอกไม้ป่าวางไว้รอบๆ สไบนั่งนิ่ง ตาแดงก่ำ ช้ำเพราะร้องไห้อย่างหนักอยู่ข้างเนินดิน
ใจเดินเข้ามาจากด้านหลัง นั่งลงใกล้ๆ เอื้อมมือไปกุมมือสไบไว้
"สไบไม่กิน ไม่นอน นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคืน รู้มั้ยว่าพี่เป็นห่วง"
สไบผินหน้ามามองใจ น้ำตาไหลร่วงลงมา
ใจเอื้อมมือไปซับน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา สไบยกมือปัดมือใจออก
ใจเห็นแววตาสไบแล้วเริ่มสังหรณ์
"พี่ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน แค่ตอบคำถามฉันให้ได้ก่อน พี่เจิดอยู่ที่ไหน"
"สไบ"
"ตั้งแต่เมื่อคืน พี่เจิดหายไป"
สไบมองจ้องใจ
"พี่บอกฉันสิ ป่านนี้แล้วพี่เจิดหายไปไหน"
ใจอึกอักนิ่ง ตอบไม่ถูก กับคำถามและแววตาผิดหวังมากจากสไบ
ทัพยืนดูอ้ายเลากินหญ้าอยู่อย่างครุ่นคิด แฟงเดินเข้ามา
"พี่เชื่อพี่ใจจริง ๆเหรอจ๊ะ"
ทัพหันมามองแฟง แฟงถามสายตาร้อนใจ
"ฉันไปดูที่เรือน พี่เจิดหายไป"
สีหน้าทัพ ขึ้งเครียดขึ้นมาอย่างมาก
ป่าช้า หลังค่ายบางระจัน ใจเข้าไปกุมไหล่ สไบสะบัดตัว
"บอกฉันสิ ตอนที่เกิดเรื่องจนพี่ดอกรักตาย กระทั่งเดี๋ยวนี้ พี่เจิดหายไปไหน เค้าเจ็บหนักไม่ใช่เหรอ อยู่ๆทำไมหายตัวไป"
"พี่เจิด"
"มันหายไปเพราะมันฆ่าพี่ดอกรัก ไอ้เจิดคือคนฆ่าพี่ดอกรัก"
ใจพยายามจะจับร่างสไบ แต่สไบสะบัด ลุกขึ้นยืน ห่างจากใจ ใจมองเห็นแววตาที่สไบจ้องมองตรงมา มีแต่ความเคลือบแคลง
"พี่รู้เห็นกับไอ้เจิด พี่เป็นพวกสอดแนมให้อังวะเหมือนไอ้เจิด...ใช่ไม๊"
ใจเหมือนโดนตีแสกหน้า ไม่คิดว่าสไบจะรู้ความลับแล้ว
ฝ่ายทัพมองแฟงแล้วเอ่ยเสียงเข้ม
"ดอกรักเคยพูดชื่อใจ ว่าเป็นคนที่รุมตี คราที่เจ็บหนักจนจำใครไม่ได้"
"ไม่น่าเชื่อเลย พี่ใจเป็นคนดี ช่วยพวกเรา ช่วยสไบมาตลอด"
แฟงไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น
สไบมองใจอย่างคาดคั้น น้ำตาทะลักทะลายออกมาด้วยจิตใจที่ปวดร้าว
"บอกฉันสิ ยอมรับกับฉันว่าพี่เป็นพวกอังวะ"
"พี่"
"พี่ฆ่าพี่ดอกรัก พี่ร่วมมือกับไอ้เจิดฆ่าพี่ดอกรัก"
สไบพุ่งเข้าทุบอกใจด้วยความเจ็บช้ำ ใจพยายามรวบมือสไบไว้ แต่สไบดิ้นรน
"สไบ ให้พี่พูดความจริงให้ฟังก่อน"
"ฉันไม่ฟัง พี่ฆ่าฉันอีกคนสิ ฆ่าฉันซะ ฉันโง่เองที่เชื่อพี่"
"พี่ไม่มีวันทำร้ายสไบ พี่พยายามปกป้องสไบของพี่"
"ฉันไม่เชื่อพี่ต่อไปอีกแล้ว พวกอำมหิต"
สไบสะบัดตัวออกห่าง มองใจด้วยสายตาเจ็บปวด ผิดหวัง
"ฉันจำแววตาคนที่ฆ่าพี่ดอกรักได้ มันคือแววตาของไอ้เจิด"
ใจมองสไบที่สะอื้นอย่างนึกไม่ถึง
"พี่มันใจอำมหิต พี่ช่วยกันฆ่าพี่ดอกรัก แล้วยังมีหน้ากลับมาที่นี่ กลับมาทำไม จะกลับมาฆ่าคนในค่ายนี้อีกใช่มั้ย เอาสิ ฉันจะไม่หนี ฉันจะยืนให้พี่ฆ่า ฉันจะได้ตายตามพี่ดอกรักที่เฝ้าเตือน เฝ้าบอกฉันด้วยความเป็นห่วงตลอดเวลา... แต่ฉันกลับไปเชื่อคนใจคตคิดทรยศอย่างพี่"
ใจเข้ามากระชากสไบมาใกล้
"สไบ พี่กลับมาเพราะพี่รักสไบ"
"ไม่ฟัง ฉันเกลียดพี่ ฉันเกลียดพี่"
"แต่พี่รักสไบ"
สไบโมโห ตบหน้าใจอย่างแรง
"ไม่ต้องมารักฉัน"
"เพราะพี่รักสไบ พี่ถึงยอมกลับมา กลับมาทั้งๆที่รู้ว่าจะถูกคนบ้านระจันฆ่า"
ใจพูดขึ้น สไบหยุดมองใจทั้งน้ำตาอาบแก้ม
ทัพกอดอกมองไปไกล แฟงมองทัพที่สีหน้าเคร่งเครียด
"พี่สังข์อยากให้พี่ใจออกไปจากค่าย" แฟงบอก
"ทำอย่างนั้นมันง่าย แต่ถ้าเราจับให้มั่นว่ามันเป็นข้าศึก เราจะใช้มันกลับไปทำลายพวกมันเอง"
"พี่กำลังใช้หนามยอกเอาหนามบ่ง ความจริงพี่ก็ไม่ไว้ใจพี่ใจเหมือนกันใช่ไม๊"
"พี่ต้องการพิสูจน์ให้แน่ใจอีกครั้ง"
ทัพมองแฟงด้วยสายตาที่ไตร่ตรองทุกอย่างเป็นอย่างดี
ใจยึดไหล่สไบ มองด้วยสายตาวิงวอน
"สไบ พี่รู้ว่าพี่เจิดเป็นคนยังไง เขาถูกศยาสอนมาจนฝังเข้าไปในสายเลือดว่าการฆ่าคือการยุติสงคราม เขารักหน้าที่ยิ่งกว่าชีวิต พี่เจิดเข้ามาที่นี่เพื่อจะทำทุกอย่างให้อังวะเอาชนะโยเดียเพียงอย่างเดียว ไม่มีใครเปลี่ยนใจเขาได้"
สไบมองใจที่พยายามปั้นเรื่องเพื่อเอาตัวรอดให้ได้
"เมื่อวานพอพี่รู้ พี่ก็ไล่พี่เจิดออกไป แกล้งบอกว่าพี่จะทำเอง แต่ไม่คิดว่าพี่เจิดจะเลิกเชื่อใจในตัวพี่แล้ว พี่เจิดเลยลงมือฆ่าดอกรักเสียเอง"
"พี่หลอกฉัน"
"พี่จะหลอกสไบทำไม พี่รักสไบยิ่งกว่าชีวิตพี่"
"ทำไมพี่ไม่เตือนฉัน ไม่บอกพี่ทัพก่อน"
"แต่ถ้าพี่บอกทุกคน ก็เท่ากับพี่ฆ่าพี่ชายตัวเองเหมือนกัน สไบอยากให้พี่ฆ่าพี่ตัวเองหรือ"
สไบมองเห็นใจที่ตาแดงก่ำ น้ำตาเอ่อ แววตากดดัน
"ทุกคนจะไม่มีวันยกโทษให้พี่เจิด พ่อทัพและเพื่อนๆคงฆ่าพี่เจิดทิ้งแน่ พี่จึงยอมขาดพี่ขาดน้องกับพี่เจิด เพื่อให้พี่เจิดกลับไป"
ใจมองสไบที่มีสีหน้าลังเล ไม่แน่ใจคำพูดของใจ
"ถ้าพี่จะผิด.... ก็เพราะพี่ยื่นดาบให้คนอื่นตัดคอพี่เจิดไม่ได้"
ใจไหล่สะท้าน สไบมองแล้วแตะมือคนรัก
"พี่ใจ"
"พี่ฆ่าพี่ชายตัวเองไม่ได้"
ใจสะอื้น สไบค่อยๆกอดใจไว้
"พี่ไม่รู้ ... ไม่รู้ว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างนี้ ไม่รู้ว่าดอกรักจะถูกฆ่า พี่สารภาพสไบจนหมดแล้วเพื่อพิสูจน์ว่าพี่จริงใจสไบแค่ไหน สไบจะฆ่าพี่ก็ได้ แต่ขออย่าเกลียดพี่"
สไบกอดคนรักแล้วลูบหลังเบาๆให้กำลังใจ
ใจกอดสไบด้วยความเจ็บปวด ที่ต้องโกหกคนรักอีกครั้ง
ทัพ สังข์ ขาบ กำลังซ้อมดาบอยู่ด้วยกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
"เอ็งเชื่อข้าสักครั้งได้มั้ยวะ ไอ้ทัพ"
ทัพมองสังข์
"ข้าเคยเลวมาก่อน ข้าถึงมั่นใจว่าคนอย่างไอ้ใจ .. มันซ่อนอะไรไว้"
สังข์พยายามโน้มน้าวเปลี่ยนความคิดเพื่อน
"เอ็งก็เห็นแล้วว่าไอ้เจิดพี่ชายมันหายไป รบครั้งที่แล้วเราถูกอังวะล้อมไว้เกือบตายกันทั้งกอง เพราะมันรู้ว่าเราจะบุกมันยังไง..." สังข์ยังซ้อมอาอวุธฟันกับทัพต่อ "ที่นี้ศึกต่อไปมันจะยกมาทั้งกองทัพถล่มค่ายระจันเราราบเป็นหน้ากลอง เพราะมันรู้ใส้รู้พุงเราหมดแล้วว่าค่ายระจันเป็นอย่างไรW
ขาบฟันอยู่กับฟักข้างๆ เอียงเข้ามาพูด
"ฟังไอ้สังข์มันบ้างก็ดีนะทัพ ที่มันพูดมาก็น่าคิด"
ขาบหันไปฟันต่อ ทัพฟันต่อ
"ถ้าไม่มีอะไรยืนยันว่าไอ้ใจมันเป็นพวกไส้ศึก ก็เท่ากับเราป้ายสีคนบริสุทธิ์"
สังข์โมโห ฟันกระหน่ำทัพไม่ยั้ง
"ปัดโธ่ ไอ้ทัพ มึงน่ะมันคนดี จะทันเล่ห์คนชั่วเท่ากับข้าได้ยังไง"
ใจเดินมา เห็นทัพ โดนสังข์ไล่ต้อนอย่างโมโหอยู่
ทุกคนหันไปมอง สังข์คิดอะไรได้ฉับพลัน เอ่ยท้าทายใจขึ้นเพื่อลองใจทันที
"ว่าไง ไอ้ใจคนดี ไม่เคยมาแถวลานซ้อม เห็นทีวันนี้คงจะอยากเลือดตกยางออก"
สังข์หันไปหยิบดาบยื่นมาตรงหน้าใจ ทุกคนมอง
ขาบถาม
"ไอ้สังข์ เอ็งจะทำอะไร"
"ซ้อมดาบ" สังข์หันไปทางใจ "หรือถ้าเอ็งกลัวฝีมือนักรบบ้านระจันจนหัวหด ชอบทำอะไรหลบๆซ่อนๆ ก็จงถอยออกไปจากที่นี่ เพราะตรงนี้มีแต่ชายชาตินักรบที่ถือคำสัตย์เป็นชีวิต"
ทุกคนมองจ้อง สังข์ท้าทาย ใจมองดาบตรงหน้า ทัพมองสังเกตว่าใจจะทำยังไง
สไบถอนใจหนักๆ เฟื่อง แฟง จวง พากันมองสไบด้วยความเป็นห่วง
"พี่ใจเค้ายอมรับว่าพี่เจิดคือพวกสอดแนมอังวะ คือคนที่ฆ่าพี่ดอกรัก"
เฟื่องถาม
"แล้วใจ รู้เรื่องนี้ ทำไมไม่บอกเรา"
"นั่นสิ พี่ใจนี่พิลึก หรือว่ารู้เห็นเป็นใจให้พี่ดอกรักตาย"
ทุกคนมองจวง
"หรือเพราะคิดจะแย่งพี่สไบมาจากพี่ดอกรัก" จวงว่า
"มันจะเป็นไปได้ยังไงจวง เรื่องพี่สไบ .. มันไม่ใช่เรื่องที่จะถึงกับฆ่าแกงกัน" แฟงบอก
"ใช่ ยังไงสไบก็รักใจมาตั้งแต่แรกแล้ว" เฟื่องว่า
"ไม่รู้ล่ะ ฉันก็สุดปัญญาจะคิดแล้ว พี่ใจเค้าก็ดีแสนดี ใครจะคิดว่าเค้าจะทรยศพวกเราได้ลงคอ" จวงบอก
สไบยิ่งถอนใจหนัก
" ฉันไม่รู้จะเชื่อพี่ใจได้อีกหรือเปล่า"
"พี่สไบ .. ถ้าพี่สไบอยากรู้ให้ถึงก้นบึ้งหัวใจของพี่ใจ ฉันมีวิธี..."
ทุกคนมองแฟงด้วยสายตาอยากรู้
สังข์ยื่นดาบไปตรงหน้าใจ ทุกคนมองลุ้น
"ว่าไง กลัวคมดาบนี่จะปาดคอเอ็งเข้าหรือไง"
ใจไม่ตอบ แต่รับดาบมาถือไว้ ทุกคนหายใจไม่คล่อง อึดอัดทันที
สังข์ยิ้ม ควงดาบตัวเอง
"เข้ามา ไอ้ใจ ถือว่าเอ็งลองซ้อมดาบกับข้า ไม่ต้องถึงตาย เอาแค่ร่อแร่"
สังข์หัวเราะกวน ทัพมองใจ ทุกคนพากันมาล้อมวงดู สังข์พุ่งเข้าหา แต่ใจยกดาบขึ้นรับไว้ได้ทันที
สไบวางดอกไม้ป่าลงบนหลุมศพ เฟื่อง แฟง สไบอยู่ด้านหลัง
"พี่ดอกรัก .. ฉันจะไม่ให้พี่ตายอย่างไร้ค่า"
สไบน้ำตาไหลออกมา ทุกคนมองสงสาร
"ใครก็ตามที่มันสมรู้ร่วมคิดเอาชีวิตพี่ .. มันต้องตายตกไปตามกัน"
ใจที่รับดาบสังข์ที่ฟันอย่างรุนแรงลงมา ทุกคนมองลุ้น สังข์ปะทะดาบกับใจอย่างไม่ลดราวาศอก
ใจฟันกลับไป สังข์หลบได้ ใจไม่ยอมเป็นฝ่ายรับ ฟันรุกเข้าไปอย่างเร็ว
สังข์โต้กลับ จนใจหอบ สังข์มองแล้วถีบ ใจล้ม สังข์เงื้อดาบจะฟันลงไปที่ร่างใจ
ทัพกับทุกคนมองตะลึง
สไบกับทุกคนก้มลงกราบหลวงพ่อธรรมโชติ แล้วเงยมองด้วยสายตาเลื่อมใส เป็นที่พึ่ง
เฟื่องที่เป็นผู้ใหญ่สุด พนมมือ เอ่ยขึ้นขอร้องหลวงพ่อ
"เรามีเรื่องเดือดร้อนอับจนหนทาง ต้องมาขอพึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อเจ้าค่ะ"
หลวงพ่อมองทุกคนตรงหน้าด้วยสายตาสงบนิ่ง แฟงเอ่ยขึ้น
"เราอยากรู้ว่าคนไหนที่เราไว้ใจได้เจ้าค่ะ"
ใจเห็นคมดาบของสังข์ที่ฟันลงมา เกือบถึงร่าง ก็กลิ้งตัวหลบ ทัพมองการต่อสู้ที่เอาเป็นเอาตาย สังข์กำลังไล่ฟันใจ
"พอแล้ว ไอ้สังข์"
สังข์ไม่ฟัง เข้าบุกตะลุยฟัน ใจหลบว่องไว ทุกคนมองลุ้น เคลิ้มหันไปทางทัพ
เคลิ้มบอก
"ไอ้ใจ แย่แน่"
"ไอ้สังข์ กะเอาตาย" เอิบบอก
สังข์บุกเข้าฟัน แต่ใจหลบอีกทีแล้วเตะตัดขาสังข์ล้มลง ทุกคนมองตื่นเต้น ใจกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ เข้าเงื้อดาบจะฟันสังข์
หลวงพ่อธรรมโชติที่หลับตา กำลังทำพิธีปลุกเศกอยู่ที่หน้าบาตรน้ำมนต์ เฟื่อง แฟง สไบ จวง นั่งพนมมืออยู่ห่าง หลวงพ่อสงบนิ่งก่อนจะลืมตาขึ้นมา ทั้ง 4 มองมีหวัง
ใจไล่ฟันเอาคืนสังข์อย่างไม่ลดละ ทั้ง 2 คนเหงื่อชุ่ม
"พอเถอะ ข้าว่ามันจะเกินไปแล้ว" ขาบบอก
ทัพว่า
"อย่าเพิ่ง ให้ไอ้ใจมันสู้ อย่างมากก็แค่เจ็บ"
"ไอ้ใจฝีมือมันไม่ได้ด้อยกว่าไอ้สังข์หรอก" ฟักบอก
เคลิ้มบอก
"ไอ้นี่มันเสือซุ่ม"
ขาบมอง เห็นทัพที่ถือดาบเตรียมพร้อมไว้ในมือ
"ข้าจะไม่ให้ใครตาย จนกว่าจะรู้แจ้งความจริงทั้งหมด"
ทัพกับขาบหันกลับไปมอง เห็นใจกำลังได้เปรียบ ไล่ฟันสังข์ สังข์จะลุก ใจเอาดาบจ่อคอสังข์
ฟัก เคลิ้ม เอิบ ช่วง ชักดาบออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ ขาบขยับ ทัพห้าม
"ยัง ไอ้ขาบ รอก่อน"
ขาบมองทัพที่กำดาบ พร้อมจะพุ่งเข้าหาใจ ถ้าใจทำอะไรสังข์
สังข์มองใจ ใจจ้อง แล้วลดดาบ ถอยออกมา ทัพผ่อนลมหายใจพร้อมๆกับขาบ
แฟงก้าวเข้ามา ทุกคนหันไปมอง
"แฟง มีอะไร"
"ฉันมาหาพี่ใจ"
ทุกคนมองไปที่ใจเป็นตาเดียว
ทุกคนที่ยืนอยู่หน้าบ่อน้ำใหญ่ หลวงพ่อธรรมโชติ ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าวิหาร
สไบยื่นขันน้ำให้ใจ ทุกคนมอง
"หลวงพ่อธรรมโชติให้น้ำมนต์นี้มา ฉันอยากให้พี่กินต่อหน้าเราทุกคน"
แฟงบอก
"น้ำมนต์หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ ใครคิดร้าย ก็ต้องแสบร้อน ปากพองไหม้"
"แต่ถ้าคิดดี จะมีแต่ความเจริญยิ่งๆขึ้นไป"
ใจมองขันน้ำมนต์ในมือสไบ หลวงพ่อธรรมโชติ ยังคงยืนสงบอยู่เหมือนเดิม
"ฉันรักพี่ ฉันถึงอยากให้ทุกคนเห็นว่าพี่เป็นคนดี เป็นคนที่เราไว้ใจได้"
สไบมองใจน้ำตาคลอ
"ทำเพื่อฉันได้มั้ย พี่ใจ ทำให้ฉันรู้ว่าฉันรักคนไม่ผิด"
ใจฟังแล้วสะท้านใจ รับขันน้ำมนต์มา ทุกคนมองใจตาไม่กะพริบ
ใจมองน้ำมนต์ในขัน
"ถ้าเอ็งไม่อยากกินก็วางลงซะ ไม่มีใครบังคับให้เอ็งต้องกิน" ทัพบอก
"ฉันจะกิน ฉันเต็มใจ ฉันอยากให้ทุกคนรู้ว่าฉันก็เป็นคนนึงของค่ายบ้านระจัน ฉันพร้อมจะเป็นพี่เป็นน้อง พร้อมจะรบ พร้อมจะตายกับทุกคนที่นี่"
หลวงพ่อธรรมโชติ เดินกลับเข้าไปในวิหารเงียบๆ ใจยกขันน้ำมนต์ขึ้นดื่มจนหมด แล้วส่งขันคืนให้ สไบยิ้มออกมาได้ แฟง จวง เฟื่องสีหน้าดีขึ้น
ใจยืนนิ่ง ประสานสายตากับทุกคนที่มองมาอย่างไม่หวั่นไหว
ทัพเดินนำกลุ่มผู้ชายมา สังข์เอ่ยเย้ยหยัน
"ไอ้ใจมันกล้าลองดีกับน้ำมนต์หลวงพ่อธรรมโชติ"
ฟักบอก
"ข้าว่า ไอ้ใจมันอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องสอดแนมอังวะจริงๆก็ได้ พวกเราก็ลองใจมันขนาดนี้แล้ว"
เคลิ้ม เอิบ ช่วง เริ่มเห็นด้วยกับฟัก แต่สังข์ไม่สนใจ ขาบหันมอง เห็นทัพแววตาครุ่นคิด
ใจที่เดินเร็วมา หยุดเดิน รู้สึกปั่นป่วนในท้อง พ่นน้ำมนต์ออกจากปาก อย่างแรง สีหน้าไม่ดี
เกิดความหวาดหวั่นในใจขึ้นมาอย่างมาก เมื่อรู้ฤทธิ์น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ย้อนคิดถึงคำพูดของจาดและสไบ
"ถ้าแกยอมแลกเพื่อน ยอมแลกหน้าที่เพราะผู้หญิงโยเดียคนเดียว ก็แปลว่าแกไม่ใช่คนอังวะอีกต่อไป แกกับข้าขาดกัน เจอในสนามรบคราวหน้าข้าจะขอฟันคอแกด้วยมือของข้าเอง"
ใจกำหมัดสะเทือนใจ ชกลงไปที่ต้นไม้
"ฉันไม่ได้อยากให้เพื่อนตาย"
"พี่มันใจอำมหิต พี่ช่วยกันฆ่าพี่ดอกรัก แล้วยังมีหน้ากลับมาที่นี่ กลับมาทำไม จะกลับมาฆ่าคนในค่ายนี้อีกใช่มั้ย เอาสิ ฉันจะไม่หนี ฉันจะยืนให้พี่ฆ่า ฉันจะได้ตายตามพี่ดอกรักที่เฝ้าเตือน เฝ้าบอกฉันด้วยความเป็นห่วงตลอดเวลา... แต่ฉันกลับไปเชื่อคนใจคตคิดทรยศอย่างพี่"
ใจกำหมัดแน่น ชกลงต้นไม้อีกหลายที ก่อนจะทรุดลงนั่ง
"สไบ .. พี่รักสไบ พี่จะพาสไบไปจากที่นี่ กลับไปอังวะ ไปมีชีวิตใหม่ด้วยกัน"
ใจปวดร้าว กดดันเมื่อนึกหน้าที่และความรักที่อยู่คนละปลายทาง
สไบนั่งซึมอยู่อย่างไม่สบายใจ แฟงมองสไบอย่างเห็นใจ
"พี่สไบ ... พี่ใจเค้าก็ยอมกินน้ำมนต์หลวงพ่อแล้ว ยังมีอะไรที่พี่ยังไม่สบายใจอีก"
"แผนของแฟง มันก็น่าจะยืนยันได้นะว่าพี่ใจเขาจริงใจกับสไบ" จวงบอก
"มีอะไรที่ยังค้างคาใจอีก สไบ" เฟื่องถาม
สไบมองทุกคนด้วยสายตาที่ลึกๆยังกังวล
"การตายของพี่ดอกรัก ทำให้ฉันไม่อยากเชื่อใจคนแล้ว"
แฟง เฟื่อง จวง มองกันอย่างไม่รู้จะช่วยปลอบใจได้ยังไงอีก
สไบหันมองทุกคน
"เมื่อก่อนพี่ดอกรักเตือนอะไรฉัน ไม่เคยสักครั้งที่ฉันจะฟัง แต่ตอนนี้ไม่มีพี่ดอกรักแล้ว ฉันกลับนึกถึงคำเตือนของพี่ดอกรักซ้ำไปซ้ำมา"
"ตัวเรานี่แหละสไบ ที่จะบอกได้ว่าเรารู้สึกยังไง เชื่อใจตัวเราเองซิ" เฟื่องบอก
สไบมองเฟื่องเหมือนยอมรับ....เดินออกไปเงียบๆ ทุกคนได้แต่มองตามสงสาร
สไบเดินมานั่งเหมอที่ศาลาท่าน้ำ แฟงเดินตามมาลงนั่งใกล้ๆ
"พี่สไบรักพี่ใจจริงแท้แค่ไหน"
"พี่บอกไม่ถูก"
"แต่ฉันว่าพี่ใจรักพี่สไบจริง ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมกินน้ำมนต์พระอาจารย์ พี่ใจรักพี่สไบถึงขนาดนี้แล้ว พี่สไบน่าจะใช้ความรักมัดพี่ใจไว้"
สไบหันมาจ้องหน้าแฟงนิ่ง
"แฟงหมายความว่าอย่างไร"
"พี่สไบก็หาทางมัดพี่ใจไว้ด้วยความรักซิ อย่าให้พี่ใจคลาดสายตา พี่ใจจะได้แอบหนีไปส่งข่าวให้พวกอังวะไม่ได้"
"พี่กับพี่ใจอยู่คนละบ้าน อย่างไรพี่ก็ไม่อาจตามเฝ้าพี่ใจได้ตลอดเพลาดอก"
"อย่าหาว่าฉันเป็นเด็กริอ่านสอนผู้ใหญ่เลยนะ พี่ใจเขารักพี่และพี่ก็รักเขา ทำไมต้องมาแยกบ้านกันอยู่อีก เพลานี้พี่ก็ไม่มีใครแล้วจงยึดพี่ใจไว้จนแก่เฒ่าไปด้วยกันเถิด"
สไบมองหน้าแฟงนิ่ง ค้าง นาน......
ใจเดินกลับมา เห็นสไบที่นั่งรออยู่หน้าเรือน ใจรีบตรงไปหา
"สไบ"
ใจดึงสไบมากอดไว้แน่น
"พี่หายไปไหนมา"
"พี่ไปหาพ่อทองเหม็น"
"วันหลังพี่จะไปไหน ให้ฉันไปด้วยได้มั้ย"
"ได้สิ สไบสัญญากับพี่แล้วนิ ไม่ว่าพี่จะอยู่ที่ไหนสไบจะอยู่ใกล้ๆพี่"
"ฉันจะอยู่กับพี่ ไม่ห่างพี่อีก"
ใจดึงสไบมากอดด้วยความดีใจ ไม่ทันเฉลียวใจว่าสไบมีความนัยในคำพูด
กองบัญชาการค่ายเกียกกายอังวะ วิเศษไชยชาญ จอกยีโบก้าวมายืนต่อหน้า สุรินทรจอข่องสีหน้าไม่พอใจมาก
"กองสอดแนมของท่านทำงานไม่ได้เรื่อง รบคราวก่อน คนของเราตายไปนับพัน เพราะข่าวกรองของท่านไม่แม่นยำ เป็นที่เสื่อมเกียรติของกองทัพอังวะอย่างยิ่ง"
จอกยีโบได้แต่ก้มหน้ารับผิด
"คราวนี้ข้าจะเป็นผู้นำทหารบุกค่ายระจันเอง"
จอกยีโบเงยมองสุรินทรจอข่องทันที
"เราต้องรู้ว่าพวกบ้านระจันมันมีกำลังอยู่เท่าไหร่ก่อนนะท่านสุรินทจอข่อง พวกมันมีมาเพิ่มขึ้นทุกวัน และยังแบ่งแยกไม่ออกว่าเป็นนักรบจริงๆอยู่เท่าไหร่"
"ไม่ต้อง ข้าจะไม่พึ่งกองข่าวสอดแนมของท่านอีกต่อไป งานของท่านล้มเหลวไปแล้วจอกยีโบ"
จอกยีโบมองสุรินทรจอข่องที่สีหน้าลำพองใจอย่างมาก
"ข้าจะบุก จะเผาค่ายบ้านระจันให้ราบ...ไอ้พวกชาวบ้านที่มุ่งไปรวมกันที่บ้านระจันมันจะได้หนีหัวหดเข้าป่าไป ชาวบ้านบางระจัน จะต้องไม่มีใครกำแหงกับกองทัพของข้าได้อีก"
สุรินทรจอข่องมองจอกยีโบอย่างทะนงตน ต่างจากจอกยีโบที่มองด้วยสายตาลึกซึ้งว่าทุกอย่างอาจจะไม่ง่ายอย่างที่หวัง
ทัพยืนเงียบอยู่ในความมืด เสียงคนเดินมาด้านหลัง ทัพหันไปเงื้อดาบขึ้นพร้อมฟัน
"แฟง"
ทัพรีบลดดาบเมื่อเห็นเป็นแฟง
"มาตรงนี้ทำไมมืดๆ .. กลับเรือนไปซะ"
"แล้วพี่ทัพล่ะมายืนตรงนี้ทำไม"
"พี่จะรอมันอยู่ที่นี่"
"พี่ทัพรอใคร"
"พวกสอดแนมอังวะ พี่มั่นใจ คืนนี้มันต้องหาทางออกไปนอกค่าย"
แฟงตกใจ มองทัพที่สีหน้ามั่นใจในความคิดของตัวเอง
ใจลืมตาขึ้น หันมองสไบที่นอนอยู่ในอก ใจค่อยๆลุกขึ้นแผ่วเบา แล้วก้าวออกไปจากเรือนอย่างเงียบกริบ สไบที่ค่อยๆลืมตา มองใจที่พาร่างพ้นประตูเรือนไปด้วยสายตาสงสัย เสียใจที่คนรักไม่ทำตามที่พูดไว้
อ่านต่อตอนที่ 10