ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 12
“นี่เป็นวิธีที่คุณบอกว่าจะใช้จัดการเธอใช่มั้ย?” ทรงพลโพล่งขึ้นมาทันทีที่เดินมาถึงเตียง ศุภารมย์ชะงัก ไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
“มันเป็นวิธีเดียวที่จะดึงให้วินกลับมาอยู่ข้างเรา”
“ถ้าคุณเชื่อว่ามันเป็นทางเดียวที่จะทำให้เด็กนั่นไปจากที่นี่ได้ล่ะก็ ผมก็ยินดี แต่ถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่คุณคิดไว้ล่ะ”
“ฉันคงต้องเลือกทำอะไรสักอย่าง นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะหยุด หรือจบ”
ยังไม่ทันที่ทรงพลจะตอบอะไร อนันยชและวรรณิตเดินเข้ามา
“เป็นไงบ้างครับแม่”
“ไม่เป็นไรแล้วจ้ะ”
อนันยชรีบถาม
“คุณแม่จำหน้าคนร้ายได้มั้ยครับ? ผมว่ามันต้องเป็นฝีมือของไอ้พวกเสี่ยหาญแน่ๆ”
ทรงพลมองศุภารมย์ว่าจะบอกอนันยชอย่างไร แต่วาสนาโผล่เข้ามาขัดจังหวะก่อน
“แม่ต่ายเป็นยังไงบ้าง? เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ใจคอจะไม่มีใครโทร.ไปบอกยายกันหน่อยเลยเหรอ?”
ศุภารมย์ ทรงพล อนันยช วรรณิต รีบยกมือไหว้
“แล้วนี่ยายมาได้ไงจ๊ะ?”
“ฉันก็โทร. เข้าไปที่บ้านมาน่ะสิ พอรู้ปุ๊บก็รีบออกมาเลยเลยไม่ทันได้หิ้วอะไรติดไม้ติดมือมาเยี่ยม เออแล้วนี่จับคนร้ายได้มั้ย?”
ทุกคนนิ่งมองหน้ากัน พร้อมกับที่ทิวัตถ์เดินนำศัลย์เข้ามาในห้อง
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดำเนินการทุกอย่างไปตามหลักฐาน ผิดก็ว่ากันไปตามผิด”
วาสนาเห็นเสื้อผ้าของทิวัตถ์เต็มไปด้วยเลือดก็ตกใจ
“ต๊าย ไปทำอะไรมาพ่อวิน ทำไมเลือดเต็มตัวอย่างนั้นล่ะ?”
ทิวัตถ์อึกอักไม่อยากจะบอกเรื่องที่เจอมา ศุภารมย์รีบช่วยพูด
“วินเขาเป็นคนพาต่ายมาส่งโรงพยาบาลค่ะ รองฯ คุยกับวินเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย?”
“ครับ เดี๋ยวผมต้องไปดูที่เกิดเหตุเพื่อเก็บหลักฐานอีกครั้ง ไม่ต้องห่วงนะครับ ยังไงผมต้องเอาคนผิดมาลงโทษให้ได้ หายเร็วๆ นะครับ ขอตัวนะครับ”
ศัลย์ลอบมองศุภารมย์อีกครั้งก่อนจะออกจากห้องไป วาสนาสงสัยในคำพูดของศัลย์ จึงหันมาคาดคั้นถามว่าทิวัตถ์เรื่องคนร้าย แต่ศุภารมย์รีบพูดตัดบท
“ป้า ต่ายไม่อยากพูดถึงมันอีกแล้ว”
อนันยชเองก็นึกรำคาญวาสนา จึงพูดไล่ทางอ้อม
“ผมว่ายายน้อยคงมาเหนื่อยๆ ณิตพายายน้อยออกไปก่อนดีกว่า คุณแม่จะได้พักผ่อนด้วย”
วาสนาฉุนขึ้นที่เหมือนโดนไล่ แต่วรรณิตกลับถือโอกาสรีบพูดขึ้น
“ไปเถอะจ้ะยาย เผื่อครอบครัวคุณวันจะมีเรื่องต้องคุยกัน”
พูดพลางรีบดึงวาสนาที่หงุดหงิดออกจากห้องไป อนันยชหงุดหงิดรำคาญใจ ก่อนจะหันมาถามย้ำกับ
ทิวัตถ์
“เออวิน ตกลงว่าแกรู้เหรอว่าเป็นฝีมือใคร?”
ทิวัตถ์สะอึก ศุภารมย์รีบขัดขึ้นเพราะรู้ว่าทิวัตถ์ลำบากใจ
“แม่บอกแล้วใช่มั้ยว่าแม่ไม่อยากคุยเรื่องนี้อีก วินกลับบ้านไปพักเถอะ”
ทิวัตถ์ยิ้มรับ พลางหันไปตบไหล่อนันยชก่อนจะเดินออกไป ศุภารมย์มองตาม นึกรู้ว่าสิ่งที่เธอลงทุนลงแรงไปนั้นได้ผลเกินคาด
วรรณิตเดินนำวาสนาออกมาที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล พร้อมๆ กับที่เสียงมือถือดังขึ้น เธอรีบกดรับสายอย่างร้อนรน
“สวัสดีค่ะ อะไรนะ แม่เป็นไรนะคะ ติดเชื้อในกระแสเลือด แล้วต้องทำยังไงคะ? ได้ค่ะ เท่าไหร่คะ?
3 แสนเหรอคะ ค่ะ ต่อให้มากกว่านี้ฉันก็ยอมจ่ายค่ะ ได้ค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปจ่ายให้”
วาสนาได้ยิน ก็พยายามจะเดินหนี จังหวะเดียวกับที่วรรณิตวางสายลงพอดี
“ยาย”
วาสนารีบบอกทันที “ฉันไม่มีเงิน”
“ยาย แต่ฉันต้องใช้เงินจริงๆ นะยาย ตอนนี้แม่ติดเชื้อในกระแสเลือด ต้องเปลี่ยนยา แล้วก็ต้องให้...เอ่อที่ยายเคยบอกฉันว่า ถ้าฉันแต่งงานกับคุณวันเรียบร้อยแล้วยายจะแบ่งเงินสินสอดให้ฉัน”
วาสนาสะอึก ก่อนจะด่าซ้ำ
“แกฟังฉันพูดให้ชัดๆ นะว่าไม่มี แล้วไอ้เงินที่เคยตกลงกันไว้ ฉันก็เอาไปทำทุนหมดแล้ว แล้วเงินแค่นั้นแกจะเอาไปทำไม?”
วรรณิตได้ยินก็ถึงกับอึ้ง
“ทำไมยายทำแบบนี้ ฉันจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ นะยาย ยายเอาให้ฉันเถอะนะ”
วาสนาเริ่มรำคาญ
“เว้ย ! บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ ผัวแกรวยออกขนาดนั้นทำไมไม่ลองไปขอดูล่ะ”
วรรณิตเห็นว่ายังไงวาสนาก็ไม่ยอม ก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้า
“ถ้ายายไม่เอาเงินให้ณิต ณิตจะแฉความจริงให้ทุกคนรู้ให้หมดว่ายายคิดจะทำอะไร?”
“ก็เอาซี้ บอกไปเลย แล้วฉันจะคอยดู เพราะถ้าแกบอกไป คนบ้านนั้นจะได้เฉดหัวแกออกจากบ้านสิ
ไม่ว่า”
วรรณิตย้อนกลับด้วยอารมณ์โกรธ
“ถ้าณิตต้องออกจากบ้านนั้นจริงๆ ยายคงไม่มีทางได้อะไรจากคนบ้านนั้นอีก แม้แต่เศษเงิน”
“นังณิต ตั้งแต่แกเข้าไปอยู่บ้านนั้น ปีกกล้าขาแข็งนักนะ ไอ้วัวลืมตีน ไอ้คางคกขึ้นวอ”
“ณิตไม่ได้ลืมตัว แต่ที่ณิตต้องทำแบบนี้เพราะณิตไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ”
วาสนาแค้นใจที่ถูกวรรณิตใช้วิธีนี้เล่นงาน
ทางด้านลิลินก็ตัดสินใจมาหาทิวัตถ์ถึงที่บ้าน
“คุณมาทำไม? หรือว่าอยากรู้ว่าแม่ผมเป็นตายร้ายดียังไงใช่มั้ย? ผมบอกให้ก็ได้ แม่ผมปลอดภัย เสียใจด้วย”
“นี่คุณคิดว่าฉันเป็นคนยิงคุณต่ายจริงๆ เหรอ?”
ทิวัตถ์มองลิลินทั้งที่ในใจโกรธแค้น
“แล้วปืนที่อยู่ในมือคุณคืออะไร?”
“ฉันยอมรับว่าปืนนั่นเป็นปืนของฉัน แต่ฉันเอาไว้ป้องกันตัว”
“คุณไม่ต้องแก้ตัวอะไรอีกผมไม่อยากฟัง”
พูดพลางจะเดินหนี ลิลินรีบเข้าไปคว้ามือไว้ แต่กลับถูกสะบัดออก
“อย่ามาถูกตัวผม ที่คุณแกล้งทำดีกับผมมาตลอดเพื่อหาทางเข้าใกล้ครอบครัวผมใช่มั้ย?”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น คุณฟังฉันอธิบายก่อนได้มั้ย?”
“ทำไม คุณจะโกหกอะไรอีก ออกไปจากบ้านผมได้แล้ว ต่อไปนี้ ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก”
ขาดคำก็เดินออกไป ลิลินถึงกับสะอึกกับคำพูดทิ้งท้ายของเขา
เสี่ยหาญนังนั่งคุยงานอยู่กับท่านสว.ข้าราชการระดับสูงอยู่ที่ห้องรับแขก โดยมีสิตานั่งฟังอยู่ด้วยอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ฝ่าย สว. จ้องมองสิตาด้วยแววตากรุ้มกริ่ม เสี่ยหาญมองอย่างพึงพอใจ
“งั้นผมฝากให้เสี่ยรับผิดชอบเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวผมค่อยตามดูงานเรื่อยๆ ส่วนวันนี้ผมคงต้องขอกลับก่อน”
พูดพลางมองสิตาตาเป็นมัน ก่อนจะเดินออกไป สิตาระเบิดลงทันที
“ตกลงพ่อจะขายผลงานหรือขายตากันแน่?”
“เอาน่า แกก็แค่ใช้มารยานิดหน่อย แกก็รู้ว่าเราต้องมีคอนเนคชั่นเอาไว้สู้กับพวกทรงพล”
จังหวะนั้นกฤษดาก็วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้นดีใจ ก่อนจะบอกข่าวเรื่องศุภารมย์โดนยิง
“ตอนนี้นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล พ่อ ผมว่าถ้าจะทำอะไร ตอนนี้เหมาะที่สุดแล้วนะพ่อ”
เสี่ยหาญคิดตาม พลางยิ้มร้าย
จู่ๆ สิตาก็โผล่หน้ามาเยี่ยมศุภารมย์ถึงที่โรงพยาบาล ทำเอาฝ่ายหลังถึงกับแปลกใจ
“เธอมาทำไม?”
“ได้ข่าวว่าคุณน้าถูกยิงบาดเจ็บ พ่อเลยให้ตามาเยี่ยมค่ะ”
ศุภารมย์ยิ้มอย่างรู้ทัน
“ไม่ใช่ว่าเธอหาโอกาสมาเจอวินหรอกเหรอ? เมื่อกี๊เธอบอกว่าพ่อเธอให้มาเยี่ยม ให้มาเยี่ยม หรือให้มาดูว่าฉันเจ็บหนักแค่ไหนกันแน่?”
“น้าต่ายอย่ามองโลกในแง่ร้ายอย่างนั้นซิคะ พ่อก็แค่อยากแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นฝีมือของพวกเรา”
“ถ้าอย่างนั้นก็ฝากขอบใจพ่อเธอด้วยนะ แต่ไม่ต้องห่วง ฉันยังอยู่จังหวัดนี้ไปอีกนาน”
ศุภารมย์พูดอย่างจงใจฝากข่าวไปถึงเสี่ยหาญ สิตามองอีกฝ่ายอย่างจับสังเกต
ขณะที่ลิลินเข้ามาพบศักดิ์สิทธิ์ที่ห้องทำงาน ก่อนจะบอกจุดประสงค์
“ลินขอย้ายออกไปอยู่ที่อื่นค่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์ได้ยินก็บตกใจ
“ทำไมล่ะครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ หรือว่าคิดว่าที่นี่ไม่ปลอดภัยครับ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะจ้างคนเพิ่มอย่างที่เจ้าวินมันบอกทันทีเลยครับ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ” ลิลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจบอก “คุณสิทธิ์รู้เรื่องที่คุณต่ายโดนยิงเมื่อคืนหรือ
ยังคะ?”
“อ๋อ รู้แล้วครับ ผมเพิ่งวางหูจากเจ้าวินเมื่อกี้เอง ตอนที่ได้ยินผมนี่สงสัยมาก ว่าใครมันจะกล้าทำกับน้าต่ายอย่างนั้น ถ้าไม่บ้าผมก็ว่าคงจะสติไม่ดีแน่ๆ ครับ เออ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่คุณลินจะย้ายออกเหรอครับ?”
“ลินตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ายิงคุณต่ายน่ะค่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งตกใจหนัก “ เอ่อ คุณลินต้องล้อผมเล่นแน่ๆ ใช่มั้ยครับ”
ลิลินนิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งอึ้งเมื่อรู้ว่าเป็นเรื่องจริง
“ลินรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์โรงแรมก็แย่อยู่แล้ว ถ้ามาเกิดเรื่องอีก ลินไม่ยากให้คุณสิทธิ์เดือดร้อนมากไปกว่านี้น่ะค่ะ”
“แล้วคุณลินทำจริงๆหรือเปล่าครับ?” ศักดิ์สิทธิ์ย้อนถาม
“ไม่สำคัญหรอกค่ะ เพราะคนบางคนเชื่อว่าลินทำไปแล้ว นะคะ ลินแค่ย้ายออกเฉยๆ ไม่ได้ลาออกค่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม
วิทยาเดินเข้ามาที่ล๊อบบี้ เห็นลิลินกับวิชนีที่ถือกระเป๋าเสื้อผ้ามาตามทางก็แปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้นเหรอหนูลี?”
จากนั้นลิลินก็แยกมานั่งคุยกับวิทยาตามลำพัง ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“แล้วพี่วิทเชื่อว่าหนูลีเป็นคนยิงคุณต่ายรึเปล่าคะ?”
วิทยาส่ายหัว
“ไม่ พี่รู้จักหนูลีดี ถึงหนูลีจะโกรธแค้นเขาแค่ไหน หนูลีก็ไม่มีทางทำร้ายเขาได้หรอก”
ลิลินยิ้มรับ แต่วิทยากลับหน้าเครียด
“พี่เป็นห่วงหนูลี พี่ไม่รู้ว่าต่อไปพวกนั้นจะทำอะไร? เอาอย่างนี้มั้ยหนูลี หนูลีไปอยู่กับพี่ก่อน”
ลิลินรีบปฏิเสธ
“อย่าเลยค่ะ หนูลีไม่อยากให้ใครเดือดร้อนเพราะหนูลีอีกแล้ว”
“หนูลี ตอนเด็กๆ พี่อาจจะเด็กเกินไป เลยทำให้ปกป้องหนูลีไม่ได้ แต่ตอนนี้พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรหนูลีอีก”
ลิลินเห็นความจริงจังในแววตาของอีกฝ่าย ก็พยักหน้าตกลง
“ลุงป้องต้องดีใจแน่ๆ ถ้าหนูลีกลับไปอยู่ที่บ้านหลังนั้น”
ในที่สุดวาสนาก็จำยอมต้องมาจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้กับวรรณิต
“ขอบคุณยายมากนะจ๊ะที่ช่วยฉัน”
วาสนาทำหน้าเซ็ง “เหรอ? แต่แถวบ้านฉันเขาเรียกว่าถูกบังคับ”
“ยายจะขึ้นไปหาแม่ด้วยกันมั้ยจ๊ะ ถ้าแม่เห็นยาย แม่ต้องดีขึ้นแน่ๆ”
“แม่แกดีขึ้น แต่ฉันคงตายเพราะติดเชื้อโรคจากแม่แก”
พูดจบก็เดินสะบัดหน้าออกไปอย่างหงุดหงิด วรรณิตเสียใจ ทั้งเครียดเรื่องเงินและเป็นห่วงแม่
วรรณิตเห็นป้ายงดเยี่ยมติดที่หน้าห้องของแม่ ก็นึกแปลกใจ ก่อนจะเห็นหมอกับพยาบาลเปิดประตูออกมาจากห้อง
“แม่ฉันเป็นอะไรเหรอคะหมอ? ทำไมถึงต้องงดเยี่ยมล่ะคะ?”
“ตอนนี้คนไข้ติดเชื้อในกระแสเลือด ถ้าไม่จำเป็น เราไม่อยากให้คนไข้เจอภาวะที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่านี้น่ะครับ”
วรรณิตหน้าเศร้า “แล้วแม่ฉันจะหายมั้ยคะ?”
“ถึงจะหาย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เป็นอีก ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปอดถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคแทรกซ้อนต่างๆ เยอะกว่ามะเร็งทั่วไปอยู่แล้ว ตอนนี้เราได้แต่รักษาตามอาการ”
หมอพูดจบก็เดินออกไป พยาบาลเข้ามาถามวรรณิตที่กำลังยืนอึ้งอยู่
“ทางเราก็ทำเต็มที่แหละค่ะ แต่ก็อย่างที่คุณหมอบอกว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งมักจะมีโรคแทรกซ้อนเพราะฉะนั้น ฉันก็แค่อยากให้คุณปรางเตรียมใจไว้บ้างน่ะค่ะ”
วรรณิตมองไปที่ประตูหน้าห้องแม่อย่างเป็นห่วง วาสนาที่ซุ่มดูอยู่อีกมุมหนึ่งจิกตาร้าย
ลิลินถือกระเป๋าใส่เสื้อผ้าเดินเปิดประตูรั้วบ้านของวิทยาเข้ามา ก่อนจะหยุดมองไปรอบๆ และนึกถึงอดีต ตอนที่มีความสุขอยู่กับพ่อ วิทยาเองก็เช่นกัน
“พอมาเห็นหนูลียืนอยู่ตรงนี้ พี่ก็อดคิดภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กับรอยยิ้มที่สดใสนั้นไม่ได้เลย เป็นไงบ้าง? ต้นลีลาวดีที่พี่ปลูก มันออกดอกรอหนูลีทุกวันเลยนะ”
พูดพลางจับมือลิลินขึ้นมากุม
“เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ หนูลี จำได้มั้ย? ว่าก่อนที่พี่จะไปชุมพร พี่เคยบอกว่าพี่จะกลับมาฟังคำตอบจากหนูลี แล้วตอนนี้ก็ถึงเวลาที่พี่จะบอกว่า พี่รักหนูลี เรามาเริ่มต้นใหม่ด้วยกันนะครับ”
ลิลินค่อยๆ ดึงมือออกอย่างลำบากใจ “อย่าล้อเล่นแบบนี้สิค่ะพี่วิท”
“มองตาพี่ซิ หนูลีจะรู้ว่าพี่พูดจริง”
ลิลินนิ่งเงียบ วิทยารู้ว่าใจว่าอีกฝ่ายยังไม่พร้อม ขณะเดียวกันตัวเองก็กลัวการปฏิเสธ
“ถ้าหนูลียังไม่รู้คำตอบ พี่ให้เวลาหนูลีทบทวนอีกหน่อยก็ได้”
อ่านต่อหน้า 2
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 12 (ต่อ)
พอสิตาเดินเข้ามาในบ้าน ก็เห็นเสี่ยหาญนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกแล้ว พอฝ่ายหลังรู้ว่าศุภารมย์ไม่เป็นอะไรมาก ก็นึกแปลกใจ
“โดนยิงเนี่ยนะ ไม่เป็นอะไรมาก”
“ตอนแรกตาคิดว่าพ่อจะส่งคนไปถล่มน้าต่ายอย่างที่พี่กฤษบอกซะอีก”
เสี่ยหาญทำเสียงดุใส่
“แกจะบ้าเหรอ ใครๆ ก็รู้ว่าบ้านนั้นมีศัตรูอยู่ไม่กี่คน เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ขืนเราทำอะไรไปอีก ไม่พ้นตกเป็นผู้ต้องสงสัยเต็มๆ”
“แต่ถ้าพ่อคิดจะทำอะไร ตาขอให้เว้นวินไว้คนนึงก็แล้วกันนะคะ”
พลันกฤษดาก็เดินเข้ามา พร้อมกับยิ้มอย่างสะใจ ก่อนจะบอกข่าวที่เพิ่งรู้มา
“ลิลินคือลูกสาวแท้ๆ ของปองภพ”
เสี่ยหาญทำหน้าแปลกใจ “ใคร?”
“ลิลินเป็นนักร้องที่ไอ้วินมันหลงเสน่ห์อยู่ ส่วนปองภพก็คือคนที่ฆ่าแม่แท้ๆ ของไอ้วินไงครับ”
“อะไรนะ นังลิลินเป็นลูกฆาตกรที่ฆ่าแม่วินเหรอ?”
กฤษดายักคิ้วตอบ สิตาใช้ความคิด ก่อนจะยิ้มด้วยแววตาร้าย
ลิลินนั่งรื้อกระเป๋าอยู่บนเตียง ก่อนจะหันมาหยิบพวกข้าวของเครื่องใช้ออกมา บังเอิญทำสมุดเขียนจดหมายที่ใช้เขียนถึงแม่ดาตก เธอรีบหยิบขึ้นมาก่อนจะเห็นกระดาษโน้ตที่เธอได้รับก่อนที่จะไปเจอกับศุภารมย์
พลางนึกอะไรขึ้นมาได้
เช้ารุ่งขึ้น ลิลินเดินลงมาจากชั้นบนมาที่โต๊ะอาหาร เห็นอาหารเช้าสารพัดถูกจัดเรียงอยู่อย่างสวยงาม ก่อนจะเหลือบตาเห็นโน้ตของวิทยาวางอยู่
“หนูลี กับข้าวบนโต๊ะทานได้เลยนะ ที่จริงพี่อยากอยู่ฉลองมื้อแรกของเราด้วยกัน แต่พี่ติดงานจริงๆ
คงไม่โกรธกันนะ พี่ขอชดเชยความผิดด้วยของโปรดของหนูลีแล้วกัน ไม่รู้ว่าหนูลียังชอบไข่เจียวใส่ถั่วฝักยาวเหมือนเดิมหรือเปล่า? แล้วก็หมูกระเทียมน้ำมันเยอะๆ กับข้าวสวยแข็งๆ กินได้เต็มที่เลยนะ ไม่ต้องเหลือให้พี่ ถ้าหนูลีอิ่มแล้ว หนูลีจะได้มีแรงคิดคำตอบที่เคยติดพี่เอาไว้ไง คืนนี้พี่ขอฟังคำตอบจากหนูลีนะ”
ลิลินวางโน๊ตของวิทยาลงอย่างหนักใจ
ทิวัตถ์นั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงาน ครู่หนึ่งสิตาก็เดินเข้ามา
“สิตา คุณมาทำไม?”
“ตารู้เรื่องหมดแล้ว”
ทิวัตถ์ทำหน้าสงสัย “เรื่องอะไร?”
“ก็เรื่องยัยลิลินไงคะ ตารู้แล้ว ว่าเธอเป็นลูกสาวของคนที่ เอ่อ ฆ่าแม่วิน เรื่องจริงหรือเปล่าคะวิน?”
ทิวัตถ์นิ่งไปก่อนจะพยักหน้ารับ
“ตายจริง ตาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะร้ายกาจขนาดนี้ วินเป็นไรหรือเปล่าคะ?”
“คุณกลับไปเถอะ ผมอยากอยู่คนเดียว”
สิตาไม่ฟัง กลับเดินเข้ามา ก่อนจะจับมืออีกฝ่ายเอาไว้
“ให้ตาอยู่เถอะนะ ตาว่าตอนนี้วินต้องการใครสักคนที่อยู่ข้างๆ ให้ตาได้ทำหน้าที่นั้นเถอะค่ะ ตารู้ว่าเราเลิกกันแล้ว แต่ยังไง ตาก็ยังรักและเป็นห่วงวินเสมอนะคะ”
พูดพลางแสร้งสบตากับทิวัตถ์อย่างจริงใจ ทำให้หัวใจของเขาที่กำลังเจ็บปวดและสับสนต้องชะงักงัน ขณะที่ลิลินก็เดินตรงเข้ามาที่ห้องทำงานของทิวัตถ์เช่นเดียวกัน
สิตามองตาทิวัตถ์ก่อนจะเล่นละครต่อ
“ทั้งหมดเป็นเพราะตาเอง ถ้าเราไม่เลิกกัน วินก็คงจะไม่ชอบเธอ แล้ววินเองก็คงจะไม่เจ็บอย่างนี้ วินยกโทษให้ตานะ”
พูดพลางซบหน้าลงไปที่อกของทิวัตถ์
“ถ้าเป็นไปได้ ตาอยากรับความเจ็บของวินตอนนี้ไว้คนเดียว”
ขาดคำลิลินก็เปิดประตูเข้ามาพอดี พอเห็นทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เธอก็ถึงกับชะงักไป ขณะที่ทิวัตถ์รีบผละออกจากสิตาที่เก็บอาการไม่พอใจไว้
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะกล้ามาเจอวินอีก”
ลิลินปรายตามองสิตา แต่ไม่สนใจ
“คุณวิน ฉันอยาก...”
ทิวัตถ์รีบขัดขึ้นมาทันที “ออกไป”
“แต่คุณมีเรื่องที่จะต้องฟัง”
สิตารีบเข้ามายืนขวาง
“ไม่ว่าเรื่องอะไร ฉันขอให้มันจบๆ ไปได้มั้ย เธอไม่รู้หรือไงว่าสิ่งที่เธอทำทั้งหมด มันทำร้ายวินแค่ไหน?”
“ฉันไม่เคยทำร้ายเขา”
สิตายิ้มเยาะ “แล้วทำไมเธอไม่บอกวินตั้งแต่แรกว่าเธอคือลูกของฆาตกรที่ฆ่าแม่ของวิน”
“สิตา เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างฉันกับคุณวิน”
“ฉันเองก็อยากรู้ว่าทำไมเธอไม่บอกฉัน?”
ลิลินหันมองทิวัตถ์ เห็นความเจ็บปวดในแววตาของเขา สิตาสบโอกาสรีบใส่ไฟต่อ
“ลิลิน ทางที่ดี ฉันว่าเธอพูดความจริงดีกว่า อย่าพยายามแก้ตัวเลย เพราะสิ่งที่เธอทำมาทั้งหมด มันบอกอยู่ว่าเธอกำลังหลอกใช้วิน”
“ไม่จริง ฉันไม่เคยคิดหลอกใช้คุณ”
“แล้วทำไมเธอต้องมาเป็นนักร้องที่จังหวัดนี้ ในโรงแรมของศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเพื่อนสนิทของวิน”
ลิลินจนด้วยเหตุผลทั้งหมด
“ฉันยอมรับว่าฉันต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับพ่อ แต่ฉันไม่ได้เป็นคนยิงคุณต่าย”
พูดพลางหยิบแผ่นโน้ตส่งให้ทิวัตถ์
“หลักฐานที่จะบอกว่าคุณต่ายเป็นคนนัดฉันไปที่ตึกร้างนั่น”
ทิวัตถ์รับโน้ตมาอ่านก่อนจะมองหน้าลิลิน
“นี่ไม่ใช่ลายมือแม่ต่าย”
“เอ่อ บางที่คุณต่ายอาจจะให้ใครเขียนขึ้นมาก็ได้”
ทิวัตถ์จ้องหน้าลิลินอย่างคาดคั้น
“แล้วปืนที่คุณถืออยู่ล่ะ ถ้าไม่ได้เอามายิงแม่ต่าย แล้วคุณเอามาทำไม?”
“ฉันขอถามคำเดียว ถ้าฉันยิงจริงๆ ทำไมคุณต่ายไม่แจ้งความจับฉันล่ะ?”
ทิวัตถ์คิดตามลิลินก่อนที่กำแพงจะก่อตัวขึ้นอีกครั้ง สิตากลัวเขาจะใจอ่อน จึงรีบพูดแทรกขึ้นมา
“พอเถอะลิลิน.ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังจะตั้งใจทำอะไร? แต่ฉันอยากให้เธอหยุดได้แล้ว ถึงพ่อเธอจะเป็นฆาตกร แต่เธอก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเหมือนพ่อเธอก็ได้”
ขาดคำ ลิลินก็หันไปตบสิตาเต็มแรง
“พ่อฉันไม่ได้ฆ่าใคร”
ทิวัตถ์หันมาตวาดใส่ลิลินทันที
“คุณทำอะไรของคุณ ออกไปจากห้องผมได้แล้ว”
พูดพลางเดินไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะ ต่อสายหาคฑาวุธ
“คฑาวุธ เรียกรปภ. ให้ผมที”
สิตาหันไปยิ้มเยาะเย้ย ลิลินรีบเดินเข้าไปหาทิวัตถ์
“ตอนนี้คุณคงมองว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจ แล้วคุณก็คงไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันกำลังจะบอกคุณ
ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แต่ฉันอยากขอให้คุณเชื่อลิลิน ลิลินคนที่ผ่านเรื่องต่างๆ มาพร้อมกับคุณ”
ระหว่างนั้นรปภ.ก็เข้ามาพอดี ลิลินมองหน้าทิวัตถ์ หวังให้เขาใจอ่อน
“เอาเธอออกไป”
ลิลินได้แต่มองทิวัตถ์อย่างเสียใจ
นพกรนั่งเซ็งเพราะต้องรอทิวัตถ์อยู่ที่ห้องโถงบริษัท พอหันมาเห็นลิลินก็ยิ้มดีใจ
“ลิลิน เธอจะต้องเป็นของฉันคนเดียว”
คิดพลางจะเดินเข้าไปเพื่อฉุดลิลิน แต่แล้วสิตากลับเดินมาขัดจังหวะ นพกรเจ็บใจ ก่อนจะหาที่เหมาะๆ พลางจับตาดูทั้งคู่
“ฉันขอเตือนนะ เลิกยุ่งกับวินได้แล้ว ถึงเมื่อก่อนวินจะเข้าข้างเธอ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ถ้าเธอยังอยากร้องเพลงได้อยู่ ฉันขอเตือนให้เธอไปจากจังหวัดนี้ซะ”
ลิลินยิ้มเยาะ “เลิกเล่นละครแล้วเหรอ?”
สิตายักไหล่อย่างไม่แคร์
“ทำไม? ทีเธอยังหลอกทุกคนมาได้ตั้งนาน ถึงเวลาที่แกต้องกลับไปอยู่ในที่ต่ำๆ ของแกได้แล้ว
นังลูกฆาตกร”
“รู้สึกว่าที่ต่ำๆ ของฉัน มันบังเอิญสูงเท่าที่เธอยืนอยู่เหมือนกัน”
ลิลินพูดจบก็เดินออกไปอย่างรำคาญใจ นพกรได้ยินสิตาด่าลิลินก็ไม่พอใจ พอเจอหน้าทิวัตถ์ ก็รีบโวยวายใส่ทันที
“คุณไม่ควรปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นมายืนด่าคุณลินแบบนี้”
ทิวัตถ์ถึงกับงง “นายพูดถึงใคร?”
“ก็แฟนคุณไง”
ทิวัตถ์หงุดหงิด “แล้วนายมายุ่งอะไรด้วย”
นพกรเจ็บใจแต่พูดอะไรไม่ได้
ลิลินเดินซึมกลับมาที่บ้าน ขณะที่วิทยากำลังปลูกต้นไม้อยู่ที่สวน
“หนูลี”
แต่อีกฝ่ายกลับเดินเหม่อมาตามทางโดยไม่ได้ยินเสียง เขาเห็นอาการก็แปลกใจ ก่อนจะเดินเข้าไปขวาง
ลิลินชะงักเมื่อเกือบชนกับวิทยา
“พี่วิท มายืนทำอะไรตรงนี้คะ?”
“พี่นั่นแหละต้องถามเรา เป็นอะไร? พี่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน มีอะไรหรือเปล่า?”
“คือ หนูลีไปหาคุณวินมาน่ะค่ะ”
วิทยาตกใจ รีบวางเสียมในมือลง
“ไปหาคุณวินทำไม? หนูลีก็รู้ว่ามันอันตราย”
“ลินแค่ไปบอกความจริงให้เขาฟัง เขาจะได้ไม่เข้าใจหนูลีผิด”
“แต่เขาไม่ฟังใช่มั้ย?”
ลิลินพยักหน้าเศร้าๆ ทั้งคู่ไม่ทันสังเกตว่าศัลย์มาแอบดูอยู่ที่นอกรั้ว
“ต่อไปนี้หนูลีจะไปไหนต้องบอกพี่ก่อนนะ พี่เป็นห่วง”
ลิลินอมยิ้มเพื่อกลบความเศร้าไม่ให้วิทยาเห็น พลางพยายามจะเปลี่ยนเรื่อง
“พี่วิทเอาต้นไม้ลงอยู่เหรอคะ มาให้หนูลีช่วยนะ”
วิทยาอยากจะทวงคำตอบจากลิลิน แต่เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่ายจึงต้องเก็บไว้
ศัลย์นั่งหน้าเครียดอยู่ที่ข้างเตียงคนป่วย ในห้องพักศุภารมย์
“ผมบอกแล้วว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา ผมรอแค่คำสั่ง แล้วนังเด็กนั่นจะหายไปจากโลกนี้ทันที”
ศุภารมย์หน้าเครียด
“ไม่ ฉันไม่อยากทำบาปมากไปกว่านี้แล้ว”
“แล้วคุณจะรอให้เธอหันมาแว้งกัดคุณได้อีกเหรอ?”
ศุภารมย์ครุ่นคิดอย่างหนักใจ ขณะที่ทรงพลที่แอบฟังอยู่ที่ประตู ก็หนักใจไม่แพ้กัน
ทรงพลนั่งอยู่ที่ม้านั่งในสวนสาธารณะ พลางทอดสายตามองไปข้างหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิด
พักใหญ่เสียงกานดาดังขึ้น
“คุณพล”
“กานดา ขอบคุณนะ ผมนึกว่าคุณจะไม่มาซะแล้ว”
กานดารีบเข้ามาหาทรงพลทั้งคิดถึงทั้งเป็นห่วง
“มีอะไรหรือเปล่าคะ? ทำไมอยู่ๆ คุณพลถึงได้อยากคุยกับกาน”
ทรงพลถอนหายใจ
“ผมมีเรื่องอยากปรึกษาคุณ เรื่องคุณต่าย”
กานดาพยายามซ่อนอารมณ์ร้าวลึกเอาไว้เมื่อเห็นทรงพลเป็นห่วงศุภารมย์
“มีอะไรคะ?”
“ผมไม่รู้จะทำยังไง ผมกับต่าย เรามีความต้องการเหมือนกันคือปกป้องวิน ทำให้วินมีความสุขที่สุด
แต่ว่า...”
พูดพลางกุมขมับอย่างเคร่งเครียด
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น กานไม่อยากเข้าไปยุ่งอีกแล้วค่ะ”
“แต่ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ แค่นี้เราก็ทำบาปทำกรรมไว้มากพอแล้ว”
“คุณพลก็หยุดสิคะ”
แววตาของทรงพลเครียดขึ้ง
“ผมน่ะทำได้ แต่คุณต่ายเนี่ยสิ เธอจะต้องไม่ยอมแน่ๆ ผมอยากให้คุณช่วยอะไรผมบางอย่าง ตอนนี้ผมกลัวว่าคุณต่ายจะใช้วิธีรุนแรงกับคุณลินอีก ผมคิดว่าคุณต่ายคงไม่ปล่อยเธอไว้ กานดา ผมต้องทำยังไง? ผมไม่ต้องการให้คุณต่ายทำอะไรผิดพลาดเหมือนที่ผ่านๆ มาอีกแล้ว”
พูดพลางกุมมืออีกฝ่ายไว้ กานดามองมือที่ถูกกุมอย่างหนักใจ
อ่านต่อหน้า 3
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 12 (ต่อ)
ศุภารมย์ลอบมองวรรณิตที่นั่งป้อนข้าวให้เธออยู่ข้างเตียงอย่างพิจารณา ฝ่ายถูกมองรีบเบือนหน้าหนีเพราะเกรงจะเห็นรอยผ่าตัด
“ยิ่งฉันเห็นเธอใกล้ๆ ฉันก็ยิ่งแปลกใจที่เธอกับต้อยเหมือนเป็นคนๆ เดียวกัน แต่นอกนั้นเธอไม่มีอะไรเหมือนเลย”
“เอ่อ ถ้าคุณแม่อิ่มแล้ว เดี๋ยวณิตไปเรียกพยาบาลให้นะคะ”
วรรณิตพยายามหาทางเลี่ยงที่จะไม่คุยเรื่องนี้ พลันก็มีเสียงเคาะประตูก่อนที่อนันยชจะเปิดประตูเข้ามา
“แม่ครับ ณิต คุณอยู่นี่เหรอ?”
“อะไรกันวัน เป็นสามียังไงถึงไม่รู้ว่าภรรยาตัวเองอยู่ไหน”
อนันยชทำหน้าเอือม
“ไม่เห็นแปลกนี่ครับ สามีภรรยาไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้ เพราะเรื่องบางเรื่องถ้ารู้แล้ว ผมก็คงจะเลือกที่จะยังไม่แต่งงานหรอกครับ”
วรรณิตนิ่งไปเพราะรู้ว่าอนันยชหมายถึงเรื่องบนเตียง ขณะที่ฝ่ายหลังรีบเข้าไปหยอกไม่ให้ศุภารมย์สงสัย
“ผมจะได้มีเวลาดูแลคุณแม่ไง”
ศุภารมย์ยิ้มให้ลูกชายอย่างเอ็นดู
“ดูแลแม่เหรอ? แค่วันทำตัวดีๆ ไม่เที่ยวไม่เตร่ก็พอแล้ว แล้วนี่วันกินอะไรมาหรือยัง พาหนูณิตลงไปทานข้าวซิ”
“ไม่เอาหรอกครับ แม่ก็รู้ว่าอาหารที่นี่มันจืดชืดแค่ไหน”
พูดพลางหันมองวรรณิต ก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาแล้วหยิบเงินส่งให้
“ไว้ซื้ออะไรกิน”
ศุภารมย์รีบถามขึ้นมาทันที “แล้วเราจะไปไหน?”
“ก็ไปหาอะไรที่มันมีรสชาติที่อื่นกินไงแม่ ผมไปก่อนนะครับ เดี๋ยวตอนเย็นผมมาใหม่”
พูดจบก็รีบเดินออกไป วรรณิตมองเงินในมือด้วยความรู้สึกเหมือนโดนดูถูก ศุภารมย์พอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็รีบพูดปลอบใจ
“เธอคงไม่โกรธวันใช่มั้ย? วันเขาก็เป็นอย่างนี้นั่นแหละ เอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็ก อยากได้อะไรก็ต้องได้ฉันยังไม่คิดเลยว่าจะมีผู้หญิงคนไหนที่ทนวันได้ เธอรักวันหรือเปล่า?”
คำถามของศุภารมย์ทำเอาวรรณิตถึงกับสะอึก
“เอ่อ ทำไมคุณแม่ถามอย่างนั้นล่ะคะ?”
“เพราะฉันรู้ว่าเธอคงไม่ได้แต่งกับวันเพราะความรัก ยายน้อยบังคับเธอใช่มั้ย?”
วรรณิตรู้สึกเย็นวาบชาไปทั้งตัว
“บอกฉันมาเถอะ อย่าลืมซิว่าต้อยน้องสาวฉันก็ได้แต่งกับคุณพล จากการเป็นแม่สื่อของยายน้อยเหมือนกัน แล้วฉันก็เชื่อว่าข้อเสนอที่ยายน้อยให้ ก็คงไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่ ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ ตราบใดที่วันกับเธอยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ แต่ถ้าเมื่อไหร่ไม่ใช่ล่ะก็ แผนของเธอกับป้าน้อยจะเป็นยังไง ฉันคงไม่ต้องบอกนะ”
วรรณิตอึ้งขึ้นมาทันที เพราะเท่ากับว่าตอนนี้เธอคงทำอะไรไม่ได้สะดวกเหมือนที่ผ่านมา
วิทยาพาลิลินที่ถูกปิดตามาที่โต๊ะอาหารที่ถูกตกแต่งสวยงามเต็มไปด้วยดอกลีลาวดี ก่อนจะเตรียมเปิดตาออก
“เอาแล้วนะ...3...2...1...”
ทันทีที่ลิลินมองเห็นของที่อยู่ตรงหน้าก็อึ้งไป
“ยังไม่หมด นี่”
วิทยาเดินเข้ามาหยิบม้วนผ้าก่อนจะขึ้นไปยืนบนโต๊ะแล้วทิ้งผ้าลงมาเป็นข้อความว่า
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”
พลางเอาป้ายผ้าไปแขวนเอาไว้ก่อนจะเดินเข้ามาหา พลางหยิบดอกลีลาวดี พร้อมกับกุมมือลิลินขึ้นมา
“พี่ขอโอกาส ให้พี่ได้ดูแลหนูลี จะได้มั้ยครับ?”
ลิลินนิ่งไป ก่อนจะค่อยๆ ดึงมือออก พร้อมกับตัดสินใจบอกความจริง
“พี่วิทคะ คือหนูลีเห็นพี่วิทเป็นแค่พี่ชายที่แสนดีคนหนึ่งของหนูลีแค่นั้นเอง หนูลีรู้ว่าพี่วิทเป็นห่วงหนูลี แต่ แต่หนูลีให้พี่เป็นมากกว่าพี่ชายไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
วิทยานิ่งไปสักพักก่อนจะฝืนยิ้มเจื่อนๆ ออกมา
“พี่เคยถามตัวเองเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ว่าถ้าคำตอบของหนูลีเหมือนในวันนี้ พี่จะทำยังไง? “
ลิลินมองอย่างรู้สึกผิด “พี่วิทไม่โกรธหนูลีใช่มั้ยคะ?”
“พี่จะโกรธคนที่พี่รักได้ยังไง ไม่เป็นไร วันนี้พี่อาจจะเป็นได้แค่พี่ชาย แต่ไม่ว่ายังไง พี่ก็จะรอหนูลีนะ
กินข้าวกันดีกว่า นี่เลย พี่จำได้ว่าของชอบหนูลีทั้งนั้น”
ลิลินปั้นหน้าไม่ถูกเพราะสงสารวิทยา
ทิวัตถ์ไปรับศุภารมย์กลับมาบ้าน โดยมีป้าจวนกับบรรดาคนรับใช้ยืนต้อนรับ จู่ๆ ป้าจวนก็หลุดปากเรื่องที่ลิลินมาหาทิวัตถ์ที่บ้าน
“จริงเหรอวิน? แล้วเธอมาทำอะไร?”
“เธอมาบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นฝีมือเธอ”
ศุภารมย์พยายามเก็บอาการ ทิวัตถ์ตัดสินใจถามเมื่อเห็นว่าอยู่ตามลำพังสองต่อสอง
“ผมถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ ทำไมแม่ไม่แจ้งความจับเธอ?”
ศุภารมย์นิ่งไปก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เหมือนรู้สึกผิด
“ถ้าเธอจะฆ่าแม่แล้วเธอหายแค้น แม่ก็ยอม เพราะแม่ไม่อยากให้ความแค้นนี้ต้องตกไปอยู่ที่ลูกนะวิน”
ทิวัตถ์ได้ฟังคำตอบก็นิ่งไป พร้อมๆ กับที่ศัลย์เดินเข้ามา
“ขอโทษที่มาไม่ได้นัดก่อน พอดีผมไปที่โรงพยาบาล เขาบอกว่าคุณต่ายกลับบ้านมาแล้ว”
ศุภารมย์มองสีหน้าของศัลย์ที่เหมือนอยากจะบอกอะไร จึงรีบหันไปบอกกับทิวัตถ์
“วินไปพักเถอะลูก แม่มีธุระคุยกับรองนิดหน่อย เชิญรองฯ ทางนี้ดีกว่าค่ะ”
จากนั้นก็เดินนำศัลย์ออกไป ทิวัตถ์มองตามอย่างสงสัย
ทิวัตถ์เดินออกมาที่หน้าบ้าน พลางหยิบกระดาษโน้ตที่ลิลินเอามายืนยันในความบริสุทธิ์ขึ้นมาดู ก่อนจะตัดสินใจพับมันแล้วทิ้งลงถังขยะ พร้อมกับที่เสียงของทรงเผ่าดังขึ้น
“คุณวิน”
ทิวัตถ์หันไปก็แปลกใจเมื่อเห็นทรงเผ่าเดินเข้ามา
“แหม ทำหน้าซะตกใจเชียว พอดีเพิ่งได้ข่าวเรื่องที่คุณต่ายโดนทำร้าย ไม่มาเยี่ยมเดี๋ยวจะหาว่าใจจืด
ใจดำ”
“คุณแม่กำลังคุยกับรองศัลย์อยู่น่ะครับ”
“อ้าว งั้นก็ดีเลยซิ คนกันเองทั้งนั้น ไหน อยู่ไหนกัน?”
ทิวัตถ์นิ่งอย่างลำบากใจ
“อะไรนะ จะฆ่าเธอเหรอ?” ศุภารมย์อุทานอย่างตกใจ เมื่อได้ยินแผนการของศัลย์
“ผมตัดสินใจแล้ว”
“แต่ฉันไม่อนุญาต ฉันบอกแล้วใช่มั้ย? ว่าฉันต้องการแค่ได้วินกลับมาเท่านั้น”
“แต่เพราะเธอ คุณถึงต้องมาเจ็บแบบนี้” ศัลย์มองศุภารมย์อย่างรู้สึกผิด “แล้วถ้าคุณปล่อยเธอไว้
คุณคิดว่าเธอจะหยุดแค่นี้เหรอ?”
ศุภารมย์นิ่งไปอย่างครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้นมา
“เรื่องในอดีตที่ฉันทำ เป็นเพราะความจำเป็น แล้วฉันก็เคยพูดเอาไว้แล้วว่า ต่อไปถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคนในบ้านนี้อีก ฉันขอให้มันเกิดกับฉัน”
“คุณต่ายพูดอย่างนี้ได้ยังไง แล้วผมล่ะ?”
ศุภารมย์มองอย่างไม่เข้าใจความหมาย ศัลย์รู้สึกตัวก็ทำหน้านิ่ง จังหวะนั้นเสียงของทรงเผ่าดังขึ้น
“หวัดดีทุกคน”
ศุภารมย์กับศัลย์ชะงักก่อนจะหันไปเห็นทรงเผ่ากับทิวัตถ์เดินเข้ามา
“แหม ทำเป็นตกใจ เอ ฉันเข้ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า?”
ศัลย์ได้ยินก็นึกเคืองขึ้นมา “พี่เผ่าพูดอย่างนี้หมายความว่าไง?”
“อุ้ย พี่ล้อเล่น เอ หรือว่าแกคิดจริงๆ”
ทิวัตถ์กับศุภารมย์หันมองศัลย์ ฝ่ายถูกมองพยายามซ่อนอารมณ์ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย
“หมดธุระผมแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”
พูดพลางหันมองศุภารมย์อีกครั้งก่อนจะเดินออกไป โดยไม่รู้ว่าทรงเผ่าแอบสังเกตทุกการกระทำของเขาอยู่
ศุภารมย์หันมาพูดกับทรงเผ่า
“ไม่คิดว่าผู้กำกับจะมาถึงนี่”
“ก็เรามันคนกันเอง พอฉันรู้เรื่องจากลูกน้องเก่า ฉันก็รีบมาเยี่ยม”
“ขอบคุณที่มาเยี่ยมกันนะคะ แต่ฉันไม่เป็นไรมากแล้วล่ะ”
ทรงเผ่ายิ้มขำ “ก็แหงล่ะ จะเป็นอะไรได้ยังไง ก็ในเมื่อมันเป็นแค่กระสุนเล็กๆ แค่นั้น”
ศุภารมย์ชะงัก พร้อมกับที่ทิวัตถ์ก็ฉุกคิดเหมือนกัน
“พอดีลูกน้องคนเดิมกับเมื่อกี้มันรายงานน่ะ แต่ก็น่าแปลกนะ คนระดับอย่างคุณต่ายไม่น่าจะมีใครในจังหวัดนี้ที่กล้าทำอย่างนี้ แล้วก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ที่ไม่เห็นมีบันทึกประจำวันอะไรเลย สงสัยรองศัลย์คงลืม วันหลัง
ถ้าเจอรองศัลย์ฝากบอกด้วยนะ ถ้าใครถามอย่าบอกว่าเป็นลูกน้องเก่าผม แค่บันทึกประจำวันแค่นี้ยังลืมลง เสียชื่อ
ผู้กำกับทรงเผ่าหมด”
ศุภารมย์พยายามควบคุมอารมณ์ “ขอโทษนะคะผู้กำกับ ฉันอยากพักผ่อน”
ก่อนจะพูดเบามากจนเกือบกระซิบ “ถ้ายังอยากมีเงินใช้ ก็กลับไปซะ”
“เฮ้อ เพิ่งมาแป๊บเดียวเอง ก็ได้ ฉันไปก็ได้ แต่อย่าลืมโอนเงินค่าใช้จ่ายประจำเดือนด้วยนะ”
ทรงเผ่าพูดพลางลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ศุภารมย์รีบหันหน้าหนี ขณะที่ทิวัตถ์มองตามทรงเผ่าอย่างสงสัยในคำพูด ก่อนจะรีบเดินตามออกมา
“เดี๋ยวครับผู้กำกับ ที่ผู้กำกับพูดกับแม่เมื่อกี้หมายความว่าไงครับ”
ทรงเผ่าหันหลับมา พลางยิ้มกวนๆ “เรื่องอะไร? มีตั้งหลายเรื่อง”
“ก็เรื่องกระสุนเล็กๆ ที่ผู้กำกับบอก ผู้กำกับรู้เหรอครับ?”
“อ้าว นี่รองศัลย์ไม่บอกอะไรให้ฟังเลยเหรอเนี่ย ว่าไอ้กระสุนที่ยิงคุณต่ายมันคือลูกซ้อม”
ทิวัตถ์ตกใจ พลางคิดถึงตอนที่ลิลินบอกว่าไม่ได้เป็นคนยิงศุภารมย์
“ถ้าผมรู้ขนาดของกระสุน ก็เท่ากับรู้ตัวคนร้ายใช่มั้ยครับ?”
“มันต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่าง แต่นั่นก็เป็นข้อสันนิษฐานเบื้องต้น มีอะไรหรือเปล่าคุณวิน?”
ทิวัตถ์นิ่งไปอย่างใช้ความคิด
วิทยาจัดเตรียมอุปกรณ์ทำสวนอยู่ในบ้าน ครู่ใหญ่ลิลินก็เดินลงมา ก่อนจะหยิบจับอุปกรณ์ดูอย่างอาวรณ์
“มีอะไรเหรอหนูลี?”
“เปล่าหรอกค่ะ เห็นอุปกรณ์พวกนี้แล้วทำให้นึกถึงพ่อป้องน่ะค่ะ”
วิทยามองลิลินก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“อยากฟื้นอดีตหน่อยมั้ย?”
พูดพลางยื่นส้อมพรวนให้ ลิลินรับไว้พร้อมรอยยิ้ม
“ได้ค่ะ หนูลีขอขึ้นไปเอากระเป๋าก่อนนะคะ”
ขาดคำก็รีบเดินขึ้นห้องไป วิทยามองตามอย่างสุขใจ
ศัลย์โผล่ตัวออกมาจากใต้ท้องรถของวิทยาที่จอดอยู่ที่หน้าบ้าน ด้วยแววตาเหี้ยม
“ผมจะไม่ทำให้คุณต้องลำบากอีกต่อไป”
ลิลินเดินลงมาจากห้อง ทว่าไม่เห็นวิทยาอยู่ข้างล่าง เมื่อมองไปที่รถที่จอดอยู่หน้าบ้าน ก็เห็นศัลย์ยืนอยู่หน้ารถ แต่เพราะเห็นด้านหลังและระยะไกลทำให้เธอไม่แน่ใจ พอกำลังจะเดินออกไปดู เสียงวิทยาก็ดังขึ้นก่อน“หนูลีพร้อมแล้วเหรอ? พี่ยังเตรียมอุปกรณ์ไม่เสร็จเลย”
ลิลินหันมองวิทยา ก่อนจะหันกลับไปมองที่รถอีกครั้งแต่ไม่เห็นใครแล้ว “ค่ะ”
“งั้นดีเลย มาช่วยพี่จัดของก่อนล่ะกัน”
วิทยากำลังจะเดินออกไป ลิลินรีบถามขึ้นมา
“พี่วิทคะ วันนี้พี่วิทมีลูกน้องมาช่วยมั้ยคะ?”
“ทำไม จะเบี้ยวไม่ไปกับพี่ล่ะซิ”
“เปล่าค่ะ คือเมื่อกี้หนูลีเห็นคนอยู่ที่รถ ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นลูกน้องพี่วิทน่ะค่ะ”
“วันนี้ทุกคนออกงานกันหมด พี่ถึงต้องใช้บริการผู้ช่วยคนพิเศษไงล่ะ ไป ไปช่วยพี่เตรียมของ จะได้รีบไป”
พูดจบก็เดินออกไป ลิลินมองไปที่รถอีกครั้งด้วยความสงสัย
ทิวัตถ์ขับรถมาตามทางด้วยความเร็วสูง ตั้งใจจะมาหาลิลิน สีหน้าของเขาเป็นกังวล
“ถ้าเป็นอย่างที่เธอบอกจริง ผมคือคนที่ไม่น่าให้อภัยที่สุด”
วิทยานั่งประจำที่คนขับ ขณะที่ลิลินนั่งหน้าเครียดอยู่ข้างๆ ในใจยังครุ่นคิดสงสัยว่าคนที่เห็นอยู่ที่รถเมื่อครู่คือใคร? และเธอจะนำความเดือดร้อนมาให้เขาหรือเปล่า?
“หนูลีจำตอนเด็กๆ ได้มั้ย? เวลาที่หนูลีไม่ได้ไปโรงเรียน น้าป้องชอบพาหนูลีติดรถออกมาด้วยแบบนี้ประจำเลย”
“ค่ะ ตอนนั้นหนูลีก็ร้องจะนั่งหน้าตลอด แต่กลับกลายเป็นลุงช่วยที่ได้นั่งแทน”
วิทยายิ้มอย่างเอ็นดู
“แล้วหนูลีก็ชอบมาอ้อนพี่ให้ช่วยประจำเลย พี่ยังจำได้นะว่าหนูลีชอบบอกพี่ว่า”
จากนั้นทั้งคู่ก็พูขึ้นมาพร้อมกัน
“พี่วิทๆ ขอลุงช่วยให้หนูลีหน่อยสิ”
แล้วก็หันมาหัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุข
วิทยาเห็นลิลินมีความสุข ก็ยิ่งมีความสุขยิ่งกว่า โดยไม่รู้ว่าอันตรายกำลังคืบคลานมาติดๆ
รถของศัลย์ขับตามมาห่างๆ รถวิทยาขับมาถึงโค้งข้างหน้า เขาเหยียบเบรก แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อรู้สึกว่าเบรกไม่ทำงาน
“เฮ้ย เบรก...เบรกมีปัญหา”
วิทยาพูดพลางมองไปเห็นทางโค้งข้างหน้า “หนูลี จับไว้แน่นๆ นะ”
จากนั้นเขาก็พยายามลดความเร็วเพื่อเข้าโค้ง แต่เพราะความเร็วที่ขับมา ทำให้ รถหลุดโค้งก่อนจะเสียหลักไถลลงข้างทาง
ทิวัตถ์ขับรถมาตามทาง ก่อนจะเห็นรถของวิทยากำลังหลุดโค้ง เขาเพ่งมองด้วยความตกใจ
รถของวิทยาพุ่งชนต้นไม้เข้าอย่างจัง แรงกระแทกทำให้ร่างของลิลินกระเด็นกระดอนไปมาจนทำให้ศีรษะของของเธอชนเข้ากับขอบหน้าต่างอย่างจัง เธอสลบเหมือดไปทันที ก่อนที่รถจะสงบแน่นิ่งอยู่ข้างทาง
ศัลย์จอดรถมองไปที่รถของวิทยาที่ประสบเหตุด้วยแววตาเหี้ยม ขณะที่ทิวัตถ์รีบจอดรถเข้าอีกฝั่งก่อนจะรีบวิ่งลงไปช่วย เขาถึงกับตกใจเมื่อเห็นร่างของวิทยาหมดสติอยู่หลังพวงมาลัยด้วยสภาพที่เลือดอาบเต็มใบหน้าครั้นพอหันมองด้านข้าง ก็ถึงกับเย็นวาบไปทั้งตัว
“คุณลิน”
อ่านต่อหน้า 4
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 12 (ต่อ)
พยาบาลช่วยกันเข็นเตียงวิทยาและลิลินมาตามทาง ทิวัตถ์จับมือลิลินไว้แน่นวิ่งตามมาข้างๆ
“คุณต้องไม่เป็นอะไร แข็งใจไว้นะ”
ทั้งลิลินและวิทยาหัวแตก เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด ทั้งคู่ใส่ที่บล็อกคอและเครื่องช่วยหายใจ
ทิวัตถ์เห็นลิลินเจ็บหนักเป็นตายเท่ากัน ก็ใจคอไม่ดี พอมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน เขาก็ถูกพยาบาลกันไว้ จนมือของเขาหลุดจากมือของลิลิน เขามองตามเธอที่ถูกเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉินอย่างกังวล ก่อนจะนั่งลงกุมขมับอย่างหวั่นใจ ด้วยความเป็นห่วง
ภายในห้องฉุกเฉิน ทั้งลิลินและวิทยาต่างก็อยู่ในอาการาโคม่า ขณะที่ทั้งหมอ ทั้งพยาบาลกำลังช่วยยื้อชีวิตไว้อย่างสุดความสามารถ
ทิวัตถ์นั่งคอยอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน พลันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามา พอเงยหน้าชึ้นมาก็เห็นศัลย์ยืนอยู่ตรงหน้า ฝ่ายหลังเห็นเขาก็แสร้งทำเป็นแปลกใจ
“คุณวิน มาทำอะไรที่นี่ครับ?”
“แล้วนี่รองฯมาทำอะไรครับ?” เขาย้อนถาม
“พอดีผมได้รับแจ้งว่ามีอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำน่ะครับ หรือว่าคนในรถเป็นเพื่อนคุณวิน”
“ครับ คุณลินอยู่ในรถคันนั้นกับคุณวิทยา”
ศัลย์แสร้งตกใจ “คุณลินเหรอครับ ?”
ทิวัตถ์พยักหน้าอย่างกังวล พอหมอเปิดประตูออกมา เขาก็รีบเข้าไปหาทันที
“คุณเป็นญาติใช่มั้ยครับ?”
ทิวัตถ์สะอึกไปนิดหนึ่ง
“ครับ เป็นไงบ้างครับหมอ พวกเขาปลอดภัยใช่มั้ยครับ?”
หมอถอนหายใจนิ่งไปครู่หนึ่ง
“หมอพยายามเต็มที่แล้ว หมอเสียใจด้วย”
ทิวัตถ์ตกใจผงะถึงกับนิ่งอึ้งไป ขณะที่ศัลย์แอบยิ้ม
“ส่วนผู้หญิงที่นั่งมาด้วยตอนนี้เธอพ้นขีดอันตรายแล้ว”
ทิวัตถ์ทั้งน้ำตาอย่างโล่งอก ผิดกับศัลย์ที่รอยยิ้มหายไปในบัดดล แต่ก็แกล้งทำเป็นพูดดี
“ดีใจด้วยนะครับคุณวิน งั้นถ้าคุณลินฟื้นแล้ว รบกวนคุณวินโทร. บอกผมด้วยนะครับ ผมจะขอสอบปากคำคุณลินหน่อย”
พูดพลางหันเดินออกไป ด้วยแววตาโกรธที่ลิลินยังไม่ตาย
ทิวัตถ์เดินถือแก้วกาแฟเดินมาตามทาง ด้วยสีหน้าอิดโรย พร้อมๆ กับเสียงมือถือก็ดังขึ้นมา เขารีบกดรับ
“ครับแม่ต่าย ผมอยู่ที่โรงพยาบาลครับ”
ศุภารมย์ตกใจ “วินไปทำอะไรที่โรงพยาบาล ใครเป็นอะไร?”
“คุณลินเธอประสบอุบัติเหตุรถคว่ำตกลงข้างทางครับ”
ศุภารมย์ยิ่งตกใจหนัก
“คุณลินรถคว่ำ?”
“คุณลินไม่ได้เป็นอะไรมากใช่มั้ย”
“ครับ แม่ต่ายครับยังไงผมขออยู่เฝ้าคุณลินที่โรงพยาบาลก่อน จนกว่าเธอจะปลอดภัยนะครับ”
ศุภารมย์แม้จะหนักใจ แต่ไม่อยากขัด
“แล้วแต่วินล่ะกัน แล้วแม่จะบอกพ่อให้ แล้วก็จะให้คนเอาเสื้อผ้าไปให้ด้วยนะ”
ทิวัตถ์วางสาย ก่อนจะเดินเข้ามานั่งรอลิลินที่เก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉินอย่างเป็นห่วง
ศักดิ์สิทธิ์นั่งอยู่ในห้องทำงาน พลางคิดถึงช่วงเวลาที่พาวิชนีไปเล่นเกมในห้างอย่างมีความสุข ครู่หนึ่งปกติก็เดินถือถาดอาหารมาเสิร์ฟ พอเห็นหน้าตาอาหารที่ดูไม่น่าทาน เขาก็โวยวายขึ้นมาทันที
“คุณปกติ ทำไมไข่ดาวของผมมันถึงดูไม่น่ากินแบบนี้ นี่ไม่ใช่ฝีมือยัยเชฟนีนี่”
“ครับ เชฟนีเลิกงานแล้วครับ ผมเลยให้สมคิดทำให้”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งหงุดหงิด “แล้วทำไมไม่ไปตามเชฟนีมาทำให้ผม”
ปกติแปลกใจที่ศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไป ฝ่ายแรกเห็นสายตาก็ร้อนตัว
“อะไร พอเลย ผมรู้ว่าคุณจะพูดอะไร บอกได้เลยว่าผมไม่ได้ชอบเธอ”
ปกติไม่เชื่อ กลับคาดคั้นให้ยอมรับ แต่อีกฝ่ายกลับกลบเกลื่อนด้วยการไล่ตะเพิดออกจากห้อง ก่อนจะรำพึงกับตัวเองเบาๆ
“ฉันชอบยัยนั่นจริงๆ เหรอเนี่ย?”
ศักดิ์สิทธิ์ที่ลงมาเดินเล่นที่สวน พักหนึ่งก็เห็นวิชนีเดินมา เขาตกใจรีบหลบหลังพุ่มไม้ ก่อนจะค่อยๆ ย่องหลบไม่ให้เธอเห็น
วิชนีลงนั่งที่เก้าอี้ พลางมองฟ้ามองดาวเพลินๆ บังเอิญศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังย่องหนี เกิดเผลอเหยียบกิ่งไม้เสียงดังขึ้น เธอตกใจรีบลุกขึ้น ก่อนจะถามออกไป
“นั่นใคร?”
ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับ เพราะศักดิ์สิทธิ์เอาแต่นิ่งเงียบ แอบดูด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
วิชนีที่ค่อยๆ สืบเท้าเข้ามาดู
“ใครอยู่ตรงนั้น หรือว่าจะเป็นไอ้โรคจิต”
พูดพลางมองหาอาวุธ ก่อนจะคว้าท่อนไม้ขนาดเหมาะมือขึ้นมาตั้งท่า
“ออกมาเดี๋ยวนี้นะไอ้โรคจิต ไม่งั้นฉันตีนายให้หัวแบะเลย”
ศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ เดินออกมา วิชนีเห็นก็นึกสงสัย
“นาย หวิดหัวแตกแล้วมั้ยล่ะ แล้วนายเข้าไปทำอะไรตรงนั้นฮะ”
“คือ ฉันอยู่แต่ในห้องทำงาน ฉันก็อยากออกไปสัมผัสธรรมชาติบ้างแต่ก็ไม่มีเวลา เลยต้องมาอาศัยธรรมชาติแถวนี้แทน แล้วเธอล่ะดึกป่านนี้ทำไมเธอยังไม่นอนอีก?”
วิชนีทำหน้าเซ็ง “ก็ ฉันนอนไม่หลับ ปกติตอนนอนฉันจะต้องนอนคุยกับลินจนหลับ”
จากนั้นทั้งคู่ก็เอาแต่เขิน จนนิ่งเงียบไปเพราะนึกเรื่องคุยไม่ได้
“เอ่อ งั้นฉันไปก่อนนะ”
ศักดิ์สิทธิ์พูดจบก็รีบเดินจ้ำออกไป ก่อนที่วิชนีจะทนความอึดอัดไม่ไหวรีบเรียกไว้
“เดี๋ยวนาย ทำไมนายต้องพยายามหลบหน้าฉันด้วย”
ศักดิ์สิทธิ์สะดุดกึก ก่อนจะตอบปฏิเสธ พร้อมย้อนกลับ
“เปล่านี่ เธอนั่นแหละทำไมชอบหนีฉัน?”
ทั้งคู่นิ่งไป ก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกัน
“ก็ ไม่มีอะไรนี่”
แล้วก็นิ่งไปอีกครั้ง ก่อนวิชนีจะพูดทำลายความเงียบ
“จริงๆ แล้วที่ฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะนายมาเล่นพิเรนทร์บอกชอบฉัน แต่ใครๆ ก็รู้ว่าเรารักกันไม่ได้หรอกเนอะ”
ศักดิ์สิทธิ์หน้าตาจริงจังขึ้น
“ฉันไม่ได้เล่นนะ คือฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันชอบเธอหรือเปล่า? แต่ไม่รู้ว่าฉันเป็นอะไร? ทำไมถึงได้คิดถึงแต่เธอตลอดเวลา แล้วฉันก็นึกไปถึงเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตของฉัน ถ้ามีเธออยู่ข้างๆ มันจะเป็นยังไง”
พูดพลางสบตาวิชนี
“เอ่อ คือฉัน ฉันไม่รู้”
“ไม่รู้? แม้กระทั่งหัวใจตัวเองเธอยังไม่รู้อีกเหรอ?”
วิชนียิ่งเขินทำหน้าไม่ถูก ทำท่าจะเดินไป
“ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอไป จนกว่าเธอจะรู้ใจตัวเอง”
วิชนีตื่นเต้นเลือดสูบฉีดจนตัวร้อนผ่าว ก่อนจะตัดสินใจพูดไป
“เออๆ รู้ก็ได้ ที่จริงฉันก็ชอบนายเหมือนกัน แต่เรื่องอย่างนี้ผู้หญิงที่ไหนจะกล้าพูดเล่า”
พูดจบก็ผลักอีกฝ่ายตกน้ำด้วยความเขินแล้วรีบเดินออกไป ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มออกมาอย่างดีใจที่วิชนี
ใจตรงกันกับเขา
ลิลินยังหลับไม่ได้สติอยู่ที่เตียง ที่หัวมีผ้าพันแผลปิดอยู่ ทิวัตถ์เข้ามาหยุดที่ข้างเตียงมองด้วยความเป็นห่วง
“เท่าที่ดูภายนอกคนเจ็บก็ดูจะเป็นปกติแล้ว แต่อย่างที่หมอบอกคุณไปว่าเธอได้รับควากระทบกระเทือนที่ศีรษะอย่างรุนแรง”
ทิวัตถ์ได้ยินหมอบอกอาการ ก็ตกใจ
“แล้วพอจะรักษาได้มั้ยครับ?”
“ได้ แต่เราต้องรอให้คุณลิลินฟื้นก่อนหมอถึงจะส่งไปทำซีทีสแกน”
“แล้วเมื่อไหร่เธอถึงจะฟื้นล่ะครับหมอ?”
“เรื่องนี้หมอคงตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าร่างกายเธอตอบสนองต่อการรักษาได้ดีแค่ไหน?”
ทิวัตถ์ได้ยินก็เป็นกังวลใจ
ขณะที่ศัลย์เดินเข้ามาในโรงพัก จ่าลูกน้องก็เข้ามารายงานว่ามีพยานเห็นเหตุการณ์ตอนที่รถวิทยาประสบอุบัติเหตุ ฝ่ายแรกถึงกับตกใจแต่เก็บอาการไว้ได้
“เหรอ ใคร?”
จ่าลูกน้องชี้มือไปที่จิ๊กโก๋ที่นั่งรออยู่ ศัลย์เดินเข้าไปหา
“เห็นอะไรมาบ้างน่ะเรา?”
“ก็เห็นตั้งแต่รถกระบะนั่นขับเข้าโค้งมา จนเสียหลักแล้วคว่ำครับ”
ศัลย์พยักหน้ารับ ก่อนจะดึงจ่าออกมาคุย “เช็คประวัติอาชญากรรึยังจ่า”
“ยังครับ”
ศัลย์มองอย่างตำหนิ
“วันหลังทำงานให้มันละเอียดหน่อย ดูท่าทางขี้ยาชัดๆ จับตรวจฉี่ แล้วสอบประวัติเรื่องการใช้ยาอย่างละเอียดด้วย เสร็จแล้วเอามาให้ผมที่ห้องทำงานก่อนที่จะทำอย่างอื่น เข้าใจนะ”
สั่งเสร็จก็เดินหงุดหงิดออกไป ทำเอาจ่างง
พอศัลย์เข้ามาในห้องทำงาน ก็พบว่าศุภารมย์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ฉันอยากรู้ว่าที่เด็กนั่นรถคว่ำเป็นเพราะฝีมือใคร?”
“ผมเห็นว่าถ้าเด็กคนนั้นอยู่อาจจะทำให้คุณต่ายเดือดร้อนไปกว่านี้ก็ได้”
ศุภารมย์ได้ยินก็รู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของศัลย์
“ฉันไม่ได้สั่งให้เก็บเด็กนั่นใช่มั้ย? ทำไมถึงได้ทำเกินคำสั่งฉัน เกิดเด็กนั่นเป็นอะไรขึ้นมา คิดเหรอว่าวินจะปล่อยให้เรื่องเงียบไปง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมา”
ศัลย์สวนกลับทันควัน
“แต่ที่ผมทำไปก็เพื่อคุณ”
พูดพลางจับไหล่ศุภารมย์อย่างห่วงใย แต่อีกฝ่ายกลับปัดมือออก เพราะคิดว่าเขาหาข้ออ้าง
“กลัวว่าตัวเองจะเดือดร้อนมากกว่ามั้ง ตอนนี้ฉันขอให้รองฯอยู่เฉยๆ อย่าทำอะไรที่ฉันไม่ได้สั่งอีก”
“แล้วถ้าเด็กนั่นคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือคุณต่ายล่ะครับ? ถ้าผมเป็นเธอ ผมก็เชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องเป็นฝีมือคุณ”
ศุภารมย์คิดตาม เริ่มกังวลใจ
วรรณิตนุ่งขาว ห่มขาวนั่งสมาธิอยู่ในห้องพระ พักใหญ่อนันยชก็เปิดประตูเข้ามา ด้วยอาการเมามาย ก่อนจะเข้าไปดึงมือ เธอลืมตาอย่างตกใจ พลางร้องโวยวายขึ้น
“คุณวัน อะไรกันคะคุณวัน ปล่อยณิตก่อนนะคะ คุณวัน”
อนันยชไม่สนใจ มองจ้องวรรณิตอย่างมีอารมณ์ ก่อนจะลากเธอออกจากห้อง พาเข้ามาในห้องนอน พลางกระชากเสื้อออกเหมือนจะข่มขืน
“คุณวันอย่าค่ะ ไม่ได้นะคะคุณวัน คุณวัน”
อนันยชไม่สนใจ พยายามข่มขืนต่อ วรรณิตที่ทีแรกร้องโวยวาย แต่ตอนนี้กลับนอนนิ่งเงียบ ทำให้เขาขัดใจจนหมดอารมณ์
“ถ้ารู้ว่าเอามาแล้วเรื่องมากแบบนี้ ไม่เอามาทำเมียซะตั้งแต่ทีแรกหรอกโว้ย โธ่เว้ย”
สบถเสร็จ ก็ลุกพรวดลงจากเตียง คว้าเสื้อขึ้นมาสวม ก่อนจะเดินออกไปอย่างหงุดหงิด พร้อมๆ กับที่เสียงมือถือของวรรณิตดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ ใช่ค่ะ แม่”
วรรณิตได้รับข่าวจากโรงพยาบาลเกี่ยวกับอาการของแม่ก็ตกใจ
“ตอนนี้เซลมะเร็งแพร่กระจายไปที่ไขสันหลัง หมอแนะนำให้ทำเคมีบำบัดทันที เพราะถ้าปล่อยไว้เซลมะเร็งอาจกระจายไปที่สมอง แล้วคนไข้อาจจะ...”
หมอเงียบไป วรรณิตพอจะเดาได้ว่าหมอจะบอกว่าอะไร
“หมอ หมอช่วยแม่ฉันด้วยนะคะ เอ่อ หมอไม่ต้องห่วงเรื่องเงินนะคะ ฉันมีจ่าย แต่หมอต้องช่วยแม่ให้ได้นะคะ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ยังไงหมอต้องช่วยเต็มที่อยู่แล้ว”
วรรณิตน้ำตาคลอ มองแม่อย่างกลุ้มใจ
วิชนีแต่งตัวสวยเดินออกมาอย่างมีความสุขเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน จนปกติออกปากแซว แต่พอหันไปเห็นซือเฟินเดินเข้ามา ก็รีบปราดเข้าไปต้อนรับ ฝ่ายแรกมองตาม พอเห็นซือเฟิน ก็ตกใจ
“อาม่า หรือว่าอีตานั่นจะเรียกให้อาม่ามาสู่ขอเรา แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ?”
คิดพลาง รีบตามซือเฟิน ที่เดินตรงไปยังห้องทำงานของศักดิ์สิทธิ์
ศักดิ์สิทธิ์ถือช่อดอกไม้มาเขินๆ ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงแล้วยื่นดอกไม้ออกไป ตั้งใจซ้อมเพื่อไปขอความรักกับวิชนี แต่ปรากฏว่าซือเฟินเปิดประตูเข้ามาพอดี
“อาม่า”
ซือเฟินไม่พูดพล่ามทำเพลง เอาพัดตีหัวอย่างแรง
“โอ๊ย เจ็บนะอาม่า”
“เจ็บสิดี ลื้อเอาแต่เล่นอยู่ได้ ลื้อเอาดอกไม้มาทำอะไร? อ๋อ ลื้อรู้ว่าอั๊วจะมา เลยเอาดอกไม้มาเล่นละครกับอาหนูคนนั้นตบตาอั้วใช่มั้ย?”
วิชนีที่ได้แอบฟังอยู่หน้าห้อง นึกเอะใจ “เล่นละคร ?”
ฝ่ายศักดิ์สิทธิ์ก็งงที่ซือเฟินพูด “ เล่นละครอะไร?”
“ก็ลื้อกับอาหนูนั่นไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆไง แล้วที่ลื้อบอกอั๊วว่าเป็นแฟนกับอาหนูนั่นคราวที่แล้วลื้อโกหกอั๊วใช่มั้ย? อั๊วรู้หรอกน่า”
“โกหกอะไร? ผมจะโกหกทำไม?”
“ก็ลื้อโกหกเพื่อจะได้เงิน 30 ล้านจากอั๊วไง”
วิชนีได้ยินก็เลือดขึ้นหน้า ก่อนจะเปิดประตูโพล่งเข้ามาชี้หน้าด่า
“ไอ้คนหลอกลวง ไอ้คนหวังแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง นายเป็นคนอย่างที่ฉันคิดไม่มีผิด เพราะคนอย่างนายวันๆ คงได้แต่หลอกใช้คนอื่น ที่นายมาขอคบฉันก็เพราะนายอยากได้เงินแค่นั้นใช่มั้ย?”
ซือเฟินยิ้มเยาะศักดิ์สิทธิ์ที่โดนวิชนีด่าซ้ำ ก่อนจะนั่งลงอย่างไม่สนใจ
“มันไม่ใช่อย่างที่เธอเข้าใจนะนี ทำไมเธอไม่คิดมั่งว่าทุกอย่างที่ฉันทำไปเพราะรักเธอจริงๆ”
วิชนีอึ้งไปอย่างผิดหวัง พยายามกลั้นน้ำตา
“ถึงขนาดนี้แล้วนายยังจะเรียกว่ารักอีกเหรอ? ฉันจะไม่อยู่ที่นี่ต่อไปอีก”
“แล้วที่เธอเคยบอกว่าชอบทำงานที่นี่ล่ะ เธอจะทิ้งที่นี่ ทิ้งฉันไปจริงๆ เหรอ?”
วิชนีขัดขึ้นทันที
“พอซะทีเถอะ นายรู้มั้ย? ยิ่งนายพูดมากเท่าไร มันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกนายดูถูกและเหยียบย่ำความรู้สึกมากเท่านั้น ฉันขอลาออก”
พูดจบก็เดินออกไปด้วยความเสียใจที่ถูกหลอกมาตลอด ทำเอาทั้งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งซือเฟินอึ้งไปตามๆ กัน
ขณะที่ทิวัตถ์ยังอยู่ที่โรงพยาบาล ครู่หนึ่งทรงเผ่าก็โทร. เข้ามือถือ
“เป็นไงบ้าง? ได้เรื่องขนาดกระสุนที่ยิงแม่คุณหรือยังล่ะ พอดีนึกขึ้นได้ว่าลืมบอกว่าเจ้าของปืนน่าจะให้คำตอบคุณทิวัตถ์ได้ดีที่สุด”
ทิวัตถ์เงียบหายไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น
“ตอนนี้เหมือนเจ้าของปืนจะยังไม่สามารถให้คำตอบอะไรผมได้”
“ถ้าให้ทายคงจะเกิดอุบัติเหตุกับเจ้าของปืนหรือไม่ก็ตายใช่มั้ย?”
ทิวัตถ์ยิ่งสนใจ ที่ทรงเผ่าเดาเกมถูก “ผู้กำกับรู้ได้ไง?”
“ก็แหม คุณวินน่าจะรู้ว่าคุณต่ายเป็นใคร? เรื่องแค่นี้เดาได้ไม่ยาก”
ทิวัตถ์วางสาย แววตาครุ่นคิด เมื่อมองไปอีกทาง ก็เห็นใครบางคนท่าทางเหมือนศัลย์เดินผ่านไป เขารีบตามไปทันที แต่แล้วก็กลับคลาดกัน เขานึกสังหรณ์ใจ ก่อนจะพุ่งตรงไปที่ห้องพักของลิลิน แต่พอเข้าไปในห้องก็ไม่พบสิ่งปกติ
ขณะที่ศัลย์แอบยืนมองทั้งคู่ผ่านช่องกระจกอยู่ด้วยแววตาร้าย
ทางด้านวรรณิตก็เป็นห่วงกับอาการและค่ารักษาของแม่ จึงบากหน้ามาขอเงิยวาสนาที่บ้านอีก แต่กลับโดนอีกฝ่ายปฏิเสธ
“ถ้าแกจะหมายถึงสินสอดของแกล่ะก็ ฉันใช้หมดตั้งแต่สองเดือนแรกแล้ว ส่วนไอ้เงินค่าใช้จ่ายที่แกแบ่งให้ใช้ทุกเดือนจากบ้านนั้นมันก็แทบไม่พอยาไส้”
วรรณิตทนไม่ไหว สวนขึ้นทันที
“แต่นั่นมันเกือบทั้งหมดที่ณิตได้จากคุณต่ายเลยนะคะคุณยาย”
“ถ้าแกไม่เชื่อ เดี๋ยวฉันขึ้นไปเอาสมุดบัญชีมาให้ดู”
วรรณิตรีบห้าม น้ำตาเริ่มซึม “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกจ้ะยาย”
วาสนาแอบยิ้ม ก่อนจะตีบทแม่พระ
“เมื่อกี้บอกว่าแม่อาการหนัก เป็นอะไรล่ะ?”
“หมอบอกว่ามะเร็งลามไปที่ไขสันหลัง ถ้าไม่รีบรักษา แม่อาจจะ...” วรรณิตพยายามกลั้นน้ำตา
“ณิตต้องรีบเอาเงินไปรักษาแม่จ๊ะยาย”
วาสนาทำทีเป็นห่วงใย แต่ในหัวคิดวิธีให้ตัวเองไม่ต้องเสียเงิน
“โถแม่คุณ ชาติที่แล้วไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ชาตินี้ถึงได้เจอแต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เอางี้มั้ยแม่ณิตยายพอมีติดกระเป๋าอยู่นิดหน่อย แม่ณิตเอาไปใช้ก่อนล่ะกัน”
วาสนาเดินไปหยิบกระเป๋าเปิดค้นดู ก่อนจะยื่นเงินให้ 3 พัน
“ถึงมันจะน้อย แต่มันก็ทั้งหมดที่ยายมีนะ ถ้าไม่พอ เดี๋ยวยายลองโทรหยิบยืมพวกเงินกู้ให้นะ”
วรรณิตมองเงิน 3 พันแบบหมดอาลัยตายอยาก “อย่าดีกว่าค่ะคุณยาย”
“อ้าว ไม่อย่างนั้นแล้วแม่ณิตจะเอาเงินที่ไหนรักษาแม่ล่ะ? เออ อย่าหาว่ายายละลาบละล้วงเลยนะ ทำไมไม่ลองเอ่ยปากกับพ่อวันดูล่ะ รายนั้นเขาออกจะใจกว้าง เรื่องแค่นี้ขนหน้าแข้งพ่อวันไม่ร่วงหรอก”
วรรณิตได้ยินชื่ออนันยชถึงกับสะอึก ก่อนที่น้ำตาแห่งความสิ้นหวังจะไหลนองเต็มหน้าแบบที่แทบ
ไม่ได้ยินเสียงสะอื้นเลย
วิชนีลากกระเป๋าเสื้อผ้ากำลังจะออกจากโรงแรม ศักดิ์สิทธิ์รีบปราดเข้าไปดึงกระเป๋าไว้
“ปล่อย”
ศักดิ์สิทธิ์เสียงเข้ม
“ไม่ปล่อย จนกว่าเธอจะฟังฉันอธิบายก่อน มันไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดนะ เธอฟังฉันนะ เรื่องเงิน 30 ล้านที่จะเอามากอบกู้โรงแรมมันเป็นเรื่องจริงก็จริง แต่เป็นเงื่อนไขที่อาม่าบอกฉันว่าจะให้ก็ต่อเมื่อฉันมีแฟน แต่ตอนนี้ฉันก็รักเธอเข้าจริงๆ แล้วนะ”
วิชนีส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อในคำพูด “นี่นายยังไม่เลิกแก้ตัวอีกเหรอ?”
“ได้ เดี๋ยวฉันจะทำให้เธอเห็น”
พูดพลางดึงมืออีกฝ่ายกลับเข้าไปในโรงแรมอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ก่อนจะหามาหาซือเฟืนที่ยืนบ่นนั่นนี่กับพนักงานอยู่
“อาม่า”
ซือเฟินหันมองอย่างรำคาญ
“อะไรอีก ไอ้ละครตบตาของลื้อนี่ มันจะไม่ยอมจบใช่มั้ยอาเม้ง”
“คราวนี้จบแน่ เพราะผมจะบอกอาม่าว่า ผมเปลี่ยนใจไม่เอาเงินของอาม่าแล้ว”
ปกติกับวิชนีอ้าปากค้างตกใจ ซือเฟินมองศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะพูดดูถูก
“ถ้าไม่เอาแล้วลื้อจะทำให้โรงแรมนี้รอดได้ยังไงฮะ”
“ถ้าอาม่าคิดว่าผมไม่มีความสามารถพอ ผมก็จะเลิกบริหาร แล้วก็ขายให้กับคนที่อยากจะซื้อโรงแรมนี้แทน”
“นี่ลื้อคิดจะทิ้งมรดกตกทอดของเตี่ยลื้อจริงเหรอ?”
ศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างจริงจัง
“แต่ก่อนผมใช้ชีวิตตามความต้องการของคนอื่นมาตลอด แต่ตอนนี้ผมจะทำตามความฝันของตัวเองบ้าง”
ซือเฟินปรายตามองศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่เชื่อหู
“ลื้อแน่ใจนะ นี่มันธุรกิจนะ ไม่ใช่เล่นขายของ”
ศักดิ์สิทธิ์จับมือวิชนีแน่น
“ที่ผ่านมาผมอาจจะเล่น แต่ครั้งนี้ผมเอาจริง ผมจะแต่งงานกับเชฟนี แล้วไม่ขอรับเงินอาม่าแม้แต่บาทเดียว”
วิชนีรีบปราม “ไม่ได้นะ แล้วโรงแรมนี้ที่พ่อแม่นายสร้างมาล่ะ?”
“ฉันไม่สน และฉันจะไม่ทำมันต่อ แล้วต่อให้ฉันต้องไปขายเต้าหู้เต้าฮวยหรือเปิดร้านอาหารข้างทางเล็กๆ ที่ไหนฉันก็จะทำ ขอแค่มีเธออยู่ข้างๆ จะลำบาก แค่ไหนฉันก็ไม่กลัว”
ซือเฟินได้ยินแทนที่จะดีใจ กลับยิ่งสบประมาท
“แล้วลื้ออย่ามาง้อทีหลังแล้วกัน อั้วผิดหวังในตัวลื้อจริงๆ”
พูดจบก็เดินออกไปอย่างขัดใจ
อ่านต่อตอนที่ 13