xs
xsm
sm
md
lg

บางระจัน ตอนที่ 16

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บางระจัน ตอนที่ 16

จันทร์ เฟี้ยม เฟื่อง แฟง และเหล่าผู้หญิงช่วยกันขนดาบมาขัดล้างกันชุลมุน สไบนำพวกสาวๆตักน้ำมาเทใส่ตุ่ม อย่างเหงาๆ

จวงเดินถือดาบพ่อใหญ่แสงเข้ามาเงียบๆด้านหลัง....ก่อนจะเรียกเบาๆ
"พี่สไบจ๊ะ"
สไบหันมา...เห็นจวงถือดาบพ่ออยู่งงๆ
"ดาบพ่อใหญ่แสงจ๊ะ"
"ทำไมยังอยู่."
"ฉันไม่กล้าหลอมมัน...อยากจะให้พี่สไบเก็บไว้ คิดว่าถ้าพี่สไบมีดาบพ่อใหญ่แสงอยู่จะทำให้พี่สไบอุ่นใจ"
สไบพยายามกลั้นน้ำตา
"ขอบน้ำใจนะจวง แต่ถ้าจำเป็นก็หลอมมันไปเถอะ"
"หลวงยุทธสุรเดชแจ้งว่าเพลานี้นวโลหะพอแล้ว พี่สไบเก็บไว้เถอะจ๊ะ"
สไบยิ้มให้อย่างเข้าใจจวง...ก่อนจะขอตัว
"พี่ฝากจวงไว้ก่อนนะ ขอไปตักน้ำต่อ"

สไบเดินออกไป จวงมองตามอย่างสงสาร

สไบกับชาวบ้านหญิงหาบกระชุเปล่ากลับมาตักน้ำต่ออีก ต่างช่วยกันเต็มที่ บางคนเสร็จก่อนรออยู่ สไบรีบเร่ง

"รีบไปก่อนได้เลยจ๊ะ พวกพ่อค่ายกำลังเร่งพิธีอยู่"
ชาวค่ายหญิงรีบพากันหาบออกไปก่อน ปล่อยสไบให้ตักน้ำอยู่คนเดียว
สไบตักเสร็จรีบเดินกลับ....แล้วชะงัก นึกไม่ถึง
"พี่ใจ"
ใจยืนนิ่งไม่ไหวติง สไบรีบทิ้งหาบ เอาไม้คานเข้าตี ใจไวกว่า รวบตัวสไบไว้
"ไปกับพี่เถิดสไบ อย่าร้อง"

ใจเอามือปิดปากสไบดึงสไบทางสะพาน

ใจดึงสไบข้ามสะพานมาในมุมที่ห่างจากทุกคน

"แกเข้ามาได้ยังไง"
"สไบ ฟังพี่ก่อน"
สไบตบหน้าใจอย่างแรง ใจอึ้ง
"บอกมาว่าแกลอบเข้ามาที่นี่ได้ยังไง ไอ้ไส้ศึก ไอ้คนทรยศ"
ใจบีบแขนสไบแน่น มองสไบด้วยสายตาจริงจัง
"ฟังพี่ สไบ ไม่ใช่แค่ในค่ายนี้ ในกรุงศรีก็มีไส้ศึกอังวะอยู่เต็มไปหมด แม่ทัพอังวะถูกสั่งให้ลบชื่อกรุงศรีอยุธยาลงให้ได้"
สไบส่ายหน้าไม่อยากฟัง แต่ใจจับไหล่สไบมาเผชิญหน้า
"ทัพอังวะเตรียมการรบมาอย่างดี จะไม่ถอยเหมือนศึกที่แล้ว ต่อให้น้ำหลากท่วมเต็มนอกกำแพงกรุงศรี ก็จะไม่มีวันถอย กรุงศรีอยุธยาคงสิ้นไปจากสุวรรณภูมิแน่ครานี้"
สไบฟังด้วยความตกตะลึง
"เพลานี้ กรุงศรีกำลังเข้าตาจน ทัพอังวะล้อมรอบกำแพงกรุงศรีทุกด้าน คนในกำแพงกำลังจะอดตาย"
"ไม่จริง แผนของพวกแกไม่มีวันเป็นจริง"
"สไบเชื่อพี่ ไม่ใช่แค่ค่ายบ้านระจัน แม้กรุงศรีอยุธยาก็ต้องแตก แผ่นดินอยุธยาจะต้องเสียให้แก่อังวะ"
ใจพูดด้วยเสียงเชื่อมั่น แต่สไบฟังแล้วแทบทรุด ทรงตัวไว้ไม่อยู่
"ไม่...ไม่จริง"
"หนีไปกับพี่ ค่ายระจันกำลังจะถูกยิงถล่มจากปืนใหญ่ ค่ายระจันไม่มีทางรอดแล้ว"

สไบเสียใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้น ใจพยายามดึงสไบลุยน้ำไป

ทัพกับทุกคนพนมมือ ฟังเสียงสวดมนต์ของหลวงพ่อธรรมโชติในพิธีหล่อปืน พระอาจารย์ธรรมโชติถือสายสิญจน์ที่ผูกโยงกับแม่พิมพ์ปืนใหญ่ เพ่งสมาธิสวดปลุกเสกดังไปทั่วศาลา พ่อค่ายและคนอื่นๆนั่งพนมมือ ตั้งจิตอยู่รายรอบ

พระศักดิ์สงครามให้พนักงานยกเบ้าหลอมที่เหล็กละลายแดงฉาน ปีนขึ้นไปบนนั่งร้านเทใส่พิมพ์ปืนใหญ่
จู่ๆแสงฟ้าก็สว่างวาบจนแสบตา เสียงฟ้าร้องดังขึ้น
ทุกคนตกใจ บางคนหันไปมองตามแสง ทันใดนั้น สายฟ้าก็ผ่าลงที่ต้นไม้ใกล้ๆลานหล่อปืน เสียงกึกก้องกัมปนาท ทุกคนตกใจ เห็นต้นไม้ไฟลุกไหม้ในพริบตา
ทัพกับทุกคนสายตาประหวั่น พระยารัตนาธิเบศร์ถึงกับลุกขึ้นด้วยไม่เคยเห็นอาเพศเช่นนี้มาก่อน
หลวงพ่อธรรมโชตินิ่งสงบ หยุดสวดไปชั่วขณะ ลืมตามองเหล็กที่ไหลลงเบ้าหลอมปืนใหญ่ ประหวั่นใจ
"อยู่ๆฟ้าผ่าอะไรกัน ลมฝนก็ไม่มี"
สิ้นเสียงพระยารัตนาธิเบศร์ แสงฟ้าก็สว่างวาบขึ้นอีก สายฟ้าฟาดลงที่ต้นไม้ใกล้ๆกันอีกต้น
แฟง เฟื่อง จวงกับชาวบ้านหญิงที่นั่งอยู่ ตกใจพากันปิดหู หวีดร้อง กอดกันด้วยความตกใจ
กาน้ำพระยารัตนาธิเบศร์กระเด็นตกจากตั่ง แตกกระจาย เพราะแรงสั่นสะเทือน

พระยารัตนาธิเบศร์ตกใจ แต่พยายามระงับสติ ทัพใจหาย
 
อ่านต่อหน้า 2

บางระจัน ตอนที่ 16 (ต่อ)

ใจดึงสไบข้ามน้ำมาขึ้นอีกฝั่งหนึ่ง สไบตกใจตัวสั่น หันไปมองหน้าค่าย ใจกระชากแขนสไบเดินต่อ

"สไบ เชื่อพี่ หนีไปกับพี่เดี๋ยวนี้ พี่มีอุโมงค์ลับ พาสไบหนีได้"

ทัพลุกขึ้นมองฟ้า ฟ้าแลบ ฟ้าผ่าหายไป ไม่มีท่าทีจะผ่าลงมาอีก พระยารัตนาธิเบศร์มองไปที่หลวงพ่อธรรมโชติที่นั่งสงบนิ่ง
"นิมนต์ทำพิธีกันต่อเถอะ หลวงพ่อ"
หลวงพ่อธรรมโชติมองไปที่ทัพและนักรบทุกคน
สังข์ดึงทัพนั่งลงแล้วพูดให้ได้ยินกันสองคน
" ข้าว่าฤกษ์ไม่ดีเสียแล้ว เอ็งดูหน้าหลวงพ่อธรรมโชติซี"
"ไม่มีอะไรหรอก"
"เร่งพิธีเถิดหลวงพ่อ อย่างไรเราก็ต้องหล่อปืนใหญ่ให้ชาวค่ายระจันให้ได้" พระยารัตนาธิเบศร์บอก
พระอาจารย์ธรรมโชติหลับตาลง ตั้งจิต แต่ยังไม่สวด
พระยาศักดิ์สงครามเร่งให้พนักงานไปยกเบ้าหลอมเบ้าใหม่ขึ้นมา แล้วเดินมาหาทัพ ทัพทรุดลงกับพื้น
"หากหล่อปืนใหญ่ครั้งนี้สำเร็จ นับว่าเป็นความสามารถของเจ้าโดยแท้นะพ่อทัพ และยิ่งถ้าชาวระจันรบชนะศึกอีก เอ็งจะได้ความดีความชอบไม่น้อยทีเดียว"
"กระผมมิได้หวังความดีความชอบอันใดเลยขอรับ คุณพระ"

พระศักดิ์สงคราม มองทัพอย่างเอ็นดู

พระศักดิ์สงคราม มองทัพอย่างเอ็นดู

"ที่ทำลงไป เพราะไม่อยากเห็นแผ่นดินเราต้องถูกย่ำยีจากคนเมืองอื่น ภาษาอื่น ที่นี่เป็นผืนดินเกิด ได้อยู่ ได้ทำนาปลูกข้าวหาเลี้ยงตัวมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จะปล่อยให้คนชาติอื่นเมืองอื่นมาฉกฉวยแย่งแผ่นดินไป ก็เหมือนลูกหลานเนรคุณ ปู่ย่าตาทวดจะสาปแช่งให้ตกนรกหมกไหม้มิรู้กี่ขุม"
พระศักดิ์สงครามรู้สึกปรานี เอามือลูบหัวทัพเบาๆ แล้วเดินไปสั่งการต่อ
พระยารัตนาธิเบศร์ถอนใจหนักๆ ทัพกับผู้ชายทุกคนพนมมือ หลวงพ่อธรรมโชติ เริ่มสวดต่อ
ทัพมองไปที่เบ้าหลอมปืนใหญ่ด้วยแววตาเชื่อมั่นว่าครั้งนี้จะมีชัยชนะ แฟง เฟื่อง จวงกับชาวบ้านหญิงคนอื่นๆ พอได้ยินเสียงสวดของหลวงพ่อธรรมโชติก็สีหน้าดีขึ้น
"พระอาจารย์เริ่มพิธีต่อแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว" เฟื่องบอก
จวงยังมองระแวง
" เมื่อกี้เหมือนฟ้าจะถล่ม"
" สไบหายไปไหน ป่านนี้ยังไม่มา"
เฟื่องถามขึ้น แฟงมองแล้วสังหรณ์ใจ
"ฉันไปตามพี่สไบเอง"
"ฉันไปด้วย"
แฟงเดินเร็วออกไป จวงตาม
เฟื่องมองตามไม่ทันระแวง แล้วหันมาพนมมือเข้าพิธีต่อ

สไบถูกใจลากตัวมาจนพ้นแนวคลองหลังค่าย บริเวณอุโมงค์
"พี่ขุดอุโมงค์ไว้เพื่อพาสไบหนี ไป..กับพี่นะ"
"ไม่ ปล่อย ปล่อยฉัน"

สไบขัดขืน ดิ้นแรง ใจไม่ยอมปล่อย แต่ก็ไม่อาจไปเร็วได้

แฟง จวง เดินมามองหาสไบ เห็นกระชุตักน้ำของสไบตกอยู่ ก็เอะใจ

"กระชุพี่สไบนี่ น่าจะเกิดเรื่องไม่ดีแล้ว" จวงบอก
"พี่สไบ....พี่สไบ"
"รอยเปียกเป็นทางไปทางโน้น "
จวง แฟงรีบตามรอยเปียกน้ำไป เห็นไม้คานสไบตกอยู่ ทั้งคู่ตกใจ
"พี่สไบ พี่สไบอยู่ไหน"
"พี่สไบ พี่สไบเป็นอะไรหรือเปล่า"
แฟงรีบวิ่งข้ามสะพานไปทันที

ทัพและคนอื่นๆ นั่งพนมมือเฝ้าดูพิธีอย่างสงบ พระศักดิ์สงคราม คุมการเท นวโลหะที่หลอมเหลวแล้ว ลงพิมพ์อย่างระมัดระวัง

ใจลากตัวสไบมา แฟง จวง วิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว

"พี่สไบ พี่สไบอยู่แถวนี้หรือเปล่า"
"พี่สไบ พี่สไบอยู่ไหน"
ใจพอได้ยินเสียงแฟง ก็กระชากสไบหลบลงหลังพุ่มไม้ สไบจะร้อง ใจปิดปากสไบ อีกมือดึงมีดที่เหน็บซ่อนเอวออกมา แฟง จวง เดินร้องหามาใกล้
แฟงร้องเรียก
"พี่สไบ พี่สไบ"
ใจมองสไบ สไบส่ายหน้า ใจลดเสียงให้ได้ยินสองคน
"พี่ไม่ทำอะไรแฟงกับจวง สไบต้องเงียบ"
สไบต้องหยุดร้อง หยุดดิ้น เพราะห่วงเพื่อน
"อย่าทำแฟง แฟงท้อง"
ใจสีหน้าตกใจ สไบขยับตัวพุ่งออกไป แฟง จวง ได้ยินเสียงด้านหลังก็หันกลับไป
"พี่สไบ"
สไบยืนเก้อ ทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าบอกว่ามีใจอยู่
"พี่สไบมาทำอะไรที่นี่"
ใจมอง เห็นท่าไม่ดีกลัวว่าสไบจะร้องให้ช่วย เลยผลุบหายไปทันที
แฟง จวง รีบเดินไปค้นดูในพุ่มไม้ด้วยความสงสัย แต่ไม่เห็นใครแล้ว แฟงกลับออกมา สไบสีหน้าไม่ดี
"พี่ใจใช่มั้ย"
สไบร้องไห้บอก "จ๊ะ"
"เขากลับมาทำไม"
"แฟง เค้าจะมาพาพี่หนี แต่พี่ไม่ไป"
แฟงจะวิ่งตาม จวงดึงไว้
"อย่าไปแฟง อาจมีพวกทหารอังวะรออยู่"
"ฉันไม่กลัว"
สไบห้าม
"อย่าแฟง อย่าตามไป แฟงกำลังท้องกำลังไส้ห่วงตัวเองก่อน กลับไปบอกพวกผู้ชายให้มาคอยระวังแถวนี้ไว้ดีกว่า พี่ใจเค้าคงหนีไปไกลแล้ว"

สไบห้ามแฟงไว้ ทั้งๆที่ก็ห่วงว่าใจอาจจะยังไม่ไปไหนไกล
 
อ่านต่อหน้า 3

บางระจัน ตอนที่ 16 (ต่อ)

บริเวณป่านอกค่ายบางระจัน
 
ใจวิ่งมาอย่างเร็ว พอถึงมุมหนึ่งที่มีใต้ต้นไม้ใหญ่ มีพุ่มไม้ใบหนา ใจพุ่งไปด้านหลัง เห็นเนินดินที่ถูกปิดไว้ ใจยกซากกิ่งไม้แห้งออก เปิดฝาที่ปิดไว้ เห็นโพรงที่ถูกขุดลึกลงไป ใจมุดลงไปในโพรงแล้วเอากิ่งไม้แห้งปิดบังไว้เหมือนเดิม
ในอุโมงค์มืด ใจคลานมาด้วยความยากลำบาก จนกระทั่งใจคลานมาถึงปากหลุม
 
ใจกระทุ้งแผงปิดออก เห็นแสงแดดส่องเข้ามาเป็นลำ

ใจโผล่ขึ้นมาสูดลมหายใจ เหมือนคนจะหมดลม ก่อนพยายามพยุงร่างตัวเองเดินต่อจนเห็นกองม้าลาดตระเวนของสุกี้นายกองขี่ผ่านไป ใจหมอบ แล้วออกจากที่ซ่อน ใจปัดเนื้อตัวที่เลอะเศษดินเพื่อไม่ให้ใครผิดสังเกต

แฟง เฟื่อง จวงสีหน้าวิตก สไบยืนอยู่ตรงกลางลาน ทัพ สังข์ ขาบเดินเร็วเข้ามา
"หาจนทั่วแล้ว ไม่เจอร่องรอยไอ้ใจเลย" ขาบบอก
"เสียดายแท้ๆ ถ้าเจอฉันจะบั่นคอมันเอง" สังข์ว่า
"มันคงกลับมาดูลาดเลา" แฟงบอก
สไบสีหน้าไม่ดี ทุกคนมอง
"มันพูดบอกอะไรบ้างหรือเปล่า สไบ" ขาบถาม
"เค้าบอกว่า ค่ายระจันมิมีวันรอด อังวะจะเอาปืนใหญ่ยิงถล่มจนแหลก และกรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกลบชื่อไปด้วย"
"ชาติชั่ว หากเป็นอย่างมันว่า ศึกนี้เหี้ยมโหดกว่าคราวบุเรงนองยกมาเสียอีก" สังข์ว่า
"เค้ายังบอกอีกว่าถึงน้ำหลากท่วม ทัพอังวะก็จะไม่ถอย"
จวงบอก
"นี่พวกมันจะอยู่กันจนเลยหน้าน้ำหลากเชียวหรือ"
"มันรู้เรื่องเรากำลังหล่อปืนใหญ่มั้ย" ทัพว่า
"น่าจะรู้"
"มันคงคิดว่าเราไม่มีทางสู้" สังข์บอก
เฟื่องบอก
"เค้ารู้ว่าเราต้องสู้ เค้าถึงเสี่ยงเข้ามาเอาตัวสไบ"
ทุกคนมองเฟื่องที่เห็นต่าง เฟื่องมองไปที่สไบ
"เค้าคงรักสไบจริงๆ"
สไบส่ายหน้าไม่ยอมรับ กลัวทุกคนระแวง
"ฉันจะไม่มีวันหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว ยังไงฉันก็จะสู้กับทุกคนอยู่ในค่ายนี้"
"เรากำลังจะมีปืนใหญ่ไว้ยิงพวกมัน.....ให้มันรู้ว่าคนระจันนั้นสู้ขาดใจ"

แฟงยิ้มกับทุกคนด้วยความเชื่อมั่น

ทางด้านลานวิหารหลวงพ่อธรรมโชติ เวลาเช้า พระศักดิ์สงครามและคณะเดินตรวจพิมพ์ปืนใหญ่ทั้งสองกระบอก รอเวลาถอดพิมพ์ ทุกคนนั่งมองอย่างใจจดจ่อ

หลวงพ่อธรรมโชติกำลังนั่งวิปัสสนาอยู่ในวิหาร ปรากฏเป็นภาพในนิมิตร เห็นแสงไฟลุกวาบขึ้นเบื้องหน้า
บ้านเรือนน้อยใหญ่ในค่ายถูกระเบิด ไฟเผาผลาญไปจนหมด ชาวบ้านในค่ายวิ่งหนีการสังหารจากพวกอังวะอย่างน่าเวทนา เสียงหวีดร้องโหยหวนของชาวค่ายร้องดังระงม
หลวงพ่อลืมตาขึ้นมอง ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเหมือนในนิมิต พระยารัตนาธเบศร์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆหันไปมองอย่างแปลกใจ หลวงพ่อธรรมโชติสีหน้าวิตกกับลางร้ายบอกเหตุหลายอย่างที่เกิดขึ้น
"เห็นทีคงหนีชะตาแผ่นดินไม่พ้นเสียแล้ว"
หลวงพ่อธรรมโชติมองไปที่องค์พระพุทธรูปประธาน ขยับลุกขึ้นกราบ
พระยารัตนาธิเบศร์ขยับเข้าใกล้
"พระคุณเจ้าเกิดนิมิตอันใดหรือ"
พระอาจารย์ธรรมโชติเดินไปที่หน้าต่าง มองไปยังศาลาการเปรียญที่ชาวค่ายกำลังนั่งรอแกะพิมพ์ปืนใหญ่อยู่ พระอาจารย์เพ่งมองไปที่ลานค่ายอย่างผู้มองเห็นอนาคต
"โยมเจ้าคุณจงพาคณะกลับกรุงศรีอยุธยาเถิด โยมเจ้าคุณทำดีที่สุดแล้ว"
"แต่กระผมอยากจะอยู่รอแกะพิมพ์ก่อนพระคุณเจ้า"
"โยมไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว รีบกลับไปป้องกันกรุงศรีเถิด ค่ายบางระจันนี้เป็นหน้าที่ของชาวค่ายเอง"
"นี่คือนิมิตรที่พระคุณเจ้าได้เห็นหรือ"
"ชะตาชีวิตของคนเกิดแต่กรรม...สรรพสิ่งในโลกล้วนเป็นไปตามกรรม กลับไปเถิด เราต่างมีกรรมต่างวาระกัน"
"แล้ว...ชาวค่ายจะรู้สึกอย่างไร เขาจะเสียขวัญ"
"ก็..อย่าบอก พาคณะออกไปทางหลังค่ายเงียบๆ"

พระยารัตนาธิเบศร์นิ่งเงียบ ก่อนจะคุกเข่าพนมมืออย่างยอมจำนน...

พระยารัตนาธิเบศร์นิ่งเงียบ ก่อนจะคุกเข่าพนมมืออย่างยอมจำนน...

"ขอกระผมได้พบกับไอ้ทัพสักคนได้มั้ย"
"อาตมาจะให้มันตามไปพบที่ป่าหลังค่าย"
พระยารัตนาธิเบศร์ก้มลงกราบสามหน พระอาจารย์ธรรมโชติยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างนิ่ง ไม่มองพระยารัตนาธิเบศร์แม้แต่นิดเดียว
เวลาต่อมา ทัพควบอ้ายเลามาอย่างรวดเร็วจนมาถึงกลุ่มพระยารัตนาธิเบศร์ที่ยืนรออยู่ใต้ต้นไม้กับกองทหารม้า ทัพหยุดม้ามองเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ลงม้ามากราบพระยารัตนาธิเบศร์อย่างสำนึกในบุญคุณ
พระยารัตนาธิเบศร์มองอย่างเมตตา
"พระคุณเจ้าธรรมโชติคงบอกเหตุผลเอ็งแล้วนะว่าทำไมข้าต้องรีบกลับกรุงศรี"
"ขอรับ"
"ข้าไม่อาจกลับกรุงศรีโดยไม่ลาเอ็ง อยากขออภัยเอ็ง...ที่ช่วยได้เท่านี้จริงๆ"
"แค่นี้ก็เป็นพระคุณแก่เกล้ากระผมอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว อย่าร่ำไรอาลัยเกล้ากระผมเลย หนทางเข้ากรุงศรีอยุธยาคงแคบลงกว่าเดิม ท่านเจ้าคุณและคณะจะมิปลอดภัย"
"เอ็ง..และชาวค่ายระจันนี้ หัวใจมันกล้าเกินคน เป็นบุญข้านัก..ที่ได้มีโอกาสมาเห็นหน้าพวกเอ็งทุกคน"
"เกล้ากระผมขอสาบานว่าจะขอปกป้องแผ่นดินนี้ด้วยชีวิต"
พระยารัตนาธิเบศร์ ยกมือขึ้นไหว้จบเหนือหัว
"ข้าก็จะขอให้สัตย์สาบานกับเอ็งว่า ข้าก็จะรักษาแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาด้วยชีวิตข้าเช่นกัน"
"อย่างไรเสียแผ่นดินกรุงศรีก็สำคัญกว่าชีวิตพวกเกล้ากระผมมากนัก"
"ไม่มีแผ่นดินไหนจะสำคัญกว่าแผ่นดินของเรา...เรายอมตายเพราะมันเป็นแผ่นดินของเรา"
ทัพก้มลงกราบ ไม่ยอมเงยหน้า
"เราคงต้องเร่งออกเดินทางแล้วท่านเจ้าคุณ หนทางมันอันตรายนัก"
พระยารัตนาธิเบศร์ตัดสินใจขึ้นม้าควบออกไปทันที พระศักดิ์สงครามและคณะควบตามไปอย่างรวดเร็ว

ทัพค่อยๆเงยหน้ามองตามน้ำตานองหน้า...เงียบ ไม่สะอื้น อย่างรู้ชะตาตัวเอง
 
อ่านต่อหน้า 4

บางระจัน ตอนที่ 16 (ต่อ)

พนักงานตีกลองศึก พวกพ่อค่ายวิ่งขึ้นมาบนระเนียด
 
ทัพควบม้ามาจากหลังค่าย สังข์ควบม้ามาจากอีกทางหนึ่ง ทั้งทัพและสังข์ วิ่งขึ้นไปหาพวกพ่อค่ายบนระเนียดมองตรงไปข้างหน้า...นอกค่าย แล้วใจหายวาบ เห็นหอปืนใหญ่ของสุกี้ และกองทหารยืนประจันหน้าอยู่เต็มทุ่ง
สุกี้นายกองควบม้าผ่านแถวทหารที่ยืนอยู่หน้าหอปืนใหญ่มาที่จอกยีโบ
"อองนายไปไหน สยา"
"คนใจอ่อน ไม่จำเป็นต้องมาอยู่หน้าทัพ"
"สยา ต่อไปนี้ข้าจะขอเป็นคนตัดสินโทษอองนายเอง คนใจอ่อนจะเป็นกองสอดแนมไม่ได้"
จอกยีโบไม่ตอบ สุกี้นายกองเงยขึ้นไปมองหอปืนที่สูงตระหง่านข้างหลัง อย่างแค้นใจ
"วันนี้ปืนใหญ่ข้า....จะได้ยิงข้ามกำแพงค่ายมันได้เสียที กองปืนใหญ่...พร้อม.....ยิง"

ปืนใหญ่บนหอ ระดมยิงออกไปอย่างกับห่าฝน

ทัพ สังข์ และพวกพ่อค่ายที่ยืนอยู่บนระเนียดค่ายยังไม่ทันตั้งตัวกระสุนปืนใหญ่ก็ตกลงมาใกล้ๆ ต่างพากันหลบชุลมุน

กระสุนปืนใหญ่ยิงเข้าตกในลานค่ายระเบิดขึ้นไปหลายลูก ชาวค่ายต่างวิ่งหนีตายอลหม่าน ยามค่ายตีกลองอยู่บนหอขณะที่ระเบิดปืนใหญ่ตกไปทั่วค่าย ลูกปืนใหญ่ลูกหนึ่งพุ่งมาโดนหอกลองเข้าอย่างจัง ระเบิด ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง
ทัพและพวกพ่อค่ายหันไปมองใจหาย
"ต้องเอาปืนใหญ่มายิงสู้มัน" โชติบอก
"ไปแกะพิมพ์ปืนใหญ่กันเถอะ" ทองแก้วบอก
ทองแก้ววิ่งนำลงไป โชติวิ่งตาม ในขณะที่ปืนใหญ่ยังยิงระดมมาไม่ขาดสาย
ดอกไม้บอก
"ไปช่วยพ่อทองแก้วเถิดพวกเรา"
ดอกไม้วิ่งไป อินกับเมืองวิ่งตาม
ทองแสงใหญ่รีบบอก
"ไอ้ทัพ ไปห้ามซิ ยังไม่ถึงเพลาแกะพิมพ์ ยังแกะไม่ได้W
ทัพตัดสินใจวิ่งตามไปทันที สังข์กำลังงงว่าจะเอาอย่างไรดี...ก็พอดี
พันเรืองสั่ง
"พวกเรา..เอาไม้ค้ำประตูค่ายไว้"
สังข์รีบโดดลงไปช่วยพวกชาวค่าย ที่เอาเสาไม้มาค้ำประตู จวงวิ่งเข้ามาด้วยความเป็นห่วงสังข์
"พี่สังข์."
สังข์เห็นจวงวิ่งมาก็ตกใจ รีบไปดึงจวงหลบ
"ออกมาที่หน้าค่ายนี่ทำไม"
"ก็ฉันเป็นห่วงพี่"
"รีบกลับไปที่หลังค่าย หน้าค่ายนี่มันอันตราย"
"พวกอังวะมันยิงปืนใหญ่มาอย่างกับห่าฝน เราจะรอดไปได้อีกกี่มื้อจ๊ะพี่"
"พวกพ่อค่ายกำลังไปเอาปืนใหญ่มายิงสู้กับมัน จวงกลับไปอยู่กับแม่เถอะ...ไป"
"ให้ฉันอยู่กับพี่ไม่ได้หรือ"
"ไม่ได้...ไป ไปดูแม่เถอะ"
"พี่สังข์"
จวงร้องไห้โผเข้ากอดสังข์แน่นไม่อยากจาก...สังข์เข้าใจความรู้สึกจวงจึงไม่กล้าไล่อีก ทองแสงใหญ่ หันมามองพันเรืองอย่างขอความเห็น
"เอาไงดีพ่อพันเรือง"
"ไม่เอาปืนใหญ่สู้ เราจะใช้อะไร"

ทองแสงใหญ่เองก็จนแต้ม

สังข์ ขาบ เคลิ้ม เอิบ ช่วง และเหล่านักรบที่ช่วยกันพาชาวบ้านหลบมาจากหน้าค่าย เสียงปืนใหญ่ยังคงดังอยู่หน้าค่าย ทองแก้ว โชติ ดอกไม้ อิน เมือง วิ่งเข้ามา

"แกะพิมพ์ปืนใหญ่ ช่วยกันแกะพิมพ์ปืนใหญ่ออกเร็ว"
ชาวบ้านชายที่อยู่แถวนั้นรีบวิ่งขึ้นไปบนนั่งร้านทันที
สังข์ ขาบ เคลิ้ม เอิบ ช่วง ยืนมองงงๆ
สังข์บอก
"ไหนว่าวันเพ็ญอาสาฬหะบูชาโน้นถึงจะแกะพิมพ์ได้ไงพ่อ"
ดอกไม้บอก
"ต้องแกะเดี๋ยวนี้ ต้องเอาปืนใหญ่ไปสู้กับมัน เร็ว...ช่วยกัน"
พวกพ่อค่ายพากันวิ่งขึ้นไปบนนั่งร้านปืนใหญ่ ถอดไม้ปะกบ
ทัพวิ่งเข้ามา
"อย่า...อย่าแกะพิมพ์ พ่อทองแสงใหญ่ยังไม่ให้แกะ"
ชาวบ้านชะงักมองทัพ
อินถาม
"เอ็งไม่เห็นหรือพวกอังวะมันเอาปืนใหญ่ยิงถล่มค่ายเรา ดาบเอ็งจะไปสู้อะไรปืนใหญ่ได้"
ชาวบ้านบอก
"ใช่...อย่าไปฟังมัน ช่วยกันเร็ว เดี๋ยวได้ตายกันหมด"
ชาวบ้านไม่ฟังเสียงช่วยกันเอาฆ้อนใหญ่มารื้อนั่งร้านทันที
เมืองบอก
"ปืนใหญ่เท่านั้นจะสู้ปืนใหญ่ได้ แกะพิมพ์เร็วกว่ากำหนดไม่กี่วันเอง ไม่เป็นไรดอก"

ทัพไม่อาจห้ามได้ ยืนมองอย่างหมดหวัง

ชาวบ้านวิ่งหนีระเบิดหลบเข้ามาอยู่ในศาลาเก็บของข้างวิหาร ฟักพาจันทร์กับเฟี้ยมตามเข้ามา ทุกคนตกใจทำอะไรไม่ถูก

"หลบมาทางนี้แม่"
ปลิวตกใจร้องไห้กอดผัว
"ลูกละ ลูกอยู่ไหน"
"ก็อยู่กับแกนะซิ" โย่งบอก
"อยู่กับแก"
"ไม่ได้อยู่กับฉัน"
ปลิวกับโย่งกอดกันร้องไห้ที่รู้ว่าลูกหายไป
เฟี้ยมนึกถึงเฟื่องกับแฟง
"เฟื่องกับแฟงละฟัก น้องอยู่ไหน"
ฟักนึกได้จะวิ่งออกไป
เฟี้ยมห้าม
"เอ็งจะไปไหนฟัก อย่าไป"
"ฉันจะไปตามน้อง"
"ตามทัพกับจวงให้น้าด้วย"
ฟักจะวิ่งออกไป ชะงัก
ปลิว / ผัวปลิว / ลูกปลิว 2 คน / ปริก / ปลวก / โปรย และคนอื่นๆพากันวิ่งเข้ามา
ปริกบอก
"ตายแน่ คราวนี้พวกเราตายแน่ๆ"
"เราไม่รอดแล้ว คงถูกมันฟันคอหมดทั้งค่าย" ปลวกว่า
จันทร์ร้องไห้กอดกับเฟี้ยมด้วยความตกใจ

"ค่ายเราจะแตกแล้วใช่มั้ยเฟี้ยม ค่ายระจันจะแตกแล้วใช่มั้ย"
 
อ่านต่อตอนที่ 17
กำลังโหลดความคิดเห็น