เงาใจ ตอนที่ 9
ในบรรยากาศสดใสยามเช้าตรู่ พระอาทิตย์ลอยพ้นเหลี่ยมเขาสูงสาดแสงแรกของวัน ทั่วทั้งไร่ธนาทรถูกถูกปกคลุมด้วยแสงอ่อนอุ่นงามตานั้น
รุทรหลับสบายอยู่ในห้องนอน สักครู่หนึ่งจึงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา มองไปที่เตียงฝั่งเมทินีก็พบว่าผ้าห่มหมอนถูกพับเก็บเรียบร้อย วาทิตตัวปลอมลุกขึ้นมองไปรอบๆ ห้องแต่ก็ไม่เห็น เมื่อมองเลยไปที่ห้องน้ำ เขานึกว่าเมทินีอยู่ในห้องน้ำ จึงเดินไปแกล้งเคาะประตูรัวแรง
“เม ผมปวดท้อง เร็วๆหน่อยนะ”
รุทรอมยิ้มขำที่ได้แกล้งเมทินี แล้วจะเดินไป แต่รู้สึกผิดสังเกตว่าทำไมเงียบเลยเดินกลับไปเคาะประตูอีกครั้ง
“เม...เม”
รุทรตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป มองจนทั่วแต่ไม่เห็น ชายหนุ่มขมวดคิ้วสงสัยว่าเมทินีไปไหนแต่เช้า สุดท้ายรุทรเดินกลับมาที่หัวเตียงหยิบโทรศัพท์กดโทร. ออก แต่เมทินีไม่รับสาย รุทรเปลี่ยนใจโทร.หาทิปปี้
“ทิปปี้ เช้านี้เธอกับเมออกกำลังกายที่ไหน ไม่ได้ไป งั้นรู้ไหมเมไปไหน...ถ้างั้นก็ไม่เป็นไร เธอนอนต่อเถอะ”
รุทรกดวางสายด้วยสีหน้าสงสัย
เอื้องคำกับจั่นเป็งกำลังทำความสะอาดโต๊ะเก้าอี้อยู่ในห้องทานข้าว เตรียมตั้งโต๊ะมื้อเช้า อีกมุมกินรีกำลังจัดเตรียมยาอยู่ รุทรเดินเข้ามาในนี้ เขายิ้มทักทุกคน
กินรีเห็นก่อนใคร “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณวาทิต วันนี้มาเร็วจังออกกำลังกายเสร็จแล้วเหรอคะ”
“เปล่า เพิ่งตื่นน่ะ เห็นเมหรือเปล่านรี”
“เช้านี้นรียังไม่เห็นนะคะ เค้าไปออกกำลังกายกับทิปปี้หรือเปล่า”
“ถามแล้วทิปปี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
จั่นเป็งรีบเดินมาหารุทร
“จั่นเป็งเห็นถือตะกร้าเดินออกไปแต่เช้าค่ะ สงสัยอยู่แปลงดอกไม้”
“ขอบใจนะ”
รุทรรีบเดินออกไป จั่นเป็งกลับมาที่โต๊ะอาหารเอื้องคำเลยเขกหัวโป๊ก
“อ้าว ป้า สับหัวฉันทำไม” จั่นเป็งอู้คำเมือง สับหัว หมายถึง เขกหัว
เอื้องคำค้อนควัก “ไปบอกคุณวาทิตทำไม”
จั่นเป็งเซ็ง “เอ้า ป้ากับฉันเห็นเหมือนๆ กันแล้วทำไมจะไม่บอกล่ะ”
“ก็ข้าหมั่นไส้นี่ แหม ก็ตั้งแต่เกิดเรื่องออกไปกับคุณกูรวันนั้นก็เห็นสำนึกตัวดีตามติดคุณวาทิตยังกับปลิง แล้วทำไมวันนี้ดันอยากทำตัวสำคัญให้คุณวาทิตตามหาล่ะ” แม่บ้านสูงวัยนึกได้ “ต๊าย นี่ไม่ใช่แอบไปหาคุณกูรนะ”
กินรีที่นั่งทำงานอยู่หยุดชะงักทันที จนเผลอวางของในมือโดยไม่ได้ดูจนทำของตก เอื้องคำกับจั่นเป็งมองเป็นตาเดียว กินรีรีบเก็บของเช็ด รวบใส่กล่องยกไปเก็บ แล้วรีบเดินออกไป
เอื้องคำกับจั่นเป็งมองหน้ากันงงๆ
“คุณนรีเขาอารมณ์ไม่ดีเหรอป้า แต่เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่นี่ แล้วนี่เขาไปไหน”
“ถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร ยุ่งไปซะทุกเรื่องเลยนะเอ็ง”
จั่นเป็งหน้างอ ทำอะไรก็โดนด่าเลยหันไปทำงาน เอื้องคำมองตามกินรีไปด้วยความสงสัยเหมือนกัน
จั่นเป็งสะกิด “ป้า ด่าฉันน่ะ ป้าก็อยากรู้เหมือนกันใช่ไหมว่าคุณนรีดูแปลกๆ”
เอื้องคำเผลอปาก “เออ...เอ๊ะ อีนี่ อีต๋ายกั๊ด”
เอื้องคำด่าพร้อมกับเงื้อมือ จั่นเป็งวิ่งหนีหายไปแล้ว
เมทินีอยู่ที่แปลงดอกไม้ กำลังตัดดอกไม้เก็บใส่ตะกร้า รุทรเดินมาแล้วมายืนที่ศาลาใกล้ๆ แปลงดอกไม้
พอเมทินีเห็นรุทรก็หันไปทางอื่น รุทรเอาผ้าปิดจมูกมาคาดแล้วเดินมาหาเมทินีที่กลางแปลงดอกไม้
“เมตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกผม จะได้มาด้วย”
“ไม่อยากปลุก”
รุทรมองจับสังเกต “เมเป็นอะไร ทำไมดูแปลกๆ”
“แปลกยังไง”
“ก็นี่ไง พูดกับผมก็ไม่เหมือนเดิม ตื่นมาก็ไม่รอผมเหมือนทุกครั้ง”
เมทินีพูดย้อนโดยไม่มองหน้า “เหมือนเดิมเหรอ? เธอเองยังไม่เหมือนเดิมเลยนี่”
“ก็ผมป่วย”
“ฉันรู้” เมทินีเดินหนี
รุทรเดินตาม “นี่ตกลงเมเป็นอะไร”
“ฉันไม่เป็นอะไรทั้งนั้น ส่วนเธอ อยากเป็นอะไรก็เป็นไปเถอะ ฉันไม่สนใจแล้ว”
อีกมุมไกลออกไป กินรีเดินมาแอบดู พอเห็นรุทรยืนคุยกับเมทินีสองคน ก็ยิ้มดีใจที่ไม่เห็นอังกูร
ฝ่ายรุทรยังคงหงุดหงิดใส่เมทินี
“นี่เมจะหาเรื่องผมแต่เช้าเหรอ” เมทินีจะเดินหนีแต่รุทรดึงแขนไว้ “เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องวันนี้”
เมทินีพยามสะบัดแต่รุทรไม่ปล่อย
กินรียักไหล่เห็นไม่ใช่เรื่องของตัวเองจะเดินกลับ แต่ได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจึงหันกลับไปดู เห็นอังกูรขับรถมาจอดที่แปลงดอกไม้ โดยอังกูรรีบลงไปหารุทรกับเมทินี
“เม มีอะไรหรือเปล่า”
เมทินีสะบัดแขนอย่างแรงจากรุทรแล้วไปหาอังกูร “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ไปกันเถอะเมตัดดอกไม้เสร็จแล้ว”
รุทรถามเสียงขุ่น “จะไปไหนกัน”
เมทินีบอกเสียงเรียบ “ธุระ”
“ผมไม่ให้ไป”
อังกูรเสแสร้งสร้างภาพทันที “เม ถ้าวาทิตไม่พอใจพี่ว่าเรายกเลิกก็ได้นะ”
“ไม่ค่ะพี่กูร แผนของเราจะไม่มีการยกเลิกเพราะคนอื่น”
รุทรฉุนกึก “คนอื่นเหรอ มันจะมากไปแล้วนะเม”
เมทินีไม่สนใจจะเดินไป รุทรรีบคว้าข้อมือเมทินีแล้วจับไว้แน่น เมทินีจ้องหน้ารุทรโดยไม่กลัวเกรง
“ปล่อยฉันนะวาทิต”
อังกูรแทรกขึ้น “วาทิตปล่อยเมเถอะ”
“พี่กูรไม่เกี่ยว” รุทรหันไปหาเมทินียิ้มกวน “ส่วนเม ยังไงผมก็ไม่ปล่อย...เพราะถ้าปล่อยก็หลุดสิ”
เมทินียิ้มกวนกลับ “จับก็หลุดได้”
พูดจบเมทินียกข้อศอกทั้งๆ ที่มือรุทรยังจับอยู่ ศอกเข้าปลายคางของรุทรอย่างจัง รุทรร้องอ๊ากเห็นดาวหงายเงิบไปเลย
เมทินีรีบจูงอังกูรวิ่งไปขึ้นรถ “ไปเร็วพี่กูร”
พอเห็นทั้งคู่จะขึ้นรถหนีไป รุทรก็รีบลุกขึ้นวิ่งตามแต่ไม่ทัน ได้แต่ยืนฮึดฮัดเจ็บใจอยู่ตรงนั้น
ฝ่ายกินรีกำมือแน่น มองตามรถอังกูรที่วิ่งออกไปด้วยความเจ็บใจ และโกรธสุดๆ
อังกูรขับรถมาตามถนนหน้าไร่ธนาทร มีเมทินีนั่งหน้าบึ้งไม่พูดไม่จาอยู่ข้างๆ
“ตอนที่เมโทร.ไปถามว่าพี่มีนัดลูกค้าวันนี้หรือเปล่า พี่ก็งงนะว่าทำไมเมอยากไป แต่พอเห็นเมทะเลาะกับวาทิต พี่เลยเดาว่าเมกำลังปั่นหัววาทิตใช่ไหม”
“เมขอโทษที่ดึงพี่กูรมาลำบากด้วย”
อังกูรยิ้มสร้างภาพแสนดี “ไม่เป็นไรหรอกเมพี่เข้าใจ พี่บอกแล้วไงว่าจะเป็นพี่ชายที่ดีของเมกับวาทิต พี่ก็จะทำให้ดีที่สุด ว่าแต่ทำไมถึงต้องทำแบบนี้”
“เพราะเมอยากจะให้วาทิตรู้ว่า การไม่พูดความจริงมันทำให้คนเราคิดไปต่างๆ นานา”
“พี่ไม่เข้าใจ วาทิตทำอะไรให้เมไม่พอใจ”
เมทินีชั่งใจว่าจะเล่าเรื่องที่ตนสงสัยดีไหม “ช่างมันเถอะค่ะ เมเบื่อจะคิดเองเออเองแล้ว ถ้าวาทิตไม่พูด เมก็ไม่สนอีกแล้ว”
“เอาเป็นว่าช่วงนี้ ถ้าเมไม่สบายใจพี่ก็จะอยู่เป็นเพื่อนเมเอง”
“ขอบคุณมากนะคะพี่กูร”
เมทินียิ้มดีใจที่อังกูรเข้าใจ อังกูรยิ้มรับ แต่พอหันหน้าไปมองถนนก็แอบยิ้มร้าย
รุทรไม่สบายใจ เลยแวะไปหาพ่อเลี้ยงวิทย์ที่ห้องทำงานในบ้าน พ่อเลี้ยงมองสีหน้าไม่สบายใจของรุทรก็พอดูออก
“ทะเลาะกับหนูเมเหรอ”
“ครับ เมทินีคงไม่พอใจอะไรผมสักอย่าง เลยไม่ยอมคุยกับผม”
พ่อเลี้ยงวิทย์ประเมินเรื่องราว “แล้วก็ประชดด้วยการออกไปกับอังกูร”
รุทรถอนหายใจเซ็งๆ เป็นการยอมรับ
“ผมขอโทษครับคุณลุง”
“ไม่เป็นไรหรอก ลุงเข้าใจ เพราะรุทรเองก็ไม่ได้อยู่กับวาทิตมาตั้งแต่เด็ก การที่จะทำให้เหมือนวาทิตทั้งหมดคงยาก”
“คุณลุงไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะแก้ไขเรื่องนี้เอง”
พ่อเลี้ยงพยักหน้ารับรู้ แต่รุทรก็เห็นความกังวลใจในแววตาชายชรา
อังกูรยืนอยู่หน้าร้านดอกไม้ มองเข้าไปในร้าน เห็นเมทินีกับมณีที่ช่วยกันจัดดอกไม้ในร้าน แล้วหันมากดโทรศัพท์โทร.ออก
“ไอ้ชาติ แกช่วยเช็คให้หน่อยนะว่าลูกค้ารายไหนที่ไม่อยู่ แล้วรีบโทร.บอกฉัน อย่าลืมนะ เช็คเฉพาะลูกค้าที่ไม่ว่าง”
มณีกับเมทินีช่วยกันจัดดอกไม้อยู่ในร้าน จังหวะหนึ่งมณีปรารภขึ้นเป็นเชิงเตือนสติ
“เม แม่ว่ามันจะไม่ดีนะที่จะไปไหนมาไหนกับกูรเขาบ่อยๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ พี่กูรกับเมคุยกับแล้ว พี่กูรเขารู้ว่าเขาเคยทำผิดอะไรไว้ เขาไม่อยากให้มันผิดพลาดอีก เพราะเขารักทั้งเมทั้งวาทิตเหมือนน้องของเค้าค่ะ”
“แต่คราวที่แล้ว วาทิตเค้าก็ไม่ค่อยพอใจไม่ใช่เหรอ ที่ไปบ้านลูกค้าอะไรนั่นน่ะ”
“ก็ช่างวาทิตเค้าสิคะ”
สุ้มเสียงลูกสาวทำเอามณีรู้สึกสะดุดหูขึ้นมา “ทะเลาะกับวาทิตหรือเปล่า”
เมทินีรีบยิ้มกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไรหรอกค่ะแม่ เดี๋ยวช่วยงานพี่กูรเสร็จก็กลับแล้ว”
มณีมองไปยังอังกูรที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ข้างนอกร้าน แล้วถอนใจ “ที่จริงแม่ก็สงสารกูรเค้านะ ปากบอกเมว่าตัดใจได้ แต่ความรักมันตัดกันได้ง่ายๆ เหรอ”
“เอางี้ไหมแม่ เดี๋ยวเมจะช่วยดูคนดีๆ ให้พี่กูรเขาด้วยอีกแรง”
“ก็ดีเหมือนกันนะ แม่ว่าหาไม่ยากหรอก ผู้หญิงสวยๆ ดีๆ กว่าเม มีเยอะออก เนอะ” มณีแหย่ลูกสาว
“แม่อ่ะ อีกแล้วนะ”
สองแม่ลูกขำมุกที่แหย่กันเอง แล้วสวมกอดกันด้วยความรัก ก่อนจะมองไปนอกร้านเห็นอังกูรยืนคุยโทรศัพท์อยู่
รถของอังกูรจอดอยู่ที่หน้าตึกหลังหนึ่งริมถนนละแวกคูเมืองเชียงใหม่ เมทินีถือดอกไม้ยืนรอที่รถ แต่สักพักอังกูรเดินออกมาจากตึกด้วยสีหน้าเซ็ง
“แย่จริงๆ ลูกค้าเกิดติดธุระต้องไปศาลด่วน นี่ขนาดนัดไว้ก่อนแล้วนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่กูร ไว้คราวหน้าก็ได้”
“งั้นเรากลับไร่เลยแล้วกัน”
“เอ่อ..พี่กูร...เมยังไม่อยากกลับ”
อังกูรแอบดีใจ “เมยังไม่หายโกรธวาทิตเหรอ”
“กลับไปก็ทะเลาะกันอีก ถ้าพี่กูรมีงานก็กลับไปก่อนได้นะคะ เมจะกลับไปนั่งเล่นที่ร้าน”
“ได้ไง ถ้าพี่กลับคนเดียวแผนเมก็เสียสิ ไหนๆ เราก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว พี่ไม่กลับหรอก”
“แล้วพี่กูรจะไปนั่งที่ร้านกับเมเหรอ เบื่อแย่”
“งั้นเราก็ไปเดินเล่นช้อปปิ้งซื้อของกันดีกว่า”
“ก็ดีเหมือนกัน เมว่าจะหาเวลาไปซื้อพวกอุปกรณ์แต่งสวนกับหนังสือจัดสวนตั้งหลายทีแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปสักที”
เมทินียิ้มแล้วเดินขึ้นรถไปกับอังกูร
ไม่นานต่อมา สองคนพากันมาอยู่ในย่านร้านขายต้นไม้และอุปกรณ์แต่งสวน ตอนนี้ผู้คนคึกคัก
อังกูรกับเมทินีเดินดูต้นไม้พวกไม้ดอกมาตามถนนที่สองข้างทางเป็นร้านรวงขายไม้ดอก เมทินีซื้อดอกไม้โปรดและอุปกรณ์ที่จะใช้มา มีอังกูรช่วยถือให้
ระหว่างที่เมทินีเดินไป อังกูรลอบมองตาเชื่อม เมทินีหันมาอังกูรยิ้มให้มีความสุข
จนมาถึงร้านขายไม้ดอกไม้อีกร้าน เมทินีเลือกไม้ดอกหลายชนิด ตัดสินใจไม่ได้ อังกูรที่แยกไป เดินถือกระถางเยอบีร่ามาให้เมทินี
“พี่ขอเอาต้นเยอบีร่าไปลงที่แปลงดอกไม้ของเมด้วยได้ไหม”
เมทินียิ้มดีใจ “ได้สิพี่กูร จริงๆเมก็ชอบมากนะ ว่าจะเอาลงที่บ้านที่แต่ไม่ได้ลงสักที พี่กูรเอาไปหลายๆ ต้น หลายๆ สีก็ได้”
“แค่คู่เดียวก็พอ จะได้ตรงกับความหมายของมัน”
เมทินีงง “ความหมายอะไรคะ”
“ว่ากันว่า เยอบีร่าเป็นตัวแทนของความรักที่มั่นคง ซื่อตรงและภักดี ซึ่งก็เปรียบเหมือนกับลักษณะของตัวดอก ที่สีสวย สดใส คงทนและอยู่ได้นาน” เขาบอก
เมทินีฟังแล้วยิ้มรับเจื่อนๆ รู้ความนัย เธอรีบเปลี่ยนเรื่อง
“งั้นเมจะเอาลงตรงกลางแปลง ล้อมด้วยเบญมาศคงสวยมาก”
อังกูรยิ้มรับดีใจ เมทินีเดินดูต้นไม้ ดอกไม้ ต่อไป อังกูรมองตามแววตาเต็มไปด้วยความสุข
อังกูรกับเมทินีเดินล้อเล่นกันมาที่ร้านขายอุปกรณ์แต่งสวน เมทินีดึงบัวรดน้ำของร้านมาดูด้วยเห็นสวยดี แต่ทำปลายหลุด เจ้าของร้านมองเขม็ง อังกูรขำต้องมาประกอบให้
ฟากรุทรเดินออกมาที่หน้าบ้าน ไปนั่งที่ระเบียงสวยคอยเมทินี แต่นั่งได้ไม่นาน ก็หงุดหงิดลุกขึ้นเดินอีก รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปช้ามาก
สุดท้ายรุทรตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือมากดหาเมทินี
ทางด้านเมทินีกับอังกูร กำลังเดินเลือกหนังสือแต่งสวนกันอยู่ เมทินีรู้สึกถึงโทรศัพท์ที่สั่นจึงหยิบออกมาดู
อังกูรมองแล้วด้วยความกังวล แต่ก็ยิ้มออกเมื่อเห็นเมทินีกดปิดเครื่อง
ฝ่ายรุทรรู้ในทันทีว่าเมทินีจงใจปิดเครื่องหนี เขาถอนใจอย่างหงุดหงิด แล้วลงนั่งรอต่อไปอย่างอารมณ์ไม่ดี
อ่านต่อหน้า 2
เงาใจ ตอนที่ 9 (ต่อ)
เมทินีหยิบหนังสือแต่งสวนเล่มนั้นเล่มนี้มาอ่านอย่างสนใจ แล้ววางหนังสือลง อังกูรยกเล่มใหม่มาให้ดู แล้วยกเล่มเก่าไปเก็บ ใบหน้าของเขายิ้มแย้มความสุข
ถัดมาอังกูรกับเมทินีคุยกันเรื่องแต่งสวย โดยเมทินีดูจากหนังสือแล้วมาอธิบายว่าจะแต่งสวนยังไง อังกูรตั้งใจฟังอย่างมีความสุข
เมทินีเลือกเล่มที่ถูกใจได้ อังกูรรีบดึงแล้วเดินไป เมทินีงงเดินตามไป ที่แท้อังกูรเอาไปจ่ายเงิน เมทินีรีบจะหยิบเงินแต่อังกูรไม่ยอมชิงจ่ายไปแล้ว
อีกฟากที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในห้องเรียนคณะเกษตร เป็นช่วงเวลาท้ายคาบแล้ว
“ส่งรายงานกันทุกกลุ่มใช่มั้ยครับ อ้อ ยังไม่ครบสิเหลือคุณอีกเล่มนึง ไมตรี”
อาจารย์มองมาทางไมตรีที่นั่งหลังห้อง
“เดี๋ยวผมจะรีบทำส่งครับอาจารย์”
“เดี๋ยวไม่ได้สิ เพื่อนๆ เขาส่งกันหมดแล้ว คุณจะมาเดี๋ยวทำได้ยังไง คุณตามผมไปที่ห้องพักอาจารย์นะ เอารายงานพวกนี้ไปให้ด้วย”
อาจารย์บอกแล้วเดินออกไป
ไมตรีเดินออกไปหน้าชั้นหยิบรายงานที่วางบนโต๊ะอาจารย์ก่อนจะเดินตามไป วารินมองตามด้วยความเป็นห่วง
ในห้องพักอาจารย์คณะเกษตรตอนนี้ ไมตรีนั่งหน้าจ๋อยๆ อยู่ที่หน้าโต๊ะอาจารย์ประจำวิชาหนึ่ง
“ยังไงคุณไมตรี ตกลงจะเอาไหมคะแนน”
“ผมขอโทษครับอาจารย์”
“ผมถามตรงๆ เลยนะ คุณมีปัญหาอะไรกับเพื่อนหรือเปล่า เพราะตั้งแต่คุณเอ่อ...กลับมาเรียน ผมเองก็รู้สึกว่าคุณดูไม่มีความสุขกับการเรียน”
“ผมไม่มีปัญหาอะไรครับ”
“เอาเป็นว่า ถ้ามีอะไรก็เข้ามาคุยกับผมได้นะ”
ไมตรีไหว้ “ผมขอบคุณอาจารย์มากครับ”
“ส่วนเรื่องรายงานน่ะผมให้เวลาอีกแค่สองวันนะ ถ้ามะรืนยังไม่มีรายงานมาส่ง ก็ต้องว่ากันไปตามนั้น เพราะนี่คุณก็ได้สิทธิ์พิเศษกว่าเพื่อน อยากทำรายงานเดี่ยวผมก็ให้ทำแล้ว เข้าใจผมด้วยนะ”
“ผมจะรีบทำให้เสร็จอย่างเร็วที่สุดเลยครับ”
ไมตรีไหว้อาจารย์แล้วจะลุกเดินออกไป อาจารย์นึกได้รีบเรียกได้
“ไมตรี ผมอยากให้คุณระวังจะไม่พ้นโปรนะ”
อาจารย์ยิ้มให้เป็นกำลังใจ ไมตรียิ้มตอบแล้วเดินออกจากห้องพักอาจารย์ไปทางหนึ่ง โดยไม่เห็นว่าวารินยืนแอบฟังอยู่อีกมุมหนึ่ง
ในเวลาต่อมา ไมตรีนั่งพิมพ์โน้ตบุ๊คทำรายงานอยู่ที่โต๊ะในห้องสมุดคณะ วารินแอบดูอยู่ไม่ไกลกันนัก จนไมตรีลุกไปเข้าห้องน้ำ วารินรีบเข้าไปเปิดดูว่าไมตรีทำรายงานไปถึงไหน พอเห็นก็ส่ายหน้าเหนื่อยใจ
“จะทันเหรอเนี่ย”
วารินรีบหยิบโทรศัพท์มาออกมาถ่ายรูปไว้ว่าไมตรีทำรายงานไปถึงไหน โดยจ่อถ่ายที่หน้าจอคอมพ์ และถ่ายหน้าปกหนังสือต่างๆ และสันหนังสือเพื่อเอาหมายเลข พอถ่ายเสร็จจนครบ ก็นึกได้ดูหนังสือที่วางไว้ก็ตกใจ
“ตายแล้ว ดันไปปิดของเค้าหมดเลย ทำถึงหน้าไหนละเนี่ย”
วารินดูหน้าจอแล้วจะเปิดหนังสือต่างๆ เพื่อหาหน้าให้ตรงกัน แต่เริ่มลนลาน ระหว่างนั้นมองไปเห็นไมตรีเดินออกมาจากห้องน้ำไกลๆ
วารินแทบอยากร้องไห้ แต่ก็ต้องปล่อยตามยถากรรมรีบวางหนังสือแล้วหลบไป
ไมตรีเดินกลับมาถึงโต๊ะลงนั่งจะพิมพ์งานต่อ แต่เห็นหนังสือของตัวเองกระจัดกระจายปิดหมดก็โมโห
“ใครมาแกล้งอีกวะ”
ไมตรีเซ็งแต่ก็เปิดหนังสือจัดวางแล้วนั่งพิมพ์คอมพ์ต่อ
วารินแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่ง พึมพำกับตัวเองว่า
“ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจ”
ถัดจากนั้นวารินดูโค้ดหนังสือจากโทรศัพท์มือถือ เลือกหนังสือนั้นมา เดินมายังเค้าน์เตอร์ยืมหนังสือ วางหนังสือที่เลือกได้ส่งให้ พร้อมกับเอาบัตรนึกศึกษาให้เจ้าหน้าที่บรรณารักษ์พลางยิ้มให้ บรรณารักษ์เช็คหนังสือ
ระหว่างนี้แตกับฝ้ายเดินมาจากอีกด้าน พอเห็นวารินก็ตรงเข้าไปหา
“มาอยู่นี่เอง หายไปเลย โทร.ไปก็ไม่รับ” ฝ้ายบ่น
“อุ๊ย...โทษทีฉันลืมเปิดเสียงตั้งแต่ตอนเรียนน่ะ”
แตจ้องหน้า “แล้วนี่แกมาห้องสมุดนี่จะไม่ชวนใช่ไหม”
“ฉันมายืนหนังสือแป๊บเดียวจะไปแล้ว”
บรรณารักษ์เอาหนังสือให้ พร้อมคืนบัตรนักศึกษา
แตแปลกใจ “เฮ้ย แกยืมหนังสืออีกแล้วเหรอ”
แตกับฝ้ายเอาหนังสือมาดูแล้วก็สงสัย
“พวกเราไม่ได้ทำรายงานเรื่องนี้นี่” แตท้วง
“แหม ไม่ได้ทำก็อ่านได้ ฉันอยากจะรู้ก็ยืมอ่านแค่นี้แหละ” วารินตัดบท
แตกับฝ้ายพยักหน้ารับเข้าใจ
“จ้า แม่เด็กเรียน ไปงั้นเข้าไปอ่านหนังสือกันเถอะ” แต่เย้า
“วันนี้ฉันขอตัวกลับก่อนนะ”
ฝ้ายงง “อ้าว ทำไมรีบกลับล่ะ วันนี้เลิกครึ่งวัน อยู่อ่านหนังสือกับพวกฉันก่อนสิ เดี๋ยวบ่ายๆ ไปดูหนังกัน”
“ไม่เอาละ พวกแกไปอ่านหนังสือเถอะนะ ไปล่ะ”
วารินรีบหอบหนังสือเดินออกไป แตกับฝ้ายมองหน้ากันงงๆ
ตกตอนค่ำ รุทรนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่น ไม่มีสมาธิเอาเลย กดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อย เอื้องคำเดินเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง
“คุณวาทิตคะ ทานข้าวเย็นก่อนเถอะค่ะ นี่มันจะทุ่มแล้ว”
“ไม่ล่ะ ป้าบอกจั่นเป็งเก็บโต๊ะไปเลย”
เอื้องคำลงนั่งด้วย “คุณวาทิตอย่าโมโหนะคะ เดี๋ยวจะไม่สบาย เอางี้ไหม ถ้าคุณเมกลับมาป้าจะจัดการให้ มาทำกับคุณวาทิตแบบนี้ป้าก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
“อย่าลำบากป้า ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง”
เอื้องคำมองด้วยสายตาเป็นห่วง “คุณวาทิต”
จู่ๆ มีเสียงฟ้าร้องดังครืนครัน จนรุทรกับเอื้องคำต้องมองไปนอกบ้าน
“ตายแล้ว ฝนจะตกก็ไม่รู้ เห็นตั้งเค้ามาตั้งแต่เย็น”
พูดไม่ทันขาดคำ เสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง เอื้องคำตกใจเผลออุทาน รุทรเดินไปที่ประตูมองไปด้านนอกด้วยความรู้สึกกังวล
อีกมุมเห็นกินรียืนแอบฟังอยู่ด้วยความหงุดหงิด ไม่พอใจที่รู้ว่าอังกูรกับเมทินียังไม่กลับ
รุทรยืนมองออกไปด้วยความกังวล เพราะฟ้าแล่บฟ้าร้อง และฟ้าผ่าถี่ขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าอีกไม่นานฝนต้องตกหนักแน่นอน
อังกูรกับเมทินีทานอาหารมื้อค่ำด้วยกันอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่
“วันนี้พี่มีความสุขมากเลยนะ ถึงจะต้องโดดงานทั้งวัน”
เมทินีรู้สึกผิด “ตายแล้ว คุณพ่อจะว่าพี่กูรไหม เมขอโทษ”
“ไม่เป็นไรนี่ ปกติพี่ก็ไม่เคยลาอยู่แล้ว คุณลุงไม่ว่าหรอก ที่สำคัญพี่อยากอยู่เป็นเพื่อนเม”
อังกูรยิ้มให้ ในจังหวะเดียวกับที่ด้านนอก เสียงฟ้าร้องดังครืนครันขึ้นมา ทั้งอังกูรและเมทินีเริ่มกังวล
“สงสัยฝนจะตกแล้ว”
“งั้นเรารีบกลับกันเถอะ เดี๋ยวจะลำบาก”
“เมอิ่มแล้วค่ะ”
อังกูรยกมือเรียกพนักงานเก็บเงิน
ด้านนอกตอนนี้ตกลงมาอย่างหนัก
ฝนยังคงตกหนัก รุทรร้อนใจนั่งไม่ติดแล้ว เดี๋ยวนั่ง เดี๋ยวลุก เดินไปมา ชะเง้อมองหาเมทินีที่หน้าบ้านตลอด
ท่ามกลางฝนที่โปรยสายไม่ขาดระยะ ฝ่ายอังกูรกับเมทินีนั่งมาในรถด้วยกัน อังกูรนั้นยิ้มแย้มมีความสุขเหลือล้น
“วันนี้พี่มีความสุขที่สุดเลย ที่ได้อยู่กับเม”
“เมต้องขอบคุณพี่กูรมากนะคะ ที่อยู่เป็นเพื่อนเม”
“ไม่เป็นไรเลยเม พี่บอกแล้วไงเพื่อเมพี่ทำได้ทุกอย่าง”
อังกูรยิ้มให้ด้วยใจจริง เมทินียิ้มตอบ
เสียงฟ้าร้อง ฟ้าแล่บ ขึ้นมาเป็นระยะ พร้อมกับสายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก อังกูรและเมทินีเริ่มมีสีหน้าเป็นกังวล
รถของอังกูรแล่นมาท่ามกลางสายฝน จนเริ่มมองทางไม่เห็น เมทินีมองข้างหน้าด้วยความหวาดกลัว
“ฝนตกหนักมากจนมองไม่เห็นทางเลยค่ะพี่กูร”
“เมไม่ต้องกลัวนะ พี่จะระวัง ยิ่งมีเมอยู่ด้วยพี่ต้องระวังให้มากที่สุด”
สายฝนยังคงเทกระหน่ำลงมาไม่หยุด นอกจากนี้ลมเริ่มโหมพัดจนต้นไม้ข้างทางล้มลง อังกูรรีบหักหลบ เมทินีร้องกรี๊ดอยู่ในรถ
รถของอังกูรกระแทกเข้ากับต้นไม้ แต่อังกูรยังพยายามประคองเอาไว้ได้ จู่ๆ มีกิ่งไม้หักโค่นลงมาอีก อังกูรหักหลบอีกครั้ง คราวนี้ชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่อย่างจัง
ฝากระโปรงรถของอังกูรมีไฟแลบออกมา
ผ่านไปสักครู่หนึ่งอังกูรค่อยๆ รู้สึกตัวและตั้งสติรีบดูอาการเมทินีที่สลบฟุบอยู่
อังกูรเขย่าตัวเมทินี “เม...เม เป็นไงบ้าง”
เมทินีรู้สึกตัว จับหัวตัวเองพบว่ามีรอยแผลแตกจากการกระแทก
“เมไม่เป็นไรค่ะ พี่กูรล่ะคะเป็นยังไงบ้าง”
“พี่เป็นไร”
อังกูรสังเกตเห็นเปลวไฟที่กระโปรงรถแล้วท่าไม่ดี
“เราต้องรีบออกจากรถให้เร็วที่สุด”
เมทินีพยักหน้ารับ แต่ส่วนฝั่งประตูด้านของเมทินีติดกับซอกหินใหญ่เปิดออกไม่ได้ และฝั่งประตูรถด้านของอังกูรติดกับต้นไม้ใหญ่เปิดออกไม่ได้เช่นกัน
“เปิดไม่ได้ทำยังไงดีค่ะพี่กูร”
อังกูรคิดหาทางรอด ชายหนุ่มคว้าอุปกรณ์ที่เป็นเหล็กที่ติดอยู่ในรถทุบกับกระจกรถจนสำเร็จ หันมายิ้มให้ เมทินีมองอังกูรอย่างมีความหวัง
อังกูรคว้ากระเป๋าเป้ส่วนตัวหลังรถโยนออกไปก่อน และรีบช่วยเมทินีออกมา
“เมข้ามเบาะมาออกทางฝั่งพี่”
เมทินีตอบรับก่อนจะพยายามข้ามจากเบาะฝั่งที่นั่งของตัวเองมาที่เบาะของอังกูรอย่างทุลักทุเล โดยมีอังกูรคอยช่วยเหลือ ประคองอยู่ใกล้ๆ จนออกมาได้ในที่สุด
อังกูรพบว่าไฟที่หน้ารถเริ่มลุกไหม้ จึงรีบพาเมทินีเดินออกมาให้ห่างจากรถโดยเร็ว
จังหวะนี้โทรศัพท์มือถือของอังกูร ซึ่งหล่นอยู่ที่เบาะรถเป็นชื่อของวาทิตที่โทร.เข้ามา
จากนั้นไม่นานเสียงระเบิดก็ดังขึ้น เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ไฟลุกท่วมรถของอังกูร
มองออกไปจากห้องนั่งเล่นบ้านพ่อเลี้ยงวิทย์ พบว่าด้านนอกฝนยังตกหนัก ฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นระยะๆ
รุทรเดินว้าวุ่นไปมา และกดโทรศัพท์โทร.ออกตลอดเวลา สีหน้าเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ทั้งโกรธ ทั้งโมโห ถึงขีดสุด เมื่อเห็นว่าปลายสายไม่รับรุทรจึงปาโทรศัพท์ทิ้งอย่างแรง
จังหวะหนึ่งฟ้าแล่บสว่างวาบเข้าใบหน้าของรุทร นัยน์ตาของเขาเป็นประกายวาวโรจน์
ภายในถ้ำริมลำธารกลางป่าแห่งนั้น อังกูรก่อกองไฟเสร็จแล้ว เขายืนถอดเสื้อที่เปียกออกผึ้ง เมทินีนั่งตัวสั่นด้วยความหนาว อังกูรมองมาด้วยความสงสาร
“พี่ว่าเมเอาเสื้อในเป้พี่ไปใส่ก่อนเถอะ เปียกไปทั้งตัวแบบนี้ เดี๋ยวไม่สบายนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่กูร เมทนได้”
“ทนได้ยังไงเม นั่งหนาว ตัวสั่นอยู่แบบนี้ อย่าดื้อนะเชื่อพี่นะครับ”
เมทินีมองอังกูรอย่างไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่นัก
“เราจะกลับบ้านกันได้ตอนไหนคะ”
“ยังกลับไม่ได้หรอกเม ฝนยังตกหนักอยู่เลย รถก็ไหม้ไปแล้ว พี่ว่าเราคงต้องค้างกันที่นี่”
“ค้างที่นี่”
เมทินีมองอังกูรด้วยสีหน้าตกใจ เป็นกังวลขึ้นมาทันที
เวลาผ่านไปอีกสักระยะหนึ่งแล้ว นาฬิกาบนผนังห้องนั่งเล่นบอกเวลา 00.15 นาที รุทรนั่งมองนาฬิกา แล้วอารมณ์เสีย บ่นบ้าขึ้นมาคนเดียวด้วยความโกรธ
“กล้ามากนะเมทินี ป่านนี้แล้วยังไม่กลับ”
เอื้องคำเดินมาตรวจความเรียบร้อย เห็นรุทรในคราบวาทิตยังไม่นอน รีบเดินมาหาด้วยความเป็นห่วง
“อะไรกันคะคุณวาทิต ดึกดื่นป่านนี้แล้วทำไมยังไม่ไปนอนอีก”
รุทรบอกเสียงนิ่ง “ผมรอเมอยู่นะครับ”
“รอคุณเม ตายจริง นี่คุณเมยังไม่กลับอีกเหรอค่ะเนี่ย เหลวไหลจริงๆ เลย ป้าว่าคุณวาทิตไปนอนเถอะค่ะ นอนดึกแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะคะ อย่าห่วงคุณเมเลยค่ะ เดี๋ยวป้าคอยดูให้เอง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคอยได้”
“อย่าคอยเลยนะคะคุณวาทิต ป้าเป็นห่วงเดี๋ยวคุณวาทิตล้มป่วยไปมันจะแย่นะคะ”
“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ ป้าเอื้องคำไปนอนเถอะ”
“แต่ป้า…”
รุทรพูดสวนขึ้นทันที “ป้าไปนอนเถอะครับ ผมจะอยู่คอยจนกว่าเมจะกลับ”
เอื้องคำนึกโกรธเมทินีขึ้นมาอีก และเมื่อเห็นว่าขัดชายหนุ่มผู้เป็นนายไม่ได้แน่ จึงต้องถอยกลับออกไป
รุทรกำมือแน่น สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความโกรธ
สองคนอยู่ในถ้ำริมลำธารกลางป่า เมทินีอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตของอังกูรนั่งกอดเข่ามองกองไฟ ส่วนอังกูรใส่เสื้อกล้ามนั่งมองเมทินีนิ่ง เมทินีพยายามหลบสายตาของอังกูรที่มองมา
“นอนเถอะเม พี่จะดูแลเมเองนะ”
เมทินีมองอังกูรอย่างไม่ไว้ใจ และรู้สึกกลัวอังกูรขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล
“เมยังไม่ง่วง ถ้าพี่กูรง่วงแล้วอยากจะนอนก็นอนก่อนได้เลยนะคะ”
“พี่คงกลายเป็นคนเลวในสายตาเม เมคงไม่เชื่อใจพี่อีกแล้ว” อังกูรตัดพ้อ
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ เมยังจำสิ่งดีๆที่พี่กูรทำให้เมได้เสมอ แต่ตอนนี้สถานะของเมไม่เหมือนเดิม เมมีสามีแล้ว เมควรให้เกียรติตัวเองและก็วาทิต”
“พี่อยากบอกเมว่าพี่รักเม อยากอยู่กับเมจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ความฝันของพี่มันพังลงไปแล้ว แต่ครั้งนี้พี่ขอได้ไหมเม เชื่อใจพี่อีกสักครั้ง ว่าอังกูรคนนี้จะอยู่ดูแลคนที่มันรักจากหัวใจจริงๆ”
เมทินีพยักหน้ารับ ตัดสินใจเชื่อใจเขาอีกครั้ง อังกูรเอาเสื้อของตัวเองที่แห้งแล้วมาห่มให้เมทินี และดึงเมทินีเข้ามาโอบเอาไว้ เมทินีตกใจขยับตัวหนี
“พิงไหล่พี่ไว้ซิ จะได้นอนสบาย”
เมทินีมองอังกูรที่ส่งยิ้มจริงใจมาให้ แล้วตัดสินใจนอนลงข้างๆ อังกูรที่นั่งอยู่
“เมขอนอนตรงนี้ ข้างๆ พี่ชายของเมนะคะ”
เมทินียิ้มให้อังกูรก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง
อังกูรนั่งมองเมทินีด้วยแววตาสุดรักและทะนุถนอม
เมทินีตื่นขึ้นมาตอนรุ่งเช้า มองไปโดยรอบไม่เห็นอังกูรก็ตกใจ ลุกขึ้นยืนมองหา สักครู่อังกูรเดินเข้ามาพร้อมกระบอกไม้ไผ่ที่มีน้ำยื่นส่งมาให้ เมทินียิ้ม และรับของ
“น้ำสะอาดดื่มได้เลยนะเม”
เมทินีดื่มน้ำ มองดูกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่น้ำแล้วยิ้ม
“พี่กูรเก่งจังเลยค่ะ ทำกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำได้ด้วย”
อังกูรมองเมทินีอย่างจริงใจ “เพื่อให้เมสบายพี่ทำได้ทุกอย่าง”
เมทินีมองอังกูรยิ้มเจื่อนๆ ส่งกระบอกน้ำคืนให้ อังกูรรู้ว่าเมทินีเริ่มลำบากใจกับคำพูดของตน จึงเปลี่ยนเรื่องพูด
“เอ่อ ถ้าเมอยากอาบน้ำ ตรงข้างๆ มีลำธารด้วยนะ เราจะได้กลับบ้านกัน”
“กลับบ้าน”
เมทินีดีใจที่จะได้กลับบ้าน ส่วนอังกูรนึกเสียดาย ด้วยอยากอยู่ใกล้ชิดกับเมทินีให้นานกว่านี้
ส่วนรุทรยังรอเมทินียันเช้า และอารมณ์โกรธยิ่งทวีมากขึ้นสุดจะประมาณ เอื้องคำเดินมาเตรียมอาหารเห็น
รุทรยังอยู่อยู่ในชุดเดิม สีหน้าท่าทางเหมือนคนไม่ได้นอนทั้งคืนก็ตกใจมาก
“ตายแล้วคุณวาทิต นั่งรอคุณเมยันเช้าเลยเหรอคะ คุณเมนี่แย่จริงเลยทำไมถึงทำแบบนี้ ปล่อยให้คุณวาทิตมาคอยอยู่ได้ยังไง แย่ที่สุด”
รุทรได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามา จึงรีบออกไปดู
เห็นรถคันเก่าๆ ของชาวเขา มาส่ง อังกูรกับเมทินีซึ่งเปลี่ยนมาใส่ใส่เสื้อผ้าของตัวเองแล้ว รุทรเดินมา จดสายตาจ้องหน้าเมทินีด้วยความโกรธ เมทินีก็จ้องตอบอย่างไม่กลัวเกรง
อังกูรสังเกตเห็นบรรยากาศมาคุของทั้งสองคนก็รู้สึกพอใจ รีบแสร้งทำเป็นคนดีทันที
“วาทิต ใจเย็นๆ นะอย่าเพิ่งใช้อารมณ์ เรามาคุยด้วยเหตุผลกันดีกว่า คือเมื่อคืนนี้ฝนตกหนักมาก แล้วรถพี่ก็...”
รุทรไม่สนใจฟังอังกูร เดินตรงไปหาเมทินีแล้วจับข้อมือจะกระชากเข้าบ้าน
“ผมอยากคุยกับเม”พร้อมกับดึงแขนเมทินีไปเลย
“ใจเย็นๆ ซิ วาทิต”
รุทรดึงเมทินีเข้าบ้านไป อังกูรจะตามไป แต่เอื้องคำที่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่นาน แล้วรีบขวางไว้
“คุณกูรคะ กลับไปก่อนเถอะค่ะ”
อังกูรฉุนกึก หันมาดุ “ป้าก็เห็นนี่ ว่าวาทิตมันไม่เข้าใจอะไรเลย มันจะบ้าใหญ่แล้ว”
เอื้องคำถอนใจ “แต่ยังไงก็เป็นเรื่องของสามีภรรยา คุณกูรจะเกี่ยวข้องไปทำไม”
อังกูรยืนอึ้ง เอื้องคำมองอังกูรแล้วส่ายหน้า ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปทางครัว
อังกูรมองเข้าไปในบ้าน ยิ้มในสีหน้าอย่างสะใจ
รุทรลากแขนเมทินีเข้ามาในห้องนอน แล้วผลักเธอลงบนโซฟา
“กลับมาซะเช้าขนาดนี้ไปกกกันที่โรงแรมไหนล่ะ”
เมทินีโกรธ “เธอพูดบ้าอะไรน่ะวาทิต ฉันไม่ได้ไปโรงแรมที่ไหนทั้งนั้น เมื่อคืนฝนตกหนักมาก เกิดอุบัติเหตุ ฉันนะต้องติด…”
รุทรสวนออกมาทันที “ติดพันกันอยู่น่ะซิ”
เมทินีฉุนขาด “ฉันกำลังจะอธิบายให้เธอฟัง แต่ถ้าเธอไม่ฟังก็เรื่องของเธอ”
เมทินีลุกขึ้นจะเดินหนีแต่รุทรขวางไม่ให้ไป
“ผมไม่ได้โง่นะเม ให้เมยอมรับว่าไปนอนกับพี่กูรยังฟังขึ้นกว่าอีก”
“ถ้าเธอฟันธงว่าฉันเลวขนาดนั้น แล้วจะมาถามทำไม”
“ก็ถามให้เมสำนึกไง อย่างน้อย เผื่อเมจะละอายใจ และคิดได้ว่ากำลังเป็นเมียน้องไม่ใช่เมียพี่ จะได้ไม่ทำชั่วอีก”
เมทินีโกรธจัดตบหน้าวาทิตเปรี้ยง จนหน้าหัน
“ถ้าเธอคิดว่าฉันเลวขนาดนั้น เราก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว ฉันยอมแต่งงานกับเธอเพราะเธอกับคุณพ่อช่วยครอบครัวฉัน ฉันถึงคิดว่าจะเข้ามาดูแลสุขภาพของเธอเป็นการตอบแทน...”
รุทรพูดสวนขึ้นอย่างมีอารมณ์ “ดูวาทิตมันน่าสมเพชจริงๆ เลยนะ ว่าความจริงแล้วที่ได้เจ้าสาวมาแต่งงานด้วย เพราะแค่อยากตอบแทน จะว่าไปแล้วจะตอบแทนกันยังไงดีล่ะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ตอบแทนโดยการทำหน้าที่เมียที่ดี ให้ครบสูตรหน่อยเป็นไง”
รุทรในคราบวาทิตคว้ามาตัวเมทินีมาอยู่ใต้ร่างเขา แล้วระดมจูบปลุกปล้ำ เมทินีดิ้นขัดขืนสุดชีวิต จนในที่สุดเมทินีก็นอนนิ่งน้ำตาไหล รุทรได้สติมองเมทินีที่น้ำตาไหลเป็นทาง ก็ยิ่งตกใจ
เมทินีพูดจริงจัง “เมื่อเธอไม่รักษาสัญญา ทำร้ายทั้งตัวและจิตใจ และดูถูกฉันขนาดนี้ ฉันคิดว่าเราหย่ากันเถอะ มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคน”
“อะไรนะ หย่าเหรอ”
รุทรอึ้ง นิ่งงันไป สับสนหนักจนพูดไม่ออก เมทินีจ้องหน้ารุทร แน่วนิ่งจริงจัง
อ่านต่อหน้า 3
เงาใจ ตอนที่ 9 (ต่อ)
ทางด้านอังกูรได้ยินที่สองคนทะเลาะกันอย่างรุนแรงเมื่อครู่ เขาเดินอารมณ์ดีเปิดประตูบ้านเข้ามา แต่ก็ต้องแปลกใจ ที่เห็นกินรียืนรออยู่ในห้องโถงชั้นล่าง
“คราวนี้กลับมาซะเช้าเลยนะคะ” หล่อนประชดทันที
อังกูรไม่สนใจหล่อนจะเดินขึ้นไปยังห้องนอน กินรีรีบเดินมาขวาง
“คุณกูร คุณรู้ไหม วันนี้ที่เมไปกับคุณ เพราะเค้าทะเลาะกับคุณวาทิตเลยใช้คุณเป็นเครื่องมือ”
“แล้วไง” น้ำเสียงอังกูรเต็มไปด้วยความสะใจ
กินรีอึ้งและงง “แล้วไง นี่คุณกูรรู้เหรอคะ”
“ฉันรู้และฉันก็เต็มใจ เพราะเธอรู้ไหมว่า ผลที่ได้มันคุ้มเกินคุ้ม ตอนนี้เมกับไอ้วาทิตกำลังจะหย่ากัน โอกาสที่ฉันจะได้เมของฉันคืนมันใกล้เข้ามาแล้ว”
“แล้วนรีล่ะคะ”
“ถ้าเธอไม่อยากเสียใจก็กลับไปอยู่ในที่ของเธอ เรื่องที่ผ่านมาฉันจะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น”
กินรีเสียใจนัก น้ำตาไหลรินรดแก้มนวล
“นรีไม่มีค่าอะไรกับคุณกูรบ้างเลยเหรอคะ”
“ฉันอารมณ์ดีๆ อย่ามากวนให้ขุ่นได้ไหม” อังกูรชักฉุน
“แต่คุณกำลังจะทิ้งนรี นรีไม่ยอม นรีรักคุณ นรีจะไม่ยอมเสียคุณไป”
กินรีวิ่งถลาเข้ามากอดเต็มรัก แต่อังกูรรำคาญ แกะมือกินรีออกแล้วผลักไป
“นรี ถ้าเธอควบคุมตัวเองไม่ได้ ต่อไปนี้เราอย่าเจอกันอีกเลยดีกว่า”
กินรีตกใจ “คุณกูร”
“ชีวิตฉันรักผู้หญิงได้คนเดียวคือเม”
กินรีร้องไห้ออกมา “แม้นรีจะให้ทั้งตัวและหัวใจกับคุณแล้วเหรอคะ”
“เธอกลับไปได้แล้ว ฉันอยากพักผ่อน”
อังกูรตัดบทแล้วเดินหนีขึ้นห้องนอนไปเลย ทิ้งกินรีให้ทรุดตัวลงร่ำไห้ด้วยความเสียใจ
ฝ่ายเมทินีนั่งในห้องหอ เหลียวมองรูปภาพแต่งงานของเธอกับวาทิตในมุมต่างๆ ของห้อง เมทินีสะท้อนใจเลยเดินออกไปที่ระเบียง มองวิวสวยสุดสายตาเบื้องหน้าไปเรื่อยๆ
ฝ่ายรุทรนั่งเครียดอยู่ในห้องรับแขกชั้นล่าง สุดท้ายตัดสินใจลุกขึ้นแล้ววิ่งขึ้นบันไดไป
พอเปิดประตูห้องเข้ามา รุทรไม่เห็นเมทินี มองไปพบว่าประตูระเบียงเปิดอยู่ เขาเดินไปดูที่ระเบียง มองลงไปเห็นเมทินีเดินอยู่ในแปลงดอกไม้ รุทรรีบวิ่งออกจากห้องไป
เมทินีเดินดูดอกไม้ด้วยความเศร้า แล้วสักครู่มีมือมาแตะไหล่เบาๆ แต่ก็ให้เมทินีตกใจ ด้วยคิดว่าเป็นรุทรรีบหันไป เป็นอังกูรยืนยิ้มมาให้ เมทินียิ้มรับเจื่อนๆ
“พี่เป็นห่วง กลัวเมกับวาทิตทะเลาะกัน”
“คราวนี้ทะเลาะกันรุนแรงเลย”
อังกูรแกล้งทำเป็นเสียใจ “พี่ขอโทษที่ทำให้เมกับวาทิตมีปัญหา ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะไปคุยกับวาทิตให้ เรามีบริษัทที่มาลากรถเป็นพยาน วาทิตต้องเข้าใจ”
อังกูรจะเดินไปแต่เมทินีดึงแขนไว้
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะพี่กูร ปัญหาของเมกับวาทิตมันไม่ใช่แค่วันนี้ แต่มันเป็นความไม่เชื่อใจกันมากกว่า”
“แล้วเมจะทะเลาะกับวาทิตไปแบบนี้เรื่อยๆ งั้นเหรอ” เขาหยั่งเชิง
“ไม่หรอกพี่กูร เมเองก็อยากจบปัญหาพวกนี้เหมือนกัน”
“เมหมายความว่ายังไง”
“เมคิดว่า เราควรจะหย่าค่ะ”
อังกูรทำเป็นตกใจมาก พยายามทักท้วง “เม...คิดดีแล้วเหรอ”
เมทินีพยักหน้ารับ
“แล้วคุณลุงล่ะ”
“เมจะขอทำเป็นเรื่องกู้ยืมเงินจากคุณพ่อ และเมจะพยามหาเงินมาคืนท่านให้ครบทุกบาททุกสตางค์”
“พี่จะช่วยเมใช้หนี้อีกแรงนะ”
“พี่กูรอย่ามาลำบากเพราะเมเลย”
“เม จำได้ไหมวันที่เมตัดสินใจแต่งงานกับวาทิต เมบอกพี่ว่าเมจะเป็นน้องสาวที่ดีของพี่ แล้ววันนี้น้องสาวพี่มีปัญหา ทำไมจะไม่ยอมให้พี่ชายคนนี้ช่วยแก้ปัญหาล่ะ”
เมทินียิ้มเนือยๆ “ขอบคุณนะพี่กูร เมขอบคุณมากค่ะ”
อังกูรกับเมทินียิ้มให้กันแล้วกอดกัน
ช่างบัญเอิญนัก รุทรเดินมาเห็นภาพพอดี
รุทรตัดสินใจมาหาพ่อเลี้ยงวิทย์ เวลานี้เขาอยู่ในห้องทำงานพ่อเลี้ยงที่บ้าน
พ่อเลี้ยงมีสีหน้าตกใจเมื่อได้ฟัง “หย่าเหรอ”
รุทรพยักหน้ารับ
“แล้วรุทรก็จะหย่ากับหนูเม”
“ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงดี เลยมาปรึกษาคุณลุงนี่ล่ะครับ”
“ลุงยอมให้รุทรหย่ากับเมทินีไม่ได้”
“แม้ว่าเมทินีจะสวมเขาให้วาทิตงั้นเหรอครับ”
“แต่การตัดสินใจหย่าควรมาจากวาทิต เราคิดแทนเขาไม่ได้”
“งั้นตอนนี้เราควรจะทำยังไงดีล่ะครับ”
ชายชรานิ่งไป คิดหนักว่าจะเอาไงดี
เมื่อเมทินีเดินกลับเข้ามาก็เห็นวิทย์นั่งรอที่ห้องรับแขก เมทินีเดินเข้าไปนั่ง
“วาทิตบอกพ่อว่าเมต้องการจะหย่า”
“ตอนนี้วาทิตแข็งแรงขึ้นมากแล้ว เมคิดว่าเขาน่าจะอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเม”
“แต่วาทิตรักหนูเมมากนะ”
เมทินีถอนใจ “ความรักที่ปราศจากการให้เกียรติซึ่งกันและกัน มันไม่สามารถทำให้ชีวิตคู่ไปได้ตลอดรอดฝั่งหรอกค่ะ เพราะคนที่ไม่มีความสุขจะไม่ใช่เมคนเดียว ตัววาทิตเองก็ด้วย”
“ถ้าหนูตัดสินใจแล้ว พ่อก็คงไม่สามารถห้ามหนูเมได้ใช่ไหม”
เมทินีไหว้ “เมกราขออภัยคุณพ่อด้วยนะคะ สำหรับเรื่องเงิน เมจะขอทำสัญญากู้ยืม...”
เมทินีพูดยังไม่ทันจบคำดี เอื้องคำก็วิ่งโวยวายเข้ามา
“พ่อเลี้ยงคะ พ่อเลี้ยงช่วยไปดูคุณวาทิตด้วยค่ะ”
“มีอะไร”
“คุณวาทิตช็อกค่ะ”
พ่อเลี้ยงวิทย์กับเมทินีหน้าตื่นตกใจ รีบขึ้นบันไดไปทันที
รุทรในคราบวาทิต ทำทีเป็นหอบหนัก มีจั่นเป็งอยู่ข้างๆ เมทินี พ่อเลี้ยงวิทย์ และเอื้องคำเปิดประตูเดินเข้ามา
“วาทิตเป็นไงลูก” พ่อเลี้ยงถามด้วยท่าทีร้อนใจ
“ผม...ผมไม่เป็นไร”
“คุณวาทิตไม่ยอมพ่นยาค่ะ” จั่นเป็งบอก
เมทินีตกใจ “แล้วนรีอยู่ที่ไหน” พูดพลางเธอหันไปทางเอื้องคำ “ป้าตามนรีหรือยัง”
“เอ่อ...หาไม่เจอค่ะ”
เมทินีรีบไปรับขวดยาพ่นจากจั่นเป็ง “วาทิต พ่นยาหน่อยนะ”
“ไม่จำเป็น ยังไงเมก็จะไปจากผมอยู่แล้ว ไม่ต้องมาทำดีส่งท้ายหรอก”
“วาทิต นี่ไม่ใช่เวลาจะมางอนกันนะ”
รุทรแกล้งงอน ปัดมือเมทินีออกอีก “ผมก็ไม่ได้ให้เมมาง้อนี่”
“หนูเม...พ่อขอร้องเห็นแก่พ่อได้ไหม” พ่อเลี้ยงบอกด้วยน้ำเสียงขอร้อง
เมทินีมองรุทรที่หอบหนักจนมือไม้เกร็ง
“วาทิต ฉันไม่หย่าแล้ว”
นัยน์ตารุทรวาบขึ้นมา แต่ก็ยังทำเป็นหอบต่อ
“ไม่ต้องหลอกผมเพื่อจะให้ผมพ่นยาหรอก เมไปเถอะ อย่าเสียเวลากับผมเลย”
“ฉันพูดจริงๆ ฉันจะไม่หย่า ฉันสัญญา”
รุทรแกล้งทำเป็นเอามือตะกายดึงมือเมทินีมา ให้เมทินีพ่นยา แล้วค่อยหอบน้อยลงๆ จนเหลือแค่หายใจแรง
พ่อเลี้ยงมอง ยิ้มเป็นเชิงขอบคุณเมทินี เอื้องคำแอบสะกิดจั่นเป็ง
“เชอะ อีกหน่อยไม่พอใจอะไรก็คงท้าหย่าให้คุณวาทิตเอาอกเอาใจอีก เกลียดนักอีพวกมารยาสาไถย์
“เอื้องคำ จั่นเป็ง มีอะไรก็ไปทำไป”
เมทินีได้ยินที่เอื้องคำนินทาตัวเอง ก็หันไปมองแต่เอื้องคำจ้องกลับก่อนดึงจั่นเป็งออกไป เมทินีได้แต่ถอนใจอย่างเหนื่อยล้า
ตกกลางคืน เมทินีกำลังเช็ดตัวให้รุทร โดยที่รุทรหลับตาเหมือนนอนหลับ อังกูรมาเยี่ยมยืนจ้องดูด้วยสายตาโกรธจัด
“เมก็เลยต้องอยู่ที่นี่ให้วาทิตกดขี่ข่มเหงต่อ”
“มันจำเป็น และเมก็รับปากคุณพ่อกับวาทิตแล้วค่ะ”
“แล้วความสุขในชีวิตของเมล่ะ”
“การที่ไมได้กลับมาเรียนหนังสือ มันก็คือความสุขที่สุดของเมแล้ว”
“ถ้าเมตัดสินใจแล้วพี่ก็ไม่ว่าอะไร แต่พี่ขอบอกไว้ก่อนนะ ถ้าเมื่อไหร่ที่เมไม่มีความสุข เมต้องบอกพี่ พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเมได้อีกแล้ว”
“ขอบคุณค่ะพี่กูร”
อังกูรอารมณ์เสียเดินออกไปจากห้อง เมทินีเช็ดตัวรุทรอีกสักพัก ก็ยกอ่างน้ำกับผ้าขนหนูเข้าห้องนำไป
รุทรลืมตาขึ้นมองตามเมทินีไปอย่างชิงชัง
“ฮึ ห่วงหาอาลัยกันนักใช่ไหม อย่าหวังเลยว่าจะสวมเขาให้น้องชายฉันได้”
อังกูร เดินออกมาจากห้องนอนวาทิต แล้วหยุดตรงระเบียงบันไดเหลียวมองกลับไปที่ประตูห้องวาทิตด้วยความเจ็บใจ
“คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าแกแกล้งป่วย คุณลุงก็คงให้ท้ายมัน สักวันฉันจะจัดการทั้งพ่อทั้งลูกพร้อมๆกันเลย”
อังกูรคั่งแค้นสุดจะประมาณแล้ว
รอบบริเวณบ้านท้ายไร่ของรุทรตกอยู่ในความมืดยามค่ำคืน มีเพียงแสงไฟจากห้องนอนรุทร ที่บัดนี้วาทิตรักษาตัวอยู่เท่านั้น
วาทิตนอนหลับเป็นผักอยู่ แรมนอนหลับอยู่ข้างๆ ส่วนตรงมุมห้องวารินนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ หาวไปด้วย วารินพักบิดขี้เกียจแล้วมองไปยังแรมกับวาทิตที่หลับทั้งคู่
พอแน่ใจว่าสองคนหลับสนิทก็หันมาเปิดเฟซบุ๊ค หน้าจอไมตรียังไม่รับเป็นเพื่อน วารินหมั่นไส้แลบลิ้นใส่หน้าเฟซหนึ่งดอก
“ใครน่ะริน”
วารินตกใจ หันไปทางเสียงเห็นแรมยืนเพ่งหน้าจออยู่ วารินรีบเบี่ยงตัวบังจอ
“แม่ยังไม่หลับเหรอ”
“ก็หลับแล้ว แต่จะตื่นมาพลิกตัวพี่เค้าเลยเห็นรินยังไม่นอน แม่ก็เป็นห่วงนึกว่าทำงานดึก แต่มานั่งดูหนุ่มที่ไหนเนี่ย แฟนหรือเปล่า”
“อุ๊ย ไม่ใช่นะแม่ เพื่อนที่คณะจ้ะ คนที่เค้าเคยมาช่วยรินจนมีเรื่องไง”
“เหรอ หน้าตาหล่อนะ วันหลังชวนเค้ามาเที่ยวบ้านสิ แม่จะทำอาหารเลี้ยงขอบคุณ”
วารินหน้าเศร้าลง “เค้าคงไม่มาหรอกแม่”
“ทำไมล่ะริน”
วารินมองหน้าแรมคิดไม่ออกว่าจะพูดยังไงดี
วารินกับแรมนั่งคุยกันอยู่ตรงระเบียงหน้าบ้านในบรรยากาศสวยงามยามค่ำคืน
“ฟังจากที่รินเล่าแล้ว แม่ว่าที่ไมตรีเค้าทำกับลูกก็สมควรอยู่นะ”
“อ้าว แม่ ไหงไปเข้าข้างคนอื่นล่ะ อยู่ข้างรินสิจ๊ะ”
“แม่ไม่ได้เข้าข้าง แต่เข้าใจเพื่อนของรินต่างหาก ถ้ารินเจอใครครั้งแรกแล้วเค้าดูถูกรินว่ารินโง่ รินจน รินเป็นคนไม่ดี รินอยากจะเป็นเพื่อนกับเค้าไหม”
“ไม่จ้ะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็คนที่ไม่ชอบเรา แล้วเราจะไปเป็นเพื่อนกับเค้าทำไม ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า”
“ไมตรีก็คิดอย่างนี้”
วารินหน้าเศร้าลงไปอีก “นี่รินจะไม่มีโอกาสแก้ไขความผิดของรินเลยใช่ไหมแม่”
“มีสิ ความดีกับความพยาม นั่นแหละคือโอกาสของมนุษย์ทุกคน”
วารินได้ฟังก็ใจชื้นรู้สึกดีขึ้น
“ขอบคุณจ้ะแม่”
สองแม่ลูกกอดกัน
รุ่งเช้า เมทินีนั่งแต่งหน้าอยี่ท่าทีผ่อนคลายลงแล้ว จนมีเสียงเคาะประตู เมทินีมองไปที่ประตูก่อนจะลุกเดินไปเปิด แต่ต้องแปลกใจที่เห็นเป็นกินรี
“อ้าว..รี มีอะไร วาทิตให้มาตามเหรอ”
กินรีเดินเข้าห้องมาแล้วปิดประตูลง หันกลับจ้องหน้าเมทินีด้วยความโกรธ โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันคิดหล่อนตบหน้าเมทินีอย่างแรง
เมทินีช็อก “นี่มาตบฉันทำไม”
“ฉันอยากทำมากกว่าตบอีกนะ สำหรับความเลวของเธอ”
“ฉันไปทำอะไรให้เธอน่ะนรี”
“เธอทำสิ ทำลายชีวิตฉันทั้งชีวิตเลย ฉันเกลียดเธอ”
พูดจบกินรีก็หันหลังกลับจะเดินไป
“เดี๋ยวนรี เธอจะมาทำตัวอันธพาลแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันไม่ยอม”
เมทินีเดินตามไปแล้วกระชากไหล่กินรีให้หันมาแล้วจะเงื้อมือตบแต่ต้องชะงักค้างไว้ เพราะใบหน้ากินรีตอนนี้น้ำตาไหลนองเต็มหน้า
“อะไรของเธอเนี่ย”
กินรีปัดมือเมทินีที่จับไหล่ออกอย่างแรง แล้วเดินหนีไป เมทินีมองตามงงไม่เข้าใจ
เมทินีคาใจเรื่องท่าทีกินรียิ่งนัก เธอแวะไปหาทิปปี้ที่ออฟฟิศในทันที สองสาวนั่งคุยกันอยู่มุมหนึ่ง ทิปปี้เองก็มีอาการมึนงง หลังจากฟังเรื่องยุ่งๆ ของเมทินีจบลง
“เฮ้ย...เดี๋ยวๆๆ ฉันฟังแกทั้งหมดแล้วงง เมื่อวานแกแกล้งวาทิตด้วยการไปกับพี่กูร” เมทินีพยักหน้ารับ “พอกลับมาวาทิตโมโหทะเลาะกับแก แล้วเมื่อเช้านี้นรีไปหาแกที่ห้อง เพื่อ...ไปตบ” เมทินีพยักหน้าอีก “แล้วนรีมาเกี่ยวอะไรด้วย”
“นี่ละที่ฉันยังงงอยู่”
ทิปปี้พยายามช่วยนึก “ก่อนหน้านี้เค้าเคยจะพยามทำร้ายแกหรือเปล่า”
เมทินีส่ายหน้า ทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ “ส่วนใหญ่ก็จะเหน็บฉันหาว่าฉันอ่อยบ้าง หาว่าฉันเป็นผู้หญิงไม่ดีบ้าง แต่ไม่ร้ายแรงอะไร แถมตอนถูกงูกัดยังมาทำแผลให้ฉันด้วยนะ เสียแต่ตบท้ายด้วยคำพูดแรงๆ ให้ฉันเจ็บกว่าแผลงูกัดอีก”
“ฉันว่าแบบนี้มันออกแนวอิจฉาแล้วว่ะ”
“อิจฉาเหรอ มาอิจฉาฉันเรื่องอะไร”
“ลองคิดดูสิ นรีทำงานใกล้กับวาทิตมาตั้งนาน แต่วันดีคืนดีแกก็แต่งงานกับวาทิตหน้าตาเฉย”
“นี่แกกำลังจะบอกว่านรีแอบชอบวาทิตเหรอ”
“หรือแกจะคิดว่านรีเกลียดแกด้วยสาเหตุอื่นล่ะ”
“เฮ้อ...ชีวิตฉันทำไมมันมีแต่เรื่อง”
เมทินีกับทิปปี้ช่วยกันคิด แต่มืดแปดด้านสองสาวถอนหายใจกับเรื่องแย่ๆ ในชีวิตเมทินี ระหว่างนี้มือถือเมทินีมีสายเข้า เมทินีกดรับ
“ค่ะพี่กูร...ตอนนี้เลยเหรอ...ได้ค่ะ เมว่าวาทิตเค้าไม่ว่าอะไรถ้าเมชวนทิปปี้ไปด้วย เดี๋ยวเจอกันค่ะ”
เมทินีกดวางสาย ทิปปี้อยากรู้ทันที
“มีอะไรเหรอ”
“พี่กูรบอกว่าเพื่อนเขาอยากได้คนจัดดอกไม้งานประชุมบ่ายนี้ พี่กูรเลยอยากให้ฉันไปช่วย แกไปด้วยได้ไหม วาทิตจะได้ไม่ว่า”
“ฉันไปไม่ได้หรอก พ่อเลี้ยงกับวาทิตไปประชุมที่จังหวัด แล้วพี่กูรกับแกก็จะไม่อยู่ ถ้าฉันทิ้งออฟฟิศไปอีกคน พ่อเลี้ยงเอาตายแน่”
“งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันบอกวาทิตเอง” เธอกดโทรศัพท์โทรอกแต่สัญญาณปิดเครื่อง “ปิดเครื่องน่ะ”
“ก็น่าปิดอยู่หรอก วันนี้ทั้งผู้ว่าฯ ทั้งประธานหอการค้าจังหวัด เข้าประชุมหมด เอาไงดี”
สองสาวช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงให้วาทิตรู้เพื่อไม่ให้มีปัญหาตามมา
อ่านต่อหน้า 4
เงาใจ ตอนที่ 9 (ต่อ)
บรรยากาศตอนเช้าที่สวนผักของรุทรคึกคักเช่นทุกวัน อนุวัตรเดินไปเดินมาเหมือนรอใครอยู่ ส่วนมุมหนึ่งของสวน เห็นคนงานขนผักใส่รถกระบะพ่อค้าคนกลางรายหนึ่งเสร็จ พ่อค้าจ่ายเงินให้คนงานลูกน้องแล้วขับไป
ลูกน้องวิ่งเอาเงินมายื่นให้อนุวัตร หนุ่มเสียงแปร๋นรับไปนับแล้วเก็บใส่รวมกันในกระเป๋าคาดเอว แล้วหันมาลุ้นรอการมาของใครบางคนต่อ
สักพักอนุวัตรก็ยิ้มแป้นแล้นดีใจ ที่เห็นรถของบุษบันแล่นมาแต่ไกล เขารีบจัดเสื้อผ้าหน้าผม แล้วเต๊ะท่ายืนรอให้ดูเท่ที่สุด แต่กลับไม่ชอบใจ วิ่งไปยืนที่กลุ่มคนงาน แล้วดันไม่ชอบอีก เขารีบวิ่งกลับมาที่เดิมเปลี่ยนท่าเก๊กใหม่
รถแล่นมาจอดตรงหน้า พอประตูเปิดปรากฏว่าคนที่ลงมากลายเป็นลูกน้องเจ๊บุษบัน อนุวัตรผิดหวังโครตๆ
“เจ๊บุษไปไหน ไม่เห็นหลายวันแล้ว”
“อ๋อ ช่วงนี้เจ๊เค้าบอกว่าให้ผมมาแทนครับ แต่ถ้าคุณรุทรกลับมาที่ไร่แล้วเค้าจะมารับผักเอง”
“อะไรวะ มีแบบนี้ด้วยเหรอ”
“มีครับ เนี่ยผมยังถามแกเลยว่า เจ๊ๆๆ เจ๊ไม่ไปหน่อยเหรอ แกก็ตอบว่า...” ลูกน้องจอมเจ๋อเลียนเสียงบุษบัน “โอ๊ย ถ้ารุทรไม่อยู่ไปทำไม เสียเวลา แล้วผมก็ถามว่า...”
อนุวัตรสวนทันที “พอแล้ว เล่าละเอียดไปไหม มึงจะรับผักก็รับไปเร็วๆ”
ลูกน้องบุษบันเดินจะไปเปิดท้ายรถให้คนงานขนผักขึ้น แล้วนึกบางอย่างได้ เดินกลับมาหาอนุวัตร
“เฮีย แล้ววันก่อนผมก็ถามเจ๊แกนะว่า เจ๊ๆๆ เจ๊ชอบคุณรุทรมากเหรอ แกก็ตอบว่า” ลูกน้องเลียนเสียงบุษบันอีก “โอ๊ย ก็ชอบสิ จะให้ชอบคนอื่นเหรอ ผู้ชายทั้งโลกน่ะรุทรดีที่สุดคนเดียว แล้วผมก็ถามว่า...”
อนุวัตรรำคาญ หันไปคว้าหัวไชเท้ายัดปากลูกน้องแล้วเดินหนีไปเลย ลูกน้องยังไม่วายจะเล่าต่อทั้งๆ ที่หัวไชเท้าคาปาก
อนุวัตรเดินใจลอยเข้าออฟฟิศมา ตรงไปนั่งที่โต๊ะทำงาน แล้วเห็นคอมพ์ที่โต๊ะเปิดอยู่ เลยพาลหงุดหงิด
“ใครมาเปิดคอมทิ้งไว้วะ”
“ผมเปิดเองครับ”
อนุวัตรหันหาเสียงมองไปรอบๆ ห้อง แต่ก็ไม่เห็น
ที่แท้อนุวัตรใจลอยมานั่งตักบอย น้องร่วมงงานที่นั่งเก้าอี้อยู่ก่อน บอยสะกิดยิกๆ อนุวัตรสะดุ้งหันไปมองแล้วกรี๊ดเสียงแปร๋น รีบลุกขึ้น
“อ้าว ไอ้บอย มานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมไม่ไปนั่งโต๊ะตัวเองวะ”
“คือพี่วัตรครับ นี่อ่ะโต๊ะผม โต๊ะพี่น่ะตัวโน้นครับ” บอยว่า
อนุวัตรหน้าแตกยับเยิน
“อ้าวเหรอ โทษทีๆ ไอ้โต๊ะสำนักงานนี่ทำไมมันเหมือนๆ กันไปหมดงงเลย”
หัวหน้าที่นั่งอยู่โต๊ะด้านในร้องบอก
“วัตร บันทึกประชุมเรื่องสตรอว์เบอร์รี่พันธุ์พระราชทานยังไม่ส่งให้พี่เลยนะ”
“โทษทีครับพี่ผมลืม ปริ๊นต์ให้เดี๋ยวนี้เลยครับ”
อนุวัตรบอกแล้วเปิดไฟล์สั่งปริ้นต์ ก่อนจะหยิบถือไปส่งให้ หัวหน้าเห็นก็แปลกใจ
“เอาอะไรมาให้พี่เนี่ย สิบวิธีมัดใจสาวแก่”
อนุวัตรสะดุ้ง รู้สึกตัว “เย้ย ไม่ใช่ครับ ผมโหลดมาอ่านเล่นๆ สงสัยจะกดผิดไฟล์ ขอคืนครับ แฮะแฮะ”
พลางอนุวัตรรีบดึงกระดาษคืนมาจากหัวหน้าแล้วรีบไปปริ้นท์รายงานมาส่ง
“นี่ครับ อันนี้ถูกต้องแน่นอน”
“แอบรักใครวะ” หัวหน้าพึมพำ พยายามนึก “สาวแก่ในโครงการเราก็แต่งงานหมดแล้วนี่หว่า” สุดท้ายนึกได้ “เฮ้ย แอบรักคนมีเจ้าของเหรอวะ”
“เปล่าพี่ ไม่ใช่คนในนี้หรอก อย่าไปสนใจเลย ยังไงเค้าก็ไม่มองผมอยู่แล้ว”
อนุวัตรหน้าละห้อย
“แล้วจะไปประชุมไหวไหมวะเนี่ย” หัวหน้าถาม
“ผมไม่ไปได้ไหมพี่ ให้ไอ้บอยไปแทน”
บอยรีบวิ่งมารับอาสา “ผมเต็มใจไปแทนเลยพี่วัตร”
อนุวัตรเขม่น “ทำไมวะ ทุกทีเห็นบอกไม่ชอบคุยกับผู้ใหญ่”
“แน่ะ...พี่วัตรยังไม่รู้อ่ะดิ เจ้าหน้าที่จากลำปางเขามาไม่ทัน เมื่อเช้าเลยโทร.มาบอกว่า ขอประชุมที่ร้านอาหารที่กาดบุษบันแล้วกัน เพราะมีร้านอาหารเมืองอร่อย ลาบปากฟรีๆ ทำไมจะไม่ไป”
อนุวัตรหูผึ่ง “ประชุมที่กาดบุษบันเหรอ งั้นผมไปเอง”
หัวหน้ากับบอยมองหน้ากันงงๆ
“หายซึมแล้วเหรอ” หัวหน้าเย้า
“หายแล้ว เดี๋ยวผมไปเลยนะครับพี่”
อนุวัตรรีบวิ่งไปที่โต๊ะ หยิบแฟ้มเอกสารแล้ววิ่งปรู๊ดออกไป
“มันขยันไปไหมวะ เค้านัดบ่ายนี่หว่า”
หัวหน้าบ่นกับบอยที่เกาหัวงงๆ
คนงานทำสวนกำลังรดน้ำต้นไม้ด้วยบัวรดน้ำอยู่ พอมาถึงต้นกุหลาบที่กำลังออกดอกโตสวยน้ำก็ดันหมด คนงานเดินไปข้างออฟฟิศเพื่อเติมน้ำ
อนุวัตรวิ่งออกมาจากออฟฟิศ ผ่านหน้ากอกุหลาบเลยไปแล้ว เขาเบรกเอี๊ยดถอยหลังกลับมายืนดู แล้วตัดสินใจตัดกุหลาบดอกสวยถือติดมือไป
คนงานเดินกลับมาเอาที่รดน้ำรดต้นกุหลาบ พอไม่เห็นดอกกุหลาบก็ทำหน้างงๆ มองซ้ายขวา
“มันหายไปไหนวะ เมื่อกี้ยังบานอยู่ตรงนี้เลย”
คนงานเกาหัวงงๆ
อนุวัตรขับรถมาตามทางในศูนย์วิจัย มองกุหลาบดอกโตแล้วก็ยิ้มหวานให้ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดเพลงฟัง เสียงเพลง แอบรักแม่ม่าย ดังลั่นรถ
“อยากรักแม่ม่ายยากเอาใจคนดี กี่เดือนกี่ปียังสวยโสภีไม่สร่าง”
อนุวัตรตะเบ็งเสียงร้องแข่งกับวิทยุอย่างอารมณ์ดี
อีกฟาก ตรงมุมแต่งตัวหน้าร้านกาแฟเก๋ๆ ของบุษบัน
ไนกี้ - นิธิดล ป้อมสุวรรณ พระเอกดาวรุ่งเอ็กแซ็กท์ กำลังนั่งให้ช่างแต่งหน้าอยู่ บุษบันยืนกะลิ้มกะเหลี่ยอวดสรรพคุณตัวเองอยู่ใกล้ๆ
“จริงๆ ร้านกาแฟนี่บุษก็เปิดเล่นๆ น่ะค่ะ ช่วยดึงคนมาเดินตลาด คือบุษเป็นเจ้าของทุกอย่างค่ะ ทั้งตลาด ตึกแถว คิวรถ พูดง่ายๆ คือรวยค่ะ”
“อ๋อ ครับๆ” ไนกี้รับ
“ปกติพี่บุษไม่เคยให้ใครเช่าร้านถ่ายหนังถ่ายละครนะคะเนี่ย ขนาด อ้อม พิยดา มาขอพี่บุษยังไม่ให้เลย ฮอลลีวูดก็เคยมาติดต่อนะแต่บุษปฏิเสธไป นี่ถ้าไม่ใช่เพราะน้องไนกี้เป็นพระเอก พี่บุษก็ไม่ให้เช่าหรอก”
“อ๋อ ครับๆ”
“น้องไนกี้ตัวจริงนี่หน้าเด๊กเด็กนะคะ พี่บุษเป็นแฟนคลับน้องไนกี้มาตั้งแต่ละครเรื่องแรก รับบท พ่อสุข ในเรือนริษยา เลยนะคะ” เจ๊บุษบิดแทบเป็นงูเหลือม “อุ๊ย น่ารักมาก”
“อ๋อ ครับๆ”
ผู้ช่วยผู้กำกับเดินเข้ามาหา “ไนกี้ครับเชิญที่หน้าเซ็ตครับ”
“อ๋อ ครับๆ”
ไนกี้ลุกขึ้นเดินตามผู้ช่วยไป
“เดี๋ยวฉันตามไปซับหน้าให้น้องไนกี้เองนะ” บุษบันอาสากับช่าง
ช่างแต่งหน้าขัดขึ้น “อุ๊ย ไม่ได้หรอกค่ะเดี๋ยวหนูก็โดนด่าสิคะว่าทิ้งงาน”
“พันนึง”
บุษบันควักแบงก์พันมาชูตรงหน้า ช่างแต่งหน้ารีบดึงไปทันที แล้วส่งร่มกับกล่องกระดาษทิชชู่ให้
“รบกวนฝากคุณพี่ช่วยดูแลน้องไนกี้ให้หน่อยนะคะ”
บุษบันยิ้มสมใจ
ที่หน้าเซ็ตมุมสวยของร้านกาแฟ ไนกี้กำลังยืนรอเข้าฉาก มีบุษบันยืนกางร่มให้พร้อมกับซับหน้าเป็นระยะๆ ยิ้มภูมิใจเชิดๆ เวลามีคนมอง คุยฟุ้งอวดรวยเป็นหย่อม
ซึ่งไนกี้บอกรับคำเดิม “อ๋อ...ครับๆ”
โดยหลังๆ มา ดูออกว่าไนกี้ชักอึดอัด เริ่มทำหน้าเจื่อนลง เรื่อยๆ
อนุวัตรขับรถมาที่หน้าตลาดแล้วต้องแปลกใจ เมื่อเห็นรถกองถ่ายและรถตู้จอดอยู่เต็มไปหมด
“ทำไมรถเยอะอย่างงี้วะ”
อนุวัตรเลี้ยวรถไปจอดที่มุมหนึ่ง มองกุหลาบตรงเบาะ ยิ้มแก้มแทบแตก แล้วหยิบลงจากรถ อนุวัตรหยิบโทรศัพท์มาจะกดโทร.แต่เปลี่ยนใจเก็บเข้ากระเป๋าแล้วเดินไป
“ผู้หญิงชอบเซอร์ไพรส์”
อนุวัตรเดินไปมองหาไปแล้วเห็นไทยมุง กำลังก่อการมุงกองถ่ายละครก็เลยเดินเข้าไปดู พอมองไปรอบๆ ก็ต้องอึ้ง กัดฟันกรอด เมื่อเห็นบุษบันยืนคุยกระหนุงกระหนิง อยู่ใกล้ๆ ไนกี้ นิธิดล ในร้านกาแฟ
“หืม...เนี่ยะเหรอชอบไอ้รุทรที่สุดในโลก ชอบรุทรคนเดียว รักรุทรคนเดียว”
บุษบันยังยืนคุยอี๋อ๋อกับไนกี้ไปเรื่อย
“รู้ไหมคะ น้องไนกี้มาเติมเต็มให้ชีวิตของบุษจริงๆ”
“อ๋อ..ครับๆ”
ทีมงานเดินเข้ามาหา “ไนกี้ครับ ขอวางบล็อกกิ้งครับ”
“อ๋อ...ครับๆ” ไนกี้เดินตามทีมงานไป บุษบันโบกมือส่ง
“ตั้งใจทำงานนะคะ บุษจะเป็นกำลังใจอยู่ตรงนี้”
ระหว่างที่บุษบันยิ้มหน้าบานโบกมืออยู่นั้น อนุวัตรก็เดินเข้ามาขวางตรงหน้า บุษบันตาเหลือก ตกใจ
“นี่เจ๊ เป็นเจ้าของตลาดดีๆ ไม่ชอบมาถือร่มให้ดาราซะงั้น”
“แล้วแกมายุ่งอะไรด้วยไอ้หน้าลิง ฉันจะดูแลน้องไนกี้ของฉันแกอย่ามาเสื่อม”
“รู้ได้ไงว่าผมเสื่อม ลองแล้วเหรอ”
“ไอ้บ้า ไอ้ลามก ไปเลยนะ อย่ามาขวางช่วงเวลาดีๆ ในชีวิตฉัน”
“อ๋อเหรอ นี่เจ๊ ไนกี้น่ะเค้าไม่ชอบผู้หญิงแก่” อนุวัตรทั้งหมั่นไส้ทั้งหึง
“แกมามาสู่รู้ไอ้หน้าลิง”
พลางบุษบันผลักอนุวัตรให้หลีกแล้วไปยืนโบกมือเป็นกำลังใจให้มอส อนุวัตรหมั่นไส้สุดๆ
“ตกลงจะนอกใจไอ้รุทรไปชอบไนกี้ใช่ไหม ได้ ผมจะโทร.บอกมันเดี๋ยวนี้”
พูดจบอนุวัตรก็เดินไป บุษบันเป้ปากใส่ แล้วหันไป แต่นึกได้
“ว๊าย...ไอ้หน้าลิงอย่าโทร.นะ”
บุษบันวิ่งตามแหวกไทยมุมออกไปให้พ้นทาง
มอสเห็นบุษบันวิ่งไป ก็เป่าปากโล่งอก
อนุวัตรเดินหน้าตึงมาที่รถด้วยความโมโหระคนน้อยใจ บุษบันวิ่งตามมาแล้วกระชากแขนให้หันกลับมา
“นี่อย่าไปบอกรุทรนะ”
“ทำไม ก็เจ๊ไม่จริงใจกับไอ้รุทรมันนี่”
“ไนกี้เขามาติดฉันเอง ฉันไม่รู้จะปฏิเสธเขายังไง” บุษบันยิ้มภาคภูมิในเสน่ห์ตน
“ห๊า...เมื่อกี้ที่เห็นนี่ไนกี้ชอบเจ๊เหรอ”
“ก็คนทั้งสวยทั้งเสน่ห์แรงนี่ยะทำไงได้ กุหลาบนั่นรุทรฝากมาให้ฉันใช่มั้ย นี่รุทรกลับมาแล้วเหรอ กลับมาแล้วใช่ไหม”
“ยังหรอก อีกสักพักนั่นล่ะ”
“งั้นก็แสดงว่าฝากให้เธอเอากุหลาบมาให้ฉันใช่ไหม”
บุษบันพูดเองเออเอง ดึงกุหลาบจากมืออนุวัตรไปดม
“เจ๊ ชอบไหม”
“ชอบสิ อะไรที่รุทรให้ชอบทั้งนั้นแหละ หมดธุระแล้วใช่ไหม งั้นก็ไปได้แล้ว”
อนุวัตรเซ้าซี้ “แล้วเจ๊ล่ะ”
“เอ่อ...คือฉันก็ต้องดูแลกองถ่ายในฐานะเจ้าของสถานที่ ไปๆๆ ไปไหนก็ไป ฉันยุ่งอย่ามา เกะกะ”
บุษบันดันหลังอนุวัตรให้ไป แล้วตัวเองก็เดินถือดอกกุหลาบเดินกลับไป
อนุวัตรยืนมองตามตาละห้อย คาดว่าตอนนี้ เสียงดนตรีเศร้าโคตรๆ ดังกระหึ่มขึ้นในใจเขาเป็นแน่แท้
ไนกี้ถ่ายละครไป มีเจ๊บุษบันยืนปลื้มปริ่มอยู่ข้างๆ เซ็ต ห่างออกไปฝั่งตรงข้ามถนนในตลาด อนุวัตรนั่งประชุมอยู่ในร้านข้าวซอย แอบดูบุษบันตลอดเวลา จนจังหวะนั้น พอ ผู้กำกับฯ สั่งคัต บุษบันรีบวิ่งไปซับหน้าไนกี้แล้วคุยกันใหญ่
อนุวัตรเอาแต่มองจนคนที่ประชุมด้วยต้องเรียก อนุวัตรต้องตัดใจ เพ่งสมาธิไปที่งาน
อนุวัตรขับรถมาตามถนนเส้นหนึ่ง เสียงเพลงจากวิทยุในรถดังคลอ อนุวัตรไม่ชอบ กดเปลี่ยนคลื่นหาเพลงใหม่ ตั้งท่าจะตีหน้าเศร้า แต่เพลงไม่ได้อารมณ์อีก เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ก็ไม่ใช่อารมณ์รักคุดสักคลื่น
อนุวัตรตัดสินใจจอดรถแล้วกดหาคลื่น
“เฮ้ย เพลงรักต่างวัยไม่มีมั่งหรือไง”
อนุวัตรบ่นบ้า เปลี่ยนคลื่นหาเพลงจนมาเจอเพลงของ ว่าน แต่ก็เป็นเพลงรักสมหวังอีก อนุวัตรกดมือถือโทร.หาดีเจชื่อดัง
“สวัสดีครับ ผมขอเพลงรักต่างวัยที่มันอกหักน่ะครับ ไม่เอาสมหวังครับ อย่างพวกสาวแก่หักอกหนุ่มหล่ออะไรงี้...ไม่มีคนแต่งไว้เลย” อนุวัตรเสียงอ่อย “ครับ…ครับ…ครับ ขอบคุณครับ”
อนุวัตรกดวางสายไป สีหน้าเซ็งสุดขีด
“แค่จะฟังเพลงอกหักรักต่างวัยก็ยังไม่มีให้ฟังเลย ไอ้วัตรหนอไอ้วัตรทำไมอาภัพ ป้าพับ น้าพับ แบบนี้วะ”
อนุวัตรฮึดฮัดขัดใจเหลือแสน
ฝ่ายรุทรมาหาทิปปี้ที่ออฟฟิศไร่ธนาทร และรู้สึกหงุดหงิดเมื่อได้รู้จากสาวผิวหมึก
“ไปจัดดอกไม้ให้เพื่อนพี่กูร”
“เห็นพี่กูรบอกว่าคนที่จ้างมาจัดไม่ถูกใจ ที่จริงเมเค้าโทราเธอนะแต่ไม่ติด ก็เลยฝากข้อความไว้ไม่เห็นเหรอ”
“ฉันปิดเครื่องน่ะ” รุทรเอาเครื่องมาเปิดดูแล้วอ่าน “ไปตั้งแต่เช้าแล้วนี่”
ทิปปี้พยักหน้ารับรู้ แต่เริ่มใจไม่ดีกลัวรุทรโกรธ รุทรเองก็กดโทรศัพท์หาเมทินีทันที
“เม...อยู่ที่ไหน”
ทิปปี้เห็นท่าทางรุทร กลิ่นมาคุโชยมาก็เสียวไส้ขึ้นมาทันที
เมทินีจัดดอกไม้ในห้องประชุมในโรงแรม ออกมาอย่างสวยงาม ทุกอย่างแล้วเสร็จ เพื่อนอังกูรที่ยืนดูอยู่ก็พอใจมาก
“ตายแล้วกูร สวยมาก เก่งมาก”
อังกูรเป็นปลื้ม “เป็นไงล่ะ บอกแล้วว่าฉันหาคนจัดที่เก่งกว่าคนจากกรุงเทพฯที่เบี้ยวงานเธอได้แน่ๆ”
เพื่อนสาวนางนั้นหันมาทางเมทินี “ขอบคุณมากนะคะน้องเมที่มาช่วยพี่ ไม่งั้นแย่เลยงานนี้ใหญ่มากด้วย”
“ยินดีค่ะ”
รุทรเดินเข้ามาในห้อง ส่งเสียงนำมาก่อนตัวจะถึง “เสร็จธุระแล้วใช่ไหมเม”
ทุกคนหันไปตามเสียง ก็เห็นรุทรเดินหน้าตึงเข้ามา
อังกูรสร้างภาพแสนดีทันที “ก้อย นี่น้องชายเราชื่อวาทิต”
“สวัสดีค่ะ”
รุทรเพียงพยักหน้ารับ “สวัสดีครับ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ งั้นผมขอพาเมกลับนะครับ”
“เอ่อ จะรีบไปไหนล่ะคะ ขอให้ก้อยได้เลี้ยงขอบคุณน้องเมหน่อยนะคะ เชิญคุณวาทิตด้วย” เพื่อนบอก
“ไม่เป็นไรครับ พอดีมีคนเขาอยากเจอเม ขอบคุณนะครับ” เขาจ้องหน้าอังกูร “ผมขอเมคืนนะครับพี่กูร”
รุทรยิ้มแล้วจะดึงแขนเมทินีไป อังกูรอยากตามไปแต่ไม่รู้จะทำไง ได้แต่ดูรุทรดังเมทินีไปอย่างทำอะไรไม่ได้
สองคนเดินคุยกันมาตามทางเดินในโรงแรม
“นี่ ใครที่อยากคุยกับฉัน เธอกุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า”
“ทำไมคิดอย่างนั้น กุเรื่องบ่อยเหรอ ถึงต้องคิดว่าผมจะเป็นเหมือนเม” รุทรย้อนเอา
“ก็เธอโมโหที่ฉันมากับพี่กูรใช่ไหม”
“รู้ด้วยเหรอ”
“วาทิต ฉันมาคราวนี้เพราะมันจำเป็นเธอก็เห็นอยู่แล้วนี่ จะโกรธทำไม”
“ไม่ได้โกรธแต่ไม่พอใจ”
“ก็เลยกุว่ามีคนอยากเจอฉัน เพื่อจะให้ฉันกลับก่อน”
รุทรหันไปยิ้มกวนประสาท แต่ไม่พูดอะไร ลากเมทินีเดินไปโดยเร็ว
เย็นนั้น มณี กับไมตรี ยืนรออยู่ที่หน้าร้านดอกไม้ สักครู่รถของรุทรแล่นมาจอดด้านหน้า รุทรกับเมทินีลงมาจากรถ เมทินีมองทุกคนอย่างงงๆ
“แม่ มีใครมารอคุยกับเมเหรอ”
“แม่นี่ล่ะที่อยากจะคุยด้วย”
“แม่เหรอ”
มณีพยักหน้ารับด้วยแววตาขุ่นๆไม่พอใจ เมทินีหันไปมองไมตรีๆหยักไหล่เหมือนจะบอกว่าเดี๋ยวก็รู้เอง
ถัดจากนั้น รุทร เมทินี มณี และไมตรี นั่งอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขก มณีมองหน้าเมทินีด้วยสายตาไม่พอใจ
เมทินีต่อว่ารุทรที่เข้าใจว่าเป็นวาทิต “นี่เล่นฟ้องแม่ฉันเหรอ”
มณีปราม “เม ลูกเป็นคนผิดนะ”
เมทินีโต้ “เมไม่ผิด แม่ก็รู้ว่พี่กูรกับเมไม่มีอะไรกัน”
มณีคร้านจะทะเลาะจึงตัดบท “วาทิต บอกสิ่งที่วาทิตต้องการให้เมฟังต่อหน้าแม่ แม่กับไมจะเป็นพยานเอง”
รุทรมองหน้าเมทินีด้วยแววตาของผู้ชนะ
“ผมขอโทษที่ต้องบอกคุณแม่กับไม แต่เมทำเกินไปทั้งๆ ที่เราตกลงกันแล้วว่าเมไม่ควรไปไหนมาไหนกับพี่กูร เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เมห้ามทำให้ผมไม่พอใจเรื่องพี่กูรอีก”
เมทินียัวะ “นี่ มันไม่กว้างไปหน่อยเหรอ ฉันจะรู้ได้ไงว่าอันไหนเธอจะพอใจไม่พอใจ”
“ก็ถ้าผมบอกไม่พอใจปุ๊บเมก็ต้องหยุดทันที หรือจะให้ดีก็ไม่ต้องเจอกับพี่กูรอีกง่ายๆ แค่นี้ทำได้ไหม”
“ไม่ได้ ฉันโตพอที่จะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร เพราะฉะนั้นเลิกเอาแม่กับน้องฉันมาเป็นตัวประกัน” เมทินีหันมาทางแม่กับน้อง “แม่ ไม่ต้องไปกลัววาทิตนะคะ แม่ต้องเชื่อใจเม”
มณีบอกว่า “แต่แม่ต้องการให้เมทำตามที่วาทิตต้องการ”
เมทินีขัดใจมาก “แม่ นี่แม่กำลังหลงกลเค้านะ”
“เค้าที่ลูกพูดน่ะคือสามี คือคนในครอบครัวของเมนะ ถ้าเมไม่ทำก็ไม่ต้องมาพูดกับแม่อีก”
ท่าทีมณีโมโหมากลุกขึ้นเดินออกไป
“แม่คะ” เมทินีหันไปมองรุทร ถูกเขายิ้มเยาะ
เมทินีลากไมตรีออกมาคุยกันในสวนดอกไม้
“ไม ช่วยพูดกับแม่หน่อยสิ”
“จะให้ไมพูดอะไร”
“ก็ที่แม่โกรธพี่ไง ไมไม่เห็นเหรอว่ามันไม่ยุติธรรมกับพี่”
“พี่เม ที่พี่วาทิตเขาขอก็แค่ความสบายใจ พี่เมเล่นไปไหนมาไหนกับพี่กูร แล้วทิ้งพี่วาทิตมันก็ไม่แฟร์”
“นี่เมเข้าข้างเขาเหรอ”
“ครับ และที่ไมกับแม่เข้าข้างเขา ก็เพราะพี่วาทิตเป็นคนดี เขาช่วยครอบครัวเรา และเขาก็มีสิทธิ์ที่จะไม่อยากให้แฟนของเค้านอกใจ”
เมทินีอึ้งไป “นี่ไมกับแม่คิดว่าพี่จะชอบพี่กูรเหรอ”
“ทำตามที่พี่วาทิตเค้าต้องการเถอะนะพี่เม อย่างน้อยก็ทำเพื่อแม่ แล้วก็เพื่อไม่ให้คนอื่นมาว่าพี่ได้”
“คนอื่นมาว่าพี่เหรอ”
“ใช่ ถ้าพี่เมยังไปไหนมาไหนกับพี่กูร ถึงวันนี้ไม่มีใครพูด ต่อไปก็ต้องมี”
จู่ๆ เมทินีหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ตอนคุยกะทิปปี้ขึ้นมา
“นี่แกกำลังจะบอกว่านรีแอบชอบวาทิตเหรอ”
“หรือแกจะคิดว่านรีเกลียดแกด้วยสาเหตุอื่นล่ะ”
คิดขึ้นมาแล้วเมทินีจึงพยักหน้ารับ ฟังสิ่งที่ไมตรีพูดเตือน
“ได้...พี่จะทำตามที่วาทิตขอ”
เมทินีมองไปยังรุทรที่ยืนรออยู่ด้านนอกสวนดอกไม้ ก่อนจะเดินออกไปหาเขา
รุทรยิ้มเยาะ แถมยักคิ้วให้เป็นเชิงบอกว่า เห็นมะในที่สุดเธอก็แพ้
เมทินีจ้องหน้าไม่ชอบใจเป็งเชิงท้าทายว่าเราจะได้เห็นดีกัน
อ่านต่อตอนที่ 10