xs
xsm
sm
md
lg

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 5

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 5

ภายในตลาดน้ำ ป้ามะลิกำลังทอดข้าวเกรียบอย่างคล่องแคล่ว ตักข้าวเกรียบที่ทอดเสร็จขึ้นมาพักไว้ในถาด
 
คนซื้อรุมยื่นมือ ส่งสตางค์กันวุ่นวาย ร้องจะซื้อข้าวเกรียบดังจนฟังไม่รู้เรื่อง ป้ามะลิตวาดแว้ด
“เฮ้ย อย่าแย่งกันสิวะ ถ้าไม่มีระเบียบข้าไม่ขายให้นะ”
“ได้ไงล่ะป้า นี่มาต่อคิวแต่เช้าแล้วนะ ป่านนี้ยังไม่ได้กินเลย”
“อย่าบ่น ของอร่อยต้องใจเย็นๆ แล้วแย่งกันวุ่นวายอย่างนี้เมื่อไหร่จะได้กิน ฮะ”
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ฉันถึงจะได้กิน”
“ก็เข้าแถวสิจ๊ะพ่อคู้ณ ใครมาก่อนก็เข้าแถวก่อน ถ้าแย่งกันแบบนี้ ไม่ขงไม่ขายมันละเว้ย”
ป้ามะลิทำท่าไม่สนใจ นั่งลงเฉย หยิบพัดมาโบกอย่างใจเย็น ลูกค้ามองหน้ากันเป็นเชิงหารือ แล้วรีบวิ่งไปเข้าแถวเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ป้ามะลิมองแถวลูกค้าแล้วยิ้มพอใจ ก่อนจะลุกขึ้นมาหยิบข้าวเกรียบใส่ถุงส่งให้ลูกค้า

น่านฟ้าลากแขนมัศยาเข้ามาในตลาด มัศยาสะบัดพรืดอย่างหวงตัว
“ทำไมจะต้องจับมือถือแขนด้วย ฉันไม่ชอบ”
“แหม เจ๊ จริงๆ เจ๊ต้องขอบคุณผมต่างหากนะ ผมน่ะไม่ได้จะแตะเนื้อต้องตัวใครง่ายๆ นะ”
มัศยามองเหล่ๆ ไม่เชื่อ
“อมวัดทั้งวัดมาพูดฉันยังไม่เชื่อเลย ทั้งหื่น ทั้งชีกอซะขนาดนี้เนี่ยนะ”
“ใส่ร้าย ป้ายสี สาดโคลนกันชัดๆ ไม่ใกล้ก็ได้”
มัศยากวาดสายตามองรอบๆ อย่างหงุดหงิด
“แล้วนี่คนที่คุณบอกอยู่ตรงไหนล่ะ รู้จักเขาหรือเปล่า นัดกันไว้ตรงไหน”
“ไม่รู้จักหรอก”
มัศยาชะงักหน้าเหวอ
“ไม่รู้จัก นี่หลอกฉันมานี่ จะหาเรื่องอู้งานอีกใช่มั้ย ฮะ”
“แหม อายุอานามก็ไม่ใช่น้อยๆ ทำเป็นวัยรุ่นใจร้อนไปได้ เชื่อสิว่าคนๆ นี้หาไม่ยากหรอกเจ๊”
มัศยาทำท่าไม่เชื่อถือ น่านฟ้าชะเง้อคอมอง เห็นคนยืนต่อแถวกันยาวเหยียด
“นั่นไง ต้องใช่แน่ๆ”
น่านฟ้าไม่ฟังเสียง คว้ามือมัศยาวิ่งไป

ป้ามะลิหยิบข้าวเกรียบส่งให้ลูกค้า พร้อมรับเงินวุ่นวาย
“ไม่ต้องแย่งกัน ได้ทุกคน นี่คุณแบ่งๆ กันกินเถอะ อย่าซื้อเยอะนัก ให้คนอื่นเขากินบ้าง”
ลูกค้าทำท่าไม่ค่อยพอใจ
“อะไรกัน ผมจ่ายเงินนะป้า เรื่องเยอะชะมัดเลย”
“โธ่พ่อคุณ จะซื้ออะไรเยอะแยะนัก คนมารอตั้งมากตั้งมาย แบ่งกันซื้อแบ่งกันกินไม่ได้เหรอไง ถ้าไม่อยากซื้อก็ถอยไป”
“ซื้อจ๊ะซื้อ”
ลูกค้าเดินออกมา บ่นงึมงัม สวนกับมัศยาและน่านฟ้า
“มีเงินซื้อเยอะก็ไม่ได้”
น่านฟ้ามองลูกค้าแล้วอมยิ้ม มัศยามองซ้ายมองขวาไม่ไว้ใจ
“ป้าคนนี้เนี่ยเหรอ”
“ใช่ ป้ามะลิ สุดยอดแม่ค้าข้าวเกรียบ ที่จะมาช่วยข้าวเกรียบมีโชคของเรา”
น่านฟ้าภูมิใจ มองป้ามะลิวุ่นวายกับการขายของ มัศยามองไม่เชื่อถือ

ป้ามะลินั่งอยู่หลังร้าน โบกพัดให้คลายร้อน น่านฟ้ากับมัศยายืนอยู่ด้านข้าง มัศยาชิมข้าวเกรียบอร่อยจนหยุดไม่ได้
“เป็นไง อร่อยใช่มั้ย ผมบอกแล้ว ป้ามะลินี่แหละเป็นสุดยอดฝีมือข้าวเกรียบทอดอันดับหนึ่งของเมืองไทย”
“มันอร่อยจริงๆ ฉันยอมรับ”
น่านฟ้าทำท่าสอพลอ ป้ามะลิมองอย่างไม่ไว้ใจ
“นี่พ่อคุณ จากหน้าร้านมาหลังร้านนี่ ฉันได้ยินคำว่าสุดยอดฝีมือข้าวเกรียบมาสักร้อยหนได้มั้ง จะสอพลอไปถึงไหน ฮะ”
น่านฟ้ายิ้มประจบ
“แหม ก็ข้าวเกรียบของป้ามันสุดยอดจริงๆ ครับ อร้อย อร่อย ดูสิเจ๊โหดของผมยังหยุดไม่ได้เลย เอิ่ม ไหนๆ ป้าก็ได้ยินผมสรรเสริญป้าซะขนาดนี้ งั้นผมขอไม่อ้อมค้อมเลยนะครับ ผมอยากซื้อตัวป้ามาคิดสูตรข้าวเกรียบให้โรงงานผมครับ”
ป้ามะลิชะงักทันที มองหน้าน่านฟ้า น่านฟ้าเริ่มรู้สึกไม่เข้าท่า พยายามประจบอีก
“ผมจะทำให้ป้าดังเป็นพลุแตก ให้คนทั้งประเทศรู้ว่า ข้าวเกรียบของผมได้มาจากสูตรของป้า อยากจะสืบทอดสูตรดีๆ อร่อยๆ ให้ตกไปถึงคนรุ่นหลัง ชื่อเสียงของป้าจะได้ยืนยงคู่ฟ้าเมืองไทยไปอีกนานเท่านาน”
น่านฟ้าผายมือไปทางป้ามะลิ นำเสนอด้วยความอลังการ ป้ามะลิยังเงียบ จนน่านฟ้ากับมัศยาแปลกใจ
“ป้าครับ บอกมาได้เลยนะครับ ผมยินดีจ่ายค่าสูตรให้ป้า 2 ล้าน พอมั้ยครับ ถ้าไม่พอ สามล้านก็ได้”
ป้ามะลินิ่ง น่านฟ้าหันไปมองมัศยาเป็นเชิงหารือ ทำท่าจะเสนอราคาเพิ่ม แต่แล้วป้ามะลิก็คว้ากระทะกับตะหลิวขึ้นมาขู่
“ออกไปจากร้านฉันเดี๋ยวนี้”
น่านฟ้ากับมัศยามองหน้ากัน
“ป้าคะ”
“ออกไป๊”

มัศยาและน่านฟ้าหน้าเสีย

น่านฟ้ากับมัศยาวิ่งแจ้นออกจากหน้าร้านป้ามะลิ พร้อมกับข้าวของบินไล่หลังทั้งสองคนออกมา น่านฟ้าวิ่งจูงมือมัศยา พยายามหันไปตะโกนอธิบาย
 
“ป้าครับ ผมจริงใจนะครับ ผมอยากได้สูตรของป้าจริงๆ”
“ไปให้พ้น บอกให้ไปไงวะ”
ป้ามะลิคว้ากระทะทอดข้าวเกรียบเหวี่ยงใส่น่านฟ้า โดนหัวเขาอย่างจัง มัศยาเห็นท่าไม่ดีคว้ามือน่านฟ้าวิ่งไม่คิดชีวิต ป้ามะลิยืนหอบจะเป็นลมอยู่ที่หน้าร้าน
“อย่ามาให้เห็นหน้าอีกนะ ไอ้กะล่อน หนอยแน่ะ จะเอาสูตรข้าเหรอ ฝันไปเถอะ”
ป้ามะลิยืนหอบอยู่หน้าร้าน แค้นมาก

น่านฟ้ากับมัศยาพากันมาที่ร้านอาหาร น่านฟ้าคลำหัวตัวเอง มัศยามองอย่างหมั่นไส้ แต่อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง
“เป็นไงบ้างคะ เจ็บมั้ย”
“กระทะนะเจ๊ ไม่ใช่กระเทียม เจ็บจะตาย”
“ไหนดูหน่อยสิคะ”
มัศยาลุกขึ้นดูแผลที่หัวน่านฟ้า
“เบาหน่อยเจ๊ นี่มันหัวคนนะ”
มัศยาผลักอย่างแรง
“แค่นี้ ไม่ตายหรอก คนเป็นผู้บริหารรับผิดชอบชีวิตคนตั้งมากมาย แค่นี้จะร้องโอดโอยทำไม”
“นี่ไง ก็เพราะเจ๊โหดอย่างนี้แหละ แฟนถึงไม่ค่อยมาหา”
มัศยาหันขวับมาค้อนน่านฟ้า
“คุณรู้ได้ไง”
“เอ๊า ก็ผมอยู่กับเจ๊ทุกวัน ยังไม่เคยเห็นหน้าแฟนเจ๊เลยสักที แปลกปะล่ะ”
มัศยาสะอึก สวนกลับทันที
“คุณน่านฟ้า นี่มันเรื่องส่วนตัวฉัน ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานนะคะ”
มัศยาไม่พอใจ ทำให้น่านฟ้าต้องรีบง้อ
“โอเคๆ ขอโทษนะเจ๊ ผมก็แค่สงสัย ไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้เจ๊เดือดเลยนะ”
“ฉันว่าตอนนี้ลำพังแค่เรื่องงาน คุณเอาตัวให้รอดก่อนเถอะ ไปประกาศปาวๆ แบบนั้น ถ้าทำไม่ได้ แค่ปี๊บยังคลุมหัวไม่พอเลยนะ”
“จ้าเจ๊ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมมั่นใจว่าป้ามะลินี่แหละ จะเป็นคนคิดสูตรข้าวเกรียบตัวใหม่ให้เราจนกู้สถานการณ์กลับมาได้”
มัศยาเบ้หน้าไม่อยากจะเชื่อ
“เฮอะ คงได้หรอกนะ โดนไล่เปิงออกมาขนาดนี้เนี่ยนะ”
“แหม วันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ก็มาใหม่ ยังไงผมก็ต้องทำให้ป้าแกใจอ่อนให้ได้ ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก เชื่อผม”
น่านฟ้ามั่นใจ ฮึกเหิมมาก

น่านฟ้าขับรถมาจอดที่หน้าบ้านสมใจ มัศยากำลังจะลงจากรถ น่านฟ้าสะกิด
“มีอะไรคะ”
“นี่คุณจะไม่เชิญผมเข้าบ้านบ้างเหรอ เหนื่อยกันมาทั้งวัน ใจคอจะไม่เลี้ยงน้ำสักแก้ว ขนมสักชิ้นเลยเหรอ”
“ไม่ค่ะ ก็คุณเพิ่งทานข้าวมาหยกๆ แล้วนี่มันก็ดึกมากแล้ว ใครมาเห็นเข้ามันดูไม่ดี”
“โห เจ๊ อายุอานามขนาดเจ๊ มีผู้ชายขอเข้าบ้านนี่ควรจะปิดซอยเลี้ยงมากกว่าจะมาถือเนื้อถือตัวเคร่งขนมธรรมเนียมไทยแบบนี้นะ คนอาไร้ หัวโบราณจริงๆ”
“ใช่ฉันหัวโบราณ ไร้น้ำใจและโหด มีอะไรมั้ย”
น่านฟ้าเห็นมัศยาเอาจริงก็เสียงอ่อนลง
“ไม่มีก็ได้ ก็แค่ถามดู แหม คุณไม่คิดจะแสดงน้ำใจบ้างเหรอ ผมอุตส่าห์ขับรถมาส่งคุณถึงหน้าบ้านเลยนะ”
“ขอบคุณนะคะ แต่คงไม่เชิญเข้าบ้านหรอก ฉันเหนื่อยแล้วก็ไม่อยากจะมานั่งต่อปากต่อคำกับใครอีกแล้ว พรุ่งนี้พบกันที่บริษัทนะคะ ท่านประธาน อ้อ อย่าลืมทายาที่หัวด้วย”
“ฮั่นแน่ เจ๊เริ่มเป็นห่วงผมแล้วใช่มั้ย”
มัศยายิ้มหวาน
“ค่ะ เป็นห่วง เพราะถ้าคุณเป็นอะไรไป พรุ่งนี้ใครจะเอาหัวไปรับกระทะของป้ามะลิอีกล่ะ ดูท่าป้าแกคงไม่ใจอ่อนให้คุณง่ายๆ หรอก”
มัศยาเปิดประตูลงจากรถไปทันที ขณะที่น่านฟ้าครุ่นคิด ก่อนจะกดกระจกรถลง แล้วตะโกน
“เดี๋ยวก่อนเจ๊ ผมเปลี่ยนใจแล้ว”
มัศยาอยู่นอกรถ หันขวับมาทันที
“อะไรอีกคะ”
“เจ๊อาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย ฉีดน้ำหอมกลิ่นหอมๆ รอผมนะ เดี๋ยวผมกลับมารับตอนสามทุ่ม”
มัศยาหน้าเหวอแทบไม่เชื่อในสิ่งที่น่านฟ้าพูด
“สามทุ่ม คุณจะพาฉันไปไหน”
“แหม ไม่พาเจ๊ไปลวนลามหรอกน่า ผมแค่เห็นด้วยกับเจ๊ว่า ป้ามะลิแกคงไม่ใจอ่อนง่ายๆ เพราะฉะนั้นเราต้องจัดหนักนิดหนึ่ง”
น่านฟ้ากดกระจกรถขึ้น แล้วขับรถออกไปทันที มัศยาหันไปมองแล้วบ่นพึมพำ
“สงสัยสมองกระทบกระเทือน ขยันยังกับคนละคน”

นะดีนอนวาดรูปอยู่ในบ้าน สมใจนั่งพับผ้าอยู่ มัศยาเดินเข้ามาอย่างเหนื่อยอ่อน นะดีรีบลุกขึ้นมารับ
“แม่หยีมาแล้ว ดีใจจังเลย”
มัศยากอดนะดีไว้ หอมแก้มอย่างคิดถึง
“คิดถึงจังเลย วันนี้เป็นเด็กดีรึเปล่าเนี่ย”
“ดีสิคะ เดี๋ยวนะดีไปเอาน้ำมาให้แม่หยีกินนะคะ”
นะดีวิ่งไป มัศยามองปลื้ม ก่อนจะนั่งพักเหนื่อย
“ไปทำอะไรมา ถึงได้ดูเหนื่อยขนาดนั้น”
มัศยาส่ายหน้า
“เหนื่อยจริงๆ ค่ะแม่ วันนี้นายน่านฟ้าพาหนูไปเดินตลาดน้ำมาทั้งวันค่ะ เห็นตื๊อแม่ค้าขายข้าวเกรียบให้คิดสูตรให้”
“แล้วได้มั้ยล่ะ”
“ได้อะไรล่ะคะ โดนไล่เปิงแถมโดนกระทะร่อนใส่หัวมาด้วยซ้ำ นี่ยังจะชวนหยีไปตอนสามทุ่มอีก สงสัยจะชอบความเจ็บปวด”
สมใจหัวเราะขำมัศยา
“ก่อนหน้านี้บ่นว่าเขาไม่สนใจงานไม่ใช่เหรอ นี่พอเขาเกิดขยันขึ้นมา จะไปว่าเขาได้ยังไงล่ะ”
“แต่ก็แปลกจริงๆ นะคะ หนูแทบไม่อยากเชื่อว่าหมอนี่จะสนใจงานบริษัทขึ้นมาจริงๆ ขนาดเจอแม่ค้าดุอย่างเสือ ยังไม่ยอมแพ้”
“ได้ยินแบบนี้แล้ว แม่นึกถึงเพื่อนแม่คนหนึ่งสมัยตอนเป็นสาวๆ นะ ทุกวันนี้เป็นแม่ค้าขายข้าวเกรียบนี่แหละ โอ้โห ดุสุดๆ ลูกค้าจะซื้อของต้องเข้าแถว ไม่พอใจไม่ขาย บางทีใครเรื่องมากมันด่าเปิงไล่ออกจากหน้าร้านเลยนะ”
“งั้นก็คงไม่แปลกแล้วมั้ง ถ้าเพื่อนแม่ยังดุขนาดนี้ได้”
สองแม่ลูกขำกันใหญ่ ขณะที่นะดีวิ่งเข้ามาส่งน้ำให้มัศยา
“น้ำเย็นมาแล้วค่า”
มัศยารับแก้วน้ำจากนะดีแล้วหอมฟอดใหญ่
“น่ารักที่สุดเลย”
มัศยาดื่มน้ำแล้วกอดนะดีอย่างรักใคร่ สมใจมองแล้วยิ้มลืมเรื่องเพื่อนเสียสนิท
“งั้นรีบไปอาบน้ำอาบท่าซะก่อนไป๊ เดี๋ยวจะได้กินข้าวกินปลากัน เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“จริงด้วยแม่ หยีไปอาบน้ำก่อนนะเดี๋ยวต้องไปทำงานต่อ”
มัศยาลุกขึ้นจะไป นะดีทำท่าจะตาม สมใจรีบเรียกไว้
“นะดี หนูไปช่วยยายจัดโต๊ะกินข้าวให้แม่เขาดีกว่า ไปลูก อย่าไปกวนแม่เขาเลย”
“ค่ะคุณยาย”
นะดีเดินตามสมใจไปอย่างว่าง่าย
“คุณยายขา แม่หยีจะออกไปข้างนอกกับอาน่านฟ้าอีกแล้วเหรอคะ”
“แม่หยีออกไปทำงาน หนูอยู่กับยายนะลูก”
“ทำไมเดี๋ยวนี้เห็นแต่อาน่านฟ้า แล้วอาสินธุไปไหนล่ะคะ”
สมใจได้ยินก็สะอึก แอบห่วงลูกสาวเหมือนกัน

“นั่นสิ”

บริเวณหน้าโรงงาน ในนิคมอุตสาหกรรม สุกิจกับภูริชยืนมองอยู่
 
“ที่นี่แหละครับ”
สุกิจมองสภาพโรงงานรอบๆ อย่างพอใจ
“นายปารณนี่ทำงานใช้ได้ ไม่เสียแรงที่ฉันไว้ใจจ้างให้เป็นที่ปรึกษา”
“ผมว่า ถ้าคุณสุกิจจะเปิดโรงงานใหม่ ที่นี่ก็เหมาะมากครับ น้ำไม่ท่วม ขนส่งก็สะดวกราคาที่เสนอมาก็น่าสนใจมากนะครับ”
“ขาดก็แต่เงินลงทุน แต่ไม่เป็นไร เรื่องนี้ฉันว่าฉันจัดการได้ ไม่น่ามีปัญหา”
สุกิจยิ้มอย่างมีเลศนัย

สุกิจมาคุยกับวิภาในห้องทำงานของวิภา วิภานิ่งใช้ความคิด สุกิจมองลุ้นสุดตัว
“ผมไม่ได้เร่งรัดนะครับพี่วิภา แต่พี่เคยรับปากผมไว้ว่าจะยกที่ดินแปลงนั้นให้ผม”
“ใช่ ฉันเคยรับปากแกไว้”
สุกิจยิ้มอย่างมีความหวัง
“แต่ว่า นั่นมันก่อนที่คุณโชคจะตาย แล้วตอนนี้ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปแล้วด้วย”
สุกิจหน้าเสีย
“เปลี่ยนยังไงครับ ก็พี่วิภาพูดเองว่าขอที่ดินแปลงนั้นให้ผมแล้ว”
“คุณโชคทำพินัยกรรมไว้ ตอนนี้มันกลายเป็นของนายน่าน ทุกอย่างต้องเป็นไปตามความประสงค์ของคุณโชค ฉันคงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”
“ได้ยังไงครับ รับปากแล้วก็ต้องรักษาคำพูดสิ จะมาอ้างพินัยกรรมบ้าบอนั่น ผมไม่ยอมหรอก”
“ก็ถ้าที่ดินผืนนั้นมันเป็นของฉันเอง ฉันก็คงยกให้แกไปแล้ว แต่นี่มันเป็นของคุณโชค ลำพังทุกวันนี้ที่มีกินมีใช้อยู่ก็เพราะบุญคุณของคุณโชค มันยังไม่พอรึไง ถึงจะมาเรียกร้องอะไรอีก”
สุกิจสะอึกที่โดนลำเลิกบุญคุณเลยทำเป็นยอมรับ แต่แค้นในใจ
“ครับพี่ ผมเข้าใจ ถ้าให้ผมไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ”
วิภามองสุกิจอย่าเห็นใจ
“ขอให้แกตั้งใจทำงาน แล้วก็ซื่อสัตย์กับบริษัทมีโชค รับรองฉันไม่ทิ้งแกแน่นอนสุกิจ”
“ครับพี่”
สุกิจกำมือแน่น แค้น เดินออกจากห้องทำงานของวิภาด้วยความหงุดหงิด
“ไอ้น่าน ไอ้ตัวซวย แกเกิดมาเพื่อเป็นก้างขวางคอฉันชัดๆ”
อีกมุมหนึ่ง น่านฟ้ามองสุกิจยิ้มๆ
“อ้าว อาสุกิจ”
สุกิจชะงัก ปั้นยิ้มให้น่านฟ้า
“น่าน อากำลังนึกถึงพอดี เป็นไงบ้างเรา ไปออกปากกับหุ้นส่วนพนักงานขนาดนั้น คงเหนื่อยแย่เลยสิ”
“ก็นิดหน่อยครับ แต่งานก็คืบหน้าไปเยอะ ผมต้องขอบคุณคุณอานะครับที่เป็นห่วงงานของผม แต่ตอนนี้ผมสำนึกผิดแล้วครับ ออกปากอะไรไปผมจะต้องทำให้ได้”
สุกิจชะงักเมื่อเห็นแววตาจริงจังของน่านฟ้า
“ทำได้ก็ดี อาเองก็ไม่ได้อยากรับตำแหน่งประธานบริษัทหรอก ยิ่งสูงมันก็ยิ่งหนาว มีแต่คนอยากจะสอยเราลงมาตลอดเวลา”
น่านฟ้ายิ้มหน้าซื่อตาใส
“เหมือนที่ผมกำลังโดนตอนนี้ใช่มั้ยครับ”
สุกิจสะอึก แสร้งทำเป็นเห็นใจ
“เอาน่า อาเชื่อว่าเราทำได้ มีอะไรให้อาช่วยก็บอกแล้วกัน ว่าแต่นี่ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ เลิกงานแล้วนี่”
“อ๋อ ผมแค่แวะมาหาแม่ใหญ่ครับ เดี๋ยวคืนนี้มีนัดกับมัศยาจะวางแผนการตลาดกันต่อ เป็นไงครับ น่านฟ้าเวอร์ชั่นจริงจัง อาว่าไหวมั้ยครับ”
สุกิจแกล้งหัวเราะพอใจ
“ดีๆ ให้มันได้แบบนี้สิ พ่อเรารู้คงภูมิใจในตัวเรามากนะน่าน”
“ขอบคุณครับอา”
น่านฟ้าเดินร่าเริงออกไป สุกิจมองเครียด

สุกิจเข้ามานั่งในรถ หงุดหงิด ทุบพวงมาลัยรถระบายอารมณ์
“ไอ้น่านฟ้า ไอ้ก้าง ไอ้เด็กเมื่อวานซืน มึงจะขวางคอไปถึงไหนวะ ได้ แกจะลองดีกับฉันใช่มั้ย”
สุกิจยิ้มอย่างมีแผน

น่านฟ้านั่งอยู่ที่ห้องรับแขกบ้านวิภา พลันเหลือบไปมองภาพถ่ายของ โชค และ วิชญะ เลยลุกขึ้นไปมองใกล้ๆ แล้วลูบที่ภาพถ่ายของโชคอย่างคิดถึง วิภาเดินเข้ามา น่านฟ้าชะงักรีบผละจากรูปถ่ายนั้นทันที
“นึกยังไงถึงมาหาฉันถึงบ้าน”
น่านฟ้าหันมาทำหน้ากวนๆ
“เอ๊า ไม่คิดถึงคงไม่มาหรอกครับแม่ใหญ่”
“เฮอะ แกเนี่ยนะ คิดถึงฉัน อยากได้อะไรก็บอกมาเลยดีกว่า ฉันขี้เกียจต่อปากต่อคำกับแก”
“ผมมีเรื่องปรึกษาครับแม่ใหญ่ คือว่า แม่ใหญ่จะว่ายังไง ถ้าผมจะโละข้าวเกรียบมีโชคใหม่หมด”
วิภาชะงัก ไม่พอใจ
“แกหมายความว่าไง โละข้าวเกรียบมีโชคแล้วแกจะทำอะไร ขายกล้วยแขกรึไง หะ”
“เปล่าครับ ผมแค่อยากจะคิดสูตรใหม่ให้อร่อย ติดตลาดมากกว่าของเดิม แม่ใหญ่ก็รู้ว่าเราขายข้าวเกรียบสูตรเดินมากี่ปีแล้ว จนคู่แข่งเขาแทบจะผลิตข้าวเกรียบแคปซูลไว้ขายนักบินอวกาศอยู่แล้ว ผมว่าเราต้องปฏิวัติใหม่สักทีนะครับ”
วิภาครุ่นคิด
“แล้วแกแน่ใจได้ยังไงว่าสูตรใหม่จะดีกว่าสูตรเก่า”
“ผมมีคนช่วยคิดสูตรครับ จริงๆ ผมไปแอบทาบทามไว้แล้วแต่ไม่สำเร็จ วันนี้ผมเลยจะปรึกษาแม่ใหญ่ว่า ถ้าผมจะทุ่มทุนเรื่องนี้ แม่ใหญ่จะลงทุนให้ผมแค่ไหน”
วิภามองแววตาจริงจังของน่านฟ้าก็ชั่งใจ
“แกมั่นใจแค่ไหนล่ะ ว่าแกจะทำสำเร็จ”
“มั่นใจว่าคนที่ผมหามาจะต้องคิดสูตรได้อร่อยแน่ๆ แต่จะสำเร็จแค่ไหน คงต้องอาศัยองค์ประกอบอีกหลายอย่าง”
“แล้วถ้าแกเป็นฉัน แกจะยอมให้ลงทุนแค่ไหนล่ะ”
น่านฟ้ายิ้มมุมปากอย่างมั่นใจ

“เท่าไหร่เท่ากัน หมดหน้าตักไปเลย”

นิรชาเดินเข้ามาในห้องอย่างเหนื่อยอ่อน ทรุดตัวลงนั่ง ล้วงกระเป๋าหยิบตั๋วจำนำออกมามอง นึกถึงตอนที่คุยกับปารณ
 
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าคุณไม่เอานาฬิกามาคืนผม ผมเอาเรื่องคุณแน่”
“ฉันไม่กลัว”
“ไม่กลัวก็ดี ผมให้เวลาคุณ 7 วัน ผมตามถึงบ้านแน่นอน ไม่เชื่อคอยดู”
ปารณจ้องหน้านิรชา นิรชาหลบตา
นิรชานึกถึงปารณแล้วถอนหายใจหนักอก
“บ้าจริงๆ ฉันไม่น่าเจอนายเล้ย ซวยจริงๆ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นิรชาหยิบขึ้นมาดู เห็นหน้าสุกิจ เธอนิ่งคิดอย่างมีความหวัง
“คุณสุกิจ”
“ไง งานที่ให้ทำคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”
“ก็คืบหน้าไปเยอะแล้วค่ะ”
“คืบหน้าแล้วทำไมไอ้น่านฟ้ามันยังออกไปทำงานจนมืดจนค่ำ”
นิรชาหน้าเสียพยายามอธิบาย
“ฉันพยายามแล้วนะคะ แต่ตอนนี้นายน่านดูเหมือนจะมีเรื่องสำคัญกำลังทำอยู่”
“ก็เพราะอย่างนี้ไง ฉันถึงได้จ้างเธอมาทำงานนี้”
นิรชาหน้าเจื่อน
“ค่ะ ฉันจะเร่งจัดการให้คุณค่ะ เอ่อ คุณสุกิจคะ คือว่าฉันมีเรื่องจะรบกวนคุณนิดหน่อย ไม่รู้คุณจะสะดวกรึเปล่า”
“ว่ามา”
นิรชาอึกอักลำบากใจ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปาก
“ฉันอยากขอเบิกเงินล่วงหน้าค่ะ พอดีกำลังต้องใช้เงิน”
สุกิจขมวดคิ้วไม่พอใจ
“ถ้าจะพูดเรื่องเงินตอนนี้คงไม่ได้นะ ตราบใดที่ฉันยังไม่เห็นผลงานของเธอ”
“แต่คุณก็เห็นนี่คะว่าฉันทำให้นายน่านฟ้าติดกับได้”
“ฉันต้องการมากกว่านั้น ที่เธอต้องทำคือทำให้มันเสียงานเสียการ หมดเรื่องแล้วใช่มั้ย ฉันกำลังยุ่ง แค่นี้นะ”
สุกิจวางหูโทรศัพท์ทันที นิรชามองโทรศัพท์แล้วด่าส่ง
“ไอ้บ้าเอ๊ย งกจริงๆ”
นิรชาหงุดหงิด เดินไปเดินมาใช้ความคิด

น่านฟ้าอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยเตรียมพร้อมออกไปข้างนอก สุกัญญายืนมองอยู่
“ดึกดื่นป่านนี้ น่านจะออกไปเหลวไหลที่ไหนอีก ฮะ”
“เหลวไหลอะไรล่ะครับแม่ ผมไปทำงานครับ”
“กับใคร หนูมัศยาน่ะเหรอ”
“โห แม่เรียกซะเด็กเลย สูงอายุอย่างเจ๊โหดน่ะ ไม่เหมาะสมกับคำว่าหนูหรอก”
สุกัญญาไม่พอใจรีบต่อว่าน่านฟ้า
“เขาเป็นผู้หญิง แล้วก็ไม่ได้แก่อย่างที่เราว่าซะหน่อย แม่ว่าออกจะสวยด้วยซ้ำ”
น่านฟ้าชะงัก หันมาจ้องตาสุกัญญาอย่างตั้งใจ
“มีอะไร”
“เอ ตาแม่ก็ไม่มีต้อหินนะครับ มองยังไงว่าเจ๊โหดสวย”
“ทำเป็นปากดีไปเถอะ ว่าเขามากๆ ระวังหลงรักเขาขึ้นมาแล้วจะรู้สึก”
“โห ยิ่งกว่าเป็นไปไม่ได้ ก็เจ๊โหดนี่แหละครับแม่ ไหนจะมีลูกมีสามีแล้ว ไหนจะโหดนรกเดนตาย ใครได้เจ๊นี่ไปเป็นแฟนรับรองช้ำในตายแน่นอน”
“จ้า แล้วแม่จะคอยดู”
น่านฟ้าทำหน้าไม่ถูก รีบตัดบททันที
“ไม่คุยด้วยแล้ว ผมรีบไปทำงานดีกว่า ไปแล้วนะครับ”
น่านฟ้ารีบเดินออกไป สุกัญญาแอบขำลูกชายที่เขินแต่ไม่รู้ตัว

น่านฟ้าเดินผิวปากออกมาหน้าบ้าน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขามองแล้วยิ้มดีใจ
“คุณนิ้ม โห ใจเราทำไมถึงตรงกันขนาดนี้นะ ผมกำลังคิดถึงอยู่เลย”
“นิ้มคิดถึงคุณน่านเหมือนกันค่ะ คืนนี้มาเจอกันหน่อยดีมั้ยคะ”
“ประเสริฐเลยล่ะครับ แต่ว่า ผมมีธุระนิดหน่อย เดี๋ยวผมแวะไปหาดีมั้ย”
“ธุระอะไรจะสำคัญกว่านิ้มคะ ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องก็ได้ค่ะ นิ้มไปกับคนอื่นก็ได้”
“อย่าเพิ่งสิครับ อย่าเพิ่งงอน งั้นผมไปหาคุณนิ้มก่อนแล้วกัน”
นิรชาถอนหายใจ ไม่ค่อยสบายใจนัก มองกระจก พลันหยิบลิปสติกขึ้นมาแต่งหน้า

มัศยาเดินออกมาจากห้องนอนในชุดพร้อมออกจากบ้าน
“จะไปแล้วเหรอหยี”
มัศยาชะเง้อมองหน้าบ้านยังไม่เห็นใครก็นั่งลงคุยกับสมใจ
“รอเจ้านายมารับก่อนค่ะแม่ เอ นี่ก็สามทุ่มแล้วนะ ทำไมยังไม่มาอีก”
สมใจครุ่นคิดว่าจะพูดดีหรือไม่
“เออหยี แล้วนี่หมู่นี้สินธุหายไปไหน แม่ไม่เห็นมาหาเราบ้างเลย”
มัศยาชะงัก
“เขาคงยุ่งๆ ค่ะแม่ เห็นบอกว่าอยู่ต่างจังหวัดตลอด”
“คนรักกันชอบกัน น่าจะไปมาหาสู่กันบ้าง รถราเอาของเราไปใช้แล้วหายเงียบเลย ไม่คิดบ้างเหรอว่าเราก็ต้องใช้รถเหมือนกัน”
“สินธุเขาต้องใช้รถไปทำงานค่ะ เดี๋ยวรถเขาซ่อมเสร็จแล้วคงจะเอามาคืนเองแหละค่ะ”
“ไม่รู้สินะ แม่รู้สึกว่าสินธุดูไม่ค่อยสนใจหยีเลย”
มัศยาชะงักหน้าเจื่อน
“ทำไมแม่คิดอย่างนั้นล่ะคะ”
“แม่ว่าถามตัวเองเถอะ อย่ามาถามแม่เลย ว่าผู้ชายคนนี้เขารักเราจริงรึเปล่า”
มัศยาสะอึกไป

น่านฟ้านัดนิรชามาที่ร้านอาหาร นิรชายกแก้วชวนน่านฟ้าดื่ม
“ผมคิดถึงคุณนิ้มใจจะขาด เนี่ยพอคุณนิ้มโทรมา ผมรีบแจ้นออกมาเลยนะครับ”
“นิ้มก็คิดถึงคุณค่ะ งั้นดื่มอีกนะคะ เพื่อความคิดถึงของเราสองคน”
น่านฟ้ายกแก้วดื่ม นิรชาแอบมองยิ้มพอใจ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น น่านฟ้าหยิบโทรศัพท์มาดูเห็นหน้ามัศยา ก็ชะงัก นึกได้
“แย่แล้วสิ ผมคงต้องไปแล้วล่ะครับ”
นิรชารีบคว้าแขนน่านฟ้าหมับ ทำสายตาเว้าวอน
“ใจคอคุณน่านจะไม่มีเวลาให้นิ้มเลยเหรอคะ”
น่านฟ้ามองโทรศัพท์ที่ดังในมืออย่างกังวล
“มีสิครับ แต่ว่า แต่ว่า”

น่านฟ้ามองนิรชาเบลอๆ แล้วฟุบไป

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 5 (ต่อ)

มัศยายืนมองโทรศัพท์หงุดหงิด สมใจนั่งอยู่ข้างๆ หันมาถามด้วยความกังวลไปด้วย
 
“ติดต่อไม่ได้เลยเหรอ”
“ค่ะ เป็นคนนัดเราเอง แล้วมาหนีโทรศัพท์เนี่ยนะ”
“หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรรึเปล่า แม่ว่าคุณน่านไม่น่าเหลวไหลนะ”
มัศยาชะงัก กังวล
“แม่พูดซะหยีกลัวเลย ตอนนี้ยิ่งหน้าสิ่วหน้าขวาน ถ้าเขาเกิดเป็นอะไรขึ้นมา รับรองว่าพังกันไปหมดแน่ๆ”
มัศยาลุกพรวดขึ้น กดโทรศัพท์ออก เครียดเป็นหนูติดจั่น
“ฮัลโหลต๋อง แกพอจะรู้มั้ยว่าตอนนี้เจ้านายแกอยู่ที่ไหน”

บ๋อยประคองน่านฟ้าเข้ามาในห้องของโรงแรม ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง น่านฟ้าหลับไม่ได้สติ นิรชาเดินตามมา ส่งเงินให้บ๋อย บ๋อยรับเงินแล้วรีบออกไปอย่างรู้งาน
“ฉันไม่รู้ว่าคุณขัดแย้งอะไรกัน แต่บอกเลย ฉันไม่ได้อยากทำแบบนี้”
นิรชาจับตัวน่านฟ้าพลิกเพื่อจะถอดเสื้อผ้า น่านฟ้าไม่ได้สติ สะบัดมือใส่นิรชาเจ็บ
“โอ๊ย ขนาดหลับยังฤทธิ์เยอะ”
นิรชาจับปล้ำถอดเสื้อน่านฟ้าเปลือยเกือบหมด หันไปปลดตะขอเสื้อตัวเอง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นิรชาชะงัก เซ็ง
“นายปารณ”
นิรชากดโทรศัพท์รับอย่างกระแทกกระทั้น
“มีธุระอะไร ฮะ”

ปารณยืนพิงรถมองวิวสะพานสวยๆ นิรชาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา พอเห็นปารณ ก็วางท่าสงบ ค่อยๆ เดินเข้ามา
“นี่คุณ”
“ช้าไปตั้ง 5 นาที”
“ฉันติดธุระสำคัญ อุตส่าห์มาให้ยังจะบ่นอะไรอีก ตกลงมีธุระอะไร ให้เร็วเลย ฉันยุ่ง”
“ธุระของสิบแปดมงกุฎคงหนีไม่พ้น ไปหลอกลวงใครอีกล่ะสิท่า”
นิรชาสะอึก ไม่คิดว่าปารณจะพูดถูก
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด ตกลงมีธุระอะไรกันแน่”
“ฉันหิว ไปทานข้าวเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
นิรชาได้ยินก็อึ้ง
“อะไรนะ นายเรียกฉันมากินข้าวเป็นเพื่อนเนี่ยนะ นี่คิดว่าฉันว่างสแตนด์บายเวลาเพื่อเป็นเพื่อนเล่นนายรึไง”
นิรชาหันหลังเดินดุ่มออกไปทันที
“ถ้าเธอไม่ไป ฉันจะโทรหาเพื่อนที่เป็นนายตำรวจ แล้วสาวทุกคดีที่เธอเที่ยวหลอกลวงชาวบ้าน เอามารวมกันไม่รู้กี่คดี กี่กระทง ฉันว่าเธอไม่พ้นติดคุกหัวโตแน่ๆ จะว่าไง”
นิรชาชะงัก ขมุบขมิบปากด่า ก่อนหันกลับมายิ้มหวาน
“โธ่เอ๊ย แค่นี้คุยกันดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องขู่เลย ดีนะที่ฉันก็หิวอยู่เหมือนกัน จะไปทานที่ไหนกันดีล่ะ”
ปารณแอบหัวเราะสะใจ
“แหม ทำไมวันนี้ว่าง่ายเป็นพิเศษเลยล่ะจ๊ะ คุณนิรชา งั้น เราไปกันเถอะจ้ะ”
ปารณยกแขน นิรชาเดินมาควงแขนเขา
“ไปสิค่ะ นิ ฮิ้ว หิว”
ปารณยิ้มพอใจ นิรชาแอบด่า

มัศยายืนจ้องต๋องโทรศัพท์ ต๋องทำหน้าผิดหวัง
“ไม่มีใครรับ แต่ไม่ได้ปิดเครื่องนะเจ๊”
มัศยาหงุดหงิดฮึดฮัด
“กล้ามาก นัดฉันแล้วไม่มาตามนัด หนีไปเที่ยว โทรไปก็ไม่ยอมรับ”
“ใจเย็นๆ สิเจ๊ อย่าเพิ่งเดือด คุณน่านน่ะคงติดธุระอะไรสักอย่างล่ะมั้ง ถึงไม่ยอมรับสาย”
“น้ำหน้าอย่างนายน่านฟ้า จะมีธุระอะไรล่ะ นอกจากเรื่องผู้หญิง”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ไม่มีใครรับ
“เจ้านายแกโทรมาแล้วมั้ง รับสิ”
ต๋องรับโทรศัพท์แล้วส่งให้มัศยา
“ฉันไม่พูดกับคนแบบนี้หรอก”
ต๋องเสียงสั่น
“แต่เขาจะพูดกับเจ๊ รับหน่อยเหอะนะ ต๋องขอ”
มัศยามองหน้าต๋อง แล้วหยิบโทรศัพท์มารับ
“คุณท่าน”
มัศยามองหน้าต๋องอ่อนแรง

ปารณนั่งกินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อยอยู่ที่ร้านริมทาง นิรชานั่งเท้าคางมองอย่างเบื่อหน่าย
“ไม่ทานเหรอ ไหนบอกว่าหิวนักหิวหนา”
นิรชาตอบค้อนๆ อารมณ์ไม่ดี
“ไม่ล่ะ ฉันเห็นคุณกินก็อิ่มแล้ว”
ปารณยักไหล่แล้วคีบบะหมี่กินต่อ นิรชามองนาฬิกากระสับกระส่าย ปารณเงยหน้าขึ้นมาเห็นอาการของนิรชาก็ถอนหายใจเซ็งๆ
“เฮ้อ อาการแบบนี้ต้องมีอะไรแน่ๆ นี่อย่าบอกนะว่าไปหลอกปลดทรัพย์ใครอีก”
“เปล่า”
“ไม่งั้นก็ต้องทำอะไรไม่ดีสักอย่าง นี่ ฉันถามจริงๆ เถอะ งานสุจริตดีๆ ไม่มีทำรึไง ทำไมถึงต้องทำงานแบบนี้”
“ทำแบบไหน แบบที่เสียเวลามานั่งดูคุณกินเนี่ยนะ”
“ไม่ต้องมาเฉไฉ ฉันหมายถึง สิบแปดมงกุฎ ไม่ก็เป็นนางนกต่อ”
นิรชาสะอึกที่ปารณพูดถูก
“ก็มันจำเป็น ถ้าเลือกได้ ไม่มีใครอยากทำชั่วหรอก”
“ไปถามนักโทษในคุก เขาก็บอกว่าเขาบริสุทธิ์ทุกคนนั่นแหละ”
นิรชามองหน้าปารณแล้วเมิน
“ถ้าคุณคิดอย่างนั้นแล้ว จะถามฉันทำไม”
“ฉันก็แค่สงสัย เธอน่ะหน้าตาก็สวย ท่าทางมีความรู้ ไม่น่ามาทำอะไรแบบนี้เลย”
นิรชารีบตัดบททันที
“อิ่มยัง ฉันไม่ได้ว่างมานั่งให้คุณสั่งสอนหรอกนะ ฉันก็มีธุระเหมือนกัน”
“ยัง เดี๋ยวว่าจะต่ออีกสัก 7-8 ชาม อยากรู้นักว่าธุระอะไรจะมาสำคัญเท่าฉัน”
ปารณทำท่ายอมแพ้กินต่อ เสียงโทรศัพท์ของนิรชาดังขึ้น เธอกดรับ
“แม่ ใจเย็นๆ อดทนก่อน นิ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

นิรชามองหน้าปารณตกใจ

ที่ห้องรับแขก บ้านของวิภา วิภาหน้าโหดมาก มัศยากับต๋องนั่งเงียบหน้าเครียด
 
“มันบอกว่าจะออกไปปรึกษางานกับเธอ แล้วมันหายหัวไปไหน”
“ดิฉันไม่ทราบจริงๆ ค่ะ คุณท่าน ท่านประธานนัดไว้สามทุ่ม แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มา ดิฉันโทรไปก็ไม่รับสาย”
วิภาหันไปกราดตามองต๋อง ต๋องคอหด
“ผมก็ไม่ทราบครับ คุณน่านออกไปกับเจ๊หยีทั้งวัน ไม่ได้ใช้บริการผมเลยครับ”
วิภาหงุดหงิดฮึดฮัด
“เห็นมาที่บ้านฉัน คุยเรื่องงานซะดิบดี นึกว่าจะได้เรื่องได้ราว สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวเหมือนเดิม”
มัศยานึกอะไรขึ้นได้ รีบบอกวิภา
“เอาอย่างนี้ดีมั้ยคะ เดี๋ยวดิฉันออกไปตามหาคุณน่านเอง”
“แล้วเธอรู้เหรอมัศยา ว่าไอ้น่านมันอยู่ที่ไหน”
มัศยาครุ่นคิด

มัศยานั่งอยู่ที่โซฟาบ้านน่านฟ้า สุกัญญาคุยกับมัศยาด้วยความกังวล
“ตาน่านไม่น่าเหลวไหลเลย ดูซิเลยลำบากหนูต้องมารอแบบนี้”
“หนูรับปากคุณท่านว่าจะต้องตามหาคุณน่านให้เจอ ยังไงคืนนี้อาจจะต้องขอรบกวนคุณสุกัญญาหน่อยนะคะ”
“อุ๊ย ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ตามสบายเลย หรือถ้าง่วงจะขึ้นไปนอนห้องรับแขกรอก็ได้นะ”
“หนูขอนั่งรอตรงนี้ดีกว่าค่ะ เผื่อคุณน่านฟ้ามาถึง จะได้เช็คบิลได้ทันที”
สุกัญญาหาชะงัก ขณะที่มัศยานึกได้ก็ยิ้มเจื่อนๆ
“พอดีคุณท่านรอคำตอบอยู่น่ะค่ะ ท่านเป็นห่วงว่าคุณน่านหายไปไหน”

รถของปารณบุกเข้ามากลางสลัม สภาพดูน่ากลัวก็หันมาถามนิรชา
“เธออยู่ที่นี่ เดินเข้าออกทุกวันไม่กลัวบ้างรึไง”
นิรชาหันมาแขวะปารณอย่างรำคาญ
“ฉันจน ก็ต้องอยู่ในสลัมแบบนี้แหละ จะอยู่คอนโดหรู 20-30 ล้านได้ยังไง จอดตรงนี้แหละ ถึงบ้านฉันแล้ว”
ปารณจอดรถทันที นิรชารีบเปิดประตูรถพุ่งออกจากรถไป ปารณรีบเปิดประตูตามลงไป

แม่ของนิรชานอนเกลือกกลิ้งคร่ำครวญปวดท้อง นิรชาวิ่งเข้ามา ประคองแม่ไว้
“เป็นไงบ้างคะแม่”
“โอ๊ยแม่ปวดเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน”
ปารณวิ่งเข้ามาเห็นสภาพบ้านนิรชาและแม่ที่นอนเจ็บทรมานอยู่ก็หน้าตื่น
“ฉันว่ารีบพาไปโรงพยาบาลเถอะ”
นิรชาเครียด
“ทำไม รีรออะไรอยู่ล่ะ”
“ฉันไม่มีเงิน”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแม่ก็หายปวด มันปวดเป็นพักๆ แบบนี้แหละ”
“แต่ผมว่ารีบไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่าครับ เรื่องเงินเอาไว้ค่อยว่ากัน”
ปารณอุ้มแม่ของนิรชาออกไปทันที นิรชารีบลุกตามไป

ปารณเดินเข้ามาที่หน้าวอร์ดพยาบาล
“ขอชื่อเจ้าของไข้ด้วยค่ะ”
“ผมปารณครับ”
ปารณส่งนามบัตรให้พยาบาล
“ไม่ทราบเจ้าของไข้เป็นอะไรกับคนป่วยคะ”
ปารณชะงักคิด
“ญาติครับ ผมเป็นญาติเขา”

นิรชานั่งจับมือแม่ที่นอนหลับอยู่ในห้องพักผู้ป่วย น้ำตาไหลริน
“แม่นิขอโทษ นิดูแลแม่ไม่ดีเอง”
ปารณเดินเข้ามามอง นิรชานิ่ง จนเขาต้องกระแอม นิรชาปาดน้ำตา
“ฉันคุยกับหมอแล้วนะ ตอนนี้หมอฉีดยาระงับอาการปวดให้แล้ว แม่เธอคงจะหลับยาว ฉันว่าให้ท่านพักผ่อนก่อนดีมั้ย”
นิรชามองปารณอย่างซาบซึ้ง
“ขอบคุณคุณที่ช่วยแม่ฉัน ส่วนเรื่องเงินไว้ฉันจะรีบหามาคืนให้ละกัน”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ซีเรียส แค่แม่เธอปลอดภัยฉันก็สบายใจแล้ว”
ปารณทำหน้าเฉยเหมือนไม่ได้คิดอะไร ขณะที่นิรชานึกไม่ถึงว่าปารณจะดีกับเธอขนาดนี้

ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตอนเช้า น่านฟ้านอนพลิกตัวลืมตาตื่น เห็นเพดานห้องในโรงแรม เขาค่อยๆ ลุกขึ้น
“นี่มันที่ไหนวะเนี่ย ไม่คุ้นเลย”
น่านฟ้าสะบัดหน้าไล่ความมึน พอเห็นชัดว่าเป็นห้องในโรงแรม ก็กระโดดโหยง
“ซวยแล้ว”
น่านฟ้าหันไปสำรวจทรัพย์สินอยู่ครบ แล้วคว้าโทรศัพท์มาดู เห็นมิสคอลเป็นร้อยๆ สาย สายสุดท้ายเป็นวิภา
“ตายๆๆๆ ตายจริงๆ งานนี้”
น่านฟ้าวิ่งพรวดพราดออกจากห้องไป

มัศยานั่งหลับอยู่บนโซฟา หัวค่อยๆ เอนลงจนหน้าทิ่มก็ตกใจตื่นขึ้น
“หะ”
สุกัญญาเดินเข้ามาหามัศยาด้วยความสงสาร
“นี่หนูนั่งหลับตรงนี้ทั้งคืนเลยเหรอ”
มัศยาเอามือจัดผมเผ้าให้เรียบร้อย
“ค่ะ นี่คุณน่านฟ้ากลับมารึยังคะ”
“ยังเลยจ้ะ นี่น้าก็กังวลนอนไม่หลับทั้งคืนเลย คอยดูนะ กลับมาเมื่อไหร่ได้เห็นดีกันแน่”
มัศยาร้อนใจชักเป็นห่วง
“ปกติเขาเคยหายไปแบบนี้ทั้งคืนมั้ยคะ”
“ไม่นะ ตาน่านจะไปไหนจะบอกน้าตลอด นี่น่าจะเป็นครั้งแรกเลยที่หายไปทั้งคืนโดยที่ไม่ติดต่อมา”
มัศยาลุกพรวดขึ้นเดินเครียดเป็นหนูติดจั่น
“หรือเราจะลองแจ้งความดีคะ”

สุกัญญาชะงักครุ่นคิด

น่านฟ้าเร่งขับรถด้วยความเร็วสูง กังวลมาก เวลาเดียวกันนั้น มัศยาเดินออกมากับสุกัญญาโดยที่ในมือสุกัญญามีกระเป๋าใส่ของพวกเอกสารมาด้วย ท่าทางร้อนใจ
 
“เดี๋ยวน้าไปกับหนูด้วยดีกว่า”
“ค่ะ ไม่ทราบเอารูปถ่ายแล้วก็ของสำคัญของคุณน่านฟ้ามาแล้วใช่มั้ยคะ”
“เรียบร้อยแล้วจ้ะ เดี๋ยวไปรถน้าแล้วกัน”
สุกัญญาและมัศยาเดินไปที่รถ แต่แล้วก็เห็นว่ารถน่านฟ้าแล่นมาจอด เบรกอย่างแรง มัศยาและสุกัญญาชะงักทันที

น่านฟ้าก้มหน้างุดจ๋อยๆ บนโซฟา ขณะที่มัศยาและสุกัญญา โวยวายใส่ด้วยความโมโห
“บอกแม่มาซิว่าเราหายไปไหนมาทั้งคืน รู้มั้ยว่าคนอื่นเขาห่วงกันไปหมด ดูซิ หนูมัศยาต้องมานั่งรอทั้งคืน เคยคิดจะเห็นใจคนอื่นบ้างมั้ย”
“ใจเย็นๆ ครับแม่ ฟังผมอธิบายก่อนสิครับ”
“อ่ะ งั้นพูดมาให้หมดว่าเมื่อคืนไปไหน ทำอะไรมา”
น่านฟ้าอ้าปากจะพูด แต่พอเห็นหน้ามัศยาก็พูดไม่ออก
“เอ่อไป ไป”
“ไปเที่ยวกับสาวๆ จนลืมว่านัดฉันเอาไว้ แล้วก็ปล่อยให้ฉันต้องถ่อมาตามคุณถึงนี่”
น่านฟ้าไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร เลยทำได้แค่พยักหน้า สุกัญญาและมัศยาเดือดจัดทันที
“ตาน่าน ทำไมถึงได้เหลวไหลแบบนี้ ฮะ”
“ผมผิดไปแล้วครับ ผมกะแค่แว่บไปเจอน้องเขานิดเดียว ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้”
“ไม่คิดเหรอ เอะอะอะไรก็ไม่คิด คุณเคยคิดอะไร เคยนึกถึงใครที่เขาต้องมาลำบากเพราะคุณบ้าง”
“โธ่เจ๊ ก็มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ”
“อ๋อ นี่เรียกการผลัดนัดไปกับสาวๆ หนีโทรศัพท์ แล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อนว่าเหตุสุดวิสัยงั้นเหรอ”
“แต่ผมสาบานได้เลยนะว่า ผมแค่แวะไปกินข้าวกับน้องเขาแป๊บเดียว แต่หลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย รู้ตัวอีกทีก็ไปนอนที่ห้องในโรงแรมอะไรก็ไม่รู้”
“ว่าไงนะ โรงแรม ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้วคุณน่าน เชิญแก้ตัวกับคุณท่านเองแล้วกัน”
มัศยาสะบัดหน้าพรืดเดินออกไปทันที
“เดี๋ยวก่อนสิเจ๊ เจ๊โหด”
น่านฟ้ารีบตามมัศยาออกไป

มัศยาเดินออกจากบ้านน่านฟ้า น่านฟ้ารีบวิ่งตามมาดึงแขนเธอไว้
“เดี๋ยวก่อนสิเจ๊ ฟังผมก่อน”
“ไม่ ฉันต้องรายงานคุณท่าน แล้วอย่าฝันว่าฉันจะช่วยงานคุณอีก”
“ไม่นะเจ๊ อย่าทำแบบนี้สิ งานเรากำลังจะไปได้สวยนะ”
“ไปได้สวยเหรอ เอาอะไรมาพูด สิ่งที่คุณทำเมื่อคืนมันบ่งบอกอยู่แล้วว่า คุณมันไม่เอาไหน ไม่ได้เรื่อง ฉันไม่น่ารับปากมาร่วมงานกับคนอย่างคุณเลย”
มัศยาสะบัดมือน่านฟ้าออกแล้วเดินออกไป น่านฟ้าคิดว่าจะทำอย่างไรดี จึงโผเข้ากอดขามัศยา
“ผมบอกว่าไม่ให้ไปไงเจ๊”
“ปล่อยนะ”
“ไม่ปล่อย จนกว่าเจ๊จะฟังผมอธิบายก่อน”
“ฉันบอกให้ปล่อย”
“ไม่ปล่อย”
มัศยาจิกผมน่านฟ้าให้ออกจากขาตัวเอง
“โอ๊ย”
น่านฟ้ายอมผละออกจากมัศยา แต่แล้วก็เข้าไปกอดเอวแทน
“ไม่รู้ล่ะ ต่อให้ซ้อมผมให้ตายผมก็ไม่ยอมให้เจ๊ไปไหนทั้งนั้น”
มัศยากำมือแน่นเดือดที่สุด
“ฉันเตือนนายแล้วนะ”
น่านฟ้ากอดมัศยาแน่นเข้าไปอีก มัศยากระทืบเท้าน่านฟ้าเต็มแรง แล้วหันมาใช้หมัดเสยคางเขาเต็มๆ น่านฟ้าตาเหลือกนอนหงายลงกับพื้นสลบไป มัศยาตกใจ
“หะ”
สุกัญญาเดินออกมาดูตกใจไปด้วย
“ตาน่าน”

น่านฟ้านอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง ขณะที่สุกัญญาถือกะละมังใส่ผ้าชุบน้ำเข้ามา มัศยาเฝ้าอยู่ด้วยความกังวลรีบหันมาบอกสุกัญญา
“หนูขอทำเองนะคะ”
“จ้ะ”
มัศยาเอาผ้าชุบน้ำค่อยๆ เช็ดหน้าน่านฟ้าอย่างเบามือ รู้สึกผิดมาก
“หนูต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่ทำรุนแรงกับคุณน่านฟ้าเกินไป”
สุกัญญาหลุดขำออกมาจนได้ มัศยางงๆ
“มีอะไรเหรอคะ”
“ขำหนูน่ะสิ ทำไมถึงได้เก่งกล้าสามารถขนาดนี้ เล่นซะตาน่านน็อคเลย”
“สมัยเรียนหนูอยู่ชมรมเทควนโด้ค่ะ แล้วก็ชื่นชอบศิลปะป้องกันตัวอีกหลายอย่าง”
“ถึงว่า ตาน่านเลยสลบขนาดนั้น”
สุกัญญาหัวเราะชอบใจ ทันใดนั้นเอง น่านฟ้าทะลึ่งพรวดขึ้นด้วยความตกใจ
“เจ๊โหด”
น่านฟ้าเห็นมัศยาก็รีบลุกจากเตียงไปหลบหลังสุกัญญาทันที
“แม่ช่วยผมด้วย ยัยเจ๊โหดจะฆ่าผม”
“ไม่มีใครฆ่าเราหรอกน่า ฟื้นแล้วใช่มั้ย”
น่านฟ้าพยักหน้า
“ฟื้นก็ดี จัดการต่อได้เลยจ้ะ”
สุกัญญาหันมาบอกมัศยา น่านฟ้าหน้าเสียกว่าเดิม

วิภานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน น่านฟ้าเปิดประตูเข้ามาพร้อมมัศยา วิภาค้อนน่านฟ้าทันที
“มาแล้วเหรอไอ้ตัวดี หายหัวไปไหนทั้งคืน ฮะ”
น่านฟ้ายิ้มเจื่อนๆ พยายามอธิบาย
“ผมขอโทษฮะแม่ใหญ่ คือว่ามันเป็นแอ็คซิเดนท์เล็กๆ น้อยๆ น่ะครับ”
วิภาตบโต๊ะลุกพรวด
“เล็กน้อยเหรอ รู้มั้ยว่าเขาเป็นห่วงแกกันขนาดไหน ทั้งมัศยา ทั้งฉัน ทั้งแม่แก ไม่เป็นอันนอนกันเลยทั้งคืน”
“แม่ใหญ่ฟังผมพูดก่อนสิครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ทุกคนเป็นห่วงเลย แต่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน”
“แกไม่ต้องมาโกหกไอ้น่าน ฉันไม่อยากฟัง ฉันอุตส่าห์ไว้ใจคิดว่าแกเปลี่ยนไปแล้ว นี่อะไร งานยังไม่ทันเริ่มถึงไหนแกก็เหลวไหลเหมือนเดิมซะแล้ว ฉันผิดหวังกับแกจนไม่รู้จะผิดหวังยังไง ไหน แกบอกมาซิว่า ฉันควรจะทำยังไงกับแกดี ฮะ”
น่านฟ้าถอนหายใจเฮือกใหญ่ ป่วยการที่จะพูด
“โอเคครับ ครั้งนี้ผมยอมรับว่าผมผิด แต่ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก แม่ใหญ่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่ผมมั่นใจว่าผมเป็นลูกผู้ชายพอ”
วิภาชะงัก มองหน้าน่านฟ้าที่ดูจริงจังมาก
“ออกไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน”
มัศยาเห็นน่านฟ้าจ๋อยมาก ก็พยายามจะช่วยพูด
“คุณท่านคะ”
“เธอด้วยมัศยา ออกไปพักเถอะ กลับบ้านไปเลยก็ได้นะ เหนื่อยมาทั้งคืนแล้วนี่”
“ค่ะคุณท่าน”
มัศยาดึงแขนเสื้อน่านฟ้าให้เดินออกไปด้วยกัน สองคนออกจากประตูไป วิภาพิงพนักอย่างเหนื่อยอ่อน มองรูปโชคและวิชญะ

“หวังว่านายน่านจะทำได้อย่างที่พูดนะ”

น่านฟ้าเดินออกมากับมัศยา เขารู้สึกผิดมาก
 
“เจ๊ ผมต้องขอโทษเจ๊ด้วยนะที่ผิดนัด แล้วก็ทำให้ทุกคนเป็นห่วง”
“ไม่ต้องขอโทษฉันหรอก คุณเป็นเจ้านาย ทำอะไรก็ไม่มีวันผิดอยู่แล้ว”
มัศยาจะเดินไป น่านฟ้ารีบคว้ามือเธอไว้
“เดี๋ยวก่อนสิ เจ๊หยี ฟังผมพูดหน่อย”
“ไม่จำเป็นหรอก เก็บคำพูดแก้ตัวไปพูดกับคุณท่านดีกว่า บอกตามตรง ตอนนี้ฉันไม่คาดหวังอะไรกับคนอย่างคุณแล้ว”
“คนอย่างผมมันเป็นยังไง มันเลวนักเหรอ”
“เปล่า คุณไม่ใช่คนเลว แต่คุณมันเหลวไหลไร้ความรับผิดชอบ น่าเสียดาย ที่ฉันเสียเวลาทุ่มเททำงานให้กับคุณ ฉันน่าจะรู้ว่ามันเสียเวลาแล้วก็เปล่าประโยชน์”
มัศยาหันมามองน่านฟ้าอย่างผิดหวัง
“ก็ได้ ถ้าเจ๊ไม่เชื่อผม ก็ไม่ต้องมาช่วยผม ผมจะทำเองคนเดียวก็ได้”
มัศยาเดินไปไม่หันกลับมามอง น่านฟ้าฮึดฮัด

มัศยาเก็บแฟ้มบนโต๊ะอย่างกระแทกกระทั้น ระบายอารมณ์ ต๋องนั่งมองเงียบๆ
“คนอะไร ไร้ความรับผิดชอบ ไม่รู้ดีรู้ชั่ว โตป่านนี้แล้วยังคิดไม่เป็น”
“แล้วเจ๊รู้เหรอยังว่าทำไมคุณน่านเขาถึงไม่กลับ เขาหายไปไหน”
“ไม่รู้ ฉันไม่ได้ฟังหมอนั่นแก้ตัว เบื่อจะฟัง”
“โหเจ๊นี่เป็นเอามาก ตัดสินก่อนจะฟังความซะอีก ระวังถ้าเขาไม่ได้เหลวไหลจริง เจ๊จะเงิบเอานะ”
“เขายอมรับแล้วว่าแว่บไปหาผู้หญิง แล้วไปจบที่โรงแรม แต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นฉันไม่รู้”
“เอ แต่ถ้าไปหาผู้หญิงแล้วจบที่โรงแรมก็คงไม่ต้องถามต่อแล้วล่ะมั้งW
มัศยากระแทกแฟ้มอย่างหงุดหงิด

ป้ามะลิกำลังขายของชุลมุนวุ่นวาย น่านฟ้าเดินเข้ามาหยุดยืนมอง
“ป้าครับ ผมมาดีนะครับ”
ป้ามะลิหันมามองน่านฟ้านิ่ง จู่ๆ น่านฟ้าก็ก้มลงกอดขาป้ามะลิ
“ป้ายกโทษให้ผมนะครับ ผมขอโทษ”
ป้ามะลิมองหน้าน่านฟ้าตกใจ
“ป้ายกโทษให้ผมแล้วใช่มั้ยครับ ใช่มั้ย”
“อ๊าย ช่วยด้วยเจ้าข้าเอ๊ย ไอ้คนโรคจิตมันจะลวนลามฉัน ช่วยด้วย”
ชาวบ้านมุงดู ฮือเข้ามาสกรัมน่านฟ้ามืดมิดไม่เห็นตัว ได้ยินแต่เสียงน่านฟ้าครางหงิงๆ ป้ามะลิเดินออกมายืนมองแล้วยิ้มสะใจ ยกน้ำชาจิบอย่างใจเย็น ทันใดนั้นเอง มัศยาปราดเข้ามา ตกใจ
“หยุดนะ”
ทุกคนชะงักหยุดมือหันมามองมัศยา น่านฟ้าถือโอกาสวิ่งมาหลบหลังมัศยา
“มาพอดีเลยที่รัก”
“ที่รักเหรอ ใครเป็นที่รักของนาย”
น่านฟ้าขยิบตา
“ช่วยเล่นละครหน่อย ไม่งั้นผมตายแน่ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดครับ ผมจะไปลวนลามป้ามะลิได้ไง นี่เจ๊หยี แฟนผมครับ”
ทุกคนชะงักมองมัศยา มัศยาทำหน้าเหรอหรา ไม่รู้จะทำอย่างไร ป้ามะลิหันขวับมามองมัศยาทันที
“แฟนแกเหรอ ไอ้กะล่อนนี่แฟนแกจริงเหรอ”
มัศยาอึ้ง พูดไม่ออก น่านฟ้ารีบกอดมัศยาไว้ แล้วหอมแก้มอย่างรวดเร็ว
“ก็ใช่ดิ ไม่ใช่จะกอดจะหอมกันแบบนี้ได้เหรอครับป้า”
มัศยาหยิกท้องน่านฟ้าหมับ น่านฟ้าสะดุ้ง แต่ยังยิ้ม ป้ามะลิมองอย่างสังเกต
“แหมน่าเสียดาย แกหน้าตาท่าทางออกจะดี ไม่น่าเลือกผัวกะล่อนแบบนี้เลย เสียของว่ะ”
“อ้าวป้า พูดซะผมเสียราคาเลย ผมน่ะออกจะฮ็อตจะตายไปนะครับ”
มัศยาเอาศอกกระทุ้งท้องน่านฟ้า
“หุบปากได้แล้ว”
น่านฟ้าเงียบกริบ มัศยาทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปคุยกับป้ามะลิ
“เอ่อ ป้าคะ เราสองคนตั้งใจมาคุยกับป้าดีๆ นะคะ เรื่องสูตรข้าวเกรียบ”
ป้ามะลิได้ยินก็สวนขึ้นทันที
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ก็ช่วยไสหัวไปไกลๆ ทั้งคู่เลยไป ฉันไม่ต้อนรับ ไปสิ ไป๊”
มัศยาสะอึก น่านฟ้าเพลีย

มัศยาเดินจ้ำพรวดออกมา น่านฟ้าเดินตามมาตะโกนให้มัศยารอ
“จะรีบไปไหนเจ๊ เดินเร็วๆ เกิดหกล้มฟันปลอมหล่นอายแย่เลยนะ”
มัศยาหยุดกึก น่านฟ้าเบรกแทบไม่ทัน มัศยาหันมามองหน้าน่านฟ้าแล้วระดมทุบ
“โอ๊ย เดี๋ยวผมก็ช้ำในไส้แตกหรอกเจ๊”
“ยัง ยังไม่พอ”
มัศยาเงื้อมือ น่านฟ้าปิดไว้หลับตาปี๋ มัศยาไม่ทุบ พอน่านฟ้าลืมตาก็ทุบอึ้ก
“นี่สำหรับที่นายฉวยโอกาสฉันเมื่อกี้”
“ผมขอโทษ ถ้าไม่ทำแบบนั้นป้าแกจะเชื่อเหรอว่าผมไม่ได้ลวนลามแก แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณเจ๊นะ ถ้าเจ๊มาไม่ทันผมคงไปเกิดใหม่”
“ถ้าย้อนเวลาได้ ฉันไม่เปลี่ยนใจตามมาหรอก”
น่านฟ้ามองมัศยายิ้มแซวๆ
“นั่นแน่ เอาเข้าจริงก็เป็นห่วงเขาอ่ะเด้”
มัศยาสะบัดหน้าพรืด จะเดินไป แต่น่านฟ้าดึงแขนไว้
“จะไปไหนล่ะเจ๊”
“มาแล้วไม่ได้ประโยชน์ จะอยู่ไปทำไม”
“รู้ได้ไงว่าไม่ได้ เรายังไม่ได้พยายามเลยนะเจ๊”
มัศยาชะงักสนใจขึ้นมาทันที
“นายจะทำอะไรเหรอ”

น่านฟ้าจิกหางตายิ้มร้าย

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 5 (ต่อ)

น่านฟ้าและมัศยาหลบอยู่ริมต้นไม้ข้างทาง
 
“ผมแอบสืบมาแล้วว่า ป้าแกมาถึงตลาดตอนสายๆ จากนั้นแกจะเริ่มขายสักประมาณ 10 โมง เพราะแกขายดี สักบ่ายสองของก็หมดแล้ว จากนั้นแกก็จะเหมาสองแถวกลับบ้าน”
“แล้วไงอ่ะ”
น่านฟ้าส่ายหน้า
“เอ๊า ถามได้ ในเมื่อมาตื๊อแกที่นี่ไม่สำเร็จ เพราะคนเยอะ เราก็ต้องตามไปตื๊อแกที่บ้านสิเจ๊”
ป้ามะลิเดินออกมาพอดี น่านฟ้าคว้ามือมัศยา ค่อยๆ สะกดรอยตามป้ามะลิไป

ป้ามะลิเข็นรถเข้าไปในบ้าน น่านฟ้ากับมัศยาสะกดรอยตามมา
“ดูท่าทางป้าแกเก็บตัวน่าดูนะ อยู่ซะห่างไกลผู้คนขนาดนี้ ไม่กลัวถูกปล้นบ้างเหรอไง”
“แล้วจะเอาไงต่อดีคะ”
“มาถึงขนาดนี้ก็ต้องเข้าไปดูให้รู้สิว่าแกอยู่ยังไงกับใคร เราจะได้เจรจากับแกได้”
“ถามจริงๆ เถอะ ที่โดนกระทะเขวี้ยงใส่นี่ไม่ได้ทำให้นายเอะใจบ้างเลยเหรอ”
“แหมเจ๊ เราลองมาขนาดนี้แล้ว จะให้ผมกลับไปง่ายๆ มันไม่หล่อเลยนะ อย่างนายน่านฟ้าน่ะ มันต้องทำให้ถึงที่สุด ลูกผู้ชายเกิดมาชาติเดียว อย่าไปกลัว ไปเร็ว”
น่านฟ้าลากมัศยาไปทันที

น่านฟ้าเดินมาด้อมๆ มองๆ ที่หน้ารั้วบ้านทำท่าจะปีน
“จะปีนเลยเหรอ เดี๋ยวป้าแกก็ยิงสวนออกมาหรอก”
“คุณนี่กลัวไม่เข้าเรื่อง ป้าแกอาจจะดุแต่ไม่ใช่ฆาตกรโรคจิตซะหน่อย กลางวันแสกๆ ใครจะมายิงกันง่ายๆ”
มัศยาลังเล
“ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ อย่างนี้มันบุกรุกชัดๆ”
“ผมไม่ให้คุณปีนหรอกน่า เดี๋ยวตกมาคอหักไป ผมต้องรับเลี้ยงทั้งชีวิต ผมไม่ยอมหรอกนะ”
มัศยาค้อน ถอยมานั่งห่างๆ มองน่านฟ้าปีนขึ้นไปจนถึงสุดรั้ว ทันใดนั้นป้ามะลิวิ่งถือพร้าออกมาจากมุมบ้าน
“เฮ้ย ขโมยเหรอวะ”
น่านฟ้าตกใจเมื่อเห็นป้ามะลิวิ่งเงื้ออีโต้มาแต่ไกล โดดพรวดเดียวลงจากรั้วคว้ามือมัศยาวิ่งลิ่วไป
“เผ่นแล้วเจ๊”
ป้ามะลิยืนมองอย่างเสียดาย
“โด่ ไม่แน่จริงนี่หว่า”

น่านฟ้ากับมัศยานั่งอยู่ที่บ้านมัศยา ทั้งคู่หน้าเครียดคิดหนัก
“เราจะเอายังไงกันดีล่ะ ลองแบบนี้คงเข้าใกล้ป้าแกไม่ได้แล้วล่ะ”
“ว่าแม่ใหญ่โหดแล้วนะ เจอป้ามะลิเข้าไป แม่ใหญ่กลายเป็นนางฟ้าตัวน้อยๆ เลย”
“แล้วคุณคิดจะทำยังไงต่อไปล่ะคุณน่าน”
น่านฟ้าถอนหายใจเฮือกใหญ่มืดแปดด้าน สมใจเดินยกน้ำมาวางตรงหน้ามองทั้งสองคน พูดลอยๆ ขึ้น
“คนจริงแบบนี้น่ะ เราจะประจบประแจง เขาก็จะมองว่าเราตลบตะแลงคบไม่ได้ ต้องเอาความจริงใจเข้าสู้ ทำให้เขารู้ว่าเราจริงจัง แล้วก็จริงใจไม่ได้คิดแต่จะเอาผลประโยชน์จากเขาฝ่ายเดียว”
น่านฟ้าชะงักครุ่นคิด
“จริงจัง จริงใจเหรอ งั้นผมนึกออกแล้วว่าจะทำไง”
น่านฟ้าหันมาคว้ามือมัศยาหมับ
“ไปกันเถอะเจ๊”
“จะไปไหน นี่เราเพิ่งกลับมาเองนะ”
“ผมมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย เจ๊จะได้เข้าใจผมสักที”
น่านฟ้าลากแขนมัศยาเดินออกไป

มัศยาเดินมาส่งน่านฟ้าที่หน้าบ้าน
“ทีนี้คุณเชื่อผมเหรอยังว่า มันเป็นอุบัติเหตุ”
“ฉันเชื่อคุณหรือไม่เชื่อมันไม่ใช่ปัญหา แต่ว่าคุณท่านต่างหาก ท่านตั้งความหวังไว้กับคุณมาก คุณควรอธิบายให้ท่านเข้าใจ”
“ยังหรอก”
“ทำไมล่ะ”
“แม่ใหญ่น่ะ ถ้ายังไม่มีผลงานจับต้องได้เป็นชิ้นๆ อธิบายให้ตายก็ไม่มีวันยอมฟังหรอก”
“ฉันว่าคุณอคติกับคุณท่านเกินไปนะ ฉันดูออกว่าท่านรักแล้วก็ห่วงคุณมาก”
น่านฟ้าเบ้หน้าไม่อยากเชื่อ
“แค่ฟังผมยังขนลุกเลย ให้เชื่อคงยากแหละเจ๊ เอาน่า ยังไงวันนี้ผมต้องขอบคุณเจ๊ด้วยนะที่เปลี่ยนใจตามไปช่วยผมไว้ แล้วก็เชื่อใจผม”
“ใครบอกว่าฉันเชื่อใจคุณ ฉันแค่รับฟังเฉยๆ แต่จะให้ดี ช่วงนี้ช่วยเลิกเจ้าชู้ชีกอซักทีเถอะ เดี๋ยวจะเสียเรื่องหมด”
“คับพ้ม ผมไปล่ะ พรุ่งนี้เจอกันที่ออฟฟิศนะเจ๊”
น่านฟ้าทำหน้าทะเล้นโบกมือ มัศยาอมยิ้มนิดๆ รู้สึกดี

มัศยาเดินเข้ามาในบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน สมใจเข้ามาคุยด้วย
“จะว่าไปแม่ว่าคุณน่านฟ้าเขาดูแคร์เรามากนะ จะมีเจ้านายที่ไหนที่ยอมลูกน้องได้ขนาดนี้”
มัศยาชะงัก
“คนทำผิดมีชนักติดหลังก็แบบนี้แหละค่ะแม่”
“ไม่รู้สิ แม่ว่าเขาน่ารักดีนะ ไม่เหมือน”
มัศยาถอนหายใจ
“แม่จะว่าสินธุอีกแล้วใช่มั้ยคะ”
“ย่ะ กับนายสินธุนี่แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลย อ้อ วันนี้เขาแวะมาที่บ้านด้วยนะ”
มัศยาได้ยินก็ดีใจมาก
“เหรอคะ แล้วทำไมเขาไม่บอกหยีเลยล่ะ”
“อ้าวเหรอ แม่เห็นมาแบบรีบๆ เอาของมาให้แล้วก็รีบไปเลย ของอยู่ในห้องแน่ะ”
มัศยาตื่นเต้นรีบวิ่งขึ้นบ้านทันที สมใจมองตาม ถอนหายใจเป็นห่วง

มัศยาเดินเข้ามาในห้อง เห็นถุงใส่ของวางอยู่บนเตียง รีบหยิบมาเปิดดู เป็นน้ำหอมขวดสวย
“น่ารักจังเลย”
มัศยากดโทรศัพท์ไปหาสินธุ รถสินธุจอดรออยู่ที่หน้าสำนักงานแห่งหนึ่ง เขากดรับโทรศัพท์
“หยีเหรอ เป็นไง ชอบหรือเปล่า”
มัศยายิ้มดีใจ
“ชอบสิคะ แต่คงแพงมาสินะ ความจริงน่าจะเก็บเงินบ้างนะคะ ไม่น่าสิ้นเปลืองเพราะหยีเลย”
สินธุยิ้มนิดๆ ขำในความไร้เดียงสาของมัศยา
“เพื่อหยี แพงแค่ไหนผมก็ยอมครับ”
มัศยาหน้างอทำเสียงอ้อน
“ช่วงนี้คุณงานยุ่งเหรอคะ ไม่ค่อยได้เจอกันเลย โทรยังไม่ค่อยโทรมาด้วยซ้ำ”
สินธุชะงักคิดหาคำแก้ตัว
“ยุ่งมากครับ ตอนนี้ผมแคนดิเดตจะได้เลื่อนตำแหน่ง เลยต้องทำงานหนัก หยีคงไม่งอนนะ”
สินธุเห็นสาวสวยคนหนึ่งกำลังเดินมา
“แค่นี้ก่อนนะ ผมกำลังเข้าลิฟต์สัญญาณอาจจะหาย ไว้คุยกันนะหยี คิดถึงนะครับ”
สินธุกดปิดโทรศัพท์แล้วเอื้อมมือไปเปิดประตูรถให้สาวสวยเดินเข้ามานั่งในรถ
“รอนานมั้ยคะ ที่รัก”
“นานเท่าไหร่ผมก็รอได้ ไปเถอะผมหิวคุณจะแย่แล้ว”
“ไปสิคะ ฉันก็หิวเหมือนกัน”

สองคนมองหน้า ยิ้มอย่างรู้กัน

มัศยามองโทรศัพท์แล้วมองขวดน้ำหอมดีใจ
 
“เฮ้อ แล้วเมื่อไหร่จะได้เจอกันนะ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มัศยาดีดตัวขึ้นทันที พอเห็นปลายสายเป็น น่านฟ้า เธอถอนหายใจเฮือก
“นายน่านฟ้า”

นิรชาอยู่ในบ้าน ประคองแม่นอนบนเตียง
“ขอโทษนะลูกที่ทำให้นิ้มลำบาก”
“ไม่ลำบากเลยแม่ นิ้มเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อแม่ ขอให้แม่อยู่กับนิ้มไปนานๆ ก็พอ”
“ขอบใจมาก นิ้มเป็นเด็กดี”
แม่ค่อยๆ หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน นิรชาเดินออกจากห้องไปหน้าบ้าน ปารณกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เธอเดินออกมายืนมอง ปารณวางสายโทรศัพท์หันมามองนิรชา
“คุณยังไม่กลับอีกเหรอ”
“แค่นี้ก็ต้องไล่ด้วย ทำไม รังเกียจฉันรึไง”
“ความจริงคุณต่างหากที่ต้องรังเกียจฉัน รู้รึยังทำไมฉันต้องทำแบบนี้ แม่ฉันป่วยหนัก ค่ายาก็แพงมาก ความรู้ฉันก็มีไม่มาก ทางเดียวที่ฉันจะหาเงินมารักษาแม่ได้ คือต้องทำแบบนี้นี่แหละ”
“ไม่จริง เธอเลือกได้ แต่เธอเลือกวิธีนี้ต่างหาก”
“คนจนน่ะไม่มีทางเลือกมากนักหรอก”
“เลือกได้สิ ถ้าอยากเลือก อย่างน้อยก็ทำงานสุจริต”
“คุณกลับไปเถอะ รถสวยๆ แพงๆ จอดไว้นานๆ มันอาจจะล่องหนก็ได้”
“ผมไปก็ได้ ฝากลาแม่เธอด้วยนะ ขอให้ท่านหายเร็วๆ”
“เรื่องเงินนั่นน่ะ ฉันจะหามาใช้คุณทีหลังนะ แล้วเรื่องนาฬิกานั่นด้วย”
ปารณหัวเราะ
“ไม่ต้องห่วง ฉันคิดดอกเบี้ยไม่แพงหรอก”
ปารณยิ้มแล้วเดินไป นิรชาตาเหลือก
“คิดดอกเบี้ยไม่แพงเหรอ เงินต้นฉันยังไม่รู้เลยจะหามาจากไหน”

ตอนเช้า น่านฟ้านั่งอ่านเอกสารอยู่ในห้องทำงาน มัศยาเดินเข้ามา
“โอ้โห ฉันไม่คิดเลยนะว่าจะได้เห็นภาพนี้ ท่านประธานขยันอ่านงานแต่เช้าเลย”
น่านฟ้าหันมามองยิ้มๆ
“ความจริงข้างในสอดไส้หนังสือโป๊ต่างหาก”
มัศยาได้ยิน ฉุนขึ้นมาทันที
“ว่าไงนะ”
มัศยาปราดเข้ามาจะแย่งแฟ้ม น่านฟ้าคว้ามือเธอไว้ จนมัศยาชักออกไป
“บอกแล้วไงว่าอย่างล่วงเกินฉันอีก ที่โดนเสยคางไปยังไม่เข็ดเหรอ”
“นี่เจ๊ น้ำตาลน่ะ กินให้มันน้อยๆ หน่อยนะ ผู้หญิงอะไร ดุจริงๆ ใส่น้ำหอมกลิ่นใหม่เหรอ ดีนะ”
มัศยาชะงัก เขิน
“นี่ ใครใช้ให้มาดมกลิ่นฉัน ฮะ”
“ก็มันได้กลิ่นนี่เจ๊ แต่ความเห็นส่วนตัวนะ ผมว่ากลิ่นมันหอมเย้ายวนเกินไป ผมชอบกลิ่นเก่ามากกว่า กลิ่นเหมือนดอกส้มบาน หอมอ่อนๆ ไม่ใช่กลิ่นสาวเซ็กซี่ร้อนแรงแบบนี้หรอก”
“นี่คุณ มันจะมากไปแล้วนะ”
“ผมล้อเล่น อ่ะๆ ไม่พูดแล้วก็ได้ ไปกันเหอะผมพร้อมแล้ว”
น่านฟ้าลุกพรวดพราดเดินออกจากห้องไป มัศยาพยายามสงบอารมณ์แล้วเดินตามไป

น่านฟ้าเดินออกมาพร้อมมัศยา ต๋องรีบมารับหน้า
“ให้ผมขับรถนะครับคุณน่าน”
“ไม่ต้องหรอก ฉันไปกะเจ๊โหด ไม่มีใครกล้ายุ่งหรอกน่า”
ต๋องแกล้งทำหน้างอ งอนๆ
“ตั้งแต่มีเจ๊หยี คุณน่านก็ลืมผมไปเลยนะครับ นึกแล้วมันน่าน้อยใจจริงๆ”
มัศยาสะอึก รีบออกตัวทันที
“ต๋อง นายไปแทนฉันก็ได้นะ ฉันอยู่ออฟฟิศเอง มีงานให้ทำอีกตั้งเยอะ”
“ไม่ได้ไม่ได้ งานนี้ต้องเจ๊โหดเท่านั้น แกอยู่นี่คอยดูแลแม่ใหญ่ดีกว่า แล้วถ้ามีเรื่องอะไรก็รายงานฉันด้วย”
“ครับเจ้านาย ช่วงนี้ดีหน่อยที่หุ้นส่วนกับพนักงานเงียบๆ ลงบ้าง”
“แต่อย่าเพิ่งวางใจไป ยิ่งเงียบนี่แหละยิ่งอันตราย”
“งั้นเรารีบไปกันดีกว่าเจ๊ ทุกเวลามีค่ากับการพิสูจน์ตัวเองของผม”
ต๋องปรบมือทึ่งมาก
“คุณน่านฟ้าคนใหม่ สุดยอดไปเลยครับ”
ทันใดนั้น เสียงของนิรชาก็ดังขึ้น
“คุณน่านคะ คิดถึงจังเลย”
ทุกคนหันมามองนิรชาเป็นตาเดียว น่านฟ้าหน้าเจื่อน

มัศยาเดินกลับเข้ามานั่งในห้องทำงาน หน้าบึ้ง ต๋องเดินตามเข้ามาด้วยความเป็นห่วง
“เจ๊อย่าทำอย่างนี้สิ เพื่อนคุณน่านมาหา ก็แค่เพื่อน”
“ย่ะ แค่เพื่อน ก็เห็นแล้วว่าพอแม่นั่นเข้ามา ท่านประธานตาโปนเกือบจะถลนออกมา เห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้ งานการลืมหมด”
“ให้เวลาคุณน่านหน่อยสิเจ๊ หรือว่าเจ๊หึง”
มัศยาสะดุ้ง หันไปคว้าคอเสื้อต๋อง เงื้อมือ ต๋องแกล้งตายพับลงไปทันที มัศยาปล่อยต๋องร่วงลงพื้นแล้วนิ่งคิด ต๋องหรี่ตามองมัศยา ลุกขึ้นดีดตัวออกห่าง
“ผมล้อเล่นน่ะเจ๊”
“ถ้าแกพูดแบบนี้อีกที ฉันอัดแกฟันร่วงแน่ต๋อง”
“ขอโทษ ผมล้อเล่นอ้ะ ก็เจ๊จะเดือดร้อนทำไมล่ะ”
“บอกตรงๆ นะต๋อง บางทีฉันทั้งเบื่อทั้งเอือมระอากับท่านประธานของแกจริงๆ เมื่อไหร่จะรู้จักคิด จัดวางลำดับความสำคัญอะไรก่อนอะไรหลัง ทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที”
“โธ่เจ๊อย่าเพิ่งท้อสิ คุณน่านน่ะไม่ใช่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก แค่ทุกวันนี้ผมว่าคุณน่านก็เปลี่ยนไปเยอะแล้วนะ”
“ฉันไม่ได้โทษว่าเขาเลวร้ายหรอก ฉันแค่เบื่อ”

มัศยาถอนหายใจหนักอก หยิบแฟ้มขึ้นมาอ่าน ต๋องมองท่าทางของมัศยาแล้วคิดหนัก

น่านฟ้ากับนิรชานั่งคุยกันในห้องทำงานของน่านฟ้า เขาดูจริงจังมาก
 
“แน่ใจนะครับว่าหลังจากนั้นผมขอตัวกลับบ้าน”
“แน่ใจสิคะ คุณน่านบอกว่ามีธุระด่วนแล้วก็แยกไป”
“งั้นเหรอ แล้วทำไมผมไปหลับอยู่ที่โรงแรมนั่นได้”
“โรงแรมอะไรคะ”
นิรชาทำท่าแปลกใจ น่านฟ้าเริ่มลังเล
“ช่างเถอะครับ คุณนิ้มไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ผมก็แค่สงสัยเฉยๆ จริงสิ คุณนิ้มมาหาผมมีธุระอะไรรึเปล่าครับ”
“นิ้มจะมาชวนคุณน่านไปทานข้าวด้วยกันค่ะ”
น่านฟ้าคิดหนัก
“วันนี้คงไม่ได้ครับ ผมติดธุระสำคัญ”
นิรชาเข้ามากอดแขนน่านฟ้า ทำเสียงออดอ้อน
“สำคัญกว่านิ้มอีกเหรอคะ”
น่านฟ้ามองนิรชาใจระทวย
“นะคะคุณน่าน”
ต๋องก็เปิดประตูพรวดพราดเข้ามา
“คุณน่านครับ”
น่านฟ้าและนิรชาตกใจผละจากกันทันที
“ว่าไงต๋อง”
“เจ๊หยีให้มาตามครับ บอกว่าสายแล้ว”
นิรชาหันมาจ้องหน้าน่านฟ้าเอาคำตอบ น่านฟ้าคิดหนัก
“ขอบคุณนะครับคุณนิ้มที่อุตส่าห์มาชวน แต่วันนี้ผมคงไปด้วยไม่ได้จริงๆ”
นิรชาเซ็ง

นิรชาเดินออกจากบริษัท ภูริชเดินตามออกมาดึงแขนเธอหลบไปที่มุมลับตา นิรชาตกใจ พอรู้ว่าเป็นภูริช เธอสะบัดตัวออกทันที
“เจ็บนะคะคุณภูริช”
“จับแค่นี้จะไปเจ็บอะไรนักหนา”
“มีธุระอะไรก็ว่ามาเถอะค่ะ”
“จนป่านนี้ไม่เห็นจะได้อะไรคืบหน้า ตกลงนี่เธอกะเล่นตุกติกอะไรรึเปล่า”
“ฉันกำลังพยายามอยู่ คุณไม่ต้องห่วงหรอกคุณภูริช ฉันรับงานมาแล้ว ฉันไม่ทำให้ผิดหวังแน่”
ภูริชมองนิรชา ไล่จากขาขึ้นมาเรื่อยๆ นิรชารังเกียจสายตาของเขามาก
“มองอะไร”
“ก็แค่มอง สวยๆ อย่างเธอนี่ ถ้าอยากทำงานสบายก็ได้นะ บอกมาแค่คำเดียว ฉันพร้อมจะเลี้ยงดูเธออย่างดี”
นิรชาสะบัดหน้าหนีอย่างรังเกียจ
“หมดธุระแล้วใช่มั้ย ฉันขอตัวก่อน”
นิรชาสะบัดพรืดรีบเดินออกไป ภูริชมองยิ้ม มีเลศนัย

ปารณและสุกิจนั่งคุยกันหน้าเครียด
“จากผลประกอบการที่คุณสุกิจให้ตัวเลขมา ผมว่ายังไงมีโชคก็ต้องล้มละลายเข้าสักวัน ถ้าคุณสุกิจอยากจะก้าวกระโดด ก็ควรจะลองแผนของผม”
สุกิจยิ้มพอใจ
“ของมันแน่นอนอยู่แล้ว คนอย่างสุกิจคงไม่หยุดอยู่แค่ตำแหน่งกระจอกๆ ในบริษัทที่ใกล้เจ๊งหรอก”
“ว่าแต่ คุณคิดจะซื้อที่ดินพร้อมโรงงานที่ผมเสนอให้รึเปล่าครับ”
สุกิจชะงักนิดหนึ่งแล้วยิ้ม
“มันน่าสนใจมาก แต่ผมขอเวลาตัดสินใจอีกหน่อย”
“อย่าช้านะครับ เพราะมีอีกหลายบริษัทที่กำลังสนใจเหมือนคุณ งานนี้เงินมาก่อน ผมก็ปล่อยก่อน หวังว่าคุณสุกิจจะเข้าใจนะครับ”
“ครับ ผมจะรีบตัดสินใจ ยังไงคิดว่าไม่น่ามีปัญหาหรอก”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ปารณเดินออกไป สุกิจกังวล
“ถ้าไม่มีไอ้น่าน ป่านนี้ฉันคงได้ไปแล้ว”

สุกิจเครียด

มัศยานั่งจัดแฟ้มอย่างใจเย็นอยู่ในห้องทำงานของเธอ น่านฟ้านั่งมองอย่างอึดอัด
 
“นี่เจ๊ จะจัดเอกสารอีกนานมั้ย”
“ฉันขอโทษนะคะ ท่านประธาน เอกสารมันไม่เป็นระเบียบ ต้องใช้เวลาจัดอีกนิดหนึ่ง”
น่านฟ้านิ่งมองมัศยาสักพักก็หมดความอดทน
“นี่เจ๊ เอกสารนี่จัดเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้ไปหาป้ามะลิสำคัญกว่า”
“งั้นเหรอคะท่านประธาน แหม ดีใจจังที่คุณรู้จักจัดลำดับความสำคัญของงาน”
“โอเค ผมยอมแพ้ ผมขอโทษเจ๊ ผมผิดเอง ผมยอมรับ พอใจรึยัง”
“คุณจะยอมทิ้งความสุขส่วนตัว เพื่องานของบริษัทได้เหรอ”
“ได้แน่นอน รู้มั้ยว่าผมกัดฟันจนแทบโยก ที่จะปฏิเสธน้องนิ้มคนสวย แต่มาเลือกเจ๊หง่อมๆ แทน อย่างนี้ผมไม่ทำเพื่อบริษัทอีกเหรอ”
“คุณนี่เป็นคนเจตนาดี แต่ปากเสียได้ตลอดเลยนะคุณน่านฟ้า โอเคค่ะ ไปก็ไป”
มัศยาเลื่อนเก้าอี้ แล้วเดินนำน่านฟ้าออกไป น่านฟ้าทำหน้าล้อเลียน

น่านฟ้าเดินถือของฝากมาที่หน้าบ้านป้ามะลิ ขณะที่มัศยามองอย่างสงสัย
“ขนซื้ออะไรมาเยอะแยะเนี่ย คุณแอบไปซื้อตอนไหนฉันไม่ยักรู้”
“ผมสั่งให้ต๋องจัดไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ของพวกนี้แหละจะพิสูจน์ความจริงใจตามที่น้าสมใจบอกเป๊ะเลย”
“ย่ะ แล้วฉันจะคอยดู”
น่านฟ้ายักคิ้วมั่นใจ พลันตะโกนเข้าไปในบ้าน
“ป้ามะลิคร้าบ อยู่มั้ยคร้าบ”
ทั้งคู่มองหน้ากัน ทันใดนั้นอีโต้บินหวือผ่านหน้าทั้งสองคนไปนิดเดียว
“ออกไปเดี๋ยวนี้ ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกแก”
ทั้งสองคนตะลึง เห็นป้ามะลิยืนจังก้าอยู่
“ผมมาดีนะครับ ขอให้ผมเข้าไปคุยกับป้าหน่อยได้มั้ย”
“ไม่ได้ ถ้าแกเดินเข้ามาอีกก้าว แกเจออีโต้บินแน่ๆ”
น่านฟ้าฮึด
“ใจเย็นๆ สิครับป้า ผมมาเยี่ยมป้าเฉยๆ ครับ เนี่ย ผมซื้อขนมมาฝากเต็มเลย”
“คิดว่าฉันโง่รึไง เอาของๆ พวกแกกลับไป แล้วไสหัวออกไปจากหน้าบ้านฉันเดี๋ยวนี้”
“ป้าคะ ขอเราคุยกับป้าก่อนไม่ได้เหรอคะ”
“ไม่ได้ ฉันหยิ่ง ถือตัว ไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า เข้าใจมั้ย”
“โธ่ป้าครับ เห็นใจผมเถอะครับ”
“ไม่เห็น ไม่อยากเห็นด้วย จะไปไม่ไป ไม่งั้นฉันแทงพรุนเลยนะ”
ป้ามะลิยืนถืออีโต้ท้าวเอว ยิ้มโหด
“ฉายา มะลิมืออีโต้ ไม่ได้ได้มาง่ายๆ นะโว้ย ลองมั้ย”
มัศยาและน่านฟ้ามองหน้ากัน ป้ามะลิเงื้ออีโต้ขึ้น
“ตาย”
น่านฟ้าและมัศยาวิ่งแจ้นทันที ป้ามะลิมองตามหัวเราะสะใจ

มัศยากับน่านฟ้าหนีตายจากอีโต้บินของป้ามะลิมาถึงรถ ทั้งสองเหนื่อยหอบ
“โหป้าแกนี่ร้ายสุดๆ ถ้าเดาไม่ผิดป้าแกต้องโสดแน่ๆ”
มัศยาชะงักหันมาถาม
“คุณรู้ได้ไง”
“ขนาดควงอีโต้ขนาดนี้ หนุ่มที่ไหนจะกล้าจีบล่ะ”
“เออ ก็จริง แล้วนี่คุณจะเอาไงต่อ กลับไปดีมั้ย”
“กลับไปได้ตายกันพอดีสิ ผมว่าวันนี้พอก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยวางแผนมาใหม่ ว่าแต่เจ๊โอเคมั้ย”
“ฉันโอเค ไหนคุณหมุนตัวหน่อยซิ”
น่านฟ้าหมุนตัวให้ดู
“เจ๊จะดูอะไร”
“ฉันจะดูว่ามีอีโต้ของป้าติดมาด้วยรึเปล่า พรุ่งนี้เราจะได้ใช้เป็นข้ออ้างเอาอีโต้ไปคืนป้าแกไง”
สองคนมองหน้าแล้วหัวเราะขำกัน
“งั้นผมไปส่งเจ๊ที่บ้านนะ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันมีนัดถอดเฝือกวันนี้ ขอแยกไปหาหมอดีกว่า”
“งั้นเหรอ งั้นเดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนละกัน”
“ไม่ต้องหรอก เสียเวลาคุณเปล่าๆ”
“อย่าลืมสิ ผมเป็นประธาน ต้องดูแลสวัสดิภาพของลูกน้องทุกคน โดยเฉพาะเจ๊ บุคลากรที่สำคัญต่อชีวิตผมมากที่สุด”
น่านฟ้าโอบมัศยา
“ไปกันเถอะ”

มัศยาตีมือน่านฟ้าทันที น่านฟ้ารีบชักมือออกยิ้มๆ แล้วเดินไปด้วยกัน

ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 5 (ต่อ)

นิรชาเดินถือของเข้ามาที่หน้าบ้าน แล้วชะงัก เห็นปารณยืนพิงรถอยู่
 
“คุณมาทำไมเนี่ย”
“ฉันแวะมาเยี่ยมแล้วก็ซื้อของมาเยี่ยมแม่เธอด้วย”
ปารณยกของในมือขึ้น นิรชาถอนหายใจ
“ไม่เชิญผมเข้าบ้านหรอกเหรอ”
“ถ้าไม่รังเกียจก็เชิญค่ะ”
นิรชาเดินเข้าบ้าน ปารณเดินตามไป นิรชาเดินเอาน้ำมาส่งให้ ปารณยกขึ้นดื่ม
“ขอโทษนะ ฉันไม่มีน้ำเย็นเลี้ยง ที่บ้านเราไม่มีตู้เย็น”
“ไม่เป็นไร ดื่มน้ำธรรมดาก็โอเค ฉันไม่ได้เรื่องมากอยู่แล้ว”
ปารณนิ่งมองนิรชา นิรชาอึดอัด
“วันนี้เธอไปไหนมาเหรอ”
นิราชาอึกอัก
“ไปทำงาน”
“อย่างเธอเนี่ยนะทำงาน”
“อ้าว ถ้าไม่ทำงานฉันจะเอาอะไรกินล่ะ”
นิรชาเมินไม่ยอมสบตา
“ถามจริงๆ คุณไม่คิดจะเปลี่ยนอาชีพบ้างเหรอ ไม่กลัวคนเขาจับได้แล้วโดนตำรวจจับเข้าตะรางรึไง คนอื่นน่ะไม่ใจดีเหมือนฉันหรอกนะ”
“บอกแล้วไง ฉันมีทางเลือกไม่มากนักหรอก แม่ป่วยหนักฉันต้องใช้เงินรักษาแม่ คุณก็เห็น”
“แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำเรื่องไม่ดี เลิกซะเถอะ มันอันตราย ถ้าอยากได้งานฉันช่วยได้นะ”
นิรชาชะงักมองหน้าปารณ เขาดูจริงใจ
“หลังจากทำงานชิ้นนี้เสร็จแล้ว ฉันจะเลิก ฉันสัญญา แต่ตอนนี้ฉันอยากมีเงินสักก้อนหนึ่งมาทำทุนค้าขาย หาเงินมารักษาแม่ คุณพอใจรึยัง”
“ผมจะคอยดู”
ปารณมองหน้านิรชาจริงจัง นิรชาเบือนหน้าหลบสายตาชายหนุ่ม

มัศยาเดินออกมาจากห้องพร้อมพยาบาล
“กลับได้เลยค่ะ ระวังอย่าออกแรงแขนหนักๆ นะคะ”
“ค่ะฉันจะระวัง ขอบคุณนะคะ”
มัศยามองหาน่านฟ้า เห็นเขานั่งเหม่อ เธอมองอย่างสงสาร เดินมานั่งข้างๆ
“เสร็จแล้วเหรอเจ๊ เป็นไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรแล้ว หมอบอกอย่าออกแรงแขนมากๆ แค่นั้น คุณล่ะเป็นอะไรเหรอเปล่า วิตกอะไร”
“เปล๊า ไม่ได้วิตก”
“อย่าโกหกฉันเลย ฉันรู้คุณวิตก”
“ผมไม่น่าปากพล่อยเลย แค่ 3 เดือน ไม่รู้จะทันหรือเปล่า จนป่านนี้ผมยังกล่อมป้ามะลิไม่ได้เลยบางทีผมอาจไม่เก่งอย่างที่คิด”
“คุณต้องทำได้ ฉันเชื่อ ถ้าคุณตั้งใจจะทำจริงคุณต้องทำได้ ฉันเชื่อ”
มัศยาจับมือน่านฟ้าให้กำลังใจ เขามองมือเธอนิ่ง แล้วยิ้มเผล่
“แหม เจ๊นี่ ผมเผลอไม่ได้เลย เป็นแต๊ะอั๋งผมตลอด ทำอย่างนี้ผมเสียหายนะเนี่ย”
มัศยากระแทกศอกใส่น่านฟ้าอย่างแรง
“โอ๊ย ไหนบอกว่าหมอไม่ให้ออกแรงแขน ผมจะตายมั้ยเนี่ย”
“ไม่ตายหรอก อย่างคุณน่ะ ไม่ตายสบายแบบนี้หรอก ต้องทรมานมากกว่านี้”
มัศยาลุกขึ้นเดินไปทันที น่านฟ้ามองตามแอบยิ้ม

ภายในบ้านมัศยา น่านฟ้า สมใจ มัศยา และนะดี นั่งล้อมวงกินข้าวกัน น่านฟ้ากินน้ำพริกอย่างเอร็ดอร่อย สมใจมองปลื้ม
“ไม่เผ็ดเหรอคุณน่าน หยีแกะปลาให้คุณน่านหน่อยสิ”
น่านฟ้าสูดปาก
“ไม่ครับ อร่อยดี แต่ได้ปลาหน่อยก็ดีนะ”
มัศยาแกะปลาใส่จานน่านฟ้า แล้วแกะส่งให้นะดี นะดีมองปลาในจานของน่านฟ้ากับของตัวเอง แล้วตักแบ่งของตัวเองให้น่านฟ้า
“อาน่านเอาของนะดีไปด้วยนะคะ ทานปลาเยอะๆ จะได้ฉลาดๆ”
มัศยาหลุดขำออกมาทันที
“น่ารักมากลูก รู้จักเสียสละให้ผู้ใหญ่ ดีแล้ว คุณอาเขาจะได้ฉลาดขึ้น”
น่านฟ้ามองค้อนมัศยา
“ความจริงอาฉลาดอยู่แล้ว แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อนะดีแบ่งให้ อาจะทานให้หมดเลย”

น่านฟ้าตักปลาใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย นะดียิ้มดีใจมาก ทั้งหมดร่วมวงกินข้าวเหมือนเป็นครอบครัวอบอุ่น

หลังกินข้าวเสร็จ น่านฟ้านั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์ นะดีเดินลากหนังสือนิทานกับตุ๊กตาตัวโปรดเข้ามาสะกิด
 
“อาน่าน เล่านิทานให้นะดีฟังก่อนนอนได้มั้ยคะ”
“นิทานเหรอ แล้วนะดีอยากฟังเรื่องอะไรล่ะ”
นะดีนั่งลงแอบอิงน่านฟ้า
“เรื่องอะไรก็ได้ค่ะ ที่มีเจ้าชายเจ้าหญิง แล้วก็ เป็ด”
น่านฟ้าหัวเราะก๊าก
“ไม่เคยได้ยินแฮะ”
“มีสิ มี แม่เคยเล่าให้นะดีฟัง”
นะดีทำงอน น่านฟ้ารีบง้อ
“อ่อ งั้นก็ได้ๆ เดี๋ยวอาเล่าให้ฟัง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว”
น่านฟ้าเริ่มต้นเล่านิทาน มัศยายืนมอง ยิ้มๆ

นะดีนอนหลับสนิทอยู่ในห้อง สมใจห่มผ้าให้ มองดูความเรียบร้อย มัศยาเดินเข้ามายืนมอง
“คุณน่านกลับไปแล้วเหรอ”
“ค่ะแม่”
“เราน่ะอย่าไปดุใส่เขามาก ยังไงเขาก็เป็นเจ้านาย”
“ก็มันน่ามั้ยล่ะคะแม่ ทำตัวเหลวไหล หาเรื่องให้หนูตลอด”
สมใจมองหน้ามัศยาแล้วยิ้ม
“ย่ะ โลกนี้คงไม่มีผู้ชายคนไหนแสนดีเท่านายสินธุแล้วล่ะ ว่าแต่ ตั้งแต่ยืมรถหยีไปก็ไม่ค่อยมาบ้านเราเลยนะ”
“เขาคงยุ่งน่ะแม่ วันก่อนก็โทรคุยกันแป๊บๆ เห็นว่าไปรอพบลูกค้า หยีก็ไม่อยากกวน”
“คนรักกันชอบกันน่ะ มันต้องรู้บ้างสิว่าอยู่ดีหรือเปล่า ทำแบบนี้มันเหมือนปิดๆ บังๆ อะไรก็ไม่รู้”
มัศยาถอนหายใจ ไม่อยากฟัง
“แม่คะ สินธุไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกค่ะ เขาก็แค่งานยุ่ง นี่เขาบอกอยากจะสร้างฐานะก่อน หยีก็เข้าใจเขาค่ะแม่”
“ถ้าหยีคิดอย่างนั้น แม่ก็ไม่มีอะไรจะพูด เออ แม่ไปนอนก่อนนะ”
สมใจลุกขึ้นออกไป มัศยาเดินไปหยิบขวดน้ำหอมที่สินธุให้ขึ้นมามอง แล้วถอนหายใจ

ตอนเช้า วิภานั่งอ่านเอกสารที่สุกิจเอามาให้ อยู่ในห้องทำงาน
“นี่มันอะไรกัน ใครเป็นคนทำบัตรสนเท่ห์พวกนี้ ทุเรศที่สุด”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ เห็นตัวแทนหุ้นส่วนเอามาให้ภูริช พอผมทราบข่าวก็รีบมารายงานพี่ทันที”
“นี่ยังผ่านไปยังไม่ได้เดือนเลย จะมาทวงถามผลงานของตาน่าน ชักจะมากไปแล้วนะ”
“ผมก็เห็นด้วยกับพี่นะครับ แต่การที่มีคนทำบัตรสนเท่ห์แบบนี้ก็ดีไปอย่าง ทำให้เรารู้ความรู้สึกของหุ้นส่วนว่าว่าเขาสนับสนุนใคร เชื่อมั่นในตัวใคร”
วิภาเครียด สุกิจแอบยิ้ม
“ยังไงก็เถอะ ฉันไม่หวั่นไหวกับเรื่องพวกนี้หรอก เหรอว่าแกเห็นด้วยสุกิจ”
สุกิจชะงัก
“โธ่คุณพี่ ทำไมมองผมอย่างนั้นล่ะครับ ตาน่านก็หลานผม พี่โชคกับพี่ก็มีบุญคุณกับผมท่วมท้น ที่ผมมาเรียนให้พี่ทราบก็เพราะผมเป็นห่วงบริษัท กลัวจะเสียหายมากไปกว่านี้”
วิภามองสุกิจนิ่ง สุกิจทำไม่รู้ไม่ชี้
“ขอบใจมาก แต่ฉันตัดสินใจให้เวลาตาน่านแล้ว เราก็ต้องรอจนกว่าจะครบกำหนด ถึงเวลานั้นเราก็ค่อยมาคิดอีกที เธอออกไปได้แล้ว”
“ครับพี่”
สุกิจเดินออกมาจากห้องวิภาแล้วยิ้มเยาะ
“ดูซิจะดิ้นไปได้นานแค่ไหน”
น่านฟ้ากับมัศยาเดินเข้ามา สุกิจเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มทันที
“ไง ตาน่าน มัศยา คืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”
สองคนมองหน้ากัน น่านฟ้ายิ้ม
“อาสุกิจมาหาแม่ใหญ่แต่เช้าเลย มีอะไรรึเปล่าครับ”
“อ๋อ พอดีมีเอกสารด่วนน่ะ อาเลยเอามาให้พี่วิภาเอง เอ่อ มัศยา ดูเซียวไปนะ นี่แขนหายแล้วนี่”
“ค่ะ หายแล้ว”
“แกน่ะใช้งานมัศยาเขาเบาๆ หน่อยสิ เดี๋ยวเกิดแข้งขาหักด้วยจะทำไง”
“ครับอา ต่อไปผมจะถนอมคุณมัศยาให้เหมือนไข่ในหินเลยครับ”
มัศยาหันมามองค้อนๆ น่านฟ้า สุกิจพูดกับมัศยา
“ถ้าคุณไม่อยากทำงานหนักก็ย้ายไปอยู่แผนกผมได้นะ ผมยินดีต้อนรับเสมอ”
“ขอบคุณมากค่ะ แต่ดิฉันยังสนุกกับตำแหน่งนี้อยู่ค่ะ”
“งั้นก็ตามใจ เออน่าน เข้าไปหาแม่ใหญ่หน่อยสิ รู้สึกเขาดูเครียดๆ นะ เผื่อแกจะช่วยอะไรได้”

สุกิจยิ้มเยาะแล้วเดินไป น่านฟ้ามองไม่ไว้ใจ

น่านฟ้าเปิดเข้าไปในห้องเห็นวิภานั่งนิ่งใช้ความคิด
 
“มาแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะตาน่าน งานคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”
น่านฟ้ามองหน้าวิภา เห็นเธอพยายามยิ้มซ่อนความกังวลใจ หยิบกระดาษตรงหน้าเลื่อนหลบไป
“ก็กำลังพยายามหาสูตรอยู่ครับ แล้วนี่มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ”
วิภายิ้มเบือนหน้า น่านฟ้าคว้ากระดาษบนโต๊ะมาอ่าน
“ใครเป็นคนทำครับแม่ใหญ่”
“ใครทำไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือ ทุกคนไม่เชื่อมั่นในตัวแก เขาพยายามกดดันฉันให้ปลดแก บอกตรงๆ ฉันไม่รู้จะต้านได้อีกนานเท่าไหร่”
วิภาเครียด น่านฟ้ามองอย่างเห็นใจ คุกเข่าลงจับมือวิภา
“แม่ใหญ่ครับ ใครจะเชื่อผมหรือไม่ ผมไม่แคร์ ขอให้แม่ใหญ่เชื่อมั่นในตัวผม ให้เวลาผม ผมจะทำให้แม่ใหญ่ดูเอง”
วิภามองสบตาน่านฟ้าแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เชื่อสิ ถ้าฉันไม่เชื่อแก ฉันคงไม่ให้เวลาแกสามเดือนหรอกเจ้าน่าน ไปทำงานไป เลิกประจบฉันซะที เห็นแล้วรำคาญ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน

ต๋องกับมัศยาถอยหลังกรูดออกจากห้องทำงานของวิภา
“ไม่อยากเชื่อเลย คุณน่านเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เจ๊เห็นมั้ย”
“เห็นสิ ไม่ใช่แค่คุณน่านนะ คุณท่านก็เปลี่ยน”
สองคนมองหน้ากัน วิภาเดินออกมาจากห้องพร้อมน่านฟ้า
“ทุกคนฟังทางนี้ ถ้าฉันรู้ว่าใครพยายามยุยงปลุกปั่นให้พนักงานหรือเจ้าหน้าที่กระด้างกระเดื่องต่อคุณน่านฟ้า ฉันจะไล่ออกทันที ไม่มีเงินชดเชย และจะแจ้งความเอาเรื่องให้ถึงที่สุดด้วย ต๋อง ประกาศลงไปทุกแผนก ในไลน์ผลิตด้วย เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจครับ คุณท่าน”
ทุกคนมองหน้ากัน วิภายิ้มเย็น
“แยกย้ายกันไปทำงานได้ ไปสิ”
น่านฟ้ากับมัศยายังยืนนิ่ง วิภามองดุๆ
“จะยืนอีกนานมั้ย สองคนนั่น มีอะไรก็รีบไปทำซะ”
น่านฟ้ามองหน้าวิภา วิภาพยักหน้าให้ แล้วเดินเข้าห้องไป น่านฟ้าคว้ามือมัศยา
“ไป เจ๊ ไปทำหน้าที่ของเราให้สำเร็จ”
น่านฟ้าลากมัศยาออกไป

น่านฟ้ากับมัศยามาหยุดยืนมองป้ามะลิทำงานอยู่คนเดียวในร้าย เขาจะปรี่เข้าไป แต่มัศยาดึงมือไว้
“แน่ใจนะว่าพร้อม”
“แน่ใจที่สุด ไม่ว่าจะต้องหัวแบะกี่แผล ผมจะทำให้ป้ามะลิเปลี่ยนใจให้ได้”
น่านฟ้าพยักหน้าให้มัศยาแล้วเดินไป มัศยารีบตามไปอย่างเป็นห่วง ป้ามะลิกำลังยกปี๊บน้ำมันขึ้นเทลงในกระทะ แล้วเกิดเซ น่านฟ้ารีบเข้าไปประคอง
“มาครับผมช่วย”
“ไม่ต้อง ไปให้พ้นหน้าเลย ไม่กลัวอีโต้หรือไง”
“กลัวครับ แต่อยากช่วยป้ามากกว่า มาให้ผมทำเอง”
น่านฟ้าแย่งปี๊บน้ำมันไปเทเอง ป้ามะลิหันไปมองมัศยาที่ยืนงง
“นังหนู บอกผัวแกอย่ามายุ่งกับป้า”
“เอ่อ คือฉัน ช่างเหอะ ฉันบอกไม่ได้หรอกป้า เพราะฉันก็มาเพื่อช่วยเขา ป้าจะให้ฉันทำอะไรก็บอกมา”
ป้ามะลิมองมัศยากับน่านฟ้าแปลกใจ
“ดี อยากช่วยใช่มั้ย ฉันจัดให้”
ป้ามะลิใช้ให้น่านฟ้ายกเข่งใส่ข้าวเกรียบที่ยังไม่ได้ทอด มาตั้งเรียงไว้ มัศยานวดแป้งข้าวเกรียบจนแป้งกระเด็นเลอะเทอะไปทั้งตัว น่านฟ้าเปิดซึ้งนึ่งข้าวเกรียบไอน้ำกระจาย แล้วเอามือหยิบข้าวเกรียบที่นึ่งเสร็จร้อนจนต้องโยนไปโยนมา ป้ามะลิยืนบงการให้มัศยาหั่นข้าวเกรียบเป็นชิ้น น่านฟ้ากับมัศยาตากข้าวเกรียบบนกระด้งกลางแดด
น่านฟ้าถอดเสื้อโชว์กล้าม ทอดข้าวเกรียบในกระทะ มัศยาและน่านฟ้า หยิบข้าวเกรียบใส่ถุงขายให้ลูกค้ามือเป็นระวิง ป้ามะลิยืนมองอมยิ้มอยู่ด้านหลัง
ป้ามะลิเดินนำหน้าสบายๆ มีน่านฟ้ากับมัศยาเดินเข็นรถเข็นตามอย่างกระปลกกระเปลี้ย เหนื่อย
อ่อน ป้ามะลิหันมามองแล้วอมยิ้ม

น่านฟ้ากับมัศยาเข็นรถเข็นมาเก็บในบ้านป้ามะลิเรียบร้อย ป้ามะลิยืนมองอยู่
“เสร็จแล้ว กลับไปได้”

“ป้าครับ ขอเวลาป้าช่วยฟังผมพูดหน่อยได้มั้ย”

ป้ามะลินิ่งคิด มัศยารีบช่วยขอร้อง
 
“นะคะ ป้าช่วยฟังคุณน่านพูดสักนิดหนึ่ง ได้โปรดเถอะค่ะ”
“ก็ได้ 3 นาที พูดมา”
“แค่สามนาที โห ผมจะพูดจบมั้ยเนี่ย”
“เหลือ 2 นาทีแล้ว”
“คือ เราอยากจะบอกป้าว่า เราสองคนมาเพราะเห็นป้าเป็นที่พึ่งเดียวของเรา ป้าช่วยให้โอกาสเราได้มั้ยคะ”
“หมดเวลา ออกไปได้”
ป้ามะลิดันสองคนออกนอกรั้วแล้วปิดประตูลงกลอน
“ผมไม่ยอมไปจนกว่าป้าจะยอมฟังผม”
“ฉันก็ไม่ยอม”
“ก็เรื่องของพวกเอ็ง”
ป้ามะลิเดินไป ฝนเริ่มตก น่านฟ้านั่งลงปักหลักอยู่หน้าบ้านป้ามะลิ มัศยามองอย่างเห็นใจ แล้วนั่งลงเคียงข้าง ตากฝนอยู่ตรงนั้นด้วยกัน
เวลาผ่านไปจนฝนตกซาเม็ด น่านฟ้ากับมัศยาหนาวสั่น ป้ามะลิเปิดประตูออกมา น่านฟ้ากับมัศยามองหน้ากัน
“จะหนาวตายอยู่ตรงนั้นหรือจะเข้ามาในบ้านก็ตามใจนะ”

มัศยานั่งอยู่ในบ้านกับป้ามะลิ ห่มผ้าคลุมตัว ป้ามะลิรินน้ำร้อนส่งให้ มัศยารีบรับมาถือไว้ให้คลายหนาว
“พวกแกมันบ้า ผัวแกก็ยิ่งบ้า”
มัศยายิ้มเจื่อน ไม่กล้าขัดป้ามะลิ ที่เข้าใจผิดว่าน่านฟ้าเป็นสามี น่านฟ้าเดินออกมาในชุดของลูกชายป้ามะลิ ป้ามะลิชะงัก แล้วยิ้มเศร้า
“ใส่ได้พอดีเลย คิดอยู่แล้วเชียว”
“ชุดของใครเหรอครับ แฟนป้าเหรอ”
“ปากเสีย ชุดลูกชายข้าต่างหาก มันตายไปตอนอายุเท่าๆ เอ็งเนี่ยแหละ”
น่านฟ้าคอย่น มัศยาขยิบตาไม่ให้เถียง
“มีอะไรก็ว่าไป ฉันไม่มีเวลามานัก มีงานต้องทำอีกเยอะ”
“ป้าครับ ผมถามหน่อยเถอะทำไมป้ารังเกียจที่จะทำข้าวเกรียบให้บริษัทผม”
ป้ามะลินิ่ง หันไปเกลี่ยข้าวเกรียบในกระด้งข้างตัวให้เป็นระเบียบ
“บางคนคิดว่า ข้าวเกรียบเป็นแค่ของกินเล่น แค่หยิบเข้าปากก็จบ วันนี้ทั้งแกสองคนรู้หรือยัง กว่าจะมาเป็นข้าวเกรียบชิ้นเล็กๆ ให้เคี้ยวเล่นได้ มันต้องผ่านอะไรแค่ไหน ต้องทั้งบด ทั้งนวด ทั้งนึ่ง ทั้งตาก ต้องทอด ไฟต้องแรง น้ำมันต้องร้อนพอเหมาะ สำหรับคนอื่นมันเป็นแค่ข้าวเกรียบ ของกินเล่น แต่สำหรับฉัน มันเป็นชีวิต จิตใจ มันเป็นศิลปะ ไม่ใช่งานสั่วๆ ลวกๆ เข้าใจมั้ย”
น่านฟ้ากับมัศยาอึ้ง ป้ามะลิปาดน้ำตา
“จบแล้ว ไปได้ ออกจากบ้านแล้วปิดประตูรั้วด้วย”
“ป้าครับ ให้โอกาสผม ให้ผมได้สืบทอดศิลปะในการทำข้าวเกรียบของป้าให้คนในโลกนี้รู้คุณค่าของของกินเล่นชิ้นเล็กๆ แบบนี้ด้วยนะครับ”
น่านฟ้าคุกเข่าลง มัศยาคุกเข่าตาม
“ได้โปรดนะคะป้า ช่วยพวกเราด้วย ให้โอกาสเราด้วย”
ป้ามะลิมองสองคนแล้วยิ้มขำ
“นังหนูนี่ทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง สมัยก่อนเราทำงานโรงงานทำข้าวเกรียบมีโชคด้วยกัน ทำมาทั้งชีวิต แล้วสุดท้ายก็ไม่เห็นมีอะไร อยู่ติดกับโรงงานจนตาย”
น่านฟ้ากับมัศยามองหน้ากัน
“เพื่อนของป้าชื่ออะไรจ๊ะ”
“เดี๋ยวนึกก่อน สมัยก่อนสนิทกันมาก มันซื่อสัตย์กับเจ้าของโรงงานสุดชีวิต ใครว่าไม่ได้เลย มันชื่อ เอ่อ สมใจ”
“สมใจ”
มัศยากับน่านฟ้าอุทานพร้อมกัน
“ใช่ สมใจ ทำไม ตื่นเต้นอะไรกัน”

น่านฟ้าและมัศยาหันมามองหน้ากันอย่างมีความหวัง
 
จบตอนที่ 5 
กำลังโหลดความคิดเห็น