ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 4
มัศยากับต๋องช่วยกันพาตัวน่านฟ้าเข้ามาที่หน้าห้องทำงานของวิภา พนักงานพากันดูแล้วซุบซิบ
“ปล่อยผมนะเจ๊โหด ผมไม่ใช่นักโทษหนีคดีนะจะได้ตามจับกันแบบนี้ ไอ้ต๋อง ปล่อยฉันนะ ฉันเป็นเจ้านายแกนะ ไม่ปล่อยฉันเตะแกกลิ้งจริงๆ ด้วย”
น่านฟ้าทั้งโวยวายทั้งขู่
“จะเตะจะต่อยจะตื้บผมยอมหมดเลยครับคุณน่าน ดีกว่าโดนคุณท่านไล่ออก”
“นักโทษน่ะเขาหนีความผิดต่อชีวิตคนไม่กี่คน แต่คุณกำลังหนีความรับผิดชอบต่อชีวิตคนทั้งบริษัทนะคะท่านประธาน”
วิภาเปิดประตูห้องทำงานออกมาหน้าบึ้ง
“เธอไม่ต้องเสียเวลาไปพูดกับมันหรอกมัศยา เอาตัวเข้ามาในห้องทำงานนี่ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
วิภาสั่งเสียงเข้มก่อนจะกลับเข้าห้องทำงานไป มัศยากับต๋องรีบลากตัวน่านฟ้าเข้าห้องวิภาไป
“ปล่อยได้แล้ว ฉันอยากจะดูสิว่าท่านประธานของพวกเธอจะมีฤทธิ์สักแค่ไหน”
“คุณท่านจะให้ดิฉันกับต๋องออกไปรอข้างนอกก่อนมั้ยคะ”
มัศยาถามแบบเกรงๆ
“โอ๊ย ไม่ต้องหรอกมั้งเจ๊ ถึงเจ๊ออกไปอยู่หน้าปากซอยเจ๊ก็ได้ยินแม่ใหญ่ด่าผมอยู่ดีแหละ นี่ขนาดไม่ได้ด่าออกไมค์นะ”
น่านฟ้าประชด จับเสื้อผ้าที่รู้สึกว่ายับให้เข้าที่
“เธออยู่นี่แหละมัศยา ต๋องด้วย ถ้าท่านประธานของเธอไม่อายที่ถูกด่าฉันก็ด่าได้แบบไม่อายเหมือนกัน”
“แม่ใหญ่ด่าผมมากี่รอบแล้วจำได้มั้ยครับ”
“ฉันไม่มานั่งจำหรอกว่าด่าแกไปกี่รอบ แกทำตัวให้ต้องด่าเมื่อไหร่ฉันก็จะด่า”
“แล้วแม่ใหญ่ด่าผมทีไรมันได้ผลมั้ยครับ”
น่านฟ้าหลอกล่อถาม
“คนอย่างแกน่ะด่าทีไรก็เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาไปเข้าหูหมาโน่น”
วิภาหลงกลด่าอีกรอบ
“นั่นไง ก็ในเมื่อด่าแล้วไม่ได้ผลแม่ใหญ่จะด่าให้หมามันรำคาญทำไมครับ เดือดร้อนหมามันอีก”
น่านฟ้ายังคงกวนอารมณ์ไปเรื่อย วิภาสูดลมหายใจลึกพยายามสะกดอารมณ์
“ฉันจะไม่ถามแกแล้วว่าเมื่อไหร่แกจะโต แต่จะขอสั่งให้แกเลิกปลิ้นป้อนตลบตะแลงสักที”
“ผมปลิ้นป้อนตลบตะแลงตรงไหนครับแม่ใหญ่”
“ก็ไอ้ที่แกโกหกว่าไม่สบายมาทำงานไม่ได้แต่กลับไปนอนแช่ออนเซ็นออนซ่ากับผู้หญิงนั่นเขาเรียกว่าอะไร”
น่านฟ้าสะอึก ไม่รู้จะเถียงอย่างไรดี
สุกิจกับภูริชเดินนำหุ้นส่วนบริษัทอาวุโสสองคนมาที่หน้าห้องทำงานของวิภา
“ไหนๆ มาแล้วคุณประภาสกับคุณวิทูรย์ก็แวะทักทายพี่วิภาสักหน่อยนะครับ”
“ดีเหมือนกันครับตั้งแต่คุณโชคสิ้นนี่ก็ไม่ได้เจอหน้าค่าตากันเลย”
ทั้งหมดมาหยุดที่หน้าห้อง สุกิจจะเปิดประตูแต่ก็ชะงักเพราะเสียงทะเลาะของวิภากับน่านฟ้าดังออกมาจากในห้อง
“ก็ผมไม่ค่อยสบาย ไข้ขึ้น เลยต้องไปแช่น้ำอุ่นให้ไข้มันลงไงครับ”
“แกนึกว่าฉันโง่อยู่แต่บ้านกับบริษัทไม่รู้จักโลกภายนอกเหรอไอ้น่าน ไอ้ออนเซ็นของแกน่ะยิ่งแช่ ใคร่ยิ่งขึ้น”
หุ้นส่วนมองหน้ากันแล้วก็มองหน้าสุกิจ
“สงสัยวันนี้จะไม่เหมาะแล้วละครับคุณสุกิจ”
“พี่วิภากับเด็กที่มาเป็นประธานคนใหม่ก็เถียงกันแบบนี้ทุกวันแหละครับไม่ต้องตกใจ เดี๋ยวพอเขาพักยกกันแล้วเราค่อยเข้าไป”
สุกิจบอกเหมือนเป็นเรื่องปกติ หุ้นส่วนทั้งสองคนมองหน้ากันไม่ค่อยสบายใจ สุกิจกับภูริชมองหน้ากันแอบยิ้มร้าย
ภายในห้องทำงานของวิภา น่านฟ้ากำลังตั้งป้อมเถียงกับวิภา
“ผมไม่เข้าใจว่าแม่ใหญ่กำลังทำอะไรอยู่ จะมาผลักดันให้ผมรับตำแหน่งประธานบริษัททำไมทั้งๆ ที่ผมไม่อยากได้”
“ก็เพราะบริษัทมันเป็นของแกไง”
“แม่ใหญ่แน่ใจเหรอครับว่าบริษัทเป็นของผม ทำไมผมไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเจ้าของอะไรเลยแม้กระทั่ง พ่อ ทุกอย่างมันเป็นของแม่ใหญ่มาตลอด แม่ใหญ่ก็จัดการเอาสิครับจะมายุ่งกับผมทำไม”
น่านฟ้าตัดรอนกึ่งๆ น้อยใจ
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณโชคพ่อของแกขอร้องเอาไว้ ฉันก็ไม่อยากจะยุ่งกับชีวิตแกนักหรอก ชีวิตนี้แกจะทำอะไรเพื่อคนที่เป็นพ่อบ้างไม่ได้เลยเหรอ”
“แล้วทำไมพ่อไม่บอกกับผมเองล่ะครับว่าอยากให้ทำอะไรไม่อยากให้ทำอะไร”
น่านฟ้าสวนในสิ่งที่คิดออกไป
“แล้วแกอยู่ให้เขาบอกมั้ย เวลาพ่อแกไปหาที่บ้าน แกก็เที่ยวออกไปตะลอนๆ ข้างนอก จนวันที่พ่อเสียแกก็ยังไม่ไปดูใจ จะให้ฉันเรียกแกว่าไง อภิชาตบุตรงั้นเหรอ”
“ก็นี่ไงครับแม่ใหญ่ มันพิสูจน์ได้แล้วว่าผมมันลูกทรพี เพราะฉะนั้นอย่าให้ตำแหน่งผมเลย ผมไม่เหมาะกับที่นี่หรอก”
น่านฟ้าตัดบท
“ฉันไม่สนหรอกว่าแกเหมาะกับที่ไหน ฉันบอกให้แกเป็นประธานบริษัทมีโชคแกก็ต้องเป็น แล้วก็ทำให้ดีที่สุด”
วิภาเสียงแข็งเพราะรู้ดีว่าถึงน่านฟ้าจะหัวแข็งแต่ก็กลัวเธออยู่เหมือนกัน
“แล้วแม่ใหญ่จะรู้ว่าตัดสินใจผิด”
สุกิจเปิดประตูพาหุ้นส่วนสองคนเข้ามาโดยมีภูริชประกบหลัง
“อยู่กันพร้อมหน้าเลยนะครับ ทั้งท่านประธานแล้วก็อดีตประธาน คุณวิทูรย์กับคุณประภาสเขาอยากแวะมาทักทายพี่วิภาน่ะครับ”
สุกิจทำเป็นตาใสไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ตอนนี้คงจะไม่เหมาะล่ะมั้งสุกิจ”
วิภาบอกเป็นนัยๆ
“ตอนนี้แหละเหมาะที่สุดครับแม่ใหญ่ คนที่เป็นหุ้นส่วนจะได้รู้กันให้ทั่วว่าบริษัทมีโชคกำลังจะเจ๊ง”
“แกพูดอะไรของแกไอ้น่าน บริษัทมีโชคจะเจ๊งได้ยังไง”
วิภาตกใจ
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ เพราะผมนี่แหละจะเป็นคนทำให้มีโชคเจ๊งเอง ลุงสองคนถอนหุ้นตอนนี้ยังทันนะครับ อีกไม่กี่เดือนมีโชคเจ๊งแน่”
น่านฟ้าบอกเสียงเข้มก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“ไอ้น่าน ได้เด็กเวร กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องนะ โอย ฉันจะเป็นลม”
วิภาหน้ามืดทำท่าจะล้มทั้งยืน มัศยากับต๋องรีบเข้าไปประคอง
“ใจเย็นๆ ค่ะคุณท่าน นั่งพักก่อนนะคะ”
มัศยากับต๋องพาวิภาไปนั่งพักที่โซฟา หุ้นส่วนสองคนมองหน้ากันเหรอหรา สุกิจกับภูริชยิ้มร้าย
หลังจากดูแลวิภาแล้ว มัศยาเดินตามน่านฟ้าเข้ามาในห้องทำงาน
“ทำไมคุณพูดแบบนั้น มันจะทำให้บริษัทเสียหายคุณไม่รู้หรือว่าแกล้งโง่กันแน่”
“ผมพูดความจริงนะเจ๊ ลองคิดดูสิผมไม่ได้อยากเป็นประธานบริหารมีโชค เอาจริงๆ คือผมไม่อยากยุ่งกับมีโชคเลยสักนิด คนเราถ้าต้องทำอะไรที่ทั้งไม่ถนัดทั้งไม่มีใจอยากจะทำแล้วมันจะรอดเหรอเจ๊”
“ชีวิตนี้คุณจะเลือกทำแต่เรื่องที่ชอบทั้งนั้นเลยเหรอ คุณน่าน มันจะเป็นไปได้ยังไง คุณยังไม่ทันลองทำเลย คุณก็เที่ยวบอกกับทั้งตัวเองทั้งคนอื่นว่าทำไม่ได้ คุณเป็นคนแบบไหนกัน”
มัศยาถามน้ำเสียงผิดหวัง น่านฟ้ารู้สึกผิดนิดหนึ่งแต่ทิฐิมานะเหนือกว่า
“ผมก็เป็นคนแบบที่คุณเห็นนั่นแหละ เหลาะแหละ ไม่เอาไหน เหลวไหล เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”
“ถ้าคุณพร่ำบอกตัวเองด้วยทัศนคติลบแบบนี้ คุณก็คงเป็นอะไรไม่ได้จริงๆ นอกจากสิ่งที่คุณบอก ฉันมองคุณผิดไปจริงๆ”
มัศยาบอกด้วยความผิดหวังแล้วก็เดินออกจากห้องไป น่านฟ้าจะเรียกมัศยาเอาไว้แต่แล้วก็เปลี่ยนใจยักไหล่ไม่แคร์ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหานิรชา
“คุณนิ้มเหรอครับ คิดถึงจังเลย”
ภายในห้องประชุม สุกิจ ภูริช นั่งอยู่กับวิทูรย์ ประภาส และหุ้นส่วนอีก 3 คน
“ขนาดว่าประธานบริษัทประกาศว่าจะทำให้บริษัทเจ๊งแล้วมันจะไหวเหรอครับคุณสุกิจ” วิทูรย์ถาม
“นี่แหละครับที่ผมเป็นห่วง ลำพังไม่รู้งานมันยังสอนกันได้ แต่ตั้งใจจะล้มบริษัทนี่ผมว่ามันเกินไป”
“คุณสุกิจไม่เตือนๆ คุณวิภาบ้างล่ะครับ” ประภาสแนะ
“ตอนนี้มีโชคอยู่ในสภาวะไม่ปกติ น่าจะเอาคนที่บริหารงานได้จริงแบบคุณสุกิจมาเป็นประธานนะครับ ไม่ใช่เอาเด็กเมื่อวานซืนมาทดลองงานแบบนี้”
หุ้นส่วนคนหนึ่งแสดงความเห็น
“ผมก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก เดี๋ยวจะหาว่าอิจฉาเด็กที่ได้ตำแหน่งประธาน ผมเองก็ไม่ได้สนใจหรอกครับตำแหน่งประธานอะไรนั่น แต่เป็นห่วงบริษัทมากกว่า”
วิภาเดินนำมัศยาเข้ามาในห้อง ทุกคนพากันยืนต้อนรับให้ความเคารพ
“ตามสบายค่ะทุกคน เราคนกันเองทั้งนั้น ต้องขอโทษด้วยนะคะที่เรียกประชุมด่วนแบบนี้”
“ดีแล้วแหละครับ พวกเราเองก็ร้อนใจอยากให้คุณวิภาช่วยชี้แจง บอกตรงๆ ว่าผมไม่สบายใจเลยที่ได้ยินประธานบริษัทพูดแบบนั้นออกมา”
วิทูรย์แสดงความคิดเห็น
“ฉันต้องขอโทษแทนตาน่านด้วย แกยังเด็ก ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
"แล้วเอาเด็กแบบนั้นมาบริหารมีโชคมันจะเหมาะเหรอครับ ถ้าคุณวิภาเหนื่อยอยากพัก คนอื่นก็มีความเหมาะสมที่จะทำแทนได้นี่ครับ"
"อย่างคุณสุกิจถึงจะไม่ใช่หุ้นส่วนแต่ก็เหมือนหุ้นส่วน รู้จักบริษัทมีโชคไม่น้อยไปกว่าท่านประธานโชคหรือว่าคุณวิภาด้วยซ้ำ"
ประภาสแนะนำ
“ผมยินดีทำงานให้มีโชคนะครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องสุดแต่พี่วิภาจะเห็นควร”
สุกิจออกตัวทำเหมือนไม่ได้สนใจตำแหน่ง
“ฉันอยากจะขอโอกาสให้ตาน่านสักครั้ง มันเป็นความต้องการของคุณโชคที่สั่งเอาไว้ก่อนเสีย แล้วอีกอย่างบริษัทมีโชคยังไงก็ต้องเป็นของตาน่านวันยังค่ำ ถ้าไม่ให้เขาเริ่มเรียนรู้ตอนนี้แล้วจะไปเริ่มตอนไหน”
วิภาพยายามต่อรองกับบรรดาหุ้นส่วน
“ข้อนั้นเราก็เห็นใจนะครับ แต่เราก็ไม่อยากรับความเสี่ยงเพราะเท่าที่ฟังมาตาน่านของคุณวิภานอกจากไม่สนใจงานแล้วยังประกาศจะทำให้มีโชคเจ๊งอีก”
“เด็กเขาก็พูดไปเรื่อยเปื่อยแหละค่ะ มัศยาเขาก็คอยเป็นพี่เลี้ยงให้อยู่ พวกคุณก็รู้จักมัศยานี่คะ เขาเก่งเรื่องการตลาด แล้วฉันเองก็ไม่ได้ทิ้งซะทีเดียว ถ้ามีอะไรที่มันหนักหนาฉันก็พร้อมจะลงไปแก้ไขทันที ฉันขอเวลาให้ตาน่านสักพักนะคะ”
มัศยามองวิภาอย่างเห็นใจและสงสาร ปกติวิภาเป็นคนแข็ง แต่วันนี้ต้องยอมขอร้องหุ้นส่วนเพื่อน่านฟ้า
“เอาไงดีพวกเรา”
วิทูรย์หันไปปรึกษาหุ้นส่วนคนอื่นๆ
“เอางี้แล้วกันครับ พวกเราจะให้เวลานายน่านพิสูจน์ตัวเองสามเดือน ถ้าครบสามเดือนแล้วบริษัทยังไม่ดีขึ้นก็ต้องปลดนายน่านออก แต่ถ้าคุณวิภาไม่ปลดพวกเราคงต้องถอนหุ้นออกแทน”
ประภาสสรุป วิภาหันไปหามัศยา
“เธอต้องช่วยฉันแล้วนะมัศยา เหนื่อยหน่อยนะ”
“ดิฉันเต็มใจเหนื่อยค่ะคุณท่าน”
มัศยาบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
น่านฟ้านั่งอยู่กับนิรชาในร้านอาหารหรู
“ผมรบกวนเวลาทำงานของคุณนิ้มหรือเปล่าครับเนี่ย”
“ไม่หรอกค่ะ นี่แหละงานของนิ้ม”
นิรชาหลุดปาก
“คุณนิ้มว่ายังไงนะครับ”
“นิ้มหมายถึงนิ้มทำงานแบบฟรีแลนซ์น่ะค่ะ ที่ไหนก็เป็นออฟฟิศได้หมด”
นิรชารีบแก้ตัว
“ดีจังครับ ผมอยากมีอิสระแบบคุณนิ้มบ้างจังเลย”
“คุณน่านมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะ แชร์ให้นิ้มฟังได้นะคะ”
“คุณนิ้มเคยต้องทำอะไรที่ตัวเองไม่อยากทำบ้างมั้ยครับ”
นิรชาชะงักไปนิดหนึ่งนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำอยู่
“ทุกวันนี้นิ้มก็ตกอยู่ในสภาพนั้นค่ะ ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำแต่มันไม่มีทางเลือก”
“ทำไมถึงไม่มีทางเลือกล่ะครับ ผมว่าทางมีให้เดินเยอะแยะ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกเดินทางไหน”
น่านฟ้ายังไม่เข้าใจเรื่องของโอกาสมากนัก
“ใช่ค่ะทางมีเยอะ แต่คนบางคนก็เลือกได้ไม่กี่ทางค่ะ แล้วนิ้มก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่มีสิทธิ์เลือก”
นิรชาบอกแบบน้อยใจในชีวิตตัวเอง
“ไม่เอาแล้ว คุณน่านไม่สบายใจมานิ้มดันคุยเรื่องชวนไม่สบายใจขึ้นไปใหญ่ วันนี้คุณน่านอยากทำอะไรเดี๋ยวนิ้มไปเป็นเพื่อนทั้งวันเลย”
นิรชาบอกน้ำเสียงสดใส
“งั้นผมเซ็ตโปรแกรมเลยแล้วกัน เริ่มจากโยนโบว์ ต่อด้วยคาราโอเกะ แล้วก็ปิดท้ายด้วยดินเนอร์ เป็นไงครับ”
“โอเคค่ะ ตามนี้เลย”
นิรชายิ้มหวานให้ น่านฟ้ารู้สึกหลงใหลหญิงสาวเพิ่มมากขึ้นไปอีก
วิภาเดินนำมัศยาเข้ามาในห้องทำงานของเธอ หลังประชุมกับผู้ถือหุ้นเสร็จ
“เรามีเวลาสามเดือนที่จะทำให้นายน่านเป็นผู้เป็นคน มันจะไหวมั้ยมัศยา”
“จริงๆ แล้วคุณน่านก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรนะคะคุณท่าน แต่ว่านิสัยเด็กๆ ชอบเอาชนะเท่านั้นเอง”
“นั่นละปัญหา นายน่านเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ต้องฝากเธอแล้วนะมัศยา”
“ดิฉันจะทำงานสุดความสามารถเลยค่ะคุณท่าน แต่คงรับปากไม่ได้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง”
“เธอตามนายน่านมาพบฉันหน่อยสิ คงต้องคุยกันจริงๆ จังๆ แล้ว”
“คุณน่านไม่ได้อยู่ที่ห้องทำงานค่ะ ดิฉันโทรเข้ามือถือแล้วไม่ติดคิดว่าคงจะปิดเครื่องค่ะ”
“ไอ้น่านนี่มันตั้งใจจะทำร้ายบริษัทมีโชคจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย เอิ้ก”
วิภาลมขึ้น
“คุณท่านคะ”
มัศยารีบเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไรหรอก”
วิภาบอกแล้วก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ แต่กลับหน้ามืดเป็นลมไปเลย
“คุณท่าน”
มัศยาร้องเรียกด้วยความตกใจ
วิภานอนอยู่บนเตียงคนไข้ มีมัศยากับต๋องเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ด้วยความเป็นห่วง วิภาลืมตาขึ้นมางงๆ
“ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย”
“โรงพยาบาลค่ะ คุณท่านเป็นลมไป ดิฉันเลยรีบให้ต๋องพามาโรงพยาบาล คุณหมอบอกว่ามีอาการความดันขึ้นน่ะค่ะ คงจะเป็นเพราะเครียด”
“จะต้องมาโรงพยาบาลทำไมให้มันเสียเวลา นอนพักเดี๋ยวเดียวก็หาย”
“คุณท่านนอนพักสักวันสองวันดีกว่าค่ะ จะได้หายเครียด”
“ยิ่งอยู่แบบนี้สิฉันยิ่งเครียด ฉันอยากคุยกับไอ้น่านให้รู้เรื่อง”
“ดิฉันรับปากค่ะว่าจะตามคุณน่านมาพบคุณท่านให้เร็วที่สุด”
มัศยาบอกอย่างมั่นใจ
น่านฟ้ากับนิรชามาโยนโบว์ลิ่งกันอย่างมีความสุข
“เดี๋ยวผมขอตัวไปห้องน้ำแป๊บนึงนะครับ”
น่านฟ้าบอกแล้วก็เดินไปทางห้องน้ำ มัศยากับต๋องเดินเข้ามาหาในลานโบว์ลิ่ง
“ไม่มีอ่ะเจ๊”
“ฉันก็คิดว่าไม่มีหรอก คนอย่างคุณน่านเหรอจะมาเสียเวลาโยนโบว์ แต่ลองมาดูให้เห็นกับตาว่าไม่เจอก็ดี จะได้ไม่คาใจ”
มัศยาบอกแล้วทำท่าจะเดินออกไป
“ต๋องขอไปห้องน้ำแป๊บเดียวนะเจ๊ มันปริ่มแล้วเนี่ย”
“มาปริ่มเปิ่มอะไรตอนนี้เสียเวลาจริงๆ เลย”
“แหมเจ๊ ของแบบนี้มันกำหนดเวลาไม่ได้หรอก นะเจ๊แป๊บเดียวไม่ไหวแล้ว”
“จะไปก็รีบไป เดี๋ยวฉันไปรอที่ข้างนอกนะ ไอ้โบว์ลิ่งนี่ไม่รู้มันสนุกตรงไหนโยนกันอยู่ได้ดังโป๊กๆ ปวดหัว”
ต๋องรีบเผ่นไปทางห้องน้ำ มัศยาบ่นแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไป ไม่ทันมอง เลยชนเข้ากับนิรชาที่เดินมาเคาน์เตอร์จะเอาของ
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ทันระวังเอง”
มัศยาบอกยิ้มๆ ก่อนจะเดินออกไป นิรชาเดินไปที่เคาน์เตอร์
ต๋องเข้ามาในห้องน้ำ เห็นห้องว่างอยู่ก็รีบพุ่งเข้าห้องไป ที่ห้องข้างๆ น่านฟ้าเปิดประตูออกมา ยืนดูความเรียบร้อยหน้ากระจกนิดหน่อยแล้วก็เดินออกไป สักครู่ต๋องก็ออกจากห้องน้ำมา
“เกือบไปแล้วสิเรา เฮ้อ”
ต๋องออกมาจากห้องน้ำแต่ด้วยความรีบเลยไม่ทันดู จึงไม่เห็นน่านฟ้ากับนิรชา ต๋องเดินกึ่งวิ่งออกไป
น่านฟ้ากับนิรชาร้องคาราโอเกะกันอย่างมีความสุข มัศยากับต๋องตามหาน่านฟ้าผ่านมาแถวห้องคาราโอเกะ
“หรือว่าท่านประธานจะอยู่ในห้องคาราโอเกะน่ะเจ๊”
“ฉันว่าไม่หรอก ท่านประธานของแกน่ะต้องอยู่ตามผับตามเล้าจน์โน่น มาร้องเพลงอะไรแบบนี้ฉันว่าทำไม่เป็นหรอก”
“แล้วเราจะไปตามตัวท่านประธานกันที่ไหนล่ะเจ๊ เราตามหากันมาทุกที่ที่คิดว่าจะไปแล้วก็ไม่คิดว่าจะไปแล้วนะ หรือว่าคุณน่านจะไปทำสังฆทานที่วัด”
“แกเพ้อเจ้อแล้วต๋อง คุณน่านเนี่ยนะจะเข้าวัด คนบาปหนาแบบนั้นแค่นึกถึงวัดก็คงร้อนจนเนื้อตัวพองแล้ว มีที่หนึ่งที่ยังไงก็ต้องเจอตัว”
มัศยามั่นใจ
มัศยากับต๋องมาที่บ้านน่านฟ้า นั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก สุกัญญาถือแก้วน้ำเดินมาส่งให้
“ขอบคุณค่ะ”
“มีอะไรกันหรือเปล่าถึงได้มากันถึงที่นี่ ตาน่านเกเรอีกแล้วล่ะสิ”
“ตอนนี้คุณท่านความดันขึ้นนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ”
“ตายจริง พี่วิภาเป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“หมอบอกว่าเครียดน่ะค่ะให้นอนพักสักวันสองวัน แต่คุณท่านอยากพบคุณน่าน ดิฉันกับต๋องตามหาทุกที่ที่คิดว่าคุณน่านจะไปแต่ก็ไม่เจอ เลยคิดว่ามาดักที่นี่ดีกว่าเพราะยังไงคุณน่านก็ต้องกลับบ้าน”
“ตาน่านนี่เหลวไหลจริงๆ เลย ทำคนอื่นเดือดร้อนกันไปหมด ตามสบายเลยนะคะคุณมัศยา ฉันเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าตาน่านจะกลับกี่โมงแต่กลับแน่เหมือนที่คุณบอกแหละค่ะ ตาน่านไม่เคยค้างที่อื่น เฮ้อ”
สุกัญญาบอกแล้วก็ถอนหายใจ หนักใจกับพฤติกรรมของลูกชาย
ภายในร้านอาหารกึ่งผับ น่านฟ้ากับนิรชากำลังดินเนอร์กันอยู่
“วันนี้คุณนิ้มทำให้ผมมีความสุขมากเลยรู้มั้ยครับ”
น่านฟ้าบอกน้ำเสียงและสายตากรุ้มกริ่ม
“นิ้มดีใจนะคะที่ช่วยทำให้คุณน่านหายเครียดได้บ้าง”
“เยอะเลยแหละครับ ผมไม่อยากนึกถึงตอนที่ต้องกลับไปปวดใจกับงานเลย อยากอยู่แบบนี้กับคุณนิ้มทั้งวันทุกวันเลย”
“ถ้าคุณน่านเครียดเมื่อไหร่ ก็โทรตามนิ้มได้ทุกเวลาเลยค่ะ นิ้มยินดีเป็นเพื่อนให้คุณน่านหายเครียด”
นิรชาบอกเสียงอ่อนหวานชวนหลงใหล ยกแก้วขึ้นชูตรงหน้า น่านฟ้ายกแก้วขึ้นชนแล้วดื่มจนหมด
ตอนค่ำ มัศยากับต๋องยังนั่งรอน่านฟ้าอยู่ที่โต๊ะสนามหน้าบ้าน
“นี่มันจะสามทุ่มแล้วนะเจ๊ ไม่ต้องรอจนผับเลิกตีสองตีสามเลยเหรอเนี่ย”
“จะตีเท่าไหร่ฉันก็ต้องรอจนเจอตัวคุณน่าน แกกลับไปก่อนก็ได้ต๋องนี่บ้านคุณน่านคงไม่มีอะไรหรอก”
“จะดีเหรอเจ๊ อย่าหาว่าต๋องทิ้งกันนะ”
ต๋องลังเลแต่ใจจริงก็อยากกลับ
“ถ้าจะไปก็รีบไป ขืนมัวโยกโย้เดี๋ยวแกจะได้อยู่เป็นเพื่อนฉันยันเช้า”
“งั้นต๋องไปดีกว่า เจอกันพรุ่งนี้นะเจ๊”
ต๋องบอกแล้วก็รีบเดินออกไป สุกัญญาออกมาจากบ้าน
“ไปรอในบ้านดีกว่ามั้ยคะ ไม่รู้ว่าตาน่านจะกลับกี่โมงกี่ยามกันแน่”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เชิญคุณสุกัญญาพักผ่อนดีกว่า ดิฉันรอตรงนี้แหละดีแล้วค่ะ”
สุกัญญามองมัศยาด้วยความเห็นใจก่อนจะกลับเข้าบ้านไป
กลางดึก รถของน่านฟ้าแล่นเข้ามาจอดที่ถนนหน้าคอนโด เขาลงไปเปิดประตูให้นิรชา
“คุณนิ้มไม่ให้ผมขึ้นไปส่งจริงๆ น่ะ”
“นิ้มอยู่กับคุณพ่อน่ะค่ะ ท่านไม่ค่อยสบาย ป่านนี้คงจะหลับไปแล้ว”
“โอเคครับ งั้นไว้วันหลังเราค่อยเจอกันใหม่”
“ยินดีเสมอค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ กู้ดไนท์ค่ะ”
“กู้ดไนท์ครับ”
น่านฟ้าบอกแล้วก็รถขับออกไป นิรชารอดูจนมั่นใจว่าน่านฟ้าไปแล้วก็โบกมือเรียกแท็กซี่ที่ผ่านมา เปิดประตูขึ้นไปนั่งแล้วบอกจุดหมายปลายทาง
“คลองเตยค่ะ”
รถแท็กซี่แล่นออกไป
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 4 (ต่อ)
น่านฟ้าขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้าน พอลงจากรถก็เจอกับมัศยานั่งรออยู่ที่โต๊ะสนาม เขามีอาการเมานิดๆ
“โห เจ๊ นี่คิดถึงผมถึงขนาดมานั่งรอที่บ้านเลยเหรอ หลงเสน่ห์ผมเข้าแล้วล่ะสิ”
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”
“ไปคุยกันบนห้องนอนดีกว่าเจ๊ คุยกันยันเช้าไปเลย”
น่านฟ้าเข้าไปกอดมัศยาจะพาขึ้นห้อง มัศยาตบหน้าน่านฟ้าฉาดใหญ่
“ซาดิสม์ซะด้วยแบบนี้สิสนุก”
น่านฟ้าทำท่าจะเข้าหามัศยาอีก เธอเลยตบอีกฉาด
“คุณท่านเครียดความดันขึ้น ตอนนี้นอนพักอยู่ที่โรงพยาบาล คงไม่ต้องบอกนะว่าเพราะใคร คุณท่านอยากพบคุณ”
“จะเจอผมไปทำไม ผมไม่ใช่หมอสักหน่อย ดีไม่ดีเห็นหน้าผมแล้วแม่ใหญ่จะความดันขึ้นอีกรอบนะเจ๊”
“ฉันว่าคุณรู้นะว่าคุณท่านอยากพบคุณเรื่องอะไร แล้วก็หวังว่าคุณจะมีความคิดพอที่จะรู้ว่าควรทำอะไร”
มัศยาบอกแล้วก็หันหลังทำท่าจะเดินออกไป
“ให้ผมไปส่งมั้ยเจ๊ ดึกแล้วมันอันตราย”
น่านฟ้าถามด้วยความเป็นห่วง
“คุณน่ะอันตรายที่สุดแล้ว”
มัศยาหันหลังเดินออกไป น่านฟ้าใช้ความคิด
น่านฟ้าเอนหลังใช้ความคิดอยู่บนเตียง นึกถึงเรื่องที่มัศยาบอกเกี่ยวกับวิภา เขาเริ่มนึกถึงอดีตเมื่อครั้งเป็นเด็ก วิภาเดินเข้ามาในบ้านสีหน้าดุๆ น่านฟ้าในวัยเด็กนอนเป็นไข้อยู่ มีสุกัญญาเฝ้าไข้แต่ทำอะไรไม่ถูก
“เห็นคนไปบอกว่าตาน่านไม่สบายเหรอ”
“วันนี้แกไปเล่นน้ำตากแดดทั้งวันเลยเป็นไข้น่ะค่ะคุณพี่ สุเลยเอายาลดไข้ให้ทานไปแล้ว”
วิภาเดินมาแตะหน้าผากน่านฟ้า
“ตัวร้อนจี๋ขนาดนี้จะมากินยาลดไข้เฉยๆ เดี๋ยวก็ช็อคกันพอดี ไป เอาไปโรงพยาบาล เธอนี่ก็ตามใจลูกไม่เข้าท่า ปล่อยไปได้ยังไง เล่นน้ำตากแดดทั้งวัน”
วิภาบ่นๆ สุกัญญาหน้าจ๋อย
น่านฟ้าในวัยเด็ก นอนอยู่บนเตียงคนไข้ มีวิภากับสุกัญญาคอยดูอยู่
“ปวดหัว”
น่านฟ้าลืมตาขึ้นมาได้ก็บ่น
“มันก็ต้องปวดสิยะ ไข้ขึ้นเกือบสี่สิบองศาไม่ช็อคตายไปก็บุญแล้ว”
วิภาดุ
“แม่ใหญ่เป็นคนพาน่านมาโรงพยาบาล ขอบคุณแม่ใหญ่ซะสิลูก”
“โอ๊ย ไม่ต้องมาขอบจงขอบใจอะไรฉันหรอก ฉันแค่ไม่อยากให้คุณโชคร้อนใจ มีลูกคนเดียวก็หาแต่เรื่องมาให้ตั้งแต่เด็ก ไปว่ายน้ำตากแดดอะไรกันเป็นวันๆ นึกว่าตัวเองเป็นนักกีฬาโอลิมปิกหรือไง อายุเท่านี้ยังขนาดนี้โตขึ้นจะไม่ปวดใจตายเหรอ”
“สุจะดูแลตาน่านให้เข้มงวดกว่านี้ค่ะคุณพี่”
“เอาเถอะ ลูกเธอเธอจะเลี้ยงยังไงฉันไม่เกี่ยว แต่อย่าให้คนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วยเป็นพอ แล้วก็ไม่ต้องรีบออกนะ นอนให้มันแน่ใจว่าหายดีแล้ว เรื่องค่าใช้จ่ายเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“ขอบคุณมากค่ะคุณพี่”
สุกัญญายกมือไหว้ขอบคุณ วิภามองน่านฟ้าที่นอนหน้าตูมอยู่บนเตียงแล้วก็ส่ายหน้าถอนหายใจก่อนจะออกจากห้องไป
น่านฟ้าสลัดความคิดถึงเรื่องในอดีต ถอนหายใจแล้วเอื้อมมือปิดไฟหัวเตียง
ตอนเช้า มัศยา ต๋องและสุกัญญาคุยกันอยู่ในห้องรับแขก
“เมื่อคืนคุณมัศยาไม่ได้เจอตาน่านเหรอคะ”
“เจอค่ะแต่คุยกันไม่รู้เรื่อง ดิฉันเลยจะมาพาตัวไปพบคุณท่าน”
“ตาน่านออกไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ ไม่ได้บอกซะด้วยสิว่าจะไปไหน คงรู้น่ะว่าคุณมัศยาต้องมาเอาตัวไปพบแม่ใหญ่เลยหลบหน้า ลูกคนนี้เมื่อไหร่จะคิดได้สักทีนะ”
สุกัญญาบ่นด้วยความหนักใจ มัศยาเองก็หนักใจไม่แพ้กัน
มัศยากับต๋องยืนคุยกันอยู่ที่รถ หน้าบ้านน่านฟ้า
“เอาไงดีล่ะเจ๊ ท่านประธานหายตัวไปอีกแล้ว”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้วเหมือนกันต๋อง ฉันทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว”
“อย่าเพิ่งท้อสิเจ๊ เจ๊หยีของต๋องไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ นี่นา”
“มันไม่เหมือนกันนะต๋อง ที่ผ่านมามันเป็นปัญหาเรื่องงาน รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหนก็แก้กันไป แต่นี่มันเป็นเรื่องของคน จะเปลี่ยนความคิดเปลี่ยนทัศนะคติใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะคนดื้อแบบคุณน่าน”
“เอาน่าเจ๊ ต้องสู้ต้องสู้ถึงจะชนะ”
ต๋องทำเสียงแบบเจินเจิน
“ว่าแต่เจ๊จะไปไหนต่อ”
“ไปดูคุณท่านก่อนแล้วค่อยเข้าบริษัท”
มัศยากับต๋องเข้ามาในห้องพักคนไข้ เจอกับวิภา ซึ่งสีหน้าดูดีขึ้น
“คุณท่านเป็นยังไงบ้างคะ”
“ดีขึ้นมากแล้ว วันนี้น่าจะกลับบ้านได้แล้วล่ะ”
“ดิฉันเจอคุณน่านแล้วเมื่อคืน แต่พอวันนี้จะไปรับตัวมาพบคุณท่าน คุณน่านก็ออกไปข้างนอกแล้วค่ะ ไม่ทราบว่าไปไหน”
มัศยารายงานสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เพราะกลัววิภาจะความดันขึ้นอีกรอบ
“จะไปไหนล่ะเจ๊ก็มานี่ไง”
น่านฟ้าออกมาจากห้องน้ำ ถือจานใส่องุ่นอยู่
“เจ๊นี่ขี้ฟ้องจังเลย เอะอะฟ้องเอะอะฟ้อง”
“ไม่ต้องไปว่าคนอื่นเขาเลย แกทำตัวดีนักนี่ไอ้น่าน”
“คุณท่านโวยท่านประธานได้แบบนี้แสดงว่าโอเคแล้วล่ะเจ๊”
ต๋องกระซิบกับมัศยา
“แกก็อีกคนหนึ่งไอ้ต๋อง ดูนายแกยังไงปล่อยให้หายตัวเป็นว่าเล่น”
“ต่อไปนี้ต๋องจะตามติดชีวิตท่านประธานไม่ให้คลาดสายตาเลยครับ อาบน้ำต๋องก็จะถูหลังให้”
“ทะลึ่งแล้วไอ้ต๋อง”
“คุณท่านบอกเรื่องนั้นกับคุณน่านหรือยังคะ”
“มีเรื่องอะไรเซอร์ไพร้ส์ผมอีกล่ะครับแม่ใหญ่”
“แกมีเวลาสามเดือนที่จะพิสูจน์ตัวเอง”
น่านฟ้าหน้าเหวอไป
สุกิจกับภูริชนั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงานของสุกิจเอง
“ถ้าไอ้น่านฟ้ามันพิสูจน์ตัวเองได้ตามที่หุ้นส่วนบอก เราจะทำยังไงครับคุณสุกิจ”
“ฉันไม่ให้เวลามันถึงสามเดือนหรอก ไม่เกินอาทิตย์หนึ่งมันต้องหลุดจากตำแหน่งประธานบริษัทแน่นอน”
“คุณสุกิจจะทำยังไงครับ”
“แกไม่ต้องห่วง ฉันมีแผน”
สุกิจยิ้มร้าย
ภูริชเดินเข้ามาหาคนงานภายในโรงงาน
“ขยันๆ กันหน่อยนะพวกเรา เผื่อมีโชคปิดตัวลงจะได้หางานกันง่ายๆ”
“อะไรนะครับ บริษัทมีโชคของเราจะปิดเหรอครับคุณภูริช”
คนงานถามด้วยความตกใจ
“ก็มีแนวโน้มนะ หุ้นส่วนเขาไม่พอใจที่ท่านประธานเหลาะแหละ ทำเป็นเล่น เขาเลยจะถอนหุ้นกันหมด ถ้าเป็นแบบนั้นมีโชคก็อยู่ไม่ได้”
“แล้วทำไมคุณท่านไม่ให้คุณสุกิจเป็นประธานล่ะครับ”
“อันนั้นมันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่จะตัดสินใจ ฉันคงพูดอะไรไม่ได้หรอก แต่ถ้าพวกเรารวมเสียงกันพูด คุณท่านอาจจะฟังก็ได้ ไม่รู้สินะ ฉันทำได้ก็แค่มาเตือนๆ พวกเราเอาไว้ จะได้ตั้งตัวกันทัน”
ภูริชโยนระเบิดเอาไว้แล้วก็เดินยิ้มสมหวังออกไป คนงานพากันวิพากษ์วิจารณ์ แล้วก็พูดกันปากต่อปาก ด้วยความไม่พอใจ สุกิจกับภูริชยืนอยู่มุมหนึ่งยิ้มพอใจในผลงานของตัวเอง
ที่โรงอาหารของบริษัท คนงานพากันจับกลุ่มพูดถึงเรื่องที่รู้มา ต๋องนั่งกินข้าวอยู่พยายามเงี่ยหูฟัง
“ข่าวที่แกว่ามันจะจริงหรือเปล่า”
“นั่นสิ ไม่ใช่ข่าวโคมลอยเหรอ หุ้นส่วนบริษัทเขาจะถอนหุ้นง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ”
“แต่ถ้าเป็นจริง พวกเราก็ลำบากกันหมดเลยนะ เดี๋ยวนี้งานยิ่งหายากอยู่”
“ลอยไม่ลอยไม่รู้ แต่คนที่บอกน่ะคุณภูริชคนสนิทของคุณสุกิจ พวกแกคิดว่าเขาจะพูดเล่นมั้ยล่ะ”
“พวกเราคงต้องทำอะไรกันสักอย่างแล้ว”
คนงานคุยกันด้วยความกังวล
“คุณสุกิจเหรอ”
ต๋องพึมพำกับตัวเอง
ต๋องนำเรื่องที่ได้ยินมาปรึกษามัศยา
“ต๋องว่าคุณสุกิจกับคุณภูริชนี่ชักไม่น่าไว้ใจแล้วนะเจ๊”
“ฉันก็รู้สึกตะหงิดๆ ตั้งแต่ตอนมาชวนฉันไปทำงานด้วยแล้ว บริษัทเดียวกันแท้ๆ จะมาแย่งตัวพนักงานกันเองไม่เคยเห็นมีใครเขาทำกัน”
“แล้วเราจะทำยังไงล่ะเจ๊ ตอนนี้นอกจากต้องทำให้พระเอกอย่างคุณน่านฟ้ากลับใจแล้ว ยังต้องรับมือกับตัวร้ายแบบคุณสุกิจอีก สนุกแน่ละครเรื่องนี้ โดยเฉพาะนางเอกอย่างเจ๊ คนดูคงเชียร์เพียบ”
ต๋องพูดอย่างสนุกปาก
“แกดูละครมากเกินไปแล้วต๋อง เราต้องปิดเรื่องนี้ไว้ก่อน อย่าเพิ่งให้คุณท่านรู้ จนกว่าจะแน่ใจว่าคนงานคิดจะทำอะไรกัน เดี๋ยวคุณท่านจะความดันขึ้นเป็นลมต้องหามส่งโรงพยาบาลอีกรอบ แล้วแกก็ไปหาทางสืบความเคลื่อนไหวของพวกคนงานมาให้ได้”
“ได้เลยเจ๊ งานนี้ต๋องจัดให้”
ต๋องครุ่นคิดหาทาง
น่านฟ้าประคองวิภาไปนั่งที่เก้าอี้ในห้องทำงาน
“พอแล้วๆ ไม่ต้องมาประคองอะไรกันมากมาย ฉันความดันขึ้นไม่ได้เป็นง่อยสักหน่อย”
วิภาทำเป็นโวยวายตามนิสัย
“ถ้าไม่ใช่แม่ใหญ่ ผมก็ไม่อยากประคองหรอกครับ เนื้อยุ่ยๆ เดี๋ยวจะหลุดติดมือ สู้ไปประคองน้องๆ สาวๆ จิ้มลิ้มๆ เนื้อแน่นๆ ไม่ได้”
“นี่แกว่าฉันแก่หนังเหี่ยวเหรอไอ้น่าน ไอ้เด็กเวร พูดดีไม่เคยเป็นกับเขาหรอกแกน่ะ”
“แม่ใหญ่เองก็พูดคำด่าสามคำเหมือนกันนะครับ สงสัยผมจะติดนิสัยมาจากแม่ใหญ่นี่แหละ”
น่านฟ้าแอบย้อน วิภาหันมาแหวใส่ด้วยความโมโห
“ไอ้น่าน”
มัศยานั่งดูเอกสารเรื่องงานอยู่ที่โต๊ะของตัวเองในห้องทำงานน่านฟ้า ต๋องเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา
“เจ๊ เจ๊ แย่แล้วเจ๊”
ต๋องโวยวาย
“อะไรแย่ต๋อง พูดให้มันรู้เรื่องหน่อย”
“ก็ที่เจ๊ให้ไปสืบความเคลื่อนไหวของคนงานน่ะ ได้เรื่องแล้ว”
“เอ้า ได้เรื่องยังไงก็บอกมาสิ จะต้องให้ถามทุกครั้งเลยหรือไง”
“คนงานจะประท้วงกัน”
“ประท้วงอะไรของแก ฮะ”
“ประท้วงขับไล่คุณน่านน่ะสิเจ๊”
“เฮ้ย ถึงขนาดต้องขับไล่กันเลยเหรอ ยังไงท่านประธานก็ลูกชายคุณโชคนะ”
“สุดท้ายความภักดี มันสู้มันนี่ไม่ได้หรอกเจ๊ พวกนี้กลัวว่าถ้าคุณน่านทำบริษัทเจ๊งแล้วจะลำบาก สู้ชิงไล่คุณน่านไปก่อนดีกว่า”
“เรื่องใหญ่แน่ถ้าคนงานประท้วง เราต้องหาทางยับยั้งเอาไว้ก่อน”
“ไม่ทันแล้วละเจ๊ ตอนนี้คนงานรวมตัวประท้วงอยู่ที่หน้าตึกแล้ว”
มัศยาตกใจ
คนงานจำนวนมากรวมตัวกันประท้วง ชูป้ายข้อความที่เขียนเองสดๆ ขอคำชี้แจงเรื่องหุ้นส่วนจะถอนหุ้น และไม่อยากได้ประธานเป็นเด็กเล่นขายของ เห็นสมควรยกตำแหน่งประธานให้สุกิจไป
“เราไม่เอาประธานน่านฟ้า”
คนงานพูดนำ แล้วคนงานอื่นๆ ก็พูดตามเป็นเสียงเดียว ทั้งหมดพูดประโยคนี้วนไปวนมา ต๋องฟังแล้วร้อนใจ
“ทำยังไงดีเจ๊ เจ๊ลองออกไปคุยกะคนงานดูดีมั้ย”
“จะให้ฉันคุยในฐานะอะไรล่ะ ตอนนี้ฉันเป็นผู้ช่วยคุณน่านฟ้า ดีไม่ดีจะหาว่าคุณน่านส่งมากล่อมจะเป็นเรื่องไปกันใหญ่”
“มันก็จริงเนอะ แล้วจะเอาไงดีเจ๊ ต๋องทำอะไรไม่ถูกแล้ว หรือจะลงไปเนียนๆ ประท้วงด้วยเลย”
ต๋องถามหน้าซื่อๆ มัศยาตบหัวต๋องไปเบาๆ ทีหนึ่ง
“มีหัวไว้ตัดผมอีกคนแล้วแกไอ้ต๋อง เดี๋ยวแกอยู่ดูสถานการณ์ที่นี่ ฉันจะไปเรียนคุณท่าน เรื่องขนาดนี้ต้องให้คุณท่านสั่งมาว่าจะทำยังไง”
“ได้เลยเจ๊”
สุกิจกับภูริชยืนดูอยู่มุมหนึ่ง ยิ้มร้ายๆ ทั้งคู่ โดยเฉพาะสุกิจ
วิภากับน่านฟ้ายังคงปะทะคารมกันอยู่ในห้องทำงาน
“หุ้นส่วนเขาให้เวลาแกสามเดือนให้แกพิสูจน์ตัวเอง”
“พิสูจน์ว่าผมทำงานนี้ไม่ได้น่ะเหรอครับ ไม่ต้องรอสามเดือนหรอก เสียเวลา ฟันธงไปเลย”
“นี่ใจคอแกอยากจะให้มีโชคฉิบหายจริงๆ ใช่มั้ยไอ้น่าน”
“แม่ใหญ่ลองคิดดูใหม่นะครับ ถ้าผมอยากให้มีโชคอะไรหายๆ แบบแม่ใหญ่ว่าล่ะก็ ผมจะรับตำแหน่งประธานแล้วก็ทำไปเล่นไปจนครบสามเดือน อันนั้นล่ะหายทั้งคนทั้งบริษัทแน่ แต่นี่เพราะผมห่วงมีโชคผมก็เลยไม่อยากให้มาเสียเวลากับผม”
น่านฟ้าพูดน้ำเสียงดูเหมือนจะจริงจังจนวิภาจับอารมณ์ไม่ถูก มัศยาเข้ามาในห้องทำงานวิภาหน้าตื่นนิดๆ
“คุณท่านคะ คนงานประท้วงที่หน้าตึกค่ะ บอกว่ารู้เรื่องหุ้นส่วนขู่จะถอนหุ้น เลยอยากให้คุณสุกิจเป็นประธานแทนค่ะ”
“อะไรกัน ทำไมข่าวมันเร็วขนาดนี้นะ”
วิภาถามตกใจ กลุ้มใจมาก
“ดิฉันขอเรียนตามความจริงนะคะ ข่าวไปจากคุณสุกิจค่ะ ต๋องได้ยินคนงานพูดกันว่าคุณภูริชเป็นคนบอก แล้วถ้าคุณสุกิจไม่ได้สั่ง คุณภูริชก็คงจะไม่กล้าทำ”
มัศยาบอกอย่างเกรงๆ เพราะสุกิจเป็นน้องชายวิภา
“ฉันละปวดใจ ทำไมโลกมันวุ่นวายแบบนี้ ไอ้คนที่อยากให้เป็นประธานก็ไม่อยากจะเอา ไอ้คนที่ไม่อยากให้เป็นก็เกิดอยากจะได้ตำแหน่งขึ้นมา”
“เห็นมั้ยครับแม่ใหญ่ พวกคนงานยังไม่อยากให้ผมเป็นประธานมีโชคเลย เอาจริงๆ คงมีแม่ใหญ่คนเดียวนั่นแหละที่อยากให้ผมเป็นประธาน”
“บริษัทมีโชคมันต้องเป็นของแกวันยังค่ำ แล้วแกจะปล่อยให้คนอื่นมาบริหารแทนได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะแกเห็นแก่ตัวอยากให้คนอื่นลำบากทำงานแทนก็คงเพราะแกโง่ไม่เห็นคุณค่าของบริษัท ฉันถามจริงๆเถอะว่าแกคิดจะทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้างมั้ย”
น่านฟ้านิ่งไปนิดหนึ่งเหมือนจะคิดอะไร ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก็ได้ครับ ผมจะทำเพื่อทุกคนในบริษัท ผมขอลาออก ทุกคนจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน ให้คุณอาสุกิจบริหารงานไป แค่นี้ก็แฮปปี้กันทุกฝ่าย ตามนี้นะครับ อ้อ ผมขอลาออกตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นต้นไปเลยนะครับ”
น่านฟ้าพูดแล้วก็ทำท่าจะออกจากห้อง แต่วิภาร้องเรียกเสียงดัง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้น่าน”
น้ำเสียงวิภาบ่งบอกว่าเอาจริง จนน่านฟ้าต้องหยุดแล้วหันกลับมา
"ฉันไม่นึกเลยว่าแกจะเป็นคนแบบนี้ แกจะหันหลังให้บริษัทที่พ่อของแกอุตส่าห์สร้างเอาไว้ให้แกได้แบบไม่รู้สึกผิดสักนิด เอะอะอะไรแกก็โวยวายว่าพ่อไม่เคยรักแกกับแม่แก ฉันแย่งความรักที่แกควรจะได้มาหมด แกอยากรู้ความจริงมั้ยว่ามันเป็นยังไง ฉันต่างหากล่ะที่ต้องน้อยใจ คุณโชคน่ะรักฉันไม่ได้ครึ่งที่รักแกกับแม่ เขาอยู่กับฉันเพราะเราช่วยกันสร้างมีโชคให้รุ่งเรืองได้ ฉันกับคุณโชคตกลงกันตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วว่าเราจะไม่มีลูกด้วยกัน เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะคุณโชคไม่อยากให้แกเสียใจว่าเขามีลูกใหม่แล้วทิ้งแก"
"เขาตั้งใจสร้างมีโชคเอาไว้ก็เพื่อแกคนเดียวขอให้รู้ไว้ด้วยนะ"
วิภาพูดไปก็ร้องไห้ไปด้วยความสะเทือนใจ
“คุณท่านคะ ใจเย็นๆ นะคะ เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีก”
“ช่างเถอะมัศยา ให้ฉันตายไปเลยยิ่งดี จะได้พ้นเรื่องบ้าๆ พวกนี้สักที”
“แม่ใหญ่ครับ”
ตอนแรก น่านฟ้างงๆ ว่าวิภาแกล้งทำหรือเรื่องจริงกันแน่ จนแน่ใจว่าเรื่องจริงก็เอ่ยปากจะขอโทษแต่วิภาโบกมือห้าม
“แกไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ต่อไปนี้ฉันจะไม่บังคับอะไรแกอีก ถ้าแกคิดว่าฉันกำลังบงการชีวิตแกอยู่ล่ะก็ฉันคืนให้ ฉันจะดูแลมีโชคจนกว่าฉันจะทำไม่ไหว ถึงตอนนั้นมีโชคจะกลายเป็นของใครก็แล้วแต่บุญแต่กรรม ฉันทำได้แค่นี้แหละ มัศยา เดี๋ยวเธอไปเจรจากับคนงานในนามฉันนะ บอกว่าขอเวลาสามวัน แล้วให้ตั้งตัวแทนมาคุยกันที่ห้องประชุม
“ค่ะคุณท่าน”
มัศยารับคำ มองน่านฟ้าด้วยสายตาผิดหวัง น่านฟ้าใช้ความคิด เริ่มรู้สึกผิดนิดๆ
ที่หน้าตึก คนงานยังคงชูป้ายประท้วงพร้อมตะโกนเหมือนเดิม
“เราไม่เอาคุณน่านฟ้า เราจะเอาคุณสุกิจ”
มัศยากับต๋องมาดูลาดเลาหาจังหวะออกไปพูดกับคนงาน สุกิจกับภูริชยืนดูเหตุการณ์อยู่มุมหนึ่ง
“ไหงกลายเป็นเรื่องคุณน่านฟ้ากับคุณสุกิจไปได้ล่ะเจ๊”
ต๋องถามงงๆ
“ฉันว่ามันเป็นเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้วแหละต๋อง แค่ความจริงมันเพิ่งปูดเท่านั้นเอง”
มัศยาบอกอย่างมั่นใจ แล้วก็ตัดสินใจออกไปเผชิญหน้าคนงาน ถือโทรโข่งออกไปด้วย ต๋องรีบเดินตามไปยืนคุมเชิง
“พี่น้องทุกคนคะ รบกวนฟังทางนี้หน่อย”
คนงานเงียบเสียงลงตั้งใจฟัง
“ฉันชื่อมัศยา อยู่ฝ่ายการตลาด คิดว่าหลายคนคงจะคุ้นเคยกันดี วันนี้ฉันมาในฐานะตัวแทนคุณท่าน คุณท่านรับรู้เรื่องทุกอย่างที่ทุกคนกำลังคับข้องใจกันอยู่ คุณท่านไม่ได้นิ่งดูดาย แต่อยากจะขอเวลาตัดสินใจสักสามวัน”
มัศยาพูดไม่ทันจบ คนงานก็แทรกถามขึ้นมา
“ทำไมต้องสามวัน ตัดสินใจเลยไม่ได้เหรอ”
“คุณพี่คะ ใจคอจะไม่ให้เวลาคุณท่านได้คิดไตร่ตรองเลยเหรอคะ ตอนนี้คุณท่านไม่ค่อยสบาย เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อเช้านี้ ทุกคนก็รู้ จะบีบคั้นให้คุณท่านล้มป่วยอีกเหรอคะ”
มัศยาใช้ไม้ตาย คนงานเริ่มใจอ่อน
“พอสามวันแล้วจะยังไงต่อล่ะคุณมัศยา”
“คุณท่านขอให้พวกเราไปเลือกตัวแทนมาสักสองสามคนเพื่อไปคุยกัน เพราะจะให้คุยกับทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ เอาคนที่มั่นใจว่าจะตัดสินใจแทนทุกคนได้ แล้วคุณท่านจะเรียกเข้าไปคุยกันที่ห้องประชุม แต่เรื่องเวลาเดี๋ยวจะแจ้งอีกทีหนึ่ง ขอให้เชื่อเถอะค่ะว่าคุณท่านต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดให้มีโชค ให้พวกเราแน่นอน ตอนนี้พี่ๆ กลับไปทำงานกันก่อนนะคะ เดี๋ยวส่งข้าวเกรียบให้ลูกค้าไม่ทันคราวนี้ล่ะเรื่องใหญ่เลยนะคะ”
มัศยาบอกอย่างใจเย็น คนงานฟังแล้วก็ผ่อนคลายลง
“ไปพวกเรากลับไปทำงานกัน เดี๋ยวอีกสามวันค่อยว่ากันใหม่”
คนงานร้องบอกเพื่อนๆ แล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปแผนกของตัวเอง ต๋องชูนิ้วโป้งสองมือให้มัศยาว่าเยี่ยมมาก ในขณะที่สุกิจกับภูริชมองด้วยความไม่พอใจ
สุกิจกับภูริชกลับเข้ามาในห้องทำงาน ภูริชหงุดหงิดมาก ในขณะที่สุกิจดูไม่ทุกข์ร้อนมากนัก
“มัศยานี่ท่าจะทำเราเสียเรื่องแล้วนะครับคุณสุกิจ ดูเหมือนคนงานจะฟังเขาพอสมควร”
“เราถึงต้องหาทางเอามาอยู่ฝ่ายเราให้ได้ไง”
“ยังไงครับผมนึกไม่ออกเลย”
“ฉันก็ยังนึกไม่ออก แต่มันต้องมีทางสิ คนเรามันต้องมีจุดตายที่จี้เมื่อไหร่ก็โดน เราแค่ต้องหาจุดนั้นให้เจอ”
“แล้วเรื่องที่คุณท่านขอเวลาสามวันล่ะครับ คุณสุกิจคิดว่าคุณท่านจะกล่อมให้ไอ้น่านฟ้ามันตั้งใจรับตำแหน่งประธานมีโชคได้หรือเปล่า”
“นิสัยมันสะสมมาเป็นสิบยี่สิบปีนะ ไม่ใช่หน้าตา จะได้แค่ไปเกาหลีไม่กี่วันกลับมาหน้าเปลี่ยน จะเปลี่ยนนิสัยคนเพียงแค่สามวันโดยเฉพาะคนอย่างไอ้น่านฟ้ามันต้องอาศัยปาฏิหาริย์แบบยกกำลังสองโน่นแหละ”
สุกิจบอกอย่างมั่นใจ
นิรชาเดินดูของในห้างสรรพสินค้าฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีอะไรทำ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอยกขึ้นดูเป็นเบอร์ไม่คุ้น ตัดสินใจรับเผื่อเป็นเรื่องงาน
“สวัสดีค่ะ เนยพูดค่ะ”
“คุณเนยเหรอครับ วันนี้ชื่ออินเทรนด์ซะด้วย วันก่อนยังชื่อน้ำหวานอยู่เลย”
“นี่ใครโทรมาล้อเล่นอะไร ฉันไม่มีเวลาเล่นด้วยนะ”
นิรชาชักรู้สึกไม่ค่อยดี และเสียงยังคุ้นๆ
“อ๊ะ อ๊ะ อย่าเพิ่งวางสายนะครับคุณนิรชา”
“คุณรู้จักชื่อฉันได้ยังไง”
“ไม่เห็นจะยากเลย ก็ดูจากบัตรประชาชนที่ผมยึดเอาไว้ยังไงล่ะ”
“นายปารณ”
“ใช่ ฉันเอง ชื่อปารณตั้งแต่เกิดไม่คิดจะเปลี่ยนด้วย”
“นายอยู่ไหนเนี่ย สัญญาณไม่ค่อยดีเลย ฉันฟังไม่รู้เรื่อง ขอวางสายนะ”
นิรชาลูกไม้ใส่
“โอเค เดี๋ยวพอวางสายแล้วกลับหลังหันหน่อยแล้วกัน”
ปารณบอกแล้วก็ตัดสายไป
“จะให้กลับหลังหันทำไม ตาบ๊องนี่นึกว่าเป็นครูฝึกรด.หรือไง”
นิรชาบ่นแต่ก็หันหลังกลับตามที่ปารณบอก ด้วยความอยากรู้
“นาย”
ปารณยืนยิ้มแฉ่งอยู่
“สงสัยจะอยู่ใกล้กันเกินไป สัญญาณโทรศัพท์เลยไม่ดีเนอะ”
ปารณประชด นิรชายิ้มเจื่อนๆ ที่ถูกจับได้
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 4 (ต่อ)
นิรชากับปารณนั่งอยู่ในร้านกาแฟ หญิงสาวหน้าตาไม่ค่อยดี ในขณะที่ปารณดูสบายๆ
“นายได้เบอร์ใหม่ฉันมาได้ยังไง”
“ฉันมีวิธีก็แล้วกัน ไม่ยากหรอก เล่นกับพวกนักต้มตุ๋นน่ะ มันก็ต้องฉลาดกว่า แล้วฉันน่ะ ฉลาดถึงขั้นจะเอาเบอร์อก เอว สะโพก เบอร์รองเท้าเธอยังได้เลย”
“บ้า ทะลึ่ง”
นิรชาหน้าแดงเพราะอายจริง
“แหม แค่นี้ทำเป็นเขินไปได้คุณน้ำหวาน ไม่ใช่สิวันนี้ชื่อน้องเนยนี่นา”
“ฉันชื่อนิ”
นิรชายอมจำนนบอกความจริง
“จะชื่ออะไรก็เรื่องของคุณเถอะ ฉันขี้เกียจจำ ฉันขอนาฬิกาคืน ส่วนเงินสามหมื่นฉันยกให้”
“นาฬิกาของนายอยู่ที่อาฉัน ยังไม่มีเวลาไปเอาให้หรอก”
นิรชาบอกปัด
“เธอนี่ญาติเยอะเหมือนกันเนอะ วันก่อนบอกอยู่กับแม่ อีกวันบอกอยู่กับพ่อ วันนี้มีอาโผล่มาอีกละ”
“ฉันมีเงินในบัญชีสองหมื่น เดี๋ยวฉันไปกดให้ก่อนก็ได้”
นิรชาทำท่าจะลุกขึ้น แต่ปารณดึงแขนเอาไว้ให้นั่งลง ในขณะที่ภายนอกร้าน น่านฟ้าเดินผ่านไป ทั้งสามอยู่ในมุมที่ไม่เห็นกัน
น่านฟ้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหานิรชา เสียงมือถือนิรชาดังขึ้น น่านฟ้าหยุดเดินเพื่อโทรศัพท์ พลางเปรยๆ
“ทำไมคุณนิ้มไม่ยอมรับสายนะ”
น่านฟ้าบ่นแล้วก็กดวางสาย เสียงโทรศัพท์ของนิรชาเงียบไป
“ทำไมไม่รับสายล่ะ ว่าแต่คราวนี้พ่อ แม่ อา หรือว่าลุงโทรมาล่ะครับ”
“ฉันเอาเงิน เอาของของนายมาก็จริง ถือว่าฉันติดหนี้นาย แต่ไม่ได้หมายความว่านายจะพูดจาดูถูกหรือล้อเล่นกับฉันยังไงก็ได้นะ ฉันทำไปเพราะความจำเป็น แต่ฉันก็ยังมีศักดิ์ศรีของความเป็นคนอยู่”
“โอเคๆ ฉันขอโทษละกันที่แหย่เธอเล่นมากไปหน่อย ที่จริงเธอก็สวยถูกใจฉันนะ ฉันก็เลยจะยกเงินสามหมื่นให้เป็นค่าสวยไง อันนี้ไม่ได้ล้อเล่นนะเรื่องจริง แต่นาฬิกายังไงฉันก็ต้องขอคืน มันมีค่ากับฉันมาก”
ปารณพูดเสียงจริงจังขึ้น
“แหงละ นาฬิกาอะไรเรือนละตั้งเกือบล้าน”
นิรชาพึมพำพอได้ยิน
“ไม่ใช่เกือบ ล้านกว่าเลยแหละ เอ๊ะ แล้วคุณรู้ราคานาฬิกาฉันได้ยังไง”
“อาบอก”
“อ่อ ท่าทางอาเธอจะชอบเล่นนาฬิกา งั้นเธอพาฉันไปเอานาฬิกาที่อาเธอ แล้วเราก็เลิกแล้วต่อกัน”
“ไม่ได้หรอก ฉันไม่มีเงิน”
“อ้าว ไหนบอกว่ามีเงินในบัญชีสองหมื่น ตกลงไอ้ลมที่ออกจากปากเธอนี่มันมีอะไรเชื่อถือได้บ้าง ฮะ”
ปารณยังอดแหย่ไม่ได้ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกๆ ทั้งๆ ที่โดนนิรชาหลอกหลายรอบแต่กลับไม่ได้โกรธอะไรนัก นิรชาไม่พูดอะไรหยิบกระดาษจากกระเป๋าถือส่งให้ ปารณรับมาดูก็งงๆ
“ตั๋วจำนำ”
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันเอานาฬิกานายไปฝากไว้กับอา อาโกเจ้าของโรงรับจำนำน่ะ ไม่เยอะหรอกนะแค่สามแสนเอง”
นิรชาบอกน้ำเสียงแอบอายๆ ที่ต้องเปิดเผยความจริงกับปารณหลายเรื่องแล้ว
“สามแสน ฉันขี้เกียจฟังนิทานหลอกเด็กแล้วว่าคุณเอาเงินไปทำอะไร เอางี้ผมจะเก็บไอ้นี่ไว้ก่อน ผมจะให้เวลาเธอเดือนหนึ่ง ถ้าเธอพร้อมจะเอาเงินไปคืนอาโกของเธอ ก็โทรบอกฉัน แต่บอกก่อนนะว่าฉันจะไปลงบันทึกประจำวันไว้กันพลาด ถ้าเธอตุกติกฉันจะเปลี่ยนเป็นใบแจ้งความทันที ตามนี้นะ”
ปารณถามย้ำเพื่อดูว่านิรชาเข้าใจตรงกันหรือไม่
“ก็ต้องตามนั้นแหละ ฉันมีทางเลือกด้วยเหรอ”
“มีสิทำไมจะไม่มี แต่เธอคงเลือกทางผิดตั้งแต่คิดจะทำแบบนี้แล้ว”
ปารณพูดกึ่งๆ จะเตือนสติ แต่นิรชาไม่มีอารมณ์ฟังแล้ว
“นี่ถ้านายจะเอาดีทางเทศน์ก็ไปบวชซะไป ฉันไปได้หรือยัง”
นิรชาตัดบทอย่างงรำคาญ
“เชิญครับคุณนิรชา สุวรรณภักดีกุล แล้วเจอกันใหม่นะครับ”
ปารณเน้นทั้งชื่อและนามสกุลเพื่อให้นิรชารู้ว่าอย่าตุกติก นิรชาเดินออกจากร้านไป ปารณมองตามด้วยความรู้สึกแปลกๆ จะว่าหมันไส้ก็ใช่ แต่ไม่ได้เกลียด
น่านฟ้านั่งเซ็งๆ อยู่ที่เก้าอี้พักในห้าง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็ไม่มีเบอร์นิรชาโทรกลับ
เขาตัดสินใจปิดเครื่องแล้วก็ลุกเดินเข้าห้องน้ำไป นิรชาเดินมาหยุดตรงที่น่านฟ้าเพิ่งลุกไป กดโทรศัพท์หาน่านฟ้าแต่ไม่ติด
“คุณน่านปิดเครื่องหรือว่าแบตหมดกันนะ”
นิรชาบ่นๆ แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำไปอีกคน สักพักน่านฟ้าก็เดินออกมาแล้วก็เลี้ยวไปทางด้านขวามือ ส่วนนิรชาเดินออกมาเลี้ยวซ้ายไป
ตอนค่ำ นิรชากลับมาบ้าน เอายาให้แม่กินเหมือนทุกครั้ง
“ยาจ้ะแม่ ทานยาแล้วจะได้นอน”
“นิไปเอาเงินที่ไหนมาซื้อยาทุกวันกันลูก นิทำงานอะไร งานไม่ดีหรือเปล่า อย่าทำนะลูก”
แม่ถามด้วยความสงสัยปนห่วงใย
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ นิดูแลตัวเองได้”
นิรชาตอบเลี่ยงๆ ไป
“ที่จริงนิไม่ต้องลำบากหาเงินซื้อยาให้แม่ทุกวันแบบนี้ก็ได้ ทำงานได้เงินมาก็เก็บๆ เอาไว้ใช้ยามจำเป็น”
“นี่แหละจ้ะแม่จำเป็นที่สุดแล้ว ทั้งจำเป็นทั้งสำคัญเลยจ้ะ แม่นอนเถอะนะเดี๋ยวอีกสักพักนิก็จะนอนแล้วเหมือนกัน”
นิรชาห่มผ้าห่มให้แม่ แล้วก็แอบกลุ้มว่า เธอต้องทำงานแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่
ปารณนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะทำงานในบ้าน บนโต๊ะมีบัตรประชาชนนิรชากับตั๋วจำนำวางอยู่ เขานึกถึงนิรชาแล้วเผลอยิ้มออกมา
“ท่าจะบ้าแฮะเรา ถูกต้มแทนที่จะโกรธแต่กลับมานั่งคิดถึงแม่หัวขโมยสาว เฮ้อ”
ปารณบ่นกับตัวเองก่อนจะพยายามหันความสนใจไปที่งานตรงหน้าต่อ
กลางคืน น่านฟ้านั่งใช้ความคิดอยู่ในห้องนั่งเล่น มีไฟสลัวๆ จากนอกบ้านลอดเข้ามา เพราะเขาไม่ได้เปิดไฟ สักครู่ สุกัญญาเปิดไฟพรึ่บขึ้น
“อ้าว ตาน่าน มานั่งอะไรมืดๆ แบบนี้”
น่านฟ้าไม่ตอบ แต่กลับถามขึ้นมาแทน
“แม่ครับ พ่อเขาเคยรักผมบ้างมั้ยครับ”
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะลูก ทำไมพ่อเขาจะไม่รักน่าน”
“แล้วทำไมผมไม่รู้สึกว่าถูกพ่อรักเลยล่ะครับ”
“นั่นเป็นเพราะน่านไม่เปิดใจ น่านตั้งป้อมขังตัวเองไม่ยอมเปิดให้พ่อหรือแม่ใหญ่เข้าไปหา น่านรู้มั้ยว่าที่พ่อต้องแต่งงานกับแม่ใหญ่ก็เพราะเราสองคน โดยเฉพาะน่าน แม่ใหญ่เขามีหัวด้านธุรกิจส่วนแม่น่ะทำได้แค่เป็นแม่บ้านธรรมดาๆ ตอนนั้นมีโชคกำลังแย่มากแต่ก็ได้แม่ใหญ่มาช่วยพยุงไว้แล้วก็ช่วยกันกับพ่อของเราทำจนมีโชคฟื้นตัวแข็งแรงขึ้นมาได้ แม่ใหญ่เองเขาก็รู้ว่าพ่อตั้งใจจะสร้างมีโชคไว้ให้น่าน เขาเป็นได้แค่ผู้ช่วยแต่เขาก็ยอมเพราะรักพ่อของน่านมาก แม่ใหญ่เองเขาก็รักน่านนะ แต่เขาเป็นคนแข็งพูดจาโผงผางเลยดูเหมือนดุเหมือนไม่สนใจเรา น่านมีอะไรหรือเปล่าลูก”
“วันนี้ผมทำให้แม่ใหญ่ร้องไห้ บอกตรงๆ ว่าผมตกใจมาก เคยเห็นแต่แม่ใหญ่โวยวายด่าผม แต่วันนี้แม่ใหญ่ร้องไห้จนผมทำอะไรไม่ถูกเลยครับ”
สุกัญญาหน้าเสียด้วยความตกใจ
“ตายจริง น่านไปทำอะไรให้แม่ใหญ่เสียใจขนาดนั้น”
“ผมขอลาออกจากการเป็นประธานมีโชคครับ แม่ใหญ่เลยเสียใจจนร้องไห้ออกมา ผมเลวมากใช่มั้ยครับแม่”
“น่านฟังแม่นะลูก น่านไม่ได้เป็นคนเลวร้ายอะไรหรอก แต่น่านมีปมเรื่องที่คิดว่าพ่อไม่รัก แม่ใหญ่แย่งพ่อไป น่านก็เลยมีอคติกับแม่ใหญ่ แม่เชื่อว่าน่านเอง จริงๆ แล้ว ก็รักแม่ใหญ่นะ ถ้าน่านไม่รักน่านก็จะไม่แคร์ แล้วน่านก็จะไม่มานั่งเสียใจที่ทำให้แม่ใหญ่ร้องไห้แบบนี้หรอก”
สุกัญญาอธิบายอย่างใจเย็น น่านฟ้าเหมือนจะยอมรับที่แม่พูดเลยไม่ได้แย้งอะไร
“แล้วผมจะทำยังไงดีครับแม่”
“ถ้าน่านรู้ว่าทำอะไรตรงไหนผิดน่านก็กลับไปแก้ให้มันถูกเท่านั้นเอง คนเราไม่ได้มีโอกาสครั้งที่สองบ่อยนักนะน่าน เรื่องบางเรื่องถ้าเราผิดแล้วผิดอีกไม่ยอมแก้ไข วันข้างหน้ามันจะย้อนมาทำร้ายเราไปทั้งชีวิต น่านลองคิดดูนะ แม่เชื่อว่าน่านของแม่คิดได้”
สุกัญญาทั้งสอนทั้งให้กำลังใจ น่านฟ้าเริ่มใช้ความคิด
วิภานั่งอยู่ที่โซฟาในบ้าน ตรงหน้ามีรูปของโชควางอยู่ ข้างๆ กันนั้นเป็นกล่องใส่พินัยกรรมและจดหมาย เธอหยิบรูปโชคขึ้นมาถือ แล้วพูดกับรูป
"ฉันขอโทษด้วยนะคะคุณโชค ฉันพยายามทำดีที่สุดแล้ว แต่ลูกไม่เข้าใจทั้งคุณและฉัน เขาคิดมาตลอดว่าคุณไม่รัก หรือจริงๆ เขาอาจจะเกลียดฉันก็เลยไปพาลลงที่คุณก็เป็นได้"
"ยังไงฉันก็จะพยายามดูแลมีโชคให้ดีที่สุด แต่ถ้าฉันหมดแรงเมื่อไหร่เราคงต้องปล่อยให้มีโชคเป็นไปตามที่ต้องเป็นนะคะ"
วิภาพูดไปร้องไห้ไปด้วยความเสียใจ
“แม่ใหญ่ครับ”
เสียงน่านฟ้าดังขึ้น วิภาหันไปดูก็เห็นน่านฟ้ายืนอยู่ในห้อง ใบหน้าสำนึกผิด เธอรีบปาดน้ำตาตัวเองกลบเกลื่อน
“มีอะไร ถึงได้มาหาฉันมืดๆ ค่ำๆ แบบนี้”
วิภาถามแปลกใจเพราะปกติน่านฟ้าแทบจะไม่เหยียบบ้านหลังนี้เลย ถ้าไม่จำเป็น
“แต่มาก็ดีแล้ว ฉันมีอะไรอยากให้แกดู เรื่องมันจะได้จบๆ กันไปซะที ฉันเหนื่อยเต็มทนแล้ว มานั่งนี่สิ”
น่านฟ้าเดินไปนั่งลงที่โซฟาอีกตัวใกล้ๆ วิภา วิภาหยิบจดหมายส่งให้ น่านฟ้ารับมางงๆ
“จดหมายของคุณโชค เขียนไว้ให้แกก่อนตาย ฉันว่าจะหาจังหวะเหมาะๆ เอาให้แกแต่ก็ยังไม่มีโอกาสสักที”
น่านฟ้ารีบเปิดออกอ่าน
“น่านฟ้าลูกรัก ถ้าน่านได้อ่านจดหมายฉบับนี้แสดงว่าพ่อได้จากไปแล้ว พ่อฝากดูแลบริษัทมีโชคด้วยนะ เพราะมันเป็นของน่าน ดูแลแม่ให้ดี แม่เขาทำทุกอย่างเพื่อน่านมาเยอะแล้วอย่าให้แม่เขาต้องเหนื่อยอีก แล้วพ่อก็ฝากดูแลแม่ใหญ่ด้วย แม่ใหญ่เขาไม่มีใครนอกจากเราที่เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าไม่มีแม่ใหญ่บริษัทมีโชคก็คงจะไม่เจริญรุ่งเรืองจนมาถึงมือน่านได้แบบนี้ อย่าทิ้งแม่ใหญ่นะลูก พ่อทำพินัยกรรมยกทุกอย่างให้น่านเพราะแม่ใหญ่ยืนยันว่าไม่อยากได้อะไร แม่ใหญ่เขารักน่านมากนะ เงินที่ส่งให้น่านตอนเรียนเมืองนอกทุกบาทแม่ใหญ่เขาเป็นคนจัดการไม่เคยขาด พ่ออาจจะไม่ใช่พ่อที่ดีนัก ไม่ใช่พ่อที่อบอุ่นเหมือนพ่อคนอื่น แต่พ่อก็รักน่านมากนะ พ่อโชคของลูก”
น่านฟ้าอ่านจบน้ำตาซึมๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ยกมือขึ้นพนมแล้วกราบลงที่เท้าวิภา วิภาเอามือลูบผมน่านฟ้าเบาๆ น่านฟ้าเงยหน้าขึ้นมาน้ำตาไหลเป็นทาง
“ผมขอโทษครับแม่ใหญ่ ที่ทำตัวเกเรกับแม่ใหญ่มาตลอด”
“ช่างมันเถอะ ฉันเองก็คงจะเข้มงวดกับแกเกินไปเหมือนกัน ต่อไปนี้ก็ต่างคนต่างอยู่นะ แกก็ใช้ชีวิตของแก ฉันก็ใช้ชีวิตของฉัน”
“ไม่ได้ครับแม่ใหญ่ เราเป็นครอบครัวเดียวกันก็ต้องใช้ชีวิตร่วมกันสิครับ ผมจะช่วยกันกับแม่ใหญ่แก้ไขปัญหาของมีโชคด้วยกัน”
“มันสายไปแล้วล่ะ ตอนนี้คนงานปั่นป่วนไปหมดจนฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”
“แม่ใหญ่ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ เพราะผมจะทำเอง ในฐานะประธานบริษัทมีโชค ผมจะจัดการทุกอย่างเอง”
“นี่แกพูดจริงเหรอนายน่าน แกยอมรับตำแหน่งประธานมีโชคจริงๆ ใช่มั้ย คุณโชคคะ เราได้ลูกคืนมาแล้ว คุณได้ยินมั้ยคะ ว่าเราได้นายน่านคืนมาแล้ว”
วิภาบอกกับรูปของโชคด้วยความดีใจ น่านฟ้ามองวิภา ยิ้มน้อยๆ ดีใจที่ความสุขคืนกลับมา
คืนนั้น มัศยานั่งกลุ้มใจอยู่ในห้องนั่งเล่น สมใจเดินเข้ามาหา
“นะดีหลับไปแล้วเหรอคะแม่”
“แม่เล่านิทานไม่ถึงครึ่งเรื่องก็หลับปุ๋ยไปแล้ว”
“เป็นเด็กนี่ดีนะคะแม่ กินง่าย นอนง่าย มีความสุขง่ายๆ กับเรื่องเล็กๆ ทำไมโตขึ้นเราถึงได้กินยากนอนยาก ความสุขอยู่กับอะไรที่มันใหญ่โตขึ้นทุกวัน”
มัศยาบ่นน้ำเสียงเบื่อๆ
“หยีมีเรื่องอะไรหรือเปล่าลูก ไม่สบายใจเรื่องคุณท่านป่วยเหรอ ไหนบอกว่าอาการดีขึ้นแล้วไง”
“คุณท่านออกจากโรงพยาบาลมาทำงานได้แล้วค่ะแม่ แต่คุณน่านน่ะสิคะ หยีไม่เข้าใจความคิดเขาเลย วันนี้เขาทำให้คุณท่านร้องไห้ด้วยการขอลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัทมีโชค”
“ลาออกทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นเจ้าของเนี่ยนะ”
“นั่นแหละค่ะ หยีถึงบอกว่าไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ หยีรู้แต่ว่าคุณน่านอยากจะเอาชนะคุณท่าน”
“ถ้าชนะแล้วจะยังไงต่อ หรือถ้าแพ้ล่ะจะเป็นยังไง”
“หยีว่ายังไงคุณน่านก็แพ้ค่ะ ถ้าเขาเอาชนะคุณท่านได้เขาก็อาจจะต้องเสียคนที่รักเขาอย่างคุณท่านไป แล้วก็เสียบริษัทที่ควรจะเป็นของตัวเองไปให้คุณอื่น แต่ถ้าเขาแพ้เขาก็จะต้องทนทำงานแบบไม่เข้าใจว่าทำทำไม หยีไม่เห็นว่าทางไหนมันจะดีสักทาง”
“แล้วหยีว่ามันจะออกมาทางไหน”
“หยีไม่กล้าเดาหรอกค่ะแม่ เอาแค่พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นหยียังไม่กล้านึกเลย”
มัศยาหนักใจ สมใจมองลูกสาวอย่างสงสาร
ตอนเช้า สุกิจและภูริชนั่งคุยกันเรื่องของน่านฟ้าอยู่ในห้องทำงานของสุกิจ
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะไม่รอจนถึงสามวัน ฉันจะไม่ให้โอกาสพวกมันลุ้นปาฏิหาริย์หรอก”
“ผมก็คิดแบบเดียวกันนะครับ ถ้ารอถึงสามวันคนงานก็อ่อนลงเยอะ คุณท่านก็มีพลังทำให้คนยอมได้ง่ายๆ ซะด้วย แต่ว่าคุณสุกิจจะทำยังไงครับ”
“ฉันไม่ทำ แกนั่นแหละทำ”
ภูริชชะงักด้วยความสนใจ เขาฟังแผนการจากสุกิจแล้วก็ออกไปยุยงคนงานให้ประท้วงเอาสิ่งที่ต้องการให้ได้ ไม่ต้องรอสามวัน จากนั้นคนงานคนอื่นๆ ก็ถูกคนงานที่ภูริชปั่นหัวมา ปลุกระดมให้ปั่นป่วนกันอีกครั้ง
ต๋องขับรถของบริษัทแล่นเข้ามาโดยมีมัศยาและน่านฟ้านั่งมาด้วย พอเข้าเขตหน้าตึกก็เห็นว่าคนงานมายืนประท้วงชูป้ายกันอีกแล้ว
“เราไม่เอาน่านฟ้า เราต้องการคุณสุกิจ”
“ไหนเจ๊บอกว่าขอเวลาคนงานไว้สามวันไง เพิ่งคุยกันเมื่อวานเองไม่ใช่เหรอ”
น่านฟ้าแปลกใจ
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คุณน่านจะสนใจทำไม คุณแค่มาเก็บของไม่ใช่เหรอ”
น่านฟ้ายังไม่ได้บอกการตัดสินใจของตัวเองให้มัศยาฟัง ก็เลยยิ้มๆ ไม่พูดอะไร ต๋องขับรถเลี่ยงไปจอดอีกมุมหนึ่ง
“เจ๊ไปตามแม่ใหญ่มาจัดการเถอะ เดี๋ยวผมจะดูลาดเลาแถวนี้สักแป๊บค่อยขึ้นไปเก็บของ”
“งั้นเดี๋ยวผมอยู่เป็นเพื่อนท่านประธานเอง เผื่อมีคนงานเลือดร้อนเห็นคุณน่านเข้าแล้วจะมารุมตื้บผมจะได้พาหนีทัน”
“ขอบใจมากนะไอ้ต๋อง”
น่านฟ้าประชด ต๋องยิ้มแหยๆ มัศยารีบลงจากรถไป
น่านฟ้ากับต๋องมายืนดูคนงานอยู่มุมหนึ่ง ในขณะที่สุกิจกับภูริชก็ยืนดูสถานการณ์อยู่อีกมุมหนึ่งตรงข้ามกับที่น่านฟ้ากับต๋องยืนอยู่ คนงานยังคงชูป้ายพร้อมกับร้องประท้วง
“เราไม่เอาน่านฟ้า เราต้องการคุณสุกิจ”
น่านฟ้าและต๋องมองเจ็บใจ
วิภานั่งจิบกาแฟสบายๆ ในห้องทำงาน มัศยาพรวดพราดเข้ามา
“คุณท่านคะ”
“อะไรกันมัศยา มีเรื่องอะไรต้องรีบขนาดนี้”
“คนงานประท้วงอีกแล้วค่ะ ท่าทางจะหนักกว่าเมื่อวานด้วยค่ะคุณท่าน”
“อ้าว ไหนว่าคุยกันรู้เรื่องแล้วว่าอีกสามวันค่อยคุยกันไง”
วิภาแปลกใจแต่ไม่ถึงกับกังวลเหมือนเมื่อวาน
“ดิฉันก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นค่ะ”
“แล้วนายน่านมาบริษัทพร้อมเธอหรือเปล่าวันนี้”
“มาค่ะ คุณน่านขอติดรถมาเก็บของ ตอนนี้อยู่ข้างล่างกับต๋อง เห็นบอกว่าจะดูลาดเลาอะไรเนี่ยค่ะคุณท่าน”
“อ๋อเหรอ”
วิภาไม่ค่อยจะทุกข์ร้อนเท่าไหร่นัก ยังยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้งสองครั้งก่อนจะลุกขึ้น
“ไป ลองไปดูกันสิว่าเรื่องไปถึงไหนแล้ว”
วิภาเดินนำออกไปอย่างใจเย็น มัศยาเดินตามงงๆ ว่าทำไมวิภาถึงใจเย็นนัก
น่านฟ้ากับต๋องยืนดูคนงานประท้วงอยู่ จู่ๆ น่านฟ้าก็ตัดสินใจที่จะปรากฏตัวต่อหน้าคนงาน เขาเดินเข้าไป
“คุณน่านจะไปไหนครับ โธ่ หาเรื่องโดนรุมตื้บแท้ๆ เลยคุณน่าน”
ต๋องร้องห้ามแต่ไม่ทัน วิภากับมัศยาลงมาพอดี วิภาโบกมือให้มัศยาหยุดรอดู ว่าน่านฟ้าจะจัดการอย่างไร พอน่านฟ้าเดินออกไป คนงานก็เริ่มส่งเสียงฮือฮาหนักขึ้น
“สวัสดีครับทุกคน”
น่านฟ้าพยายามตะเบ็งเสียง แต่คนงานยังคงฮือฮาโห่กันอยู่ มัศยารีบเดินออกไปยืนข้างๆ น่านฟ้าแล้วพูดผ่านโทรโข่ง
“พี่น้องคะ ฉันอยากให้พวกเราเปิดโอกาสให้คุณน่านฟ้าได้พูดสักนิด บอกตรงๆ ว่าฉันเองก็ไม่รู้ว่าคุณน่านฟ้าจะพูดอะไร แต่การฟังมันก็คงจะดีกว่าการปิดหูไม่รับรู้แล้วตัดสินใจเอาเองนะคะ”
มัศยาบอกเสียงเข้ม คนงานเริ่มหยุดเพื่อฟัง มัศยาส่งโทรโข่งให้น่านฟ้า น่านฟ้ายกมือไหว้คนงานก่อนจะรับโทรโข่งไปถือ
“สวัสดีครับพี่น้องทุกคน ผมชื่อน่านฟ้า ประสบโชคชัย ลูกชายคนเดียวของคุณโชค ที่เป็นคนก่อตั้งมีโชคของเรา บางคนอาจจะเคยเจอผมแล้ว บางคนอาจจะเพียงแค่ได้ยินชื่อและสรรพคุณที่ไม่ดีของผม ผมยอมรับครับว่าที่ผ่านมาผมทำตัวไม่ดี ไม่เห็นความสำคัญของบริษัทมีโชคที่ทุกคนรัก นั่นเป็นเพราะความเข้าใจผิดในเรื่องส่วนตัวของผม แต่ตอนนี้ผมเข้าใจความจริงแล้ว ผมอยากจะขอโอกาสพี่น้องทุกคนให้ผมได้พิสูจน์ว่าผมพร้อมที่จะรักมีโชคเหมือนที่ทุกคนรัก ผมสัญญาว่าภายในสามเดือนผมจะทำให้มีโชคของเรากำไรขึ้นห้าสิบเปอร์เซ็นต์”
วิภาหันหลังกลับ ยิ้มสบายใจแล้วค่อยๆ เดินออกไป
“ถ้าทำไม่ได้ ผมจะพิจารณาตัวเองด้วยการลาออก ไม่ต้องให้พี่น้องมาตากแดดไล่ให้ร้อนแบบนี้ ถ้าทุกคนเคยรักคุณพ่อของผมก็ขอให้แบ่งความรักมาให้ผมบ้าง คิดซะว่าเป็นลูกหลานพี่น้อง ผิดถูกยังไงก็ตักเตือนกันได้ ให้โอกาสผมนะครับ ขอบคุณครับ”
น่านฟ้าส่งโทรโข่งคืนให้มัศยาแล้วก็ยกมือไหว้คนงานอีกครั้ง ต๋องนำปรบมือ คนอื่นๆ พากันปรบมือตามก้องไปหมด มัศยายิ้มโล่งอก สุกิจกับภูริชมองอย่างโกรธแค้น
น่านฟ้าเดินนำมัศยากับต๋องเข้ามาในห้องทำงานของเขา
“แหม คุณน่านฟ้า ไม่ใช่สิต้องท่านประธานนี่ คารมเป็นต่อรูปหล่อเป็นเลิศจริงๆ นะครับ ทำเอาต๋องเคลิ้มอยากทำงานให้ฟรีไม่รับเงินเดือนเลย”
“แกพูดเองนะไอ้ต๋องเดี๋ยวฉันจัดให้”
“ต๋องเปรียบเทียบน่ะครับ แบบอุปมาอุปไปทำไมน่ะครับ”
ต๋องพูดมั่วๆ ไป
“เขาเรียกอุปมาอุปมัยย่ะ แต่ก็จริงของต๋องมันนะ คุณน่านนี่คารมเหลือร้าย อ้อนแม่ยกเก่งแบบนี้ ไปเป็นพระเอกลิเกหรือไม่ก็นักร้องลูกทุ่งสบายเลย แม่ยกคงแย่งกันตาย”
มัศยาเริ่มอารมณ์ดีลืมทำหน้าดุ
“ของมันแน่อยู่แล้ว สาวๆ ถึงได้ติดกันตรึมไงเจ๊ ขนาดเจ๊ยังแอบมีเคลิ้มๆ เหมือนกันเลย ไม่ใช่เหรอ”
“หลงตัวเอง ฉันมีคนที่ฉันรัก แล้วเขาก็รักฉัน แล้วฉันก็มีนะดีด้วย”
มัศยาต่อว่าเริ่มเสียงเข้ม
“แหม ผมล้อเล่นน่ะเจ๊ ผมเองก็ไม่อยากกับคนมีครอบครัวหรอกน่า ว่าแต่วันนี้ผมมีความดีความชอบ เจ๊ต้องให้รางวัลนะ”
“โอ๊ย ฉันไม่มีปัญญาหารางวัลอะไรมาให้คุณหรอก”
“รางวัลง่ายๆ เองเจ๊ ไปเป็นเพื่อนผมกินข้าวเย็น เดี๋ยวผมออกเอง นะเจ๊นะ ผมกินข้าวเย็นคนเดียวมาเป็นปีแล้วเบื่อจะตาย”
น่านฟ้าอ้อน
“ก็ได้ แต่ฉันต้องเป็นคนเลือกร้านเอง ถ้าไม่ตกลงก็ไม่ไป”
“ก็ได้ ยังไงก็ดีกว่ากินข้าวคนเดียว โอเคเจ๊”
“ต๋องก็โอเคครับ”
“แกจะโอเคหรือโนเคก็เรื่องของแกไอ้ต๋อง เพราะงานนี้ฉันจะไปสวีทกับเจ๊โหดกันสองคน แกไม่เกี่ยว”
“อดข้าวฟรีเลย”
ต๋องโอด มัศยามองน่านฟ้าที่ดีใจเหมือนเด็กๆ ก็แอบถอนหายใจ ไม่รู้จะจะเกเรอีกตอนไหน
วิภายืนอยู่หน้ารูปของโชค ยิ้มมีความสุข
“วันนี้คุณได้ยินนายน่านพูดกับคนงานแล้วใช่มั้ยคะคุณโชค ไม่รู้ว่านายน่านเขาจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าเขาน่ะถอดแบบคุณมาเปี๊ยบเลย ขี้อ้อน ใจเย็น มีเหตุผล สงสัยตอนหนุ่มๆ คุณคงเกเรเหมือนนายน่านแน่ๆเลย ขอบคุณนะคะคุณโชคที่ช่วยพาเด็กหลงทางกลับมาบ้านจนได้”
ภาพโชคในรูปมีรอยยิ้มจางๆ
ปลาหลงฟ้า ตอนที่ 4 (ต่อ)
น่านฟ้ากับมัศยานั่งอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง
“เนี่ยนะดินเนอร์ของเจ๊ ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางเนี่ยนะ”
“มันขึ้นอยู่กับว่าดินเนอร์ของคุณคืออะไร ถ้าเป็นแค่มื้อค่ำนี่ก็คือดินเนอร์ แต่ถ้าเป็นอาหารนิดหน่อยนัวเนียเยอะๆ ฉันคงไม่มีดินเนอร์ให้คุณ”
มัศยาบอกไปตรงๆ
“เจ๊นี่เฉียบไปเลย ตรงเป้า เอ๊ย ตรงประเด็นทุกนัด ที่จริงกินข้าวเฉยๆ ก็ได้ แต่น่าจะเลือกร้านที่มันได้บรรยากาศหน่อย ไม่ใช่สว่างโร่แบบนี้”
“ไอ้ร้านพวกนั้นเอาไว้คุณไปทานกับพวกสาวๆ ของคุณเถอะ ฉันไม่เอาด้วยหรอก เปิดไฟสลัวๆ กลัวตักข้าวเข้าปากไม่ถูก”
“ผมก็ลืมไปว่าเจ๊แก่แล้วหูตาฝ้าฟาง โอเคเตี๋ยวก็เตี๋ยว”
เด็กเอาก๋วยเตี๋ยวที่สั่งมาเสิร์ฟให้ ตอนแรกน่านฟ้าก็ยังลังเลว่าจะอร่อยหรือไม่ แต่พอกินไปได้คำหนึ่งก็ร้องสั่งเพิ่มทันที
“น้อง เอาแบบนี้อีกชามหนึ่ง”
น่านฟ้าบอกแล้วก็คีบก๋วยเตี๋ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย มัศยาแอบยิ้ม
คืนนั้น น่านฟ้ากับมัศยามาเดินเล่นกันบนสะพาน ท่ามกลางแสงไปของกรุงเทพฯยามราตรี
“เฮ้อ สบายตาจัง ไม่ได้เดินเล่นแบบนี้มานานแล้ว วันๆ อยู่แต่บนรถ จนนึกว่าตัวเองเป็นคนขับแท็กซี่ซะอีก”
“ถ้าคุณขับแท็กซี่ ลูกค้าผู้ชายคงไม่ได้นั่งรถคุณแน่”
“แหม เจ๊นี่รู้ใจผมที่สุดเลย เสียดายที่มีซะมีมีลูกซะแล้ว ไม่งั้นจะให้แม่ไปขอเลยนะเนี่ย”
“ถึงไม่มีฉันก็ไม่เอาคุณมาทำพันธุ์หรอกย่ะ”
มัศยาว่าด้วยความหมันไส้ รู้สึกผ่อนคลายกับชีวิตขึ้นเยอะ ทั้งสองเดินคุยกันมาที่สวนสาธารณะใต้สะพาน ใกล้ที่จอดรถ
“ฉันถามจริงๆ เถอะ ที่คุณประกาศต่อหน้าคนงานเกือบทั้งบริษัทวันนี้ว่าภายในสามเดือนจะเพิ่มยอดให้มีโชคห้าสิบเปอร์เซ็นต์เนี่ย คุณมั่นใจว่าทำได้เหรอ”
“เจ๊จะเอาเรื่องจริงปะ”
“ฉันอยากฟังเรื่องโกหกมั้ง ก็เรื่องจริงสิคะท่านประธาน”
“ไม่มั่นใจเลย แต่ผมไม่ได้พูดเล่นนะเจ๊ ผมเอาจริง”
“ฉันเชื่อว่าคุณตั้งใจจริง แต่คุณก็ไม่น่าไปผูกมัดตัวเองขนาดนั้น ฉันยังมองไม่เห็นทางเลย สามเดือนห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ปีหนึ่งยังเหนื่อยเลย”
“งั้นพรุ่งนี้ผมไปต่อรองขอเป็นห้าเปอร์เซ็นต์ดีปะเจ๊ หรือเอาแค่สามก็พอ”
น่านฟ้าชักลังเล
“จะบ้าเหรอ คุณทำแบบนั้น คราวนี้คุณไม่แค่โดนประท้วงไล่ แต่จะโดนรุมตื้บเหมือนที่ต๋องว่าแน่ๆ”
“จริงๆ ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าทำได้นะ เพราะผมมีผู้ช่วย”
น่านฟ้ากลับลำ
“จะเอาใครมาช่วยก็ดูดีๆ หน่อยแล้วกัน เดี๋ยวจากช่วยจะกลายเป็นฉุดซะ”
มัศยาบอกแล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นรถที่เหมือนรถของเธอ ดูทะเบียนปรากฏว่าใช่ จึงมองหาสินธุที่ยืมรถของเธอไปใช้ ไม่ทันได้ฟังที่น่านฟ้าพูดต่อ
“ผู้ช่วยของผมก็เจ๊นั่นแหละดีพอปะ”
“ฉันเหรอ ก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้คุณว่าใครเป็นผู้ช่วยคุณนะ”
“ก็เจ๊ไง”
“จะบ้าเหรอ ฉันมีหน้าที่สอนคุณให้ทำงานเป็น ไม่มีหน้าที่มาช่วยเพิ่มผลผลิตนะ แค่นี้ก็เหนื่อยจะตายแล้ว”
“แต่เจ๊เป็นเด็กการตลาดเก่านะ”
“ตอนนี้ฉันก็อยู่ฝ่ายการตลาดย่ะ”
มัศยาคุยไปมองรถไปเผื่อเจอสินธุ แต่กลายเป็นเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มเดินมาเปิดประตูคนขับขึ้นไปนั่ง แล้วขับออกไป
“เดี๋ยวคุณ คุณ”
มัศยาร้องเรียกแต่ไม่ทัน
“มีอะไรเหรอเจ๊ รู้จักน้องเขาเหรอ”
น่านฟ้าเองก็แอบเหล่อยู่เหมือนกัน
“ไม่รู้จัก แต่รถคันนั้นเป็นรถของฉัน”
น่านฟ้าชะงักด้วยความสงสัย
น่านฟ้ากับมัศยานั่งอยู่ในรถยังไม่ได้สตาร์ทรถ
“รถเจ๊หายก็ไม่บอก ถึงว่า ไปบ้านเจ๊สองสามครั้งไม่เคยเห็นรถ ไปแจ้งความหรือยังเจ๊”
“รถฉันไม่ได้หาย แฟนฉันยืมเอาไปใช้ต่างจังหวัด”
มัศยาบอกเสียงเรียบๆ ใช้ความคิด
“โห เจ๊นี่โคตรแมนเลย ให้ซะมีเอารถไปใช้ ตัวเองนั่งแท็กซี่ไปทำงาน สุดยอด”
น่านฟ้าชมแบบประชดแต่มัศยาไม่ได้ตั้งใจฟังเพราะกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอหยิบโทรศัพท์ทำท่าจะกดเบอร์ แต่นึกขึ้นมาได้ มองหน้าน่านฟ้า
“โทรตามสบายเลยเจ๊ ผมไม่แอบฟังหรอก”
มัศยายังไม่โทร มองหน้าน่านฟ้าต่อ จนน่านฟ้ายอมแพ้
“โอเคผมออกไปรอข้างนอกรถก็ได้ ทีกะซะมีล่ะตามใจ กะผมล่ะขู่ฟ่อๆ เป็นงูเห่าเลย”
น่านฟ้าบ่นๆ ก่อนจะเปิดประตูออกไปยืนข้างๆ รถ พยายามเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร มัศยาเปิดประตูรถออกมา
“เป็นไงบ้างเจ๊ได้เรื่องเปล่า”
“ฉันจะกลับบ้าน เจอกันที่บริษัทพรุ่งนี้นะคะ”
มัศยาบอกแล้วก็ทำท่าจะเดินออกไปเรียกแท็กซี่
“จะไปไหนล่ะเจ๊ เดี๋ยวผมไปส่งเอง รับรองเร็วกว่าแท็กซี่ เร็วสิเจ๊ชักช้าเสียเวลา”
น่านฟ้าร้องบอก มัศยามองหน้าชายหนุ่มก็ไม่เห็นว่ามีอะไรแอบแฝง เลยเดินกลับมาเปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง น่านฟ้ารีบเปิดประตูฝั่งคนขับขึ้นไปนั่งสตาร์ทรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
มัศยานั่งเงียบมาในรถ กำลังใช้ความคิด น่านฟ้าเห็นว่าเงียบจนอึดอัดก็ชวนคุย
“อย่าคิดมากเจ๊ ไม่มีอะไรหรอก ซะมีเจ๊อาจจะเอารถให้น้องสาวยืมใช้ก็ได้ สงสัยเจ๊จะไม่เคยเจอน้องสาวเขา”
“แฟนฉันเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง”
“งั้นก็ให้รุ่นน้องที่ทำงานด้วยกันยืม เจ๊อย่าบอกนะว่าซะมีเจ๊ทำงานคนเดียวอีก”
น่านฟ้ายังไม่ละความพยายาม มัศยาถอนหายใจแล้วมองหน้าน่านฟ้าก่อนจะพูดออกมาอย่างเหลืออด
“ถ้าคุณอยากจะช่วยฉันล่ะก็ ช่วยเงียบแล้วตั้งใจขับรถไปได้มั้ยคะคุณน่าน ฉันฟังคุณพูดจนปวดหัวไปหมดแล้”ว
น่านฟ้าทำปากตูมเหมือนเด็กโดนดุ แต่ก็ยอมเงียบโดยดี แล้วก็ทนไม่ไหว
“หรือว่า”
น่านฟ้าพูดได้แค่นี้ มัศยาก็สวนขึ้นมา
“ถ้าคุณเงียบไม่ได้ ก็กรุณาจอดให้ฉันลง เดี๋ยวฉันต่อแท็กซี่กลับเอง”
คราวนี้น่านฟ้ายอมเงียบจริงๆ
รถของมัศยาจอดอยู่ที่หน้าบ้าน น่านฟ้าขับไปจอดใกล้ๆ กัน มัศยารีบลงจากรถเดินไปดู แต่สะดุดจะล้ม น่านฟ้าเดินตามมาเลยเข้าไปประคอง
“เฮ้ย ทำอะไรวะ นั่นแฟนกูนะโว้ย”
สินธุโวยวายพร้อมกับเข้ามาชกน่านฟ้าแบบไม่ทันให้ตั้งตัว น่านฟ้าทำท่าจะชกกลับแต่มัศยารีบเอาตัวเข้ามาบังสินธุเอาไว้ น่านฟ้าเลยได้แค่เงื้อหมัดค้าง
“อยู่ๆ แฟนเจ๊ก็มาต่อยหน้าผม เจ๊ไม่เห็นเหรอ”
น่านฟ้าถามน้ำเสียงฉุนๆ ที่มัศยาเข้าข้างสินธุแบบไม่มีเหตุผล
“เห็น แต่ฉันขอเถอะ เรื่องเข้าใจผิดน่ะ คุณกลับไปได้แล้ว พรุ่งนี้เจอกันที่ทำงาน”
มัศยาตัดบทกึ่งๆ ไล่ น่านฟ้าหงุดหงิดและเสียหน้า ไม่พูดอะไร ได้แต่เดินฟึดฟัดไปขึ้นรถ ขับออกไป
“ไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร”
สินธุถามเสียงเข้ม
มัศยากับสินธุเข้ามาคุยกันในห้องนั่งเล่น
“เขาชื่อคุณน่านฟ้า เป็นลูกชายของคุณโชคและตอนนี้เป็นประธานบริษัทมีโชคค่ะ”
“เป็นประธานแล้วเที่ยวมาจีบแฟนชาวบ้านได้งั้นเหรอ ผมไม่ยอมหรอกนะ”
สินธุโวยวาย
“เขาไม่ได้มาจีบหยี แต่ตอนนี้คุณท่านมอบหมายให้หยีช่วยดูสอนงานที่บริษัทให้เขา หยีอยู่ช่วยดูงานจนมืดคุณน่านฟ้าเขาก็แค่มาส่ง เพราะเป็นห่วงเท่านั้นเอง คบกันมาตั้งหลายปีหยีเคยทำตัวเหลวไหลให้สินธุเห็นเหรอคะ”
มัศยาย้อนถามน้ำเสียงน้อยใจ แต่ก็ตอบแบบเลี่ยงๆ ไป เพราะไม่อยากตอบคำถามว่าทำไมต้องไปทานข้าวกันมืดๆ ค่ำๆ
“ผมขอโทษ ก็ผมหวงของผมนี่นา”
สินธุทำเสียงออดอ้อน
“สินธุหมดคำถามแล้วใช่มั้ยคะ แต่หยีมีคำถาม”
“จะถามอะไรว่ามาเลยครับ ผมตอบได้ทุกคำถาม”
สินธุตอบอย่างมั่นใจ
“เมื่อตอนกำลังจะกลับบ้าน หยีเห็นรถของหยีจอดอยู่ที่ที่จอดรถสวนสาธารณะ แล้วก็มีเด็กสาวหมวยๆ มาขับรถออกไป สินธุอธิบายได้มั้ยคะ”
มัศยาถามแล้วก็จ้องหน้าสินธุรอคำตอบ สินธุอึกอักแต่แล้วก็นึกคำตอบออก
“อ๋อ น้องหมวย น้องที่ทำงานน่ะ เขาขอติดรถกลับมากรุงเทพด้วย พอดีเขานัดแฟนไว้แถวที่หยีเห็นนั่นแหละ กลัวจะไปไม่ทันก็เลยยืมรถเราไป พี่นั่งแท็กซี่มารอแถวบ้านหยี พอเขาเอารถมาคืนพี่ก็ขับเข้าบ้านมาเนี่ยแหละ”
สินธุตอบลื่นไหลจนมัศยาเชื่อสนิทใจ
“ใครจะไปรู้ล่ะค่ะ หยีก็นึกว่าสินธุเอารถของหยีไปให้ผู้หญิงคนอื่นใช้ เพราะสินธุเปลี่ยนไปเยอะตั้งแต่ไปทำงานต่างจังหวัดเนี่ย ไม่เคยโทรหาหยี โทรไปก็ไม่ค่อยรับสาย ไม่ยอมโทรกลับด้วย”
มัศยาบอกอย่างน้อยใจ สินธุเข้ามากอดมัศยาเอาใจ
“ใครจะไปทำแบบนั้นกับคนที่ตัวเองรักได้ ผมยุ่งมากจริงๆ นี่เขาก็จะโปรโมทให้เป็นหัวหน้าแผนกก็ดูๆ งานกันอยู่”
“ก็ดีน่ะสิคะ สินธุก้าวหน้าเร็วดีออก”
มัศยาบอกดีใจ
“ไอ้ก้าวหน้ามันก็ดีหรอก แต่เงินเดือนขึ้นนิดเดียว แถมพอตำแหน่งใหญ่ขึ้นภาษีสังคมก็เยอะ ยิ่งต่างจังหวัดเดี๋ยวคนโน้นแต่งงาน ลูกคนนี้บวช พ่อคนโน้นตาย เดือนๆ หนึ่งไม่รู้กี่งาน เดือนนี้ผมโดนเชิญจนช็อตเลยเนี่ย ว่าจะยืมหยีไปหมุนสักหน่อย”
สินธุพูดไปพูดมาก็มาลงเรื่องเงิน มัศยาหยิบเงินจากกระเป๋าถือปึกหนึ่งส่งให้แบบไม่ต้องนับ สินธุรับไปแล้วก็หอมแก้มมัศยาเอาใจ
“หยีน่าน่ารักที่สุดเลย ผมรักหยีมากเลยนะรู้มั้ย”
“หยีก็รักสินธุมากเหมือนกันค่ะ”
สมใจยืนดูอยู่มุมหนึ่งด้วยความเป็นห่วงมัศยา
“หยีเอ๊ย เมื่อไหร่จะตาสว่างสักทีนะลูก”
สมใจถอนหายใจลึก ก่อนจะเดินขึ้นข้างบนไป
น่านฟ้าเพิ่งกลับถึงบ้าน เดินเข้ามาในห้องนอน บ่นกับตัวเอง
“ยัยเจ๊โหด ทีกะเราไม่เคยอ่อนข้อ แต่กับซะมียอมตายแทนได้ ผู้หญิงอะไรสองมาตรฐาน คอยดูนะถ้าเจออีกครั้งจะต่อยหน้าก่อนเลย แล้วค่อยเคลียร์ อารมณ์เสีย”
น่านฟ้าหงุดหงิด
ตอนเช้า น่านฟ้าใส่ชุดทำงานเดินมาที่โต๊ะอาหาร ขณะที่สุกัญญากำลังจัดมื้อเช้าอยู่
“หอมจังครับแม่”
“ข้าวต้มกุ้งน่ะเหรอ”
น่านฟ้าหอมแก้มสุกัญญาฟอดใหญ่
“หอมแม่ต่างหาก”
สุกัญญาหันมายิ้มหมั่นไส้น่านฟ้า
“ปากหวานแบบนี้นี่เอง สาวๆ ถึงติดกันอย่างกับเห็บเกาะหมา”
“โห เปรียบเทียบให้น่ารักกว่านี้ไม่ได้เหรอครับ”
“ก็มันน่าหมั่นไส้นี่”
น่านฟ้าเหลือบไปบนโต๊ะเห็นห่อข้าวเกรียบก็ชะงักมอง หยิบมาดู
“ข้าวเกรียบที่ไหนเหรอครับแม่”
“มีคนเอามาฝากน่ะ เห็นเขาบอกว่าอร่อย คนต่อคิวซื้อยาวเป็นกิโลเลย”
น่านฟ้าเลิกคิ้วไม่อยากเชื่อ
“ขนาดนั้นเลย”
น่านฟ้ากัดข้าวเกรียบแล้วเคี้ยวช้าๆ รสชาติอร่อยมากอย่างคาดไม่ถึง
“กรอบกำลังดี รสกลมกล่อม แค่สัมผัสน้ำลายก็ละลายหายไปในลิ้น แม่ครับ บอกผมหน่อยได้มั้ยครับว่าร้านนี้ขายที่ไหน”
น่านฟ้าจริงจังมาก
ป้ามะลิ หญิงวัย 60 ปี แต่ดูกระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว กำลังควงอุปกรณ์อย่างชำนาญและผาดโผน หลังจากนั้นก็ใช้ตะแกรงช้อนข้าวเกรียบขึ้นมา ขณะที่ด้านหน้าร้าน ชาวบ้านที่มุมอยู่ ตาลุกวาวน้ำลายสอด้วยความอยากกิน
“เอาล่ะ เข้าแถวให้เรียบร้อย ไม่งั้น อดกิน”
ชาวบ้านที่เป็นลูกค้ารีบต่อแถวอย่างรู้งาน ขณะที่ป้ามะลิค่อยๆ คีบข้าวเกรียบใส่ถุงขาย
น่านฟ้าเดินงงๆ มาตามทางเดินในตลาดน้ำ จนมาเห็นท้ายแถวร้านข้าวเกรียบ มีชาวบ้านต่อแถวเต็มไปหมด ก็เดินเข้าไป พยายามจะแทรกคิว ลูกค้าเห็นก็เบียดน่านฟ้าออก
“เฮ้ย ต่อคิวสิวะ”
น่านฟ้าหน้าเจื่อนๆ พยายามชะเง้อมองป้ามะลิ สักพักลูกค้าที่ซื้อข้าวเกรียบถือถุงข้าวเกรียบเดินออกมา น่านฟ้ารีบเข้าไปถามทันที
“พี่ๆ นี่ข้าวเกรียบที่ขายดีๆ รึเปล่า”
“ถามโง่ๆ ขายไม่ดีแถวจะยาวแบบนี้เหรอวะ”
“เออจริง งั้นผมขอชิมสักชิ้นได้มั้ย”
“เฮ้ย เรื่องอะไร ฉันต่อคิวตั้งแต่เช้าเพิ่งได้ ป้าแกขายแป๊บเดียวก็หมดแล้ว”
“ผมซื้อต่อก็ได้พี่ พี่ขายเท่าไหร่ ถุงละร้อยก็ได้ สองร้อยเลยเอ้า ห้าร้อยเลย ตกลงพี่เอาเท่าไหร่บอกมาเลย”
สักพักลูกค้าวงแตก น่านฟ้าหันมามองงงๆ
“อ้าว เขาไปไหนกันแล้วล่ะ”
“สงสัยหมดแล้ว งั้นฉันไม่ขายหรอก อยากกินมาต่อคิวซื้อเองแล้วกัน”
ลูกค้าเดินออกไป น่านฟ้าเซ็งๆ พยายามเดินเบียดลูกค้าคนอื่นๆ เข้าไปหาป้ามะลิ แต่ป้ามะลิไม่อยู่แล้ว น่านฟ้างง หันไปถามชาวบ้านตรงนั้น
“อ้าว คนขายไปไหนแล้วล่ะพี่”
“ไปแล้ว แกบอกว่ารีบ”
น่านฟ้ายืนเหวอไปเลย แต่แล้วพอหันมาเห็นลูกค้าคนแรกเดินเข้ามา
“อยากกินมากใช่มั้ย อ่ะ ให้ชิมชิ้นหนึ่ง”
น่านฟ้ารับมาอย่างดีใจ
“ขอบคุณครับ”
น่านฟ้ากินข้าวเกรียบ ตะลึงงันในความอร่อยมาก
“ใช่แล้ว ใช่เลย”
น่านฟ้าหันไปทางร้าน แอบเซ็งนิดๆ
“เสียดายจริงๆ อดเจอคนขายเลย”
น่านฟ้านั่งเซ็งๆ อยู่ในห้องทำงาน มัศยานั่งมองอยู่นานจนทนไม่ไหว
“ที่บ้านส้วมเต็มเหรอคะคุณน่าน หรือว่ามีอาการวัยทอง”
มัศยาแหย่อย่างอารมณ์ดี ยิ่งทำให้น่านฟ้าหมั่นไส้ไปใหญ่
“ถ้าผมวัยทอง เจ๊ก็คงวัยเพชรแล้วแหละ”
“เอ๊ะคุณน่านนี่ เป็นอะไร ทำไมต้องมาอารมณ์เสียใส่กันแต่เช้าด้วย”
“นี่เจ๊ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าทำอะไรไว้กับผมบ้าง”
“ฉันทำอะไร มีแต่คุณนั่นแหละทำฉันเดือดร้อนจะตกงานตั้งสองครั้งมาแล้ว”
“โหเจ๊ อย่ามาเนียนพลิกคดีนะ ก็เมื่อคืนผมอุตส่าห์ให้เจ๊พาไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง พาเจ๊ไปเดินเล่นแล้วก็ไปส่งที่บ้าน แต่เจ๊ปล่อยให้ซะมีเจ๊มาชกหน้าผมฟรีๆ ขอโทษสักคำก็ไม่มี”
“อ๋อเรื่องแค่นี้เอง อ่ะฉันขอโทษแทนก็แล้วกัน”
“มันสายไปแล้วเจ๊ เพราะเจ๊ได้ฝากแผลเป็นเอาไว้ในใจผมเรียบร้อยแล้ว”
น่านฟ้าทำเป็นพูดด้วยความเสียใจ
“อย่ามาลิเกนะคุณน่าน ลงอีแบบนี้มีข้อเรียกร้องแน่นอน อะไรว่ามา”
“วันนี้เจ๊ต้องออกไปข้างนอกกับผม”
“อะไรกัน ไม่ทันไรคุณจะชวนฉันโดดงานอีกแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่โดดงานหรอกเจ๊เอาเป็นว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานก็แล้วกัน ตกลงมั้ย”
“ก็ได้”
“ยังไม่หมด เจ๊ต้องตามใจผมทั้งวันห้ามขัดใจ”
“ก็ได้ แต่ถ้าคุณทำทะลึ่งคิดลามกเมื่อไหร่ข้อตกลงเป็นอันยกเลิก แล้วต้องกลับบริษัททันที”
“ได้เลยเจ๊ ไม่มีปัญหา งานนี้ผมพาทัวร์เอง”
“แล้วคุณน่านจะชวนฉันไปไหน”
มัศยาสงสัย
น่านฟ้ากับมัศยายืนอยู่หน้าทางเข้าตลาดน้ำ
“คนอย่างคุณน่านฟ้าจอมลามกเนี่ยนะอยากเดินตลาดน้ำ”
มัศยาถามแบบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“เจ๊ไม่รู้อะไรซะแล้ว ไม่ใช่แค่ตลาดน้ำนะ วัดผมก็ชอบไป”
“จีบแม่ชี”
“ใช่ วัดแถวบ้านผมนะแม่ชีสวยๆ เพียบ เย้ย จะบ้าเหรอเจ๊ หานรกมาใส่หัวผมซะละ ผมพาแม่ไปทำบุญตะหาก แต่เดี๋ยวนี้แม่เขาไม่ค่อยจะมีแรงเลยไม่ค่อยได้ไป”
“แม่ไม่มีแรงหรือว่าลูกเริ่มร้อนเวลาเข้าวัดกันแน่”
“ใช่เจ๊ ผมมันบาปหนา เข้าวัดแล้วร้อน เฮ้ย ไม่ใช่ละ ตกลงเจ๊จะให้ผมตกนรกให้ได้ใช่มั้ยเนี่ย อย่ามามัวเจ๊าะมุกกันเลยเจ๊ เสียเวลาหมด ผมจะพาเจ๊ไปเจอคนๆ หนึ่งที่จะช่วยเราเพิ่มยอดขายข้าวเกรียบมีโชคได้อาจจะเกินห้าสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ”
น่านฟ้าบอกแล้วก็เดินนำเข้าตลาดน้ำไป มัศยามองตาม ไม่ค่อยจะเชื่อถือแต่ก็รีบเดินตามเข้าไป
วิภานั่งจิบกาแฟอยู่อย่างสบายใจ ต๋องเปิดประตูห้องเข้ามา
“คุณท่านเรียกหาต๋องเหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิยะ ฉันจะถามว่าท่านประธานของแกเป็นยังไงบ้างวันนี้”
“ไม่อยู่ครับ ออกไปข้างนอกกับคุณมัศยาตั้งแต่สายๆ แล้วครับ”
“อ้าวเหรอ แล้วไป”
วิภาบอกแบบอารมณ์ดี ทำเอาต๋องงง
“คุณท่านไม่โกรธที่ท่านประธานโดดงานเหรอครับ”
“ท่านประธานของแกรับปากว่าจะทำงานเขาก็จะทำ แต่คนเรามีวิธีการทำงานที่ต่างกัน ตอนนี้อย่าเพิ่งไปจับผิดอะไรเขา รอดูที่ผลงานดีกว่า คนเราต้องเชื่อใจกัน ถ้าคุยกันรู้เรื่องแล้ว”
“งั้นต๋องขอออกไปทำงานข้างนอกบ้างได้มั้ยครับคุณท่าน”
“ได้สิ”
“คุณท่านใจดีจังเลยครับ”
“แต่ออกไปแล้วไม่ต้องกลับมาแล้วนะ หางานทำข้างนอกโน่นเลย”
วิภาบอกเสียงเข้ม ต๋องหน้าเจื่อนจ๋อยไป
สุกิจกับภูริชนั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงานของสุกิจ
“สงสัยไอ้น่านมันจะเข้าอีหรอบเดิมนะครับคุณสุกิจ ไม่ทันไรก็ชวนมัศยาโดดงานไปข้างนอกอีกแล้ว”
“ฉันบอกแล้วไงว่าจะเปลี่ยนคนอย่างไอ้น่านฟ้าในสามวันต้องใช้ปาฏิหาริย์ยกกำลังสอง มันคงมีข้อตกลงกับพี่วิภาแล้วช่วยซื้อเวลาให้เท่านั้นแหละ”
สุกิจบอกอย่างมั่นใจในความคิดของตัวเอง
น่านฟ้าเดินนำมัศยามาหยุดที่หน้าร้านขายก๋วยเตี๋ยว
“คนที่คุณบอกว่าจะช่วยเราเพิ่มยอดขายข้าวเกรียบมีโชคอยู่ที่นี่เหรอ”
“เปล่า ผมหิว”
น่านฟ้าบอกแล้วก็เดินเข้าไปในร้าน มัศยาถอนหายใจแล้วเดินตามเข้าไป น่านฟ้านั่งกินก๋วยเตี๋ยวเรืออย่างเอร็ดอร่อย มีชามก๋วยเตี๋ยวชามเล็กๆ วางซ้อนเยอะแยะอยู่ข้างๆ มัศยานั่งมองเซ็งๆ
น่านฟ้าเดินนำมัศยาเข้ามาที่ร้านนวดเท้า
“คุณน่านจะมาปรึกษาเรื่องข้าวเกรียบกับหมอนวดเท้าเหรอคะ”
“เปล่า เดินนานผมเมื่อยเท้าน่ะ”
“นวดกี่คนคะคุณ” หมอถาม
“คนเดียว”
“สองคนครับ”
ทั้งคู่บอกออกไปพร้อมกันแต่คนละคำตอบ
“ตกลงกี่คนแน่คะ”
“ไม่เอาหรอกฉันไม่นวด ไม่เคย จั๊กกะจี๋ตายเลย”
“เอาน่าเจ๊ ลองอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง เจ๊ไม่สงสารหมอเขาเหรอ มาทำให้มีความหวังว่าจะได้เงินค่านวดแล้วก็จากไป สองคนครับ”
มัศยาต้องตกบันไดพลอยโจนนวดเท้าไปด้วย หมอเอาอ่างใส่น้ำอุ่นมาล้างเท้าให้ทั้งคู่ น่านฟ้าสบายๆ เพราะนวดบ่อย แต่มัศยาสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีกด้วยความไม่เคย พอหมอเช็ดเท้าให้เสร็จก็ลงมือนวด
“ของผมหนักๆ ได้เลยนะครับหมอ ไม่ต้องกลัวหรอกเจ๊ ไม่เคยมีใครนวดเท้าแล้วตายหรอก”
“ฉันไม่ได้กลัวตาย ฉันบ้าจี้หรอกตาบ้า”
มัศยากัดฟันตอบ แล้วก็ทั้งสะดุ้งทั้งขำทุกครั้งที่หมอแตะเท้า น่านฟ้าอมยิ้ม มองมัศยาอย่างเอ็นดู
เวลาผ่านไป น่านฟ้าและมัศยาเดินออกมาจากร้านนวดเท้า
“วันหลังเชิญใหม่นะคะ”
หมอร้องบอก
“เป็นไงเจ๊ ติดใจล่ะสิ”
“ติดใจอะไรกันล่ะ จั๊กจี๋จะตาย คนเรานี่ก็แปลกไม่มีอะไรทำหรือไงมานอนให้เขาแหย่เท้าเล่นกันอยู่ได้ พิลึก”
“ผมว่าเจ๊นั่นแหละพิลึก มีแต่คนเขาชอบว่ามันผ่อนคลายดี เห็นมีเจ๊นี่แหละไม่ชอบ”
“เรื่องของฉันเถอะ ว่าแต่คุณจะมาเรื่องงานจริงๆ เหรอเนี่ย หรือว่าหลอกให้ฉันร่วมมือโดดงานเหมือนที่เคยทำ”
“ทั้งเที่ยวทั้งเรื่องงานแหละเจ๊ คนเราจะทำงานอะไรต้องทำอย่างมีความสุขรู้มั้ยเจ๊ เมื่อก่อนผมไม่อยากทำงานที่มีโชค ผมก็เกเรไม่สนใจ แต่พอผมตั้งใจจะทำงานแล้ว ผมก็ต้องหาทางที่จะทำมันอย่างมีความสุขไม่ใช่ทำไปวันๆ”
“ขอให้จริงอย่างที่พูดเถอะ”
“เอ๊า เจ๊นี่แปลกเนอะ บทจะเชื่อง่ายก็เชื่อหัวปักหัวปำ บทจะไม่เชื่อก็เถียงหัวชนหมา เอ๊ย ฝาเลย เอาล่ะ หมดเวลาทัวร์แล้ว ต่อไปจะเป็นเวลาทำงาน ผมจะพาเจ๊ไปพบกับคนที่จะช่วยเพิ่มยอดให้มีโชคเราละนะ เขาคนนี้จะช่วยกอบกู้ข้าวเกรียบมีโชคให้เราได้ ไม่เชื่อก็คอยดู”
น่านฟ้าพูดด้วยความมั่นใจ ผิดกับมัศยาที่ดูไม่เชื่อ
จบตอนที่ 4