xs
xsm
sm
md
lg

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 10

ระหว่างที่ศักดิ์สิทธืกำลังวุ่นวายกับการเตรียมสถานที่สำหรับจัดงาน พักใหญ่วิชนีก็เดินเข้ามา

“ตกลงเจ้าภาพเลือกอาหารสไตล์ไหน? แล้วแขกในงานล่ะประมาณกี่คน?”
ศักดิ์สิทธิ์เอาแต่ส่ายหน้า จนอีกฝ่ายนึกฉุน
“เฮ้ย ตกลงนายไม่รู้อะไรเลยใช่มั้ยเนี่ย? งานจะจัดพรุ่งนี้อยู่แล้วนายยังไม่รู้อะไรสักอย่าง เออๆไม่ต้องงั้นเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ศักดิ์สิทธิ์มองอย่างหมั่นไส้ “อวดเก่ง”
“นายว่าใคร ? ที่ฉันทำทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพราะอวดเก่งอะไรหรอกนะ แต่ที่ฉันทำเพราะมันคือหน้าที่ แล้วก็เพื่อชื่อเสียงของโรงแรมและก็ตัวนายเอง”
“ตัวฉัน นี่เธอเป็นห่วงฉันเหรอ?” ศักดิ์สิทธิ์ถามย้ำ
“ก็ใช่น่ะสิ”
เมื่อได้ยินคำตอบเขาก็ถึงกับอึ้งไป วิชนีนึกได้ก็เขินๆ รีบหันหลังก่อนจะเดินหนีไป ศักดิ์สิทธิ์ที่เอาแต่ชะเง้อมองวิชนีแล้วแอบยิ้มคนเดียว

วิชนีเดินตบปากตัวเอง ที่เผลอหลุดพูดไปว่าเป็นห่วงศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะเจอลิลินที่เข้ามาพอดี
“เออลินฉันถามไรหน่อยสิ พอดีคนรู้จักเขามาปรึกษาฉัน ว่าคนที่เกลียดกันมากแล้วอยู่ๆ มาเป็นห่วงกัน แต่ในใจก็ยังเกลียดอยู่นะ แบบนี้เธอว่ามันเป็นความรู้สึกอะไรเหรอ?”
ลิลินอึ้งไปเพราะไม่แน่ใจว่าวิชนีหมายถึงเธอหรือเปล่า ระหว่างนั้นทิวัตถ์ อนันยชกับศักดิ์สิทธิ์ก็เข้ามาขัดจังหวะ
“เจอเธอก็ดีล่ะ วัน นี่คุณวิชนีเป็นเชฟที่จะปรุงอาหารให้แกในคืนพรุ่งนี้”
อนันยชยิ้มให้
“ยังไงผมก็ต้องฝากเชฟด้วยนะครับ หวังว่าเชฟคงไม่ทำให้แขกในงานผมต้องผิดหวัง”
“ยินดีและเป็นเกียรติอย่างมากค่ะ ไม่ทราบว่าคุณวันเลือกอาหารไว้หรือยังคะ ถ้ายังฉันขอเสนอเซ็ทนี้เลยค่ะ เหมาะสำหรับแขกผู้ใหญ่ในงานแน่นอน”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยกัน ทิวัตถ์มองหน้าลิลินนิ่งๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะรู้สึกอึดอัด รีบขอตัวออกไป ทิวัตถ์มองตาม ก่อนจะเดินตามไป
“จะรีบไปไหนล่ะ?”
“ปล่อยค่ะ”
ทิวัตถ์จ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
“เพราะผมปล่อยคุณไปไม่ใช่เหรอ คุณถึงได้กล้าส่งกระสุนไปขู่แม่ผมถึงบ้าน”
ลิลินทำหน้าสงสัย
“คุณพูดเรื่องอะไร? กระสุนอะไรฉันไม่รู้เรื่อง”
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องไปหน่อยเลย ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร?”
ลิลินสวนกลับทันควัน
“ก็เป็นคนที่พวกคุณเคยทำกรรมกับเขาเอาไว้ไง”
ทิวัตถ์ได้ฟังก็ยิ่งโมโห บีบแขนลิลินแน่น
“คุณไม่จำเป็นต้องเล่นละครแล้ว ไหนๆ ตอนนี้ก็มีแค่คุณกับผม 2 คน บอกความจริงมา”
“นี่คุณวิน. ถึงฉันจะพูดอีกกี่ร้อยที ฉันก็ยืนยันคำเดิมว่าฉันไม่รู้เรื่องที่คุณพูด หรือว่าต้องให้ฉันยอมรับข้อกล่าวหาคุณซะก่อน คุณถึงจะปล่อย อ๋อ มันคงจะเป็นวิธีที่ครอบครัวคุณทำประจำเวลาต้องการให้ใครรับผิดสินะ”
ทิวัตถ์ตะคอกใส่หน้า
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ แล้วผมขอเตือนคุณไว้ก่อน ไม่ว่าคุณคิดทำอะไรอยู่ก็ตาม ผมจะไม่ยอมให้คุณทำร้ายครอบครัวของผมได้เป็นอันขาด”
พูดพลางปล่อยมือ ก่อนจะเดินจากไป ลิลินแปลกใจเรื่องกระสุนที่อีกฝ่ายพูดถึง

กานดาที่เข้ามายื่นแฟ้มเอกสารให้ทรงพล ยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถามขึ้น
“คุณพลคะ กานได้ยินว่าเจ้าสาวของคุณวันหน้าเหมือนคุณต้อย คุณพล...”
ทรงพลรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเรื่องอะไร ก็รีบบอก
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ผมไม่ได้รู้สึกอะไร ตอนนี้ผมก็มีคุณต่ายอยู่แล้วทั้งคน”
กานดาแอบสะอึกที่ทรงพลเหมือนตอกย้ำสถานะของศุภารมย์
“ค่ะ กานทราบว่าคุณพลไม่คิดอะไร แต่กานก็อดห่วงไม่ได้”
จังหวะนั้นศุภารมย์ก็เดินเข้ามาได้ยินพอดี
“เธอไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนั้นมันเป็นหน้าที่ของฉัน เธอออกไปก่อนฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณพล”
กานดาจำต้องเดินเลี่ยงออกไปด้วยความไม่พอใจ พออีกฝ่ายเดินพ้นไปแล้ว ทรงพลก็หันมาถาม
“คุณมีอะไรหรือเปล่า?”

ศุภารมย์มองทรงพลอย่างเครียดๆ

ทรงพลส่งซองให้ศัลย์ที่ยืนรออยู่ที่หน้าห้อง อีกฝ่ายรับมาเปิดดู ก่อนจะหยิบกระสุนเม็ดนั้นขึ้นมาในมือ

“ผมต้องการรู้ว่าเป็นฝีมือใคร?”
“จากที่ผมดู คนที่ส่งมาน่าจะรู้จักกับครอบครัวของท่านเป็นอย่างดี ถึงได้จงใจส่งมาขู่ในเวลาแบบนี้”
กานดาแอบยืนฟังอยู่ที่หน้าห้องอย่างสงสัย ขณะที่ศุภารมย์ครุ่นคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“หรือว่ามันต้องการขู่เรื่องงานแต่งงานของวันที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้คะ?”
ศัลย์เห็นด้วย “ใช่ ยังไงผมคงต้องขอรายชื่อแขกในงานทุกคนด้วย”
ทรงพลรีบหันไปเรียกกานดา ก่อนจะสั่งให้รวบรวมรายชื่อแขกมาให้ผมหน่อย
“เอามาทำไมคะ?”
ศุภารมย์ที่กำลังเครียดอยู่ ได้ยินกานดาถามซักไซ้ ก็ขึ้นเสียงต่อหน้าทุกคน
“สั่งให้ทำอะไรก็ไปทำซิ ทำไมต้องถาม”
กานดารีบรับคำ ก่อนจะแอบมองศุภารมย์อย่างริษยาและไม่พอใจที่ถูกไล่ต่อหน้าทุกคน พลางทำท่าจะเดินออกไป แต่อีกฝ่ายกลับเรียกไว้อีก
“เดี๋ยวเธอช่วยประสานงานกับท่านรองฯให้ดูแลเรื่องแขกด้วยนะ บางทีคนที่ส่งของแบบนี้มาได้อาจจะเป็นคนใกล้ตัวที่มองข้ามไปก็ได้นะคะ จริงมั้ยกานดา?”
พูดพลางจิกตามองเขม็ง กานดาทำหน้าเลิ่กลั่ก ก่อนจะเผลอทำแฟ้มหลุดมือ พลางรีบก้มเก็บ แล้วรีบเดินออกไป
ศุภารมย์มองตามอย่างสงสัย

ทางด้านสิตาก็กำลังลองชุดราตรีสีขาวคล้ายกับชุดเจ้าสาว ที่เตรียมจะใส่ไปงานแต่งงานของอนันยช ครู่หนึ่งกฤษดากับเสี่ยหาญก็เดินเข้ามา
“งานแต่งไอ้วัน อย่างนี้ก็ต้องไปแสดงความยินดีกับมันซะหน่อย แล้วจะได้จัดการไอ้วินทีเดียว”
สิตาหันขวับไปมองพี่ชายพลางตั้งท่าจะทะเลาะกันอีก จนเสี่ยหาญต้องรีบห้ามไว้
“เมื่อไหร่แกสองคนจะเลิกกัดกันซะทีฮะ ไอ้กฤษเรื่องเก่าที่แกก่อไว้ฉันเพิ่งบากหน้าไปเคลียร์ให้กว่าจะได้ แล้วนี่แกยังคิดจะสร้างปัญญาใหม่ขึ้นมาอีกยังไม่เข็ดหรือไง?”
กฤษดาพูดอย่างมั่นใจ “แต่งานนี้ผมไม่ยอมให้พลาดอีกแน่”
“แกอยากไปนักใช่มั้ย งั้นก็ตามใจแก แต่แกจะไปงานแต่งของเขาระวังเหอะ ฉันจะได้ไปงานศพของแกก่อน งานนี้ให้ยัยตาไปคนเดียวก็พอ ฉันจะได้ฝากของขวัญไปให้ด้วย”
สิตาหันมายิ้มเยาะใส่พี่ชาย ก่อนจะรีบเดินออกไป กฤษดาหงุดหงิด ก่อนที่เสี่ยหาญจะพูดเตือนสติ
“ไอ้กฤษแกฟังพ่อไว้นะ กว่าที่พ่อจะมาได้ไกลขนาดนี้ เพราะพ่อรู้เวลาไหนควรอ่อน เวลาไหนควรแข็ง แกเชื่อพ่อเถอะ เมื่อถึงเวลาพ่อก็ไม่เอาพวกมันไว้หมือนกัน”

วรรณิตที่เข้ามาในห้องคนป่วย ขณะที่แม่นอนหลับอยู่บนเตียง
“แม่จ๋า แม่รอหน่อยนะ ฉันกำลังจะแต่งงานแล้ว เดี๋ยวก็มีเงินมารักษาแม่แล้วนะ”
พูดพลางเดินเข้ามาจับมือแม่ไว้ ก่อนที่สาจะรู้สึกตัว ตื่นขึ้นมาได้ยินพอดี
“แต่งงาน หนูว่าใครจะแต่งงานนะ ไอ้ปรางเหรอ?”
วรรณิตรีบแก้ตัว
“ไม่ใช่ปรางหรอกจ้ะ ฉันเองจ้ะที่กำลังจะแต่งงาน”
แม่ทำหน้าเศร้า
“แต่งงาน พูดแล้วก็นึกถึงปราง ปรางมันพลาดที่ต้องไปอยู่กินกับไอ้ยงยุทธ ไอ้คนจัญไร ถ้าแลกได้ฉันก็อยากให้เอาชีวิตของฉันไปแทน แล้วขอให้ปรางได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับผู้ชายดีๆ”
แต่แล้วจู่ๆ สาก็เหมือนหายใจไม่ได้ เสียงเครื่องช่วยหายใจต่างๆ ในห้องส่งเสียงร้องดัง วรรณิต
รีบกดปุ่มฉุกเฉินเรียกพยาบาล
“คุณพยาบาลคะช่วยด้วยค่ะ ช่วยแม่ด้วยค่ะ”

วรรณิตที่ยืมมองอยู่ที่หน้าห้องอย่างกระสับกระส่าย ใจเต้นไม่เป็นระส่ำเพราะห่วงแม่ พอพยาบาลเดินออกมาจากห้อง ก็รีบปราดเข้าไปถามอาการ
“คนไข้ปลอดภัยแล้วค่ะ แต่วันนี้ขอให้ญาติงดเยี่ยมก่อนนะคะ”
วรรณิตยิ้มอย่างโล่งใจ พลางมองเข้าไปในห้อง ก่อนจะหันหลังเดินออกไป แต่แล้วจู่ๆ ก็กลับถูกคว้าแขนไว้ พอเธอหันมาเห็นก็ตกใจ
“คุณ”
พยาบาลลูกแก้วจ้องมองเขม็ง
“ใช่เธอจริงๆ ด้วย แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่ไม่ทราบ”
“เอ่อ คือฉัน ฉันมาเอายาให้คุณป้าจ้ะ”
พูดจบก็รีบเดินหนีออกไป พยาบาลลูกแก้วมองอย่างเขม่น

“อะไรนะลิน? ลินจะเอาคลิปนี่ไปเปิดในงานแต่งเหรอ?”
ปรมัตถ์ถึงกับตกใจ เมื่อได้ยินแผนการของลิลิน
“ใช่ มันเป็นทางเดียวที่จะให้ทุกคนรู้ความจริง”
“มันไม่เสี่ยงเกินไปหน่อยเหรอลิน? คนเยอะอย่างนั้น เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าเป็นฝีมือของลิน”
“เชื่อลินเถอะ ลินมีแผน”
ลิลินหลับตานึกถึงภาพที่กำลังจะเกิดขึ้น
“เราจะเปิดคลิปแทนวีดิโอพรีเซ็นต์ แต่การที่เราจะเปิดได้ จะต้องมีแผน แล้วแผนของลินก็คือ
ขั้นแรกลินจะไปที่ห้องควบคุมระบบไฟ พอไฟดับ ทุกคนก็จะตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วคนที่ดูแลระบบไฟ ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับคนที่ควบคุมระบบหลังเวที ก็จะต้องสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วตอนนั้นมัตก็จะปลอมตัวเป็นช่างไฟเข้ามา พอช่างไปแล้ว มัตก็จะเอาโน๊ตบุ้คของมัตที่มีคลิปของหมอศรัณย์ เปลี่ยนทันที แล้วเมื่อช่างไฟไปที่คัทเอ้าท์
ก็จะพบว่ามันแค่ถูกสับลงแค่นั้น แล้วเมื่อเขาเปิดมันอีกครั้ง ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วเมื่อถึงตอนนั้น
ทุกคนก็จะได้รู้ความจริง”
เล่าพลางยิ้มอย่างมั่นใจ ก่อนจะหันมาถามย้ำ
“มัตจะช่วยลินมั้ย ว่าไงมัต ?”
ปรมัตถ์นิ่งไปครู่หนึ่งอย่างหนักใจ
“ลิน ลินก็รู้ว่ามัตถ์ไม่มีทางทิ้งลินอยู่แล้ว”
“แล้วทุกคนจะได้รู้ความจริงกันซะที”

ปรมัตถ์มองลิลินด้วยความเป็นห่วง

ศุภารมย์เดินมานั่งลงที่ข้างเตียง ก่อนจะเปิดลิ้นชักข้างเตียงออก หยิบกล่องสีแดงกำมะหยี่ออกมา จากนั้นก็เปิดกล่องออก พลางหยิบสร้อยเพชรของศุภิสราออกมาดู
 
ทรงพลที่เดินเข้ามา เห็นสร้อยเพชรที่อีกฝ่ายถืออยู่ก็ชะงักไป ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ และโอบศุภารมย์ไว้
“ให้วันไปเถอะ ถึงยังไงสร้อยก็ไม่ได้มีค่าอะไรอยู่แล้ว คุณจำไม่ได้เหรอที่ต้อยอยากได้สร้อยชุดนี้เพราะอะไร? ก็เพราะเขาอยากเอาชนะผมต่างหาก พอได้มาก็ทิ้งๆ ขว้างๆ อย่างไม่เห็นคุณค่า ให้วันไปเถอะ
อย่างน้อยวันเขาก็ยังเห็นคุณค่าว่าเป็นตัวแทนความรักให้กับหนูณิต”
ศุภารมย์เผยยิ้มออกมา
“คุณนี่จริงๆ เลย ที่ฉันรักคุณก็เพราะตรงนี้ ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเข้ามา คุณทำให้ฉันสบายใจได้เสมอ”
ทรงพลกุมมือศุภารมย์ไว้
“ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”

เช้ารุ่งขึ้น ขณะที่ป้าจวนกำลังยืนคุยกับสลวย เม็ดนุ่น และยอดอยู่ที่หน้าบ้าน ครู่หนึ่งนพกรก็เดินเข้ามาในชุดสูทเสื้อเชิ้ตสีดำปล่อยเสื้อผ้าชายหลุดลุ่ย พอป้าจวนหันไปเห็นก็โวยวาย
“ทำไมแต่งตัวแบบนี้ฮะ วันมงคลใครเขาให้ใส่สีดำกัน ชุดอื่นสีอื่นที่มันดีกว่านี้ไม่มีแล้วเหรอ?”
นพกรทำหน้าเอือม
“เป็นแค่คนขับรถก็ต้องอยู่แต่ในรถ หรือจะให้ใส่สีรุ้ง คนบ้าชัดๆ”
“ถึงจะเป็นแค่คนขับรถก็เถอะ แต่ถ้าใครเห็นเข้ามันจะเสียชื่อมาถึงเจ้านายรู้มั้ย แกรีบไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วออกไปอย่าให้คุณท่านเห็นเข้าอีกล่ะ พวกข้าไม่ได้ไปด้วย อย่างน้อยๆ แกก็น่าจะเป็นตัวแทนให้พวกข้าบ้าง”
นพกรเบ้ปาก “หรือใครจะขับรถไปแทนฉันก็ได้นะ ฉันไม่เห็นอยากไปเลย”
ป้าจวนหันไปมองนพกรพลางส่ายหน้าตำหนิ

ทางด้านวรรณิตก็กำลังนั่งอยู่ที่หน้ากระจกให้ช่างแต่งหน้าทำผมจัดการตามที่วาสนาคอยกำกับ
“พี่คะ ณิตขอตัวเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ”
วาสนาหันมามองค้อน
“ให้ไวล่ะแม่ณิต ชักช้าเดี๋ยวจะเสียฤกษ์ซะ”
ขาดคำ อนันยชก็ถือวิสาสะเดินเข้ามาในห้อง
“พ่อวันมีอะไร ถึงได้ถือวิสาสะเข้ามาในห้องแต่งตัวเจ้าสาว เดี๋ยวก็ได้เจอกันอยู่แล้วทำเป็นอดใจไม่ไหวไปได้”
อนันยชทำหน้ากวน
“ผมจะคิดถึงเมีย เอ้ย ภรรยาบ้างไม่ได้เหรอครับ แล้วผมเพิ่งรู้นะครับว่าสามีจะมาหาภรรยานี่ต้องมีพิธีมากขนาดนี้เลยเหรอ?”
จังหวะนั้นวรรณิตก็เดินออกมาจากห้องน้ำ อนันยชหันไปมองอย่างตะลึงในความงาม ก่อนจะเดินไปหา พลางเปิดกล่องกำมะหยี่สีแดงในมือออก
“ผมมีของมาให้ณิตด้วยนะ ณิตชอบมั้ย?”
วรรณิตพยักหน้า
“ชอบค่ะ แต่ณิตคงรับไว้ไม่ได้ เพราะมันดูแพงเกินไปสำหรับณิต”
วาสนาเห็นแสงเพชรส่องตาเข้าก็ถึงกับตาโต รีบพูดแทรกทันที
“แหม แม่ณิตปฏิเสธน้ำใจพ่อวันได้ยังไง ใครให้อะไรก็รับๆไปเถอะ ถ้าแม่ณิตยังไม่เอา ก็ให้ฉันเก็บไว้ให้ก่อน”
พูดพลางจะคว้ากล่องมา แต่อนันยชรีบดึงกล่องกลับ
“ยาย ผมขออยู่กับวรรณิตแค่สองคนก่อนได้มั้ยครับ?”
“ลีลา อ้ะๆ เร็วๆหน่อยแล้วกัน แม่ณิตยังแต่งตัวไม่เสร็จ”
พอวาสนากับช่างออกไป อนันยชเปิดกล่องก่อนจะหยิบสร้อยเพชรขึ้นมาสวมที่คอให้วรรณิต
“สร้อยเส้นนี้ถึงแม้ว่ามันจะดูเก่าไปหน่อย แต่ก็เป็นสร้อยของคนที่ผมรักมาก เมื่อเขาไม่อยู่แล้วผมก็อยากให้ณิตเอาไว้ เพื่อเป็นคำสัญญาว่าณิตจะเป็นคนที่ผมรักคนสุดท้าย”
วรรณิตมองที่สร้อย ก่อนจะสบตากับอนันยชอย่างซาบซึ้งใจ

ลิลินกำลังเหม่อมองตัวเองอยู่หน้ากระจก นึกถึงเรื่องในอดีต ก่อนจะแววตาจะลุกโชนด้วยเพลิงแค้น
“วันนี้หนูลีจะทวงความยุติธรรมให้พ่อป้อง”

พูดพลางหยิบกล่องไม้ขึ้นมา ก่อนจะหยิบเอาเมมโมรี่ขึ้นมาดูด้วยความคาดหวัง ที่เต็มปรี่

ปรมัตถ์ยืนรอลิลินอยู่ที่มุมหนึ่ง ครู่หนึ่งอีกฝ่ายก็เดินเข้ามาในชุดราตรี ที่สวยสง่าจนเขาตะลึง ก่อนที่เธอจะยื่นเมเมโมรี่การ์ดส่งให้ แววตาเต็มไปด้วยความกังวล

“มัตจำแผนทั้งหมดได้นะ”
“ไม่ต้องห่วงน่าลิน หรือจะให้มัตทวนอีกที”
พูดพลางมองที่เมมโมรี่ก่อนจะมองหน้าลิลินอีกครั้ง

ลิลินพยักหน้าหลังจากที่ปรมัตถ์ทบทวนแผนให้ฟัง
“ถ้าอย่างนั้นลินฝากด้วยนะมัต”
พูดจบก็จะหันหลังเดินออกไป ปรมัตถ์รีบเรียกเอาไว้
“ลิน ตั้งแต่พรุ่งนี้ ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมนะ”
“ใช่ ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
แววตาของลิลินมุ่งมั่น

ระหว่างที่ศักดิ์สิทธิ์กำลังซักซ้อมการเตรียมการกับวิชนี และพนักงานคนอื่นๆ อยู่นั้น จู่ๆ ปกติก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณหนูครับ คุณหนู เกิดเรื่องไม่ปกติขึ้นครับ”
“เรื่องอะไร ?”
ศักดิ์สิทธิ์หันไปเห็นตำรวจที่ยืนอออยู่หน้าประตูก็แปลกใจ

ลิลินที่กำลังเดินจะเข้ามาในงานทางประตูข้างสำหรับพนักงานพอเหลือบศัลย์พาตำรวจเข้ามาคุมที่หน้าประตูทางเข้า เธอก็รีบฉากหลบแอบสังเกตการณ์ ครู่หนึ่งก็เห็นศักดิ์สิทธิ์ วิชนี และปกติก็เข้ามาคุยกับอนันยชที่กำลังเช็คความพร้อมอยู่หน้างาน ก่อนที่กานดาจะเข้ามาสมทบ
“เฮ้ยไอ้วัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ?”
“เซอร์ไพรซ์จากแม่ฉันน่ะ”
กานดารีบอธิบายเพิ่ม
“ต้องขอโทษคุณสิทธิ์กับคุณวันที่กานไม่ได้แจ้งล่วงหน้าก่อนนะคะ พอดีงานนี้มีแต่คนสำคัญ เลยต้องมีการอารักขาดูแลกันเป็นพิเศษค่ะ”
ขาดคำศัลย์ก็เดินเข้ามา ก่อนจะรีบบอก
“หวังว่าผมกับลูกน้องคงไม่สร้างความรำคาญให้ใครถ้าจะมีการตรวจค้นกันเป็นพิเศษนะครับ ก่อนอื่นผมคงต้องขอบัตรประชาชนของพนักงานทุกคนที่จะเข้าไปในงานด้วย”
ลิลินที่แอบมองอยู่มุมหนึ่ง ถึงกับหน้าเครียด ที่ทุกอย่างผิดแผน

ทรงพล ศุภารมย์ ยืนต้อนรับแขกหน้างาน ครู่หนึ่งอนันยชกับวรรณิตพากันเดินเข้ามา ทั้งคู่อวยพรให้คู่บ่าว-สาว ก่อนที่ศุภารมย์จะหันมาถามถึงวาสนา วรรณิตรีบบอกว่ากำลังรับแขกอยู่อีกด้าน
วาสนาที่กำลังยืนรับแขกอยู่ พอแขกยื่นซองให้ ก็รีบกระซิบบอกให้มาใส่ในกล่องที่ตัวเองเตรียมมาไว้ต่างหาก ก่อนที่จะพาบรรดาแขกเหรื่อไปทักทายกับทรงพล ศุภารมย์ และคู่บ่าว-สาว
สักพักศรัณย์ก็เดินเข้ามาในงาน ก่อนจะถ่ายรูปกับข่าว-สาว พลางแอบมองวรรณิต แล้วสังเกตเห็นรอยผ่าตัดใต้ขากรรไกร แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร จากนั้นก็เดินเลี่ยงเข้างานไป
ระหว่างนั้นเห็นศัลย์ก็เดินเข้ามาพร้อมกับตำรวจในเครื่องแบบ วาสนาเห็นก็ตกใจ วรรณิตเองก็ใจเสีย ก่อนจะหันไปกระซิบ
“ยาย ณิตเห็นตำรวจมาตั้งแต่เย็นแล้ว หรือว่าตำรวจจะมาจับยายเรื่องพี่ยุทธ”
“ปากเสีย ตำรวจจะรู้ก็เพราะแกพูดนี่แหละ แหม พ่อวันรับแขกไปก่อนนะ ยืนรับแขกนานขาแข็งไปหมดแล้ว”
พูดจบก็รีบเดินหลบฉากออกไป วรรณิตมองศัลย์อย่างกังวล จากนั้นทรงพลกับศุภารมย์ก็เดินเข้ามา
“วันพาหนูณิตไปเติมหน้าเติมปากหน่อยซิลูก ดูซิเหงื่อออกเต็มเลย เดี๋ยวแม่คุยกับรองศัลย์เอง”
อนันยชพาวรรณิต ที่แอบถอนหายใจโล่งอกเดินออกไป
ทรงพลกับศุภารมย์เข้ามาหาศัลย์ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ตกลงมีใครน่าสงสัยมั้ย?”
ศุภารมย์ถามอย่างร้อนใจ ศัลย์ส่ายหน้า
“ยังไม่พบครับไ
ทรงพลพยายามมองในแง่ดี “บางทีมันอาจจะเป็นแค่การขู่ก็ได้”
“คุณพลกับคุณต่ายไม่ต้องห่วงครับ ผมวางกำลังไว้ทุกพื้นที่แล้ว ถ้ามันมาจริงๆ เราต้องรู้แน่ว่ามันเป็นใคร?”
ทรงพลกับศุภารมย์พยักหน้ารับแต่ก็ยังไม่คลายความกังวล

ขณะที่อยู่ตามลำพังในห้องแต่งตัว ลิลินก็หยิบกระเป๋าใต้โต๊ะขึ้นมาเปิดดู ก่อนจะหยิบชุดช่างไฟขึ้นมามองแล้วเก็บลงอย่างเดิม จากนั้นก็ปิดกระเป๋า พลางถือเดินออกจากห้องไป

สิตาในชุดราตรีสีขาวเดินมากำลังจะเข้างาน แต่พอตำรวจจะขอตรวจค้น ก็โวยวายไม่ยอม ศุภารมย์ที่เดินเข้ามาพร้อมกับทรงพลและทิวัตถ์ รีบพูดสวนขึ้นมา
“ถ้าเธอไม่ยินดีให้ตรวจ ฉันก็ไม่ยินดีที่จะให้เธอเข้างาน”
สิตามองอย่างไม่พอใจ
“แต่ตามาในฐานะตัวแทนของคุณพ่อนะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องสั่งให้เพิ่มการตรวจเธอเป็นพิเศษ ทุกคนต้องตรวจ ไม่ว่าจะเป็นใคร แค่เธอใส่ชุด
สีขาวมาก็ถือว่าผิดมารยาทมากแล้วนะ”
ขาดคำก็เดินนำหน้าทรงพลเข้าไปงานไป สิตาขัดใจอย่างแรงที่ศุภารมย์ไม่ไว้หน้าเธอ รีบหันมาโวยวายใส่ทิวัตถ์
“วิน พ่อกับแม่วินไม่ให้เกียรติตาเลยนะคะ”
“ตาต้องทำตามกฎน่ะถูกแล้ว”
สิตาจำต้องพยักหน้ารับ พลางคล้องแขนทิวัตถ์ไว้
“งั้นเราเข้างานพร้อมกันนะคะวิน ทุกคนจะได้เห็นชุดที่ตาตั้งใจตัดมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ”

แต่อีกฝ่ายกลับดึงมือออก อ้างว่าต้องอยู่ช่วยรับแขก พลางกวาดสายตาไปรอบๆ เหมือนกำลังมองหาใครสักคน
 
อ่านต่อหน้า 2

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 10 (ต่อ)

อนันยชและวรรณิตกำลังยืนถ่ายรูปกับแขก ทรงพลและศุภารมย์ยืนอยู่ไม่ไกล ทิวัตถ์กับสิตายืนอยู่ใกล้ๆ กัน ครู่หนึ่งผู้ว่าฯ ก็เดินเข้ามาในงาน หลังจากที่ทักทายกันเรียบร้อยแล้ว ทรงพลกับศุภารมย์ก็เดินนำเข้าไปในงาน

ทิวัตถ์รีบหันไปทำหน้าหงุดหงิดใส่สิตา ที่พูดคุยกับผู้ว่าฯ ในเชิงว่าทั้งคู่กำลังจะแต่งงานกัน
“สิตา คุณไม่น่าพูดอย่างนั้นเลย คุณก็รู้ว่าเราเป็นได้แค่เพื่อนกัน”
“วิน วินจะใจแข็งกับตาไปถึงเมื่อไหร่คะ?”
ทิวัตถ์ถอนหายใจ “แก้วที่แตกไปแล้วมันไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรอกนะตา”
พูดจบก็เดินเลี่ยงออกไป สิตามองตามอย่างขัดใจ

ลิลินที่เดินถือกระเป๋ามาตามทางเดิน เห็นตำรวจที่ยืนออกอยู่เต็มไปหมด เธอหันมองซ้ายมองขวา ก่อนจะคิดหาทางเดินเลี่ยงออกไปอย่างไม่มีพิรุธ
แต่แล้วก็เจอศัลย์ที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เธอกำกระเป๋าแน่นกำลังจะเดินผ่านไป แต่อีกฝ่ายรีบเรียกไว้
“จะไปไหน?”
ลิลินอึกอัก “ฉัน ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ”
“ในห้องแต่งตัวก็มีห้องน้ำนี่”
“ฉันต้องเอาเสื้อผ้าไปเก็บ”
พูดพลางขยับตัวจะเดินออกไป ศัลย์มองที่กระเป๋าอย่างนึกเอะใจ ก่อนจะพูดขึ้นลอยๆ
“เอาเสื้อผ้าไปเก็บ แล้วไม่เปลี่ยนกลับตอนงานเลิกเหรอ?”
ลิลินชะงักตกใจ ก่อนจะทำใจดีสู้เสือ
“ถ้าสงสัยอะไร ตรวจดูก็ได้นะคะ”
พูดพลางยื่นกระเป๋าให้ ศัลย์จ้องตาลิลินอย่างหยั่งเชิง
“ผมก็แค่ถามดู”
ลิลินลดกระเป๋าลงก่อนจะหันหลังเดินออกไป พลางเป่าปากอย่างโล่งอก ศัลย์มองตามอย่างไม่ไว้ใจ

ปรมัตถ์ที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่อีกด้านหนึ่ง ถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อมีมือมาแตกไหล่ ก่อนจะหันกลับไป แล้วพบว่าเป็นลิลินนั่นเอง
“มีอะไรหรือเปล่ามัต?”
“ลิน มีอะไรเหรอ? ทำไมตำรวจอยู่ในโรงแรมเต็มไปหมด”
“ไม่มีอะไรหรอกมัต อ้ะ นี่เสื้อผ้าไปเปลี่ยนซะ”
พูดพลางยื่นกระเป๋าส่งให้ ปรมัตถ์รับมาอย่างกังวล
“ลิน เป็นไปได้มั้ย? ที่พวกตำรวจเขาจะรู้แผนของเรา”
ลิลินรู้ว่าอีกฝ่ายกังวล
“ถ้ามัตกลัว จะถอนตัวก็ได้นะ”
“มัตไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะเป็นอะไร มัตเป็นห่วงลินต่างหาก”
“เรามาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังไงลินก็จะทำ”
ลิลินพูดอย่างมุ่งมั่น ปรมัตถ์สูดลมหายใจ พร้อมจะสู้

กานดากับศัลย์กำลังตรวจตราแขกที่เข้างานตามรายชื่ออยู่ที่หน้าประตูทางเข้า ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเข้ามา
“มีอะไรกันคะ?”
กานดาได้ยินเสียง ก็รีบเดินมาดู แล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นทรงเผ่า ศัลย์ที่เดินตามมา ก็อยู่ในอาการไม่ต่างกัน
ทรงเผ่าเห็นกานดากับศัลย์ก็แค่นหัวเราะออกมา
“อ้าว นึกว่าใคร คุณกานดาผู้พ่ายรัก ช่างจงรักภักดีกับเจ้านายจริงๆนะครับ ไม่เหมือนหมาบางตัว
พอรู้ว่าไม่มีข้าวให้มันกิน ก็หาเจ้าของใหม่ทันที”
กานดากับศัลย์ต่างชะงักกันไปที่ทรงเผ่าพูดขนาดนี้ ตำรวจลูกน้องรีบหันมากระซิบถาม“ให้ผมจัดการเลยมั้ยครับรองฯ”
“ไม่ต้อง คนนี้ผมจัดการเอง”
ทรงเผ่ามองแบบหยันๆ
“อ้าว ศัลย์น้องพี่ ช่วยจัดการกับลูกน้องของแกหน่อยนะ ดูสิจะไม่ยอมให้ฉันเข้าท่าเดียวเลย แล้วแกช่วยไปบอกพวกมันด้วยนะว่าฉันเคยเป็นใครมาก่อน”
กานดาพยายามพูดอย่างใจเย็น
“ขอโทษนะคะ งานนี้ให้เข้าเฉพาะคนที่มีบัตรเชิญเท่านั้นค่ะ”
“เหรอ แล้วนี่อะไร?”
พูดพลางยื่นบัตรเชิญให้ดู กานดาเห็นว่ามีชื่อทรงเผ่าก็หน้าเสีย เพราะเธอเป็นคนจัดการเรื่องบัตรเชิญ
“แต่ผมคงให้เข้างานไม่ได้ พี่ดื่มมาใช่มั้ยครับ?”
ทรงเผ่านึกโมโห ที่ศัลย์ถามแบบไม่ไว้หน้า
“อะไร ตกลงจะไม่ให้ฉันเข้า หรือจะต้องวัดแอลกอฮอลก่อนมั้ย? ไหนล่ะที่เป่าเอามาสิ แกก็รู้นะว่าฉันเป็นใคร ไหนล่ะเจ้าบ่าว เจ้าสาว อะอ้าว หลานวัน”
อนันยชที่กำลังคุยกับแขกคนอื่นก็หันมอง แต่ก็ยังจำไม่ได้ เพราะไม่ได้เจอมา15ปี ทรงเผ่ารีบปรี่เข้าไปหา
“แหม ไม่ได้เจอกันแค่ 15 ปี นี่หลานวันโตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย หล่อไม่เบา”
อนันยชมองหน้าทรงเผ่า ก่อนจะนึกได้ รีบแนะนำวรรณิตให้รู้จัก
“อ๋อ ผู้กำกับนี่เอง นี่วรรณิตเจ้าสาวของผมครับ”
วรรณิตยกมือสวัสดี ทรงเผ่าหันไปมอง แล้วก็ต้องชะงัก ก่อนจะเผลออุทานอย่างตกใจ
“คุณต้อย”
อนันยชรีบบอก “ไม่ใช่ครับ เธอชื่อวรรณิตต่างหากล่ะครับ”
ทรงเผ่านึกได้ก็ตบปากตัวเอง
“ขอโทษๆ ฉันลืมไปซะสนิทเลยว่าคุณต้อยตายไปนานแล้ว แล้วนี่แม่ต่ายกับพ่อพลล่ะ?”
“คงอยู่ในงานแล้วครับ ยังไงก็ตามสบายนะครับ”

ทรงเผ่าเดินเกระเผลกเข้างานไป ศัลย์มองตามอย่างไม่วางตา กานดาเองก็ถึงกับหน้าเครียด

ทรงพลกับศุภารมย์ยืนรับรองผู้ว่าฯ อยู่ในงาน ก่อนจะหันไปเห็นทรงเผ่าเดินเข้ามา โดยมีศัลย์และกานดาเดินตามประกบติดๆ

“เป็นไงบ้างไอ้น้องชาย ยินดีด้วยนะ”
ทรงเผ่าพูดพลางเข้ามาโอบกอดทรงพล แต่ครั้นเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเจื่อนๆ ก็รีบบอก
“ตกใจ ทำหน้าแบบนี้แสดงว่า ไม่รู้ล่ะซิว่าฉันได้บัตรเชิญด้วย”
พูดพลางชูการ์ดเชิญให้ดู ศุภารมย์หันมองกานดาตาขวาง
“ไม่เป็นไร คนเราผิดพลาดกันได้ ฉันไม่ถือ ไอ้เรื่องทำให้ผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิดเนี่ยฉันเห็นมานักต่อนักแล้ว อ้าว นึกว่าใคร ท่านผู้ว่าฯ สวัสดีครับ”
ทรงพลรีบแนะนำ
“นี่พี่เผ่า แกเคยเป็นผู้กำกับที่นี่น่ะครับ”
ผู้ว่าฯ ยิ้มให้ตามมารยาท
“อ๋อ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ท่าทางคุณทรงพลกับพี่เผ่าคงจะสนิทกันมากนะ เชิญนั่งครับ ดีๆ คนกันเองทั้งนั้น”
ทรงเผ่าหัวเราะร่วน
“ไม่กันเองได้ยังไงล่ะ บอกให้นะท่าน ถ้าไม่มีผมนะ พ่อพลกับแม่ต่ายคงไม่ได้มีกินมีใช้เหมือนทุกวันนี้หรอก”
ทรงพลกับศุภารมย์ถึงกับชะงักไปเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องอะไร ก่อนจะเห็นว่าแขกในงานต่างจับจ้องทรงเผ่าเป็นตาเดียว จึงรีบบอกให้ศัลย์พาไปนั่งที่โต๊ะวีไอพี
พอทรงเผ่ากับศัลย์เดินพ้นไป ศุภารมย์ก็หันมาเอาเรื่องกานดาทันที
“มันเกิดอะไรขึ้น?”
“กานคงจะไม่ได้เอารายชื่อคุณเผ่าออกจากรายชื่อแขกที่เราส่งกระเช้าให้ทุกปีน่ะค่ะ”
ศุภารมย์ส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ ก่อนจะมองตามทรงเผ่าอย่างกังวล

“พ่อพลกับแม่ต่ายคงเลี้ยงแกดีล่ะสิ แกถึงได้เชื่องอย่างนี้”
ทรงเผ่าหันมาพูดเหน็บศัลย์ ขณะที่เดินแยกออกมาด้วยกัน
“จะพูดอะไรก็ระวังหน่อยครับพี่ ตอนนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว”
ทรงเผ่าเข้าใจว่าศัลย์หมายถึงอะไร ก่อนจะเลิกคิ้วยักไหล่เปลี่ยนเรื่องคุย
“อ้ะ แต่ก็ช่างเถอะ ไหนล่ะโต๊ะวีไอพี”
พลันเสียงศุภารมย์ดังขึ้นมา
“ผู้กำกับต้องการอะไร?”
ทรงเผ่ามองท่าทีศุภารมย์ แล้วก็ยิ้มเยาะ
“ก็อย่างที่พูดเมื่อกี้นั่นแหละนะ ถ้าไม่มีฉันพวกเธอก็จะไม่มีทางมาได้ไกลถึงขนาดนี้ จะว่าไปฉันก็อิจฉาพ่อพลจริงๆ ที่มีหลังบ้านดีอย่างนี้”
“ผู้กำกับต้องการอะไร? ก็พูดมาตรงๆ เลยดีกว่าค่ะ”
“ดี ในเมื่ออยากคุยตรงๆ ฉันก็จะคุยตรงๆ ไอ้ฉันมันก็แก่แล้วโรคภัยก็มีแต่จะรุมเร้า เจ็บออดๆ แอดๆ ไหนจะต้องมารักษาขาเดี้ยงๆ นี่อีก อ้อ แล้วไอ้ค่าใช้จ่ายที่พ่อพลกับแม่ต่ายจ่ายให้รายปี จริงๆ มันก็ไม่น้อยหรอกนะ แต่นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้วไม่คิดจะขึ้นให้บ้างเลยหรือไง?”
ศุภารมย์รู้ว่าทรงเผ่าจะมาขอเงินเพิ่มก็เก็บอารมณ์ไม่อยู่ แต่ทรงพลที่เดินตามเข้ามา พยายามไกล่เกลี่ย
“ก็จริงของท่าน ถ้าไม่ได้ท่านเราคงไม่มาได้ถึงขนาดนี้”
ทรงเผ่ายิ้มอย่างพอใจ ขณะที่ศุภารมย์ทำหน้าเครียดที่อีกฝ่ายดูจะไม่ยอมออกจากงานไปง่ายๆ แล้วยังมารีดเงินเพิ่มอีก

ศักดิ์สิทธิ์เดินสำรวจความเรียบร้อยอยู่รอบๆ งาน พอเดินมาถึงโต๊ะหนึ่ง แขกก็รีบเรียกไว้ ก่อนจะออกปากชมว่าอาหารอร่อย เขาถึงกับยิ้มหน้าบาน
“ขอบคุณมากครับ ผมเลือกเชฟที่ดีที่สุด ฝีมือดีที่สุดมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะเลยนะครับ ยังไงก็ทานกันเยอะๆนะครับ”
พูดพลางหันหลังมากำลังจะเดินออกไป ก่อนจะเห็นวิชนีที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่
“นายพูดจริงเหรอที่ว่าฉันฝีมือดี”
ศักดิ์สิทธ์รีบพูดแก้เก้อ “ก็พูดไปงั้นแหละ เห็นคนอื่นบอกว่าอร่อย”
“แล้วนายได้กินอะไรบ้างหรือยังล่ะ ยังไงก็รองท้องไว้บ้างนะ”
“นี่เธอเป็นห่วงฉันอีกแล้วเหรอ?”
วิชนีนึกได้รีบแก้ตัว
“ห่วงไรเล่า แล้วนี่นายได้ชิมอาหารบ้างหรือยัง คงยังสินะ”
ศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้า พร้อมกับพูดสบประมาทรสชาติอาหารฝีมือวิชนี ทำเอาเธอถึงกับของขึ้น
“ฉันว่าวันนี้จะไม่ด่านายซักวันแล้วนะ ถ้าไม่ชอบให้ห่วงงั้นคงจะชอบให้แช่งสินะ งั้นขอให้โรงแรมนายไฟดับ น้ำไม่ไหล งานล่ม ไม่ก็มีคนตายในงานไปเลยล่ะกัน แล้ว...”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ สาบานได้มั้ยเนี่ยว่าที่ฉันได้ยินเมื่อกี้เป็นเสียงคนพูด ไม่ใช่เสียงผายลม”
วิชนียิ้มยั่ว
“ก็ในเมื่อเจ้านายมันปากเป็นแบบนี้ ต่อให้พูดภาษาคนไปก็คงไม่รู้เรื่อง สงสัยต้องหาอะไรฆ่าสัตว์เลี้ยงในปากนายซะหน่อย”
“ถ้าปากฉันเลี้ยงสัตว์ ปากเธอก็ต้องมีที่กดชักโครกด้วย”
วิชนีหมั่นไส้หันไปเอาทัพพีตักอาหารยัดใส่ปาก
“ลองดูนะเผื่ออาหารฝีมือฉันจะฆ่าหมาในปากของนายได้”

ศักดิ์สิทธิ์เดินพ้นออกมา ก็เจอทิวัตถ์ที่ตรงรี่มาทัก โดยมีสิตายืนทำหน้าตึงอยู่ข้างๆ
“ฉันจะถามว่านักร้องแกหายไปไหน? ฉันอยากให้นักร้องของแกช่วยปรับเพลงที่จะร้องในงานให้มันสนุกสนานหน่อย งานมงคลแต่มองไปทางไหนมีแต่ตำรวจ โรงแรมแกจะดูไม่ดีนะเว้ย”
ศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าเห็นด้วย
“เออว่ะ เดี๋ยวฉันไปตามคุณลินก่อนขอบใจแกมาก”
“ไม่ต้อง ดูท่าทางแกยุ่งๆ เดี๋ยวฉันไปตามให้เอง”
พุดพลางแอบขยิบตาให้ศักดิ์สิทธิ์ว่าช่วยกันสิตาให้หน่อย
“ได้เลยแกไม่ต้องห่วง ทางนี้ฉันจัดการเอง”
ทิวัตถ์รีบปลีกตัวออกไป สิตาจะเดินตาม แต่ถูกศักดิ์สิทธิ์เข้ามาขวางไว้

“จะไปไหนล่ะสิตา อยู่ช่วยกันรับแขกก่อนสิ”

ลิลินอนู่ในห้องแต่งตัว กำลังเหม่อมองในกระจก พร้อมกับทบทวนความแค้นในใจ พอหันมาเห็นทิวัตถ์ยืนมองอยู่ก็ถึงกับสะดุ้งตกใจ

“คุณ จะเข้ามาทำไมไม่เคาะประตูก่อน เสียมารยาท”
ทิวัตถ์ยิ้มหยัน “ถ้าผมเคาะ บางทีอาจจะไม่เห็นว่าคุณกำลังวางแผนอะไร?”
“แล้วคุณเห็นว่าฉันมีอะไรที่แสดงให้คุณเห็นว่าฉันเป็นตัวอันตรายหรือเปล่าล่ะ?”
“ยังไม่มี แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มี ทำไม? โกรธเหรอที่ผมรู้ทันความคิดของคุณ”
“ห้องนี้สำหรับคนที่มีหน้าที่ แต่กับคนที่ไม่มีหน้าที่อย่างคุณห้ามเข้า”
ทิวัตถ์ยิ้มสะใจ ที่ยั่วโมโหลิลินได้
“คุณลืมอะไรไปหรือเปล่าว่าผมเป็นเจ้าภาพงาน แล้วไม่มีหน้าที่ตรงไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าที่ของผมคือคอยดูแลไม่ให้ใครมาทำลายงานแต่งงานของพี่ชายผม”
ลิลินลุกขึ้นพรวด พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินออกไป ทิวัตถ์รีบเดินตามประกบทันที

วรรณิตที่กำลังยืนถ่ายรูปอยู่หน้างานกับอนันยช พลางรู้สึกเหมือนกำลังถูกมองอยู่ แต่พอหันไปก็ไม่เห็นใคร พอเพ่งมองอีกครั้ง ก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นคนคล้ายยงยุทธกำลังยืนจ้องอยู่
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ เราแค่ตาฝาดไป”
ครั้นมองไปอีกครั้งแต่ก็ไม่เห็นใครยืนตรงนั้นแล้ว พออนันยชจับมือ เธอถึงกับสะดุ้งโหยง
“คุณวัน ขอโทษค่ะ”
“ณิตไม่เป็นอะไรแน่นะ”
วรรณิตส่ายหน้า “ค่ะ ณิตแค่ตื่นเต้น”
“นี่ก็จวนจะได้เวลาขึ้นเวทีแล้ว ณิตพร้อมนะ”
พูดพลางยื่นมือไปหาวรรณิต อีกฝ่ายยิ้มรับยิ้มก่อนจะส่งมือให้ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกไป

ลิลินเดินมาตามเส้นทางที่ปลอดคนเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นกานดายืนร้องไห้อยู่ที่ระเบียง เพราะโดนศุภารมย์ตำหนิอย่างรุนแรง
เสียงรองเท้าส้นสูงของลิลินทำให้กานดาหันมาเห็น ฝ่ายแรกรีบออกปากขอโทษ
“ขอโทษค่ะ”
กานดารีบน้ำตาก่อนจะเดินออกไป ลิลินมองตามอย่างสงสัย

วาสนาที่เดินผ่านมา ได้ยินคุณหญิงคุณนายจับกลุ่มวิจารณ์ว่าวรรณิตหน้าเหมือนศุภิสรา เพราะทำศัลยกรรมมาทั้งหน้า ก็รีบผ่าเข้ามากลางวงสนทนาแล้วพูดขัดคอขึ้นทันที
“แหม มีดหมงมีดหมออะไรกัน เดี๋ยวนี้คนหน้าเหมือนมีออกถมถืด ใครจะพิเรนทร์ เอาอีกคนไปศัลยกรรมให้เหมือนกับอีกคน”
พลันศรัณย์ก็เข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย
“แต่ถ้าทำแล้วสวยขึ้นผมว่าก็ดีนะครับ”
วาสนาอึกอัก รีบตัดบท “วันมงคลอย่าไปพูดเรื่องไร้สาระเลยค่ะ”
บรรดาคุณหญิงคุณนายมองค้อนแล้วเดินเลี่ยงออกไป จึงเหลือแต่ศรัณย์กับวาสนา
“แล้วคุณณิตนี่ทำศัลยกรรมมาจริงๆ ใช่มั้ยครับ?”
วาสนาถึงกับสะอึกหน้าเจื่อน
“หมอพูดอะไร?”
“ผมว่าเราสองคนก็เหมือนกัน ไม่ซิ ผมว่าคนที่เข้ามาหาครอบครัวนี้ ต่างก็มีเรื่องผลประโยชน์ทั้งนั้น
ถ้าไม่มีซิแปลก ว่ามั้ย?”
จังหวะนั้นเสียงทรงเผ่าดังแทรกขึ้นมา
“นึกแล้วว่าต้องเป็นหมอ”
วาสนาได้โอกาสรีบเดินเลี่ยงไป
“ไม่ได้เจอกันนานนะ กี่ปีแล้วเนี่ยหมอ?”
ศรัณย์ยิ้มทักตามมารยาท
“พี่สบายดีนะครับ”
“แหม หมอนี่ทักทายตามมารยาทจริงๆ หมอเห็นก็น่าจะรู้นะว่าฉันมันสบายดีหรือเปล่า แล้วนี่หมอยังมารักษาให้นายวินอยู่หรือเปล่า?”
ศรัณย์ถึงกับชะงักไป
“เราเคยตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอครับ ว่าจะไม่พูดถึงเรื่องนั้น พอดีผมมีคนรออยู่ ขอตัวก่อนนะครับ”
“เดี๋ยวก่อนซิหมอ ฉันมีเรื่องธุรกิจอยากคุยกับหมออยู่ แต่คุยตอนนี้คงจะไม่สะดวก ไว้เดี๋ยวฉันไปหา
เผื่อนั่งกินกาแฟกันซะหน่อย”
“ทางที่ดีผมว่าเราอย่าเจอกันดีกว่า เพราะคุณทรงพลกับคุณต่าย คงจะไม่ชอบใจถ้าเห็นเราอยู่ด้วยกัน”
ศรัณย์พูดจบก็เดินออกไปทันที ทรงเผ่ามองตามด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

ยงยุทธแฝงตัวเป็นเด็กเสิร์ฟปะปนเข้ามาในงาน กำลังแอบมองวาสนาด้วยความเคียดแค้นอยู่ที่มุมหนึ่ง ก่อนที่เสียงของปกติจะดังขึ้นมา
“พ่อหนุ่ม”
ยงยุทธถึงกับชะงัก พยายามจะจับมีดที่ซ่อนมาอยู่ในผ้าที่คล้ายกับผ้ากันเปื้อนที่ถืออยู่ แล้วเดินต่อเหมือนไม่ได้ยิน ปกติเดินตาม
“นี่พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่มที่ถือถาดอยู่นั่นน่ะ”
อีกฝ่ายหยุดแล้วค่อยๆ เดินก้มหน้าเข้ามา ปกติมองสำรวจก่อนจะเอ่ยตำหนิเรื่องการแต่งกาย จากนั้นก็เดินออกไป
ยงยุทธเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาแข็งกร้าว

“และแล้วก็ถึงช่วงเวลาอันสำคัญของเจ้าบ่าวเจ้าสาว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอเชิญคู่บ่าว-สาวขึ้นมาบนเวทีได้เลยครับ”
พิธีกรกล่าวเปิดงานบนเวที พร้อมๆ กับที่เพลงบรรเลงขึ้น ก่อนที่ประตูห้องจัดเลี้ยงจะถูกเปิดออก วรรณิตคล้องแขนอนันยชเดินเข้ามาตามทางที่โปรยด้วยกลีบกุหลาบ ศุภารมย์มองอนันยชและยิ้มอย่างมีความสุข
“จากนี้ขอเรียนเชิญท่านผู้ว่าฯคล้องมาลัยให้แก่คู่บ่าว-สาว และกล่าวคำอวยพร”
ผู้ว่าฯเดินขึ้นไปบนเวที และคล้องมาลัยให้กับอนันยชและวรรณิต ก่อนจะเดินมาที่หน้าเวที

อนันยชสบตากับวรรณิตอย่างเขินๆ

ลิลินยืนอยู่ที่ปากทางเข้าพนักงาน โดยมีทิวัตถ์ตามประกบเข้ามาติดๆ เธอเอาแต่มองเวลาในมือถืออย่างกังวล จนอีกฝ่ายจับสังเกตได้

“มีอะไร? ฉันเห็นเธอดูนาฬิกาบ่อยๆ”
ลิลินรีบบ่ายเบี่ยง “ก็ เวลาที่ฉันต้องขึ้นร้องเพลงไงล่ะ”
“จะตื่นเต้นทำไม? ในเมื่อคุณก็เป็นนักร้องอาชีพอยู่แล้ว”
ลิลินไม่สนใจที่ทิวัตถ์พูด พลางกดมือถือมองเวลาที่ใกล้เข้ามา ก่อนจะหันมองอีกฝ่ายอย่างรำคาญ
“เมื่อไหร่คุณจะเลิกตามฉันแจแบบนี้ซะที”
“ทำไม? ก็ถ้าไม่มีอะไรคุณก็ไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรเลยนี่”
ลิลินไม่โต้เถียงต่อ เพราะจะแกล้งให้ทิวัตถ์ตายใจ ก่อนจะฉวยทีเผลอ รีบเดินออกไป ทิวัตถ์จะเรียกไว้ พอดีกับที่ศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามา
“อ้าว ไอ้วินอยู่นี่นี่เอง”
ลิลินพยายามจะเดินเลี่ยงออกไป “งั้นฉันไปก่อนนะคะ ใกล้เวลาต้องเตรียมขึ้นโชว์แล้ว”
“เดี๋ยวค่อยไปก็ได้ครับ เพราะอีกเดี๋ยวก็ได้เวลาท่านผู้ว่าฯ น้าต่าย น้าพลขึ้นอวยพรบนเวที แล้วคุณลินค่อยร้องเพลงต่อจากนั้นแล้วกันครับ ไอ้วินงั้นฉันขอตัวก่อนมีไรค่อยคุยกัน”
ทิวัตถ์มองท่าทีของศักดิ์สิทธิ์อย่างแปลกใจ
“เป็นไร ท่าทางรีบๆ นะแก”
“เออ ใจคอไม่ค่อยดีวะ ตะหงิดๆ ว่างานวันนี้มันต้องมีอะไรซักอย่าง ไปก่อนเว้ย ขอเดินตรวจอีกรอบให้แน่ใจ”
พูดจบก็รีบเดินออกไป ลิลินเจ็บใจที่หาทางสลัดทิวัตถ์ไม่หลุด

เมื่อผู้ว่าฯ อวยพรเสร็จ พิธีกรก็กล่าวเชิญทรงพลกับศุภารมย์ขึ้นมาบนเวทีเพื่อเป็นเกียรติแก่คู่บ่าวสาว
ทั้งคู่เดินเคีนยงกันขึ้นเวที โดยมีวาสนาตามขึ้นมาติดๆ ก่อนจะเข้าไปแย่งไมโครโฟนมาพูดก่อน
“ดิฉันเป็นญาติผู้ใหญ่ของพ่อพลกับแม่ต่าย และเป็นเถ้าแก่ฝ่ายเจ้าสาว ดิฉันยินดีที่หลานสาวคนเดียวของดิฉันเป็นฝั่งเป็นฝากับเขาซะที โดยเฉพาะฝาอย่างคุณทรงพลและคุณศุภารมย์ ฉันยิ่งดีใจ เพราะ 2 คนนี้เป็นคนดีที่ฉันเห็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หลายคนคงเคยได้ยินคุณทรงพลและคุณศุภารมย์พูดถึงดิฉันด้วยความเคารพอยู่บ่อยๆ แต่ดิฉันอยากจะบอกว่าที่ทั้ง 2 งคนมีทุกวันนี้ได้ ไม่ใช่เพราะดิฉันหรอกค่ะ แต่เพราะความกตัญญูรู้คุณของทั้งคู่มากกว่า”
ทุกคนในงานที่ฟังอยู่ก็เคลิบเคลิ้มไปกับวาสนา ยกเว้นทรงพลและศุภารมย์ที่ไม่ค่อยรู้สึกอย่างนั้น
“ถ้าจะมีอะไรที่ฉันอยากบอกกับเจ้าสาว ก็คงจะเป็นเรื่องนี้ ว่าถ้าอยากเจริญ มีชีวิตที่ดี ต้องมีความกตัญญูรู้คุณเป็นที่ตั้ง”
พลางหันไปมองวรรณิตแล้วก็น้ำตาคลอ “ยายรักหนูนะ”
เสียงปรบบมือดังกึกก้องด้วยความประทับใจ วาสนาพูดจบก็มายืนอยู่ข้างวรรณิต จากนั้นทรงพลก็เข้าไปกล่าวคำอวยพรต่อ
“ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติ นักข่าวสื่อมวลชนทุกท่านที่ให้เกียรติมาในงานมงคลของลูกชายของเรา...”
ระหว่างนั้นพนักงานก็เข้ามาหาก่อนจะส่งโน้ตให้ วาสนารับมาอย่างหงุดหงิดก่อนจะเปิดอ่าน แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจ
“ถ้าไม่อยากให้งานนังปรางล่ม มาเจอที่ห้องซักรีด”
จากนั้นก็ผลุนผลันเดินออกจากงานไปทันที วรรณิตมองตามอย่างสงสัย

วาสนาเดินหน้าเครียดครุ่นคิดมาตามทาง ก่อนจะล้วงเอามือถือขึ้นกดโทร. ออกหานพกร ขณะที่อีกฝ่ายกำลังยืนมองรูปโปรโมทของลิลินด้วยแววตาที่เป็นประกาย
“ว่าไง? อะไรนะ”

พอทรงพลกับศุภารมย์อวยพรเสร็จ พิธีกรก็พูดเชิญให้บ่าว-สาว ออกมาเผยถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พบรักกัน ขณะเดียวกัน วรรณิตก็รู้สึกว้าวุ่นใจ เอาแต่มองหาวาสนาอย่างเป็นกังวล

ลิลินถูกทิวัตถ์ประกบไม่ห่าง พอเห็นสิตาเดินมา เธอก็แกล้งมึนๆ ล้มใส่ จนเขาต้องรีบประคองไว้ สิตาเห็นเข้าก็โวยวายลั่น
“นี่วินทิ้งตาเพื่อมาหายัยนี่เหรอคะ?”
ทิวัตถ์หันมองหน้าลิลินก็รู้ทันทีว่าเธอกำลังยั่วโมโหสิตา
“ตา มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ”
ลิลินยิ้มเย้ย
“แหม ใส่ชุดเจ้าสาวมาอย่างนี้ เคยได้ยินมั้ยว่ามันเป็นลาง แต่คิดดูแล้วยังไงชาตินี้คุณก็คงจะไม่ได้แต่ง”พูดพลางเข้ามาคล้องแขนทิวัตถ์ “ไปกันเถอะค่ะคุณวิน”
สิตาเหลืออด เข้าไปแกะแขนทิวัตถ์ออกมา ก่อนจะตบหน้าลิลินอย่างแรง แล้วหันไปหยิบแก้วเหล้ามาสาดใส่ชุดของอีกฝ่าย
“นังหน้าด้าน หวังว่าแอลกอฮอล์คงช่วยล้างความคิดชั่วๆ ของเธอที่จะจับแฟนคนอื่นได้ซะทีนะ”
ชุดของลิลินเปลี่ยนเป็นสีเข้มชัดขึ้น เธอถอนหายใจก่อนจะเดินออกไป ทิวัตถ์จะตาม แต่สิตาดึงเอาไว้

ลิลินเดินรี่เข้ามาที่หน้าห้องคอนโทรล เมื่อไม่เห็นตำรวจอยู่ ก็รีบหยิบมือถือออกมากดหาปรมัตถ์
“พร้อมแล้วใช่มั้ย?”
ปรมัตถ์ในชุดช่างไฟยืนอยู่ในบริเวณใกล้ๆ ประตูทางเข้าของพนักงาน
“มัตอยู่ที่ทางเข้าแล้ว”
“ตอนนี้ลินอยู่ที่หน้าห้องจ่ายไฟแล้ว เตรียมตัวนะ”
“ระวังตัวด้วยนะลิน”
ปรมัตถ์พูดเตือนด้วยความเป็นห่วง
“มัตก็เหมือนกัน เจอกันหลังงานเลิก”
ลิลินกดวางสาย ก่อนจะเอื้อมมือสับคัทเอาท์ลง ไฟดับพรึ่บทั้งงาน แขกในงานพากันแตกตื่น ต่างเริ่มส่งเสียงอื้ออึง
อนันยชจับมือวรรณิตเอาไว้ ขณะที่ทรงพลกับศุภารมย์ตกใจ
“หรือว่ามันจะลงมือแล้วคะ?”
ทรงพลหน้าเครียด “เห็นรองศัลย์มั้ย?”
ศัลย์เดินเข้ามาตามทางที่มีไฟฉุกเฉิน ระหว่างนั้นตำรวจวิ่งเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้น?”
ตำรวจรีบรายงาน “ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ที่เราเช็คดูตอนนี้ไฟดับทั้งโรงแรมเลยครับ”
ศัลย์เริ่มกังวล “วางกำลังไว้ที่ประตู ห้ามใครเข้าออกเด็ดขาด”

ตำรวจรับคำสั่งก่อนจะรีบวิ่งออกไป ศัลย์ครุ่นคิดอย่างเป็นกังวล
 
อ่านต่อหน้า 3

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 10 (ต่อ)

ที่ด้านหลังเวที ช่างเสริมที่ควบคุมงานอยู่ เห็นไฟดับก็บ่นอุบ

“งานเข้าแล้วไงมาดับอะไรตอนนี้”
ปรมัตถ์ในชุดช่างไฟเดินเข้ามา ก่อนจะรีบบอกตามแผน
“พี่คุณศักดิ์สิทธิ์บอกให้พี่รีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
ช่างเสริมส่ายหน้าเซ็ง
“ไรวะ ทั้งปีทั้งชาติไม่ดับ มาดับอะไรตอนนี้ ฝากดูตรงนี้ด้วยแล้วกัน”
พูดพร้อมกับหยิบไฟฉายขึ้นมาก่อนจะเดินออกไป ปรมัตถ์รีบเอาโน้ตบุ้คออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะพยายามเสียบสายต่างๆ เข้ากับโน้ตบุ้คของตัวเอง

ไฟฉุกเฉินสว่างขึ้น พร้อมกับที่ศัลย์พาตำรวจเข้ามาอารักขาทรงพลกับศุภารมย์ ศักดิ์สิทธิ์หน้าเจื่อนรีบกล่าวขอโทษ ระหว่างนั้นปกติที่เดินส่องไฟฉายเข้ามาหา
“ด้านหลังเรียบร้อยดีครับคุณหนู ช่างเสริมกำลังไปดูไฟที่ห้องคอนโทรลครับ”
“ขอยืมไฟฉายหน่อย”
ศักดิ์สิทธิ์พูดพลางรีบดึงไฟฉายของปกติมา แล้วเดินขึ้นเวทีไป
“ผมต้องกราบขอโทษแขกผู้มีเกียรติทุกท่านในที่นี้ด้วยนะครับ ตอนนี้เกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคนิดหน่อยเจ้าหน้าที่กำลังรีบจัดการอยู่ คงอีกไม่นานก็จะกลับสู่สภาวะปกติ ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบกันก่อนนะครับ”
จากนั้นก็ถือไฟฉายนำทางอนันยชและวรรณิตเดินลงมาจากเวทีมารวมกลุ่มกับศุภารมย์และทรงพล พร้อมกับที่ทิวัตถ์ที่เดินเข้ามาจากความมืดเข้ามาสมทบ
ศัลย์รีบหันไปสั่งการลูกน้อง
“เดี๋ยวนาย 2 คนไปตรวจดูรอบๆ ว่ามีอะไรผิดปกติมั้ย ส่วนนาย ตามหาผู้กำกับทรงเผ่าหน่อย ตอนนี้อยู่ที่ไหน?”
ตำรวจรับคำสั่ง แล้วรีบเดินออกไป
ทรงพลถามโพล่งขึ้นมา “มีใครเห็นกานดามั้ย?”
ศุภารมย์ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที
“ทำไมคะ? พอไฟดับแล้วทำให้นึกถึงตอนดับไฟเหรอคะ?”
“ไม่มีไรน่าคุณ ผมแค่จะสั่งงานเขาเท่านั้น”
ขาดคำกานดาเดินเข้ามา ท่าทางเลิ่กลั่ก เหงื่อเต็มหน้า ศุภารมย์มองอย่างสงสัย
“ไปไหนมา?”
“ก็อยู่แถวนี้แหละค่ะ”
“แน่ใจนะ คงไม่ได้ไปเตรียมการอะไรอยู่ใช่มั้ย?”
ศุภารมย์จ้องหน้าคาดคั้น กานดาหลบตาอย่างมีพิรุธ

ขณะที่ปรมัตถ์กำลังไล่สายด้วยความร้อนใจ ทันใดนั้นปกติก็เดินนำศักดิ์สิทธิ์มาที่หลังเวที เขารีบก้มหน้าขยับหมวกลงปิดหน้าเพื่อไม่ให้ศักดิ์สิทธิ์จำหน้าได้
“ช่างเสริมคุณปล่อยให้ไฟดับอยู่แบบนี้ไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยหรือไง?”
ปกติรีบบอก “นี่ไม่ใช่ช่างเสริมครับคุณหนู ช่างเสริมออกไปห้องคอนโทรลไฟแล้วครับ”
“แล้วคุณเป็นใคร?”
“อ๋อ เป็นช่างไฟสำรองที่มาควบคุมงานแทนช่างเสริมชั่วคราวครับคุณหนู”
ขาดคำศักดิ์สิทธิ์ก็รีบเดินไปที่ห้องคอนโทรล ปกติรีบเดินตาม ปรมัตถ์เงยหน้าขึ้นมองตาม พลางนึกเป็นห่วงลิลิน

ช่างเสริมเดินฉายไฟเข้าไปในห้องคอนโทรล ก่อนจะพบว่าคัทเอาท์ถูกสับลง
“ใครมันมือบอนสับคัทเอาท์ลงวะเนี่ย?”
พอสับคัทเอาท์ขึ้น ไฟกลับมาสว่างเหมือนเดิม แต่พอจะรีบออกมาจากห้อง ประตูกห้องลับถูกล็อก
“เฮ้ย ทำไมเปิดไม่ได้ ช่วยด้วยครับ มีคนติดอยู่ข้างในนี้ครับ”
ลิลินรีบเดินผละออกไปโดยไม่สนใจเสียงช่างเสริมที่ร้องขอความช่วยเหลืออยู่ด้านใน

ไฟที่ห้องซักรีดสว่างขึ้น วาสนาถอนหายใจโล่งอก พลางเก็บมือถือลงใส่กระเป๋า ก่อนจะเงยขึ้นมาเจอ
ยงยุทธที่ยืนอยู่ต่อหน้า
“ไอ้ยงยุทธ”

ทางด้านทิวัตถ์ที่ยืนอยู่รวมกลุ่มกับคนอื่นๆ เห็นวรรณิต ท่าทางดูหวาดกลัว พลางเหลียวมองซ้าย-ขวาอยู่ตลอด ก็ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“คุณณิตเป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ?”
“ยายค่ะ ยายหายไปไหนไม่รู้ ณิตเป็นห่วงยายค่ะ”
จังหวะนั้นตำรวจก็เข้ามาที่รายงานศัลย์
“รอบๆ บริเวณนี้ไม่มีอะไรผิดปกติครับ น่าจะเป็นแค่ไฟตกธรรมดามั้งครับ”
ศักดิ์สิทธิ์ขมวดคิ้ว “แปลกจริงๆ ที่นี่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องไฟตกมาก่อนเลยนะครับ”
ศัลย์ได้ยินก็นึกเอะใจ
“ห้องคอนโทรลอยู่ตรงไหน?”
ปกติรีบบอก “อยู่ชั้นใต้ดินปีกขวาครับ”
“พวกคุณอยู่ดูแลทางนี้ก่อน ผมจะลงไปดูห้องคอนโทรลเอง”
พูดจบศัลย์ ก็รีบวิ่งออกไป

วาสนาเห็นยงยุทธก็ตกใจสุดขีด
“ไอ้ยุทธ แก แกตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ยงยุทธยิ้มเหี้ยม
“ฉันไม่ตายง่ายๆ หรอก เพราะทำไมรู้มั้ย? เพราะฉันต้องฆ่าแกก่อน”
พูดพลางดึงมีดที่ซ่อนไว้ออกมา วาสนาตกใจ รีบหันหลังวิ่งหนีทันที

ปรมัตถ์กดเปิดโน้ตบุ้ครอโหลดเครื่องอยู่ ระหว่างนั้นก็ได้ยินพิธีกรในงานประกาศขึ้น
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา อีกสักครู่เชิญชมวิดีโอพรีเซนเทชั่นของคู่บ่าว-สาว ว่าแต่บ่าว-สาวมีอะไรอยากจะกล่าวก่อนมั้ยครับ?”
ปรมัตถ์พยายามกดเข้าโปรแกรมต่างๆ เพื่อให้ทันเวลา แววตาเคร่งเครียด

ศัลย์ที่เดินมาตามทาง พลางมองหาสิ่งผิดปกติโดยรอบ แต่ไม่พบอะไร ระหว่างนั้นตำรวจ 2 นายก็วิ่งเข้ามารายงาน
“รองครับ พบตัวผู้กำกับทรงเผ่าแล้วครับ แกเมาอาเจียนอยู่ในห้องน้ำน่ะครับ”
“ในห้องน้ำ? ถ้าอย่างนั้นไปจับตาดูเขาไว้ อย่าให้คลาดสายตา”
ตำรวจรับคำก่อนจะรีบวิ่งออกไป
“ถ้าไม่ใช่พี่เผ่าแล้วเป็นฝีมือใคร?”
จังหวะที่กำลังจะเดินกลับ ก็ได้ยินเสียงทุบประตูดังมาไกลๆ ศัลย์หันขวับกลับไปทันที
“ ช่วยด้วย ช่วยด้วย ไอ้บ้าเอ๊ย อย่าให้ออกไปได้นะเว้ย”
ศัลย์หันรีหันขวางก่อนจะหยิบถังดับเพลิงมากระทุ้งแม่กุญแจที่ลิลินล็อกเอาไว้จนหลุด จากนั้นก็รีบเปิดประตูออก ก่อนจะเห็นช่างเสริมเหงื่อแตกพลั่กอยู่ในห้อง
“แกเป็นใคร? ใครใช้แกมา”
“คือผมเป็นช่างไฟ ตอนไฟดับผมก็รีบเข้ามาสับคัทเอาท์แล้วดันออกไปไม่ได้ ใครมาล็อกประตูด้านนอกก็ไม่รู้”
“แล้วไฟดับเพราะอะไร?”
“สงสัยมีใครมือบอนมาสับคัทเอาท์ลงน่ะครับ”
ศัลย์ได้ยินอย่างนั้นก็ครุ่นคิดก่อนจะเอะใจ รีบผลุนผลันออกไปทันที

ปรมัตถ์คอยมองซ้ายมองขวา ขณะที่หน้าจอกำลังโหลดอยู่ใกล้จะเสร็จ ศัลย์ที่เดินเข้ามาหลังเวที แต่มองไปรอบๆ ไม่เห็นใครผิดสังเกต จึงออกไป
ที่แท้ปรมัตถ์ไหวตัวทัน รีบหลบอยู่มุมหนึ่ง ก่อนจะพ้นมุมออกมามองอย่างโล่งอก

ทางด้านยงยุทธก็รีบวิ่งเข้ามาจับตัววาสนาแล้วล็อกเอาไว้
“จะหนีไปไหน?”
วาสนากลัวจนลนลาน
“ไอ้ยุทธ แก แกวางมีดลงก่อนเถอะ แกอยากได้เงินไม่ใช่เหรอ? ถ้าแกฆ่าฉัน นอกจากจะไม่ได้เงิน แกยังต้องติดคุกอีกนะ”
“หุบปาก คิดว่าฉันจะเชื่อไอ้ปากเน่าของแกหรือไง รู้อะไรมั้ย พอฉันฆ่าแกเสร็จ ฉันก็จะเอาไอ้ความลับของนังปราง ไปขู่เอาเงินจากมัน ไง แกก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่าฉันหรอกเว้ย”
พูดพลางยกมีดจะแทงวาสนา แต่แล้วทันใดนั้นก็มีท่อนเหล็กจะฟาดเข้ามาที่หลัง แต่มันเอี้ยวตัวหลบทัน ก่อนที่จะศอกกลับไป จนนพกรหน้าหงาย จากนั้นก็ตบวาสนาจนล้มคว่ำลงไปกับพื้น ก่อนจะมองทั้งคู่อย่างสะใจ
“ไอ้นพกร รู้มั้ยว่าฉันตั้งตารออยากเจอแกแค่ไหน”
ขาดคำก็หันไปหยิบราวเหล็ก ที่หักออกเป็นชิ้นขึ้นมา พลางฟาดเข้าไปที่หน้าของนพกร จนสลบ วาสนารีบลุกขึ้นวิ่งหนีออกไป ยงยุทธรีบวิ่งตาม
วาสนาวิ่งมาหลบอยู่ภายในห้อง โดยใช้ผ้าปูที่นอนที่ตากไว้เป็นที่กำบังตัว ยงยุทธเหลือบไปเห็นเงาดำหลังผ้าขาวก็ยิ้ม พลางดึงผ้าออกพร้อมจะจ้วงแทง แต่แล้วก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าเป็นตะกร้าผ้า พอหันกลับมา วาสนาก็เอาถังดับเพลิงกระแทกไปที่หน้าเต็มๆ
วาสนารีบทิ้งถังก่อนจะรีบวิ่งหนีออกจากห้องไป ยงยุทธรีบวิ่งตามไปด้วยความแค้น

ทิวัตถ์กำลังยืนอยู่กับศุภารมย์ และทรงพล พอหันมาเห็นลิลินเดินออกมาจากมุมหนึ่ง ก็รีบปราดเข้าไปคว้าแขนไว้
“ฝีมือเธอใช่มั้ย?”
ลิลินตกใจ ก่อนจะแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฝีมืออะไร?”
“ก็ไอ้เรื่องไฟดับไง”
ลิลินแกล้งกวนใส่ “แหม ถ้าอย่างนั้นส้วมเต็มคงจะเป็นฝีมือฉันด้วยละซิ”
“ไม่ต้องมากวนฉัน บอกมาว่าเธอคิดจะทำอะไรกันแน่?”
“ก็ทำให้ทุกคนรู้ความจริงไง”
“ทำอะไร?”
ทิวัตถ์ตะคอกถาม พลางกระชากแขนลิลินด้วยความโกรธ ขณะที่ศุภารมย์จับตามองด้วยความสงสัย
ลิลินจ้องหน้าทิวัตถ์อย่างไม่เกรงกลัว
“เรื่องที่เกิดขึ้น ฉันเคยบอกคุณแล้ว ตอนนี้คุณโทษฉันไม่ได้ ฉันเคยจะให้นายดูสิ่งที่หมอศรัณย์ทำกับนายเอาไว้”
“โกหก”
ลิลินสวนกลับทันที
“โกหกหรือไม่? เดี๋ยวนายก็จะรู้ เหมือนกับคนอื่น ที่จะได้รู้ว่าพ่อฉันไม่ได้เป็นฆาตกร”
ทิวัตถ์สงสัยในคำพูดของลิลิน ก่อนที่ไฟในห้องจัดเลี้ยงจะค่อยๆ เฟดลง
พิธีกรหันไปมองด้านหลังเวที เห็นปรมัตถ์ส่งสัญญาณว่าพร้อมแล้ว
“เอาล่ะครับ แล้วตอนนี้ก็มาถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย”
ปรมัตถ์กำลังจะกดปุ่มเดินเครื่อง ทิวัตถ์หันมองไปที่เวทีเหมือนรู้ว่าลิลินกำลังจะเปิดอะไร ฝ่ายลิลินก็กำลังรอความจริงที่กำลังจะเปิดเผยให้ทุกคนได้ดู
ทันใดนั้นเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นจนคนตื่นตกใจ ลิลินหันไปก็เห็นวาสนาวิ่งเข้ามาทางด้านหลังด้วยสภาพกระเซอะกระเซิง เลือดกลบปาก
ปรมัตถ์เองก็ตกใจจนเสียจังหวะไม่ทันได้กดปุ่ม ยงยุทธวิ่งตามวาสนาเข้ามาติดๆ พร้อมกับมีดในมือ ก่อนจะดึงอีกฝ่ายแล้วล็อกคอเอาไว้
วรรณิตตกใจ ขณะที่ยงยุทธล็อกวาสนาเอาไว้แน่น
“ไง ดีใจมั้ยที่งานแต่งนังปราง จะกลายเป็นงานศพแก”
ขาดคำ เสียงศัลย์ก็ตะโกนสั่ง “วางมีดลงเดี๋ยวนี้”
พร้อมกับที่ตำรวจกรูกันเข้ามา ก่อนจะเล็งปืนมาที่ยงยุทธ วาสนากลัวความลับของวรรณิตจะแตก รีบหันไปตีหน้าซื่อใส่
“เอางี้มั้ย? ฉันจะช่วยแก แกคิดว่าตำรวจเขาจะกลัวคนที่ถือแค่มีดหรือไง นี่ ในกระเป๋าฉันมีปืน”
พูดพลางเปิดกระเป๋าออก ยงยุทธมองไปก็เห็นปืนอยู่ในกระเป๋าจริงๆ
“แกเอามาจี้ฉัน แล้วก็จับฉันเป็นตัวประกันแล้วค่อยหนีออกไปทางด้านหลัง”
ยงยุทธยังไม่ค่อยวางใจ “แกช่วยฉันทำไม?”
“ยังไงเราก็เป็นญาติกัน”
ยงยุทธยิ้มร้ายก่อนจะโยนมีดออกไป ก่อนจะล้วงเอาปืนในกระเป๋าของวาสนาขึ้นมา
“แต่ฉันไม่นับญาติกับแกเว้ย”
ขาดคำ วาสนาก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
พลางเอากระเป๋าตีหน้า จนยงยุทธเสียจังหวะ ก่อนที่จะอาศัยจังหวะนั้นวิ่งหนีออกมา ยงยุทธรีบวาดปืนขึ้นเล็งที่วาสนา ทุกคนมองเหตุการณ์ด้วยความตกใจ
“ยิง”
ศัลย์สั่งการเสียงเข้ม ทันใดนั้นเสียงปืนระดมยิงใส่ยงยุทธไม่ยั้ง บังเอิญกระสุนนัดหนึ่งวิ่งไปโดนโน้ตบุ๊คของปรมัตถ์ ที่หันมองด้วยความตกใจ
ทางด้านยงยุทธก็เหนี่ยวไกไปที่วาสนา แต่แล้วก็ต้องเจ็บใจเมื่อพบว่าเป็นปืนไฟแช็ค
“อีแก่”
ทันทีที่เสียงปืนสงบลง ยงยุทธนิ่งไปก่อนจะล้มลง คนในงานแตกฮือ วรรณิตที่เห็นว่ายงยุทธถูกยิงก็ช็อกตาค้าง ศัลย์หันมองอย่างสงสัย

ลิลินมองเหตุการณ์ทุกอย่างที่พลิกผันอย่างไม่คาดคิด

ตำรวจกำลังวุ่นกับการเก็บหลักฐานลายนิ้วมือของยงยุทธ ทางด้านทิวัตถ์ อนันยช ศุภารมย์ และทรงพล ก็ยืนส่งแขกกลุ่มสุดท้าย ก่อนที่จะกลับเข้ามายืนรวมกับศักดิ์สิทธิ์ ศัลย์ วรรณิต วาสนา และปกติ ซึ่งยืนออกันอยู่ที่ด้านข้างเวที

ศักดิ์สิทธิ์กุมขมับ หน้าเครียดก่อนจะหันมาตอบศัลย์
“ก็ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
“แล้วทำไมผู้ตายถึงใส่ชุดพนักงานของคุณ?”
“ผู้ตายใส่ชุดพนักงานของผมจริง แต่พนักงานของผมก็มีตั้งหลายคน ผมจะจำหมดได้ไง?”
ปกติรีบเสนอว่าจะไปตรวจสอบข้อมูลจากฝ่ายบุคคลให้ วิชนีเหลือบมองอย่างเป็นห่วงและรู้สึกผิดเพราะคิดว่าเหตุเกิดเพราะคำพูดของตัวเอง ทิวัตถ์ที่เห็นศักดิ์สิทธิ์เครียดก็เข้ามาปลอบใจ
“ไอ้สิทธิ์ฉันว่าแกใจเย็นก่อนเถอะว่ะ มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
ศัลย์รีบพูดเสริม
“ใช่ครับ เราก็แค่สอบปากคำตามขั้นตอนและตรวจหลักฐานที่เราพบเบื้องต้น”
“ครับ ยังไงก็ฝากเพื่อนผมด้วยนะครับ”
ศัลย์พยักหน้ารีบ ก่อนที่ทิวัตถ์จะเดินออกไป
วรรณิตที่นั่งใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รีบหันมาบอกกับอนันยช
“คุณวันคะ คืนนี้ณิตขอกลับไปนอนกับยายนะคะ”
“ณิตล้อผมเล่นใช่มั้ย? มีที่ไหนกันคืนส่งตัวเจ้าสาวเจ้าบ่าวแยกบ้านนอนกัน ไม่รู้ล่ะ ยังไงผมก็ไม่ยอมจริงๆ ด้วย”
วรรณิตหน้าเครียด วาสนาที่นั่งมองอยู่ รีบช่วยพูด
“เอาน่าพ่อวัน เห็นคนตายต่อหน้าต่อตาในงานตัวเอง เป็นยายก็ขอกลับไปนอนบ้านเหมือนกันแหละจ้ะพ่อวันก็รู้ว่าไอ้ยุทธมันเคยติดพันแม่ณิตอยู่ ขืนปล่อยให้ไปอยู่บ้านพ่อวัน ยายกลัวว่าแม่ณิตจะหลุดปากพูดอะไร เดี๋ยวจะพาซวยกันหมด เอาเป็นว่าให้แม่ณิตไปนอนกับยายก่อน ยายจะจัดการเตี๊ยมแม่ณิตเอง แล้วพรุ่งนี้จะรีบไปส่งให้แต่เช้า ตกลงมั้ย?”
ศุภารมย์มองวาสนากับอนันยชซุบซิบกันอย่างสงสัย
“ป้ากับวันมีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เอ่อ เปล่าครับ ผมแค่เป็นห่วงยายน้อยน่ะครับ ที่โดนจี้ เมื่อกี๊คงตกใจไม่น้อย”
วาสนารีบพูด
“น่ารักจริงหลานยาย พ่อพลกับแม่ต่ายก็รู้นี่ว่าฉันเป็นโรคหัวใจ ใจคอยังไม่ค่อยดีเลย นี่ก็ไม่รู้ว่า
หัวใจเต้นผิดจังหวะอีกหรือเปล่า ฉันเลยกะว่าจะขอให้ยัยณิต กลับไปนอนเป็นเพื่อนฉันสักคืน พ่อพลกับแม่ต่ายคงไม่ติดอะไรใช่มั้ย?”
“เรื่องนี้คงต้องถามวันเองนะคะ”
อนันยชฝืนยิ้ม
“ไม่เป็นไรครับ ผมห่วงความรู้สึกณิตมากกว่า ถึงกลับไปกับผม ณิตก็คงนอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงยายน้อยอยู่ดี ยังไงซะพรุ่งนี้ยายน้อยก็ต้องพาณิตมาส่ง”
วรรณิตหันมาขอบคุณ ขณะที่ศุภารมย์เหลือบมอง ก็เห็นอนันยชทำหน้าตาไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยอมทำตามใจวรรณิต

ลิลินมองซ้ายมองขวา เห็นตำรวจต่างก็กำลังวุ่นวายกันอยู่ จึงค่อยๆ จะเดินเข้าไปเก็บโน้ตบุ๊ค
แต่ตำรวจหันมาเห็นก่อน
“เข้าไม่ได้นะครับคุณ”
“ฉันแค่จะเข้ามาเอาของเองค่ะคุณตำรวจ”
ตำรวจถามต่อ “ของอะไรครับ?”
“โน้ตบุ๊คค่ะ”
“คงไม่ได้ครับ เพราะต้องนำกลับไปตรวจแนววิถีกระสุนก่อน”
ลิลินตกใจแต่เก็บอาการไว้ ก่อนจะคิดหาทางคุยกับตำรวจ
“งั้น ขอแค่เอาแผ่นซีดีที่อยู่ในเครื่องได้มั้ยคะ คือฉันต้องใช้ร้องเพลงน่ะค่ะ”
“ไม่ได้ครับ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องต้องใช้ในการสอบสวนครับ”
ลิลินอ้าปากจะพูดต่อ แต่ปรมัตถ์รีบเดินเข้ามา ก่อนจะแกล้งพูดเพื่อไม่ให้ตำรวจสงสัย
“ไม่เป็นไรน่ะลิน เดี๋ยวมัตไรท์แผ่นให้ใหม่ ขอบคุณนะครับ”
พอตำรวจเดินออกไป ลิลินรีบหันไปคุยกับปรมัตถ์อย่างหงุดหงิด
“มัต แต่นั่นเป็นอาวุธสุดท้ายของเราแล้วนะ”
“มัตรู้ แต่ยิ่งลินทำอย่างนี้ ตำรวจยิ่งสงสัยนะลิน ไว้เราค่อยหาทางใหม่ดีกว่านะลิน”
ลิลินได้แต่มองตามโน้ตบุ๊คที่ตำรวจเก็บใส่กล่องยกออกไปอย่างผิดหวัง

“ป้าๆ จริงหรือเปล่าที่เขาลือกันว่าที่มีคนตายในงานแต่งคุณวันเพราะ ผะ...ผะผีคุณต้อย”
จู่ๆ สลวยก็หันมาถามป้าจวนขณะที่ทั้งหมดกำลังช่วยกันเด็ดผักอยู่ในครัว เม็ดนุ่นกับยอดรีบถอยกรูดเข้ามาเบียดป้าจวน ฝ่ายหลังได้ทีแกล้งพูดแหย่
“พวกเอ็งระวังคอกันไว้ให้ดีล่ะ คืนนี้คุณต้อยอาจจะมาเอาพวกเอ็งไปคอยรับใช้ก็ได้”
ขาดคำ ก็มีเสียงของตกดังขึ้นมา ทั้งหมดสะดุ้งโหยง ก่อนจะหันไปเห็นนพกรที่เปิดตู้เย็นแล้วทำกล่องพลาสติกหล่นออกมา จากนั้นก็ก้มเก็บใส่ไว้เหมือนเดิม พร้อมกับหยิบห่อขนมปังออกมากินอย่างไม่สนใจใคร พลาง
จับคอที่ปวดอยู่
ป้าจวนมองอย่างสงสัย “นั่นคอแกไปโดนอะไรมา?”
นพกรกลอกตาไปมาคิดคำโกหก “นอนตกหมอน”
“แต่ฉันว่าแกเหมือนไปฟัดกับใครมาเลยนะ”
นพกรทำเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อน
“บอกว่านอนตกหมอนแล้วยังมาถามอะไรนักหนา”
พูดจบก็เดินหนีออกไป ป้าจวนมองตามอย่างไม่ไว้วางใจ

ทรงพลกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวการตายของยงยุทธ
“ดับชายหนุ่มนิรนามกลางงานวิวาห์ลูกชายเศรษฐีใหญ่”
ก่อนจะฟาดหนังสือพิมพ์ลงที่โต๊ะอย่างไม่พอใจ ศุภารมย์กับอนันยชที่นั่งอยู่ ถึงกับตกใจ
“เรื่องใหญ่แบบนี้ปล่อยให้หลุดเป็นข่าวไปได้ยังไง คุณให้ใครโทรไปเคลียร์กับนักข่าวหรือยัง?”
“เรียบร้อยค่ะ เห็นว่าเป็นนักข่าวใหม่ คงยังไม่รู้อะไร”
ทิวัตถ์ที่เพิ่งลงมา เห็นทุกคนเป็นกังวล ก็รีบบอก
“ไม่นานเดี๋ยวคนก็คงลืมกันแหละครับ คุณพ่อกับแม่ต่ายอย่าใส่ใจเลย แกด้วยนะวัน”
“ขอบใจมากไอ้วิน แต่ถ้าลองมีคนมาตายในงานแต่งนาย คงทำใจยากหน่อยว่ะ”
ครู่หนึ่งป้าจวนก็เดินนำหน้าศัลย์เข้ามา ทรงพลรีบเข้าประเด็น
“ได้เรื่องมั้ย ตกลงผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?”
“ผู้ตายชื่อนายยงยุทธเป็นคนอำเภอบ่อทองจังหวัดจันทบุรี”
ศุภารมย์ได้ยินอย่างนั้นก็นึกแปลกใจ
“บ้านบ่อทอง? คนบ้านเดียวกับป้าน้อย”
“ถ้าเป็นคนบ้านเดียวกับคุณวาสนา แล้วมีใครเคยรู้จักกับผู้ตายมาก่อนมั้ยครับ?”
ทุกคนส่ายหน้า มีเพียงอนันยชที่พยักหน้ารับคนเดียว
“แต่ผมไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวนะครับ ผมรู้จักเพราะผู้ตายเคยมาติดพันคุณณิต และผมก็เคยต่อยมันด้วย”
ทุกคนที่ได้ยินก็แปลกใจ
“แล้ววันไปมีเรื่องกับเขาเมื่อไหร่? ทำไมไม่เห็นเล่าให้แม่ฟังเลย”
“โธ่แม่ครับ ผมเป็นลูกผู้ชายนะครับแม่”
ศัลย์หันมาพูดเตือน
“อย่าหาว่าผมสอนเลยนะครับคุณวัน ถ้าไม่อยากเข้าไปมีส่วนพัวพันกับคดี คราวหน้านอกจากผมที่เป็นตำรวจมาถาม คุณวันควรตอบว่าไม่รู้ไม่เห็นอย่างเดียว”
อนันยชพยัหน้ารับอย่างเซ็งๆ พร้อมกับที่ทิวัตถ์ตั้งคำถามต่อ
“รองฯ ครับ แล้วจะเป็นไปได้มั้ยครับว่ามีคนบงการให้ผู้ตายมาป่วนในงานของวันหรือไม่ก็อาจจะเป็นคนใน”
“มีโอกาสเป็นไปได้ทุกอย่างครับ คุณวินสงสัยใครเป็นเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ?”
ทิวัตถ์เห็นภาพลิลินผุดมาในหัว แต่ก็รีบพูดปฏิเสธ
“อ๋อ ไม่หรอกครับ ผมแค่ลองถามดู”
“แต่ไอ้กุ๊ยนั่นก็แค่นักเลงที่มาติดคุณณิตเอง ไม่เห็นมีอะไรต้องกังวลเลยนี่ครับ”
ศุภารมย์รีบหันมาดุอนันยชที่ยังซักไซร้
“วัน ทำตามที่รองฯ ศัลย์บอกเถอะ แม่ไม่อยากให้เรื่องมันยุ่งยาก”
ทิวัตถ์ได้ยินก็อึ้งไป
“แค่เรามีคนสนิทเป็นตำรวจ เราก็บิดเบือนความจริงได้เลยเหรอ ฟังดูง่ายดีนะครับ”
ทรงพลหันขวับมาทันที “วิน”
“ผมแค่แปลกใจว่ามันจบง่ายขนาดนี้เลยเหรอก็เท่านั้นเอง”
ศุภารมย์เห็นท่าไม่ดีรีบขัดขึ้น
“วิน ลูกต้องไปหาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เหรอ?”

ทิวัตถ์กับอนันยช รีบยกมือไหว้ศัลย์ก่อนจะเดินแยกกันออกไป ศุภารมย์มองตามอย่างกังวลใจ

“นี่ดีนะคะที่รองฯ เป็นคนสอบปากคำเอง ถ้าวันขืนหลุดปากพูดแบบนี้กับตำรวจคนอื่น มีหวังเรื่องคงไม่จบง่ายๆ แน่” ศุภารมย์หันมาบอก ขณะเดินออกมาส่งศัลย์ที่หน้าประตูพร้อมกับทรงพล

ทิวัตถ์ที่กำลังเดินอยู่ในสวน ได้ยินเข้าก็แอบหยุดฟัง
ทรงพลถามต่ออย่างร้อนใจ “แล้วเรื่องกระสุนล่ะ รู้ตัวคนส่งมาหรือยัง?”
“ครับ ตอนนี้เหลือผู้ต้องสงสัยแค่ 2 คน ผู้กำกับทรงเผ่าหรือหมอศรัณย์”
ศุภารมย์ครุ่นคิด
“ถ้าเป็นผู้กำกับก็ไม่แน่ แต่หมอศรัณย์ ฉันคิดว่าไม่น่าใช่”
“อย่าเพิ่งด่วนสรุปดีกว่าครับ ยังไงทั้งสองคนต่างก็รู้ความลับในอดีตทั้งคู่”
ทิวัตถ์ขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าความลับอะไร? ทรงพลกับศุภารมย์ต่างชะงักไปเมื่อศัลย์พูดถึงอดีต
“ถ้าผมรู้ตัวคนทำจะให้ผมจัดการเลยมั้ย?”
ศุภารมย์รีบบอก “จะทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าให้มันรุนแรงล่ะกัน”
“เพราะคุณต่ายใจอ่อนอย่างนี้ เลยทำให้พวกมันกลับมาขู่เอาได้”
ศุภารมย์สวนกลับทันที
“รองฯ เป็นห่วงพวกเราหรือเป็นห่วงตัวเองกันแน่คะ?”
ศัลย์นิ่งไป ทิวัตถ์ได้ยินก็ยิ่งสงสัย ก่อนจะนึกย้อนกลับไปถึงคำพูดของลิลิน ที่พยายามบอกกับเขาว่าทรงพลกับศุภารมย์ปิดบังความจริงบางอย่างอยู่

ลิลินเดินออกมาจากห้องอาหาร พอทิวัตถ์ที่กำลังเดินมา เธอก็รีบกลับหลังหันเดินหนี แต่กลับถูกอีกฝ่ายเข้ามาคว้าแขนไว้
“จะหนีไปไหนล่ะ?”
“ฉันไม่ได้หนี แค่ไม่อยากเสวนากับคุณ”
“ถ้าเมื่อคืนไม่เกิดเรื่องขึ้นก่อน ไอ้แผนชั่วๆ ของคุณคงสำเร็จแล้วใช่มั้ย?”
ลิลินสะบัดแขนออกจากมือทิวัตถ์
“ฉันไม่ได้ทำชั่ว ฉันแค่จะเอาความชั่วของครอบครัวคุณประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ พ่อฉันบริสุทธิ์
พ่อฉันไม่ได้ทำอย่างที่ครอบครัวคุณใส่ร้าย”
“แล้วทำไมคุณถึงได้เชื่อนักล่ะว่าพ่อคุณไม่ได้เป็นคนทำ”
แววตาของลิลินเปลี่ยนจากดุดันเป็นอ่อนโยนลงทันทีที่นึกถึงพ่อ
“พ่อป้องเป็นคนใจดี แม้แต่ตีฉัน พ่อยังไม่เคย”
ทิวัตถ์ยิ้มเยาะ “แค่ไม่ตีลูกจะเอามาบอกว่าพ่อเป็นคนดี มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอคุณ”
ลิลินได้ยิน ก็ยิ่งโมโห
“ครอบครัวใครใครก็รัก ทำไม? หรือว่าพ่อแม่คุณวิเศษกว่าคนอื่นนักหรือไง ถึงได้เที่ยวดูถูกใส่ร้ายครอบครัวคนอื่น ฉันหลงคิดว่าคุณจะแตกต่าง แต่ที่ไหนได้ คุณมันก็เหมือนพ่อแม่ของคุณนั่นแหละ”
ขาดคำ ลิลินก็เดินหนีออกไป ทิวัตถ์มองตามด้วยความโมโห ก่อนจะรีบเดินตามไปคว้าตัวไว้ จังหวะเดียวกับที่ปรมัตถ์เดินเข้ามาพอดี
“ปล่อย”
ทิวัตถ์ไม่สนใจปรมัตถ์ กลับตะคอกถามลิลิน
“เท่าไหร่?”
“อะไรเท่าไหร่?”
ปรมัตถ์มองอย่างไม่พอใจ “ที่คุณถามหมายความว่าอะไร? คุณพูดให้ดีนะ”
“เท่าไหร่ ที่จะให้หยุดแผนชั่วๆ ในหัวคุณไง”
ขาดคำหมัดรุ่นๆ ของปรมัตถ์ ก็ซัดเข้าที่ปากของทิวัตถ์จังๆ ลิลินต้องรีบห้าม ก่อนจะหันมามองทิวัตถ์อย่างผิดหวัง
“ฉันบอกแล้วว่าคุณก็เหมือนพ่อแม่ของคุณ ปกป้องครอบครัวตัวเองโดยไม่สนใจว่ามันจะไปทำร้ายครอบครัวคนอื่น หัดยอมรับความจริงซะบ้าง ไม่ใช่คอยปิดบังความชั่วแล้วให้คนอื่นมารับผิดแทน จนพ่อฉันต้องตายในคุก”
พูดจบลิลินก็เดินออกไป ทิวัตถ์ทั้งอึ้ง ทั้งโมโห
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ผมบอกให้คุณหยุด”
ลิลินหยุดเดินก่อนจะหันมามองจ้องอย่างเอาเรื่อง
“พ่อฉันตาย ฉันต่างหากที่ควรจะเป็นคนโมโห ไม่ใช่คุณ”
“หรือผมควรจะยิ้มดีใจที่มีคนคอยจ้องใส่ร้ายคนในบ้านผม”
ลิลินยิ้มเยาะ
“เหรอคะ? แต่ฉันว่าที่คุณโมโหเนี่ยเพราะกลัวที่จะรู้ความจริงแล้วจะรับมันไม่ได้ต่างหาก ไปเถอะมัต”
ลิลินเดินออกไปพร้อมกับปรมัตถ์ ทิ้งให้ทิวัตถ์นิ่งอึ้ง และสับสน

ลิลินนั่งลง พลางถอนหายใจสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนที่ปรัมตถ์จะถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“แล้วลินจะเอายังไงต่อ?”
“เมมโมรี่การ์ดก็ดันติดอยู่ในโน้ตบุ๊คที่ตำรวจยึดไป มัตพอจะรู้มั้ยว่าจะได้คืนเมื่อไหร่?”
“ก็คงต้องรอจนกว่าจะสอบสวนเสร็จ”
ลิลินครุ่นคิดอย่างหนัก จู่ๆ ปรมัตถ์ก็นึกขึ้นมาได้
“แต่ที่คลีนิกของหมอศรัณย์ก็น่าจะยังมีข้อมูลสำรองอยู่นะลิน”
“ข้อมูลสำรองเหรอ?”
ลิลินเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

ทางด้านศัลย์กำลังนั่งดูแฟ้มอยู่ที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะเอื้อมมือดึงลิ้นชักออกแล้วหยิบซองที่ใส่กระสุน
ออกมา พลางหยิบกระสุนมาพลิกดู แล้วก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ปลอกกระสุน เขาเพ่งมองแล้วก็นึกบางอย่างขึ้นได้ ก่อนจะยิ้มมุมปากออกมา

ฝ่ายทรงเผ่าก็ไปดักรอศรัณย์ที่โรงแรมที่อีกฝ่ายพัก
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นละหมอ? ไม่ดีใจเหรอที่ได้เจอเพื่อนร่วมงานเก่า”
ศรัณย์พยายามทำหน้าปกติ “ไม่คิดว่าผู้กำกับจะรู้ว่าผมพักที่นี่ ผู้กำกับมาหาผมที่นี่มีอะไรหรือเปล่า?”
ทรงเผ่ายิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็ที่ผมบอกไงว่าผมจะขอเลี้ยงกาแฟคุณหมอสักแก้ว”
ศรัณย์รีไม่สนใจ รีบขอตัวจะเดินเลี่ยงไป แต่อีกฝ่ายกลับพูดสวนขึ้นมาก่อน
“จะรีบทิ้งเงินล้านเลยเหรอหมอ?”
จากนั้นทั้งคู่ก็มานั่งคุยกันต่อในค็อกเทลเลาจ์ของโรงแรม
“ผู้กำกับมีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่าครับ”
ศรัณย์นั่งนิ่งมองทรงเผ่าอย่างหยั่งเชิง
“ไอ้ผมก็เห็นว่าเราต่างก็ทำงานให้ครอบครัวคุณพลกับคุณต่ายเหมือนกัน”
“สำหรับผู้กำกับคงแค่เคยทำ”
ศรัณย์ขัดขึ้น ทรงเผ่าถึงกับชะงัก
“อ๋อใช่ งั้นหมอก็ดูผมไว้เป็นตัวอย่างล่ะกัน คิดดูสินี่เราจงรักภักดีให้พวกนั้นขนาดไหน แล้วดูสิ่งที่มันตอบแทนพวกเรา”
“ไม่นี่ครับ ตอนนี้ผมก็สบายดี”
“แล้วไม่อยากสบายกว่านี้เหรอ? ในเมื่อผมก็มีความลับของคนบ้านนั้น หมอก็ต้องมีความลับของคนบ้านนั้นเหมือนกัน และดูจะไม่น้อยซะด้วย ทำไมเราไม่วางแผนอะไรร่วมกัน เผื่อจะได้ค่าขนมมาซักสิบยี่สิบล้าน”
ศรัณย์ส่ายหน้า
“ผู้กำกับคงจะหลังพิงฝาแล้วถึงต้องทำอย่างนี้ ถ้าผู้กำกับจะลงนรกก็เชิญไปคนเดียวเถอะ อย่าลากผมไปด้วยเลย ขอตัว”
ขาดคำก็ลุกเดินออกไปทันที ทรงเผ่ามองตามอย่างเจ็บใจ ขณะที่ศัลย์แอบยืนดูอยู่ที่มุมหนึ่ง ก่อนที่จะเดินออกมาดักหน้าทรงเผ่า ขณะที่อีกฝ่ายเดินออกมาที่หน้าโรงแรม
“สวัสดีครับ ผมคงไม่รบกวนเวลาคุยธุรกิจของพี่ใช่มั้ย?”
ทรงเผ่าหัวเราะขำ
“แหม เข้าใจพูดเล่นนะ ธุรกงธุรกิจอะไร ฉันแค่มาหากาแฟดื่ม”
“แล้วก็หาคนนั่งคุยเป็นเพื่อนอย่างหมอศรัณย์ด้วยหรือเปล่า? พี่จะซีเรียสทำไม ผมก็แค่เดาเล่น ก็เห็นว่าหมอศรัณย์ก็พักอยู่ที่นี่”
ทรงเผ่ารู้สึกกำลังถูกศัลย์ไล่บี้ ก็เปลี่ยนท่าที
“ทำไม วันนี้เจ้านายแกใจดี ยอมถอดโซ่ให้หรือไง?”
“ผมแค่มีอะไรอยากให้พี่ช่วยดูหน่อย”
พูดพลางล้วงเอากระสุน.357 ส่งให้ดู ทรงเผ่าเห็นก็ทำเป็นไม่สนใจ
“กระสุน .357 อย่าบอกนะว่าแค่นี้แกก็ไม่รู้จัก”
“รู้ และรู้ด้วยว่าพี่เป็นคนส่งไปให้ครอบครัวคุณทรงพล”
ทรงเผ่ารีบพูดกลบเกลื่อน
“ใครบอกแก คนอย่างฉันนี่นะฉันจะส่งไปทำไม? ในเมื่อเราก็ยืนอยู่ข้างเดียวกัน”
“แต่คนที่จะใช้ .357 ในจังหวัดนี้มีอยู่ไม่กี่คน”
ทรงเผ่าพยายามเก็บอาการ
“แล้วทำไมแกถึงคิดว่าเป็นฉัน เจอลายนิ้วมือรึไง?”
“ก็เพราะไม่เจอไงครับ เพราะคนที่ลบลายนิ้วมือจะต้องเป็นคนที่มีความรู้เรื่องพวกนี้ดี ซึ่งก็น่าจะเป็นคนในวงการตำรวจ”
ทรงเผ่าก็หัวเราะดังลั่น พร้อมกับปรบมือ
“เก่ง เก่งขึ้นเยอะนี่แก”
“ไม่ว่าพี่จะคิดจะทำอะไรอยู่ผมขอให้อย่าทำอีก พี่อย่าทุบหม้อข้าวตัวเองเลย”
ทรงเผ่าโวยขึ้นมาทันที
“ตอนนี้แกอยู่ดีมีสุขก็พูดได้นี่ ต่อให้ทำดีแค่ไหนกับคนที่ไม่รู้จักบุญคุณ ถ้าฉันไม่ช่วยเรื่องคดี พวกมันจะมีวันนี้มั้ย? และแกอย่ามาสั่งให้ฉันหยุด”
“ถ้าผมทำอะไรรุนแรง พี่ก็อย่าโทษผมก็แล้วกัน”
ทรงเผ่าสวนกลับอย่างไม่กลัวเกรง
“คิดว่าฉันจะกลัวคำขู่ของไอ้เด็กเมื่อวานซืนอย่างแกหรือไง ก็ลองดูสิ ถ้าฉันเป็นอะไร รับรองว่าคนทั้งประเทศก็จะได้รู้ในสิ่งที่พวกแกเคยทำไว้เมื่อ 15 ปีก่อนแน่”
พูดพลางยิ้มเยาะก่อนเดินออกไป

ขณะที่ทรงพลกับศุภารมย์นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก ครู่หนึ่งอนันยชก็เดินคุยมือถือเข้ามา ก่อนจะรีบกดวางสาย พร้อมกับบอกว่ากำลังโทร.ไปเลื่อนทางบริษัททัวร์ เพื่อจะไปฮันนมูนเร็วขึ้น
ศุภารมย์หันมามองเขม่น
“แม่ไม่รู้ว่าวันความจำสั้นหรือไม่ใส่ใจ เมื่อคืนเพิ่งมีคนตายในงานแต่งงานเรานะ”
“จะวอรี่ไปทำไมล่ะครับแม่ คนเพิ่งแต่งงานก็ต้องอยากไปฮันนีมูนเป็นธรรมดานี่ครับ”

จังหวะนั้นเสียงโวยวายของวาสนาก็ดังเข้ามา ศุภารมย์แค่ได้ยินเสียงก็เซ็งขึ้นมาทันที

อนันยชเดินนำป้าจวน เม็ดนุ่น สลวย ยอด ไปช่วยขนกระเป๋าของวรรณิตเข้าบ้าน พร้อมๆ กับที่ทรงพลกับศุภารมย์เดินออกมาต้อนรับ

“พ่อพลแม่ต่ายอยู่นี่นี่เอง ฉันพาลูกสะใภ้มาส่งจ้ะ”
“แล้วทำไมไม่เข้าบ้านกันก่อนล่ะครับ”
วาสนาพลิกดูนาฬิกาข้อมือ
“ต้องรอฤกษ์เข้าบ้านก่อน นี่ก็ใกล้แล้วล่ะ เก้า แปด เจ็ด หก ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง”
สิ้นคำว่าหนึ่ง วาสนาก็จูงวรรณิตเดินเข้าบ้านข้ามผ่านธรณีประตู อนันยชอมยิ้ม
“ยายน้อยก็ถือฤกษ์ถือยามกับเขาด้วยเหรอครับเนี่ย”
“นี่ยายได้ฤกษ์เข้าบ้านจากหมอดูชื่อดังที่กรุงเทพฯเลยนะพ่อวัน จะได้อยู่กันยืดๆ อย่างพ่อพลกับแม่
ต่ายของเราไงล่ะ”
จากนั้นก็ปรายตามาทางกลุ่มของป้าจวน กับบรรดาคนรับใช้
“นี่พวกหล่อน ต่อไปนี้ให้เรียกหลานฉันว่าคุณผู้หญิงนะรู้มั้ย?”
ทุกคนชะงักมองหน้ากัน ป้าจวนรีบแย้ง
“คงไม่ได้หรอกมั้งคะ เพราะบ้านนี้มีคุณผู้หญิงแค่คนเดียว”
วาสนามองค้อนอย่างขัดใจ จังหวะนั้นเสียงศรัณย์ก็ดังขึ้น
“คุณพล คุณต่ายสวัสดีครับ”
พูดพลางหันมองหน้าวรรณิตอีกครั้ง วาสนาเห็นก็ถึงกับสะอึก นึกถึงเรื่องเมื่อคืน ก่อนจะบ่นกับตัวเองเบาๆ
“เวลาตั้งเยอะตั้งแยะไม่มา”
ศรัณย์เหลือบสายตามองวาสนา เหมือนไม่สะดวกใจที่จะคุย ศุภารมย์สังเกตเห็นจึงพูดขึ้น
“งั้นเชิญคุณหมอไปคุยกันด้านโน้นดีกว่านะคะ”
จากนั้นก็เดินนำทรงพล และศรัณย์ไปยืนคุยที่มุมหนึ่ง วรรณิตรีบหันมากระซิบถามวาสนา
“ยาย คุณหมอมาคุยเรื่องอะไรยายรู้มั้ย? หรือว่าเขาจะรู้ความจริงแล้ว”
วาสนามองตามศรัณย์ด้วยแววตาร้าย ก่อนที่จะเดินเข้าไปหานพกร ขณะที่อีกฝ่ายนั่งกินข้าวตามลำพังอยู่ในครัว
“วันนี้แกลางานซะ ฉันมีงานให้แกทำ”

ทางด้านลิลินก็นั่งคุยอยู่กับปรมัตถ์ที่ริมสระน้ำในโรงแรม
“แล้วเราจะไปเอาข้อมูลสำรองที่คลีนิกหมอศรัณย์ได้ยังไงล่ะมัต”
“เดี๋ยวมัตลองหาทางดูก่อนนะลิน แต่ตอนนี้มัตห่วงอีกเรื่องมากกว่า มัตกลัวว่าคุณวินจะเอาเรื่องที่ลินเป็นลูกใครไปบอกพ่อแม่เขาน่ะสิ”
ลิลินส่ายหน้า
“ไม่หรอก เพราะถ้าคุณวินจะบอก ก็คงบอกไปนานแล้ว แล้วลินหวังลึกๆ ว่าเขาอาจจะเชื่อในสิ่งที่ลิน
บอกอยู่บ้าง”
ปรมัตถ์สังเกตเห็นบางอย่างในแววตาของลิลิน ทุกครั้งที่พูดถึงทิวัตถ์
“ดูลินเข้าใจเค้าจังนะ”
“ลินแค่คิดว่า ครอบครัวใครใครก็รัก”
แววตาลิลินดูซึมไปเมื่อพูดถึงครอบครัว
“ลินพูดเหมือนจะให้อภัยคนพวกนั้น มัตขอโทษ ยิ่งมัตร่วมมือกับลินมากเท่าไหร่ มัตก็ได้เห็นความสกปรกของคนพวกนั้นมากยิ่งขึ้น แต่ยังไงลินก็ต้องเข้มแข็งไว้นะ”
“แล้วมัตจะกลับกรุงเทพเมื่อไหร่?”
“เย็นนี้แหละ”
ลิลินขมวดคิ้วสงสัย
“ทำไมรีบกลับล่ะ ไหนว่าจะอยู่ต่ออีก 2-3 วัน”
“กลับตอนนี้แหละดี เพราะตอนนี้หมอศรัณย์ยังอยู่ที่นี่ ถ้าจะต้องทำอะไรก็ต้องรีบทำซะตอนนี้
มัตจะต้องหาหลักฐานเอาคนพวกนั้นเข้าคุกให้ได้”

พอแยกกับปรมัตถ์ ลิลินก็เดินมานั่งคุยกับวิชนีที่กำลังนั่งทำหน้าเซ็ง ก่อนที่ปกติจะวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณลิน คุณนี ช่วย ช่วยคุณหนูด้วย”
ลิลินกับวิชนีถึงกับตกใจ

ปกติวิ่งนำทั้งคู่มา ก่อนที่จะชี้ไปบนดาดฟ้าของโรงแรม พอเห็นศักดิ์สิทธิ์เดินออกมาหยุดริมขอบดาดฟ้า ก็ถึงกับตกใจ
“คุณหนูคงจะเครียดมากนะครับ แต่เมื่อเช้าก็ยังดีๆ อยู่เลย โธ่ คุณหนู”
วิชนีหน้าเจื่อน “เพราะคำพูดของฉันแท้ๆ ทำไงดีล่ะลิน”
“เธอจะขึ้นไปคุยกับคุณสิทธิ์ดูก่อนมั้ย?”
วิชนีส่ายหน้า “ขืนฉันขึ้นไปนายนั่นได้โดดลงมาสิลิน เวลาอย่างนี้น่าจะให้คนที่คุยกับนายนั่นได้มากกว่านะ ลิน เธอช่วยโทร. ไปหาคุณวินหน่อยสิ”
ลิลินตกใจ ทำหน้าไม่ถูก
“แล้วเรื่องอะไรฉันต้องโทร. ไปหาเขาด้วยล่ะ”
“เพราะเธอมีเบอร์คุณวินไง ตอนนี้เราต้องหาคนที่พอจะกล่อมนายนั่นได้ นะลิน. โทร. หาคุณวินให้หน่อยนะ”
ลิลินถอนหายใจอย่างหนักใจ

ทิวัตถ์หอบใบหน้าที่บอบช้ำ เพราะโดนปรมัตถ์ต่อย กำลังจะย่องเข้าทางประตูหลังบ้าน เพราะไม่อยากให้ใครเห็น บังอิญได้ยินเสียงพวกเม็ดนุ่น สลวย และยอดกำลังจับกลุ่มคุยกัน
“ไอ้ยอด แกรู้สึกว่าบ้านนี้มันมีอะไรแปลกๆ บ้างมั้ยวะ? คุณท่านกับตำรวจพวกนั้น ดูท่าทางเหมือนมีความลับอะไรซ่อนอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด”
ยอดพยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริงของแก ตกลงมันเรื่องอะไรกันวะ?”
ทิวัตถ์ที่ยืนแอบฟังอยู่ พอหันไปอีกทาง ก็ตกใจเมื่อเห็นป้าจวนเดินเข้ามาพอดี
“คุณวิน นั่นหน้าไปโดนอะไรมาคะ?”
แก๊งคนรับใช้ในครัว ต่างก็ตกใจเมื่อได้ยินเสียงป้าจวนเรียกทิวัตถ์ จังหวะนั้นมือถือของเขาก็ดังขึ้น
พอหยิบมือถือมาดูก็แปลกใจ เมื่อเห็นว่าลิลินโทร. เข้ามา
“ยาย อย่าบอกเรื่องนี้กับแม่ต่ายนะครับ”
พูดจบก็รีบเดินออกไป ป้าจวนมองตามงงๆ
ทิวัตถ์รู้เรื่องศักดิ์สิทธิ์จากลิลินก็ตกใจ รีบจะไปหาที่โรงแรม แต่นพกรกลับมาขวางไว้
“จะไปไหน?”
“นายไม่ต้องไป ฉันขับเองได้ หลบไปฉันรีบ”
“เบรกรถมีปัญหา”
ทิวัตถ์สงสัย “ฮะ? แต่เมื่อกี้ฉันยังขับอยู่เลย”
“มันเป็นๆหายๆ เมื่อกี๊อาจจะโชคดีก็ได้ แต่เพื่อความปลอดภัยคุณไปใช้คันอื่นดีกว่า ขอกุญแจด้วยฉันจะขับไปอู่ให้เขาดูให้หน่อย”
นพกรพูดพร้อมยื่นกุญแจรถอีกคันให้ ทิวัตถ์ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงจึงรีบแลกกุญแจกับอีกฝ่าย ก่อนจะรีบขับรถออกไป
นพกรมองกุญแจในมือ แล้วยิ้มร้าย

ทางด้านลิลิน วิชนี ปกติ พร้อมด้วยพนักงานอื่นๆ ยืนมุงชะเง้อมองศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่ริมขอบดาดฟ้าต่างคนต่างตะโกนห้ามด้วยความเป็นห่วง
ปกติหน้าเสีย “เพิ่งจะมีคนตายหยกๆ คุณหนูก็จะมาตายอีกคนเหรอครับ?”
ลิลินกับวิชนีได้ยิน ก็หันมาทำตาดุใส่ ก่อนที่ลิลินจะทนไม่ไหว ตัดสินใจขึ้นไปทันที คล้อยหลังครู่เดียว
ทิวัตถ์ ก็มาถึง
“ไอ้สิทธิ์อยู่ไหน?”
วิชนีชี้มือไปบนดาดฟ้า “ข้างบนโน่นค่ะคุณวิน เอาไงดีคะคุณวิน พวกเราเรียกอยู่นานแล้วนายนั่นก็ไม่ตอบ”
“แล้วนี่ไม่มีใครคิดจะขึ้นไปห้ามหน่อยเหรอ?”
“ลินขึ้นไปแล้วค่ะ”
“งั้นคุณนีอยู่เรียกดึงความสนใจของไอ้สิทธิ์ไว้นะ ผมจะขึ้นไปข้างบน”
ขาดคำทิวัตถ์รีบวิ่งเข้าไป วิชนียืนรออย่างร้อนใจ

ทิวัตถ์วิ่งเข้ามาด้านใน ทันกับที่ลิลินกำลังจะขึ้นลิฟท์พอดี
“คุณขึ้นมาทำไม? ทำไมไม่อยู่ด้านหน้าคอยเรียกคุณสิทธิ์ไว้”
เขารีบบอกอย่างร้อนใจ
“นี่คุณอย่าเพิ่งมาหาเรื่องทะเลาะกันตอนนี้ได้มั้ย รีบขึ้นไปก่อนเถอะ”

ประตูลิฟท์เปิดออกที่ชั้นบนสุด ลิลินกับทิวัตถ์ต่างออกมามองซ้ายมองขวา
“ไปทางไหนต่อ?”
ทิวัตถ์มองไปที่บันไดหนีไฟ
“ทางโน้น ไปคุณ”
จากนั้นทั้งคู่ก็วิ่งตรงมาที่บันไดหนีไฟ
“คุณขึ้นไปก่อน”

ลิลินพยักหน้า ก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดนำขึ้นไปจนถึงประตูดาดฟ้า ทั้งคู่ก็รีบผลักประตูออกไป
 
อ่านต่อหน้า 4

ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 10 (ต่อ)

ทางด้านศักดิ์สิทธิ์กำลังทอดสายตาออกไปรอบๆ โรงแรม ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว พร้อมๆ กับที่ลิลินและทิวัตถ์เปิดประตูออกมาพอดี

“ไอ้สิทธิ์แกฟังฉันก่อนนะ”
“คุณสิทธิ์คะ มีอะไรเราคุยกันได้นะคะ”
ศักดิ์สิทธิ์ขยับตัวลงนั่งครุ่นคิด ลิลินกับทิวัตถ์ถอนหายใจโล่งอก ก่อนที่จะค่อยๆ สืบเท้าเข้ามา
“คุณมีแผนแล้วเหรอ?”
ทิวัตถ์ส่ายหน้า “ก็ไม่เชิง เดี๋ยวผมเข้าล็อกตัวไอ้สิทธิ์ไว้นะ แล้วคุณ...”
ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ศักดิ์สิทธิ์ก็ขยับตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะถอนหายใจยาว พร้อมกับก้าวไปข้างหน้าลิลินกับทิวัตถ์เห็นก็ตกใจ
“ไอ้สิทธิ์ ฉันรู้ว่าแกเครียดเรื่องมีคนตายในโรงแรม แต่ปัญหาทุกปัญหาย่อมมีทางออกนะเว้ย”
“ใช่ค่ะ อย่าให้ความคิดเพียงชั่ววูบมาตัดสินปัญหานะคะ ถึงยังไงปัญหาก็ยังอยู่”
ศักดิ์สิทธิ์นั่งลงที่เก้าอี้ แล้วก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทิวัตถ์กับลิลินเห็นท่าไม่ดีรีบเข้าไปคว้าตัวไว้
“เฮ้ยทำอะไรของแกวะไอ้วิน คุณลิน”
“แกใจเย็นๆ ก่อนนะเว้ย มีอะไรค่อยพูดค่อยจาอย่าคิดสั้นแบบนี้”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้ม ก่อนจะถอดหูฟังออก
“ฉันแค่ขึ้นมานั่งฟังเพลง”
ลิลินกับทิวัตถ์แปลกใจ “ฟังเพลง?”
“ก็ใช่ดิ นี่ไง”
พูดพลางดึงหูฟังและเครื่องเล่นให้ดู ทิวัตถ์ทำหน้าไม่ถูก
“เหรอ โทษทีว่ะฉันคิดว่าแกจะ...”
ศักดิ์สิทธิ์หัวเราะร่วน
“โดดตึกฆ่าตัวตายน่ะเหรอ? นี่แกจะบ้าหรือไง ฉันแค่อยากปล่อยตัวปล่อยใจ ขึ้นมาคิดอะไรเพลินๆ
บนนี้เผื่อจะสบายใจขึ้น แล้วคิดหาทางแก้ปัญหาได้”
จู่ๆ วิชนีก็เปิดประตูออกมาพอดี ก่อนจะปรี่เข้ามาตบหน้าศักดิ์สิทธิ์อย่างแรง
“ไอ้คนอ่อนแอ”
ศักดิ์สิทธิ์มองอย่างงงๆ “เฮ้ย เธอว่าใครฮะ?”
วิชนีเดินรุกเข้ามา ศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ ถอยหลังไปเรื่อยๆ ลิลินพยายามพูดห้าม
“ไม่ต้องมาห้ามฉันเลยลิน ไอ้คนขี้แพ้ ทำไมต้องยอมแพ้ด้วย นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหานะ”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น”
ศักดิ์สิทธิ์พูดพลางถอยหนี วิชนีเดินเข้าไปหา พร้อมกับทุบตีไม่ยั้ง
“ทำไม? ถึงขนาดนี้แล้ว นายจะแก้ตัวไรอีก ไอ้คนหนีปัญหา”
-ศักดิ์สิทธิ์กำลังจะถอยไปอีกแต่แล้วก็สะดุดกับปูนตะปุ่มตะป่ำบนพื้น ก่อนจะเซกลิ้งตกดาดฟ้าไป
ทิวัตถ์ ลิลิน วิชนี ตกใจ ร้องลั่น

ทิวัตถ์กับลิลินยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน รอพยาบาลทำแผลให้ศักดิ์สิทธิ์ วิชนีแอบมองอยู่มุมหนึ่ง ครู่หนึ่งพยาบาลก็เปิดม่านออกมา หลังจากใส่เฝือกที่แขนให้เรียบร้อยแล้ว
“อาการเป็นไงบ้างครับหมอ”
“มีแขนเดาะ ข้อมือเคล็ด หมอเลยให้ใส่เฝือกอ่อนไว้ก่อนสัก 2 อาทิตย์ ยังไงช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งให้คนไข้ทำอะไรมาก เพราะอาจจะอักเสบและติดเชื้อได้นะครับ”
ทิวัตถ์ยิ้มรับ ก่อนที่หมอกับพยาบาลเดินออกไป
“นี่ถือว่าแกโชคดีมากนะไอ้สิทธิ์ที่ตกลงมาแค่ชั้นเดียว”
“โชคดีบ้าไร ทำไมฉันต้องอยู่ในสภาพนี้ด้วยวะ”
ศักดิ์สิทธิ์โวยวายเสียงดัง พลางมองหาวิชนีที่หลบอยู่หลังม่าน
“ทั้งหมดก็เพราะเธอ เพราะเธอที่ทำให้เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้น”
วิชนีไม่ตอบโต้ ลิลินรีบออกตัวแทน
“คุณสิทธิ์อย่าว่านีเลยค่ะ นีเขาเป็นห่วงคุณสิทธิ์มากนะคะ แล้วนีก็เป็นคนให้ลินโทร. ตามคุณวินมา”
“ไม่ต้องแก้ตัวให้ฉันหรอกลิน ฉันเป็นแบบที่นายพูดจริงๆ นั่นแหละ”
ศักดิ์สิทธิ์เห็นวิชนีหน้าจ๋อยก็พูดไม่ออก

ทิวัตถ์ ลิลิน วิชนี เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยกัน ก่อนที่วิชนีจะเดินมานั่งจ๋อยอยู่ที่เก้าอี้ จนลิลิน ต้องเข้าไปพูดปลอบ
“นีอย่าคิดมากนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกลิน ฉันเข้าใจเขานะ ฉันเองก็เกือบทำให้เขาตายจริงๆ นั่นแหละ เธอกับคุณวินกลับไปเถอะ ถ้าฉันยังรู้สึกผิดอยู่แบบนี้ ขืนกลับไปก็ทำอะไรไม่ได้ ฉันจะอยู่ดูแลเขาเอง”
ลิลินมองวิชนี เห็นสีหน้าเป็นห่วงและรู้สึกผิดจริงๆ

ทรงพลกับศุภารมย์เดินออกมาส่งศรัณย์ที่หน้าบ้าน
“ขอบคุณนะหมอที่แวะมาบอก”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ถ้าจัดการแล้ว รบกวนโทร. บอกผมด้วยนะครับ”
“ได้ค่ะ เดินทางดีๆ นะคะ”
ศรัณย์ลาทรงพลกับศุภารมย์ก่อนจะเดินออกไป ขณะที่นพกรแอบซุ่มดูอยู่

ศรัณย์ที่ขับรถมาตามทาง เริ่มง่วงจนทนไม่ไหว พอเห็นปั้มน้ำมันอยู่ข้างหน้า ก็รีบตบไฟและเลี้ยวเข้าไปในปั๊ม นพกรขับตามมาด้านหลังมาติดๆ ก่อนจะจอดรถข้างๆ รถของอีกฝ่าย ที่เดินเข้าห้องน้ำไป จากนั้นก็หยิบมีดที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา ก่อนจะเดินลงจากรถตามไปที่ห้องน้ำ

ศรัณย์เดินเข้ามาที่อ่างล้างหน้า เปิดก๊อกน้ำล้างมือก่อนจะก้มลงไปล้างหน้า แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องตกใจเมื่อเงาในกระจกสะท้อนให้เห็นภาพนพกรที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“โธ่ ตกใจหมดเราเป็นคนงานบ้านคุณต่ายนี่ แล้วมาทำอะไรแถวนี้?”
นพกรมองตาขวาง ไม่พูดพล่ามทำเพลง เข้าไปจับหัวศรัณย์โขกกับอ่างล้างหน้า จนเลือดนอง ก่อนจะลากเข้าห้องน้ำไป

ลิลินเลียบๆ เคียงๆ มองทิวัตถ์ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากขึ้นก่อน
“เรื่องเมื่อตอนกลางวัน”
“พอเถอะ ผมไม่อยากพูดถึงมันอีกแล้ว”
ลิลินหน้าเจื่อน “ไม่ใช่ คือฉันอยากจะขอโทษที่ฉันพูดรุนแรงกับคุณไปหน่อย”
ทิวัตถ์ที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับทำหน้าไม่ถูก
“ผมเองก็ต้องขอโทษคุณเหมือนกัน เพราะเท่าที่ผมเห็นคุณเป็นห่วงไอ้สิทธิ์วันนี้ ผมก็รู้แล้วว่าคุณก็ไม่ได้เลือดเย็นอยากเห็นใครตายเหมือนกัน”
“โห เลือดเย็น? ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
ทิวัตถ์มองลิลินก่อนจะตัดสินใจถาม
“ทำไมคุณถึงเชื่อว่าครอบครัวผมทำร้ายพ่อคุณ”
ลิลินนิ่งไป
“มันไม่สำคัญแล้วล่ะค่ะ เพราะคลิปนั้นถูกทำลายไปแล้ว”
ทิวัตถ์มองอย่างสงสัย “คลิปอะไร?”
“คลิปที่หมอศรัณย์เปลี่ยนความทรงจำของคุณไง”
“ไม่จริง อาหมอแค่มารักษาอาการปวดหัวของผม คุณเอาอะไรมาพูด”
ลิลินรีบอธิบาย
“ฉันเห็นคลิปนั้นเองกับตา ในคลิปบอกว่าพ่อคุณกับหมอศรัณย์บอกว่าการเปลี่ยนความทรงจำของคุณทำให้คุณเห็นและจำได้ว่าพ่อของฉันเป็นฆาตกร พ่อคุณกับหมอศรัณย์กำลังปกปิดฆาตกรตัวจริงเอาไว้ แล้วใส่ร้ายว่าพ่อฉันเป็นฆาตกร”
ทิวัตถ์ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
“ไม่จริง พ่อผมไม่ทำอย่างนั้น คุณโกหก”
พูดจบก็เดินออกไปด้วยความโมโห ลิลินเดินตามไปติดๆ
“ฉันไม่มีอะไรมาพิสูจน์ว่าฉันพูดความจริง แต่ถ้าคุณยอมเปิดใจรับฟังมันซักนิด แล้วเริ่มค้นหาความจริง คุณจะรู้ว่าฉันไม่ได้โกหก”
“แล้วทำไมผมต้องเชื่อคุณ?” ทิวัตถ์ย้อนถาม
“คุณไม่ต้องเชื่อฉันก็ได้ เพราะฉันเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่สูญเสียทุกอย่างไป”
แววตาของลิลินสั่นระริก ทิวัตถ์เห็นแล้วก็ถึงกับอึ้งไป เพราะไม่เคยเห็นความอ่อนแอของเธออย่างนี้
มาก่อน

นพกรถือกองเสื้อผ้าเปื้อนเลือดเข้ามาโยนกองไว้กับพื้นหน้าบ้านทิวัตถ์ ก่อนจะหยิบขวดน้ำมันออกมาราด แล้วหยิบไฟแช็คขึ้นมาจุด พลางมองที่เปลวไฟที่ลุกดชนอย่างสะใจ
แต่จู่ๆ สลวยก็โผล่เข้ามา
“นั่นพี่นพเผาอะไรเหรอจ๊ะ?”
“เสื้อผ้า มันเก่ามากแล้วเก็บไว้ก็ไม่ได้ใส่”
“ทีหน้าทีหลังก็เอาไปบริจาคให้คนอื่นสิ หรือไม่ก็ให้สลวยก็ได้นะพี่”
สลวยพูมองไปเห็นเสื้อผ้าที่อยู่ข้างๆ กองไฟแล้วเห็นคราบบางอย่างคล้ายเลือด จึงเข้าไปดูใกล้ๆ
“เอ๊ะ แล้วเสื้อตัวนั้นไปเลอะอะไรมาจ๊ะ คราบแดงๆ เหมือนเลือด ใช่ต้องเป็นคราบเลือดแน่ๆ พี่นพไปโดนอะไรมาจ๊ะ?”
พูดพลางกำลังจะเข้าไปหยิบ นพกรรีบเข้าไปเตะเสื้อใส่กองไฟ ก่อนจะหันไปตะคอกใส่ด้วยความโมโห
“ไปให้พ้น รำคาญเว้ย”
สลวยโดนนพกรด่าไม่ทันตั้งตัวก็สะอึก แล้วร้องไห้วิ่งเข้าบ้านไป
นพกรมองเปลวไฟ ด้วยแววตาร้าย เหมือนคนโรคจิต

ทิวัตถ์นั่งอยู่ในรถ พลางครุ่นคิดถึงคำพูดลิลิน ก่อนจะตัดสินใจหยิบไอแพดที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา แล้วพิมพ์สืบค้นข้อมูล “สะกดจิตเปลี่ยนความทรงจำ” จากนั้นก็กวาดสายตาอ่าน
“ในการรักษาผู้ที่ได้รับความกระทบกระเทือนทางอารมณ์ที่มีผลกับสมอง มักนิยมใช้วิธีรักษาโดยการสะกดจิตเปลี่ยนจิตใต้สำนึกของความทรงจำ”
ทิวัตถ์หน้าเครียด ไม่อยากจะเชื่อ

“หรือว่าจะจริงอย่างที่คุณบอก”

ศุภารมย์มองอาหารบนโต๊ะด้วยความแปลกใจ ก่อนจะหันไปถามป้าจวนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“ทำไมทำอาหารขึ้นโต๊ะซะเยอะแยะขนาดนี้?”
“คุณวันบอกว่าให้ทำเพื่อฉลองให้กับคุณวรรณิตที่ย้ายเข้ามาที่นี่วันแรกน่ะค่ะ”
“มาวันแรกก็ต้องพิธีเยอะขนาดนี้ อยู่ไปจะขนาดไหน?”
ทรงพลที่นั่งอยู่ด้วย รีบพูดออกรับแทน
“เอาน่า นานๆ ทีโอกาสพิเศษไม่เป็นไรหรอกน่ะคุณ แล้วนี่ไปไหนกันหมด ตาวินยังไม่กลับอีกเหรอ?”
“คุณวินโทรมาบอกว่าจะกลับดึกค่ะ ส่วนคุณวันกับคุณณิต ก็คงจะข้าวใหม่ปลามัน คุณท่านอย่าคิดอะไรมากเลยนะคะ”
ขาดคำอนันยชก็พาวรรณิตเข้ามา ศุภารมย์มองเขม่น
“เป็นเด็กไม่ควรให้ผู้ใหญ่รอ”
“ขอโทษค่ะ ณิตจะไม่ทำแบบนี้อีกค่ะ”
อนันยชรีบพูดเสริม
“ใช่ครับ เราคงจะไม่ทำให้คุณน้ากับคุณแม่อารมณ์เสียไปอีก 2 อาทิตย์ พอดีเรื่องที่ผมเลื่อนฮันนีมูนน่ะครับ เขาโทร. มาบอกว่าได้แล้ว”
“แล้วเลื่อนเป็นเมื่อไหร่ล่ะ”
“พรุ่งนี้ครับ”
ศุภารมย์ยิ้มรับ “ก็ดี ให้เรื่องอะไรต่างๆ เงียบลงก่อนแล้วค่อยกลับมาก็ได้”
วรรณิตแอบทำหน้าเจื่อน เมื่อพูดถึงยงยุทธ

ทางด้านลิลินก็กำลังเขียนจดหมายหาแม่ดาที่โต๊ะอย่างตั้งใจ
“สวัสดีค่ะแม่ดา หนูลีดีใจที่มีเวลาได้เขียนจดหมายหาแม่ดาอีกครั้ง ช่วงนี้มีหลายเรื่องที่ทำให้หนูลีต้องคิด รวมถึงการเปิดโปงความจริงทวงความยุติธรรมให้พ่อป้องให้ได้ แม่ดาช่วยทำให้คุณทิวัตถ์เชื่อในสิ่งที่หนูลีจะพูดด้วยนะคะ”
พลันเสียงมือถือก็ดังขึ้น หน้าจอปรากฏชื่อทิวัตถ์เป็นคนโทร. มา ลิลินมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะกดรับสาย
“ค่ะคุณวิน”
“ผมจะชวนคุณไปหาหมอศรัณย์ที่คลีนิก”
ลิลินยิ้มดีใจ “คุณเชื่อฉันแล้ว”
“เชื่อหรือไม่เชื่อ อยู่ที่สิ่งที่ผมจะเห็นวันพรุ่งนี้”
ลิลินวางสาย ด้วยความหวังที่เรืองรอง

อนันยชพาวรรณิตเข้ามาในห้องนอน ก่อนจะปิดประตูพลางดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด แต่วรรณิตกลับบ่ายเบี่ยงขอเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำก่อน อนันยชมองตาม ด้วยความต้องการที่พลุ่งพล่าน จากนั้นก็เดินไปเปิดลิ้นชักและหยิบรูปศุภิสราออกมาดู คืนนี้เขาจะได้สมหวังกับสิ่งที่อยากได้มาทั้งชีวิต
พักใหญ่วรรณิตจึงเปิดประตูออกมา อนันยชรีบปราดเข้าไปโอบกอด ก่อนจะยิ้มออกมา
“ทำไมคุณถึงตัวสั่นแบบนี้ล่ะ หนาวเหรอ?”
วรรณิตส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ณิต ณิตอายค่ะคุณวัน”
“อายทำไม? เราแต่งงานกันแล้วนะ
พูดพลางเสยผมวรรณิต ก่อนจะลูบแขนลงไปจับมือ
“ผมอยากพาคุณไปที่ที่นึง”
วรรณิตมองอย่างสงสัย

จากนั้นอนันยชก็จูงมือวรรณิตเข้ามาในห้องนอนของศุภิสรา จากนั้นก็เปิดผ้าคลุมเตียงออก พลางลงนั่ง พร้อมกับตบบนเตียงให้อีกฝ่ายนั่งลงข้างๆ
แต่แล้วไฟในห้องก็สว่างขึ้น พร้อมกับเสียงของศุภารมย์
“ทำอะไรกันน่ะ?”
อนันยชและวรรณิต หันไปเห็นศุภารมย์ยืนอยู่ ก็ถึงกับตกใจ
“แม่เคยห้ามไม่ให้เข้ามาในห้องนี้แล้วใช่มั้ย?”
อนันยชรีบหาข้อแก้ตัว
“ผมแค่พาณิตมาเดินดูบ้านเองครับ แล้วเผอิญเห็นประตูห้องนี้เปิดอยู่ก็เลยเข้ามา”
ศุภารมย์มองลูกชายอย่างรู้ทัน อนันยชถึงกับหน้าเจื่อน
“ไปกันเถอะณิต”
“เอ่อ ห้องนี้เป็นห้องของใครเหรอคะ?”
อนันยชกับศุภารมย์ต่างชะงักไปกับคำถามของวรรณิต
“ซักวันเธอก็จะรู้”
พูดจบ ศุภารมย์ก็เดินออกไปอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้องนอน พลางครุ่นคิดถึงเรื่องของอนันยช จนทรงพลที่เดินออกมาจากห้องน้ำสังเกตเห็น
“มีอะไรเหรอคุณ?”
ศุภารมย์ได้สติ รีบพูดกลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่รู้สึกว่าช่วงนี้ทำไมถึงได้มีแต่เรื่องวุ่นๆ”
“เรื่องพ่อวันล่ะสิ เอาน่า พรุ่งนี้คู่นั้นก็ไปฮันนีมูนกันแล้ว เดี๋ยวเราก็ตระเวนทำบุญกัน เผื่ออะไรๆ
จะดีขึ้น”
ทรงพลพูดปลอบ ก่อนที่เสียงมือถือจะดังขึ้น เขารีบหยิบมือถือขึ้นมาดู อย่างแปลกใจ
“รองศัลย์”
จากนั้นก็รีบกดรับสาย
“อะไรนะ เมื่อไหร่?”
พอทรงพลวางสาย ศุภารมย์ก็ถามอย่างร้อนใจ
“เกิดเรื่องอะไรเหรอคะคุณ?”
“หมอศรัณย์ตายแล้ว”

เช้ารุ่งขึ้น ทิวัตถ์เห็นหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวของศรัณย์ก็ถึงกับตกใจ
“อาหมอ”
พลันเสียงมือถือก็ดังขึ้น ทิวัตถ์กดรับทันที
“คุณเห็นข่าวแล้วใช่มั้ย”
ลิลินที่ถือโทรศัพท์ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือถือหนังสือพิมพ์ไว้ ตอบกลับมาด้วยสีหน้าตื่น
“ใช่”
“เป็นไปได้ยังไง? ที่อาหมอจะถูกฆ่าในวันที่เราจะไปหาแกพอดี”
“ในข่าวบอกว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ แต่ฉันว่ามันบังเอิญเกินไป”
ทิวัตถ์ครุ่นคิด “คุณคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับที่เรากำลังตามหาเหรอ?”
“มันมีความเป็นไปได้”
ทิวัตถ์หน้าเครียด “แล้วคุณจะทำยังไงต่อ?”
“ฉันยังคิดไม่ออก ว่าแต่มีใครรู้เรื่องที่เรากำลังจะทำรึเปล่า?”
“คิดว่าไม่นะ เพราะผมไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลย”
ลิลินใช้ความคิด ก่อนจะพูดออกมา
“ฉันอยากเจอคุณตอนนี้”

ลิลินยืนใช้ความคิดสีหน้าเครียดอยู่ที่สระน้ำ ครู่หนึ่งทิวัตถ์เข้ามา
“ไม่มีใครแอบตามคุณมาใช่มั้ย?”
ทิวัตถ์ได้ยินคำถาม ก็รู้ทันทีว่าลิลินคิดอะไร
“คุณคิดว่าเรื่องอาหมอเป็นฝีมือของคนในบ้านผมงั้นเหรอ?”
“แล้วคุณได้บอกหรือทำพิรุธให้ครอบครัวคุณเห็นหรือเปล่า?”
ทิวัตถ์ส่ายหน้า “เปล่า คุณต้องการจะบอกอะไรผม?”
“ฉันกำลังคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันไม่น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่คุณก็ยังไม่ได้บอกใคร เราเพิ่งคุยเรื่องนี้กันเมื่อวาน แล้วทันทีที่คุณตัดสินใจไปหาหมอศรัณย์ ก็กลับเกิดเรื่องกับหมอศรัณย์ จนไม่สามารถให้คำตอบเราได้ นั่นแสดงว่าต้องมีคนไม่อยากให้คุณรู้ความจริงแน่ๆ”
ทิวัตถ์ได้ยินก็อึ้งไป
“นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ คุณจะพูดลอยๆ อย่างนี้ไม่ได้ ผมเชื่อว่าครอบครัวผม ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
ขาดคำทิวัตถ์ก็เดินออกไปอย่างหงุดหงิด ลิลินมองอย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินตามไป
“คุณกำลังคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญเหรอ?”
“ก็อาจจะ แต่ผมแค่คิดว่าถ้าอาหมอตายเพราะคลิปนั่นจริงๆ แสดงว่าคลิปนั่นต้องสำคัญมาก”
ลิลินพยักหน้ารับ “ใช่สำคัญมาก อย่างที่ฉันบอกคุณไปหมดแล้ว”
“แล้วตอนนี้คลิปนั่นอยู่ไหน?”
“อยู่ในคอมที่ตำรวจเอาไป”
“งั้นผมจะไปบอกรองศัลย์เอง”
พูดพลางลุกขึ้น ทำท่าจะเดินไป ลิลินรีบคว้าแขนไว้
“คุณทำแบบนั้นไม่ได้ คุณคิดว่ารองศัลย์จะยอมให้คุณเหรอ? อย่าลืมสิ ว่ารองศัลย์ไม่ใช่พวกเรา”
“แต่มันเป็นทางเดียวที่ผมจะได้เห็นคลิปนั่น”
ลิลินนิ่งใช้ความคิด
“แล้วถ้าไม่ใช่คลิปล่ะ”
“คุณหมายความว่าไง?”
“ความจริงไง ตอนนี้ถ้าเราไม่มีคลิป ทางเดียวที่จะทำให้คุณรู้ความจริงได้ ก็คือคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น คุณพอจะนึกออกมั้ยว่ามีใครที่รู้เรื่องเหตุการณ์วันนั้น นอกจากครอบครัวคุณ”
ทิวัตถ์ขมวดคิ้ว หน้าเครียด

ทรงพลที่นั่งอยู่ในห้องทำงานของศัลย์ เอื้อมมือมาหยิบซองเอกสารก่อนจะดึงรูปออกมาดู
ศุภารมย์มองนิ่งก่อนจะเบือนหน้าหนี
“แล้วจับคนร้ายได้มั้ย?”
ทรงพลพูดพลางเก็บรูปใส่ซองแล้วคืนให้กับศัลย์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ยังครับ ตอนนี้กำลังตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดภายในปั๊มอยู่ครับ”
ศุภารมย์หน้าเครียด
“แล้วทำไมหนังสือพิมพ์ถึงได้บอกว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ แน่ใจแล้วเหรอ?”
ศัลย์นิ่งไปก่อนจะพูดขึ้น
“ผมเป็นคนบอกหนังสือพิมพ์พวกนั้นให้ลงข่าวว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์เอง ผมอยากให้ฆาตกรตายใจ”
“รองพูดเหมือนว่าหมอศรัณย์ถูกฆาตกรรมงั้นเหรอ?” ทรงพลย้อนถาม
ศัลย์ไม่อยากพูดอะไรมัดตัว
“เอาเป็นว่า ผมขอรอผลการชันสูตรก่อนแล้วกันครับ อ๋อ ผมลืมบอกไปอีกเรื่อง ก่อนที่หมอศรัณย์จะเสียชีวิต ผมเห็นหมอนั่งคุยกับพี่เผ่า”
ทรงพลกับศุภารมย์ต่างอึ้งไป ก่อนที่ฝ่ายหลังจะฉุกคิดขึ้นมา
“หรือจะเป็นฝีมือของพี่เผ่า”
“คุณคิดว่าพี่เผ่ากับหมอศรัณย์จะคุยกันเรื่องเมื่อ 15 ปีก่อนงั้นเหรอ?”
ทรงพลหันมาถามศุภารมย์
“อาจจะใช่ แล้วก็อาจจะไม่ใช่ เพราะฉะนั้น คนที่น่าจะหาคำตอบให้พวกเราได้ ก็น่าจะเป็นรองฯ”

พูดพลางมองศัลย์ด้วยแววตากร้าวเหมือนกับการออกคำสั่ง

ทางด้านทิวัตถ์ก็พาลิลินเดินเข้ามาที่หน้าชุมชนแออัดแห่งหนึ่ง

“คุณพาฉันมาทำอะไรที่นี่?”
ลิลินถามอย่างแปลกใจ
“มาหาผู้กำกับทรงเผ่า เขาเป็นคนทำคดีแม่ผมเมื่อ 15 ปีก่อน”
“คนที่ทำคดีแม่คุณ ไม่ใช่รองศัลย์เหรอ?”
“ตอนนั้นรองศัลย์เป็นแค่หมวด คนที่ทำคดีจริงๆ ก็คือผู้กำกับทรงเผ่า คนที่รู้เรื่องในอดีต ตอนนี้ก็มีแต่เขาเท่านั้น”
ลิลินยิ้มอย่างมีความหวัง

ทิวัตถ์กำลังจะเดินเข้าไปในชุมชมแออัด แต่ลิลินรีบเรียกไว้
“เดี๋ยว ทำไมคุณถึงช่วยฉัน?”
“ผมไม่ได้ช่วยคุณ ผมก็แค่อยากรู้ความจริง”
“แล้วถ้าความจริงปรากฏออกมาว่าพ่อฉันบริสุทธิ์ล่ะ คุณจะทำยังไง?”
ทิวัตถ์นิ่งไปเพราะลิลินถามคำถามที่เขากลัวมาโดยตลอด ก่อนจะเดินเข้าไปโดยไม่ตอบคำถาม

ลิลินเดินตามทิวัตถ์เข้ามาตามทาง ชาวบ้านแถวนั้นพากันมองทั้งคู่ด้วยแววตาที่ไม่เป็นมิตร
“นี่คุณ คุณคิดว่าบ้านผู้กำกับจะมาทางนี้เหรอ?”
“ไม่รู้สิ แต่ผมคิดว่าบ้านผู้กำกับไม่น่าจะลึกขนาดนี้ เพราะเท่าที่ผมจำได้ ผมรอพ่อที่เดินไปส่ง
ผู้กำกับที่บ้านแค่แป๊บเดียว”
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินถามชาวบ้านละแวกนั้น แต่ทุกคนส่ายหน้าไม่รู้จัก ขณะเดียวกัน ก็มีสายตาของใครบางคน แอบมองทั้งคู่อยู่ไกลๆ

ทิวัตถ์กับลิลินเดินต่อมาตามทาง จู่ๆ ก็มีชายกลุ่มหนึ่ง เดินอาดๆ เข้ามาหาทั้งคู่ ด้วยท่าทางนักเลง
“ตามหาคนอยู่เหรอ?”
ทิวัตถ์พยักหน้า “ใช่”
“พวกฉันรู้จักทุกคนที่อยู่ในนี้ อยากรู้มั้ยล่ะ ถ้าอยากรู้ ก็เอาเงินมา”
พูดพลางแบมือขยับนิ้วรอรับเงิน พร้อมกับที่อีกคนพูดขึ้น
“หรือไม่ก็ ให้พวกฉันจิ้มแฟนแกซะ”
พวกมันทั้งสามมองมาที่ลิลินด้วยความหื่นกระหาย ทิวัตถ์มองไปที่ลิลินด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหาทางรอดด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด
“ไม่เป็นไร สงสัยพวกเราจะมาผิดที่ ไปกันเถอะคุณ”
ลิลินพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปพร้อมกัน แต่ชายกลุ่มนั้นกลับเดินเข้ามาขวางหน้า
ทิวัตถ์เห็นท่าไม่ดี รีบคว้ามือลิลินวิ่งหนีทันที

ทิวัตถ์พาลิลินวิ่งหลบเข้าไปที่ชานบ้านหลังหนึ่งก่อนที่พวกมันจะวิ่งตามมาทัน แต่แล้วมันก็กลับวิ่งเลยไป
ทิวัตถ์เป่าปากโล่งอก พลางหันไปมองลิลินที่จับแขนเขาแน่น ด้วยความหวาดกลัว
“ไม่ต้องกลัวหรอก พวกมันไปแล้ว”
ลิลินรู้ตัว รีบปล่อยจากทิวัตถ์ “ฉันแค่ตกใจ ไม่มีใครแล้ว ฉันว่าเรารีบออกไปกันเถอะ”
ทั้งคู่รีบลุกขึ้น พร้อมกับที่พวกมันคนหนึ่ง วิ่งโผล่มาอีกทางพอดี
“เฮ้ย พวกมันอยู่นี่ มาเร็ว”
ทิวัตถ์คว้ามือลิลินวิ่งไปอีกทาง แต่กลับถูกพวกมันดักหน้าดักหลัง เขาหันไปคว้าถังข้างๆ ปาใส่ ก่อนจะรีบวิ่งไปดึงลิลินมาไว้ข้างหลัง
จังหวะนั้นพวกมันคนหนึ่งหยิบมีดขึ้นมาพุ่งตรงไปที่ทิวัตถ์ที่ไม่ทันตั้งตัว ลิลินเห็นก็รีบตะโกนบอก
“ระวังข้างหลัง”
ทิวัตถ์หันกลับมาผลักและเอี้ยวตัวหลบทัน จนมันเสียหลักล้มไป อีก 2 คนรีบเข้ามารุม จังหวะที่เขากำลังเสียที จะโดนมันพุ่งมีดเข้าเสียบ จู่ๆ คนที่ถือมีดก็ล้มทรุดฮวบลงกับพื้น อีก 2 คน ถึงกับชะงัก
ทิวัตถ์กับลิลินหันไปก็เห็นทรงเผ่ายืนถือไม้อยู่ ทั้งคู่ยิ้มดีใจ
ขณะที่ทรงผั่กปืนออกมาขู่ จนพวกนักเลงทั้งสามวิ่งเตลิดไป

ทรงเผ่ายื่นมือไปทางทิวัตถ์ ขณะที่เดินมาตามทางด้วยกัน ทิวัตถ์กับลิลินมองอย่างงงๆ
“อะไรครับ?”
“อ้าว พ่อเราไม่ได้ให้เอาเงินมาให้ฉันหรอกเหรอ?”
ทิวัตถ์ส่ายหน้า “เปล่าครับ”
ทรงเผ่าแปลกใจ “แล้วพวกเธอมาทำไม?”
“ที่เรามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะถามอะไรผู้กำกับบางอย่างน่ะค่ะ”
ลิลินรีบบอกจุดประสงค์
“ฮ่าๆ ไม่มีใครเรียกฉันว่าผู้กำกับมานานแล้วนะ เอ้อ ดีเหมือนกัน แล้วพวกเธออยากรู้อะไรล่ะ?”
“พวกเราอยากรู้เรื่องฆาตกรรมในบ้านคุณทรงพลเมื่อ 15 ปีที่แล้วค่ะ”
ทรงเผ่ามองหน้าลิลินอย่างพิจารณา
“ทำไมฉันถึงได้คุ้นหน้าเธอจัง”
ลิลินกับทิวัตถ์ชะงักไปเพราะคิดว่าทรงเผ่าจำได้ว่าเธอเป็นลูกปองภพ
“นึกออกแล้ว เธอเป็นนักร้องที่รอยัลเพิร์ลใช่มั้ย? วันนั้นเห็นแต่ในโปสเตอร์ ยังไม่ทันได้เห็นตัวจริงก็เกิดเรื่องซะก่อน เอ้า มีไรจะถามก็รีบถามมา”
“ที่พวกเรามาหาผู้กำกับ เพราะผมอยากรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าแม่ผม”
ทรงเผ่าชะงักมองหน้าทิวัตถ์
“คดีเขาปิดไปเป็นชาติแล้ว จะมาสงสัยอะไรกันอีก”
ลิลินรีบพูดเสริม “เราสงสัยว่า ฆาตกรที่จับได้ อาจจะไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง”
ทรงเผ่าชะงัก แต่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร
“งั้นเหรอ? แต่ทุกอย่างบนโลกใบนี้ ล้วนมีราคาทั้งนั้น ยิ่งเป็นความลับด้วยแล้วตัวเลขก็จะยิ่งสูงบางทีก็อาจจะสูงเท่ากับกองเงินกองทองที่หลานวินนอนอยู่เลยก็ได้”
ทิวัตถ์กับลิลินทำหน้าสงสัย
“ผู้กำกับอยากได้เท่าไหร่?”
“อย่าเลย ฉันว่าหลานวินคงจะจ่ายไม่ไหว แล้วอีกอย่างพ่อเราก็ให้เงินฉันทุกปี เพราะฉะนั้นความลับมันก็ยังจะเป็นความลับต่อไป”
พูดพลางมองทิวัตถ์กับลิลินอย่างมีเลศนัย ทำเอาทั้งคู่ยิ่งแปลกใจหนัก

ศักดิ์สิทธิ์ใส่เฝือกอ่อนเดินเข้าประตูโรงแรมมา โดยมีปกติถือกระเป๋าเสื้อผ้าคอยเดินตามดูแลไม่ห่าง ก่อนที่จะหลุดปากบอกว่าตอนนี้พนักงานเกือบครึ่งขอลาออกกันไปหมดแล้ว
ศักดิ์สิทธิ์ตกใจ
“ลาออก? เกิดเรื่องอะไร ทำไมต้องลาออกกันด้วย”
“ก็ข่าวคนตายในงานแต่งคุณวันไงครับ อุ้ย คือจริงๆ มันก็ไม่ใช่ประเด็นหลักหรอกครับ คือเห็นว่าโรงแรมตรงถนนใหม่กำลังต้องการคน พวกนี้ก็เลยพากันไปสมัครโรงแรมนั่นกันหมดน่ะครับ”
ศักดิ์สิทธิ์ได้ยินคำตอบก็ถึงกับหน้าเครียด วิชนีแอบมองอยู่ห่างๆ อย่างกล้าๆกลัวๆ ในใจนึกเป็นห่วง แต่ไม่กล้าไปเยี่ยม

ศักดิ์สิทธิ์เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะในห้องทำงาน ก่อนจะเปิดแฟ้มบนโต๊ะ แล้วก็ยิ่งเครียดหนักเข้าไปอีก เพราะเห็นแต่ยอดรายจ่าย จังหวะนั้นปกติก็เปิดประตูเข้ามา
“คุณหนูครับ”
“มีอะไร? หรือว่ามาเขียนใบลาออก”
ปกติตกใจ รีบปฏิเสธ
“ ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ๆๆ ผมไม่มีทางทิ้งคุณหนูไปได้หรอกครับ”
“แล้วคุณเข้ามาทำไม?”
ขาดคำ ปกติก็ยื่นกล่องใส่แซนด์วิชให้ ศักดิ์สิทธิ์มองอย่างไม่สนใจ
“เอาออกไป ผมไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น”
“โธ่คุณหนู ทานอะไรหน่อยเถอะครับ นี่เชฟนีทำมาให้คุณหนูโดยเฉพาะเลยนะครับ” ปกติพูดพลางเดินเข้ามาพยายามยัดเยียดกล่องแซนด์วิชให้ ศักดิ์สิทธิ์โมโห คว้ากล่องมาปาทิ้ง
“ผมบอกว่าไม่กินไง ออกไป”
ปกติตกใจจึงรีบเก็บแซนด์วิชที่ตกพื้นแล้วออกจากห้องไปทันที

วิชนียืนรออยู่หน้าห้องศักดิ์สิทธิ์เห็นปกติออกมาก็รีบเข้าไปถาม
“เป็นไง คุณศักดิ์สิทธิ์กินรึเปล่า?”
ปกติไม่ตอบ กลับเปิดกล่องแซนด์วิชที่ข้างในเละตุ้มเป๊ะให้ดู
“เฮ้ย ไหงเป็นงี้อ่ะ”
ปกติทำท่าทำทางเลียนแบบให้ดู วิชนีถึงกับโมโห
“กล้าปาแซนวิชฉันทิ้งเหรอ?”
พลางทำท่าจะเดินเข้าไปในห้อง ปกติรีบห้าม
“อย่าครับคุณนี อย่าเพิ่งเข้าไปเลย”
“ทำไมฉันจะเข้าไม่ได้ ฉันจะเข้าไปบอกนายนั่นว่าเขาไม่ควรทำนิสัยแบบนี้”
ปกติรีบบอก
“คุณนีอย่าไปโกรธคุณหนูเลยนะครับ ตอนนี้คุณหนูเครียดมาก ผมไม่เคยเห็นคุณหนูเป็นแบบนี้มาก่อนเลย”
วิชนีแปลกใจ
“เครียดอะไรอ่ะ? ปัญหาเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ แต่ฉันว่าพอลูกค้าทัวร์ลงเขาก็คงจะดีขึ้นเองแหละ”
ปกติส่ายหัว “ทัวร์ทุกบริษัทยกเลิกหมดแล้ว แขกปัจจุบันก็เช็คเอาท์ออกเกือบหมดแล้ว และเรื่องน่าเศร้าก็คือพนักงานเกินครึ่งพากันลาออกหมดแล้วครับ”
วิชนีหน้าเสีย ปกติรีบสาธยายต่อ
“แต่ที่แย่สุดๆ ก็คงจะเป็นเรื่องรายได้แหละครับ เพราะตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเข้าเลย มีแต่เงินออกไม่ใช่ออกแบบธรรมดานะครับ ออกแบบไหลจ๊อกๆ ผมล่ะสงสารคุณหนูจริงๆเลยครับ ปัญหาครั้งนี้หนักที่สุดตั้งแต่ตั้งโรงแรมมาเลยก็ว่าได้ โธ่ คุณหนูของผม”
ปกติพูดพลางทำท่าจะร้องไห้โฮด้วยความสงสาร
“แล้วเราไม่มีวิธีช่วยเลยเหรอ?”
“ตอนนี้ที่คุณหนูต้องการมากที่สุด ก็คือเงินทุนครับ ถ้ามีทุนสำรอง โรงแรมก็สามารถยืดระยะเวลาในการเคลียร์ปัญหาทั้งหมด แล้วค่อยๆ ฟื้นฟูจนโรงแรมกลับสู่ภาวะปกติได้ครับ”
“นายรู้มั้ยว่าเท่าไหร่? ฉันพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง”
ปกติใช้ความคิด พลางยกมือขึ้นนับ
“เดือนละ 3 ล้าน เอ๊ะ หรือ 4 ล้าน ประมาณหกเดือน ก็ประมาณ 24 ล้านครับ”
วิชนีตกใจ “ 24 ล้าน ใครเขาจะมีให้”
“มีอยู่คนนึงครับ”
ปกติพูดอย่างมั่นใจ

ซือเฟิน อาม่าของศักดิ์สิทธิ์ ในชุดเต้นแอโรบิก กำลังเต้นตามในโทรทัศน์ ที่กำลังฉายภาพวีดิโอการออกกำลังกายแบบ T 25 อย่างตั้งใจ โดยมีบรรดาสาวใช้เต้นอยู่ด้วย
พักใหญ่เสียงชัยวิ่งตะโกนลั่นเข้ามา
“อาม่า อาม่า เกิดเรื่องแล้วครับ”
“อาชัย ลื้อมีอะไรโวยวายเป็นเจ๊กตื่นไฟไปได้”
ชัยรีบบอก “มีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ มารอขอเงินอาม่าอยู่หน้าบ้านครับ”
ซือเฟินโมโหหน้าดำหน้าแดง
“อีเป็นใคร?”

ทางด้านวิชนีก็กำลังยืนอยู่ตรงกลางวงล้อมของบอดี้การ์ดซือเฟิน
“ฉันมาหาอาม่า ฉันมีธุระจริงๆ พี่ให้ฉันเข้าไปเหอะนะ”
พูดพลางทำท่าจะเดินออกจากวงล้อมแต่บอดี้การ์ดไม่ยอมหลีกทางให้ จังหวะนั้นซือเฟินก็เดิน
ตึงตังออกมาพร้อมชัย
“ผู้หญิงคนนี้ครับอาม่า”
วิชนีได้ยินชัยเรียกว่าอาม่า ก็รีบเดินเข้าไปหาซือเฟินทันที
“สวัสดีค่ะอาม่า หนูชื่อวิชนี เป็นเชฟค่ะ”
ซือเฟินพอใจในความกล้าพูดของวิชนี จึงเดินเข้าไปหา บอดี้การ์ดหลีกทางให้
“อั๊วไม่รู้จักลื้อ แล้วทำไมลื้อถึงกล้ามาขอเงินอั๊วถึงหน้าบ้าน?”
“หนูต้องกล้าค่ะ แต่หนูไม่ได้มาขอเงินให้ตัวเองนะคะ หนูมาขอเอาไปช่วยนายศักดิ์สิทธิ์ค่ะ”
ซือเฟินนิ่งคิดสักพัก ก่อนจะปฏิเสธ
“อั๊วก็ไม่รู้จักอยู่ดี”
“ก็นายศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นเจ้าของโรงแรมรอยัลเพิร์ลไงคะ”
.ซือเฟินนิ่งคิด “รอยัลเพิร์ล? อาเม้ง”
“ตกลงว่านายศักดิ์สิทธิ์ก็คืออาเม้ง อาเม้งก็คือหลานอาม่าจริงๆใช่มั้ยคะ?”
“ถ้าลื้อหมายถึงอาตี๋น้อยเจ้าของโรงแรมรอยัลเพิร์ลรุ่นปัจจุบันล่ะก็ ไม่ผิดหรอก ทีนี้ลื้อจะบอกอั๊วได้รึยัง ว่าเกิดอะไรขึ้น?”

วิชนียิ้มอย่างดีใจ

ศักดิ์สิทธิ์นั่งหน้าเครียดอยู่หน้าแฟ้มเอกสาร จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงประตูเปิด เขาออกปากไล่ โดยไม่ทันได้เงยหน้า เพราะคิดว่าเป็นปกติ แต่แล้วก็ต้องตกใจ เพราะคนที่เดินเข้ามาคือซือเฟิน

“อาเม้ง”
ซือเฟินเดินเข้ามาเอาพัดตีหัวศักดิ์สิทธิ์
“อั๊วยังไม่ทันจะพูดอะไรลื้อก็มาไล่อั๊วแล้วเหรอฮะ อาเม้ง”
ศักดิ์สิทธิ์รีบยกมือไหว้
“สวัสดีครับอาม่า เรียกผมว่าอาเม้งอีกแล้ว ผมบอกแล้วไงครับว่าให้เรียกผมว่าศักดิ์สิทธิ์”
“สิทๆ อะไรของลื้อ อาเม้งเนี่ยแหละดีที่สุดแล้ว ถ้าลื้อไม่ให้อั๊วเรียกอาเม้ง ลื้อก็ไม่ต้องมาเป็นหลานอั๊วอีกเลย”
ซือเฟินเสียงแข็ง ศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าเหนื่อยใจ
“แล้วนี่อาม่ามาได้ยังไงครับ?”
“ก็หลานแท้ๆ มันไม่สนใจ อั๊วก็ต้องนั่งรถมาเองนะสิ แล้วนี่แขนลื้อไปฟัดกับหมาที่ไหนมา?”
“อุบัติเหตุครับ ไม่มีอะไรหรอก”
ซือเฟินส่ายหน้าอย่างระอา
“ลื้อนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ ปล่อยให้เกิดอุบัติเหตุกับตัวเองขนาดนี้ได้ยังไง?”
พูดพลางเอาพัดตีหัวศักดิ์สิทธิ์อีก
“ในโรงแรมมีคนตายทั้งคน ข่าวดังไปทั่วจังหวัด ลื้อไม่คิดจะบอกอั๊ว คิดว่าอั๊วไม่รู้หรือไง?”
“อ๋อ อาม่าก็เลยมาหาผมใช่มั้ย? แต่อาม่าไม่ต้องมายุ่งหรอก ผมจัดการเองได้”
ขาดคำซือเฟินเอาขอบพัดตีหัวอีก
“ลื้อนี่ดื้อเหมือนเตี่ยลื้อจริงๆ เลยนะอาเม้ง แล้วที่อั๊วมาเนี่ย เพราะคิดว่าลื้ออาจจะกำลังต้องการความช่วยเหลือ”
ศักดิ์สิทธิ์ไม่กล้าพูด รีบปฏิเสธ “ไม่มีนี่ครับ”
“ถ้างั้นอั๊วกลับ”
พูดพลางหันหลังตั้งท่าจะเดินกลับแต่ก็หยุดพูดทิ้งท้าย
“แต่ลื้ออย่าลืมว่าโรงแรมนี้เป็นของเตี่ยลื้อมาก่อน ถ้าลื้อทำเจ๊ง ลื้อตาย”
ศักดิ์สิทธิ์ได้ยินอย่างนั้น ก็รีบกลืนคำพูดตัวเอง
“แล้วถ้าผมจะขอยืมเงินอาม่าก่อน ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
ซือเฟินยิ้มที่แผนแกล้งพูดสำเร็จ ก่อนจะหันกลับมาทำหน้าปรกติ
“ลื้อจะเอาไปทำอะไร?”
“ก็เก็บไว้เป็นเงินสำรอง เผื่อผมต้องใช้”
ซือเฟินยิ้ม
“ลื้อไม่ต้องมาปิดบังอั๊วหรอกอาเม้ง จริงๆ แล้วอั๊วรู้เรื่องหมดทุกอย่างแล้ว ลื้อจะเอาเท่าไหร่?”
ศักดิ์สิทธิ์ตอบเสียงอ่อย “20 ล้านครับ”
“อั๊วให้ 30 ล้านเลยเอ้า”
ศักดิ์สิทธิ์ยิ้มดีใจ “จริงเหรอครับอาม่า”
“แต่อั๊วมีข้อแม้นะ ลื้อต้องมีหลานให้อั๊ว”
ศักดิ์สิทธิ์ถอนหายใจ
“อีกแล้วนะอาม่า บอกแล้วไง ว่าผมยังไม่มีคนที่ผมรัก”
“อ้าว แล้วผู้หญิงที่ไปหาอั๊วที่บ้านล่ะ?”
ศักดิ์สิทธิ์แปลกใจ “ผู้หญิงไหนครับอาม่า”
“ก็อาหนูนีไง ที่เป็นเชฟน่ะ”
ศักดิ์สิทธิ์ถึงกับตกใจ “เมื่อกี้อาม่าว่าไงนะ ไปหาที่บ้านเลยเหรอ?”
“ใช่ แล้วอีไม่ได้เป็นแฟนลื้อเหรอ?”
“โอ๊ย ไม่มีทางหรอกอาม่า ผมกับยัยนั่นน่ะเกลียดกันจะตาย”
ศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างมั่นใจ ซือเฟินเลยต้องยื่นคำขาด
“ก็ได้ งั้นอั๊วจะให้เงินลื้อ ก็ต่อเมื่อลื้อทำตามที่อั๊วบอกเท่านั้น”
ศักดิ์สิทธิ์รับฟังหน้าเครียด

ทางด้านทิวัตถ์กับลิลินก็เดินเข้ามาที่โรงแรมพร้อมกัน
“ความลับมีราคาเท่ากองเงินกองทอง หมายความว่า เรื่องนี้ต้องมีความลับที่สำคัญมากปิดบังไว้จริงๆ”
ทิวัตถ์พยักหน้ารับ “แล้วที่สำคัญคือผู้กำกับมีส่วนรู้เห็นด้วย”
“ซึ่งปัญหาอยู่ที่เขาไม่ยอมบอก”
“แต่ผมว่า อย่างผู้กำกับ เงินสามารถซื้อเขาได้”
“แล้วที่แกบอกว่า แกมีความลับของพ่อแม่คุณ คุณคิดว่ามันคือเรื่องนี้มั้ย?”
ทิวัตถ์นิ่งไป ในใจภาวนาขออย่าให้เป็นเรื่องที่สืบหาอยู่เลย
“ผมเองก็อยากรู้ไม่น้อยไปกว่าคุณ”
ลิลินมองทิวัตถ์อย่างซึ้งในน้ำใจ ก่อนจะพูดให้สถานการณ์เบาลง
“แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอก ผู้กำกับคงยังไม่ไว้ใจคุณ คุณคิดออกมั้ยว่านอกจากผู้กำกับ มีใครที่น่าจะมีข้อมูลให้เราได้อีก”
ทิวัตถ์ส่ายหน้าอย่างเศร้าใจ
“ขอโทษ ฉันลืมไปว่านายเสียความทรงจำในวันนั้นไป”
“แล้วคุณจะทำยังไง?”
ลิลินนิ่งไป อย่างใช้ความคิดอย่างหนัก

ศุภารมย์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องโถง
“จัดการตามที่บอกนั่นแหละ”
จากนั้นก็วางสายก่อนจะหันมาหาทรงพลที่กำลังดื่มเหล้าสีหน้าเครียด
“ส่งหรีดไปแล้วใช่มั้ย?”
ทิวัตถ์กำลังจะเดินเข้ามา พอเห็นทั้งคู่นั่งคุยกันอยู่ ก็แอบฟัง
“ค่ะ คิดเรื่องที่รองศัลย์บอกอยู่เหรอคะ?”
“แต่เท่าที่คุยกับศรัณย์เมื่อวาน หมอก็คุยเรื่องค่าใช้จ่ายตามปกติ ไม่เห็นจะมีทีท่าจะแบล็คเมล์อะไรพวกเรา”
“อย่ากังวลไปเลยค่ะ ไม่ว่าใครก็ตามที่กำลังทำเรื่องนี้ ทันทีที่พวกมันลงมือ เราก็จะรู้ตัวคนทำทันทีตอนนี้มันอยู่ในที่ลับ ทางเดียวที่เราจะรู้ว่ามันเป็นใคร ก็คือต้องรอให้มันลงมือ”ทรงพลค่อยคลายความกังวลลงบ้าง
“ขอบคุณนะคุณต่าย เราเคยผ่านเรื่องที่หนักมามากกว่านี้ เรื่องแค่นี้ทำอะไรเราไม่ได้หรอก จริงมั้ย?”
ทิวัตถ์เห็นว่าทั้งคู่จบการสนทนาแล้ว จึงตัดสินใจเดินเข้าไป
“พ่อ แม่ต่าย ยังไม่นอนอีกเหรอครับ?”
ทรงพลรีบบอก
“พ่อกับแม่นั่งคุยกันนิดหน่อย”
“แล้ววินได้ข่าวอาหมอหรือยังลูก” ศุภารมย์ถามต่อ
“ครับ ผมเห็นในหนังสือพิมพ์แล้วครับ เราจะไปงานศพอาหมอเมื่อไหร่ครับ”
“แม่ให้คฑาวุธเป็นตัวแทนไปแล้ว พักนี้บ้านเรามีแต่เรื่องวุ่นๆ ถ้าเลี่ยงการไปงานศพได้ก็ดี”
ทิวัตถ์ตัดสินใจถามขึ้น
“ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ ที่งานแต่งวัน เห็นผู้กำกับทรงเผ่าแกโดนจับตาดูเป็นพิเศษ
มีอะไรรึเปล่าครับ?”
ศุภารมย์ส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ เราแค่สงสัยว่าแกมาร่วมงานได้ไง เพราะว่าแม่ลืมส่งการ์ดเชิญให้แกน่ะ”
“จะว่าไปแล้วก็น่าสงสารนะครับ แกอยู่คนเดียว ครอบครัวก็ไม่มี”
“ถึงแกจะอยู่คนเดียว แต่แกก็สุขสบายดี มีเงินใช้ไม่ขาดมืออยู่แล้ว”
ศุภารมย์กลัวทิวัตถ์จะสงสัยจึงรีบพูดแทรกขึ้น
“เป็นข้าราชการก็ดีอย่างนี้แหละวิน เกษียณแล้วก็ยังได้เงินบำเหน็จ บำนาญใช้อยู่ตลอด”
ทิวัตถ์ถอนหายใจ
“แต่แกก็ดูไม่ค่อยสบายนะครับ คือผมอดเปรียบเทียบกันไม่ได้ ครอบครัวเรามีพร้อมทุกอย่าง
ผิดกับอีกครอบครัว ที่ต้องสูญเสียทุกอย่างไป ผมว่ามันไม่ยุติธรรมเลย ถ้าเราต้องเสียอะไรบางอย่างไป เพื่อช่วยอีกครอบครัวนึงได้ ก็น่าจะดีนะครับ”
ศุภารมย์กับทรงพลเริ่มจะเอะใจในคำพูดทิวัตถ์ว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวกับทรงเผ่า
“วินพูดเรื่องอะไรลูก?”
“ไม่มีอะไรครับ ผมขอตัวไปนอนก่อนดีกว่า”
พูดจบก็เดินออกไป ทรงพลกับศุภารมย์หันมามองหน้ากันอย่างสงสัย
“ทำไมอยู่ๆวินถามถึงผู้กำกับ?”
ทรงพลพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นสิ ผมก็ว่าแปลกๆ หรือผู้กำกับจะแอบคุยอะไรกับวินเมื่อวันงาน”
“วันนั้นวินแทบไม่มีโอกาสได้คุยกับผู้กำกับเลยด้วยซ้ำ แล้ววินจะรู้ได้ยังไงว่าผู้กำกับอยู่ตัวคนเดียว”
ทรงพลครุ่นคิด
“หรือเขาอาจจะไปคุยกันตอนที่เราไม่เห็น มันก็น่าจะเป็นไปได้นะ”
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ หรือว่าวินจะหมายถึง คุณจำได้มั้ยคะ ที่ตอนนั้นอยู่ๆ วินก็ถามถึงลูกสาวของนายปองภพ”
“ใช่ แต่วินก็ไม่ได้ถามอะไรต่อนะ”
ศุภารมย์หน้าเครียด “คุณว่าเป็นไปได้มั้ยคะที่ความทรงจำของวินจะกลับมา”
ทรงพลนิ่งไปทันที
“ตอนนี้หมอศรัณย์ก็ไม่อยู่แล้ว”
“เราหาหมอคนใหม่ได้นี่คะ”
ทรงพลส่ายหน้า “แต่เราจะให้คนอื่นรู้เรื่องวันนั้นไม่ได้”
“วินเองก็เหมือนกัน เราก็ให้วินจำเรื่องในวันนั้นไม่ได้เหมือนกัน”
แววตาศุภารมย์ฉายความกังวลออกมาอย่างชัดเจน

ลิลินนั่งอยู่บนเตียง พลางเหลือบมองกล่องไม้ที่เก็บความลับทั้งหมดวางอยู่ข้างหน้า ก่อนจะหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนจดหมายถึงแม่ดา
“สวัสดีค่ะแม่ดา บางครั้งหนูก็นึกอยากให้แม่ดาตอบจดหมายหนูกลับบ้าง แต่ไม่เป็นไรค่ะ แม่ดาคงจะยุ่ง เพราะหนูเองก็สบายใจทุกครั้งที่ได้เล่าทุกอย่างให้แม่ดาฟัง แม่ดารู้มั้ยคะ? หนูได้หลักฐานสำคัญที่จะทำให้พ่อพ้นข้อกล่าวหาได้แล้ว แต่ก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นซะก่อน หลักฐานเลยหายไป แม่ดาคะ ตอนนี้หนูไม่มีอะไรที่จะเปิดโปงคนพวกนั้นได้แล้ว หนูจะทำยังไงดีคะ มีแต่คนพวกนั้นที่รู้ว่าใครอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นบ้าง”
พอเขียนมาถึงประโยคนี้ ลิลินก็ฉุกใจคิดบางอย่างขึ้นมาได้ เธอรีบวางปากกา พลางเปิดกล่องไม้ที่วางอยู่ตรงหน้า ก่อนจะหยิบข่าวการตายของศุภิสราที่เธอตัดเก็บเอาไว้เมื่อวัยเด็กขึ้นมาดู
“แม่ดาคะ หนูรู้แล้วว่าใครจะพาเราไปหาเบาะแสต่อไปได้”
ลิลินยิ้มอย่างมั่นใจในแผนตัวเอง

กานดาเดินเข้ามาในบริษัท พร้อมๆ กับที่พนักงานส่งเอกสารหอบกล่องจดหมายเข้ามาให้ แต่จังหวะที่เธอเอากระเป๋าวางบนโต๊ะ บังเอิญไปโดนกล่องหล่น จนจดหมายกระจายออก เธอรีบก้มลงเก็บ แต่แล้วก็ชะงัก ก่อนจะรีบเปิดจดหมายออกด้วยแววตาใคร่รู้
“เป็นไปไม่ได้”
กานดาถึงกับตกใจหลังจากอ่านข้อความในจดหมาย

“ถ้าเป็นตอนนี้ ผมคงออกไปไม่ได้ เรื่องสำคัญเหรอ?”
ทรงพลยืนคุยโทรศัพท์สีหน้าเครียด พอเห็นศุภารมย์เดินเข้ามา เขาก็รีบพูดตัดบท
“อืม ได้ ถ้าอย่างนั้นผมจะรีบไป รอผมอีกเดี๋ยวแล้วกัน”
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
ทรงพลรีบบอก “ไม่มีอะไรหรอกคุณ เรื่องงานน่ะ”
“แล้วเรื่องที่เราจะไปหาหมอที่จะมาแทนหมอศรัณย์ล่ะคะ?”
ทรงพลแกล้งถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“พรุ่งนี้หรือรอผมกลับมาตอนเย็นได้มั้ยคุณ”
ศุภารมย์พยายามจับอาการของทรงพลที่ดูร้อนรนผิดปกติ
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณไปทำงานเถอะ เดี๋ยวเรื่องหมอที่จะมาดูวิน ฉันจัดการเอง”
ทรงพลยิ้มให้ ก่อนจะลุกเดินออกไป ศุภารมย์มองตามอย่างจับสังเกต

ทิวัตถ์ยืนรออยู่ที่รถอย่างกระสับกระส่าย พักใหญ่ยอดก็วิ่งเข้ามา ก่อนจะรีบรายงานว่าหานพกรไม่เจอ
“ให้ผมไปเอารถคุณท่านที่ออฟฟิศให้มั้ยครับ?”
“ไม่เป็นไร”
ทิวัตถ์ครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดี

วิชนีนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องพัก ก่อนจะหันไปพูดเชิงปรับทุกข์กับลิลิน
“ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของโรงแรมตอนนี้เป็นยังไงบ้างนะลิน”
“โชคดีที่ลูกค้าที่ผับไม่ค่อยหายไปเท่าไหร่ แต่ยังไงคุณสิทธิ์ก็คงต้องเครียดมากแน่ๆ”
วิชนีถอนหายใจ
“ไม่รู้ป่านนี้นายนั่นจะเป็นยังไงบ้างเนอะ ฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากกว่านี้แล้วล่ะ”
ลิลินพยายามพูดปลอบใจ ก่อนจะเดินเข้ามาจับวิชนีลุกขึ้น พร้อมกับพากันเดินออกประตูไป แต่กลับเหลือบเห็นกล่องสีเหลี่ยมวางขวางอยู่ วิชนีรีบหยิบกล่องนั้นขึ้นมาเขย่า
“ใครมาวางกล่องไว้แถวนี้”
พอเปิดกล่องออกดูก็ทำหน้าแปลกใจ พลางหยิบของในกล่องออกมา ลิลินรีบเดินเข้ามาสบทบ
“ดอกลีลาวดี”
“ของเธอรึเปล่าลิน?”
ลิลินส่ายหัว
“ถ้าไม่ใช่ของเธอ ไม่ใช่ของฉัน แล้วมันของใคร?”
ลิลินกับวิชนีมองหน้ากันอย่างแปลกใจ

ศักดิ์สิทธิ์นั่งเพ่งจอคอมพิวเตอร์อยู่ ชณะที่ปกติรอรับภาพที่ไหลออกมาจากเครื่องปริ๊นเตอร์อย่างงงๆ
“คุณหนูจะเอารูปผู้หญิงพวกนี้ไปทำอะไรครับ?”
ศักดิ์สิทธิ์ยักไหล่ ก่อนจะหยิบรูปมาเปิดดูทีละใบ แล้วก็ตินั่นตินี่อย่างไม่ถูกใจ จนปกติสงสัย พลางถามย้ำ
“แล้วตกลงคุณหนูจะหารูปพวกนี้มาทำไมครับ?”
“หามาแต่งงาน ตามคำสั่งของอาม่า เพื่อแลกกับเงิน 30 ล้าน”
“แต่งงานแลกเงิน คุณหนูจะแต่งงานเหรอครับ?”
ศักดิ์สิทธิ์พยักหน้ารับสีหน้าเครียด
“จะไปเครียดทำไมครับ ก็แค่หาเมีย”
“คุณพูดเหมือนง่ายอย่างนั้นแหละ แล้วผมจะไปหาจากไหนได้ คุณลองคิดดูสิ”
“ก็คุณลินไงครับ ทั้งสวย ทั้งฉลาด แถมยังร้องเพลงเก่งด้วย”
“ไม่ได้ๆๆ ขืนเป็นคุณลิน อาม่าได้ด่าตายเลย ฉันเองก็ไม่ได้ดูถูกอะไรนักร้องนะ เพียงแต่ว่าอาม่าไม่ชอบแค่นั้นเอง ถ้าเกิดเป็นคุณลิน มีหวังนอกจากจะไม่ได้เงินแล้วยังคงโดนอาม่ายึดโรงแรมอีกแหงๆ”
ปกตินิ่งคิด “อืม งั้นก็ต้องคนนี้เลยครับ”

“ไม่มีทาง”
วิชนีหน้าเหวอ ก่อนที่ลิลินจะเดินเข้ามาหา
“ฉันทำกับนายนั่นไว้ตั้งเยอะ เขาคงจะชอบฉันหรอกนะ จะฆ่าฉันล่ะสิไม่ว่า เพราะฉะนั้นดอก
ลีลาวดีหน้าห้อง ก็ต้องไม่ใช่ฝีมือนายนั่นแน่นอน เอ๊ะ หรือว่าต้องเป็นคุณวินเอามาวางให้เธอแน่เลย”
ลิลินหน้าระเรื่อ “จะบ้าเหรอ ไม่ใช่หรอก”
“จะไม่ใช่ได้ยังไง ก็เธอกับคุณวินชอบกันตั้งแต่ในป่าแล้วไม่ใช่เหรอ แถมพักนี้ เธอมีเรื่องทะเลาะกัน สงสัยคุณวินจะเอาดอกไม้มาง้อเธอแน่ๆ”
ลิลินนิ่งคิด ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ฉัน ต้องไปปริ๊นต์โน้ตเพลง ไปก่อนนะ”
พูดจบก็รีบเดินหนี แต่ก็แอบเขินอยู่ลึกๆ

ลิลินกำลังซ้อมร้องเพลงกับกระดาษโน้ตในมือ ก่อนที่จะวางโน๊ตเพลงลงอย่างไม่มีสมาธิ
“เป็นไปไม่ได้หรอก ตอนนี้เราไม่ได้ทะเลาะกัน แถมยังลงเรือลำเดียวกันแล้วด้วย เขาจะมาง้อเราทำไม? โอ๊ย ! จะคิดให้ปวดหัวทำไมเนี่ย”
คิดพลางหยิบมือถือขึ้นมามอง ลังเลจะโทรหาทิวัตถ์ดีมั้ย แต่ทันใดนั้น ทิวัตถ์ก็กลับเป็นฝ่ายโทร. เข้ามาพอดี
“โทรมาเรื่องดอกไม้หรือเปล่า?” ลิลินตั้งสติก่อนรับสาย “สวัสดีค่ะ”
“คุยได้มั้ยคุณ”
“ได้ซิ ทำไม จะโทร. มาเรื่องดอกไม้ใช่มั้ย?”
“ดอกไม้ ?”
ลิลินชะงักไปเมื่อทิวัตถ์ทำเสียงงงเหมือนไม่รู้เรื่อง
“ก็ดอกไม้ที่วางไว้หน้าห้องฉันไง เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก สงสัยมีคนทำตกเอาไว้น่ะ แล้วคุณโทร. มามีเรื่องอะไร?”
“ผมได้ยินพ่อกับแม่คุยกันเรื่องหมอศรัณย์ ผมไม่รู้อะไรมากหรอกนะ แต่เท่าที่ฟัง เหมือนพ่อกับแม่ผมจะสงสัยว่าผู้กำกับทรงเผ่ากับหมอศรัณย์จะร่วมมือกันแบล็คเมล์พ่อกับแม่ผม”
“คุณแน่ใจเหรอ?”
“ผมบอกแล้วไงว่า ผมได้ยินมาแค่นี้ แล้วคุณรู้หรือยังว่าจะหาเบาะแสใหม่ได้จากที่ไหน? ”
ลิลินนิ่งใช้ความคิด
“ฉันจะโทร. มาบอกคุณเรื่องนี้เหมือนกัน เดี๋ยวบ่ายนี้จะมีของบางอย่างไปส่งที่บ้านคุณ”
“ของ ? ของอะไร”
“ของที่จะทำให้ครอบครัวคุณพาเราไปหาเบาะแสใหม่ยังไงล่ะ”

ลิลินพูดด้วยแววตามั่นใจ
 
อ่านต่อตอนที่ 11
กำลังโหลดความคิดเห็น