บางระจัน ตอนที่ 15
ทางด้านใจนั่งอยู่ในกลุ่มนายกองที่กำลังฟังการวางแผนของสุกี้พระนายกอง
"พวกหอปืนใหญ่ด้านหน้าค่ายให้ระดมยิงเข้าไปในค่ายมัน ไม่ต้องเลือกว่าตรงไหน ยิงทุกวัน วันละสามเวลา พวกมันก็จะแห่มารักษาที่หน้าค่ายด้านเดียว ทีนี้ก็ให้ทหารอีกพวกหนึ่งเร่งประชิดด้านหลังค่าย จู่โจมพังเข้าไป..ฆ่ามันให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่ชีวิตเดียว"
ใจนั่งฟังด้วยความหนักใจ ยิ่งเป็นห่วงพวกบางระจันยิ่งขึ้น
ณ ศาลาลูกขุน ในกำแพงกรุงศรีอยุธยา ทหารกรุงศรีฯ กำลังให้น้ำให้อาหารอ้ายเลาอยู่ ทัพถูกมัดมือนั่งอยู่ต่อหน้าเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ และคุณพระนายอยู่ที่ศาลาลูกขุน
คุณพระนายบอก
"มันเป็นทหารหนีทัพ มันคือขบถแผ่นดิน ข้าพเจ้าไม่เชื่อใจมันดอก อยู่ๆจะมาขอปืนใหญ่ไปสู้กับอังวะ มันอาจเป็นแผนของพวกอังวะมาลวงเรา"
"เกล้ากระผมมาจากค่ายบางระจันจริงๆคุณพระนาย นายกองสังข์กับหมู่ขาบก็อยู่กับเกล้ากระผมในค่าย"
เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์บอก
"ข้าได้ยินกิตติศัพท์พวกค่ายระจันมาหนาหูอยู่ ฟังเขาก่อนเถอะจหมื่นศรี"
คุณพระนายฮึดฮัด ไม่สบายใจ
"เพลานี้พวกอังวะมันระดมยิงปืนใหญ่ใส่ค่ายระจันไม่เว้นแต่ละวัน หากไม่ได้ปืนใหญ่ หรือกำลังทหารกรุงไปช่วย ค่ายบางระจันคงแหลก คนในค่ายจะไม่มีใครเหลือ"
"คนน้อยแค่นั้น จะไปสู้อะไรมันได้ ทำไมไม่หนีเข้าป่าไป"
ทัพบอก
"แผ่นดินนี้เป็นของปู่ย่าตายายเขา คุณพระนายจะให้พวกเขาหนีไปอยู่ไหน"
"คิดโง่ๆอย่างชาวบ้าน กองทัพกรุงศรียังต้านมันไม่อยู่ ชาวบ้านแค่หยิบมือเดียวจะหาญไปสู้มัน"
"แต่เขาก็สู้ต้านมันมาถึงเจ็ดทัพแล้ว ถ้าได้ทหารกรุงศรีไปช่วย มีปืนใหญ่ยิงสู้ เกล้ากระผมคิดว่าสู้ได้"
"ไม่มีใครส่งกองทหารออกไปไกลถึงบางระจันดอก ขืนเอาปืนใหญ่ออกไป มีหวังถูกพวกอังวะมันปล้นกลางทางแน่ ทหารอังวะล้อมกรุงอยู่เป็นแสน เอ็งฝ่าหนีมันมาได้ก็นับว่าบุญหัวแล้ว อยู่ช่วยข้ารบอยู่ในกรุงนี่แหละ ไม่ต้องกลับไปบางระจันแล้ว"
ทัพไม่พอใจ ลุกขึ้นพูดเสียงดัง
"คุณพระนายเห็นแก่ตัว เอะอะอะไรก็เอาแต่สั่งถอย เพราะมีนายทหารอย่างคุณพระนายนี่ซิ พวกเกล้ากระผมถึงเข้าตาจน หนีออกมาเป็นโจร ศึกนครสวรรค์แตกเพราะคุณพระนายสั่งถอย ไม่ยอมสู้"
คุณพระนายโกรธ
"ไอ้ทัพ ไอ้ขบถ ทหารเอามันไปขัง มันเป็นสายพวกอังวะ"
ทหารวังกรูกันเข้ามาจับทัพ จะลากตัวทัพไป ทัพจ้องหน้าคุณพระนายนิ่ง ไม่กลัวตาย
"เอาซิ...เอาเกล้ากระผมไปตัดหัวที่ไหนก็เอาเลย เกล้ากระผมยินดีตาย ดีกว่าอยู่อย่างคนขี้ขลาด"
คุณพระนายโกรธ ลุกขึ้นจะชักดาบ
เจาพระยารัตนาธิเบศร์บอก
"ใจเย็นก่อนดีไม๊จหมื่นศรี "
"มันเป็นทหารในบังคับบัญชาของข้าพเจ้า มันหนีทัพ ท่านเจ้าคุณให้ข้าพเจ้าลงโทษมันเองเถอะ"
พระยารัตนาธิเบศร์สงบ เงียบ
"ลากตัวมันไป"
ทหารลากตัวทัพออกไป คุณพระนายหันมาพูดกับพระยารัตนาธิเบศร์อย่างไม่พอใจ
"ท่านเจ้าคุณอย่าหลงไปเมตตาไอ้คนขบถ ถ้าพวกอังวะส่งมันเข้ามาสืบข่าวเราจะแย่ กลศึกเช่นนี้พวกหงสาวดีเคยทำกับเรามาแล้วแต่ครั้งเสียกรุงคราวก่อน ปล่อยให้ข้าพเจ้าเค้นความมันเอง ทหารอังวะเป็นแสนมันฝ่ามาได้ ท่านเจ้าคุณไม่สงสัยมันหรือ"
คุณพระนายยกมือไหว้พระยารัตนาธิเบศร์อย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะออกไป เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์รู้สึกสับสน ไม่แน่ใจในตัวทัพ
ลานบ้านทัพยามเช้า... แสงเช้าสาดมาดูอบอุ่น งดงาม แฟงกำลังหุงข้าว ทำอาหารอยู่ เฟื่องเดินออกมาเห็นรีบเข้าไปช่วย
"ทำไมไม่ปลุกพี่ แฟงยังไม่สบายอยู่นะ"
"หายแล้ว ฉันอยากจะทำไปถวายพระอาจารย์ธรรมโชตินะพี่เฟื่อง"
"อย่างนี้พี่ต้องยิ่งช่วย พี่ก็อยากได้บุญด้วย"
เฟื่อง แฟงต่างรีบช่วยกันทำอาหาร โดยต่างคนต่างเก็บความกังวลไว้ในใจ
ทัพถูกลากมาโยนเข้าไปในคุก พัศดีไขกุญแจแล้วเดินออกไป ทัพนั่งนิ่งอย่างหมดอาลัยในชีวิต น้ำตาค่อยๆไหลออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างที่สุด
"ข้าทำดีที่สุดแล้ว..พี่น้องบางระจันของข้า บุญข้าได้ตอบแทนพ่อแม่พี่น้องได้แค่นี้ แฟง..พี่อยากจะบอกเอ็งว่าพี่รักเอ็งที่สุดในชีวิต เกิดชาติหน้าฉันท์ใด ขอเอ็งเกิดมาเป็นเมียพี่ทุกชาติๆ"
ทัพหมดหวังอย่างที่สุด
ลูกปืนใหญ่ตกลงที่ลาน ฝุ่นไฟแตกกระจาย สังข์ ขาบกำลังต้อนชาวบ้านหนี ลูกปืนใหญ่ตกลงเฉียดเข้ามาใกล้อีกลูก สังข์ ขาบพุ่งตัวกระเด็นไปอีกทาง ฟัก เคลิ้ม เอิบ ช่วง วิ่งเข้ามาลากสังข์กับขาบให้รีบหลบออกไป ปืนใหญ่อีกลูกตกลงที่สังข์กับขาบเพิ่งถูกพาออกไป เสียงระเบิดดัง ฝุ่นดินปลิวว่อน ไฟลุกติดต้นไม้ บ้านเรือนทันที ชาวค่ายรีบช่วยกันดับ
แฟง เฟื่อง วิ่งเข้ามาช่วยชาวบ้านคนอื่นๆ สาดน้ำดับไฟที่ลุกติดเรือน ชาวบ้านหลายคนมาช่วยกันสาดน้ำดับไฟให้เรือนที่ติดไฟลุกไปทั่วจากแรงระเบิดของกระสุนปืนใหญ่
แฟง เฟื่อง ทุกคน พากันสาดน้ำมือเป็นระวิง แฟงรู้สึกเสียดท้องจนต้องยืนพิง เฟื่องรีบวิ่งเข้ามาประคองน้อง
"นั่งก่อน แฟง"
"ฉันไหวจ้ะ"
"แฟง อย่าดื้อ .. ไม่ห่วงตัวเอง ก็ต้องห่วงอีกชีวิตนึง"
เฟื่องมองดุ แฟงจำต้องนั่งลง มองสภาพค่ายที่กำลังถูกโจมตีอย่างหนัก
"พี่เฟื่อง .. พวกมันคิดจะตีเราให้แหลก มันมีปืนใหญ่ มันขี้ขลาด แต่เราจะทำให้มันรู้ว่าเราไม่กลัวตาย มันไม่มีทางเอาชนะหัวใจคนบ้านระจันได้"
แฟงน้ำตาคลอด้วยความคับแค้นใจ
ระเบิดปืนใหญ่ลงที่ลานซ้อมอาวุธอีกหลายลูก เสียงดังสนั่น จันหนวดเขี้ยว ขุนสรรค์ที่ยืนอยู่ท่ามกลางพ่อค่ายที่เหลือและนักรบจำนวนหนึ่ง
จันเขี้ยวบอก
"ยกไปตีมันเถอะ จะเป็นจะตายพ่ายแพ้ ก็ขอให้ยกออกไปสู้อวดหัวใจมัน อย่าให้มันมาเย้ยว่าคนระจันกลัวปืน เหมือนกาขลาดตาขาว ชั่วเห็นโก่งธนูก็ร้องว่ายิงถูกเป็นบุญมือเขา คิดแต่จะแล่นเข้าค่ายให้อลหม่าน เราอย่าเป็นเช่นนั้นเลย หากจะจับเป็นเชลยก็ขอให้ได้แต่ศพไปเท่านั้น"
นักรบหลายคนโห่ร้องเห็นด้วย ขุนสรรค์เดินมาข้างจันเขี้ยว ตะโกนร้องต่อ
"คำพ่อจันเขียวถูกหัวใจข้านัก ถึงจะนิ่งอยู่ก็ไม่พ้นตาย ได้รบ..มันก็แค่ตายเร็ววันขึ้น แต่ก็ยังแลกชีวิตกันได้มั่ง กองอาสาตายของเราจะเรียงหน้าผลัดเวรออกไปให้มัน ฆ่าเสียคนแพ้คนน่ะอย่าอยู่เลย เขาจะเยาะเอาเสียเปล่า...ออกไปให้มันล้างสิ้นคนระจันเถอะ"
นักรบหลายคนยกดาบขึ้นเฮ
จันหนวดเขี้ยว ขุนสรรค์เดินนำนักรบระจันออกไป
โชติ อิน เมือง ดอกไม้ ทองแก้ว ทุกคนมองแววตาเด็ดเดี่ยวยอมตายของสองผู้นำและนักรบระจันอย่างชื่นชม รู้สึกอาลัยน้ำตาคลอ
จันหนวดเขี้ยว ขุนสรรค์ เดินนำนักรบทั้งหมด ฝ่าระเบิดตรงไปที่ประตูค่ายอย่างไม่หวาดเกรงใดใด พันเรือง ทองแสงใหญ่ และทหารบนระเนียดค่ายหมอบหลบกระสุนปืนใหญ่อยู่มองลงมาอย่างเข้าใจ
แต่ละคนเดินมาอย่างเด็ดเดี่ยวเกือบถึงประตูค่าย ขณะที่ระเบิดปืนใหญ่ยังตกมาเรื่อยๆ
จันหนวดเขี้ยวสั่งเสียงเข้ม
"เปิดประตูค่าย"
ทหารที่หลบข้างประตูหันขึ้นไปมองทองแสงใหญ่...รอคำสั่ง ทองแสงใหญ่พยายามกลั้นน้ำตา ตะโกนต่อ...
"เปิดประตูค่าย"
ยามค่ายช่วยกันเปิดประตูออก
จันหนวดเขี้ยว กับขุนสรรค์พานักรบเดินออกไปอย่างห้าวหาญ ไม่เกรงกลัวใดใด พวกพ่อค่ายที่ยืนส่งต่างน้ำตาคลอ ไม่อาจพูดใดใดได้ ประตูค่ายปิดลง
ใจเดินเข้ามาหยุดมองสุกี้ที่กำลังสั่งการอยู่อย่างไม่สบายใจ
"ข้าจะให้พวกเอ็งเข้าประชิดหลัง แล้วเอาปืนใหญ่ยิงสกัด อย่าให้ใครหลบออกมาได้ ส่วนข้าจะบุกนำเข้าทางหน้าค่าย เราจะล้อมฟันมันให้สนุกมือทั้งด้านหน้าด้านหลัง แต่แผนนี้ต้องทำเป็นการลับ อย่าให้พวกระจันรู้ตัวโดยเด็ดขาด"
สุกี้นายกองหมายจะประชิดหลังค่ายด้วยการขุดอุโมงค์มุด ใจรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
ทหารอีกคนวิ่งจากทางหน้าค่าย เข้ามารายงาน
"ไอ้พวกระจัน มันพากันมาที่หน้าค่ายแล้วพระนายกอง"
ใจหันขวับไปมองทางหน้าค่าย สุกี้พระนายกองมองไปหน้าค่าย ยิ้มอย่างเยือกเย็น
ที่หน้าค่ายอังวะที่บ้านขุนโลก จันหนวดเขี้ยวและขุนสรรค์ พานักรบบ้านระจันจำนวนไม่ถึงร้อย เดินมากลางทุ่ง หยุดที่หน้าระเนียดค่าย เห็นปืนใหญ่ตั้งอยู่ทุกป้อม
"พี่น้องและเพื่อนค่าย ข้าศึกตั้งรับเราอยู่ข้างหน้าแล้ว เรายกมาแล้วจะหยุดเพราะกลัวนั้นผิดวิสัย"
ใจ สุกี้พระนายกอง ควบม้าออกมากับนายกองคนอื่นๆ ยืนม้ามองลงไปที่กลุ่มนักรบบ้านระจัน
"นักรบเราใช่คนขลาด จะหยุดรับเอาเชิงศึกอยู่แต่ในค่ายหาใช่วิสัย จงมาพลีชีพเพื่อแผ่นดินเถิด รุกไปอย่าได้เสียดายชีวิต" ขุนสรรค์บอก
"ถึงแพ้ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นนักรบกล้าที่ชนะอยู่หน้าค่าย โห่ตามข้ามา โห่ลาค่ายและบางระจัน โห่ไว้ยศให้นักรบเรา โห่ให้คนชนะที่เขามีชีวิตช่วยฝังศพพร้อมกันเป็นสามลา"
เสียงโห่จากนักรบทุกคนดังกึกก้อง สามครั้งทันที ใจมองภาพนักรบที่กล้าตายด้วยความสะเทือนใจ ทหารอังวะกรูกันออกมา ด้านบนป้อม พลปืนเข้าประจำที่ ขุนสรรค์ และ นายจันยิ้มให้กัน นายจันชูดาบขึ้น ขุนสรรค์ สั่งพลปืนยิงสกัดอังวะทันที ทหารอังวะที่พุ่งมาถูกยิงล้ม ตายไปหลายศพ
จันหนวดเขี้ยว พาพวกนักรบบ้านระจันพุ่งเข้าฟันทหารอังวะทันที เห็นสองฝ่ายต่างฟันกันไม่ถอย
ขุนสรรค์ระดมยิงแล้ววิ่งเข้าใส่ด้วยด้ามปืน
"ลาก่อนค่ายระจัน ลาก่อนแผ่นดินที่เกิด ลาทั้งสองนี้ จงเป็นเกียรติเป็นศักดิ์ของนักรบอย่างข้า...ลา ที่ต้องการให้ลูกหลานไทจงรักษาไว้"
ขุนสรรค์ใส่ลูกปืนยิงขึ้นไปบนป้อม
ทหารอังวะถูกกระสุน ร่วงตกจากป้อม
"ใครอื่นจะแย่งศักดิ์และเกียรตินี้ไปจากตัวข้ามิได้ ถึงตายแล้วขอศักดิ์ชายชาติ นักรบของข้า จงยังมีชื่อติดแผ่นดิน ติดปากคนอยู่หลัง"
จันเขี้ยวฟันไม่ยั้ง พลปืนบนป้อมเริ่มยิงลงมา ทหารบ้านระจันหลายคนโดนปืนล้มลง ใจมองภาพการรบที่บ้านระจันเสียเปรียบทุกทางด้วยความกดดัน
ขุนสรรค์เล็งปืนไปบนป้อมแล้วเหนี่ยวไก
"มิ่งไม้และฟ้าเขียวจักเป็นพยาน วันนี้นักรบลาโลกเพราะไว้ยศกองทัพระจัน"
สุกี้พระนายกองรับปืนมาจากทหาร ใจมอง สุกี้พระนายกองเล็งไปที่ขุนสรรค์ ใจมองตกตะลึง กระสุนแล่นเข้าเจาะร่างขุนสรรค์กลางอก
จันเขี้ยวมองขุนสรรค์ที่ปืนหลุดมือ เลือดทะลักจากอก ทรุดร่างลงบนพื้นดิน
ด้านหลังทหารอังวะเข้ามาโอบล้อมนักรบที่เหลืออีกมากมายนับไม่ถ้วน จันหนวดเขี้ยวหันไป ชูดาบ พุ่งเข้าหา ใจมองเห็นแล้วยิ่งสลด เมื่อทหารอังวะล้อมเข้าฟันนักรบบ้านระจันแบบ 5 ต่อ 1
จันหนวดเขี้ยวถูกรุมแทงจนทรุดร่างลง ขาดใจตายทั้งๆที่ดาบปักกลางอกหลายเล่ม
"ครบ 3 ลาสุดท้าย ข้าขอคำนับผู้ชนะเราแต่เพียงกาย หัวใจชายบางระจันขอเป็นไท มิยอมก้มหัวเป็นเชลยให้ คนชนะมันได้ก็เพียงศพเราไป"
ใจเบือนหน้าหนีด้วยความสะท้านเยือกในหัวใจ สุกี้วางปืนลงช้าๆ มองนักรบระจันนิ่ง อย่างผู้ชนะ
"พวกมันเป็นอย่างที่ข้าพูด ไอ้พวกระจัน"
ศพก่ายกองของนักรบบ้านระจันที่หน้าค่าย ไม่มีเหลือใครรอดกลับไปได้แม้เพียงชีวิตเดียว
พันเรือง ทองแสงใหญ่ วิ่งนำทั้งหมดออกมาที่ลานนอกค่ายด้วยความตกใจ เห็นกองม้าลาดตระเวน นำร่างไร้วิญญาณของจันหนวดเขี้ยว และขุนสรรค์ พาดบนหลังม้าวิ่งมาไกลๆ
ทุกคนยืนมอง...เริ่มเข้าใจเหตุการณ์ บางคนทนไม่ได้ร้องไห้ออกมา
กองม้าลาดตระเวนเข้ามาใกล้ หยุด...
"พ่อจันเขียว กับพ่อขุนสรรค์สิ้นแล้ว"
ทุกคนปล่อยโฮอย่างไม่อายใคร บ้างก็พนมมือไหว้ฟ้าดิน
"ขอพ่อขุนสรรค์กับพ่อจันเขียวไปรอพวกเราอยู่บนสวรรค์เถิด"
สังข์บอก
"ข้าจะขอจำวีรกรรมพ่อทั้งสองเป็นแบบ"
สไบ แฟง เฟื่อง จวง ยืนน้ำตาอาบแก้ม แต่แววตานั้นกล้าหาญมาก
พันเรืองกับทองแสงใหญ่ก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้
พันเรืองสั่ง
"พาพ่อทั้งสองเข้าไปในค่ายเถิด"
พันเรืองและทองแสงใหญ่เดินเข้าไปหาร่างของพ่อค่ายทั้งสอง
ทองแสงใหญ่จับมือจันหนวดเขี้ยวที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นพนมเหนือศีรษะ น้ำตาไหลพราก
"พ่อจันได้ทำตามสัญญาที่เราให้ไว้แก่กันแล้ว พ่อได้ปกป้องค่ายระจันไว้ด้วยชีวิต"
พันเรืองเข้าไปไหว้ขุนสรรค์
"พ่อได้เสียสละชีวิตเพื่อแผ่นดินแล้ว แต่นี้ไปลูกหลานไททั้งแผ่นดินจะเป็นหนี้บุญคุณพ่อทั้งสองตลอดไป"
สังข์ ขาบ และพวกผู้ชายเข้ามาไหว้ แล้วช่วยกันยกร่างพ่อจันเขียวกับพ่อขุนสรรค์ขึ้นบ่าแบกเข้าค่ายไป พวกสไบ แฟง เฟื่อง จวง ได้แต่เดินร้องไห้ตามขบวนไป
ภายในคุก กรุงศรีฯ ทัพถูกขึงติดกับไม้กากบาท ผู้คุมฟาดแส้เข้าเต็มหลัง ทัพสะดุ้งแต่ไม่ยอมร้อง มีแผลเต็มหลัง
"มึงจะบอกหรือไม่ไอ้ทัพ ใครส่งมึงมา"
ทัพเจ็บจนจะหมดสติ พยายามฝืน
"ข้า..มา จาก..ระจัน"
"มึงโกหก ขบถอย่างมึงหรือจะหันมาจับดาบสู้ศึก มึงมันหนีทัพไปแล้ว โบยมัน จนกว่ามันจะรับสารภาพ"
ผู้คุมฟาดแส้ลงไปอีก 2 ที ทัพก็สลบ
"ราดน้ำปลุกมันขึ้นมา ไอ้พวกไส้ศึกปากมันแข็ง อย่าใจอ่อนกับมัน"
พัศดีเอาถังน้ำสาดใส่เต็มแรง ทัพสะดุ้งตื่น...ตาลาย เห็นผู้คุมยืนถือถังน้ำมองอยู่ คุณพระนายเดินเข้ามาอยู่ข้างหลังผู้คุม
"โบยมัน จนกว่ามันจะคายความ"
ผู้คุมสะบัดแส้ เสียง “ควับ” น่ากลัว กำลังจะฟาดลงไป....
"หยุด...อย่าโบยมันอีก"
เสียงพระยาธรรมาธิกรณ์ เดินเข้ามากับนายทหารหลวงติดตาม
"ท่านเจ้าคุณรัตนาธิเบศร์ให้ข้าพเจ้ามารับตัวนักโทษไป"
"ข้าพเจ้าแจ้งท่านเจ้าคุณแล้วไงว่า ข้าพเจ้าจะเค้นความมันเอง"
"มิได้...ขุนหลวงวัดประดู่ มีรับสั่งให้ข้าพเจ้านำมันไปเข้าเฝ้า"
คุณพระนายแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
"ทำไมต้องถึงพระคุณเจ้าสมเด็จพระอนุชาด้วย"
พระยาธรรมาธิกรณ์ไม่ตอบ หันไปมองทัพ ทัพยังไม่ค่อยรู้สึกตัว เจ็บแสบไปทั้งร่าง ถูกทหารมาปลดตรวน ลากออกไป
อ่านต่อหน้า 2
บางระจัน ตอนที่ 15 (ต่อ)
ณ หอพระ สรรเพชญปราสาท ทัพถูกวางทรุดลงยังพื้นท้องพระโรง เห็นชายจีวรเสด็จมาหยุดอยู่ตรงหน้า ทัพร้องไห้กราบลงสามหน
เสียงพระเจ้าอุทุมพรซึ่งบวชแล้ว มีสมัญญานามว่า "ขุนหลวงหาวัด" บอก
"ข้าได้ยินกิตติศัพท์พวกบางระจัน ขอชมว่าหัวใจกล้าพวกมันสมเป็นคนเลือดไทย"
ทั้งท้องพระโรงมีเพียงพระเจ้าอุทุมพร เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ พระยาธรรมาธิกรณ์ และ
ทหารวังเพียง ๒ คนเท่านั้น
"มึงมันเหมือนพ่อมึงแท้ สัตย์ซื่อแต่ผยองเดช มิยอมก้มหัวให้ผู้ใด หากมันผู้นั้นไม่มีศีล"
ทัพเงยหน้ามองด้วยน้ำตา
พระสังฆราชเจ้า ก้มมองด้วยสายพระเนตรที่เปี่ยมพระเมตตา
"ข้าพระพุทธเจ้ามิรู้จะพึ่งผู้ใดแล้ว หากมิได้ปืนใหญ่ไปยิงสู้ ค่ายบางระจันคงแหลกยับคงตายกันหมดทั้งค่าย"
"แล้วมึงจะเอาปืนใหญ่สักกี่กระบอกถึงจะยิงสู้มันชนะ พวกมันมีปืนเป็นพันกระบอก"
ทัพเงียบ ตอบไม่ได้
"ขนปืนใหญ่ออกนอกกรุงเพลานี้อันตรายนัก ข้ามองไม่เห็นทางว่าจะฝ่าทัพอังวะเรือนแสนไปถึงบางระจันได้อย่างไร ข้าขอเถอะ..ถึงกรุงศรีจะมีปืนใหญ่นับพันกระบอก แต่กองทหารปืนใหญ่ไม่อาจเคลื่อนออกนอกกำแพงเมืองได้ มิมีทางเป็นไปได้เลย"
ทัพเสียใจร้องไห้สะอึกสะอื้น เอื้อมมือไปรวบชายจีวรขึ้นจบหัว
"หากมิทรงเมตตา ขอโปรดฯปล่อยข้าพระพุทธเจ้าไปตายที่ค่ายระจัน ข้าพระพุทธเจ้าขอกลับไปตายกับคนระจัน"
เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ มองด้วยความสงสาร
"เรายังมีหนทางอีกวิธีหนึ่ง"
ทัพหันไปมอง ด้วยความหวังที่ริบหรี่
"พระองค์ทรงมอบหมายให้ข้านำคณะหล่อปืนใหญ่ไปหล่อให้เอ็งที่บางระจัน" เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์บอก
ทัพตื้นตัน ยิ่งร้องไห้หนัก
"เอ็งรีบนำท่านเจ้าคุณรัตนาธิเบศร์ไปบางระจันเถิด ข้าได้ข่าวว่าทัพเนเมียวสีหบดีกำลังคิดเคลื่อนพลจากปากน้ำประสบลงมาที่โพธิ์สามต้น หาไม่...เอ็งจะไม่อาจขึ้นไปถึงบางระจัน"
ทัพยังร้องไห้ไม่หยุด
"ท่านเจ้าคุณ บางระจันนี้ก็คือคนไทร่วมแผ่นดิน อาตมาทิ้งเขาไม่ลงจริงๆ ไปช่วยพี่น้องไทด้วยกันเถิด ด้านพระเจ้าอยู่หัวนี้อาตมาจะนำความขึ้นกราบบังคมทูลเอง....แต่ท่านเจ้าคุณจงรีบกลับมารักษากำแพงพระนครให้ทัน ก่อนจะถูกทัพอังวะปิดเส้นทางทั้งสิ้น"
พระยารัตนาธิเบศร์ก้มกราบลาสามหน
ทัพยังกำชายจีวรนิ่ง
"ไปเถิด...เพลานี้ ไม่ว่าพระเจ้าอยู่หัวหรือราษฎร ต่างก็มีภาระหนักเท่ากันทั้งสิ้นว่า จะรักษาแผ่นดินนี้ให้คงอยู่สืบไปถึงลูกหลานไทยได้อย่างไร"
ทัพยังคงซบหน้าร้องไห้อยู่แทบพระบาท ไม่อาจขยับไปไหนได้
สังข์ ขาบ ฟัก เคลิ้ม เอิบ ช่วง และชาวค่ายระจัน ช่วยกันซ่อมแซมซากปรักหักพังจากลูกระเบิดอังวะ ทุกคนเศร้าสลด ปลิว ปริก ปลวก โปรยนั่งร้องไห้ ไม่เป็นอันทำอะไร
ทองแสงใหญ่เข้ามาปลอบ ตักน้ำให้กิน
ปริกบอก
"ฉันไม่กิน ไหนละปืนใหญ่ ไหนละพวกที่ออกไปรบ ทำไมไม่เห็นกลับมาสักคน"
"ป่านนี้คงตายกันหมดแล้ว ต่อไปก็คงเป็นพวกฉันนี่แหละที่ต้องออกไปตาย" ปลิวบอก
พวกสังข์ ขาบ มองอย่างอ่อนใจ เอิบ ช่วงทนไม่ไหวเดินเข้ามาหา
เอิบบอก
"ทำไมพี่ปลิวพูดเยี่ยงนี้เล่า พวกพ่อจัน พ่อขุนสรรค์ พวกนักรบระจัน เขาออกไปรบ ก็รบเพื่อพวกพี่ ถ้าเขาตายก็ตายเพื่อพวกพี่ ใยไม่สำนึกบุญคุณเขาเล่า"
ช่วงบอก
"คนเราคิดแต่งอมืองอตีน ร้องขอแต่ความช่วยเหลือ หวังแต่รอให้คนอื่นมาช่วย ทำไมไม่คิดช่วยตัวเองบ้าง"
ทองแสงระงับ
"ไม่เอา..พ่อเอิบ พ่อช่วง เพลานี้มิใช่เพลาที่พวกเราจะมาทะเลาะกัน ไป..เหนื่อยก็ไปพักเถอะแม่ปลิว เดี๋ยวทางนี้พวกฉันจะซ่อมแซมกันเอง"
"พ่อยังไม่เห็นตอบพวกฉันเลยว่าเมื่อไหร่เราจะได้ปืนใหญ่มา"
ทองแสงใหญ่ หนักใจ ตอบไม่ได้ เอิบโมโห
"เราก็ติดอยู่ในค่ายนี้ด้วยกัน จะมีใครรู้เล่าว่าเมื่อไหร่พี่ทัพจะไปเอาปืนใหญ่มา" ช่วงบอก
"หรือไม่ก็ถูกอังวะฆ่าตายไปแล้ว" โปรยบอก
"เอ๊ะ..พวกนี้นี่ ข้าชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ" เอิบบอก
ฟัก เคลิ้ม เห็นท่าไม่ดีรีบมาฉุดเอิบ ช่วง ออกไป
"ไม่เอาเอิบ ช่วง อย่ามาโกรธเคืองยามน่าสิ่วหน้าขวาน มานี่ มาช่วยฉันซ่อมนี่"
ฟัก เคลิ้ม ดึงเอิบ ช่วงออกไปช่วยงาน ปลิว ปริก ปลวก โปรย พากันลุกเดินออกไป สไบ จวง เฟื่อง แฟง ช่วยกันยกกระชุน้ำเข้ามาเพื่อเลี้ยงชาวค่าย สวนกับพวกปลิว พวกปลิวไม่พอใจ เดินเข้าไปต่อว่า
"นี่..ดูซินี่ ผัวเอ็งทำกับพวกข้ายังไง ดูซิยิงปืนใหญ่มาจนค่ายพังพินาศหมดแล้ว" ปลวกบอก
โปรยเสริม
"เอ็งยังมีหน้ามาอยู่ในค่ายระจันนี้อีกหรือ ทำไมไม่ออกไปอยู่กับผัวเอ็ง"
สไบโกรธจนทนไม่ไหว
"พวกพี่พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะ ฉันก็เป็นคนไทคนหนึ่ง แผ่นดินนี้ก็เป็นที่เกิดฉัน ฉันอยู่ที่บ้านระจันนี่ก็เพื่อต้องการให้พวกพี่รู้ว่าฉันจะตายอยู่กับพวกพี่ ไม่หนีไปไหน"
จวงสนับสนุน
"ใช่...พวกพี่เสียอีกที่ทำเป็นรักแผ่นดิน แต่คิดแค่จะเอาตัวรอด ร่ำร้องแต่จะออกไปจากค่ายนี้ นี่หรือคนไทย"
"แต่ฉันก็ไม่ได้มีผัวเป็นอังวะ เอาปืนใหญ่มายิงใส่ค่ายนี้" ปลิวบอก
"อย่ามาเรียกพวกอังวะว่าผัวฉันอีก คนที่มันเอาปืนมายิง เอาดาบฟันคอคนไทย มันก็คือศัตรูฉันเหมือนกัน ใครที่ได้ชื่อว่าเป็นอังวะ เข้ามาแย่งแผ่นดินนี้อยู่ ฉันฆ่าได้ทั้งนั้น...แม้พี่ใจ...ถ้าฉันเห็นพี่ใจเมื่อไหร่ แล้วฉันไม่ตัดคอเขา พวกพี่อย่ามาเรียกฉันว่าคนไท"
ทุกคนเงียบ
"แล้วฉันจะคอยดู" ปลิวบอก
ปริก ปลวก โปรย รีบสะกิดปลิวออกไป
สไบยังยืนเสียใจ ทำอะไรต่อไม่ได้ สังข์ ขาบเข้ามาช่วยยกน้ำเอาไปกิน สร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น
"แหมพี่กำลังหิวน้ำคอแห้งอยู่พอดี" ขาบบอก
แฟงตักน้ำให้สังข์ สีหน้ายังไม่สบายใจ
"พี่สังข์จ๊ะ พี่สังข์ว่าพี่ทัพจะได้ปืนใหญ่มามั้ยจ๊ะ"
สังข์แทบจะกลืนน้ำไม่ลง มองแฟงอย่างเห็นใจ
"แฟง...ไอ้ทัพมันคือเพื่อนตายพี่ มันเคยใช้พี่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเข้าไปสืบความถึงในค่ายอังวะ พี่ก็ยอมทำตามมันทุกอย่าง ถ้ามันจะได้หรือไม่ได้ปืนใหญ่มา พี่ก็ว่ามันได้ทำสุดชีวิตมันแล้ว แฟงเข้าใจพี่ใช่ไม๊"
แฟงพยายามกลั้นน้ำตาไว้ หันไปมองสไบ
"เราจะมีปืนใหญ่หรือไม่มี มันไม่สำคัญแล้วนะแฟง เรามีแค่หน้าที่...ค่ายระจันนี้ แม้จะเล็กสักแค่ไหน เราก็ยินดีสละชีวิตแลกมัน....พี่ทัพก็คงคิดอย่างนั้น"
แฟงยิ้มให้สไบอย่างอาจหาญ
ทัพขี่ไอ้เลา พร้อมด้วยพระยารัตนาธิเบศร์ พระศักดิ์สงคราม และคณะหล่อปืนใหญ่อีก 3 คนผ่านป่า ทุ่งกว้างอย่างรวดเร็ว สง่างามมุ่งตรงมายังค่ายระจัน
ยามค่ายมองไปที่นอกค่าย เพ่งมองอย่างไม่แน่ใจ
"มีคนมา...พ่อทองแสง มีคนมาที่หน้าค่าย"
พันเรือง และทองแสงใหญ่กำลังดูแลลูกค่ายอยู่ที่ลาน รีบวิ่งขึ้นไปดู ด้วยความตื่นเต้น
ทองแสงใหญ่บอก
"ไอ้ทัพนี่พ่อเรือง ไอ้ทัพกลับมาแล้ว เปิดประตูค่าย"
พันเรืองถาม
"แล้ว..แล้วปืนใหญ่ละอยู่ไหน"
บริเวณชานเรือนทัพ แฟงกำลังปอกมะม่วง เฟื่องเอากะปิวางลงให้ แฟงหยิบชิ้นมะม่วงจิ้มกะปิกินอย่างเอร็ดอร่อย เฟื้องกินบ้าง
"อุ้ย...เปรี้ยว"
"ไม่เห็นเปรี้ยว อร่อย" แฟงบอก
"อุ้ย..ไม่ไหว ปวดกรามหมดแล้ว"
"ฉันว่าพี่เฟื่องรีบบอกพี่ขาบสิ มีไอ้หนู อีหนูมาเป็นเพื่อนลูกฉัน"
"แฟงนี่ พูดจาเป็นเด็กๆไปได้"
เฟื่องอาย จวงวิ่งหน้าตั้งเข้ามา
"มากันแล้ว พี่ทัพพาทหารจากกรุงศรีมาช่วยพวกเราแล้ว"
"พี่ทัพ"
แฟงลุกขึ้นพรวด จะก้าวลงบันได แต่เกิดหน้ามืดทรุดลง
"แฟง"
เฟื่องเข้าไปคว้าร่างแฟงไว้ทันที ก่อนที่แฟงจะร่วงลงพื้น จวงรีบเข้ามาช่วยพยุงแฟงไว้
"พี่ทัพกลับมาแล้ว พาพระน้ำพระยามาจากกรุงศรีด้วย"
"แล้วปืนใหญ่ล่ะ พี่ทัพได้ปืนใหญ่มาหรือไม่"
จวงเงียบ หน้าเจื่อนไป
ทัพกับพ่อค่ายทุกคนมองไปที่พระยารัตนาธิเบศร์อย่างมีความหวัง
พระยารัตนาธิเบศร์นั่งบนตั่งเป็นประธานอยู่กลางห้อง มองนักรบบ้านระจันทุกคนแล้วเอ่ยขึ้น
"ข้า พระยารัตนาธิเบศร์ เจอกับไอ้ทัพที่แม่น้ำเจ้าพระยา ได้ฟังความที่มันเล่าว่าพวกเอ็ง 11 คน ต้านศึกอังวะไว้ได้หลายครั้ง"
พันเรืองบอก
"เหลือกันเท่านี้แล้วท่านเจ้าคุณ พ่อแท่นกับนายทองเหม็นสิ้นไป ก่อนท่านเจ้าคุณจะมาถึง ขุนสรรค์กรมการเมืองชัยนาท กับพ่อจันเขียว ก็เพิ่งจะนำนักรบระจันไปรบกับพวกอังวะที่บ้านขุนโลก ไปทั้งๆที่รู้ว่าจะไม่ได้กลับค่าย เพราะไม่รอให้มันยิงปืนใหญ่มาเข่นฆ่าเอาชีวิตเล่นไปวันๆ"
พระยารัตนาธิเบศร์ฟังแล้วถอนใจหนักๆ
"หัวใจพวกเอ็งน่านับถือ"
ทองแสงใหญ่บอก
"เราถึงให้ไอ้ทัพไปขอปืนใหญ่จากกรุงศรี มาต้านไม่ให้ข้าศึกยกทัพเข้าทลายค่ายระจันได้"
พระยารัตนาธิเบศร์นิ่งไป ทุกคนมอง ทัพก้มหน้านิ่งรู้คำตอบมาก่อนแล้วแต่ก็ยังอดใจหายไม่ได้
"ข้าปรึกษาหารือกับเสนาบดีหลายคน อยากจะช่วยพวกเอ็ง แต่ได้ข้อสรุปว่า หากนำปืนใหญ่ขึ้นมาถึงบ้านระจันนี่ คงถูกข้าศึกยึด เอาย้อนกลับไปยิงกำแพงกรุงศรีเสียเองเป็นแน่"
พ่อค่ายทุกคนนิ่งอึ้งกับเหตุผล ทองแก้วถามขึ้นอย่างโผงผาง
"ท่านเจ้าคุณจะปล่อยให้พวกเราตายลงไปจนไม่เหลือใครอย่างนั้นใช่มั้ยขอรับ"
อินบอก
"อย่าเพิ่งคิดว่าพวกเรากลัวตายเลยนะขอรับ พวกเราตั้งใจแล้วว่าเอาร่างเป็นกำแพงให้คนในค่ายเรา ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิต"
"ท่านเจ้าคุณก็น่าจะคิดสักนิด ค่ายบ้านระจันตั้งมั่นอยู่อย่างนี้ มีนักรบเพียงแค่พันเศษ ถ้าอังวะยกพลมาสักสองพัน เราก็หมดกำลังสู้ กรุงศรีจะไม่เวทนาพวกเราสักนิดเชียวหรือ เด็กเล็ก ผู้หญิง คนเฒ่าคนแก่ก็มาก จะปล่อยให้เขาตายอย่างไม่เหลียวแลเชียวหรือ" โชติว่า
ดอกไม้บอก
"กรุงศรีควรจะช่วยเสริมกำลังค่ายบ้านระจันให้แข็งแกร่งต้านทานข้าศึกได้บ้าง"
"ไม่ใช่ปล่อยให้เรารบกันเอง ลอยแพพวกเราอย่างนี้" เมืองว่า
"ข้าเพียงคนเดียวทัดทานเสียงเสนาบดีหลายคนไม่ได้ แต่ข้ารู้ว่าที่นี่สำคัญมาก ถึงเป็นเพียงชาวบ้าน แต่จิตใจพวกเอ็งนั้นรักแผ่นดิน รักไม่น้อยกว่าแม่ทัพสู้ศึกคนไหนของอยุธยา ... ที่ข้ามาที่นี่ได้ก็เพราะพระบารมีของขุนหลวงวัดประดู่ สมเด็จพระอนุชา พระองค์ทรงห่วงใยชาวระจันมาก จึงส่งข้ามา"
ทุกคนเงียบ แต่ยังไม่เข้าใจ
พระศักดิ์สงคราม เปิดหีบไม้ที่นำมา เอากระดาษออกมาคลี่ลงหน้าพระยารัตนาธิเบศร์
ทัพและพ่อค่ายทุกคนมองอย่างงงๆ
"อะไรกันท่านเจ้าคุณ"
รัตนาธิเบศร์บอก
"แบบหล่อปืนใหญ่"
ทุกคนมองอย่างสงสัย
"พวกข้าเอาปืนใหญ่ออกจากกำแพงวังไม่ได้ ขุนหลวงวัดประดู่ได้กราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวส่งพระศักดิ์สงครามผู้นี่ มาหล่อมันขึ้นที่ค่ายระจันนี่ ข้าจะหล่อปืนใหญ่ให้พวกระจันเอง"
พ่อค่ายยิ้มดีใจ มีความหวังขึ้นมาทันที
สังข์ ขาบ ฟัก เคลิ้ม เอิบ ช่วง หันมายิ้มให้ทัพด้วยความดีใจ
เคลิ้มบอก
"พวกระจันเราจะมีปืนใหญ่ยิงสู้กับพวกอังวะแล้วหรือ ไอ้ทัพ"
ทัพยิ้ม พยักหน้าให้เพื่อนๆ
"ที่นี่ละ ข้าจะเข็นปืนใหญ่มันออกไปยิงสู้กับพวกมันให้ถึงหน้าค่ายเอง" ช่วงบอก
"เออ...ข้าขอเป็นคนจุดชนวนดินปืน" เอิบบอก
ทุกคนต่างดีใจ พูดกันเซ็งแซ่
"เดี๋ยวก่อน...ฟังให้จบก่อน แต่ปัญหามันยังมีอีกข้อหนึ่ง"
"อะไรหรือ ท่านเจ้าคุณ"
พระยารัตนาธิเบศร์ หันไปมองทุกคนช้าๆ ยังไม่กล้าตัดสินใจบอก
อ่านต่อหน้า 3
บางระจัน ตอนที่ 15 (ต่อ)
แฟง / เฟื่อง / จวง / สไบ และคนอื่นๆนั่งคอยอยู่อย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งทัพและฟัก เคลิ้ม เอิบ ช่วงเดินลงมา ทุกคนเฮเข้าไปหา แฟงพุ่งเข้าไปกอดทัพด้วยความดีใจ
"พี่ทัพ"
สไบถาม
"เราจะหล่อปืนใหญ่ใช้เองหรือ"
"ใช่ๆ แต่พวกเราต้องช่วยกัน" สังข์บอก
"พวกข้าช่วยอยู่แล้ว มีปืนใหญ่พวกเราจะได้ปลอดภัย" ขาบบอก
"มันไม่ง่ายดอกนะ เราไม่เคยหล่อปืนใหญ่ เราหล่อเป็นหรือหมู่ขาบ"
ทุกคนเงียบลง
ทัพบอก
"กระบวนการหล่อจะเป็นหน้าที่พระศักดิ์สงครามที่พอมีความรู้เรื่องปืนใหญ่อยู่ แต่สิ่งที่ท่านเจ้าคุณรัตนาธิเบศร์ขอให้เราช่วยคือ...ขอทุกคนช่วยกันบริจาค นวโลหะ ไม่ว่าเหล็ก ตะกั่ว ทองแดง สังกะสี และโลหะอื่นๆมาหล่อปืนใหญ่สัมฤทธิ์สู้กับพวกมัน"
"นวโลหะอื่นๆยังพอหาได้ ที่ลำบากก็พวกโลหะธาตุเงินบริสุทธิ์ และทองคำเท่านั้น ต้องขอพ่อแม่พี่น้องทุกคนได้เสียสละ อย่าได้หวงทรัพย์มีค่าพวกนี้เลย ใครที่มีติดตัวมาจงมอบให้พวกเราเถิด ถ้าเราได้นวโลหะมามากเท่าไหร่ เราก็จะหล่อปืนใหญ่ได้หลายกระบอกเท่านั้น" ขาบบอก
ปริกบอก
"ตอนหนีอังวะมา เราก็มีแค่ผ้าพันกายมาแค่นั้น จะเอาเงินเอาทองที่ไหนมาให้หล่อปืนใหญ่"
ทุกคนเงียบ ไม่มีใครเดาได้ว่าจะได้ปืนใหญ่กี่กระบอก
แฟงนอนใกล้ๆทัพ หายใจเบาๆ ทัพนั่งเก็บรวบรวมทรัพย์ที่พอมีเข้าเป็นห่อเดียวกัน
"เราคงต้องรวบรวมข้าวของอื่นๆอีก ทองแค่นี้ไม่พอดอก มีด ดาบต่างๆเอาไปหลอมให้หมด ดีมั้ยจ๊ะแฟง"
แฟงเงียบ ทัพยิ้ม ก้มลงจูบลงที่หน้าผากเมียรัก แฟงสวมกอดทัพ
"พี่ทัพ"
ทัพกอดแฟงแล้วลูบหน้าผาก มองสงสัย
"พี่ไม่เคยเห็นแฟงนอนกลางวัน"
"ฉัน"
ทัพมองเป็นห่วง
"หรือว่าแฟงเป็นไข้"
ทัพวางดาบ เอามืออังหน้าผากแฟงด้วยความเป็นห่วง
"แฟงเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดๆ พี่สั่งไอ้สังข์ ไอ้ขาบแล้วให้คอยดูแฟงไว้ ไอ้สองคนนี้มันน่านัก"
"พี่ทัพจ้ะ"
แฟงเรียกเบาๆแต่หยุดทัพที่กำลังร้อนใจลงได้
แฟงเรียกเบาๆแต่หยุดทัพที่กำลังร้อนใจลงได้
"ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่ได้มีไข้ ฉันแค่ ...เหนื่อย"
ทัพรีบโอบแฟงมาไว้ในอก
"แฟงคงมัววุ่นดูชาวค่ายที่หนีปืนใหญ่"
"ฉันเหนื่อยเพราะว่า"
แฟงกุมมือทัพมาวางบนท้อง ทัพมองแปลกใจ
"ฉันกินอะไรมันก็ออกมาหมด...พี่เฟื้องบอกว่าฉันกำลังแพ้..."
ทัพตื่นเต้น
"แฟง"
แฟงยิ้ม
"ฉันกำลังมีลูกให้พี่"
"ลูกพี่ ลูกของเรา"
ทัพลุกขึ้น แฟงหัวเราะ ทัพกอดแฟงไว้แน่น
"แฟง ...ชื่นใจของพี่ เราจะมีลูก แฟงมีลูกให้พี่ ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือหญิง พี่ก็รักทั้งนั้น เพราะพี่รักแม่ของลูก รักเหมือนชีวิตพี่"
ทัพกอดแฟงไว้แน่นด้วยความดีใจ แฟงซุกลงในอกทัพ สีหน้ามีแต่ความสุข
เฟื่องกำลังรวบรวมข้าวของ ขาบนั่งมองแล้วกระเถิบมาใกล้
"เฟื่องไม่อยากมีเพื่อนให้ลูกของแฟงกับไอ้ทัพมันบ้างหรือ"
เฟื่องได้ยินแล้วอาย ขาบดึงของในมือออกวางข้าง แล้วเลื่อนมือกุมท้องเฟื่อง
"ทำไมต้องมาถามฉัน"
"หรือจะให้พี่ไปถามลูกสาวบ้านอื่น"
เฟื่องตีเผี้ยะลงแขนขาบทันที ขาบสะดุ้ง หัวเราะ
"ฉันหมายถึง ทำไมไม่ไปถามจวง"
"ไอ้สังข์มันก็คงถามจวงเหมือนกันแหละจ้ะ"
ขาบมองเฟื่องแล้วเลื่อนไปใกล้ หอมแก้มเฟื่องด้วยความชื่นใจ เฟื่องเอียงอาย
"เราน่าจะมีเพื่อนเล่นให้ลูกของไอ้ทัพมันสักสองสามคน"
ขาบกระซิบใกล้หู เฟื่องอายม้วน ขาบยิ้มมองเฟื่องด้วยความชื่นใจ
"ไม่เอาแล้ว เรารีบเอาของพวกนี้ไปให้ท่านพระยาหล่อปืนกันเถอะ"
ขาบยังวนเวียนหอมแก้มเฟื่องไม่ลดละ
อ่านต่อหน้า 4
บางระจัน ตอนที่ 15 (ต่อ)
ลานหน้าวัดโพธิ์ 9 ต้น พระอาจารย์ธรรมโชติยืนอยู่หน้าศาลาการเปรียญ มองพ่อค่ายและชาวค่ายที่นำทรัพย์สินเงินทองมาบริจาคเพื่อหล่อปืนใหญ่ เอิบ ช่วง นั่งอยู่ใกล้ๆคอยปรนนิบัติ
พระยารัตนาธิเบศร์ และทหารกรุงศรีฯ กำลังคัดเลือกโลหะต่างๆที่ชาวค่ายนำมาบริจาคเป็นกองสูงท่วมหัว
ปลิว ผัวปลิว ลูกปลิว 2 คน ปริก ปลวก โปรย ชาวค่าย ต่างทยอยเอาของมาบริจาคตามกำลังของแต่ละคน สังข์ ฟัก เคลิ้ม คอยช่วยพ่อค่ายรับบริจาคอยู่
เฟี้ยม จันทร์ ถือของมาพร้อมกับขาบ เฟื่อง มาบริจาคด้วย
ขาบหันไปมองเฟื่องยิ้มให้กัน
"ถ้าเราชนะศึกนี้ เราจะได้กลับคำหยาดกันเสียที" เฟื่องบอก
ทุกคนมองหน้ากัน พยายามยิ้มให้กำลังใจกัน ทั้งๆที่ในอกอดหวั่นไหวไม่ได้
พ่อค่ายบางคนกับพระศักดิ์สงคราม คอยอำนวยการควบคุมให้ช่างออกแบบทำพิมพ์ปืนใหญ่อยู่
สไบเดินถือห่อผ้ามาส่งให้จวง สไบส่งห่อทองและทรัพย์สินของพ่อมีอยู่เพียงเล็กน้อยให้จวง
"ฉันเหลือเพียงแผ่นดิน...คิดแต่ว่าทำอย่างไรจะไล่ข้าศึกไปให้พ้น แล้วกลับไปอยู่สามโก้ ทำไร่ทำนาเป็นปกติ"
สไบยิ้มอย่างภาคภูมิใจในความเป็นคนไท
พระอาจารย์ธรรมโชติที่คงยืนสงบนิ่งอยู่บนศาลาการเปรียญ เหมือนท่านกำลังกังวลอะไรบางอย่าง
ทางฝ่ายอังวะ ทหารกำลังสับเปลี่ยนเวร ใจนั่งเหม่อลอย คิดถึงสไบ อยากไปหา ทหารกลุ่มที่สองเป็นทหารม้า มีนายกองควบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตรงไปหาสุกี้และจอกยีโบที่ยืนอยู่ที่พลับพลา
นายทหารรีบโดดลงจากหลังม้า เข้าทำความเคารพจอกยีโบและสุกี้
ใจตัดสินใจทำเป็นเดินเข้าไปใกล้
จอกยีโบยืนนิ่งฟังอย่างหนักใจ สุกี้นายกองเดินเข้ามาหา
"มีเรื่องอะไร"
"นายทหารข้ามาแจ้งว่า..เพลานี้พวกบางระจันมันกำลังหล่อปืนใหญ่ขึ้นมาเอง"
"ไอ้พวกนี้มันไม่ยอมถอยจริงๆ ดี..พวกกล้าไม่กลัวตายอย่างนี้ข้าชอบ สยา..เร่งป้อมปืนใหญ่เคลื่อนเข้าหาค่ายมันเร็วขึ้น ครั้งนี้..ถึงเพลาที่ข้าจะยิงถล่มค่ายมันให้พินาศเสียที"
ใจยืนฟังอยู่ด้วยความตกใจ ทำอะไรไม่ถูก
สไบกำลังช่วยชาวค่ายหญิง 4-5 คนตักน้ำไปใช้หล่อปืนอยู่ ความมืดกำลังคืบคลาน สไบคิดถึงวันเวลาที่เคยอยู่กับใจ สไบกลั้นน้ำตาไว้ไมได้ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาด้วยความเศร้า
"พี่ใจ ฉันไม่เคยหมดรักพี่เลย ทำไมเราต้องเกิดมาเป็นศัตรูกัน"
สไบรีบสลัดความรู้สึกออก แล้วหาบน้ำออกไป
ใจเตรียมอาวุธออกมาจากเต้นท์ตัวเอง จอกยีโบยืนมองอยู่
"จะไปไหน อองนาย"
"ไป...สำรวจเส้นทางเคลื่อนปืนใหญ่เข้าประชิดค่ายระจัน"
"ไม่ใช่งานของเอ็ง"
"ข้ารู้จักหนทางไปค่ายระจันดี ข้าแอบออกมาตอนเดือนมืดเสมอ"
"ถ้าเจ้าอยากทรยศต่ออังวะ ก็จงไปบอกให้พวกมันทิ้งค่ายหนีเสีย"
ใจไม่ตอบเดินเลยไป ไม่สนใจ จอกยีโบมองตามอย่างไม่พอใจ
แฟงกำลังเก็บของที่ลานเตรียมไปช่วยเขาหล่อปืนที่วิหาร ทัพออกมาจากในห้องกอดแฟง เอาหูแนบท้องแฟงไว้
"ไอ้หนู ไอ้หนูลูกพ่อ"
แฟงหัวเราะ
"ถ้าเป็นนังหนูละจ๊ะ"
"ก็ขอให้สวยเหมือนแม่ซิจ๊ะ"
"อีกหลายเดือนนะกว่าลูกจะออกมาให้เห็นหน้า"
"ขอให้ออกมาตอนศึกสงบแล้วนะจ๊ะ ลูกพ่อจะได้ไม่ลำบาก"
แฟงฟังแล้วน้ำตาซึม ลูบผมทัพที่กำลังคุยกับลูก
"เสร็จศึก หนูก็จะออกมาให้พ่ออุ้ม พ่อกับแม่จะเลี้ยงหนู ..เลี้ยงน้องของหนู"
แฟงทำเสียงในคอ ทัพหัวเราะ
"สักสี่ห้าคน"
"มากไปหรือไม่พี่ทัพ"
"พี่อยากมีสักห้าคน นะแฟงนะ ... พี่ขอ เดี๋ยวไม่มีใครช่วยพี่ทำนาปลูกข้าว"
ทัพกุมมือแฟงมาจูบ แฟงอาย ทัพกอดเมีย มองไปไกลในความมืดที่มีดาวบนฟ้า
"เรากำลังจะหล่อปืนใหญ่สู้กับพวกอังวะ พวกมันจะต้องพ่าย ยกทัพกลับไปเหมือนคราวก่อน เราจะกลับบ้าน แล้วก็มีไอ้เสือน้อยบ้านคำหยาดวิ่งเล่นอีกสักสี่ห้าคน"
ทั้งคู่มองไปไกล ยิ้มด้วยความหวังเต็มเปี่ยมถึงชัยชนะ
"อย่ามัวร่ำไรเลยพี่ทัพ รีบไปช่วยพวกเราที่วิหารพระอาจารย์เถิด"
ทัพยังทำเชือนแช กอดแฟงไม่ยอมปล่อย
"เดี๋ยว...ขอพี่กอดลูกให้ชื่นใจก่อน"
สไบกับพวกชาวค่ายหญิง หาบน้ำเข้ามาเทในตุ่ม แล้วกลับออกไปตักมาอีก
สังข์ ขาบ พวกผู้ชายกำลังช่วยพ่อค่าย เมืองคัดเลือกโลหะแยกนับจำนวนอยู่ มีพระยารัตนาธิ
เบศร์คุม หลวงพ่อธรรมโชติสวดมนต์ บริกรรมคาถาอยู่บนศาลาการเปรียญ มีพันเรืองกับทองแสงใหญ่นั่งอยู่ใกล้ๆ ฟัก / เคลิ้ม / เอิบ / ช่วง / นางจันทร์ / นางเฟี้ยม กำลังช่วยกันก่อเตาอยู่กับชาวบ้านหญิงชายอื่นๆ อิน / โชติ / ดอกไม้ ตั้งนั่งร้านสำหรับแม่พิมพ์หล่ออยู่ มีพระศักดิ์สงครามดูแล
บางพวกช่วยกันทำเตาเผาหลอมเหล็ก ทองแก้วช่วย บ้างคนก็ขนฟืนมาให้ เฟื่อง / จวง / พวกผู้หญิงช่วยส่งน้ำดื่ม อาหาร และงานเบาๆตามที่ช่วยได้
พระยารัตนาธิเบศร์หันไปมองพระศักดิ์สงครามอย่างขอความเห็น
"ถ้านวโลหะมีเท่านี้ เราคงหล่อปืนใหญ่ได้เพียงสองกระบอก"
สังข์กับขาบมองหน้ากันอย่างหนักใจ
"พวกมันขนปืนใหญ่มาเป็นสิบๆกระบอก เรามีแค่สองจะสู้มันไหวหรือขอรับ" ขาบว่า
พระยารัตนาธิเบศร์นิ่ง ตอบไม่ถูกเหมือนกัน
"ข้าแปลกใจนักว่าหัวใจพวกบางระจันทำด้วยอะไร ทำไมถึงไม่เหมือนคนในกรุงศรีสักนิด ถ้าเรารวมหัวใจกันได้แบบนี้ก่อนอังวะยกลงมาถึงชานพระนคร กรุงศรีเราคงไม่เลือดตากระเด็นถึงเพียงนี้"
พระยารัตนาธิเบศร์เหมือนกลืนอะไรบางอย่างลงคออย่างยากเย็นก่อนเดินไปกราบพระอาจารย์ธรรมโชติ
พระอาจารย์ธรรมโชติลืมตาขึ้นช้าๆ มองพระยารัตนาธิเบศร์อย่างเข้าใจ
"เกิดและดับ เป็นธรรมชาตินะโยม โยมตั้งใจมาหล่อปืนก็จงทำตามปณิธานเถิด นับว่าได้ทำให้คนระจันเป็นสุขแล้ว"
พระยารัตนาธิเบศร์ไม่แน่ใจว่าท่านหมายถึงอะไร แต่ก็เหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ท่านพูด
พระยารัตนาธิเบศร์ ก้มกราบสามหน พระอาจารย์ธรรมโชติค่อยๆหลับตาลง บริกรรมต่อเหมือนจะรู้อนาคตดี
อ่านต่อตอนที่ 16