บางระจัน ตอนที่ 17
นั่งร้านถูกรื้อออกหมดแล้ว พิมพ์ปืนใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่า ทัพไม่พูดได้แต่ยืนดู ชาวบ้านช่วยพ่อค่ายทุบพิมพ์ปืนใหญ่กันวุ่นวาย
ปืนใหญ่กระบอกแรกถูกทุบพิมพ์ออก ทุกคนดีใจวิ่งเข้ามาดู.....แต่พากันเงียบ ทัพวิ่งไปดูใกล้ๆว่าเกิดอะไรขึ้น ทัพเงียบ ตกใจ เสียงชาวบ้านเสียใจร้องไห้โฮทั้งชายหญิง ทัพยืนมองน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เสียงปืนใหญ่ยังดังต่อเนื่อง สไบกำลังช่วยชาวค่ายหลบระเบิดอยู่วุ่นวาย
"หลบไปทางโน้น อย่าออกไปหน้าค่ายนะ เร็วเข้า"
สไบช่วยชาวค่ายจนหมด แล้วตัวเองก็หลบเข้าไปอยู่ข้างกระท่อมมองไปข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น...ไม่
ทันเห็นใจ
ใจยืนนิ่ง สไบมองอย่างเกลียดชัง
"พี่มาดี"
"จะหลอกให้ฉันเชื่ออีกหรือ"
"พี่มีโอกาสเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว สไบ ชุกคยีนายกองจะบุกก่อนวันเพ็ญมาฆะ สไบต้องหนี"
"คิดว่าฉันจะขี้ขลาดถึงขนาดนั้นหรือ"
"เพราะคนระจันไม่ขี้ขลาด ไม่วิ่งหนี เพราะคนระจันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ชุกคยีนายกองถึงต้องใช้วิธีเหี้ยมโหดกับชาวระจัน"
"ฉันยอมตายอยู่ทีนี่ ไม่มีวันหลบไปอยู่กับศัตรู"
ใจเดินเข้ามาใกล้ สไบถอยห่าง
ใจเดินเข้ามาใกล้ สไบถอยห่าง
"ฉันถือว่าเราตายจากกันแล้ว"
"แต่พี่ไม่เคยลืม สไบ"
"ลืมฉันเสียเถิด จำไว้ก็ไม่มีวันได้สมหวัง"
ใจไม่สนใจ พุ่งเข้ากอดสไบ สไบดิ้นรน แต่ใจกอดไว้แน่น
"ไม่ลืม พี่จะไม่ลืมสไบ แม้หมดลมหายใจ"
สไบฟังแล้วพยายามกลั้นน้ำตา
"ไปซะตอนนี้ อย่าให้ฉันต้องเรียกคนมาฟันคอพี่"
ใจกอดสไบแน่น สไบสะอื้นออกมาเบาๆ หยุดดิ้น
"จำไว้ พี่รักสไบ ไม่เคยคิดจะทอดทิ้ง ที่บากหน้ามาทั้งๆที่รู้ว่าอาจจะถูกจับ ถูกฆ่า ก็เพื่อรักษาชีวิตทุกคนที่นี่ พี่จะมาพาทุกคนหลบออกไป ทุกคนที่นี่ดีกับพี่โดย เฉพาะสไบ...พี่รักสไบ ถึงรักไม่ได้ก็จะรัก รักไปจนวันตาย พี่มีอุโมงค์ลับ... สามารถพาสไบออกไปจากที่นี่ สไบไปกับพี่เถอะ"
สไบน้ำตาไหลพราก ใจเข้ามาจะจูงมือสไบไป สไบผลักใจออกห่าง
"ไป ไปให้ไกล ที่นี่บ้านฉัน ฉันจะตายที่นี่"
สไบหันหลังร้องไห้สะอื้น ใจอยากเข้าไปกอดปลอบ แต่รู้ว่าไม่มีวันเปลี่ยนใจสไบได้อีกแล้ว
ใจเดินหายออกไป ทิ้งให้สไบร้องไห้สะอื้นด้วยความเศร้าอยู่เพียงลำพัง
จันทร์ เฟี้ยมและทุกคนกำลังตกใจไม่รู้อนาคตตัวเอง ดอกไม้ก็เดินเข้ามา
"ใครไม่กลัวตาย ไม่คิดจะหนี จงออกไปสู้กับข้า"
โย่งผัวปลิวลุกขึ้นทันที
"ฉันไปด้วย"
"งั้นตามข้ามา"
ดอกไม้เดินออกไป โย่งกอดลาเมียด้วยความอาลัย แล้วตามพ่อดอกไม้ไป ปลิวร้องไห้แทบขาดใจ
ดอกไม้พาโย่งออกมาจากข้างวิหาร ดูทุกคนที่เสียใจอยู่
"จะมัวช้าอยู่ทำไม ออกไปสู้กับพวกมันซิ"
ฟัก พาแฟง เฟื่อง จวง และชาวค่ายอีกกลุ่มวิ่งเข้ามา เห็นทุกคนยืนนั่งร้องไห้อยู่รอบๆแท่นปืนใหญ่
เฟื่องเดินไปหาขาบที่นั่งเสียใจอยู่
"มีอะไรกันหรือพี่ขาบ เราแกะพิมพ์ปืนใหญ่แล้วหรือ"
จวงว่า
"ก็ดีซิ เราจะได้เอาไปยิงสู้กับพวกอังวะ"
สังข์เข้ามาดึงจวงออกมากอดไว้ จวงงง ไม่เข้าใจ แฟงเขย่าทัพให้ลุกขึ้น
"ทำไมพี่ทัพไม่เอาปืนใหญ่ไปยิงสู้พวกมัน ช่วยกันเข็นปืนใหญ่ไปซิ เอาไปยิงสู้กับมัน"
ทัพมองแฟงอย่างสงสาร
"ใจเย็นก่อนแฟง ใจเย็นไว้ ปืนใหญ่มัน..ใช้ยิงไม่ได้แล้ว"
แฟงตกใจ มองไปที่ปืนใหญ่ ค่อยๆเดินเข้าไปหา แฟงลูบปืนใหญ่ดู....เห็นรอยร้าวที่กระบอกปืนใหญ่เป็นรอยยาว....แฟงกอดปืนใหญ่ร้องไห้เหมือนเด็ก
โชติบอก
"นมันร้าว...ร้าว..ไม่น่าใช้ยิงได้"
แฟงร้องไห้หนัก
"ไม่จริง ไม่จริง"
ทัพเข้ามากอดแฟงไว้
"ทำไมมันเป็นอย่างนี้ไปได้ ทำไม..พี่ทัพ"
ทัพเงียบ แต่ร้องไห้
"บุญของชาวระจันยังไม่ถึงจะมีปืนใหญ่มาประดับบารมี ลูกเอ๋ย"
แฟงหันไปมองตามเสียงของพระอาจารย์ธรรมโชติที่ยืนอยู่ที่ปืนใหญ่ ทุกคนทรุดลงกราบกับพื้น
แฟงหันไปมองตามเสียงของพระอาจารย์ธรรมโชติที่ยืนอยู่ที่ปืนใหญ่ ทุกคนทรุดลงกราบกับพื้น
"อย่าทุกขเวทนาเป็นสังเวชอยู่เลยลูก การไม่มีปืนใหญ่มิได้หมายว่า ทุกอย่างจะดับสูญ"
โชติบอก
"ไม่มีปืนใหญ่เราจะชนะมันได้อย่างไร"
"ความกล้าของตนต่างหากคือบารมีคุ้มตัว"
"สู้ไป..เราจะรอดมั้ยพระคุณเจ้า" เมืองถาม
"ขึ้นอยู่ที่เจตนา...ว่าสู้เพื่ออะไร"
ทุกคนเงียบ แล้วสำรวจเจตนาตัวเอง
หญิงคนหนึ่งจูงลูกที่เนื้อตัวมอมแมมเพราะวิ่งหนีระเบิดลุกขึ้น
"ฉันไม่สู้ หลวงพ่อดูลูกฉันซิ ฉันสงสารลูก อย่าให้ลูกฉันต้องมาตายในศึกนี้เลย"
"การพลัดพรากเป็นเพียงการพ้นไปจากความเคยชิน ความรักความห่วง เป็นเพียงความรู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา แท้จริงในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย จงแยกย้ายกันไปตามบุญของตนเถิด"
พระอาจารย์ธรรมโชติ เดินกลับไปที่โบสถ์อย่างสงบ
"ฉันไม่อยู่ ปล่อยฉันออกไปจากค่ายนี้เถิด"
หญิงอีกคนบอก
"พวกฉันก็ไม่อยู่ ฉันกลัว"
ชาวบ้านอีกหลายคนไม่ยอมอยู่
"พวกฉันก็ไม่อยู่ ฉันฟันดาบไม่เป็น สู้ไปก็ตายเปล่า"
ชาวบ้านกลุ่มนั้นต่างพากันวิ่งไปคนละทิศละทาง
สังข์พยายามห้าม
"อย่าไป ออกไปตอนนี้ก็ตายเปล่า พวกอังวะมันล้อมไว้หมดแล้ว"
ชาวบ้านไม่มีใครยอมฟัง วิ่งกันเตลิด
"อย่าออกไปอย่าไป ให้มีปีกก็บินหนีมันไม่พ้น...อย่าไป"
สังข์เสียใจที่ไม่มีใครฟัง
"ถ้าใครไม่คิดจะอยู่ ฉันพอมีทางพาหนีได้"
ทุกคนหันไปตามเสียง สไบเดินเข้ามา น้ำตายังไม่แห้งไปจากใบหน้า
"เด็ก..ผู้หญิง..คนเฒ่าคนแก่ที่จับดาบสู้ไม่ไหว ฉันพอพาหนีได้"
จวงมองสไบอย่างแปลกใจ
"พี่สไบมีทางหนีจริงๆหรือ"
"มี...คิดว่ามีจ๊ะ แต่คงไปได้ไม่มาก"
อินบอก
"ใครมีห่วงก็หลบไป แต่ฉันจะอยู่สู้ตายที่นี่"
"ใครไม่อยู่ก็ตามแม่สไบไป" ดอกไม้บอก
ทุกคนรีบเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นไปอยู่ข้างสไบ
"เดี๋ยวก่อน...ฉันขอฝากแม่ไปด้วย"
ทุกคนหันมามองทัพ ขาบเดินมาหาเฟื่อง
"เฟื่อง...ตามไปกับแม่เถอะนะ" ขาบบอก
"พี่ขาบ...พี่อย่าทิ้งฉันนะ"
"เราคงทำบุญร่วมกันมาเพียงแค่นี้ ไปเถอะแม่แกคงไม่ยอมทิ้งเฟื่องไว้กับพี่"
เฟื้องกอดขาบร้องไห้ ไม่อยากจาก
"ไอ้ฟัก พาเฟื่องไปเถอะ"
ฟักเดินเข้ามาดึงเฟื่องออกไปจากขาบ เฟื่องร้องไห้แทบขาดใจ
จวงมองสังข์นิ่ง น้ำตาเอ่อ รู้ใจสังข์ว่าคิดเช่นไรทั้งสองโผเข้ากอดกันแน่น ไม่คิดจะจากกัน
"ไปดูแลแม่เถอะ ไม่ต้องห่วงพี่ พี่จะขออยู่รบที่นี่"
"พี่อยู่ ฉันก็จะอยู่ ฉันจะอยู่สู้กับพี่"
สังข์พยายามกลั้นน้ำตา เสียงแข็ง
"ไม่ได้...พี่เป็นทหาร ชีวิตพี่มอบให้แผ่นดินไปแล้ว จวงพาแม่หนี ไปซิ การรบเป็นหน้าที่ของผู้ชาย ทัพพาจวงไป"
ทัพรีบเข้าไปดึงจวงออกมา จวงร้องไห้ใจจะขาด
ทัพสงสารแต่จำต้องพรากออกไป ฟักเข้าช่วยดึง
"เร็วเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทัน ตามข้ามาทางนี้"
ฟักวิ่งนำทุกคนออกไปทางข้างกำแพง ทัพหันมามองแฟงที่ยังคงยืนนิ่ง แฟงไม่แสดงความอ่อนแอใดใดทั้งสิ้น ทัพตัดสินใจวิ่งนำแฟงออกไป เคลิ้ม เอิบ ช่วง มองตามเพื่อนไปอย่างเห็นใจ
อ่านต่อหน้า 2
บางระจัน ตอนที่ 17 (ต่อ)
ฟัก สไบวิ่งนำแฟง เฟื่อง จวงและคนอื่นๆ เข้ามา
"ฉันมาพาทุกคนหนีไปจ๊ะ เร็วเถอะจ๊ะ"
ทัพกับแฟงวิ่งตามมา จันทร์โผเข้ากอดทัพ แล้วรู้สึกแปลกใจ....
"อะไรกันทัพ....แม่ไม่ไป แม่จะอยู่กับแก"
"ไปเถอะนะแม่ ถ้าแม่อยู่ฉันจะพะวง รบไม่ชนะ"
จวงร้องไห้โฮโผเข้ากอดแม่ จันทร์กอดลูกร้องไห้เหมือนใจจะขาด
"ไม่..ไม่นะทัพ แม่จะอยู่กับเอ็ง จะตายก็ตายด้วยกัน แม่ไม่ไปไหน"
ทัพไม่พูด ก้มลงกราบเท้าแม่...ระเบิดลูกหนึ่งมาตกไม่ห่าง ทุกคนพากันหลบ แต่จันทร์ยืนนิ่ง...
จันทร์ร้องไห้เหมือนใจจะขาด ฟักไหว้ลาเฟี้ยม เฟี้ยมโอบกอดลูกเหมือนแม่ไก่โอบปีกป้องลูก
"แม่ไม่ไป แม่ไม่ไปไหนทั้งนั้น"
"แม่อย่ารีรอเลย เดี๋ยวจะหนีไม่ทัน"
"ทำไมไม่ให้แม่ตายเสียตรงนี้ ให้แม่ตายตรงนี้เถิด"
ที่หลังโบสถ์ ลูกปืนใหญ่ถูกยิงมาตกระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น แฟงรีบเข้ามาหาแม่
"รีบไปเถอะแม่ ฉันจะพาแม่ไปเอง"
ทัพใจหาย แต่ไม่ห้าม
"เอ็งไปกับแม่นะจวง"
จวงไหว้ขอโทษแม่
"บุญคุณฉันทดแทนแม่ได้แค่นี้ แม่ไปเถอะ"
เฟี้ยมยิ่งร้องเหมือนจะขาดใจตรงนี้
ทุกคนรีบพากันออกไป แฟงจะไป ทัพจับแขนแฟงไว้
"ไปเถอะแฟง ดูแลลูกเราให้ดี"
แฟงมองทัพนิ่งไม่พูด ตัดสินใจวิ่งตามแม่ออกไป
ระเบิดยิงมาตกใกล้โบสถ์อีกลูก ทุกคนต่างระวังตัว ทองแก้วก้าวออกมาอย่างไม่กลัวตาย
"ชีวิตพวกเรามอบให้แผ่นดินแล้ว ไปเถิด ไปสู้กับพวกอังวะ ให้มันรู้ว่าปฐพีนี้เป็นของไท"
ดอกไม้บอก
"เราจะสู้ แม้ไม่ชนะก็สู้ สู้ให้สมศักดิ์ศรีของคนไท ให้ลูกหลานได้จำชื่อไว้"
สีหน้าทุกคนมีกำลังใจฮึกเหิมขึ้น ชูดาบเฮ
"สู้ให้พวกข้าศึกมันรู้ว่าเรายินดีตาย แต่จะไม่ยอมให้พวกมันหยาม"
"ช่วยกันลากปืนใหญ่ออกไปด้วยเถิด ถึงจะร้าว แต่ขอให้เราได้ยิงมันสักนัดหนึ่งก็ยังดี" เมืองบอก
"เอา...พวกเรา ช่วยกัน" อินบอก
ทุกคนมาช่วยกันลากปืนใหญ่ออกไปที่หน้าค่าย
ทัพ ฟัก เฟื่อง จวง วิ่งออกมาช่วยเข็นปืนใหญ่ออกไป
เฟื่องเข้ามาช่วยขาบ ขาบมองเฟื่องอย่างดีใจ
"ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ฉันจะไม่มีวันทิ้งพี่ไปไหน"
ขาบมองเฟื่องอย่างซึ้งน้ำใจ
จวงเข้ามาช่วยสังข์ สังข์ยิ้มดีใจ
"ฉันไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว ให้ฉันได้อยู่สู้อย่างเมียทหารเถอะนะ"
ทั้งคู่ช่วยกันเข็นปืนใหญ่ออกไป
หลวงพ่อธรรมโชติยืนนิ่งมอง....อย่างสงบ
มีระเบิดลูกปืนไล่ยิงตามมาติดๆ จันทร์วิ่งผ่านบ้านแล้วนึกได้
"เดี๋ยวก่อนแฟง"
จันทร์สะบัดมือแฟงวิ่งขึ้นไปที่หิ้งพระ แต่เอื้อมไม่ถึง แฟงวิ่งตามมาช่วยจนได้พระมา
ระเบิดมาตกที่ลานครัวอีกลูก ทุกคนหลบกันอลหม่าน
"ทางนี้แฟง มาทางนี้"
สไบวิ่งนำทุกคนไปทางท่าน้ำหลังค่าย
สไบวิ่งอุ้มเด็กวิ่งนำมามองหาทางไปอุโมงค์
"พี่ใจเคยพาฉันหนีมาทางนี้ พี่ใจบอกว่ามีอุโมงค์ลับ"
สไบนำทุกคนวิ่งหา แต่ถูกทหารอังวะเข้ามาขวาง สไบพาทุกคนกลับมาทางเดิม พวกอังวะไล่ฟัน ชาวบ้านชายออกมากันพวกผู้หญิงไว้
จันทร์กันเฟี้ยมไว้ เอาพระพุทธรูปบังตัว อังวะจึงฟันถูกพระพุทธรูป
"คุณพระคุณเจ้า พี่พัน ช่วยลูกหลานด้วยเถอะ"
ปลิวพยายามปกป้องลูก ผัวปลิวพยายามสู้ แต่ถูกฟันตาย พวกผู้ชายมีแต่แก่ๆ สู้อังวะไม่ค่อยไหว เริ่มตายไปทีละคน จันทร์ต้องสู้เอาตัวรอด คอยป้องกันพวกเด็กๆ เอาพระพุทธรูปไล่ทุบ
ปริก / ปลวก / โปรย เห็นท่าไม่รอดจึงตัดสินใจเข้าช่วยสู้กับพวกอังวะ
โปรยบอก
"สไบ..พาพวกเด็กๆไป พวกฉันจะสกัดมันไว้เอง"
สไบรีบพาทุกคนวิ่งไปต่อ
ปริก / ปลวก / โปรย พยายามสกัดพวกอังวะไว้ไม่ให้ตาม ถูกฟันเป็นหลายแผล แต่ก็สู้ยิบตา
สไบวิ่งนำมาตรงป่าใกล้ๆหลุมอุโมงค์
"ช่วยกันหาซิ อุโมงค์ต้องอยู่แถวนี้"
ทุกคนช่วยกันค้นหา จนแฟงเจอ
"ตรงนี้ อยู่ตรงนี้"
ทุกคนต่างรีบมาช่วยแฟงเปิดอุโมงค์
"รีบลงไป " แฟงบอก
ปลิวบอก
"ให้ลูกฉันลงไปก่อน ให้ลูกฉันก่อน"
"จ๊ะๆ ให้เด็กๆลงไปก่อน"
พวกอังวะวิ่งมา 3-4 คน แฟงคว้าพร้าจากหญิงคนหนึ่งที่กำลังจะลงอุโมงค์ วิ่งเข้าหา
เฟี้ยมบอก
"แฟง อย่าไป มานี่"
"ฉันจะไปช่วยแฟงเอง รีบเอาตัวรอดก่อน เดี๋ยวจะหนีไม่ทัน"
"ไปเถอะ ฝากลูกฉันด้วย" ปลิวว่า
"ต้องปล่อยลูกมันไปตามยถากรรมเสียแล้วเฟี้ยม ช่วยพวกเด็กๆนี้ให้รอดเถิด"
เฟี้ยมร้องเหมือนจะขาดใจ พากันมุดลงไป ปลิวรีบปิดปากอุโมงค์ ถือสากวิ่งเข้าหาพวกอังวะ
แฟงสู้ยิบตา สไบมาช่วย ปลิวสู้ด้วยสากอย่างไม่กลัวตาย สไบเสียที ปลิวเข้าช่วยถูกแทง แต่ก็สู้ต่อ
แฟงได้จังหวะฟันพวกอังวะตาย สไบฟันตายไปอีกคน ปลิวเอาสากฟาดหัวอังวะสลบไปอีกคน
"มึงจะมาแย่งข้าวกู มึงต้องตายด้วยสากนี่"
ปลิวเผลอ หมดแรง ถูกอังวะเข้ามาแทงอีกแผล
แฟงกับสไบ เข้ามาช่วยรุม จนฆ่าได้อีกคน
เสียงระเบิดจากหน้าค่ายยังดังอยู่
"ฉันจะไปช่วยพี่ทัพรบ" แฟงบอก
"ฉันไปด้วย"
ทั้งคู่พากันวิ่งกลับไปทางเดิม
อ่านต่อหน้า 3
บางระจัน ตอนที่ 17 (ต่อ)
แฟงกับสไบวิ่งเข้ามา ระเบิดยังตกมาเป็นระยะ ทัพหันมาเห็นแฟง ทั้งตกใจและดีใจ รีบวิ่งลงมาจากระเนียด ฝ่าดงระเบิดมาหาแฟง
"แฟง....แฟง"
แฟงวิ่งฝ่าดงระเบิดไปหาทัพ ทัพวิ่งฝ่าระเบิดมากอดแฟงไว้แน่น ที่กลางลาน
"เอ็งกลับมาทำไม กลับมาทำไมแฟง"
"ฉันทิ้งพี่ไปไม่ได้ดอก ฉันจะตายอยู่กับพี่"
ทั้งคู่กอดกันร้องไห้ สไบอดตื้นตัน ยืนมองร้องไห้ไปด้วย เสียงเฮขึ้นที่ระเนียดค่าย ทัพแฟงเห็นพ่อค่ายและชาวค่ายเอาปืนใหญ่ขึ้นหอได้สำเร็จทั้งสองกระบอก
ทัพหันมาเรียกสไบ แล้วรีบจูงแฟงวิ่งไปที่ระเนียด
ทัพวิ่งขึ้นมาที่ระเนียดกับแฟง สังข์ดีใจหัวเราะดัง
"ไอ้ทัพ..กูจะขอจุดฉนวนปืน ยิงพวกอังวะให้มึงดูเป็นขวัญตา"
เอิบ ช่วง ช่วยกันใส่ถุงดินปืน และลูกปืน สังข์แทงฉนวนให้ถุงดินปืนขาด แล้วเทดินปืนชนวน ก่อนจุด
"ไอ้พวกอังวะ เข้ามา..กูจะขอล้างแค้นมึงด้วยปืนใหญ่กระบอกนี้"
สังข์เอาคบมาจุดชนวนยิง ปืนใหญ่ยิงออกไป ระเบิดมาตกที่หน้าหอเฉียดสุกี้ไปไม่ไกล สุกี้ตกใจ ทหารวิ่งกันวุ่นวาย
สังข์และทุกคนดีใจโห่ร้องเสียงดัง
"ข้ายิงปืนใหญ่ได้ ข้ายิงได้....เอา ใส่ดินปืนอีก"
เอิบ ช่วงจะใส่ถุงดินปืนก็ตกใจ ถอยออก
"มีอะไร"
เอิบ ช่วงถอยออก เห็นปืนใหญ่มีรอยร้าวมากขึ้นจนน่าจะยิงไม่ได้ สังข์หน้าเสีย รีบตะโกนไปที่ขาบ ที่คุมการยิงอยู่อีกหอหนึ่ง
"ไอ้ขาบ ปืนใหญ่มึงเป็นอย่างไรบ้าง ลองยิงซิ"
ขาบงง สั่งชาวค่ายบรรจุดินปืน
"ใส่ดินปืน บรรจุลูกกระสุน"
เคลิ้ม กับ ฟัก ช่วยกันใส่ดินปืนกับลูกกระสุน สังข์เป็นห่วงตะโกนมา
"ระวังนะไอ้ขาบ ถอยออกมาห่างๆ"
ขาบต่อสายชนวนออกมายาว หมอบอยู่ห่างๆจุดชนวน ไฟลามตามสายชนวนจนถึงปืนใหญ่
...ทุกอย่างเงียบ สังข์ และทุกคนจ้องมอง
ทันใดนั้นปืนใหญ่ก็ระเบิดออก ด้วยแรงทำให้หอค่ายระเบิดกระเด็นแตกเป็นเสี่ยงๆ
สังข์และคนอื่นๆค่อยๆโผล่ขึ้นมาดูตกใจ
"ไอ้ขาบ...ไอ้ขาบ มึงเป็นอย่างไรบ้าง"
ขาบและพวกค่อยๆโผล่ขึ้นมา ฝุ่นเต็มตัว
"กูไม่เป็นไร"
สังข์แค้นใจ
"กูจะยิงกับมัน บรรจุดินปืน"
"มันอันตรายนะไอ้สังข์" ทัพบอก
"กูยอมตาย ยังไงก็ขอยิงมันจนกว่าปืนใหญ่มันจะทนไม่ได้ เร็วบรรจุดินปืน"
เอิบกับช่วงสั่น รีบบรรจุดินปืนและกระสุน แล้วรีบวิ่งหลบออกไป สังข์เทดินปืนใส่เป็นชนวน
"ระวังนะไอ้สังข์ ถอยออกมาห่างๆ" ทัพบอก
"กูไม่กลัว"
สังข์จุดชนวนด้วยความบ้าบิ่น ปืนใหญ่ยิงระเบิดออกไป พร้อมกับกระบอกฉีกออก ไม่ได้ระเบิดแบบขาบ
ลูกปืนใหญ่ของสังข์มาตกระเบิดที่หน้าหอปืนสุกี้โดนทหารตายไปหลายคน สุกี้โมโห
"พวกระจันมันบ้าเลือดแล้ว แต่มันหล่อปืนไม่เป็น"
จอกยีโบบอก
"ดี...ทีนี้พวกมันก็จะมุดหัวอยู่แต่ในค่าย รอให้พวกเราบุกเข้าไปฟันคอเล่นเท่านั้น"
"สั่งให้หอปืนปีกซ้ายเดินหน้าต่อ ถึงวันมาฆะเมื่อไหร่ หอปืนเราทั้งหมดคงล้อมมันไว้ทุกด้าน ทีนี้ล่ะ..ข้าจะถล่มมันไม่ให้เหลือซากเลยทีเดียว"
สุกี้มองออกไปอย่างอาฆาต รอวันล้างแค้น
อ่านต่อหน้า 4
บางระจัน ตอนที่ 17 (ต่อ)
ปืนใหญ่สังข์ที่ฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ สังข์และคนอื่นๆยืนมองอย่างท้อใจ
ทองแสงใหญ่บอก
"อย่าท้อใจไป เรายังมีดาบและหัวใจกล้า อย่างไรเราก็จะไม่ยอมแพ้ คนระจันรบ"
ทุกคนชูดาบ ร้องตาม
"คนระจันรบ คนระจันรบ คนระจันรบ"
ทั้งค่ายมีแต่เปลวไฟและหลุมระเบิด ควันคลุ้งไปหมด ชาวระจันบนค่ายชูดาบร้องอย่างฮึกเหิม
"คนระจันรบ คนระจันรบ คนระจันรบ"
พระจันทร์วันอาสาฬหบูชาเต็มดวงสวยงาม พระอาจารย์ธรรมโชติ นั่งสงบนิ่งอยู่หน้าพระประธาน มีเปลวเทียนสว่างไปทั่วโบสถ์เนื่องจากชาวค่ายมาเวียนเทียน
ทุกคนนั่งสงบอยู่เต็มโบสถ์ ทุกคนพนมมือฟังเทศน์เตือนสติของหลวงพ่อ
"พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่พระพุทธองค์ทรงปฐมเทศนาในวันอาสาฬหปูรณมีบูชาในในวันเพ็ญ เดือน ๘ วันนี้ก็คือ...การเข้าใจเหตุแห่งทุกข์ และหาวิธีปฏิบัติให้หลุดพ้น เพลานี้ทุกข์ของโยมคือการสูญเสียปืนใหญ่ยิงสู้กับศัตรู แท้จริงแล้วใช่หรือ.....โยมมิได้สูญเสียปืนใหญ่ไปไหนเลย ตราบใดที่โยมยังรักมั่นสามัคคี รวมตัวกันตั้งจิตมั่นเพื่อรักษาแผ่นดิน ปืนใหญ่ทั้งสองกระบอกของโยมยังคงอยู่ อาวุธชั้นดีที่สุดของโยมคือ..ความสามัคคี"
ทุกคนสีหน้าดีขึ้น
"ความสามัคคีนี้เราใช้รบชนะข้าศึกมาถึง 7 คราว หล่อหลอมสามัคคีต้านข้าศึกได้อย่างแข็งแกร่ง ศัตรู..จะมาจากแห่งหนใด ก็อย่าได้หวั่นเกรงใดใด เมื่อเราสามัคคีกันแน่นเฟ้น สิ่งที่โยมตั้งมั่นไว้...คือการรักษาแผ่นดิน จะมีปืนใหญ่หรือมิมี โยมจะทุกข์ไปทำไม เจริญพร"
ทุกคนก้มลงกราบหลวงพ่อที่ให้สติและกำลังใจ
หลวงพ่อธรรมโชติมองด้วยสายตาสงบและหยั่งรู้ว่ามีเพียงกำลังใจเท่านั้นที่จะทำให้ทุกคนก้าวต่อไปอย่างเป็นสุข
ทัพนั่งเหม่อ ตามองไกล แฟงนอนหนุนตักทัพอยู่ เห็นพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่น
"เพลานี้พวกอังวะมันปิดล้อมเราไว้หมดทุกด้าน เราคงหนีพวกมันไม่พ้น อาวุธเหล็กอย่างดี เราก็เอาไปหลอมหล่อปืนใหญ่สิ้น"
"ถึงจะไร้อาวุธ พี่ก็จะขอสู้ตาย ขอเป็นผีเฝ้าค่ายฝากนามไว้แก่นักรบรุ่นหลัง"
แฟงกอดทัพ ซบลงที่ไหล่
"เราเกิดมาใต้ร่มฟ้าแผ่นดินนี้ เลือดเนื้อก็ต้องคืนให้แก่แผ่นดินนี้ ฉันไม่เสียดายเลย"
แฟงเลื่อนมาแตะท้อง น้ำตาคลอเมื่อนึกถึงลูกที่กำลังเกิด
"ลูกเอ๋ย เดือนตะวันที่ส่องค่าย เพียงแต่แสงอ่อนๆ เจ้าก็หาได้เกิดมาลืมตาเห็นไม่ร่มค่ายที่เจ้าจะได้ถือกำเนิดมาเป็นชาวระจันหว่างศึก ก็จะได้แต่เพียงประนมมือตายอยู่ในท้องแม่เท่านั้น"
ทัพฟังคำรำพันของแฟงแล้วสะเทือนใจ กุมมือเมียรักไว้
"แฟง ความตายน่ะไม่มีใครจะหนีพ้น ไม้ใหญ่มันยังรู้โค่น เราหรือจะหนีตายไปได้"
ทัพยิ้มมองเมียอย่างให้กำลังใจ
"แต่แฟงเป็นเมียรัก เป็นเมียนักรบ ดาบหญิงฟันชายนั่นแหละมันแสนประเสริฐ มันจะเลื่องลือไปชั่วฟ้าว่านักรบระจันมีหญิงตายเฝ้าค่าย"
ทัพกับแฟงยิ้มให้กัน ไม่ยอมจะให้สิ่งใดมาพรากไปจากกันได้
ดวงจันทร์เพ็ญเต็มดวงวันอาสาฬบูชาสะท้อนอยู่ในบ่อน้ำ สังข์กับจวงตักน้ำด้วยกะลาใบเล็ก ขึ้นจบเหนือหัว
"ฉันขอสาบานต่อหน้าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ชาติหน้าฉันใด ขอให้ได้เกิดมาเป็นคนไท"
"ขอให้ได้เป็นทหารที่ตายเพื่อแผ่นดิน ได้ปกป้องพี่น้องไท"
สังข์กับจวงหันมายิ้มให้กัน จวงดื่มน้ำแล้วส่งต่อให้ สังข์รับมาดื่มแล้วเอาลูบหัว
"ให้ได้อยู่ร่วมกับจวงเมียรักไปทุกชาติๆ"
"ฉันก็ขอให้ได้อยู่กับพี่สังข์ไปทุกภพทุกชาติ"
สังข์กับจวงจับมือกันยิ้ม
"ขอให้ได้ตายเคียงกัน"
เฟื่องกับขาบประนมดอกบัวธูปเทียนอธิฐานต่อพระประธาน สีหน้าทั้งคู่มีแต่ความอิ่มเอิบ
"รักในยามศึก ถึงชีวิตจะยืนยาวไม่แน่นอน แต่ลูกก็จะขอสาบานไว้ จะขอกอดคอกันตายทั้งชาตินี้ ชาติหน้าไม่ห่างกัน"
"ลูกนี้ขอเกิดมาเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกับแม่เฟื่องไปอีกร้อยพันชาติ ขอกุศลที่ทำคุณกับแผ่นดินช่วยล้างกรรมชั่ว อย่าได้เหลือตามไปถึงภพหน้าเลย"
ทั้งคู่ก้มลงกราบพระประธานพร้อมกัน ด้วยสีหน้าแห่งความรักความผูกพัน
อ่านต่อตอนที่ 18