ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 9
ทิวัตถ์ที่เดินออกมามุมหนึ่งที่หน้าบ้าน ไม่เข้าใจตัวเองทำไมต้องหงุดหงิดกับคำพูดของสิตาที่พูดว่าลิลินเป็นแฟนกับวิทยา
“นี่เราเป็นอะไรไปเนี่ย?”
จากนั้นก็ตัดสินใจมาที่โรงแรมรอยัลเพิร์ล ด้วยความกระวนกระวายใจ อยากเจอลิลิน ปกติที่เดินสวนมาเข้ามาทัก
“อ้าวคุณวิน แหม วันนี้มาซะมืดเลยนะครับ อ๋อ คุณวินคงมาหาคุณหนู แต่คุณหนูกลับไปนานแล้วนะครับ”
“เปล่า ผมไม่ได้มาหาไอ้สิทธิ์มันหรอก ว่าจะมาฟังเพลงหน่อย”
ปกติพยักหน้า ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ คุณวินจะให้ผมอยู่ฟังเพลงเป็นเพื่อนมั้ยครับ?”
“ไม่เป็นไร”
ทิวัตถ์พูดจบก็เดินออกไปทันที แต่ขณะกำลังจะเดินขึ้นบันไดเข้าไปในโรงแรม บังเอิญหางตาเหลือบเห็นลิลินที่เดินออกมาจากอีกทาง ท่าทางรีบร้อน เขารีบวิ่งตามไปด้วยความสงสัย ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายขึ้นรถของโรงแรมออกไป เขารีบขึ้นรถแล้วขับตามไปอย่างรวดเร็ว
วิทยาเดินออกมาจากบ้าน มาหยุดที่ใต้ต้นลีลาวดีก่อนมองขึ้นไปบนต้นลีลาวดี แล้วนึกย้อนกลับไปยังอดีต
เขามองเห็นภาพลิลินในวัยเด็กนั่งอยู่ใต้ต้นลีลาวดี มองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่มีดาวระยิบระยับ
“นอนไม่หลับเหรอหนูลี”
“หนูลีคิดถึงพ่อป้อง ทำไมพ่อป้องต้องไปจัดสวนไกลๆ ด้วย”
วิทยาในวัยเด็ก รีบบอก
“พ่อป้องต้องไปทำงาน หาเงินมาหาให้หนูลีไง”
เด็กหญิง พยักหน้าเข้าใจ
“พ่อป้องเคยบอกว่า ถ้าหนูลีคิดถึงพ่อป้องเมื่อไหร่ ก็ให้ดูพระจันทร์ เพราะพ่อป้องก็กำลังมองพระจันทร์ดวงเดียวกันอยู่ แต่คืนนี้ทำไมพระจันทร์มันหายไปไหนก็ไม่รู้”
เด็กชายอมยิ้มก่อนจะเดินลงมานั่งข้างๆ พยายามนึกเรื่องราวที่ทำให้อีกฝ่ายสบายใจ
“หนูลีรู้มั้ยว่าแต่ก่อนเรามีพระจันทร์ 2 ดวง มีพระจันทร์ผู้ชายกับพระจันทร์ผู้หญิง แต่ก่อนพระจันทร์ทั้ง 2 ดวงรักกันมาก จนกระทั่งพระจันทร์ผู้หญิงโกรธพระจันทร์ผู้ชาย แล้วพระจันทร์ผู้หญิงก็ได้หนีไป”
“ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ?” เด็กหญิงถามประสาซื่อ
“พระจันทร์ผู้ชายเฝ้าตามพระจันทร์ผู้หญิง แต่วันแล้ววันเล่า ก็ยังไม่เจอเธอ พระจันทร์ผู้ชายจึงระเบิดตัวเองเป็นดวงดาวเล็กๆ เพราะเขาคิดว่าถ้าเขากระจายกันไป จะต้องพบกับเธอ”
“แล้วพระจันทร์ผู้ชายเจอมั้ย?”
เด็กชายส่ายหน้า
“วันนึงพระจันทร์ผู้หญิงรู้ว่าพระจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตัวเองเพื่อตามหาเธอ เธอจึงได้กลับมาหาเขาอีกครั้ง แต่ก็พบว่าพระจันทร์ผู้ชายได้กลายเป็นดวงดาวเล็กๆ ไปแล้ว เธอเศร้าโศกเสียใจ เพราะรู้ว่าเธอคงจะไม่มีทางได้พบกับพระจันทร์ผู้ชายอีก และด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของพระจันทร์ทั้งสอง ทำให้ทั้งสองต่างส่องประกายแสงเคียงข้างกัน เพื่อแสดงถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของทั้งคู่”
เด็กหญิงเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า
“ถ้าหนูลีหายไป พี่วิทจะทำยังไง?”
“พี่เหรอ ? ก็คงเหมือนพระจันทร์ผู้ชายมั้ง”
“ได้ที่ไหน พี่วิทจะระเบิดตัวเองได้ไง?”
ลิลินทำหน้างอน วิทยาอมยิ้ม ก่อนที่จะเห็นทั้งคู่นั่งมองท้องฟ้าด้วยกัน
แต่แล้ววันหนึ่งเด็กหญิงลิลินก็กลับต้องถูกส่งตัวไปอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้า โดยที่เขาไม่สามารถช่วยอะไรได้
วิทยาเงยหน้ามองต้นลีลาวดีแล้วพูดกับตัวเอง
“ขอความกล้าให้ฉันด้วย ให้ฉันกล้าบอกเธอ”
จังหวะเดียวกับที่ลิลินที่หยุดยืนมองวิทยาอยู่ก่อนที่จะตะโกนเรียก
“คุณวิท”
เขาหันไปมอง เห็นเธอก็ยิ้มดีใจ จากนั้นก็พาเธอมาหยุดที่ใต้ต้นลีลาวดี อีกมุมหนึ่งทิวัตถ์จอดรถซุ่มดูอยู่ พยายามมองฝ่าความมืดไปที่บ้านของวิทยาอย่างอยากรู้
ลิลินกอดอกเพราะรู้สึกหนาว วิทยาสังเกตเห็น จึงเอาเสื้อคลุมไหล่ให้
“ขอบคุณค่ะ เรื่องสำคัญที่คุณวิทอยากคุยกับฉัน คือเรื่องอะไรคะ?”
วิทยามองลิลินนิ่งก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น
“ผมกำลังจะทำตามสัญญา”
“สัญญา ? สัญญาอะไรคะ?”
“รอแป๊ปนึงนะครับ”
วิทยาเดินเข้าไปในบ้าน ลิลินมองตามอย่างสงสัย ทันใดนั้นทั่วทั้งสวนหน้าบ้านก็สว่างขึ้นด้วยไฟระยิบระยับ
ลิลินมองไปรอบๆ ด้วยอาการที่ตื่นเต้น เมื่อหันนกลับมา ก็เห็นวิทยากำลังเดินตรงมา ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า พลางมองสบตากับเธอ
“พี่สัญญาว่าพี่จะระเบิดตัวเองตามหาหนูลีไง”
ลิลินหัวใจเต้นแรง แต่พยายามบ่ายเบี่ยง
“คะ? คุณวิทพูดเรื่องอะไร?”
“ถึงหนูลีจะบอกว่าไม่ใช่ แต่สิ่งหนึ่งที่โกหกไม่ได้ แล้วพี่ก็ไม่เคยลืม ก็คือรอยยิ้มของหนูลี”
ลิลินใจเต้นรัว ครุ่นคิดว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี
ทิวัตถ์ทนไม่ไหวก่อนจะตัดสินใจดับเครื่องแล้วลงจากรถ
ลิลินนิ่งไปก่อนจะมองวิทยาแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ ว่า
“ในที่สุด พระจันทร์ผู้ชายก็ได้พบกับพระจันทร์ผู้หญิง”
วิทยายิ้มออกมา เพราะที่ลิลินพูดอย่างนั้นก็เท่ากับเธอยอมรับว่าเธอคือหนูลี
“พี่พยายามระเบิดตัวเองให้เหมือนดวงดาวที่สุดแล้วนะ”
ลิลินอมยิ้ม “ทำไมคุณ...”
“เรียกพี่วิทเหมือนเดิมก็ได้นะหนูลี”
ลิลินอมยิ้ม ขณะที่ที่ทิวัตถ์เดินมาตามทางมุ่งหน้ามาที่บ้านอย่างร้อนใจ
“ค่ะพี่วิท ทำไมพี่วิทถึงไม่บอกว่าจำหนูลีได้ตั้งแต่แรกล่ะคะ?”
“ทำไมพี่จะไม่อยากบอก ตอนที่พี่เห็นรอยยิ้มของหนูลี หนูลีรู้มั้ยพี่ดีใจมาก หลังจากวันนั้นพี่ก็อยากบอกหนูลีใจจะขาด แต่พี่ไม่กล้า พี่ไม่รู้ว่าหนูลีจะจำพี่วิทคนนี้ได้มั้ย? กว่าที่พี่จะตัดสินใจกล้าบอกหนูลีวันนี้พี่ต้องรวบรวมความกล้าอยู่นาน พี่กลัวว่าถ้าบอกไปแล้วเกิดหนูลีลืมพี่ พี่คง..”
ลิลินไม่รอให้วิทยาพูดจบ รีบสวนขึ้นทันที
“หนูลีไม่เคยลืมพี่วิท”
วิทยายิ้มกว้างอย่างดีใจ
“พี่ก็ไม่เคยลืมหนูลีเด็กน้อยขี้แย ที่ชอบเก็บดอกลีลาวดีมาให้พี่วิทร้อยสร้อยได้เลย”
พูดพลางลูบหัวลิลินอย่างเอ็นดู ก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มให้กัน พร้อมกับที่ทิวัตถ์ที่เดินมาตามทางก่อนจะมาเห็นภาพบาดตาเข้าพอดี เขาถึงกับอึ้งเหมือนถูกฟ้าผ่ากลางหัวใจ
“หนูลีรู้มั้ย ว่าตั้งแต่ลุงป้องจากไป พี่ก็พยายามตามหาหนูลี แต่พี่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มตามหาจากตรงไหน? พี่ไม่รู้ว่าจากวันที่ลุงป้องถูกจับหนูลีจะเป็นยังไง? ไปอยู่ที่ไหน? แต่สิ่งเดียวที่พี่รู้ก็คือพี่รู้ว่าหนูลีต้องกลับมา”
วิทยาพูดพลางมองหน้าลิลินเหมือนอยากจะถามว่าเธอกลับมาหาวิทยาคนเดิมใช่มั้ย ทว่า
แววตของาลิลินกลับเปลี่ยนไปเป็นสายตาที่แข็งกร้าวขึ้น ความคับแค้นในใจฉายชัด
“ยังไงหนูลีก็ต้องกลับมา”
วิทยายิ่งดีใจ คิดว่าทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างที่คิด ก่อนที่จะอึ้งเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจกลับมาหาเขา
“เพราะหนูลีต้องมาทวงความยุติธรรมให้กับพ่อป้อง”
ทิวัตถ์เดินเข้ามาได้ยินประโยคสุดท้ายพอดี
“ทวงความยุติธรรม ? เธอเป็นใครกันแน่ ?”
วิทยายื่นกุญแจส่งให้กับลิลิน
“หนูลีรับไว้นะ มันเป็นกุญแจบ้าน พี่ตั้งใจเอามาให้หนูลี เพราะยังไงบ้านหลังนั้นก็ยังเป็นบ้านของหนูลีเสมอ พี่อยากให้หนูลีกลับไปอยู่ที่บ้านด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน”
ทิวัตถ์ยิ่งฟังก็ยิ่งสงสัย ขณะเดียวกันลิลินก็หลบสายตาที่กังวลขึ้นมา
“หนูลีคงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะพี่วิท”
“หนูลียังไม่ต้องรีบตัดสินใจให้คำตอบพี่ตอนนี้หรอก พี่ให้เวลาหนูลีคิด ในระหว่างที่พี่ไปชุมพรพอดีพี่ได้งานจัดสวนรีสอร์ทที่นั่น”
ลิลินรีบถามต่อ “ไปนานหรือเปล่าคะ?”
“ไม่นานหรอกจ้ะ เพราะพี่ต้องรีบมาฟังคำตอบจากปากของหนูลีไง”
ลิลินยิ้มให้ วิทยายิ้มตอบ ด้วยสายตาอบอุ่น ขณะที่ทิวัตถ์เต็มไปด้วยคำถามที่ว่าสิ่งที่เขาได้ฟังทั้งหมดมันเรื่องอะไรกัน ความสัมพันธ์ของลิลินกับวิทยา และสิ่งที่ลิลินบอกว่าจะทวงความยุติธรรม มันคืออะไรกันแน่?
เช้ารุ่งขึ้น ทรงพล ศุภารมย์ อนันยช นั่งพร้อมหน้าที่โต๊ะอาหาร ครู่หนึ่งทิวัตถ์ก็เดินเข้ามาสมทบอนันยชรีบพูดล้อๆ
“ไง เมื่อคืนแอบไปฟังเพลงที่ผับมาเหรอวะ?”
ศุภารมย์สังเกตอาการทิวัตถ์ ที่นิ่งไม่ตอบอะไร
ระหว่างที่ทุกคนกำลังทานอาหารกันพร้อมหน้า อนันยชมองท่าทีก่อนเปิดประเด็นขึ้น
“ตอนนี้ก็เคลียร์ปัญหาเรื่องที่ไอ้กฤษดาลอบทำร้ายวินไปเรียบร้อยแล้ว ผมอยากจะให้เร่งการแต่งงานเข้ามาจากกำหนดเดิมจะได้มั้ยครับ?”
ทรงพลถอนหายใจ ศุภารมย์เป็นฝ่ายพูดขึ้นมา
“ตามกำหนดเดิมก็ดีแล้ว ฝ่ายหญิงจะได้ไม่ดูเสียหายมากไปกว่านี้”
ขาดคำเสียงของวาสนาก็ดังแทรกขึ้นมา
“แหม อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเชียว หวังว่าฉันคงไม่ได้มาขัดจังหวะเวลาอาหารเช้าของทุกคนนะ”
ทุกคนยกมือไหว้ วาสนารับไหว้ส่งๆ
“ยายจะทานอะไรก่อนมั้ยครับ?”
วาสนาหันมายิ้มให้ทิวัตถ์
“ขอบใจมากนะ ที่มีกะจิตกะใจเรียกคนแก่ทานข้าว แหม นี่พ่อวันเขาก็จะสละโสดแล้ว แล้วพ่อวินล่ะเมื่อไหร่จะแต่ง หรือว่ายังไม่มีคนที่ชอบ”
ทิวัตถ์ชะงักไปเพราะคิดถึงลิลินขึ้นมา วาสนารีบรุกทันที
“เอางี้ซิ บอกสเป็กยายมา แม่สื่อมือทองอย่างยาย รับรองว่าไม่เกิน 3 วัน”
“ขอบคุณที่หวังดีครับ แต่เรื่องนั้นผมยังไม่ได้คิด ขอโทษนะครับ ผมขอขึ้นไปพักดีกว่า สวัสดีครับ”
ทิวัตถ์ยกมือไหว้วาสนา พลางรีบลุกออกไป ศุภารมย์รีบพูดดักคอ
“ป้าน้อยคงไม่ใช่แค่จะแวะมาทานอาหารเช้า ใช่มั้ยคะ?”
วาสนาพยายามข่มอารมณ์ อนันยชหันมองแต่ไม่เห็นวรรณิตเข้ามาด้วย
“แล้วนี่ณิตไม่ได้มาด้วยเหรอครับ?”
“ไม่ได้มา ตอนนี้ฉันไม่อยากให้ยัยณิตถูกแดดถูกฝน เดี๋ยวถึงวันงานแล้วคนจะติฉินได้ว่าเจ้าสาวไม่สวย”
“แล้วตกลงป้ามาทำอะไรคะ?”
ศุภารมย์ถามย้ำ พลางจ้องมองวาสนาด้วยแววตานิ่ง
“เรื่องสินสอดใช่มั้ยคะ?”
วาสนาหัวเราะขำ
“อุ๊ยตาย แม่ต่ายนี่ช่างรู้ใจป้าจริงๆ ก็แล้วแต่แม่ต่ายเห็นสมควรก็แล้วกัน แต่อย่าให้มันน่าเกลียดนักล่ะ เดี๋ยวพ่อพลจะเสียชื่อเสียงเอา”
“ป้ามีตัวเลขในใจไว้เท่าไหร่คะ?”
วาสนาล้วงซองกระดาษในกระเป๋าส่งให้ศุภารมย์
“แค่นี้ขนหน้าแข้งพ่อพลกับแม่ต่ายคงไม่ร่วงหรอกนะ”
ศุภารมย์เปิดซองออก ก่อนจะส่งกระดาษให้ทรงพลดู พอทั้งคู่เห็นตัวเลขก็ชะงักไป
“ราคาประเมินสูงกว่าสินค้าอีกนะคะ”
ทรงพลหันมาปรามภรรยา “เอาน่าคุณไม่เป็นไร”
“ฉันว่าแล้วเชียวว่าพ่อพลต้องไม่ขัดข้อง แค่นี้คงไม่กระทบกับความมั่งคั่งของพวกเธอหรอก”
วาสนายิ้มอารมณ์ดีขึ้นมาที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ขณะที่ศุภารมย์ไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่
“อ้อ แล้วก็อีกเรื่อง เรื่องกำหนดการพิธีต่างๆ”
ศุภารมย์รีบบอก “ก็กำหนดการเดิมยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”
“ไม่ได้นะ เมื่อวานฉันไปหาพระครูให้ท่านดูฤกษ์ให้แน่นอน ท่านบอกดวงของพ่อวันกับแม่ณิตเนี่ย ต้องแต่งภายในอาทิตย์หน้าเท่านั้น”
อนันยชดีใจ “จริงเหรอครับ?”
“ก็ใช่น่ะซิ ท่านพระครูว่าถ้าเลยอาทิตย์หน้าไป กว่าฤกษ์จะมาบรรจบอีกทีก็ปีหน้า”
ศุภารมย์แย้งขึ้นมาทันที
“มันไม่เร็วไปเหรอคะ? แค่อาทิตย์เดียว คงจะเตรียมทุกอย่างไม่ทัน”
อนันยชโพล่งขึ้น
“ทันครับ งานนี้เป็นงานแรกที่เจ้าสิทธิ์ทำพรีเวดดิ้งให้ มันก็เลยกระตือรือร้นจนทำทุกอย่างไปได้แปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว”
วาสนาหัวเราะร่วน ที่ทุกอย่างเข้าทาง
“ต๊าย ท่านพระครูนี่แม่นจริงๆ ดูซิแม่ต่าย แค่ได้ฤกษ์มาแค่นี้ทำอะไรก็ไม่มีติดขัด ป้าว่าแต่งตามฤกษ์ที่ท่านพระครูบอกเถอะ”
ศุภารมย์กับทรงพลแอบสบตากันอย่างหนักใจ
ศรัณย์ตรวจดูความเรียบร้อยของกล้องวิดีโอเสร็จ ก่อนจะหันมาถามปรมัตถ์ ที่นอนอยู่บนเตียง
“วันนี้พร้อมนะ วันนี้เป็นครั้งแรก หมออาจจะใช้เวลานานหน่อย ถ้าคุณเครียดหรือรู้สึกอะไรก็พูดออกมาได้เลยนะ”
ปรมัตถ์พยักหน้ารับคำ “ได้ครับ”
“คุณปรมัตถ์ค่อยๆ หลับตาทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย”
ศรัณย์หันไปแกว่งลูกตุ้มแบบโมเมนตัม ปรมัตถ์หันมองไปที่นาฬิกาที่ผนังก่อนจะหลับตาตามที่หมอบอกเพื่อเริ่มการรักษา เสียงติ๊กต๊อกดังก้องกังวานไปทั่วห้อง
“เมื่อคุณได้ยินเสียงหมอดีดนิ้ว คุณจะกลับสู่ปัจจุบัน”
ขาดคำเสียงศรัณย์ดีดนิ้ว ก็ดังขึ้น เพื่อให้ปรมัตถ์ออกจากอาการสั่งจิตใต้สำนึก และตื่นขึ้นจากภวังค์
ปรมัตถ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองนาฬิกาที่ผนัง แล้วก็ตกใจเมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
“นี่เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้วเหรอครับ? ผมรู้สึกเหมือนหลับตาไปแค่นาทีเดียวเอง”
“เพราะว่าคุณหลับลึกไงล่ะ”
ปรมัตถ์เห็นศรัณย์กำลังหยิบม้วนเทปวิดีโอออกจากกล้อง ก่อนจะใส่กล่องแล้วเก็บเข้าไปในตู้เซฟ
“แล้วคุณหมอพอจะทราบสาเหตุของผมหรือยังครับ?”
“อาการความเครียดของคุณเกิดจากการความคาดหวัง คุณคาดหวังกับผู้หญิงคนนึง”
ปรมัตถ์นิ่งไป ระหว่างนั้นศรัณย์ก็กำลังเขียนใบสั่งยาให้
“แค่ครั้งแรกคงยังไม่ถึงกับดีขึ้น เดี๋ยวจะสั่งยาให้ทานควบคู่กับการรักษาไปด้วย ยังไงคุณลองทานยาตามที่หมอสั่งแล้วลองสังเกตอาการดูนะว่าดีขึ้นมั้ย?”
ปรมัตถ์ยิ้มรับ “เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ?”
“ครับ แต่หมออยากให้คุณนั่งพักก่อน ยังไงหมอขอตัวไปสั่งยากับใบนัดให้คุณด้านหน้าก่อนนะครับ”
ปรมัตถ์มองตามจนแน่ใจ ก่อนจะรีบเข้าไปเปิดตู้เซฟที่เก็บม้วนวิดีโอการรักษาทันที แต่ก็พบว่ามันล็อกสนิท เขาถึงกับหน้าเครียด เมื่อออกมาที่หน้าคลีนิค ก็รีบโทร. หาลิลินทันที
“ลิน มัตหาวิธีเข้าไปเอาเทปในห้องหมอศรัณย์มาแล้วนะ แต่ยังเอาเทปออกมาไม่ได้นะลิน เพราะหมอศรัณย์เก็บไว้ในตู้เซฟ”
ลิลินนิ่งคิด
“ถ้าอย่างนั้นมีทางเดียว คือลินต้องหาทางให้หมอศรัณย์มาหาคุณวิน แล้วมัตจะได้หากุญแจเปิดเซฟเอาเทปออกมาให้ลินได้”
“ แล้วลินจะทำยังไง? ในเมื่อหมอศรัณย์เพิ่งไปหาคุณวินมาเองไม่ใช่เหรอ?”
ลิลินวางสายปรมัตถ์ก่อนจะใช้ความคิดอย่างหนัก
ขณะที่ลิลินกำลังซ้อมร้องเพลงอยู่ในสวน ศักดิ์สิทธิ์ก็เดินเข้ามาคุยด้วย
“เพราะได้คุณลินซ้อมร้องเพลงให้ต้นไม้ของผมฟังนี่เอง มิน่าถึงได้พากันออกดอกโตวันโตคืน แบบนี้คงไม่ต้องรดน้ำใส่ปุ๋ยแล้วมั้งครับเนี่ย”
ลิลินยิ้มขำ “แหม คุณสิทธิ์ก็พูดเกินไปค่ะ นี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเหมือนเดิมมั้ย กลัวแฟนเพลงผิดหวัง
น่ะค่ะ”
“แฟนเพลงน่ะไม่ผิดหวังหรอกครับ กลัวแต่ไอ้วินนี่ซิ”
“คุณวิน? ทำไมเหรอคะ?”
ศักดิ์สิทธิ์เห็นลิลินสนใจขึ้นมาทันทีก็รีบแบต่อ
“ไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอกครับ พอดีเห็นว่าไอ้วินมันจะมาคุยเรื่องงานแต่งงานของไอ้วัน ก็เลยกะว่าจะนั่งคุยกันไปฟังเพลงกันไปน่ะครับ เอ่อ ตกลงคุณลินหายแล้วใช่มั้ยครับ?”
ลิลินพยายามเก็บความกระตือรือร้นที่จะได้เจอกับทิวัตถ์ไว้
ลิลินที่อยู่ในชุดนักร้องกำลังแต่งตัวเตรียมไปร้องเพลง จากนั้นก็เปิดลิ้นชักจะหยิบเครื่องประดับ แต่แล้วต้องชะงักไปเมื่อเห็นกล่องไม้ ทำให้เธอรู้สึกตัว เธอเปิดกล่องไม้ออก แล้วหยิบสร้อยลีลาวดีขึ้นมาดู
ก่อนจะวางสร้อยไว้ข้างกล่อง พลางจะหยิบรูปพ่อแม่ลูกขึ้นมาดู จังหวะเดียวกับที่วิชนีเปิดประตูเข้ามาในห้อง
ลิลินรีบปิดเก็บกล่องไม้ลงไป แต่ไม่ทันได้เก็บสร้อย
“อ้าวลิน ฉันนึกว่าเธอไม่ได้อยู่ในห้องซะอีกเลยไม่ได้เคาะก่อน แล้ววันนี้พร้อมจะขึ้นเวทีแล้วเหรอ?”
ลิลินรีบเบี่ยงเบนความสนใจของวิชนี
“นีช่วยดูหน่อยสิว่าชุดเรียบร้อยดีมั้ย?”
วิชนีจับลิลินหมุนตัว ก่อนจะสังเกตว่าเหมือนขาดอะไรไป
“สวยแล้ว แต่ฉันว่าเหมือนขาดอะไรไปนะ”
พูดพลางหันไปเห็นสร้อยลีลาวดี เลยเอามาใส่ให้
“นี่แหละ เหมาะกันกับชุดของเธอมากเลย”
“ขอบใจนะนี”
ลิลินยิ้ม ก่อนจะมองสร้อยข้อมือเหมือนมีความมั่นใจมากขึ้น
อ่านต่อหน้า 2
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 9 (ต่อ)
ลิลินเดินมาตามทางกำลังจะไปที่ผับด้วยสีหน้าแช่มชื่น ระหว่างนั้นเจอเข้ากับศักดิ์สิทธิ์และทิวัตถ์ที่เดินเข้ามา
ลิลินชะงักไปเมื่อเห็นทิวัตถ์ อีกฝ่ายก็อยู่ในอาการไม่ต่างกัน แต่รีบปั้นหน้านิ่งได้ทัน
“จะเข้าผับใช่มั้ยครับ เดี๋ยวไปพร้อมกันเลย ว่าแต่วันนี้พร้อมแล้วใช่มั้ยครับ เดี๋ยวผมจะโดนใครบางคนตำหนิได้ว่าใช้แรงงานคนป่วย”
ศักดิ์สิทธ์พูดล้อๆ
“แหม คุณสิทธิ์ก็พูดเกินไปค่ะ วันนี้ฉันพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วค่ะ”
ลิลินพูดพลางหันมองทิวัตถ์ที่ทำหน้านิ่งแบบคนอกหักด้วยความแปลกใจ
ศักดิ์สิทธิ์จับความผิดสังเกตระหว่างทิวัตถ์กับลิลินได้ เลยแกล้งทำทีเป็นปวดท้องขึ้นมา
“เอ้อ ไอ้วินงั้นแกไปกับคุณลินก่อนนะ พอดีฉันจู่ๆ ก็ปวดท้องขึ้นมาว่ะ เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำก่อน”
พูดพลางจะเดินออกไป แต่ทิวัตถ์ก็คว้าคอเอาไว้
“ที่ผับก็มีห้องน้ำ”
“ไม่ได้หรอกว่ะฉันติดที่ แกไปก่อนแล้วกัน ฝากไอ้วินไปด้วยนะครับคุณลิน”
“ไม่ต้องฝาก แกไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น”
ทิวัตถ์พูดพลางดึงตัวศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนทำหน้าไม่ถูก ลิลินแปลกใจท่าทางของทิวัตถ์ที่เปลี่ยนไป
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ผมไม่ใช่คนที่คุณจะเป็นห่วง”
“หมายความว่าไง?”
ทิวัตถ์ไม่ตอบ แต่รีบเดินออกไปเลย ศักดิ์สิทธิ์รีบวิ่งตามไป ลิลินมองตามด้วยความสงสัย
ทางด้านอนันยชที่มานั่งในผับก่อนแล้ว ก็ยังหว่านเสน่ห์ใส่สาวๆ ตามนิสัยเดิมไม่หยุด ส่วนทิวัตถ์กับศักดิ์สิทธิ์นั่งอยู่ที่โต๊ะอีกตัว
“นี่แกกับคุณลินทะเลาะกันอีกแล้วเหรอวะ?”
ทิวัตถ์รีบบอก “เปล่า ฉันแค่ไม่ชอบคนมีเจ้าของ”
“คนมีเจ้าของ ? นี่แกรู้เรื่องคุณลินกับคุณวิทแล้วซิ เฮ้ย ! ไอ้วิน ฉันว่าเขา 2 คนไม่ใช่แฟนกันหรอกวะ”
“พอเถอะ ฉันไม่ได้อยากฟัง”
ศักดิ์สิทธิ์ถึงกับหน้าเจื่อน จังหวะเดียวกับที่พิธีกรบนเวทีประกาศ
“ขอเชิญพบกับลิลิน ลีลาวดีเพลิง”
พลันเสียงปรบมือจากแขกก็ดังกึกก้องไปทั่วผับ ก่อนที่ลิลินจะปรากฏตัวขึ้นสะกดทุกสายตาทิวัตถ์เห็นลิลินเดินขึ้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าก็ยิ่งหงุดหงิดรำคาญใจ
“ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเธอกำลังคิดจะทำอะไร?”
ลิลินร้องเพลงจนจบ พร้อมกับเสียงปรบมือของบรรดาแขกที่ดังสนั่น อนันยชรีบหันมาบอกกับศักดิ์สิทธิ์
“เฮ้ย ไอ้สิทธิ์ ฉันอยากให้แกจัดการพานักร้องคนนี้มาร้องเพลงในวันงานฉันด้วย แกจะมีปัญหามั้ยวะ?”
ศักดิ์สิทธิ์รีบนวดแขนให้อนันยช แบบเอาใจเสี่ย
“ได้ครับเสี่ย ไม่มีปัญหา ผมไม่ขัดข้องอยู่แล้ว”
ทิวัตถ์มองตามลิลินก่อนที่ความอยากรู้ จะทำให้เขาทนนั่งต่อไปไม่ไหว รีบลุกตามไป
“เดี๋ยวก่อน”
ลิลินหันไปเห็นทิวัตถ์กำลังเดินตรงเข้ามา
“วันนี้ไม่ต้องไปหาแฟนเหรอ?”
ลิลินชะงักไม่เข้าใจเรื่องที่ทิวัตถ์พูด “คุณเป็นไรของคุณ?”
“คำถามนี้ฉันต้องเป็นคนถามเธอมากกว่า บอกมาว่าเธอต้องการอะไรกันแน่?”
ลิลินยิ่งฟัง ก็ยิ่งไม่เข้าใจ
“หมายความว่าอะไร? ฉันไม่เข้าใจ คุณเป็นอะไรของคุณ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย”
“เธอต่างหากที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ที่เธอบอกว่าเธอต้องการแก้แค้น แก้แค้นอะไร ??
ลิลินตกใจที่ทิวัตถ์รู้เรื่องเป้าหมายของเธอ แต่ก็พยายามทำไก๋
“คุณได้ยินใครพูดอะไรมาผิดหรือเปล่า? ฉันเนี่ยนะแก้แค้น”
ทิวัตถ์ยิ้มเยาะ
“แอ็คติ้งอย่างคุณไม่น่ามาเป็นนักร้องตามผับเลยนะ น่าจะไปเป็นนักแสดงคอยเล่นละครตบตาคนอื่นมากกว่า ผมจะบอกให้ก็ได้ว่าทำไมผมถึงรู้เรื่องนี้ เพราะวันก่อนผมได้ยินคุณคุยเรื่องนี้กับคุณวิทยามากับหูของผม คุณจะบอกว่าคนอื่นมาเป่าหูผม คงเป็นไปไม่ได้ หรือคุณอยากฟังเรื่องที่ให้กุญแจบ้านกัน เพราะบ้านนั่นมันเป็นบ้านของคุณ”
ลิลินตกใจ แต่พยายามข่มความรู้สึกไม่ให้แสดงออกมาต่อหน้าทิวัตถ์
“คุณยังมีอะไรจะแก้ตัวอีกมั้ย?”
ทิวัตถ์พูดพลางจับข้อมือลิลินขึ้นมาดึงเอาไว้ อีกฝ่ายพยายามจะดึงกลับ ก่อนที่เขาจะอึ้งไปเมื่อเห็นสร้อยลีลาวดีที่ข้อมือของเธอ
พลันภาพในอดีตตอนที่เขาช่วยเธอให้พ้นจากการจมน้ำ และช่วยเก็บสร้อยข้อมือดอดลีลาวดีขึ้นมาจากสระบัวก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ
ทิวัตถ์ที่มองสร้อยลีลาวดีที่มือของลิลินขึ้นมาดูอย่างแปลกใจ
“สร้อยลีลาวดี”
ลิลินพยายามจะชักมือกลับ แต่ทิวัตถ์ก็ดึงเอาไว้
“เธอได้สร้อยเส้นนี้มาได้ยังไง?”
ทิวัตถ์เห็นสร้อยลีลาวดีก็ทำให้เกิดอาการปวดหัวขึ้นมา ลิลินอึ้งไปไม่ทันตั้งตัวที่ถูกอีกฝ่ายจู่โจมตั้งคำถาม ก่อนจะหาทางบ่ายเบี่ยง
“ทำไม สร้อยแบบนี้มีขายออกถมเถไป หาซื้อที่ไหนก็ได้ คุณมีธุระแค่นี้ใช่มั้ย ปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้”
“ไม่”
สิ้นคำว่าไม่ ลิลินก็ตบหน้าทิวัตถ์เต็มแรง เขาหันมองหน้าเธอเหมือนต้องการจะอ่านความคิดจากแววตา
ลิลินสะบัดมือออกก่อนจะรีบวิ่งออกไป ทิวัตถ์มองตามไปก่อนที่อาการปวดหัวจะรุนแรงขึ้น จนต้องฝืนใจเดินมากรอกยาของศรัณย์ที่รถกินเพื่อแก้อาการ
ทางด้านลิลินที่เดินพ้นทิวัตถ์มาหยุดที่มุมหนึ่ง ก่อนจะมองกลับไป เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตามมา ก็ผ่อนลมหายใจที่ระทึกออกช้าๆ ก่อนจะมองดูที่สร้อยข้อมือ
“แม่ หรือว่าคุณวินจะจำหนูลีได้?”
ทิวัตถ์เดินเข้ามาในบ้านด้วยสภาพที่ย่ำแย่เพราะปวดหัวจนแทบเดินไม่ไหว เสียงกรีดร้องของ
ศุภิสราดังก้องไปทั่ว ยิ่งทวีความปวดหัวให้รุนแรงมากขึ้น กระทั่งภาพสุดท้าย ที่เห็นร่างของแม่หล่นลงมาอยู่ที่พื้น สติของเขาก็ขาดผึงล้มลงที่หน้าประตูบ้านทันที
วีระกำลังเก็บกระเป๋าเตรียมหนีกฤษดาอยู่อย่างรีบร้อน ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น เขารีบลุกไปเปิดอย่างหงุดหงิด
พอประตูเปิดออก วีระทำหน้าตกใจ
“ไอ้กฤษ”
“เออ ฉันเอง”
กฤษดาเดินผ่านวีระเข้ามาในห้อง ตามมาด้วยลูกน้อง วีระมองอย่างหวั่นใจ ก่อนจะปิดประตูแล้วเดินตามเข้าไป
“แกจะทำอะไร? จัดห้องใหม่เหรอ?”
กฤษดาเดินสำรวจทั่วห้อง วีระยืนดูด้วยความหวาดหวั่น
“เอ่อ เออ ใช่ๆ พอดีจะเปลี่ยนตู้เสื้อผ้าด้วย”
กฤษดาทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้ “เป็นไรวะไอ้วีระ ไม่ต้องเกร็งหรอก เรามันคนกันเอง”
วีระนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ไอ้กฤษ ฉันขอโทษ ฉัน...”
“ไม่เป็นไร เราเป็นเพื่อนกัน ขอกันกินมากกว่านี้อยู่แล้ว”
วีระได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจยิ้มขึ้นมาได้
“นี่แกไม่โกรธฉันจริงๆ เหรอวะ?”
กฤษดาไม่ตอบ แต่กลับหันไปหาลูกน้อง ที่รีบวิ่งเข้าไปจับวีระจากด้านหลังทันที
“เฮ้ย แกมาจับฉันทำไม ปล่อยนะเว้ย”
วีระพยายามดิ้นรนสุดแรง แต่ก็ไม่สำเร็จ กฤษดาหยิบผ้าขึ้นมาม้วนเป็นเส้น
“เพื่อนดีๆ อย่างแก จะไปหาได้อีกที่ไหนวะ เอาเงินฉันไปแล้วยังขายฉันให้ศัตรูอีก”
วีระหน้าซีดเผือด
“ไอ้กฤษ ฉันขอโทษ ขอโทษ แกอยากให้ฉันทำอะไร แกบอกมาเลย”
“ง่ายๆ ว่ะเพื่อน แกแค่นั่งนิ่งๆ ก็พอแล้ว”
กฤษดาพูดพร้อมกับค่อยๆ เดินเข้าไปหาวีระที่ตื่นกลัวอย่างสุดขีด ก่อนจะจับผ้าทั้งสองฝั่งอย่างมั่นคง แล้วยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็เอาผ้าพันคอวีระ อีกฝ่ายดิ้นรนอยู่สักพักแล้วนิ่งไป
ศุภารมย์กับทรงพลเดินคุยกันเรื่องเตรียมงานแต่งงานของอนันยชมาจากด้านบน จู่ๆ ป้าจวนก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาชี้ไปที่หน้าประตู
“แย่แล้วค่ะคุณท่าน แย่แล้ว ค คุณ คุณวิน!!”
ทรงพลกับศุภารมย์ตกใจ
ยอดแบกทิวัตถ์ที่หมดสติเข้ามาในห้อง ทรงพล ศุภารมย์และป้าจวน รีบวิ่งตามเข้ามาด้วยอาการตระหนก
“เกิดอะไรขึ้น?”
ทรงพลหันปถามป้าจวน
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ลงไปก็เห็นคุณวินนอนหมดสติอยู่หน้าประตูแล้วค่ะ”
ทรงพลกับศุภารมย์ตกใจ ขณะที่ที่ทิวัตถ์นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง
ลิลินกับวิชนีเดินมาตามทางไปที่ห้องครัว พอมาถึงหน้าห้องครัวก็เห็นศักดิ์สิทธิ์ยืนหน้าเครียดอยู่
“เมื่อคืนไอ้วินนอนสลบอยู่หน้าบ้าน เพิ่งมีคนไปเห็นเมื่อเช้านี่เอง”
ลิลินตกใจ “อะไรนะคะ สลบ?”
“ครับ ผมเพิ่งคุยกับน้าต่ายเมื่อกี๊เอง เธอโทร. มาถามว่าเมื่อคืนวินมาที่นี่แล้วเกิดอะไรขึ้น?”
ลิลินได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป เพราะรู้ว่าเป็นเพราะทิวัตถ์เห็นสร้อยข้อมือเธอแน่นอน
ทิวัตถ์ฟื้นขึ้นมาอย่างงงๆ ก่อนจะเห็นศุภารมย์กับทรงพลเฝ้าอยู่ที่เตียงด้วยความเป็นห่วง
“วิน เป็นไงบ้างลูก?”
ทิวัตถ์มองอย่างงงๆ “เข้ามาหาผมในห้องมีอะไรกันครับ?”
ทรงพลรีบถาม
“นี่วินจำไม่ได้เหรอ? เมื่อคืนวินไปที่ผับ แล้วกลับมาก็สลบอยู่หน้าบ้าน”
ทิวัตถ์หยุดคิด ก่อนจะคิดออกว่าเป็นเพราะเห็นสร้อยข้อมือของลิลินทำให้อาการกำเริบ แต่ก็ตอบบ่ายเบี่ยงไป
“สงสัยเพราะผมไม่ค่อยได้ดื่มเหล้าครับ”
ศุภารมย์ตกใจแต่ก็งงๆ อยู่ “ลูกดื่มเหล้าเหรอ?”
ทิวัตถ์อ้ำๆอึ้งๆ จังหวะเดียวกับที่อนันยชเดินเข้ามา
“วิน เป็นไงบ้าง?”
ทิวัตถ์ส่ายหัวช้าๆ “มึนหัวนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก”
“วินจะไปโรงพยาบาลมั้ย? เดี๋ยวแม่ตามยอดให้”
ศุภารมย์ลุกกำลังจะออกไป ทิวัตถ์รีบห้าม เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่โต
“ไม่ต้องครับ นอนพักสักหน่อยก็คงจะหาย”
ศุภารมย์พยักหน้าอย่างเช้าใจ ก่อนจะเดินนำทรงพล กับอนันยชออกไป
ทิวัตถ์เริ่มทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
พอเดินพ้นห้องของทิวิตถ์ ทรงพลกับศุภารมย์ก็หันมาคาดคั้นกับอนันยชทันที
“เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น?”
อนันยชทำหน้าเซ็งก่อนจะหันกลับไปตอบ “ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ”
ทรงพลถามย้ำ “วินไม่ได้กินเหล้าใช่มั้ย?”
“ใช่ครับ นายวินเนี่ย จับกรอกปากยังไม่อยากจะกลืนเลย”
ทรงพลกับศุภารมย์ได้ยินอนันยชตอบอย่างนั้นก็มั่นใจว่าทิวัตถ์โกหก
“แล้วลูกรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้อง?”
อนันยชนิ่งคิด “ผมไม่เห็นอะไรจริงๆ นะ เพราะหลังจากเพลงจบ วินขอตัวไปโทรศัพท์แล้วก็
หายไปเลย”
ศุภารมย์ขมวดคิ้ว “เพลงจบ เพลงอะไร?”
“เพลงอะไรสงสัยแม่ต้องไปถามคุณลินแล้วล่ะครับ เพราะเพลงเก่าขนาดนั้น ผมไม่รู้จริงๆ”
ศุภารมย์ทำสีหน้าสงสัยเมื่อได้รู้ว่าลิลินกลับมาร้องเพลงแล้ว
ทางด้านปรมัตถ์ก็กลับมารักษาที่คลีนิคของศรัณย์อีกครั้ง
“เคยได้ยินมั้ยครับ คนบางคน มีความสุขกับการที่ได้แอบรัก เคยมีการถามคำถามนี้กับคนกลุ่มนึง ครึ่งต่อครึ่งที่บอกว่าตอนที่จีบกันโดยไม่รู้ว่าเธอจะรับรักหรือเปล่า กลับมีความสุขมากกว่าตอนที่เธอรับรักแล้ว”
ปรมัตถ์พยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ผมเองก็อยากจะคิดแบบนั้น แต่ทุกครั้งที่ผมคิดถึงเธอ ผมรู้สึกว่าเธอคงไม่รักผม”
“บางทีอาจจะเป็นเรื่องร้ายๆ ที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของคุณ นอนที่เตียงได้เลยครับ”
ปรมัตถ์ลุกขึ้นก่อนจะเดินไปนั่งที่เตียง จังหวะเดียวกับที่ศรัณย์หยิบกุญแจมาไขตู้เซฟ แต่บังเอิญ เสียงมือถือดังขึ้น เขาจึงเดินมาวางกุญแจไว้ที่โต๊ะก่อนจะหยิบมือถือมาดู เห็นว่าศุภารมย์โทรมา
“เอ่อ สักครู่นะครับ สายนี้ผมต้องรับจริงๆ”
ศรัณย์รีบเดินออกจากห้อง ขณะที่ปรมัตถ์มองตามก่อนจะหันมองกุญแจที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสบโอกาส
ศุภารมย์ยืนคุยโทรศัพท์สีหน้าเรียบเฉยอยู่ที่สวนหลังบ้าน
“สวัสดีค่ะคุณหมอ ดิฉันอยากให้คุณหมอรีบมาที่นี่อย่างด่วนที่สุดเลยค่ะ”
“มีอะไรครับ หรือคุณวินอาการกำเริบอีกแล้ว?”
“ไม่แน่ใจค่ะ แต่เมื่อคืนวินนอนหมดสติอยู่หน้าบ้าน”
“ได้ครับ ผมจะรีบไปทันที”
ศรัณย์วางสายก่อนจะรีบเดินกลับไปที่ห้องรักษาทันที
ทางด้านปรมัตถ์พยายามจะเปิดตู้ พร้อมกับที่ได้ยินเสียงศรัณย์เดินมา พออีกฝ่ายเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก็เห็นเขานั่งที่เตียงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ศรัณย์รีบแจ้งเลื่อนนัดปรมัตถ์เป็นอาทิตย์หน้า อ้างว่าต้องไปธุระด่วน ปรมัตถ์มองกุญแจบนโต๊ะของศรัณย์อย่างเจ็บใจ และเสียดายโอกาส
ทางด้านวาสนากำลังนั่งคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอย่างออกรส ครู่หนึ่งนพรก็เดินแข้ามา พลางโยนหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะตรงหน้า
วาสนาหยิบหนังสือพิมพ์ไปดูสักพักก็อุทานออกมา
“ศพชายถูกโยนทิ้งน้ำ ตำรวจเจอศพไอ้ยุทธแล้วเหรอ? แกแน่ใจนะว่าไม่มีใครรู้”
นพกรยิ้มเหี้ยม “ไม่มีใครสาวมาถึงเราแน่”
จากนั้นก็กระชากหนังสือพิมพ์ออกจากวาสนา พร้อมแบมือยื่นให้แทน
“รีบๆ จ่ายมา”
วาสนายังไม่ทันได้จ่าย ก็ต้องตกใจ เพราะเหลือบไปเห็นวรรณิตยืนอยู่ ฝ่ายหลังห็นหนังสือพิมพ์ ก็รีบตรงเข้าไปหยิบมาอ่าน แล้วก็หน้าซีด
“ยัยณิต ฟังยายนะ”
วรรณิตไม่ฟังเสียง ทิ้งหนังสือแล้ววิ่งร้องไห้ออกไป วาสนาจะวิ่งตาม แต่นพกรค้วาแขนไว้ ฝ่ายนั้นรู้ทันจึงรีบหยิบเงินส่งให้
“เอาไปแล้วก็หุบปากให้สนิทล่ะ”
วรรณิตวิ่งฟูมฟายเข้ามาในห้อง ก่อนที่วาสนาจะเดินตามเข้ามา
“แกจะเสียใจให้คนอย่างมันทำไม จำไม่ได้หรือไงว่ามันทำกับแกไว้แค่ไหน ให้มันตายๆ ไปน่ะดีแล้ว”
“ถึงขนาดต้องฆ่าต้องแกงกันเลยเหรอยาย ชีวิตคนทั้งคนนะ ถึงเค้าจะเลวยังไง...”
วาสนาขัดขึ้นอย่างรำคาญ
“โอ๊ย นังณิต หรือจะรอให้มันแฉเรื่องของแกก่อน พูดอะไรตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว แกก็คิด
ซะว่ามันช่วยทำให้แกสบาย ส่วนแกก็แค่ตอบแทนด้วยการเอาเงินไปทำบุญให้มันก็พอแล้ว”
วรรณิตน้ำตาคลออย่างทำใจไม่ได้
ทางด้านศุภารมย์ก็เข้ามากำชับป้าจวนในครัวให้ทำอาหารเพิ่มเพื่อรับรองศรัณย์ ครู่หนึ่งอนันยชก็เดินเข้ามาหา
“พอดีผมนัดช่างตัดเสื้อจากกรุงเทพมานะครับ ว่าจะให้มาวัดตัวแม่กับคนในบ้าน เพื่อตัดชุดใหม่ไปงานแต่งของผมไงครับ”
ศุภารมย์อึ้งไปครู่หนึ่ง “อย่าลืมบอกคุณน้าด้วยแล้วกัน”
อนันยชอ้าปากพูดต่อ แต่พอศุภารมย์เห็นทิวัตถ์ลงมา ก็เบนความสนใจทันที
“วิน ทำไมไม่นอนพักเยอะๆ รีบลุกออกมาทำไม”
ทิวัตถ์ยิ้มให้ “ไม่เป็นอะไรแล้วครับ ผมหายดีแล้ว”
“ยังไม่ได้ทานมื้อเช้าใช่ไหม เดี๋ยวแม่ไปบอกป้าจวนให้ทำอะไรให้กินล่ะกัน”
พูดจบก็รีบเดินออกไป อนันยชบ่นอุบ เพราะยังไม่ได้พูดจาให้รู้เรื่อง
พออยู่กันตามลำพัง ทิวัตถ์ก็หันมาถามอนันยชทันที
“แม่ต่ายกับพ่อถามอะไรนายรึเปล่า?”
“จะเหลือเหรอ ก็นายดันไปบอกแม่กับคุณน้าว่ากินเหล้ามา 2 คนนั้นเขาก็สงสัยสิวะ”
ทิวัตถ์หน้าเจื่อน “แล้วจะให้ฉันบอกยังไงล่ะ อยู่ๆ ก็มานอนหน้าบ้านเนี่ย”
“ก็บอกไปตามความจริงซิ เออ แล้วทำไมนายถึงได้มานอนสลบอยู่อย่างนั้นได้”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่โรคเดิมๆ น่ะ”
ทิวัตถ์อึกอักอีกตามเคย ระหว่างนั้นศุภารมย์ก็เดินเข้ามาพอดี อนันยชเห็นโอกาสเหมาะ รีบเข้าไปนั่งข้างๆ ทันที
“แม่ครับ ผมยังพูดไม่จบเลย”
“อยากได้อะไรอีกล่ะคราวนี้”
อนันยชยิ้มหวานเอาใจ
“คือนอกจากเรื่องสินสอดที่แม่จะให้ณิต ผมอยากจะขออีกอย่างนึงครับ ผมอยากขอสร้อยของน้าต้อยครับ”
ทั้งศุภารมย์และทิวัตถ์ต่างก็อึ้งไป
“เรื่องนี้แม่ตอบไม่ได้หรอก เพราะสร้อยไม่ใช่ของแม่”
“แต่แม่เป็นคนดูแลข้าวของในบ้านนี่ครับ นะครับแม่”
ศุภารมย์เริ่มโมโห
“พอได้แล้ววัน สร้อยเส้นนั้นมันเป็นของวิน แค่หนูณิตหน้าเหมือนยังไม่พออีกเหรอ?”
ทิวัตถ์และอนันยชถึงกับชะงักไป ก่อนที่ศุภารมย์จะรู้ตัวแล้วรีบปรับอารมณ์ให้ปรกติที่สุด
“ถ้าวันอยากได้ ผมไม่มีปัญหาครับ ผมว่าเราเก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้อะไร ถ้าแม่ยังอยู่ แม่คงอยากให้เป็นของขวัญงานแต่งงานหลานนะครับ”
อนันยชยิ้มดีใจ
“มันต้องอย่างนี้ซิ ใช่เลยวิน ขอบใจมากนะ ขอบใจจริงๆ”
พูดพลางเข้าไปกอดคอทิวัตถ์อย่างลิงโลด ตรงข้ามกับศุภารมย์กลับดูไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่
พออนันยชลุกเดินออกไป ทิวัตถ์ก็หันมาทางศุภารมย์
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับแม่ต่าย ผมคิดดูแล้วว่าอะไรที่ทำให้ผมมีความสุข ระหว่างสร้อยเส้นนั้นกับความรู้สึกของวัน ผมขอตัวนะครับ”
ทิวัตถ์ยิ้ม เพื่อทำให้ศุภารมย์หมดห่วงก่อนที่จะเดินออกไป อีกฝ่ายมองตามอย่างเหนื่อยใจกับการกระทำของลูกชาย
ทิวัตถ์เดินเข้ามาในห้องก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยใจ พร้อมกับนึกไปถึงลิลิน เจ็บใจที่โดนเธอหลอก
“ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าเธอเป็นใครกันแน่?”
อ่านต่อหน้า 3
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 9 (ต่อ)
วิชนียังครุ่นคิดเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์บอกว่าทิวัตถ์สลบอยู่หน้าบ้าน
“คุณวินก็ดูออกจะแข็งแรงไม่น่าจะเป็นลมเป็นแล้ง หรือสลบกันไปง่ายๆ แบบนั้นได้ หรือว่าลินจะหักอกคุณวิน คุณวินก็เลยเสียใจ”
ศักดิ์สิทธิ์ส่ายหน้าอย่างระอา “แล้วนี่เธอจะไปยุ่งอะไรกับเขามากมาย”
ลิลินที่แอบอยู่ที่ประตูครัว ทำสีหน้าไม่สบายใจกับสิ่งที่ทั้งคู่คุยกัน ก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปหา พร้อมทั้งทำตัวปรกติ
“คุณสิทธิ์อยู่นี่จริงๆ ด้วยนะคะ ลินมาบอกว่าลินจะขอออกไปข้างนอกหน่อยค่ะ วันนี้เป็น
วันครบรอบวันตายของพ่อนะค่ะ ลินก็เลยจะขอไปทำบุญให้พ่อหน่อย”
“อ๋อ ได้สิครับ ไม่มีปัญหา”
ลิลินยิ้มขอบคุณ ก่อนจะเดินออกไป ศักดิ์สิทธิ์กับวิชนีได้แต่มองตาม ต่างคนต่างยังคงคาใจ
ลิลินนั่งรถของโรงแรมออกไป ขณะที่ทิวัตถ์ที่ซุ่มดูอยู่ รีบขับรถตามไปทันที
หลังจากกรวดน้ำเสร็จ ลิลินก็มานั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อ
“อุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับเสร็จแล้วใช่ไหมโยม โยมโกรธกับผู้ตายเหรอ?”
ลิลินตกใจกับคำถาม “ เปล่าค่ะ ทำไมเหรอคะ?”
“อาตมาเห็นความทุกข์ ความโกรธแค้น อยู่ในแววตาของโยม”
ลิลินรีบอธิบาย “ผู้ตายคือพ่อของดิฉันเองค่ะ ดิฉันไม่มีวันโกรธพ่อของตัวเองหรอก”
“อาตมาไม่รู้หรอกนะว่าโยมมีเรื่องโกรธแค้นอะไร กับใคร แต่ก่อนที่โยมจะทำอะไร อาตมาอยากให้รู้ว่ากรรมนั้นให้ผลซื่อสัตย์นัก เมื่อทำแล้วก็เหมือนกับการดื่มยาพิษร้ายแรงเข้าไป กรรมดีก็จะส่งผลดี กรรมชั่วก็จะส่งผลชั่วนะโยม”
ลิลินยกมือไหว้รับคำสอน ก่อนที่หลวงพ่อจะเดินออกไป ขณะที่ทิวัตถ์แอบมองอยู่ห่างๆ
จากนั้นลิลินก็มายืนหน้าโกศของปองภพด้วยแววตาเศร้าสร้อย
“พ่อคะ หนูมาหาพ่อค่ะ หนูมาขอโทษพ่อ ที่หนูเกือบจะลืมสิ่งที่พวกนั้นทำไว้กับเรา แต่พ่อไม่ต้องห่วงนะคะ หนูจะทำทุกอย่าง เพื่อทวงความบริสุทธิ์ของพ่อคืนมาค่ะ”
พูดจบก็นำดอกลีลาวดีไปวางที่หน้าโกศ แล้วเดินออกไป จากนั้นทิวัตถ์ก็เดินเข้ามาแล้วมองที่โกศว่าคนที่ลิลินพูดด้วยคือใคร
“ปองภพ?”
เขาถึงกับตกใจที่เห็นชื่อและรูปของปองภพ หมายความว่าลิลินคือลูกของคนที่ฆ่าแม่เขาเอง
“ไม่ ไม่จริง”
เขาช็อกจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
ลิลินอยู่ที่ห้องโถงที่บ้านของทิวัตถ์ พลางมองไปที่รูปครอบครัว มีทิวัตถ์ อนันยช ทรงพลและ
ศุภารมย์ที่ใส่กรอบโชว์ไว้
“ทำชั่วอะไรไว้ ก็ต้องได้รับโทษอย่างสาสม”
พักใหญ่ศุภารมย์ก็เดินเข้ามานั่ง ลิลินนั่งตาม
“สวัสดีค่ะคุณต่าย ขอโทษที่มาโดยไม่ได้บอก แต่เห็นคุณวินบอกว่า คุณต่ายให้เข้ามาสอนเหมือนเดิม ถ้าเกิดฉันหายดีแล้ว”
“ได้ซิ ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มเรียนกันเลยดีกว่า จริงซิ แล้ววินล่ะ?”
ศุภารมย์ถามขึ้นมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ทำเอาลิลินแปลกใจ
“คุณวิน ?”
“อ้าว ฉันเห็นวินไม่อยู่บ้าน ไม่ได้ไปหาเธอหรอกเหรอ?”
ลิลินส่ายหน้า “เปล่าค่ะ”
ศุภารมย์แปลกใจแต่ก็ไม่พูดอะไรมาก
“ถ้าอย่างนั้นเราไปที่สวนกันดีกว่า”
พูดจบก็เดินนำออกไป ลิลินเดินตามอย่างระวังตัวเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน
กานดาเดินถือแฟ้มมาวางที่โต๊ะคฑาวุธ แต่พอหันหลังกลับ ก็เห็นทิวัตถ์ที่เดินเข้ามาในอาการสะโหลสะเหล
“น้ากาน พ่ออยู่ไหนครับ?”
กานดามองสภาพของทิวัตถ์อย่างมึนงง
จากนั้นทิวัตถ์ก็ตรงรี่เข้าไปหาทรงพลในห้องทำงาน
“พ่อครับ ผมอยากคุยกับพ่อ. เรื่องแม่น่ะครับ”
ทรงพลเห็นท่าทางจริงจังของลูกชาย ก็ถึงกับอึ้งไป
“นายปองภพ คนที่ฆ่าแม่ผม เขามีลูกสาวใช่ไหมครับ แล้วหลังจากที่เขาตาย เธอไปอยู่ที่ไหน?”
ทิวัตถ์พยายามเก็บกั้นอารมณ์และถามให้ดูเป็นปรกติที่สุด ขณะที่ทรงพลทั้งตกใจและแปลกใจ
“วินรู้ได้ยังไงว่าปองภพมีลูกสาว”
“ผมคุ้นๆ น่ะครับ”
ทรงพลพยายามเก็บอาการ “แล้ววินถามทำไม? มีอะไรรึเปล่า?”
“ผมแค่สงสัยน่ะครับ เผอิญผมไปเจอเด็กผู้หญิงคนนึงกำลังเล่นสนุก ผมก็เลยรู้สึกคุ้นๆ กับเสียงของเด็กผู้หญิงขึ้นมาน่ะครับ”
ทรงพลเลี่ยงที่จะตอบตรงๆ “เรื่องมันนานมาแล้ว พ่อเองก็จำไม่ค่อยได้แล้วล่ะลูก”
“ครับ งั้นผมไม่กวนพ่อแล้ว เจอกันที่บ้านนะครับ”
ทิวัตถ์เห็นทรงพลเหมือนจ้องจับผิดตัวเองอยู่จึงกลัวว่าตัวเองจะแสดงอาการอะไรออกไปให้อีกฝ่ายจับได้ เลยตัดปัญหาด้วยการรีบออกจากห้องทันที
ทางด้านลิลินก็กำลังฝึกสอนให้ศุภารมย์หายใจเข้า-ออกอย่างเป็นจังหวะ ในขณะเดียวกันอีกฝ่ายกลับสังเกตพฤติกรรมของเธอไปด้วย
“พักสักหน่อยเถอะ เธอสอนมานานแล้ว”
“ก็ดีค่ะ”
ลิลินรับคำพลางเดินไปดื่มน้ำ ศุภารมย์เดินตามมาพูด
“หลังจากหายไข้ เธอก็ขึ้นร้องเพลงทุกวันเลยเหรอ?”
“ค่ะ มันเป็นงานนี่คะ”
“แสดงว่าวันนั้นที่วินไปที่ผับ พวกเธอก็ได้เจอกันจริงๆ น่ะสิ”
ลิลินพยายามตอบให้สั้นที่สุด เพราะไม่รู้ความต้องการศุภารมย์ “ค่ะ”
“แล้วเธอรู้มั้ยว่าหลังจากวันนั้นวินไม่สบาย”
“เห็นคุณศักดิ์สิทธิ์พูดอยู่เหมือนกันค่ะ”
ศุภารมย์พยายามสังเกตท่าที
“งั้นเธอก็คงจะรู้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับวิน”
ลิลินเห็นอย่างนั้นก็พอจะเดาออกว่าทิวัตถ์ยังไม่ได้เล่าอะไรให้ศุภารมย์ฟัง
“ข้อนี้ฉันไม่ทราบ แต่ถ้าให้เดา ก็คงไม่พ้นเรื่องราวในอดีตที่ทำให้คุณวินอาการกำเริบขึ้นมาได้
หรือคุณต่ายคิดว่าไงคะ?”
ศุภารมย์ชะงักที่ถูกลิลินย้อนถาม ขณะเดียวกับที่ทิวัตถ์ที่กลับมาถึงบ้าน และแอบมองทั้งคู่อยู่ที่หน้าต่าง
“เธอต้องการอะไรกันแน่?”
ทางด้านศุภารมย์ก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะตอบ
“เก่งนะที่รู้ว่าวินมีอาการแบบนั้น ทั้งๆ ที่ไม่มีใครกล้าพูดมันออกมา”
“ทำไมจะต้องไม่กล้าล่ะคะ? ในเมื่อมันเป็นความจริง ถึงไม่พูด คนอื่นก็รู้อยู่ดี”
“ฉันไม่แปลกใจเลยที่เธอใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้ ก็เพราะเธอกล้าหาญแบบนี้นี่เอง”
ลิลินยืดอกอย่างมั่นใจ
“คนอย่างฉันกล้าทำทุกอย่าง ที่คิดว่ามันถูกต้อง”
“แต่ความถูกต้องไม่ได้เป็นฝ่ายชนะเสมอไป”
ลิลินสวนกลับทันที “คุณต่ายพูดเหมือนเคยทำอะไรผิดมาเลยนะคะ”
ทั้งคู่พูดลองเชิงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ระหว่างนั้นเม็ดนุ่นก็เข้ามาบอกว่ามีคนมาหา ศุภารมย์จึงถือโอกาสเดินเลี่ยงไป ลิลินพยายามสงบสติอารมณ์ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงของทิวัตถ์ดังขึ้นมา
“มาที่นี่ทำไม?”
ลิลินหันมาเห็นทิวัตถ์ก็ชะงักไป ก่อนจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ฉันก็มาสอนร้องเพลงไง”
“โกหก ผมรู้ความจริงทุกอย่างแล้ว คุณคือลูกสาวนายปองภพ!”
ลิลินได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
ศุภารมย์เดินเข้ามาในบ้าน ก็เห็นศรัณย์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีค่ะคุณหมอ ขอโทษที่ให้รอนะคะ”
ศรัณย์ยิ้มรับ
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้นานอะไรมาก ว่าแต่ครั้งนี้ คุณวินมีอาการอะไรครับ?”
“ปวดหัวเหมือนเดิมค่ะ แต่ครั้งนี้ดูจะรุนแรงหน่อย ถึงขนาดสลบไปเลย”
ศรัณย์รีบถามอย่างกังวล “แล้วคุณวินว่ายังไงบ้างครับ?”
“วินไม่ยอมบอกอะไรเลยค่ะ ดิฉันกลัวว่า วินจะจำอะไรบางอย่างได้”
ศรัณย์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นผมขอคุยกับคุณวินหน่อยแล้วกันครับ”
“ตอนนี้วินไม่อยู่บ้านค่ะ”
ป้าจวนที่ยืนอยู่ด้วย แปลกใจว่าทำไมศุภารมย์ยังไม่เจอทิวัตถ์
“กลับมาแล้วนะคะ คุณท่านไม่เห็นเหรอคะ? เมื่อกี้ยังไปหาคุณท่านที่สวนอยู่เลย”
ศุภารมย์แปลกใจ
“ไปหาที่สวนเหรอ?”
ลิลินยังนิ่งเงียบ ทิวัตถ์ดึงแขนขึ้นมา ก่อนจะคาดคั้น
“อย่าเงียบสิ มีอะไรก็พูดออกมา พูดสิว่าคุณไม่ใช่ลูกนายปองภพ ฆาตกรที่ฆ่าแม่ผม พูดสิ”
ลิลินหมดหนทางแก้ตัว จึงจำต้องยอมรับ
“ใช่ ฉันเป็นลูกพ่อป้อง”
ทิวัตถ์ทั้งอึ้งไป ทั้งเสียใจที่สิ่งนี้จะเป็นตัวขัดขวางไม่ให้เขาและลิลินรักกันได้
“ในที่สุดคุณก็ยอมรับจนได้ บอกผมมาว่าคุณต้องการอะไร?”
ลิลินไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกแล้ว “ฉันมาทวงความยุติธรรมให้พ่อ”
“ทวงความยุติธรรมอะไร? ในเมื่อทุกอย่างมันบอกอยู่แล้วว่าพ่อคุณคือฆาตกร”
ลิลินสะบัดมือหลุดจากการจับของทิวัตถ์ ก่อนจะสบตาเขาด้วยสายตาที่จริงจัง
“ไม่จริง ฉันจับพิรุธครอบครัวคุณได้ มันต้องมีความลับบางอย่างแน่”
“นี่คุณกำลังกล่าวหาครอบครัวผมอยู่”
ลิลินสวนกลับ “ก็เหมือนที่พวกคุณกล่าวหาพ่อฉัน พ่อฉันไม่ใช่ฆาตกรฆ่าแม่คุณ”
ทิวัตถ์ยิ้มเยาะ
“คุณคงรักพ่อกับแม่มากสินะ รักจนไม่เชื่อในหลักฐานทุกอย่างที่ฟ้องว่าคนๆ นั้นคือพ่อของคุณ”
“ไม่จริง คุณจำได้มั้ยวันที่คุณไปช่วยฉันที่วัด วันรุ่งขึ้นลุงช่วยก็ตาย”
“แล้วมันเกี่ยวอะไร?” ทิวัตถ์ย้อนถาม
“เกี่ยวตรงที่ลุงช่วยคือพยานคนสำคัญที่บอกได้ว่าพ่อฉันไม่ได้ทำ”
“แต่ผมเห็นกับตาว่าพ่อคุณเป็นคนผลักแม่ผม”
“คุณคิดว่าสิ่งที่คุณเห็นเป็นความจริงทั้งหมดหรือไง?”
ทั้งคู่จ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ระหว่างนั้นศุภารมย์ก็พาศรัณย์เข้ามา ทิวัตถ์หันไปเห็นก็
แปลกใจ
“วินมาตั้งแต่เมื่อไหร่? แม่ไม่เห็นเลย”
“สักพักแล้วครับ สวัสดีครับอาหมอ”
ลิลินเห็นหมอศรัณย์ก็แอบยิ้ม เพราะคิดแผนบางอย่างขึ้นมาได้ ศุภารมย์สังเกตเห็นอาการทิวัตถ์ก็เลยสงสัย
“เมื่อกี้กำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอวิน?”
ลิลินลุ้นระทึกว่าทิวัตถ์จะพูดความจริงไหม แต่แล้วเขาก็กลับพูดขึ้นว่า
“ทักทายเรื่องทั่วไปครับ พอดีผมเห็นเธออยู่คนเดียว”
ศุภารมย์พยักหน้า “จ้ะ เออวิน คุณหมออยากคุยกับลูกหน่อยน่ะ”
ลิลินแอบถอนหายใจโล่งอก
ทิวัตถ์แยกมานั่งคุยกับศรัณย์ตามลำพัง
“ช่วงนี้คุณวินมีอาการอะไรแปลกไปหรือเปล่าครับ?”
“ก็คงจะเป็นปวดหัวเหมือนเดิมครับ”
ศรัณย์พยายามสังเกต และรู้สึกได้ว่าทิวัตถ์อยากจะพูดบางอย่าง
“คุณวินมีอะไรจะพูดกับหมอรึเปล่า?”
“คือ คือผมสงสัยครับ ว่าทำไมผมถึงปวดหัวหลังจากวันที่แม่ผม......”
ทิวัตถ์ไม่กล้าพูดต่อ ศรัณย์ได้ที จึงพูดแทรกขึ้นมา
“เพราะหัวคุณได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง คุณวินสงสัยอะไรเหรอครับ?”
ทิวัตถ์นิ่งไป ก่อนจะตัดสินใจถามเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด
“ถ้าอย่างนั้นพอจะเป็นไปได้ไหม ที่ความทรงจำของเราจะเปลี่ยนเองได้”
ศรัณย์ถึงกับชะงักไป “ทำไมเหรอครับ?”
“ถ้าเรามีคนที่รักมากคนนึงและคิดว่าเขาคนนั้นเป็นคนดีมากๆ แล้วอยู่ๆใครคนนั้นทำอะไรที่เรารับไม่ได้ลงไป สมองเราจะยังสั่งให้เชื่อแบบเดิมอยู่รึเปล่าครับ?”
ทิวัตถ์ดูจริงจังกับการถาม ศรัณย์เริ่มเห็นว่าเขาเริ่มถามแปลกๆ เหมือนจะจำอะไรได้จึงรีบขัด
“วันนี้เราพอแค่นี้ก่อนเถอะครับ”
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินย้อนกลับมาสมทบกับศุภารมย์ที่นั่งอยู่กับลิลิน
“คุยกันเสร็จแล้วเหรอคะคุณหมอ?”
“แค่คุยกันเบื้องต้นนะครับ เดี๋ยวเราค่อยคุยจริงจังกันอีกที”
ทิวัตถ์จ้องลิลิน อีกฝ่ายจ้องตอบ เพราะกังวลว่าเขาจะบอกความจริงเรื่องเธอ ก่อนที่ศรัณย์จะสังเกตเห็นลิลิน
“เจอกันอีกแล้วนะครับ”
“ค่ะ รู้สึกว่าเราจะได้เจอกันบ่อยนะคะ”
ศุภารมย์แอบสังเกตท่าทางของลิลิน ที่รีบพูดขึ้นมา
“จริงซิ เพิ่งนึกได้ว่า ช่วงนี้เพื่อนฉันมีเรื่องเครียดๆ อยู่พอดี จะรังเกียจมั้ยคะ ถ้าฉันอยากปรึกษาเรื่องการรักษาความเครียดของเพื่อนฉันน่ะค่ะ”
“จะรังเกียจได้ยังไงครับ ยินดีมากต่างหาก”
“ขอบคุณค่ะ”
ลิลินยิ้มรับ พลางแอบมองไปที่กระเป๋าของศรัณย์อย่างดีใจที่คิดหาทางอยู่ต่อเพื่อขโมยเมมโมรี่การ์ดการรักษาในกระเป๋าได้
จังหวะนั้นอนันยชก็พาวรรณิตเข้ามาพอดี
“สวัสดีครับทุกคน อาหมอสวัสดีครับ”
วรรณิตยกมือไหว้ตาม แต่ในจังหวะที่เงยหน้าขึ้น ศรัณย์ก็ถึงกับตกใจ
“แหม อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างนี้ มีอะไรพิเศษกันหรือเปล่าครับ?”
อนันยชถามอย่างอารมณ์ดี ศุภารมย์เห็นอาการศรัณย์ ก็รีบตัดบทจะให้แยกย้าย
“ไม่มีหรอก คุณลินเธอมาสอนแม่ร้องเพลง นี่ก็กำลังจะกลับแล้ว”
ลิลินรู้ว่าศุภารมย์พยายามจะกันเธอออกจากวง แต่โชคดีที่อนันยชพูดขึ้นมาพอดี
“อ้าว ทำไมรีบกลับล่ะครับ นานๆ จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างนี้ ผมว่าเราน่าจะนั่งดื่มชาด้วยกันหน่อยนะครับ”
ลิลินรีบรับคำ “ได้ค่ะ”
ศุภารมย์กับทิวัตถ์ลอบมองลิลินอย่างไม่ไว้วางใจ
ที่โต๊ะน้ำชาในสวนยามบ่าย ทิวัตถ์ดูพยายามเก็บอารมณ์ ผิดกับลิลินกับอนันยชที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ส่วนศุภารมย์นั่งแอบมองสำรวจแต่ละคน ขณะที่ศรัณย์ยังจ้องวรรณิตไม่วางตา
“เหมือนใช่มั้ยครับ?”
อนันยชหันมาถาม ศรัณย์พยักหน้า
“เหมือนมาก”
“เหมือนอะไรเหรอคะ?”
ลิลินหันถาม ทุกคนอึ้งๆ ไปไม่ค่อยอยากจะบอก แต่ในที่สุดศรัณย์ก็ตัดสินใจบอก
“เหมือนคุณแม่ของคุณวินน่ะครับ”
“งั้นเหรอคะ? แสดงว่าคุณแม่คุณวินจะต้องสวยแบบคุณณิตด้วย ใช่มั้ยคะ? นึกถึงวันที่คุณณิตสวมชุดเจ้าสาว คงเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดแน่นอน”
อนันยชยิ้มภูมิใจ “ใช่เลยครับคุณลิน”
ศุภารมย์ชักไม่สบอารมณ์ ระหว่างนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น ศุภารมย์มองเบอร์ พอเห็นว่าเป็นทรงพลโทร. มา ก็รีบกดรับสาย
“ค่ะคุณ”
“เกิดเรื่องแล้วคุณ เมื่อกี๊วินมาหาผม แล้วถามถึงปองภพ”
ศุภารมย์ได้ยินก็ชะงักไปก่อนจะหันมาพูดกับทุกคนตรงหน้าอย่างปรกติที่สุด
“ตามสบายนะ”
พูดพลางลุกพาตัวเองเดินเลี่ยงออกไป ลิลินเห็นศุภารมย์เดินออกไปก็เป็นจังหวะที่เธอจะเริ่มเล่นเกมต่อ
“คุณวันกับคุณวรรณิต เจอกันได้ยังไงเหรอคะ?”
“เราคงเจอกันตั้งแต่ชาติปางก่อนมั้งครับ”
อนันยชพูดพลางหันไปมองวรรณิตอย่างคนที่หลงสาวอย่างหัวปักหัวปำ ลิลินมองดูท่าทางของทั้งคู่ ก่อนจะหันไปถามทิวัตถ์ที่นั่งติดกันเบาๆ
“คุณณิตหน้าเหมือนแม่คุณขนาดนี้ คุณไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ?”
“ผมจะรู้สึกอะไร มันก็คงไม่เกี่ยวกับคุณ เพราะนี่มันเรื่องในครอบครัวผม”
ทิวัตถ์จ้องหน้าลิลินเอาเรื่อง แต่อีกฝ่ายกลับหันมาปั้นหน้ายิ้มให้กับทุกคนอย่างไม่สะทกสะท้าน
ฟากศุภารมย์ก็เดินปลีกเข้ามาที่ห้องครัวที่ไม่มีใครอยู่
“คุณบอกว่าวินถามถึงปองภพเหรอ?”
“ใช่ แถมยังถามถึงลูกสาวเขาด้วย”
ศุภารมย์ขมวดคิ้วแปลกใจ
“เป็นไปได้ยังไง หมอศรัณย์ไม่เคยพูดถึงลูกสาวนายปองภพ ส่วนเราก็ไม่เคยบอกให้วินรู้”
“แสดงว่าวินต้องไปรู้อะไรมาแน่ๆ แล้วนี่วินอยู่บ้านใช่มั้ยคุณ?”
“อยู่ค่ะ แล้วตาวันก็พาหนูณิตมาด้วย”
ทรงพลเริ่มเป็นกังวล “งั้นเดี๋ยวผมจะยกเลิกประชุมแล้วรีบกลับทันที”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ตอนนี้หมอศรัณย์ก็อยู่ด้วย คิดว่าน่าจะรับมือได้”
“งั้นผมฝากด้วยนะคุณ ถ้ามีอะไรรีบโทร. บอกผมทันทีเลย”
ศุภารมย์รับคำ ก่อนจะกดวางสาย ด้วยสีหน้าเครียด
ระหว่างที่ทั้งหมดยังคงนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะน้ำชาในสวน จู่ๆ อนันยชนึกเรื่องสนุกขึ้นมา
“เฮ้ย วิน ฉันคิดอะไรดีๆ ออกแล้ว แกว่าถ้าฉันให้ณิตเข้าไปอยู่ในห้องน้าต้อย แล้วให้ยายจวนมาเห็น แกว่ายายจวนจะตกใจมั้ย?”
ความคะนองบวกกับบรรยากาศทำให้อนันยชพูดออกมาโดยไม่คิด ทิวัตถ์หน้าตึงขึ้นมาทันที
“ฉันว่าเราเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า”
อนันยชรู้ตัวก็รีบขอโทษ จังหวะนั้นลิลินก็คิดแผนการขโมยเทปในกระเป๋าศรัณย์ออกจึงเริ่มแผนการ
“ชานี่หอมจังนะคะ”
อนันยชยิ้มขอบคุณลิลินที่ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศ
“ชาดาร์จีลิงจากฝรั่งเศสครับ กลิ่นหอมสดชื่น เหมาะที่จะดื่มคู่กับคุ้กกี้ตอนบ่ายๆ เย็นๆ แบบนี้แหละครับ”
ลิลินจงใจเอื้อมมือไปหยิบคุ้กกี้แต่ในขณะที่ดึงมือกลับก็แกล้งชนถ้วยชาให้หกใส่ตัวเองเพื่อขอตัวออกไป
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ ดูซิ คุยกันสนุกจนไม่มีสติจับถ้วยชาเลย ขอตัวไปห้องน้ำแป๊บนึงนะคะ”
พูดพลางฉวยโอกาสรีบลุกออกไป ทิวัตถ์มองตามไม่วางตา
ลิลินเดินอย่างระวังตัวเข้ามาในห้องโถง พยายามมองหากระเป๋าของศรัณย์ ก่อนจะเห็นวางอยู่
ที่มุมหนึ่ง พอกำลังจะเดินเข้าไปหยิบ แต่แล้วเสียงทิวัตถ์ก็ดังขึ้น
“เข้ามาทำอะไร?”
ลิลินปรับสีหน้าเป็นปรกติ
“เมื่อกี้ก็บอกไปแล้วไง ว่าจะมาเข้าห้องน้ำ หรือถ้าคุณรังเกียจก็ไม่เป็นไร ฉันทนให้ก็ได้”
ทิวัตถ์รีบสั่งห้าม
“ต่อไปนี้ห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับบ้านผมอีก หยุดทุกอย่างซะ”
“ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากเข้ามาพัวพันกับคนสกปรกอย่างพวกคุณหรอก”
ทิวัตถ์ยิ้มเยาะ
“คนสกปรกน่าจะเป็นคนที่เล่นละครสร้างภาพให้ตัวเองดูเป็นคนดีมากกว่า”
“ฉันไปสร้างภาพตอนไหนมิทราบ”
ทิวัตถ์อารมณ์ขึ้น กระชากแขนลิลินขึ้นมาด้วยความโมโหที่ถูกหลอก
“ก็ในป่าไง คุณแค่เล่นละครและพยายามตีสนิทผม เพื่อหาทางเข้ามาแก้แค้นให้กับความเชื่อจอมปลอมที่คุณสร้างมันขึ้นมา”
ลิลินสะบัดมือออกอย่างไม่ยอมแพ้
“คุณจะคิดจะพูดอะไรก็เชิญ เพราะครอบครัวคุณเองก็เล่นเก่งไม่แพ้ฉันเหมือนกัน นี่มันแค่เริ่มต้น”
“แล้วมันก็คือจุดจบด้วย เพราะผมจะไม่ยอมให้คุณทำอะไรง่ายๆ ได้แน่ๆ”
ทั้งคู่จ้องหน้ากันอย่างเชือดเฉือน
อ่านต่อหน้า 4
ลีลาวดีเพลิง ตอนที่ 9 (ต่อ)
“เจ้าสาวของผมเป็นไงบ้างครับอาหมอ?” จู่ๆ อนันยชก็หันมาถามศรัณย์
“คุณวันจะถามในด้านไหนล่ะครับ?”
“แหม ก็ต้องเรื่องความสวยซิครับ”
ศรัณย์จ้องหน้าวรรณิต ก่อนจะตอบกลับไปนิ่งๆ
“ผมว่าเป็นการศัลยกรรมที่เก่งที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา”
คำพูดของศรัณย์ทำให้วรรณิตถึงกับทำแก้วน้ำชาหลุดมือ
“ขอโทษทีครับ ผมพูดเล่นน่ะครับ ยิ่งดูใกล้ๆ แล้วคุณณิตเหมือนคุณต้อยมาก ทำให้ผมไม่อยากจะเชื่อว่าบนโลกนี้จะมีคนสองคนที่เหมือนกันมากขนาดนี้ ขนาดฝาแฝดยังไม่เหมือนกันเท่าคุณณิตกับคุณต้อยเลยนะครับ”
วรรณิตพยายามฝืนยิ้มให้ศรัณย์ จังหวะนั้นศุภารมย์ก็เดินเข้ามาพอดี
“ขอโทษที่ปล่อยให้รอค่ะ” แล้วคุณลินกับวินล่ะ?”
อนันยชรีบบอก “ไปเข้าห้องน้ำกันน่ะครับ”
ศุภารมย์นึกแปลกใจ ขณะที่อนันยชหันไปบอกกับวรรณิต
“เอาให้เลยซิ”
วรรณิตเอื้อมมือไปหยิบกล่องขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ ส่งกล่องให้กับศุภารมย์ ที่มองแบบงงๆ
“พอดีคุณวันบอกว่าคุณแม่ชอบผ้าพันคอ ณิตเห็นว่าผืนนี้สวย คุณแม่น่าจะชอบ”
ศุภารมย์มองกล่องในมือวรรณิตก่อนจะเอื้อมมือไปรับ
“ขอบใจ”
พลางวางไว้ข้างตัวโดยไม่แกะออกมาดู ทำเอาวรรณิตถึงกับจุกที่คอ จนอนันยชต้องยิ้มให้กำลังใจ
สักพักลิลินก็เข้ามา เว้นช่วงไม่นานทิวัตถ์ก็เดินตามเข้ามา ศุภารมย์สังเกตท่าทางของทั้งคู่ ศรัณย์พยายามเปลี่ยนบรรยากาศให้ดีขึ้นโดยการชวนลิลินคุย
“เอ่อ คุณลินเป็นครูสอนร้องเพลงอยู่ที่ไหนครับ”
ทิวัตถ์ยิ้มหยัน “เธอเป็นแค่นักร้องในผับครับอาหมอ”
ศุภารมย์หันมาปราม
“วินก็พูดเกินไป ถึงจะเป็นนักร้องในผับ แต่เธอก็สอนดีนะ”
อนันยชได้ทีจึงไหว้วานให้ลิลินช่วยสอนร้องเพลง เพื่อจะร้องในงานแต่งงาน เธอรีบรับคำ ก่อนจะหันมาถามศรัณย์เพื่อหาข้อมูล
“คุณหมอถามฉันเรื่องร้องเพลงแล้ว งั้นฉันขอถามคุณหมอบ้างนะคะ ลินอยากถามเป็นความรู้น่ะค่ะว่าการรักษาแบบสั่งจิตใต้สำนึก ทำให้ความทรงจำของเราเปลี่ยนไปได้รึเปล่าคะ”
ศรัณย์ตกใจ แต่พยายามเก็บสีหน้า “คุณหมายถึงอะไร?”
ทิวัตถ์เริ่มมีอาการปวดหัวแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น
“ก็หมายถึง เราจะพูดตอกย้ำให้ใครเชื่ออะไรอย่างที่เราต้องการยังไงล่ะคะ”
“เรื่องอย่างนี้มันตอบยาก”
ทิวัตถ์หันไปจับแขนลิลิน พลางกระซิบเสียงดุ “พอได้แล้ว”
แต่ลิลินไม่สนใจ
“พอดีลินเห็นในละครน่ะค่ะ มีพยานในที่เกิดเหตุเห็นฆาตกร แต่ดันถูกหมอพูดเปลี่ยนความทรงจำแบบนี้ได้มั้ยคะ?”
ในขณะที่ทุกคนนั่งอึ้ง ทันใดนั้นร่างของทิวัตถ์ก็ล้มหมดสติลงไป
ทุกคนช่วยกันแบกทิวัตถ์เข้ามาในห้องโถง ลิลินเดินตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย
“พาคุณวินขึ้นไปก่อนครับ”
ศรัณย์เดินไปและกำลังจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าของเขา แต่ลิลินกลับคว้าตัดหน้าไปก่อน
“เดี๋ยวฉันถือให้เอง คุณหมอรีบไปดูคุณวินดีกว่า”
ศรัณย์ไม่ได้เอะใจอะไร จึงรีบไปสมทบกับคนทั้งหมดพาทิวัตถ์ขึ้นห้องไป ลิลินมองกระเป๋าที่อยู่ในมืออย่างมีความหวัง ก่อนจะรีบหอบกระเป๋าของศรัณย์มาที่สวนหลังบ้าน และเปิดออก จากนั้นก็หยิบกล้องขึ้นมาแล้วเอาเมมโมรี่การ์ดออกมาถือไว้
ระหว่างนั้นเสียงป้าจวนก็ดังขึ้น
“คุณลิน”
ลิลินสะดุ้งจนทำเมมโมรี่การ์ดหล่นลงไปในอ่างบัว ก่อนจะทำตัวปรกติ
“มีอะไรคะ?”
“ยายสิคะที่ต้องถามคุณ ว่าคุณมาทำอะไรตรงนี้คะ?”
“ลินมาเอากระเป๋าให้คุณหมอค่ะ”
พูดจบลิลินก็รีบเดินออกไป ป้าจวนมองตามอย่างงงๆ
ทุกคนมุงดูทิวัตถ์ที่นอนสลบอยู่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง ขณะที่ศรัณย์นั่งลงข้างๆ เตียง ก่อนจะจับชีพจร และเปิดเปลือกตาเขาขึ้นดู
“คุณวินหมดสติไป คงเป็นเพราะเครียดจัด”
วรรณิตหน้าเสีย คิดว่าทิวัตถ์เครียดเพราะเห็นหน้าเธอ
“ณิตขอโทษค่ะ ณิตไม่น่ามาที่นี่เลย”
อนันยชรีบพูดปลอบ “อย่าโทษตัวเองสิณิต คุณไม่ผิดซะหน่อย”
“คุณวินท่าจะอาการหนัก หมอคงต้องฉีดยา”
ศรัณย์พูดพลางหันไปข้างหลัง มองหาลิลิน ศุภารมย์มองอย่างสงสัย
“คุณหมอรออะไรคะ?”
“กระเป๋า เมื่อกี้คุณลินบอกจะเอาขึ้นมาให้นี่”
อนันยชอาสาจะลงไปตาม แต่ลิลินเดินเข้ามาในห้องพอดี
“มาแล้วค่ะ พอดีฉันหาห้องไม่เจอ ก็เลยช้าหน่อย”
พูดพลางยื่นกระเป๋าให้ ศรัณย์รับมาเปิดออกแล้วหยิบเข็มออกมาดูดยาแล้วฉีดให้ทิวัตถ์
“หมอฉีดยาคลายกล้ามเนื้อให้นะครับ เนื่องจากคุณวินเครียดจนกล้ามเนื้อเกร็งไปหมด บวกกับร่างกายอ่อนแอทำให้คุณวินสลบไป”
ลิลินยืนมองทิวัตถ์ด้วยความเป็นห่วงอยู่ลึกๆ ก่อนจะค่อยๆ ปลีกตัวออกจากห้องอย่างเงียบๆ
ศุภารมย์มองตามอย่างสงสัย
ลิลินรีบเดินย้อนกลับไปอ่างบัวในสวน ก่อนจะรีบหยิบเมมโมรี่การ์ดแล้ววิ่งออกไปทันที
ศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังร้อนใจ เพราะตามหาลิลินไม่เจอ พอเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาก็โล่งใจ
“ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้รอ พอดีวันนี้ฉันไปสอนคุณต่ายร้องเพลงมา”
“ไม่เป็นไรครับ ยังพอมีเวลา คุณลินรีบไปแต่งตัวเถอะครับ”
“ค่ะ ฉันไปนะคะ”
ลิลินรีบเดินผละไป โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนแอบซุ่มดูอยู่
ลิลินเอื้อมมือไปไขประตูห้อง พลันก็มีมือหนึ่งเอื้อมมือไปจับไหล่ เธอรีบหันขวับมาด้วยความตกใจ
ก่อนจะเห็นว่าที่แท้คือปรมัตถ์
“ขอโทษนะที่มาเงียบๆ มัตแค่ไม่อยากให้ใครเห็น”
“มัตมาได้ยังไง?”
“มัตเป็นห่วงลิน มัตรู้ว่าตอนนี้ลินกำลังเข้าใกล้คนพวกนั้นเข้าไปทุกที”
ปรมัตถ์มองลิลินด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างจริงใจ
“มัตมาก็ดีแล้ว ลินมีอะไรให้ช่วย”
ปรมัตถ์มองเมมโมรี่การ์ดที่อยู่ในมือด้วยความตกใจ
“เมมจากกล้องหมอศรัณย์ ลินเอามันมาได้ยังไง?”
“หมอศรัณย์ไปหาคุณวินที่บ้าน ลินก็เลยหาโอกาสหยิบมา”
ปรมัตถ์ได้ยินก็ยิ่งตกใจ
“นี่มันเสี่ยงมากเลยนะลิน ทำไมลินทำอะไรไม่ปรึกษามัตก่อน”
“มัตดูนี่เถอะ ลินเผลอทำมันตกน้ำ ไม่รู้ข้อมูลจะหายรึเปล่า?”
“มัตจะลองดู”
พูดพลางเปิดไดร์เป่าผมจ่อเมมโมรี่การ์ด ในขณะที่ลิลินนั่งกลุ้มใจจนเขาสังเกตเห็น
“ลินมีเรื่องกลุ้มใจอะไรอีก”
ลิลินทำใจสักพักก่อนจะพูด
“คุณวินรู้แล้วว่าลินคือใคร คุณวินเขาไปเจอลินตอนที่ลินไปหาพ่อที่วัด”
“แล้วลินจะทำยังไงต่อไป?”
ลิลินรีบบอกอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องกังวลหรอก ลินดูแลตัวเองได้”
“แต่สิ่งที่มัตกลัวก็คือถ้าคุณวินบอกกับครอบครัวเขา แล้วลินจะเอาอะไรไปสู้กับคนพวกนั้น”
ลิลินมองไปที่โน้ตบุคอย่างมีความหวัง
“ความจริงไง”
อนันยชจอดรถที่หน้าบ้านวาสนา ก่อนจะลงจากรถแล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูให้วรรณิตลงมา
“นี่ณิตยังตกใจอยู่เหรอ? ผมบอกแล้วไงว่าไม่ใช่ความผิดคุณ”
“ถึงจะไม่ใช่ซะทีเดียว แต่ณิตก็มีส่วนนะคะ”
อนันยชจับมือวรรณิตขึ้นมากุม พลางพูดปลอบ
“โธ่ นายวินก็บอกอยู่ว่ามันไม่ได้คิดอะไร คนที่คิดน่ะมีแต่คุณคนเดียวเลย แล้วที่มันเป็นแบบนี้
ก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย มันเป็นโรคเก่าของมันมากกว่า”
“แล้วเรื่องผ้าพันคอคุณแม่ดูจะไม่ค่อยชอบนะคะ”
วรรณิตพูดด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
“ชอบสิ คุณแม่เป็นคนไม่แสดงออกแบบนี้แหละณิตอย่าคิดมากสิจ๊ะ”
พูดพลางคว้าตัววรรณิตเข้ามากอด และกำลังจะหอม แต่อีกฝ่ายบ่ายเบี่ยง อ้างว่ายังไม่ได้แต่งงานกัน พร้อมๆ กับเสียงวาสนาดังขึ้น
“พ่อวัน ทำไมถึงมาช้า หรือว่าพายัยณิตไปทำอะไรมา?”
อนันยชจำต้องปล่อยวรรณิตอย่างเซ็งๆ
“พอดีเกิดเรื่องวุ่นวายที่บ้านนิดหน่อย วินไม่ค่อยสบาย ช่วงนี้ปวดหัวอยู่บ่อยๆ น่ะครับ แต่จะหนักหน่อยก็ตรงมาสลบอยู่หน้าบ้านเนี่ยแหละครับ”
“คุณพระคุณเจ้าช่วย”
วาสนาทำเป็นตกใจ ก่อนจะมีความคิดบางอย่างขึ้นมาทันที
ทิวัตถ์นอนหลับไมได้สติอยู่บนเตียง ครู่หนึ่งทรงพลกับศุภารมย์ก็ก้าวเข้ามา ด้วยสีหน้ากังวล
“ทำไมครั้งนี้วินถึงได้ดูแย่กว่าทุกครั้ง?”
ศุภารมย์หน้าเครียด
“ก็คงจะเครียดอย่างที่หมอศรัณย์บอกน่ะค่ะ หมอบอกว่าต้องมีอะไรมากระทบกับความทรงจำของทิวัตถ์มากกว่าทุกครั้ง ฉันเกรงว่าครั้งนี้ วินอาจจะเจ็บหนักมากขึ้น”
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินออกไปจากห้อง พร้อมๆ กับที่ทิวัตถ์ลืมตามองไปที่ประตู
“พ่อ แม่ต่าย ผมจะไม่ยอมใครใครมาทำอะไรครอบครัวเรา”
พลันเสียงมือถือก็ดังขึ้น ทิวัตถ์มองมือถือ พอเห็นชื่อคนโทร. มาก็ตกใจ
ศุภารมย์กับทรงพลเดินเข้ามาที่ห้องโถง จังหวะเดียวกับที่วาสนาเดินนำนพกรเข้ามาพอดี ทั้งคู่ต่างใส่หน้ากากยิ้มต้อนรับ ก่อนจะยกมือสวัสดีทักทาย
“พ่อพลกำลังจะไปทำงานแล้วรึ?”
“ครับ ป้าน้อยมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”
“แหม เห็นหน้าป้าก็ถามว่ามีอะไรอยู่เรื่อย ป้าแค่รู้ข่าวพ่อวินเลยจะมาเยี่ยม”
ศุภารมย์รีบบอก
“ถ้าป้าจะเยี่ยมคงไม่ค่อยสะดวก ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว แค่อากาศเปลี่ยนเลยไม่ค่อยสบาย แต่นี่คงไม่ได้มาเยี่ยมเฉยๆ มั้งคะ”
วาสนาได้จังหวะเข้าเรื่องทันที
“ก็อีกนั่นแหละ ฉันเห็นว่าพักนี้พ่อวินอาการไม่ค่อยดี น่าจะมีคนคอยดูแลนะ อย่างเจ้านพกรเนี่ยช่วงนี้ว่างๆ ฉันก็เลยให้ดูแลสุธีอยู่ แต่ถ้าแม่ต่ายกับพ่อพลอยากได้ฉันก็ยินดี”
ศุภารมย์นิ่งไป วาสนาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปหาทรงพล
“แต่ยังไงแม่ต่ายไปก็คงไม่มีอำนาจตัดสินใจอะไรในบ้านอยู่ดี พ่อพล ไม่สนใจรับนพกรไว้คอยดูแลพ่อวินหน่อยเหรอ? ถ้าพ่อวินขับรถเองแล้วอยู่ๆ เกิดปวดหัวขึ้น ฉันก็ไม่รู้นะว่าพ่อพลกับแม่ต่ายจะโชคดีอย่างวันนี้หรือเปล่า?”
ทรงพลหันมามองหน้าศุภารมย์ เริ่มคล้อยตามไปกับวาสนาเพราะกำลังเป็นห่วงทิวัตถ์อยู่
“อืม ก็ดีเหมือนกันนะคุณ”
“แต่ฉันไม่เห็นว่า...”
วาสนาเห็นศุภารมย์กำลังจะขัด เลยด่วนออกตัวตัดหน้า
“เอ้า รีบกราบคุณท่านทั้งสองเข้าสิ พ่อพลกับแม่ต่ายเป็นคนมีเมตตาอย่างที่ฉันคิดไม่มีผิด”
นพกรทำท่าไหว้ส่งๆ ตามคำสั่ง ศุภารมย์มองอย่างไม่พอใจ ขณะที่วาสนาแอบส่งสายตาร้ายให้นพกร
“จริงเหรอมัตถ์ มัตถ์กู้ไฟล์ได้แล้วเหรอ?”
ลิลินดีใจ จนลืมตัวเผลอจับมือปรมัตถ์ ขณะที่ทั้งคู่มานั่งคุยกันที่ร้านกาแฟ ปรมัตถ์นิ่งมองมือพลางแอบเขิน อีกฝ่ายนึกได้จึงรีบปล่อยมือ
“ได้ แต่ได้แค่บางส่วนเท่านั้นนะลิน ลินดูเอาเองละกัน”
จากนั้นก็คลิกเปิดไฟล์ให้ดู ลิลินดูคลิปจนภาพตัดไป ก่อนสงสัยในคำพูดของหมดศรัณย์ ตอนที่คุยกับทรงพล
“ถึงจะจำได้ ก็จะเห็นว่าพ่อป้องเป็นฆาตรกร มันหมายความว่าไง?”
“ก็หมายความว่าคนที่ฆ่าจะต้องเป็นฆาตกรอีกคน”
ลิลินครุ่นคิด
“แล้วหมอศรัณย์ก็ทำหน้าที่บันทึกความทรงจำใหม่ให้กับคุณวิน”
ปรมัตถ์พยักหน้า “ก็ทำนองนั้น แล้วตกลงพอจะได้เรื่องบ้างมั้ย?”
“แค่นี้ก็เกินพอแล้วมัตถ์ คนที่ยังคิดว่าตระกูลนั้นเป็นคนดี คราวนี้จะได้ตาสว่างกันซะที”
“แล้วลินจะจัดการกับไฟล์นี้ยังไง?
ปรมัตถ์ย้อนถาม
ศุภารมย์เข้ามาในห้องนอนของทิวัตถ์ แต่กลับไม่เจอเจ้าของห้อง จึงรีบลงไปถามป้าจวนที่กำลังสอนงานนพกรอยู่ในครัว
“มีใครเห็นวินบ้าง?”
ทั้งป้าจวน เม็ดนุ่น สลวย ยอด ตอบเป็นเสียงเดียวกัน “ไม่เห็นค่ะ / ครับ”
ศุภารมย์หน้าเครียด “ไปไหนของเขานะ ยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่”
คิดพลางรีบกดมือถือหาทันที แต่ทิวัตถ์ ที่กำลังนั่งนิ่ง ใช้ความคิดอยู่ตามลำพังในสวนสาธารณะกลับไม่ยอมรับสาย ก่อนจะรำพึงกับตัวเองเบาๆ
“ขอโทษนะครับ ผมจะต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวของผมเอง”
ศุภารมย์ยิ่งหงุดหงิดใจที่ทิวัตถ์ไม่ยอมรับสาย หันมาพาลใส่ทุกคน
“คนในบ้านมีตั้งเยอะตั้งแยะ คุณวินแค่คนเดียวยังปล่อยให้หายไปโดยไม่มีใครเห็นได้ยังไง
มัวทำอะไรกันอยู่”
ทุกคนหน้าสลด ยกเว้นนพกรที่ดูไม่สะทกสะท้านอะไร
“บางทีที่คุณวินปวดหัว อาจจะเป็นเพราะอยู่ในบ้านหลังนี้ก็ได้”
ศุภารมย์ที่หงุดหงิดอยู่ ได้ยินอย่างนั้นก็หันมองนพกร ก่อนจะข่มอารมณ์โกรธไว้
“โดยเฉพาะเธอ นี่เป็นวันแรกที่เธอเข้ามาทำงานที่นี่ ฉันจะยังยกโทษให้ แต่ถ้าวันหลังคุณวิน
หายไปอย่างนี้อีก แล้วเธอไม่มีคำตอบให้ฉัน เธอก็กลับไปอยู่กับป้าน้อยได้เลย”
พุดจบศุภารมย์ก็เดินออกไป
“ไรวะ กับอีแค่ลูกหายยังมาโทษคนอื่น”
ทุกคนตกใจที่ได้ยินนพกรพูดแบบนั้น ขณะที่ยอดรีบพูดเตือน
“ทีหลังแกอย่าพูดอย่างนี้อีกนะ เกิดถึงหูคุณท่านเข้าล่ะมึงเอ๊ย นี่แกยังไม่เห็นใช่มั้ยว่าคุณท่านน่ากลัวขนาดไหน?”
นพกรยักไหล่ ก่อนจะมองตามศุภารมย์อย่างเอาเรื่อง
พักใหญ่ลิลินก็เดินเข้ามายืนตรงหน้าของทิวัตถ์
“อยากคุยกับผมเรื่องอะไร?”
“ฉันมีบางอย่างที่สามารถทำให้คุณเชื่อว่า ครอบครัวของคุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตรกรรมแม่ของคุณ”
ทิวัตถ์มองจ้องลิลินอย่างรำคาญใจ
“คุณเลิกพูดซะที ผมไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น และผมก็ไม่สนใจด้วยว่ามันจะเป็นอะไร”
“แต่คุณต้องดู เพราะครอบครัวของคุณเองกำลังปิดบังความจริงบางอย่างที่ไม่ต้องการให้คุณรู้อยู่”
ทิวัตถ์ย้อนถามกลับ “ทำไม คุณก็เลยอยากให้ผมดูสิ่งที่พ่อของคุณบอกงั้นเหรอ?”
“ใช่ เพราะทุกอย่างที่คุณรู้มามันไม่เป็นความจริง”
“ผมไม่ดู แล้วคุณก็เลิกตามผมเพราะเรื่องไร้สาระนี้ซะที”
ทิวัตถ์พูดพลางลุกเดินออกไปอย่างหัวเสีย ลิลินถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ
พอลิลินกลับมาถึงที่โรงแรม ปรมัตถ์ที่ยืนรออยู่ ก็รีบถามทันที
“ลินเป็นไงบ้าง คุณวินเขาเชื่อมั้ย?”
ลิลินส่ายหน้า “ แค่ลินจะอธิบายเขายังไม่ยอมฟังเลย”
“ลินใจเย็นก่อนนะ เราค่อยหาทางอื่นก็ได้นี่”
ลิลินถอนหายใจ “แต่ลินก็ไม่รู้จะหาทางบอกเขายังไงแล้วนะมัตถ์”
“แล้วทำไมลินไม่เอาหลักฐานนี้ไปบอกกับตำรวจล่ะ?”
“มัตถ์ มัตถ์จำไม่ได้แล้วเหรอว่าคนพวกนั้นมีอิทธิพลแค่ไหน”
ปรมัตถ์นิ่งไป ก่อนจะย้อนถาม
“แต่มัตก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมลินต้องบอกกับคุณวิน ยังไงเขาก็เป็นครอบครัวเดียวกันนะลิน
ลินจะเชื่อใจคุณวินได้เหรอ?”
ลิลินนึกถึงตอนหลงป่าด้วยกัน ก่อนจะพูดขึ้นมา
“ก็เพราะมีเพียงคุณวินคนเดียวเท่านั้นที่ลินจะเชื่อใจได้ แล้วอีกอย่าง ถ้าลินสามารถทำให้คุณวินเห็นด้วย เขาอาจจะช่วยเราตามหาฆาตกรตัวจริงได้”
“แต่คุณวินไม่ยอมฟังลินอยู่แบบนี้ ลินจะทำยังไง?”
ลิลินนิ่งคิด หน้าเครียด
อนันยชพาวรรณิตมาเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า พอดีเจอกับนางพยาบาลที่เคยมีสัมพันธ์กัน
“พี่วัน พี่วันจริงๆ ด้วย เดี๋ยวนี้ไม่เห็นพี่วันไปหาลูกแก้วที่โรงพยาบาลเลยนะคะ นี่ใครกันคะพี่วัน”
อนันยชรีบบอก “คู่หมั้นผมเอง”
พลางคว้ามือวรรณิตมาจับไว้แน่น พยาบาลอึ้งไป ก่อนจะมองหน้าวรรณิตอย่างไม่ชอบใจ
“พี่วัน ไหนพี่วันบอกจะแต่งงานกับลูกแก้วคนเดียวไง”
“ก็ตอนนั้นผมยังไม่เจอกับคุณณิตนี่ ผมยอมรับนะว่าแต่ก่อนผมเป็นผู้ชายที่เลว เจ้าชู้ แต่ตอนนี้ผมพร้อมจะเปลี่ยนไปแล้ว ตั้งแต่ที่ผมได้เจอกับคุณณิต และณิตคือผู้หญิงคนเดียวที่ผมจะแต่งงานด้วย”
“พี่วันได้ลูกแก้วแล้วจะทิ้งขว้างแบบนี้ไม่ได้นะ”
“คุณจะโกรธเกลียดหรือทำอะไรผมก็ได้ แต่ขอให้รู้ไว้ว่าตอนนี้ผมรักณิตคนเดียว และผมจะทำ
ทุกอย่างขอเพียงให้ได้อยู่กับคนที่ผมรัก ตัดใจจากผมเถอะนะลูกแก้ว”
พยาบาลนิ่งอึ้ง ขณะที่วรรณิตรู้สึกประทับอนันยชมากขึ้น
เมื่ออยู่กันตามลำพัง อนันยชก็พยายามพูดให้วรรณิตเข้าใจ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าบึ้งใส่
“ณิต แต่ก่อนผมยอมรับนะว่าผมเป็นผู้ชายเจ้าชู้จริงๆ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว ไหนณิตบอกว่าไม่โกรธผมไง ทำไมยังหน้าบึ้งอยู่อีก”
“ณิตกลัวว่าถ้าแต่งกันไปแล้วจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีก ณิตแค่ไม่อยากเสียใจค่ะ”
อนันยชมองหน้าวรรณิต ก่อนจะถามล้อๆ
“ณิตหึงผมเหรอ?”
วรรณิตเขินจนหน้าแดง ก่อนจะรีบเดินออกไป อนันยชมองตาม พลางยิ้มอย่างดีใจ ที่เห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มมีใจให้แล้ว
ทันทีที่ทิวัตถ์เดินเข้ามาในบ้าน ศุภารมย์ที่นั่งรออยู่อย่างกระวนกระวายใจ ก็รีบเดินเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง
“วินเป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมวินไม่รับโทรศัพท์แม่เลย”
“ผมขอโทษครับแม่ต่ายที่ทำให้เป็นห่วง”
ทรงพลที่นั่งอยู่ด้วย รีบถามต่อ
“แล้วนี่ลูกหายไปไหนมา รู้มั้ยว่าแม่เป็นห่วงจนเกือบจะโทร. หาท่านรองฯให้ออกตามหาลูกแล้ว”
ทิวัตถ์เห็นว่าศุภารมย์เป็นห่วง จึงเข้าไปกอดอ้อนพื่อให้ฝ่ายนั้นลดความตึงเครียดลง
“ผมก็กลับมาแล้วนี่ไงครับ ผมสัญญาคราวหน้าจะออกไปไหน ผมจะบอกแม่ต่ายคนแรกเลย แล้วพอออกไปผมก็จะโทร. รายงานทุกฝีก้าวเลยดีมั้ยครับ”
ศุภารมย์ค่อยยิ้มออก
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกมั้งลูก เออ แล้ววันนี้วินยังปวดหัวอยู่มั้ย?”
“ไม่แล้วครับ ดีขึ้นแล้ว”
“วินทำให้แม่เป็นห่วงอย่างนี้ เห็นทีต่อไปนี้วินจะออกไปไหนแค่โทรบอกแม่คงไม่พอ ต่อไปนี้ลูกต้องมีคนดูแลแล้วนะ ป้าน้อยจัดการส่งคนมาคอยดูแลวินให้แล้ว ยังไงพรุ่งนี้แม่จะเรียกให้เขามาพบวินนะลูก”
ทิวัตถ์รีบปฏิเสธ
“ไม่ต้องหรอกครับแม่ต่าย ผมสบายดี แม่ต่ายก็เห็นนี่”
ทรงพลช่วยพูดเสริม
“ยังไงแม่ก็อดห่วงลูกไม่ได้นะวิน ตอนนี้ยังมีอาการปวดหัวแบบนี้ ก็ให้คนของป้าน้อยดูแลไปก่อนแต่ถ้าต่อไปดีขึ้นก็ไม่ต้องก็ได้”
ทิวัตถ์จึงต้องพยักหน้ารับอย่างจำยอม
พอเข้ามาอยู่ในห้องตามลำพัง ทิวัตถ์ก็ครุ่นคิดถึงคำพูดของลิลิน ก่อนจะนึกบางอย่างได้ จึงรีบเปิดหน้าเว็บ เพื่อเสิร์ชหาข่าวเรื่องการฆาตกรรมของศุภิสรา เมื่อ 15ปีก่อน
“ฆ่าโหดเมียนักธุรกิจชื่อดัง ลูกชายโดนตีหัวโคม่า ปี 2542”
แต่ไม่ทันจะพิมพ์เสร็จก็รีบปิดโน้ตบุ้คลง
“ทำไมฉันต้องเชื่อสิ่งที่เธอพูดด้วย”
เช้าวันใหม่ ขณะที่อนันยชกำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่ นพกรแอบซุ่มดูอยู่หลังพุ่มไม้ เพราะจำได้ว่าวาสนาเคยสั่งให้ทำร้าย พลางกำจอบในมือแน่น ก่อนจะลากมาตามทางหมายจะจัดการ แต่แล้วเสียงทิวัตถ์ก็ดังขึ้น นพกรตกใจรีบหลบไปทันที
“วัน นึกยังไงวันนี้ถึงออกไปวิ่งได้ ทุกทีฉันชวนทีไรก็ไม่เห็นนายอยากไป”
อนันยชยิ้มรับ
“ใกล้แต่งงานแล้วมันต้องฟิตกันหน่อย ว่าแต่นายเถอะ เมื่อวานไปไหนมา ฉันเห็นแม่กับน้าพลนั่งคอยนายไม่เป็นอันทำอะไรเลย”
ทิวัตถ์ที่นึกถึงลิลินก็ถอนหายใจออกมา ระหว่างนั้นก็มีละอองน้ำฉีดเข้ามาโดนอนันยช
“เฮ้ย น้ำอะไรวะ ใครอยู่ตรงนั้น ฉันถามว่าใคร?”
นพกรถือสายยางรดน้ำต้นไม้มั่วๆ เดินออกมาจากมุมต้นไม้ตาขวางๆ
“นี่แกเป็นใคร ? ฉันถามว่าแกเป็นใคร ?”
อนันยชกับทิวัตถ์ต่างก็สงสัยว่านพกรเป็นใคร
จากนั้นศุภารมย์ก็แนะนำทิวัตถ์กับอนันยชให้รู้จักกับนพกร ทิวัตถ์ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ขณะที่
อนันยชมองอย่างไม่ค่อยพอใจ ที่รู้ว่าเป็นคนของวาสนา
“เธอออกไปก่อนไป ไปช่วยงานป้าจวนในครัวก่อน ระยะนี้คุณวินยังไม่ฟื้นไข้ คงไม่ได้ไปทำงานอีกหลายวัน”
ศุภารมย์หันมาบอกกับนกพร ที่ลุกเดินเลี่ยงไปหน้าตาเฉย อนันยชยิ่งไม่พอใจ
“ไอ้นี่มันหน้าตามันกวน ดูไม่มีสัมมาคารวะแม่แน่ใจเหรอครับว่าจะให้มันมาดูแลวิน”
ทิวัตถ์รีบบอก
“ดีแล้วที่มีคนมาดูแลฉัน ถ้าเกิดฉันปวดหัวขึ้นมา จะได้ไม่ต้องวุ่นวายนายต้องมาคอยดูแลฉัน ไหนนายจะต้องยุ่งๆ เรื่องงานแต่งอีก”
อนันยชยิ้มรับ ก่อนจะคว้าคอทิวัตถ์เดินขึ้นข้างบนไป
“จริงของนาย ขอตัวนะครับแม่ เดี๋ยวนายออกไปช่วยฉันดูสถานที่จัดงานหน่อยนะ”
ศุภารมย์ยิ้มให้ทั้งคู่ ก่อนจะถอนหายใจ เพราะแอบหนักใจเรื่องนพกร
พอเดินพ้นออกมาจากห้อง นพกรก็รีบโทร. ไปโวยวายกับวาสนาทันทีว่าไม่อยากทำงานที่นี่ เพราะถูกทุกคนดูถูกเหยียดหยาม แถมยังจิกหัวใช้ตลอด
“เอ้า แกลืมไปแล้วหรือไงว่าเข้าไปทำงานเป็นอะไร เขาก็ต้องใช้สิ”
นพกรยิ่งโวยวายหนัก
“แต่ฉันไม่เคยเป็นขี้ข้าใคร”
“ไม่เคยก็เคยซะ คนอย่างแกจะให้เป็นอะไรถ้าไม่ใช่ขี้ข้า เป็นเจ้าคนนายคนหรือไง ฝันไปเถอะ”
“ยาย แต่นี่ฉันเป็นญาติกับนังณิตมันนะ จะให้พวกมันเที่ยวใช้เหมือนฉันเป็นคนใช้ได้ไง”
วาสนาที่อยู่ทางปลายสายยิ้มเยาะ
“หนอย อย่างแกอย่ามาตีตัวเสมอตนนักหน่อยเลยไอ้นพกร แค่อยู่ที่นั่นคอยทำตามที่ฉันสั่งก็พอ แล้วอย่าแส่สร้างเรื่องอะไรให้ฉันต้องปวดหัวล่ะ เข้าใจมั้ย?”
“เออๆ รู้แล้วน่า งั้นยายก็รีบลงมือตามแผนหน่อยแล้วกัน แค่วันแรกฉันก็ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
“เออน่ะ อดทนหน่อย รอให้นังณิตแต่งงานซะก่อน แกอยู่ที่นั่นก็ทำตัวดีๆ อย่าทำอะไรให้น่าสงสัยซะล่ะ ถ้าขืนแกโดนเฉดหัวออกมาก่อน แกก็อย่าหวังจะได้เงินอีกครึ่งนึงเลย”
วาสนาพูดจบก็ตัดวางสายทันที นพกรวางสายตามอย่างขัดใจ
ขณะที่ศุภารมย์นั่งคุยอยู่กับเพื่อนคุณหญิงเกี่ยวกับงานการกุศลของสมาคม ครู่หนึ่งทิวัตถ์กับอนันยชก็เดินเข้ามา พลางยกมือไหว้คุณหญิงทั้งสาม
อนันยชรีบหันมาบอกศุภารมย์
“แม่ครับผมกับวินไปดูความเรียบร้อยเรื่องงานแต่งที่โรงแรมไอ้สิทธิ์ก่อนนะครับ เออวินเดี๋ยวนายรอฉันก่อนนะ ฉันลืมมือถือว่ะ”
พูดจบก็รีบเดินออกไป พร้อมกับที่ป้าจวนเข้ามาส่งซองให้ศุภารมย์
“คุณท่านคะ มีของส่งมาถึงคุณท่านค่ะ”
ทิวัตถ์ที่ยืนคอยได้ยินเข้าพอดี ระหว่างนั้นอนันยชก็ลงมา
“ไปวิน”
“นายไปรอที่โรงแรมก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันตามไป”
อนันยชพยักหน้า ก่อนจะเดินออกไป ศุภารมย์รับกล่องมาเปิดออกดู พอเห็นว่าเป็นกระสุนปืน ก็หน้าถอดสี รีบปิดกล่องทันที
ทิวัตถ์มองตามศุภารมย์ที่ผลุนผลันเดินออกไปอย่างสงสัย
ศุภารมย์เดินมาหยุดที่มุมหนึ่ง พลางมองที่กล่องพัสดุที่ไม่มีชื่อผู้ส่งอย่างสงสัย ก่อนจะเปิดดูชัดๆ อีกครั้ง จากนั้นก็หยิบรูปครอบครัวตนเองจากในกล่องขึ้นมาดู พร้อมกับทำสีหน้าเคร่งขรึม พลางวางของ
ทุกอย่างลงบนโต๊ะ เพราะไม่คิดว่าจะมีใครเดินตามเข้ามา
ทิวัตถ์เดินเข้ามาด้วยความเป็นห่วงศุภารมย์ที่สีหน้านิ่งเครียดและเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
“กล่องอะไรเหรอครับแม่ต่าย?”
ศุภารมย์ได้ยินเสียงทิวัตถ์ก็สะดุ้ง รีบเก็บของบนโต๊ะแต่ก็ไม่ทัน อีกฝ่ายเห็นกระสุนก็ตกใจ
“ใครกันครับที่กล้าส่งของแบบนี้มาที่บ้านเร”า
“ช่างเถอะวินอย่าคิดมากเลย บ้านเรามันมีคนอิจฉาเยอะเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรหรอกลูกโบราณว่าหมาเห่ามันไม่กัด”
ทิวัตถ์นึกโกรธขึ้นมาทันควัน
“ถึงมันไม่กัดซึ่งๆ หน้า แต่อาจจะแว้งกัดทีหลังก็ได้นะครับ”
“ลูกรู้เหรอว่าเป็นฝีมือใคร?”
“แค่พูดลอยๆ ไม่มีไรหรอกครับแม่ต่าย”
ทิวัตถ์พูดแก้ต่าง ทั้งที่ในใจรู้ดีว่าเป็นฝีมือใคร
อ่านต่อตอนที่ 10