สายลับ 3 มิติ ตอนที่ 10
ที่ห้องขัง โกดังเซฟเฮ้าส์ดร.อาทิตย์ สมุน 2 คนยืนเฝ้าประตูซ้ายขวา แต่อยู่ๆ ก็เกิดเสียงดัง จากด้านใน ควันลอยรอดออกมาจากประตู สมุน 2 คนไม่รีรอ รีบไขกุญแจเข้าไป พอเปิดประตูเข้าไป ทั้งสองตกใจ
ที่กลางห้อง มีซากระเบิดเกิดจากการจุดกระป๋องสเปรย์กันยุง โดยมีกระดาษทิชชู่ยังไหม้ไฟรองอยู่ รอบๆ ห้อง เจิด วิศวะ ตังตัง นอนสลบอยู่ด้วยกัน ควันคลุ้งห้อง
“เอ๊ย พวกมันฆ่าตัวตายเหรอวะ”
สมุนรีบเข้าไปดูทั้งสามใกล้ๆ ขณะที่สมุนอีกคนควักปืนยืนระวังอยู่ที่ประตู ทันใดนั้น ตฤณซึ่งสวมหน้ากากแล้ว ยืนอยู่หลังประตู ตวัดดาบออกมา ฟันฉับไปที่มือของสมุน สมุนไม่ทันตั้งตัว ทำปืนหล่น ตฤณหมุนตัวเตะปืนออกไปไกลๆ
สมุนอีกคนรีบหันกลับมา ยังไม่ทันควักปืน ตฤณก็ใช้ดาบเสาอากาศตวัดฟันกกหู คอ แล้วใช้ไฟช็อตกลางหน้าอก สมุนดิ้นพล่านแล้วล้มลงไป ตังตังลุกขึ้น เห็นความสามารถของตฤณก็ตื่นเต้น
“โอ้โห น้าตฤณทำได้ไง”
ขณะที่เจิด วิศวะ เองก็ทึ่งเหมือนกัน ยืนมองตาค้าง ตฤณรีบบอก
“วิศวะ มาเก็บปืนไป”
ตฤณบุ้ยใบ้ไปที่ปืนของสมุน ซึ่งตกอยู่ สมุนกับวิศวะมองหน้ากัน พุ่งเข้ามาจะเอาปืนเหมือนกัน แต่ตฤณใช้ดาบขวางสมุน ขณะที่เจิดใช้ตัวบังตังตังไม่ให้โดนลูกหลง สมุนที่ไม่มีปืนก็จะเข้ามาต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่ตฤณก็เตะสีข้าง เสยหมัดที่คาง แล้วใช้ดาบตามซ้ำ สมุนถอยร่นไปเรื่อย ท่าทางของตฤณทำให้วิศวะมองตาค้าง ด้วยความทึ่ง
“มันเปลี่ยนไป”
ตฤณตวัดดาบไปที่ท้อง ช็อตไฟใส่ สมุนดิ้น แล้วก็หมดสติไปอีกคน
“น้าตฤณ น้าตฤณเก่งที่สุดเลยอ่ะ”
เจิดมองหน้ากากตฤณ
“หน้ากากอะไรวะ แค่ใส่ก็เก่งขึ้น”
“อาจารย์ผลิตมามั่งสิ ผมอยากได้บ้าง” วิศวะบอก
ตฤณไม่สนใจใคร เก็บปืนจากมือวิศวะ
“อย่าเสียเวลาคุย รีบไปเร็ว”
เจิดหยิบปืนของสมุนไป ตฤณพาทุกคนวิ่งออกไปจากห้องขัง ไปที่ชั้นสอง สมุน 3 คนของดร.อาทิตย์เดินมา ตฤณรีบส่งสัญญาณให้ตังตัง เจิด หลบใต้โต๊ะทำงาน ทุกคนหลบได้ทันก่อนที่สมุนจะหันมา สมุนไม่เห็นอะไร ตฤณจุ๊ปากให้ทุกคนเงียบ สมุนเดินจากไป แต่วิศวะดันพิงไปที่เก้าอี้ที่มีล้อเลื่อน เก้าอี้เลยเลื่อนออกมา สมุนเห็นการเคลื่อนไหวทางหางตา รีบหันกลับมา แต่ทุกอย่างก็ปกติ
ตฤณเอื้อมมือไปคว้าเก้าอี้ไว้ไม่ให้ลื่นไถลไปไกล หันมาบอกให้ทุกคนเงียบ รอฟังเสียงจนแน่ใจว่าพวกสมุนน่าจะไปแล้ว ก็ย่อๆ หลบๆ ออกจากที่ซ่อน นำโดยวิศวะ ตังตัง เจิด ตฤณปิดท้าย
วิศวะเดินไปเกือบถึงมุมทางเลี้ยว สมุนดร.อาทิตย์อีกคนเดินมาพอดี วิศวะรีบแอบทันที ทุกคนทำตามแบบเส้นย่าแดงผ่าแปด จนสมุนคนนั้นเดินไป วิศวะเป่าปาก เจิด ตังตัง ตฤณ ทำปากให้วิศวะเงียบ
พวกตฤณเดินอย่างเงียบเชียบอยู่ในชั้นสอง ขณะที่ชั้นล่าง สมุนดร.อาทิตย์ยืนทำงาน ขนของ ทั้งมียามเต็มไปหมด ตฤณเดินนำมา ทุกคนระวังตัวมาก จนมาถึงหน้าต่างที่มีบันไดวนด้านนอกที่จะพาทั้งหมดออกด้านนอกอาคารเซฟเฮ้าส์ ตฤณพยายามเปิดหน้าต่างนั้นอย่างเงียบที่สุด ไม่ให้มีเสียง จนค่อยๆ เปิดได้ ทุกคนดีใจที่จะได้หนีออกไป แต่ฝุ่นที่มีอยู่เต็มหน้าต่าง กลับลอยไปเข้าจมูกวิศวะ วิศวะจะจาม เจิดรีบเอามือปิดจมูกวิศวะ ทุกคนลุ้นตัวโก่ง
วิศวะนิ่งไป จนเห็นว่าไม่จามแน่ เจิดจึงเอามือออก ทุกคนโล่งอก ทันใดวิศวะจามออกมาทันทีเสียงดังสนั่น สมุนดร.อาทิตย์ทุกคนหันมาทางเสียงทันที พวกตฤณหยุดยืนตัวแข็ง
“เฮ้ย พวกมันจะหนี ยิงมัน”
สมุนดร.อาทิตย์ยิงใส่พวกตฤณทันที ตฤณ เจิด ตังตัง วิศวะหลบแทบไม่ทัน กระสุนมาไม่ขาดสาย ทั้งหมดไม่สามารถออกจากที่กำบังได้
“ตฤณ พาตังตังหนีไป เดี๋ยวฉันยิงสกัดให้” เจิดบอก
“แต่ลุง”
วิศวะรีบแย่งปืนมาจากมือตฤณ
“ใช่ หยุดพูดแล้วรีบไปได้แล้ว ฉันจะช่วยลุงเจิดยิงสกัดให้แกกับตังตัง”
“ไป เร็ว อย่าห่วง พวกมันไม่ทำอะไรพวกฉันหรอก” เจิดย้ำ
“รู้ได้ไง” ตฤณสงสัย
“ไอ้ดร.อาทิตย์ มันยังอยากได้อะไรจากฉันหลายอย่าง”
ตฤณพยักหน้า รีบพาตังตังปีนออกทางหน้าต่างนั้นทันที โดยมีเจิดและวิศวะยิงใส่พวกสมุนดร.อาทิตย์
ตฤณรีบพาตังตังไต่ลงบันไดมา มีเสียงปืนดังอยู่ด้านในเซฟเฮ้าส์เป็นระยะ
“เร็วตังตัง”
สมุนดร.อาทิตย์วิ่งออกมาจากเซฟเฮ้าส์
“นั่นไง มันอยู่นั่น”
“ไปเร็ว”
ตฤณรีบจูงตังตังวิ่งหนีสุดชีวิต สมุนรีบวิ่งไล่ตามมา ตังตังสะดุดขาตัวเองล้ม ตฤณรีบวิ่งกลับมาดูหลาน
“เป็นไงวิ่งไหวไหม”
“โอ๊ย”
ตังตังเจ็บเท้า ตฤณตัดสินใจอุ้มตังตังขึ้นทันที แล้วออกวิ่งเร็วสุดเท่าที่จะทำได้ สมุนวิ่งไล่ยิงตามหลังมา ตฤณหลบซ้ายหลบขวา วิ่งสุดพลังเท่าที่จะมีอยู่จนออกมาถึงถนนใหญ่ รถจอแจ ผู้คนมากมาย สมุนหยุดไม่กล้าตามต่อ ตฤณวิ่งอุ้มตังตังหายไปกับผู้คน
บ้านเมืองตอนกลางคืน แลดูเงียบเหงา เชนรู้สึกวังเวง
“ที่นี่วังเวงเหลือเกิน คนคุ้นเคยหายไปไหนกันหมด”
เชนเงยหน้ามองฟ้า เห็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวคว่ำหน้า มีดวงดาวหลายดวงเป็นเหมือนน้ำตา
“เดือนต่ำ ดาวตก”
นกฮูกบนกิ่งไม้หมุนคอ ส่งเสียงร้อง เชนเงยขึ้นดู
“วิหคร้อง โธ่เอ๋ย สายลับเชนเจ้าเสน่ห์ เหตุใดถึงถูกทิ้งไว้คนเดียวเช่นนี้”
ภาพเชนเคลื่อนไหวในทีวีเป็นภาพเดียวกัน ปวันยืนดูทีวีอยู่บ้านตัวเอง กดรีโมตปิดแล้วดึงแผ่นออกมา ครุ่นคิด คาดการณ์อย่างสุขุม
“เชนอยู่ในหนัง”
ปวันมองแผ่นดีวีดีของเชนในมือ
“ลินดากับโอเคไม่อยู่แล้ว ต้องมีคนพาออกมา ดร.อาทิตย์แน่ๆ จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ เอามาแค่ปืนไม่พอ ยังเอาเจ้าของปืนมาด้วย”
ปวันถอนหายใจ หน้าเครียดกว่าเดิม
“มันไม่หยุดแค่นี้แน่”
ปวันเคร่งเครียด ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอรับสาย
“ว่าไงจ่า ไม่รู้ ยังไม่ได้อ่านข่าวเลย มีไร โอเคๆ ส่งมา จะอ่านเดี๋ยวนี้”
ปวันวางสาย สักพักโทรศัพท์มือถือดัง
“อะไรอีกล่ะ จ่า”
ดร.อาทิตย์ยืนอยู่ในห้องทำงาน ด้วยอาการเซ็ง ระบายอารมณ์ด้วยการทำลายสิ่งของอะไรสักอย่างบนโต๊ะ ปัดไป ตกแตกกระจาย นารีพาเจิดกับวิศวะเข้ามา ซึ่งทั้งสองถูกจับมัดเอามือไพล่หลัง เจิดตะโกนบอกดร.อาทิตย์
“รักฉันมากหรือไง ถึงจับฉันมาอยู่ได้”
วิศวะหันไปมองนารี
“อย่าถูกเนื้อต้องตัวมากนักสิเจ๊ ผมรักนวลสงวนตัวนะ”
นารีตบวิศวะ วิศวะอึ้ง นารีลากทั้งสองมาใกล้ๆ ดร.อาทิตย์ ดร.อาทิตย์มองหน้าเจิดแล้วยิ้ม
“อัจฉริยะนิรนามอย่างแก ก็มีลูกศิษย์กะเขาเหมือนกันเหรอ ดี มาอยู่กะฉันทั้งคู่เลยเถอะ รับรอง พวกแกจะสนุกกว่าที่เคยๆ กันมาเยอะ”
“ฉันไม่ต้องการความสนุกจากพวกแก ถ้าฉันอยากสนุก ฉันไปสวนสนุกได้” วิศวะโต้
“ฉันไม่อยากสนุก ฉันอยากอยู่แบบขรึมๆ เครียดๆ ปล่อยฉัน ไปเถอะ” เจิดขอร้อง
“หุบปาก” นารีตะคอก
ดร.อาทิตย์เหยียดยิ้ม แล้วหันจอคอมพิวเตอร์ ไปตรงหน้าเจิดกับวิศวะ ก่อนจะกดคลิปให้ดู เป็นภาพข่าวปล้นทองเมื่อเช้า กล้องจากนักข่าวเห็นมิสเตอร์โอเคกับลินดาชัดๆ มีเสียงนักข่าวรายงาน
“ตอนนี้ทางตำรวจยังไม่ทราบว่าผู้ต้องสงสัยทั้งสองเป็นใคร หากผู้ใดมีเบาะแสขอให้แจ้งกลับมาโดยด่วน”
วิศวะสงสัย “หนังสมัยก่อนเป็นขาวดำนี่นา แล้วทำไม”
ดร.อาทิตย์หยิบทองคำแท่งมาวางบนโต๊ะตรงหน้า เจิดกับวิศวะตกใจมาก เจิดถามดร.อาทิตย์ทันที
“นี่มันไม่ใช่ในหนังน่ะสิ นี่ นี่ แกพาลินดากับโอเคออกมาเหรอ”
ดร.อาทิตย์ยิ้ม “สิ่งประดิษฐ์ของแกนี่มันเวิร์คจริงๆ ฝีมือดีแบบนี้ ฉันจ้างเป็นพนักงานประจำเลย”
“พวกฉันเป็นฟรีแลนซ์เว้ย ไม่ชอบทำงานประจำ” วิศวะยืนกราน
“คิดดีๆ นะ เพราะค่าจ้างของฉัน คือชีวิตพวกแก”
ดร.อาทิตย์ยื่นหน้ามาพูดใกล้ๆ เสียงเหี้ยม
“ทั้งชีวิตแก แล้วก็คนอื่นๆ ที่แกรัก ซึ่งฉันจะตามไปจัดการเมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าแกยอม ฉันก็จะไว้ชีวิตทุกคน”
เจิดโกรธมาก กัดฟันพูด
“สิ่งประดิษฐ์ของฉันมันเลือกเจ้าของ แกมันเลว ไม่คู่ควร”
“ฉันตังหาก ที่เป็นผู้เลือก แกเองก็ควรเลือกเหมือนกัน จะสร้างไอเทมใหม่ให้ฉันหรือจะทำลายชีวิตตัวเองและคนที่แกรัก เลือกได้ตามศรัทธา”
“อาจารย์ อย่ายอมมันนะ”
“คนฉลาดจะรู้ว่าควรเลือกอะไร”
ดร.อาทิตย์พูดแบบสบายๆ เจิดมองดร.อาทิตย์ด้วยความโกรธ กำมือแน่น
“พามันไปห้องทดลอง”
นารีพยักหน้ารับคำ แล้วพาเจิดกับวิศวะออกไป วิศวะไม่ยอมจะดิ้นแต่ก็ดิ้นไม่หลุด ขณะที่เจิดไม่พูดอะไร หน้าเครียด ดร.อาทิตย์ ยิ้มร้าย
“ยังไงโลกทั้งใบก็ต้องเป็นบริวารของดวงอาทิตย์ ไม่มีหน้าไหนจะมาเปลี่ยนความจริงข้อนี้ได้”
มิสเตอร์โอเค ลินดา เดินอยู่ข้างถนนกลางใจเมืองที่มีตึกระฟ้าอยู่สองข้างทาง อินทุเดินตามหลังมาคอยดูแลและควบคุม
“ว้าวๆๆๆ กรุงเทพมหานคร”
“ไม่น่าเชื่อว่าทุกตึกจะสูงได้ขนาดนี้” ลินดาทึ่ง
มิสเตอร์โอเคเหลือบไปเห็นสาวๆ เดินอยู่ ใส่กระโปรงสั้น เสื้อเกาะอกวาบหวิวมาก
“โอเคจริงๆ โอเคมากๆ”
คนเดินถนนคนหนึ่งเดินผ่านมา โยนขยะผ่านหน้ามิสเตอร์โอเคและลินดาไป แต่ไม่ลงถังขยะ มิสเตอร์โอเคและลินดามองตามไปใกล้ๆ ถังขยะ แต่มีขยะหล่นเกลื่อนไปหมด มิสเตอร์โอเคหันมองหน้าลินดา ว่าถังขยะอยู่ตรงนี้พวกนั้นยังไม่ยอมใส่ถังขยะกันเลย
ทันใดมีเสียงรถเบรคผู้คนวี้ดว้าย ทั้งคู่หันไปมอง เห็นคนเดินถนนหันมาด่าคนขับรถที่เกือบชนตนเองกลางถนน
“ขับรถอะไรวะ นี่มันไฟเขียวคนเดินข้ามนะโว้ย ทำไม ไม่หยุดวะ”
คนขับรถเปิดกระจกโผล่หน้าออกมาด่าตอบ
“ไม่รู้โว้ย กูไม่เคยหยุด ข้ามถนนก็หัดมองรถเองสิวะ”
ทั้งคู่ด่ากันไปมาไม่หยุด มิสเตอร์โอเคกับลินดา มองๆ
“ไงล่ะ ชอบไหม คนเลวๆ อย่างแก ก็น่าจะมีความสุขกับโลกแห่งความจริงแบบนี้สิ” อินทุเยาะ
มิสเตอร์โอเคกับลินดา ชอบใจ
“สุดยอด ถูกใจกระพ้มจริงๆ”
ลินดามองไปเห็นผู้หญิงกำลังขึ้นรถแท็กซี่ ทันใดนั้นมีผู้ชายวิ่งมากระชากกระเป๋าผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงร้องให้ทุกคนช่วย ลินดาชี้ให้มิเตอร์โอเคดู
“โอเค ดูโน่น”
มิสเตอร์โอเค อินทุมอง คนร้ายวิ่งไป ผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย คนกระชากกระเป๋า”
ทุกคนมอง เฉยๆ ไม่มีใครช่วย คนร้ายหนีไปได้ มิสเตอร์โอเคยืนมองแล้วดูนาฬิกาและมองผู้คนแถวนั้นที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก้มมองนาฬิกาอีกหน
“ตำรวจที่นี่ กับตำรวจในหนัง อะไรจะไวกว่ากัน”
“ไม่มีตำรวจมาหรอก ไม่ต้องจับเวลา โลกแห่งความจริง มันไม่น่าเบื่อเหมือนในหนังสายลับเจ้าเสน่ห์สะตึๆ หรอก” อินทุบอก
“ถูกใจล่ะซิโอเค” ลินดาถาม
“ชอบ กระพ้มชอบมากๆ ทุกคนนิสัยเหมือนกระพ้มเลย กระพ้มชอบที่นี่”
มิสเตอร์โอเคตะโกนก้อง คนเดินไปมาหันมามอง แล้วเดินผ่านไป
หน้าตึกสมายล์ทีวี ตฤณรีบร้อน อุ้มตังตังไว้ ตังตังตั้งคำถามเยอะ
“ทำไมเราไม่กลับบ้าน ทำไมไม่ไปแจ้งความเรื่องอาทิตย์ ทำไมเราไม่กลับไปช่วยลุงเจิดกับน้าวิศวะ ทำไมเรามาที่นี่ แล้วทำไม”
“ตังตังก็รู้ ว่าน้ามาที่นี่ทำไม”
“หัวใจสั่งมาใช่ไหม”
“สำหรับน้า นี่มันสำคัญกว่าเรื่องอาทิตย์ น้าเจนจะหมั้นกับหมอหน้าเด๊ะนั่นไม่ได้”
“โอเค ตังตังเข้าใจ ลุยเลยน้าตฤณ”
สองน้าหลานจูงมือกันเข้าไป แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นคนมากมายยืนมุงอยู่ ตฤณ ตังตังมองหน้ากัน อยากรู้ว่ามีเรื่องอะไร
ด้านในตึก มีโต๊ะแถลงข่าว นักข่าวตั้งกล้องกันมากมาย รอทำข่าว เจนจิรายืนคุยกับบารมีข้างๆ เวที
“ไหน ดูหน่อยค่ะ คอสตูม เด๊ะ ทรงผม เด๊ะ หน้า รูขุมขนเริ่มกว้างแล้วนะคะ สงสัยต้องมาร์กหน้ากระชับกันสักหน่อยแล้ว”
เจนจิราฝืนยิ้ม แต่ก็ลอบถอนหายใจ บารมีพูดต่อ
“ฟิยองเซ่จะต้องสวยที่สุด สวยเสมอ สวยไม่สร่าง เพราะฟิยองเซ่คือตัวแทนของบารมีคลินิก จะไม่มีใครเทียบออร่าของ ฟิยองเซ่ได้”
เจนจิรายังฝืนยิ้มให้ แต่อดที่จะพูดไม่ได้
“ฟิยองเซ่มันไม่ยาวไปเหรอคะ เรียกอย่างอื่นดีไหม”
ประมุขเดินเข้ามาพอดี
“ขอแสดงความยินดีอีกครั้งนะครับคุณบารมีและคู่หมั้นสุดสวย แต่อย่าเพิ่งรีบแต่งล่ะ ขอคุณเจนทำงานให้ผมก่อน”
“ครับ เจนก็เป็นพรีเซนเตอร์ให้ผมเหมือนกัน คงอีกสักพักล่ะครับ ถึงจะเป็นแม่ของลูก”
ประมุขยิ้มให้เจนจิรา
“วันนี้คุณก็ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ยืนสวยๆ ประดับฉากก็พอ ให้ดูคุณบารมี คุณบารมี เหมือนดอกไม้บาน
“บาน หมายถึงหน้าเจนบานเหรอครับ”
“ไม่ๆ หมายถึง แย้มบาน เบิกบาน ชื่นบาน”
บารมีส่ายหน้า แทบไม่ได้ฟังที่ประมุขอธิบาย
“ผมไม่ชอบคำนี้เลย ฟิยองเซ่จะบานออกสื่อไม่ได้นะคะ มา เดี๋ยวผมร้อยไหมให้ แป๊บเดียวหน้าเรียวเป็นรูปตัววีเลย”
บารมีจูงมือเจนจิราจะพาออกไป เจนจิราเอือมมาก แต่ประมุขเรียกไว้
“ขอสักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยวีดคุณบารมี นะ งานจะเริ่มแล้ว เดี๋ยวเอามุมกล้องช่วยให้”
บารมียอม เจนจิราถอนหายใจ เบื่อหน่ายแต่ก็ไม่ต้านทาน เพราะรู้สึกเนือยๆ กับชีวิต ยืนเฉยๆ ให้บารมีคอยดูแลความสวยงามให้
ตฤณวางตังตังลงพร้อมชะเง้อคอมองจากรอบนอก แทรกนักข่าวเข้ามาไม่ได้ ตังตังกระโดดๆ ตฤณชะเง้อสุดคอ อยากรู้ว่ามีอะไร แล้วตฤณก็เห็นเจนจิรายืนอยู่กับบารมี เขายิ้มดีใจมาก พยายามโบกมือเรียกเจนจิรา แต่เธอไม่ได้ยิน
ทีมงานเข้ามาเรียกเจนจิราพอดี บารมีโบกมือส่ง เจนจิราเดินไปขึ้นเวที ซึ่งมีประมุขยืนอยู่ใกล้ๆ ไมค์ ตฤณรีบตามให้ใกล้ที่สุด อยู่ใกล้ๆ เวที ป้องปากเรียก
“เจ...”
เรียกไม่จบ เสียงหวีดของไมค์ ซึ่งอยู่ใกล้ลำโพง ก็ดังแสบแก้วหู ตฤณกับตังตังยกมือปิดหูทันที
“ขอโทษครับๆ”
ประมุขเรียกทีมงานให้มาจัดการ ทีมงานรีบขึ้นมายกไมค์ห่างลำโพง ตฤณยังหูอื้อ ขณะที่ประมุขพูดใส่ไมค์แล้ว
“สวัสดีครับพี่ๆ น้องๆ สื่อมวลชนทุกท่าน ขอบคุณที่มางานแถลงข่าววันนี้”
ตฤณกับตังตังแปลกใจ
“แถลงข่าวอะไร”
“หรือว่า เรื่องที่น้าเจนหมั้นกับคุณหมอ”
ตฤณหน้าเสีย ขณะที่ประมุขบนเวทีพูดต่อ
“หลังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับข่าวที่เกิดขึ้น ทางเราก็ไม่สบายใจ ผมเองก็นอนไม่หลับอยู่หลายคืน จึงขอแถลงข่าวเพื่อเคลียร์ทุกข้อกังขา ใครสงสัยอะไรก็ถามมาเลยนะครับ เพราะเราพร้อมแล้วที่จะอธิบาย”
ตฤณไม่รู้ว่าประมุขพูดเรื่องอะไร แต่ก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินประมุขเอ่ยต่อ
“ขอเชิญดร.อาทิตย์ครับ”
แสงแฟลชวูบวาบ กล้องทุกตัวหันไปจับภาพดร.อาทิตย์เดินขึ้นบนเวที มีอินทุ นารีเดินตาม ตฤณกับตังตังตกใจมาก
“เอ๊ย นี่มันหนีเสือปะเสือเลยใช่ไหมน้าตฤณ เอาไงดีอ่ะ หนีไหม”
“น้าขอดูก่อน”
“ตังตังก็อยากดูเหมือนกัน”
สองน้าหลานตัดสินใจอยู่ฟัง แต่ก็พยายามไม่ให้ดร.อาทิตย์เห็น
“ผมเองก็ไม่ได้อยากจะมาแถลงข่าวแบบนี้ แต่จำเป็นต้องล้างมลทินให้ตัวเอง” ดร.อาทิตย์พูดขึ้น
“ล้างยังไงก็ไม่สะอาดหรอก ชิ” ตังตังเบ้หน้าใส่ดร.อาทิตย์
“เรื่องที่กล่าวหาว่าผมเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ ต้มตุ๋นประชาชน ผลการสอบสวนออกมาแล้วว่าทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิด”
ตฤณตกใจ “เป็นไปไม่ได้”
“มีคนสร้างหลักฐานเท็จ ใช้ชื่อผมแอบอ้างทำธุรกรรมต่างๆ เรื่องนี้สอบถามกับทางตำรวจได้ ผมเป็นผู้ถูกกระทำ ผมถูกใส่ร้าย”
“กล้าพูด หน้าไม่อาย” ตังตังพึมพำ
“ผมก็เข้าใจนะว่าการที่ผมยืนอยู่กลางแสงไฟ ใครจะโจมตียังไงก็ได้ แต่บางทีผมก็น้อยใจเหมือนกัน เพราะผมตั้งใจทำเพื่อเพื่อนมนุษย์จริงๆ”
“โกหก”
ธงทิวตะโกนแย้งขึ้นดังลั่น ตฤณตกใจ ธงทิวยืนอยู่ไม่ไกล ทำให้ตอนที่ดร.อาทิตย์เหลือบมองมา ตฤณต้องย่อตัวหลบทันที
“ตังตังรออยู่นี่ก่อนนะ”
ตฤณรีบวิ่งออกไป
ดร.อาทิตย์มองธงทิว ก่อนปรายตาไปยังอินทุ นารี ที่ยืนรออยู่ข้างเวที ทั้งสองรู้หน้าที่รีบพยักหน้า
“แกหลอกลวงประชาชน แกไม่ได้เป็นพ่อพระแกมันเป็นซา...”
ธงทิวพูดไม่ทันจบก็ถูกตฤณปิดปากแล้วลากออกไป เจนจิรายืนอยู่บนเวที มองไม่ชัด เห็นแว่บๆ เหมือนตฤณ เจนจิราหน้าเครียด พยายามมองตาม
จ่าเจี๊ยบยืนรอปวันอยู่หน้าประตูตึกสมายล์ทีวีที่มีการแถลงข่าวอยู่ มองนาฬิกา แล้วก็ชะเง้อคอดูว่าเมื่อไรปวันจะมา สักครู่ปวันรีบร้อนเข้ามา
“คิดว่าจะมาพรุ่งนี้ เขาแถลงข่าวกันจะเสร็จแล้ว”
“แล้วสรุปว่าไง”
“ก็น่าเคลียร์ได้ทุกอย่าง กลับมาเป็นดร.อาทิตย์คนดีศรีสยามเหมือนเดิม”
ปวันขมวดคิ้ว หน้าเครียด แต่ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นธงทิวโดนตฤณปิดปากลากตัวไปทางห้องน้ำ จ่าเจี๊ยบไม่เห็นเหมือนปวัน จึงพูดต่อ
“ไม่รู้ว่ามันสะกดจิตนักข่าวด้วยหรือเปล่า กลายเป็นพวกมันไปหมดแล้ว”
จ่าเจี๊ยบหันมาอีกที เห็นหลังไวๆ ของปวันเดินไปแล้ว
“โอ๊ย เรียกบ้างอะไรบ้างก็ได้”
จ่าเจียบประชดบ่นๆ แล้วรีบตามปวันไป
ตฤณพาธงทิวมาหน้าห้องน้ำที่ไม่ค่อยมีคน ปล่อยมือจากธงทิว ธงทิวอ้าปากจะถามว่าตฤณเป็นใคร แต่ตฤณสวนขึ้นก่อน
“น้า พูดไรออกไปรู้ตัวไหมเนี่ย ลูกน้องอาทิตย์เต็มไปหมดเดี๋ยวก็โดนสอยหรอก”
“นายเป็นใคร”
“เป็นพวกเดียวกับน้า”
ธงทิวมองตฤณ อาจจะเคยเจอกันผ่านๆ แต่ก็นึกไม่ออก
“พูดมากเดี๋ยวก็จะโดนพวกมันจับไปขังเหมือนผม”
“โดนจับไปขัง”
ธงทิวงง ตฤณไม่อยากอธิบายมาก กลัวยุ่งยาก แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงปวันถามขึ้น
“ใครจับ จับเมื่อไร จับทำไม แล้วจับไปขังไว้ไหน”
ตฤณ ธงทิวหันไปมองปวันเป็นตาเดียว
“คุณตำรวจ”
“หมวด”
“รู้จักกันด้วยเหรอ”
ตฤณหันมองธงทิว ธงทิวก็งง ว่ารู้จักปวันด้วยหรือ สามคนมองกันงงๆ ขณะที่ปวันอยากรู้มากว่าเกิดอะไรขึ้น
การแถลงข่าวใกล้เสร็จแล้ว ประมุขเปิดโอกาสให้นักข่าวซักถาม
“ใครมีอะไรสงสัย ถามได้นะครับ”
นักข่าวหลายคนยกมือ
“พอทราบไหมครับ ว่าใครเป็นคนใส่ร้ายด็อกเตอร์”
อาทิตย์ถอนหายใจเหมือนหนักใจ ไม่อยากพูด
“เรื่องนี้ ผมให้ทางตำรวจจัดการ ส่วนตัวผมแล้ว เพื่อความศรัทธาในชีวิต ผมให้อภัยทุกอย่าง”
ขณะที่ดร.อาทิตย์พูด เจนจิรากวาดตามองไปรอบๆ เพื่อหาตฤณ บารมีไม่ได้สนใจ เพราะมัวแต่เซลฟี่ตัวเองโดยมีกองทัพนักข่าวเป็นฉากหลัง นารีจับตาดูเจนจิราตลอด
ตฤณเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นแบบคร่าวๆ ให้ทุกคนฟัง
“ก็นั่นแหละ พอผมออกมาจากในหนัง ก็โดนไอ้อาทิตย์จับตัวไป เนี่ย เพิ่งหนีออกมาได้”
ปวันหน้าเครียด แต่ธงทิวกับจ่าเจี๊ยบงง
“ออกมาจากในหนัง หมายถึงเป็นดารา มิน่า หน้าคุ้นๆ เป็นตัวประกอบมากี่เรื่องแล้วล่ะ”ธงทิวถามตฤณ
ปวัน ตฤณ ไม่สนใจ คุยกันต่อ
“แล้วรู้หรือเปล่า ว่าอาทิตย์มันเอาลินดากับโอเคออกมาแล้ว”
“หา จริงอ่ะ”
“ลินดาโอเคอะไรอีกอ่ะ” ธงทิวงง
ตฤณหน้าเครียด พยายามคิดว่าจะต้องทำอย่างไร แล้วนึกขึ้นได้
“คุณตำรวจ ขอยืมโทรศัพท์หน่อย”
ปวัน จ่าเจี๊ยบ ธงทิว หยิบโทรศัพท์ให้ตฤณพร้อมกัน เพราะทุกคนเป็นตำรวจ ตฤณเลือกของปวัน แล้วต่อสายถึงเจนจิราทันที ขณะนั้นดร.อาทิตย์พูดทิ้งท้าย ใกล้ปิดงาน
“ผมยอมรับว่าช่วงที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย ผมเครียดมาก มันเป็นวิกฤตในชีวิต แต่ผมก็ผ่านมาได้ด้วยพลังแห่งศรัทธา ขอให้ทุกคนอย่าหมดศรัทธา แล้วชีวิตจะพบแสงสว่าง”
นักข่าวถ่ายรูปแสงแฟลชวูบวาบ เจนจิรายืนอยู่บนเวที โทรศัพท์สั่น เธอหยิบดู เห็นเบอร์ปวันก็แปลกใจ เดินเลี่ยงลงมาอีกด้านแล้วรับสาย
“สวัสดีค่ะ”
ตฤณได้ยินเสียงเจนจิราก็ดีใจ
“เจน นี่เขาเอง”
เจนจิราเดินเลี่ยงออกมาห่างจากงานแถลงข่าว เป็นมุมที่ค่อนข้างปลอดคน เธอยังมีความอาลัยตฤณอยู่บ้าง แต่โกรธที่ตฤณไม่มาห้ามตอนเธอหมั้น เลยตอบเสียงห้วน
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น มันสายไปแล้ว ตอนนี้เขามีคู่หมั้นแล้ว ไม่อยากคุยกับผู้ชายคนอื่น ตัวเองไม่ต้องโทรมาอีก แค่นี้นะ”
“เดี๋ยว ฟังเขาก่อน”
จ่าเจี๊ยบโวย “โห คุณตฤณ ง้อสาวตอนเขาหมั้นเนี่ยนะ”
ตฤณไม่ได้สนใจ พูดต่อ
“เขาโดนอาทิตย์จับตัวไป”
เจนจิราหน้าเครียดขึ้น แปลกใจว่าตฤณหมายถึงอะไร
“อะไรนะ”
“เขาถูกจับตัวก่อนจะไปห้ามตัวเองไม่ให้หมั้น”
“เหรอ ข้ออ้างโลดโผนดี แต่เขาไม่เชื่อ”
ตฤณถอนหายใจ แต่พยายามใจเย็น
“แต่ตัวเองก็รู้นี่ ไอ้อาทิตย์มันเป็นคนไม่ดี อาทิตย์มันผิด จริงๆ นะ มันไม่ได้ถูกใส่ร้ายอย่างที่เพิ่งประกาศ”
เจนจิราชะงัก ฉุกคิดขึ้นมาได้
“ตัวเองอยู่ที่งานเหรอ”
“ใช่ ก็เขารีบมาหาตัวเอง”
เจนจิราเงียบไป กำลังคิดว่าจะเชื่อตฤณดีไหม ตฤณรู้รีบดักคอ
“ตัวเองยังไม่เชื่อเขาก็ได้ เดี๋ยวเขาจะอธิบายแบบละเอียดอีกที ตอนนี้เราพักเรื่องของเราไว้ก่อนนะ นักข่าวเชื่ออาทิตย์ไหม”
เจนจิรายอมเลิกโกรธสักพัก ให้ความสนใจเรื่องดร.อาทิตย์
“อาทิตย์ตอบได้ทุกคำถาม หลักฐานการกระทำผิดของเขาก็ไม่มี นักข่าวต่อสายถึงทางตำรวจ แล้วก็มาช่วยยืนยันว่าอาทิตย์บริสุทธิ์”
“ถ้างั้นมันก็จะกลับมาทำชั่วได้มากกว่าเดิมสิ”
ปวันเดินเข้ามา แย่งโทรศัพท์ไปจากมือตฤณ
“คุณเจน ฉันยังไม่มีหลักฐาน แต่มั่นใจว่าอาทิตย์เกี่ยวข้องกับการปล้นทองเมื่อเช้า”
ตฤณมองปวัน เซ็ง แล้วแย่งโทรศัพท์กลับไป พูดด้วยความเป็นห่วง
“ตัวเองกำลังอยู่ในความเสี่ยงนะเจน ตัวเองหาทางหนีออกมาจากพวกมันด่วนเลย”
“ถ้าเขาหนีแล้วใครจะแฉพวกมันล่ะ เขาจะต้องหาหลักฐานที่ดร.อาทิตย์...”
เจนจิราตั้งใจแน่วแน่ หมุนตัวกลับ เจอดร.อาทิตย์ยืนยิ้มอยู่ เธอตกใจ ถึงกับมือไม้อ่อน ทำโทรศัพท์ตกลงพื้น มีเสียงตฤณแว่วออกมา
“ตัวเอง ตัวเองเป็นอะไร ทำไมเงียบไปอ่ะ ตัวเอง”
สักพักเจนจิราทำหน้านิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เธอโดนสะกดจิตแล้ว
“ไม่ต้องโทรมาอีก เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว”
เจนจิราตัดสายไป ตฤณอึ้ง
“เจน เจน”
“ทำไม คุณเจนว่ายังไง” ปวันตกใจ
“มันผิดปกติ”
ตฤณไม่พูดอะไรต่อ รีบกลับไปที่เวที ว่าเกิดอะไรขึ้น ปวันตามไปด้วย จ่าเจี๊ยบจะตาม ธงทิวกระชากคอเสื้อไว้
“ตกลงอะไรยังไง ใครเป็นใคร มาจากไหนยังไง อธิบายสิจ่า”
“ให้เป็นหน้าที่ของหมวดดีกว่าครับ ผมยศน้อย รู้เรื่องไม่เยอะ”
ธงทิวกระแทกลมหายใจ
สายลับ 3 มิติ ตอนที่ 10 (ต่อ)
งานแถลงข่าวจบแล้ว ดร.อาทิตย์จับมือกับประมุขอยู่หลังเวที
“ขอบคุณคุณมาก ที่สนับสนุนผมมาตลอด”
“น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่านี่ครับ ถึงคราวผม คุณก็ต้องช่วยเหมือนกัน จริงไหม”
ประมุขถามยิ้มๆ ดร.อาทิตย์รู้ทันว่าประมุขหวังผลประโยชน์จากตนเลยยอมช่วย เขายิ้มกลับ ตบไหล่ประมุขหนึ่งทีแล้วเดินแยกไปอีกทาง นารีเดินตามไปกระซิบกับดร.อาทิตย์
“ไอ้ตฤณมันอยู่ที่นี่ เราจะไม่จัดการมันเหรอคะ”
“มันไม่มีปัญญาทำอะไรเราได้แล้ว ก็แค่ไอ้ปลวกเป็นง่อยตัวหนึ่ง”
ดร.อาทิตย์หัวเราะสะใจเดินออกไป นารีเดินตาม
ตฤณเดินเข้ามาในงาน ตังตังรออยู่รีบพุ่งมาจับมือตฤณ
“น้าตฤณ เร็ว น้าเจนจะไปแล้ว”
ตังตังลากตฤณไป ขณะที่ปวันเห็นดร.อาทิตย์ไปทางออก ธงทิวก็เหมือนกัน เขารีบตามดร.อาทิตย์ไป ปวันมองอย่างอยากรู้
“ผู้การจะทำอะไร”
ปวันตามไปดูธงทิว จ่าเจี๊ยบไปด้วย บารมีกำลังพาเจนจิราจะออกไปจากงาน ตังตังจูงตฤณมาขวาง
“น้าเจนๆ”
“เดี๋ยวก่อน เจน”
เจนจิรากับบารมีหันมา สายตาเธอว่างเปล่า ตฤณเดินไปใกล้ บารมีอ้าแขนกั้น
“ผู้หญิงคนนี้เป็นฟิยองเซ่ของฉันแล้ว มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย”
ตฤณไม่สนใจบารมี
“เกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เจน”
เจนจิรายกมือข้างซ้ายขึ้นเกือบจะโดนหน้าตฤณ ตฤณผงะ เธอท่าทางแข็งๆ เหมือนหุ่น พลิกไปที่หลังมือ อวดแหวนหมั้นให้ตฤณเห็น
“เจนเป็นฟิยองเซ่ของคุณบารมี”
ตฤณอึ้งมาก ไม่คิดว่าเจนจิราจะยอมรับหน้าตาเฉยแบบนี้
“แล้วเรื่องที่เราคุยโทรศัพท์กัน”
“ต่อไปนี้ไม่มีคำว่าเรา มีแค่ฉันกับคู่หมั้นของฉันเท่านั้น ที่มีกันละกัน”
เจนจิราเอนศีรษะซบไหล่บารมีซึ่งเธอไม่เคยทำมาก่อน บารมีอึ้งยิ้มหื่นๆ ดีใจ ขณะที่ตฤณก็อึ้ง ที่เจนจิราเปลี่ยนไปมาก ตฤณส่ายหน้า ไม่เชื่อในพฤติกรรมของเจนจิรา
“น้าตฤณดูในตาน้าเจนสิ”
“มันไม่ใช่อ่ะ เจน ตัวเองไม่ได้เป็นคนแบบนี้”
“แล้วฉันเป็นคนแบบไหน”
เจนจิราควงแขนบารมี เอนหัวซบไหล่
“เจนอยากขาว ฉีดกลูต้าให้เจนนะคะ”
“ได้เลยค่ะ ผมเพิ่มสูตรใหม่มา เอ็กซ์ตร้า ดับเบิ้ลไวท์ แอบโซลูท เพิร์ล ไวท์ ซุปเปอร์ไวท์..รับรองว่าฟิยองเซ่ได้ขาวใสเปล่งประกายเหมือนไข่มุกแน่ๆ”
เจนจิรายิ้ม แต่เป็นยิ้มหุ่นยนต์ กอดแขนบารมีแน่น บารมีปรายตามองตฤณเยาะเย้ย
“เสียดาย คลินิกฉันไม่มีสูตรประสานหัวใจที่แตกยับซะด้วย สงสัยแกคงต้องกินน้ำใบบัวบกแก้ช้ำในเองแล้วล่ะ ไปนะ บาย”
บารมีโบกมือให้ ยิ้มเหยียดเยาะเย้ย แล้วเดินควงเจนจิราออกไป ตฤณยืนอึ้ง มึนไปหมด
“น้าเจนโดนเข้าแล้ว” ตังตังเซ็ง
ปวันกับตฤณเดินเข้ามาในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ใส่หมวกพรางตัว จ้ำเท้าเดินไม่มองใคร สีหน้ามุ่งมั่นจริงจัง ก่อนหน้านี้ทั้งสองวางแผนปรึกษาหารือกัน
“อาทิตย์ไม่มีทางเอาแว่นสามมิติไว้ห่างตัวแน่ เราต้องหานกต่อมาดึงความสนใจ เราถึงจะเข้าใกล้อาทิตย์ได้” ปวันพูดถึงแผน
“อาทิตย์มันรอบคอบ ระวังตัวตลอด จะส่งใครเข้าไปมันก็คงสงสัยทั้งนั้น” ตฤณบอก
ทั้งคู่เดินมาด้วยกัน ในร้านอาหารที่จันทร์เจ้าใช้เป็นที่ถ่ายทำรายการอาหารของตัวเอง
“งั้นเราก็ต้องหาคนที่มันไม่สงสัย อย่างเช่น ลูกน้อง ไม่ก็ สาวก”
“สาวก ใคร” ตฤณสงสัย
ทั้งคู่เดินมาถึงประตูบานหนึ่ง แล้วผลักประตูเข้าไปพร้อมกัน ด้านในมีกองถ่ายรายการที่กำลังทำงานกันอยู่ โดยฉากเป็นห้องครัว จันทร์เจ้ายืนถือจานคุ้กกี้ที่จัดสวยงาม โพสต์ท่าสวยๆ ใส่กล้อง
“เสร็จแล้วค้า คุ้กกี้ลัน ลั้นลา น่ากินมากเลยนะคะเนี่ย หืม กลิ่นก็ห้อมหอม คุณแม่บ้านรีบทำให้คุณสามีและลูกๆ ลองชิมนะคะ รับรองว่า ทุกคนต้องติดใจแน่ๆ”
จันทร์เจ้าวางจาน แล้วหันมองกล้องอีกครั้ง
“เสียดายจริงๆ วันนี้รายการ จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้าขอข้าวขอแกง หมดเวลาซะแล้ว ต้องลาไปก่อนนะคะ เจอกันใหม่อาทิตย์หน้า สวัสดีค่ะ”
จันทร์เจ้าไหว้อย่างสวยงาม แล้วโบกมืออย่างกับนางสาวไทย
“คัท”
จันทร์เจ้ารีบเดินออกมา ขณะที่กังฟูซึ่งยืนดูแม่อัดรายการ แอบย่องไปกินคุ้กกี้ที่ใช้เข้าฉาก จันทร์เจ้าเดินมาที่มอนิเตอร์ ถามทีมงาน
“เป็นไงคะ ใช้ได้ไหม”
ปวันและตฤณ เห็นจันทร์เจ้านั่งหน้ามอนิเตอร์ กังฟูกินคุ้กกี้ แล้วแอบแหวะ คายทิ้งขยะ ทีมงานเดินออกไป ตฤณกับปวันได้จังหวะ รีบเดินเข้าไปใกล้ จันทร์เจ้าเงยหน้าขึ้นมา เห็นตฤณกับปวันยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ประหลาดใจ ปวันพูดเสียงเบาๆ
“ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมคะ”
จันทร์เจ้ามองทั้งคู่ด้วยความประหลาดใจ
ที่โกดัง เซฟเฮ้าส์ของดร เกิดเสียงระเบิดขึ้นด้านนอก โกดังสั่นไหว พื้นตรงกลางโกดังมีหลุมขนาดใหญ่ ควันลอยขึ้นมา เกิดจากระเบิดที่รุนแรงมาก เสียงดร.อาทิตย์หัวเราะดังขึ้น
“เยี่ยม เยี่ยมจริงๆ”
ดร.อาทิตย์ถือปืนที่เจิดกับวิศวะก็อปปี้มาจากปืนของมิสเตอร์โอเค อินทุ นารี ยืนประกบเจิดกับวิศวะอยู่ข้างๆ อีกด้านเป็นมิสเตอร์โอเคและลินดา มีปืนกระบอกจริงวางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ ดร.อาทิตย์มองปืนเลียนแบบอย่างชื่นชม
“ก็อปปี้ได้สมบูรณ์แบบมาก”
อินทุมองไปที่หลุม ซึ่งเกิดจากการทดลอง
“อานุภาพรุนแรงเหมือนต้นแบบ”
นารีมองปืนของจริง สลับกับของใหม่ หน้าตาจริงจัง
“หน้าตาก็เหมือนกันเป๊ะ แยกไม่ออกเลย”
“ฝีมือใครให้มันรู้บ้าง” เจิดอวด
มิสเตอร์โอเคมองอยู่นาน คว้าปืนจากมือดร.อาทิตย์มา
“ไหน ขอกระพ้มทดสอบบ้างซิ ของเลียนแบบมันจะโอเคเท่าของต้นออริจินั่ลจริงหรือ”
มิสเตอร์โอเคคว้าปืนแล้วก้าวออกไปยืนเด่นอยู่หน้าทุกคน เหนี่ยวไก ยิงตูม แรงระเบิดทำให้ผนังด้านหนึ่งของโกดังพังลงมาเป็นแถบทันที
“แม่เจ้าโว้ย เหมือนเจ้าบุ๋มบิ๋มทุกกระเบียดนิ้ว”
“บุ๋มบิ๋ม” วิศวะงง
“ก็ชื่อปืนของกระพ้มไง”
มิสเตอร์โอเคเดินกลับมา เอาปืนอันใหม่ยกเทียบของตัวเอง
“กระพ้มขอตั้งชื่อมันว่า เจ้า บุ๋ม บิ๋ม สอง”
มิสเตอร์โอเคทำเสียงเอคโค่ด้วยตัวเอง แล้วหัวเราะสะใจ หันไปพยักเพยิดกับลินดา
“กล่าวทักทายบุ๋มบิ๋มสองหน่อยสิ”
ลินดาโดนสะกดจิต คิดว่าตัวเองเป็นพวกของดร.อาทิตย์และมิสเตอร์โอเคไปแล้ว
“สวัสดีบุ๋มบิ๋มสอง ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งความศรัทธา”
มิสเตอร์โอเคหัวเราะอีก วิศวะมองอย่างหนักใจ พึมพำกับเจิด
“ลินดา เสร็จมันแล้วเหรอเนี่ย”
มิสเตอร์โอเคยังหัวเราะอยู่ ดร.อาทิตย์เหล่มองมิสเตอร์โอเคอย่างหมั่นไส้ แต่ก็แกล้งหัวเราะไปด้วย
“เหมือนอย่างที่ผมบอกคุณใช่ไหม ถ้าเราร่วมมือกัน ก็ไม่มีใครหยุดเราได้ เราจะผลิตไม่ใช่แค่บุ๋มบิ๋มสอง แต่จะมี บุ๋มบิ๋มสาม สี่ ห้า จนเป็นบุ๋มบิ๋มร้อย เป็นบุ๋มบิ๋มล้านตามมา”
“ปืนนะไม่ใช่ข้าวเกษตรอินทรีย์ จะผลิตไปทำไมเยอะแยะ” เจิดท้วง
“ไอ้แก่ ฉันไม่ได้จะให้แกผลิตปืนหรอก อย่ากลัวไปเลย”
เจิดกับวิศวะงง ดร.อาทิตย์พูดต่อ มีแผนร้ายในหัว
“ฉันต้องการให้แกสร้างเครื่องจักรที่จะก็อปปี้ปืนพวกนี้ให้กับฉัน”
“หา!!”
เจิดกับวิศวะตกใจ
“ไม่ต้อง หา เพราะไม่มีอะไรหาย กระพ้มจะทวนคำให้ เครื่องจักรสำหรับก็อปปี้ปืน อีกครั้งนะ เครื่องจักรสำหรับก็อปปี้ปืน
ลินดาพูดตามอยู่คนเดียว
“เครื่องจักร สำหรับก็อปปี้ปืน”
“น่ารักมากลินดา เป็นอย่างนี้ไปตลอดเลยนะ” มิสเตอร์โอเคชื่นชม
ลินดาพูดลอยๆ “ลินดาน่ารัก คึกคักเวลาลงเล่น ลินดาใจเย็นๆ เวลาลงเล่นน่ารักๆ”
ลินดากระพริบตาวิ้งๆ ให้ มิสเตอร์โอเคกระพริบตากลับ ดร.อาทิตย์ไม่ได้สนใจคนทั้งสอง หันมามองเจิดกับวิศวะแล้วสั่งเด็ดขาด
“พวกแกต้องสร้างเครื่องจักรสำหรับผลิตบุ๋มบิ๋มอันลิมิเต็ดให้ฉัน”
“ในหนัง พระเอกมันชนะทุกที แต่ในโลกแห่งความจริงนี้ ผู้ร้ายสามารถชนะพระเอกได้ กระพ้มรักโลกแห่งความจริงๆ เพราะมันโอเคมากจริงๆ ฮ่าๆๆ” มิสเตอร์โอเคหัวเราะพอใจมาก
มุมหนึ่งในร้านอาหาร จันทร์เจ้าเบิกตากว้างฟังตฤณกำลังรำพันอย่างเว่อร์ๆ
“ตอนนี้เราไม่รู้ว่าเชนอยู่ไหน จะเป็นตายร้ายดียังไง สิ่งเดียวที่เราหวังพึ่งได้คือศรัทธา”
“แล้วในบรรดาคนที่รู้จักเชน คุณเป็นคนที่มีศรัทธาเหนียวแน่นมาตลอด” ปวันพูดต่อ
“ถ้าคุณคิดว่าเชนกลับมา เขาก็ต้องกลับมา”
“คุณช่วยใช้ศรัทธาของคุณ พาเขากลับมาหาพวกเราได้ไหม”
“คุณคนเดียวที่จะช่วยเชนได้”
ตฤณกับปวันหว่านล้อมด้วยข้ออ้างที่เตรียมมา จันทร์เจ้านิ่งฟัง แล้วคิดตาม ตฤณกับปวัน ลุ้นว่าจันทร์เจ้าจะเชื่อหรือไม่
ตังตังแอบฟังการสนทนาข้างใน กังฟูเดินเข้ามา
“ทำอะไรอ่ะ”
ตังตังใส่ชุดดำเหมือนสายสืบ ปิดปากกังฟู
“เงียบๆ”
กังฟูพยักหน้า ยอมเงียบ ตังตังปล่อยมือ
“มาแอบฟังแม่เราคุยกับน้าตฤณเหรอ”
กังฟูถามด้วยความแปลกใจ ตังตังรีบพยักหน้า
“อืม ก็น้าตฤณอ้ะมีไรก็ไม่บอก อ้างว่าตังตังเป็นเด็กตลอดเลย”
“แต่แอบฟังแบบนี้มันไม่ดีนะ แม่เราเคยบอก”
“ของแบบนี้มันต้องดูที่เจตนา”
ตังตังบอก กังฟูงง
จันทร์เจ้าถามซ้ำตฤณกับปวันเหมือนไม่เชื่อ
“ฉันเนี่ยนะ เป็นคนเดียวที่จะช่วยเชนได้”
“ใช่”
“แค่ให้ฉันไปบริจาคเงินให้ด็อกเตอร์อาทิตย์ตอนนี้ พลังแห่งศรัทธาของฉันจะพาเชนกลับมาได้จริงนะเหรอ”
“จริง”
ปวันกับตฤณยืนยัน จันทร์เจ้ากระตือรือร้นทันที
“งั้นไปกันเลย”
จันทร์เจ้าคว้ากระเป๋า ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ปวันกับตฤณลุกตาม เหลือบมองกัน แอบทำมือโอเคให้กัน
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก ตังตังยืนคุยอยู่กับกังฟูสะดุ้ง รีบวิ่งไปแอบหลังประตู ตฤณ ปวัน จันทร์เจ้าเดินออกมา
“เจอก็ดีเลย กังฟู เดี๋ยวแม่จะไปทำธุระสักหน่อยนะ เดี๋ยวกังฟูรีบกลับบ้านกับพี่สมศักดิ์คนขับรถนะลูก”
“เอ่อ คือ”
กังฟูอ้ำอึ้ง ขณะมองตังตังซึ่งแอบอยู่ด้านหลังประตู อยากจะบอกทุกคน แต่ตังตังรีบจุ๊ปากไม่ให้พูด กังฟูเลยต้องรับปากแม่
“ครับ”
จันทร์เจ้าหยิกแก้มลูกอย่างเอ็นดู แล้วเดินไปกับปวันและตฤณ กังฟูยืนอยู่ที่เดิม มองตังตังเดินออกมาจากที่ซ่อน ตังตังถอนหายใจโล่งอก แต่ก็ชะเง้อคอมองตามตฤณไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“จะไปไหนกันอ่ะ”
ในห้องทำงาน อาทิตย์นั่งอยู่บนโต๊ะ อินทุ นารียืนอยู่ใกล้ๆ อินทุถามด้วยความแปลกใจ
“ด็อกเตอร์ให้ไอ้เจิดสร้างเครื่องจักรให้ แล้วบอกจะปล่อยมันไป ถ้าสร้างเสร็จ ด็อกเตอร์หลอกมันใช่ไหมครับ”
“ฆ่ามันทิ้งเลยสิคะ” นารีบอก
ดร.อาทิตย์หัวเราะ “ให้มันตายเพราะบุ๋มบิ๋มอันลิมิเต็ดที่มันทำมากะมือดีกว่า สมศักดิ์ศรีกว่า”
ดร.อาทิตย์ยิ้มร้าย มองจอคอมพิวเตอร์ ปรากฏรูปปืนของมิสเตอร์โอเค และภาพแผนที่โลก ให้เห็นว่าเป็นแผนการต่อไปของเขา
“ประเทศที่กระหายสงครามมีอยู่ทั่วโลก พวกมันอยากมีอำนาจเหนือชาติอื่น อยากฮุบทรัพยากรทั้งโลกมาเป็นของตัวเอง อาวุธของเราเป็นคำตอบสุดท้าย ปืนเราจะต้องขายดิบขายดี”
“แล้วอย่างนี้ใครจะชนะล่ะครับ ถ้าต่างฝ่ายต่างมีอาวุธของเรา”
“ฉันนี่ไง”
อินทุ นารี งง ดร.อาทิตย์ยิ้มอีก แล้วอธิบายแผนการของตน
“ถ้าเกิดสงคราม มันก็ต้องเดือดร้อนกันไปทุกย่อมหญ้า ยิ่งทรมานยิ่งทุกข์ยาก คนก็ยิ่งมองหาทางรอด ฉันนี่แหละ แสงสว่างที่จะพาทุกคนหลุดพ้น พลังศรัทธาจะเปลี่ยนโลก แล้วโลกก็จะตกอยู่ใต้อำนาจของอาทิตย์”
ดร.อาทิตย์หัวเราะในลำคอ ดูเหี้ยมโหดและมั่นใจ อินทุ นารี เหลือบมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย เพิ่งได้รู้ความต้องการสูงสุดของอาทิตย์ ทั้งคู่รีบสนับสนุน
“ด็อกเตอร์มองการณ์ไกลมาก ได้ทั้งศรัทธา ได้ทั้งครองโลก ผมขอสู้เคียงข้างด็อกเตอร์ไปจนถึงวันนั้น”
“ฉันจะกำจัดทุกคนที่เข้ามาขวางทาง ด็อกเตอร์อาทิตย์จะต้องยิ่งใหญ่ที่สุด”
อินทุ นารีก้มหัวให้ ดร.อาทิตย์ยิ้มปลื้มยืดอก พอใจมาก
ในห้องทดลองของดร.อาทิตย์ เจิดก้มหน้าก้มตาอยู่กับการร่างแบบเครื่องจักร วิศวะเหลือบมองเจิดอยู่หลายครั้ง แต่เจิดก็ยังตั้งใจทำงานมาก วิศวะทนไม่ไหว โวยออกมา
“ผมไม่เข้าใจ อาจารย์เชื่อจริงๆ เหรอ ว่าไอ้ด็อกเตอร์มันจะยอมปล่อยเรา ถ้าเราสร้างเครื่องผลิตปืนให้มันสำเร็จ”
เจิดไม่ตอบ วิศวะโวยต่อ
“เราควรปฏิเสธไปเลย ทำให้มันรู้ว่าเราเป็นนักประดิษฐ์ที่มีอุดมการณ์ เราจะไม่ทำงานให้กับคนชั่ว”
เจิดเงยหน้าขึ้น เหมือนจะตอบวิศวะ แต่แล้วกลับชี้ไปที่น็อต ที่อยู่ตรงหน้าวิศวะ
“หยิบน็อตมาให้สองตัวสิ”
“นี่อาจารย์ฟังผมพูดบ้างป่ะเนี่ย”
“หยิบมา”
วิศวะถอนหายใจ หยิบน็อตแล้วเดินไปยื่นให้เจิดใกล้ๆ จังหวะที่อยู่ใกล้กัน เจิดบอกเสียงเบา
“ถ้าคิดจะเป็นเสือก็ต้องใจเย็น ซุ่มรอจนเหยื่อตายใจแล้วค่อยขย้ำ”
“ผมไม่ได้อยากเป็นเสือ ผมอยากเป็นคน เป็นคนดี ไม่รับใช้คนเลว”
“เออ ฉันรู้ อดใจรออีกนิด งานนี้ฉันมีทีเด็ด”
วิศวะมองเจิด เข้าใจทันที พยักหน้าน้อยๆ พูดเสียงกระซิบ
“อาจารย์จะทำอะไรเหรอ”
“ลงมือทำไปเป็นบางอย่างแล้วด้วย หุหุหุ”
ตฤณ ปวัน จันทร์เจ้า เดินมาตามทางแล้วตฤณชะงักเดินช้าลง ปล่อยให้ 2 คนเดินนำหน้าไป
“ผมขอเข้าห้องน้ำแป๊บเดียว คุณตำรวจกับคุณจันทร์เจ้าไปรอผมที่รถเลย”
ปวัน จันทร์เจ้า เดินพ้นสายตาไป ตฤณก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดๆ ไม่ได้เข้าห้องน้ำอย่างที่บอก เขาพยายามโทรหาเจนจิรา แต่โทรกี่ครั้งก็ไม่มีใครรับ
“เจน ตัวเองอยู่ไหนอ่ะ”
ขณะที่ตฤณมองหา เขาก็ได้ยินเสียง
“สวัสดี โซเชียลแคม”
เสียงยานๆ เหมือนคนเมายา แต่ตฤณจำได้ว่าเป็นเสียงเจนจิรา เขารีบมองหาต้นตอของเสียง ตฤณเดินไป ผ่านมุมตึก เห็นเจนจิรายืนอยู่กับสแตนดี้ที่เป็นรูปบารมี แล้วถ่ายคลิปตัวเองด้วยมือถือ
“ไม่มีอะไรมาก แค่อยากบอกรัก”
“เจน ทำอะไรน่ะ”
“ถ่ายคลิปบอกรัก”
เจนจิราหันไปจูบหน้าบารมีซึ่งเป็นสแตนดี้ ตฤณเห็นก็ตกใจมาก
“ตัวเองบ้าไปแล้วเหรอ กล้าทำได้ไง”
บารมีใส่ชุดฮาวาย พร้อมถุงเสื้อผ้าที่ซื้อมาให้เจนจิราเพื่อไปทะเลเดินเข้ามาพอดี ตอบแทนเจนจิรา
“ก็คนรักกัน ทำไมจะทำไม่ได้”
ตฤณหันไป ขณะที่เจนจิราเดินเข้าไปหาบารมี
“คิดถึงจุงเบย”
“เจน” ตฤณตกใจ
“ต้องให้ฉันบอกกี่ครั้งว่าเลิกยุ่งกับฟิยองเซ่ของฉันได้แล้ว หรือไม่เข้าใจคำว่าฟิยองเซ่ มันแปลว่าคนที่หมั้นหมายกัน เพราะว่ารักกันมาก ถ้าไม่อยากปีนต้นงิ้วก็อย่ามาเกาะแกะคู่หมั้นของฉันอีก”
“ไม่ใช่เกาะแกะ แต่เกะกะ”
“ชัดไหมละ”
บารมีหัวเราะเยาะ ตฤณไม่ได้สนใจบารมี มองแต่เจนจิรา
“นี่มันไม่ใช่ตัวเองเลยนะ ตัวเองไม่สบายเหรอ หรือว่าโดนทำเสน่ห์”
“นี่มันสมัยไหนแล้ว ฉันไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก แต่ถ้านายหลอกตัวเองแบบนั้นแล้วสบายใจ ก็แล้วแต่นะ เราไปกันเถอะค่ะ” บารมีชวนเจนจิรา
“ไปก็ไปด้วยกันนะ ไปคนเดียวไม่เอาอ่ะ ขอทำตัวติดกับเธอ ขอฉันไปด้วยคนนะ” เจนจิรากอดแขนบารมี
“แกจะพาเจนไปไหน” ตฤณขวาง
“แต่งตัวเต็มขนาดนี้ เดาเองไม่ได้อีกเหรอ ฉันจะพาเจนไปเกาะส่วนตัวของฉัน คงไม่ต้องบอกนะ ว่านอกจากดำน้ำดูปะการัง แล้วเราจะทำอะไรกัน”
บารมียิ้มเยาะอีก กระชับมือที่โอบเอวเจนจิรา แล้วพาเดินหันหลังให้ตฤณ ตฤณขยับจะตาม แต่บารมีเอี้ยวตัวกลับมา ใช้มืออีกข้างทำปูไต่ๆ ที่แขนเจนจิรา
“อ่ะ ปูไต่ๆ”
“รำระบำชาวเกาะ ฟังเพราะเสนาะจับใจ เสียงน้ำหลั่งไหล กระทบหาดทรายดังเมี้ยว เมี้ยว”
เจนจิราทำดิ้นๆ จั๊กกะจี้ สองคนดูกุ๊กกิ๊กก่อนขึ้นรถไป บารมียักคิ้วข้างเดียวให้ตฤณ เยาะเย้ย ตฤณมองรถบารมีขับออกไป เห็นบารมีโน้มหน้าไปเหมือนจะจูบเจนจิรา ตฤณทนไม่ไหว
“ไม่นะเจน”
ตฤณร้อนรน วิ่งตามรถไปทันที
รถบารมีขับมาตามทางลานจอดรถ ซึ่งต้องวนออกทางออก ทำให้ต้องผ่านตฤณ ตฤณวิ่งตามมาแล้วเลี้ยวไปดักรถบารมีใกล้ๆ ทางออก ขวางหน้ารถไว้ แต่ก่อนจะออกมาขวางรถ ปวันก็รั้งตัวเอาไว้ พูดเตือนเบาๆ
“ภารกิจของเราสำคัญกว่าเรื่องส่วนตัว”
ตฤณชะงัก หันกลับมา ปวันมองตฤณด้วยสีหน้าจริงจัง เข้าใจความรู้สึก
จันทร์เจ้ายืนอยู่ด้วย บารมีโบกมือลา ยิ้มเยาะ ถากถางตฤณ ตฤณยืนอึ้ง มองตามรถของบารมีอย่างสิ้นหวัง โดยไม่เห็นว่ามีรถแวนอีกคันจากบ้านจันทร์เจ้า ขับตามรถบารมีไปด้วย
ในรถแวนของบ้านจันทร์เจ้า มีตังตังกับกังฟูนั่งอยู่เบาะหลัง กังฟูชะโงกหน้าบอกคนขับ ชี้ไปที่รถของบารมีที่อยู่ข้างหน้า
“พี่สมศักดิ์ตามรถคันนั้นไปเลย”
“ครับ คุณกังฟู”
รถแวนขับเร็ว ตามติดรถบารมี กังฟูตื่นเต้น
“ตื่นเต้นจริงๆ อะ สนุกกว่าเล่นเกมอีก”
“เห็นมะ เขาถึงได้บอกว่าเด็กๆ ควรออกมาเล่นข้างนอกบ้าง ไม่ใช่เล่นแต่เกมอย่างเดียว สมาธิจะสั้นอีกต่างหาก”
กังฟูพยักหน้า เห็นด้วยกับตังตัง
“งั้นเดี๋ยวเราชวนสมายล์มาเล่นด้วยดีกว่า”
กังฟูหยิบโทรศัพท์โทรชวนสมายล์ ขณะที่ตังตังรำพึง
“น้าตฤณ ไม่ต้องห่วงนะ ตังตังจะดูแลน้าเจนเอง น้าตฤณไปพาเชนกลับมาเถอะ”
ขณะเดียวกัน กังฟูคุยโทรศัพท์กับสมายล์
“ยังไม่รู้ว่าไปไหนเลยสไมล์ จะตามมาไหม สนุกจริงๆ นะ”
เด็กสองคนกำลังสนุกกับภารกิจครั้งนี้มาก
ในห้องทดลองของดร.อาทิตย์ เจิดเปิดให้วิศวะดูอะไรบางอย่างในกล่อง
“เฮ้ย ลุงเล่นอย่างนี้เลยเหรอ ลุงทำได้ไง”
ประตูห้องเปิดออกอย่างแรง วิศวะกับเจิดหันไปมอง มิสเตอร์โอเคเดินอาดๆ เข้ามา มีลินดาตาม
“เป็นยังไง สหายนักประดิษฐ์ สร้างเครื่องจักรผลิตอาวุธไปถึงไหนแล้ว ไหนขอกระพ้มดูความก้าวหน้าหน่อย”
มิสเตอร์โอเคมองดูรอบๆ ไม่เห็นเครื่องจักรใดๆ เลย เดินเข้าไปดูตรงหน้าเจิด ก็เจอแค่เส้นไม่กี่ขีดบนกระดาษแบบร่าง
“อะไรกัน นานป่านนี้ยังร่างแบบไม่เสร็จอีก ทำอะไรกันอยู่ มัวอู้กันอยู่รึไง”
“นี่ไม่ใช่ในหนังนะเว้ย พูดปุ๊บแล้วจะได้ได้ปั๊บ ถ้าอยากได้แบบด่วนๆ ก็กลับไปอยู่ในหนังสิวะ ออกมาทำไม”
มิสเตอร์โอเคมองเจิด ไม่พอใจ
“ปากดี กล้าพูดแบบนี้กับมิสเตอร์อะเครได้ไง”
ลินดาคว้าแส้ขึ้นมา ฟาดใส่เจิดทันที เจิดหลบทันแต่ก็แทบจะตกเก้าอี้
“ปากว่ามือถึงจริงๆ แม่หนูนี่”
วิศวะรีบประคองเจิด โวยใส่ลินดา
“ลินดา ทำไมทำงี้อ่ะ”
“ก็ละละละลินดาเป็นคู่หูคู่เลิฟของกระพ้ม ก็ต้องเดือดร้อนแทนกระพ้มอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่ ลินดาเป็นคู่หูของเชนต่างหาก”
“เชน เชนไหน ไม่รู้จัก ไม่รู้จักเชน รู้จักแต่อะเคร อะเครๆ”
วิศวะอึ้ง ลินดาเป็นเอามาก เจิดดูออกทันที
“คงโดนไอ้อาทิตย์สะกดจิตมา”
“ผมก็ว่างั้น”
วิศวะนึกได้ทันทีว่าจะทำอย่างไร ปลุกจิตที่ถูกสะกดก็น่าจะทำให้ตกใจ เขาเลยคว้าไขควงกับแผ่นเหล็กที่อยู่บนโต๊ะ แล้วมาตีใส่หน้าลินดา เสียงดังก้องเข้าไปในหู ลินดาสะดุ้ง หันขวับมองวิศวะ
“หายไหม”
“ทำอะไร ไอ้พวกทะลึ่ง”
ลินดาตวัดแส้ใส่หลังวิศวะ วิศวะกระเด็นไปชนกำแพง เจิดมองแล้วส่ายหน้าตำหนิวิศวะ
“โดนสะกดจิตนะเว้ย ไม่ใช่สะอึก ตกใจแล้วจะได้หาย”
วิศวะคลำหลังตัวเองป้อยๆ แล้วลุกขึ้นมา มิสเตอร์โอเคหัวเราะ
“พวกมึงนี่ตลกเป็นบ้าเลยว่ะ เฮ้ย ทำไมพูดคำๆ นั้นได้”
“คำอะไรอะเคร” ลินดาถาม
“คำว่ามึงไง ฮ่าๆๆ ในหนังทีวีกระพ้มพูดคำหยาบไม่ได้ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง กระพ้มพูดหยาบคายได้ สะใจจริงๆ โลกนี้ช่างดีเสียนี่กระไร ไอ้กู ไอ้มึง ไอ้มึง ไอ้กู วู้ มันปากจังโว้ย”
“แต่อะเคร ไม่พูดดีกว่านะ ลินดาไม่คุ้น ไม่ไพเราะ ไม่มีสกุล รุนช่อง”
“ลินดาพูดถูก เอ้า มองกันอยู่ได้ รีบๆ สร้างเครื่องจักรผลิตอาวุธให้ไอ้กระพ้มได้แล้ว ไอ้กระพ้มอยากเห็นลูกหลานเจ้าบุ๋มบิ๋ม ขอลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมืองเลยนะ”
“ทำไปทำไมเยอะแยะ”
“ทำไปขายสิเว้ย เราจะรวยกันใหญ่ หลายประเทศสั่งจองมาแล้ว คิวแน่นเอี๊ยด ถ้าผลิตเสร็จเมื่อไร ก็นับเงินกันไม่หวาดไม่ไหวเลยล่ะ”
มิสเตอร์โอเคหัวเราะด้วยความสุข ขณะที่เจิดกับวิศวะมองหน้ากัน
“รีบเร่งมือเข้าล่ะ ฉันจะมาเช็คความคืบหน้าเรื่อยๆ ที่นี่ โลกแห่งความจริง ผู้ร้ายสามารถชนะได้ มันโอเคจริงๆ เล้ย ฮ่าๆ พระเอกหลบลงข้างทางไปก่อน ฮ่าๆๆ”
มิสเตอร์โอเคหัวเราะ ควงลินดาออกไป เจิดมองๆ แล้วถอยไปที่กล่องนั้น
“สงสัยจะรอนานกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ เราต้องออกโรงกันแล้ว”
“ผมพร้อมเสมอ”
วิศวะบอกด้วยท่าทางมุ่งมั่น เดินไปที่กล่อง ก้มลงไปหยิบบางอย่าง ทันใด มิสเตอร์โอเคผลุบกลับเข้ามา
“นั่นอะไร”
วิศวะ เจิดสบตากัน อึ้ง แล้วคว้าของออกมา คือปืนแบบมิสเตอร์โอเคอีกอัน
“นั่นมัน”
“บุ๋มบิ๋มสาม”
เจิด วิศวะ ช่วยกันถือ เพื่อจะยิงมิสเตอร์โอเค แต่เก้งก้างไม่ถนัดนัก มิสเตอร์โอเคฉวยจังหวะ โดดมาเตะมือทั้งสองคน ปืนลอยขึ้น มิสเตอร์โอเคโดดเข้ารับไว้ ทำให้มิสเตอร์โอเคมีปืนสองอันในมือ
“อ้า บุ๋มบิ๋มออริจินั่ล โคลนนิ่งหรือนี่ เอ แต่มันน้ำหนักเบากว่ากันมากเลยนะ โอ อะเมซซิ่ง ฉันชอบแฮะ”
“แก โอเค นี่มันแค่โครงการทดลองของฉัน ถ้าดร.อาทิตย์รู้ เขาจะยึดไป” เจิดบอก
“ลินดาก็รู้ไม่ได้นะ เขาต้องบอกไอ้ด็อกแน่ๆ” วิศวะย้ำบอก
“ดร.อาทิตย์ไม่รู้เรื่องนี้หรือ เยี่ยม พวกแกก็อย่าปากโป้งไปล่ะ ฮะๆๆ บุ๋มบิ๋มเป็นของโอเค ลูกลับๆ ของมันก็ต้องเป็นของโอเค คนเดียวเซ้”
มิสเตอร์โอเครีบไป ชื่นชมปืนทั้งคู่ เหมือนเล่นตุ๊กตา เจิดสบตาวิศวะ สมใจ
สายลับ 3 มิติ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ดร.อาทิตย์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน หันมาสั่งนารี
“ส่งเทียบเชิญนานาชาติมาดูการสาธิตแสนยานุภาพของปืน ซุปเปอร์ซัน ได้เลย แนบท้ายไปด้วย ใครจองก่อนมีสิทธิ์ชนะก่อน”
“อ้าว มันชื่อบุ๋มบิ๋มไม่ใช่หรือคะ”
“เราขโมยทั้งความคิดแล้ว ก็ต้องขโมยสิทธิ์ที่จะตั้งชื่อของเราแทนชื่อเดิมของมันด้วยสิ ไหนๆ ก็ได้มาครอบครองทั้งทีแล้ว”
“อ้อ ค่ะ”
เสียงเคาะประตูห้องทำงานสองสามที ดร.อาทิตย์อนุญาต อินทุพาเจิดเข้ามา
“มันบอกว่าการผลิตมีปัญหา”
ดร.อาทิตย์ขมวดคิ้ว เจิดรีบบอก
“ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร ฉันแค่ต้องการบางอย่าง ที่แกไม่ได้เตรียมไว้”
ดร.อาทิตย์ยังไม่ทันถาม เจิดก็ควักกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา สะบัดออก ก็พบว่าเป็นกระดาษพับทบๆ กันไว้ ยาวมาก ยื่นไปตรงหน้าดร.อาทิตย์ซึ่งยืนอึ้งอยู่ ดร.อาทิตย์มองดูรายการที่เขียนมา ส่วนใหญ่เป็นสูตรเคมี และชื่อภาษาอังกฤษของอุปกรณ์ช่าง เขียนด้วยลายมือหวัดๆ แทบอ่านไม่ออก
“ชิ้นส่วนไม่กี่ชิ้น กับสารเคมีอีกสามสี่ชนิด สำคัญมาก ถ้ามีไม่ครบ ก็ทำตามที่แกสั่งไม่ได้”
ดร.อาทิตย์หน้าเครียดขึ้น หยิบกระดาษมาอ่าน แต่ลายมือเจิดหวัดมาก อ่านแทบไม่ออก ระหว่างนั้น เจิดก็กวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็เห็นแว่นสามมิติวางอยู่บนโต๊ะ ใกล้ๆ ดร.อาทิตย์ เขาแอบสะกิดบอกวิศวะ วิศวะกระพริบตาข้างเดียวให้ เป็นสัญญาณว่ารู้แล้ว ดร.อาทิตย์ส่งลิสต์รายการให้นารี นารีรับมา ดูลายมือหวัดๆ แล้วหนักใจ
“ลายมือยังกะหมอตามโรงบาลเวลาสั่งยา”
“ทำไม มีปัญหาอะไรกับลายมือฉัน”
เจิดพุ่งตัวไปหานารี เหมือนจะหาเรื่อง พยายามดึงความสนใจจากดร.อาทิตย์ ขณะที่วิศวะ แอบขยับๆ ไปที่โต๊ะทำงาน ให้ใกล้แว่นมากที่สุด
“ว่าไง มีปัญหาอะไร”
“แก่แล้วอย่าหาเรื่องเลยน่าลุง”
“แก่เหรอ ขึ้นเลยๆ คนอย่างเจิดฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ ยิ่งหยามว่าแก่ ยิ่งยอมไม่ได้เว้ย”
เจิดทำทีเป็นถกแขนเสื้อ จะหาเรื่อง อินทุต้องดึงไว้ ขณะที่ทุกคนสนใจเจิด วิศวะก็เข้าใกล้แว่นขึ้นเรื่อยๆ เจิดดิ้นจะเอาเรื่องนารีให้ได้ ดึงความสนใจไว้ วิศวะรีบเอื้อมมือไปที่แว่น เกือบจะถึงแว่นแล้ว แต่โทรศัพท์อินทุดังขึ้น อินทุรีบรับโทรศัพท์
“อะไร”
เจิดถลึงตาใส่วิศวะให้รีบหยิบแว่นมา วิศวะกลืนน้ำลาย ตื่นเต้นมาก ค่อยๆ ยื่นมือออกไปอีกครั้ง ดร.อาทิตย์กับอินทุคุยกัน โดยมีวิศวะเอื้อมมือไปหยิบแว่นอยู่ด้านหลัง
“มีคนจะมาติดต่อขอบริจาคเงินกับด็อกเตอร์” อินทุรายงาน
“ก็ให้เซ็นเช็คมาสิ ยากอะไร”
“เขาระบุว่าต้องให้กับมือด็อกเตอร์เท่านั้นครับ”
“งั้นให้พาเขาไปรอที่ห้องรับรอง”
ขณะนั้นวิศวะแตะแว่นได้แล้ว แต่ดร.อาทิตย์กลับยื่นมือมาตะครุบแว่นไว้โดยไม่มอง วิศวะชักมือกลับทันเฉียดฉิว เจิดถอนหายใจฮึดฮัด ที่วิศวะพลาดอีกแล้ว ดร.อาทิตย์หยิบแว่น แล้วลุกขึ้น สั่งนารี
“เอาไอ้สองคนนี้กลับไปที่ที่ของมัน แล้วตามฉันลงไป นารี ไปจัดการตามที่สั่ง”
อินทุ นารีพยักหน้ารับ อินทุเข้ามารวบตัววิศวะไป
“อย่ามาจับ ไม่ชอบสัมผัสจากผู้ชาย”
วิศวะสะบัดๆ ไม่ให้อินทุจับ แล้วฉวยจังหวะนั้นจับตามองแว่น ก่อนที่วิศวะจะถูกลากตัวออกไป โดยมีนารีเดินประกบแล้วปิดประตูลง เขาเห็นดร.อาทิตย์เอาแว่นตาสามมิติไปใส่ในกล่องเซฟด้านหลัง
ตังตังนั่งอยู่ในรถแวน เห็นบารมีเดินควงเจนจิราเข้าไปในคลินิก กังฟูนั่งอยู่ใกล้ๆ สะกิดตังตัง ชี้ไปที่รถอีกคันที่เพิ่งแล่นมาจอดใกล้ๆ
“สมายล์มาแล้ว”
“โอเค งั้นเราบุกเลย”
สมุนดร.อาทิตย์พาจันทร์เจ้ากับจ่าเจี๊ยบเข้ามาในห้องรับรอง รอดร.อาทิตย์ โดยที่จ่าเจี๊ยบปลอมตัวเป็นผู้ติดตามจันทร์เจ้า ใส่วิกผม เพื่อไม่ให้ดร.อาทิตย์จับได้ ก่อนหน้านี้ปวันได้อธิบายแผนการไว้
“แผนขโมยแว่นจากอาทิตย์ เราจะแบ่งเป็นสองทีม ทีมแรก นางนกต่อ ต้องเข้าไปหลอกล่อ ดึงความสนใจจากอาทิตย์”
“งานนี้เหมาะกับผมมาก ผมปลอมตัวเข้าไปเอง แล้วจะคอยประกบไม่ให้คุณจันทร์เจ้าพูดอะไรที่ไม่ควรพูดด้วย” จ่าเจี๊ยบบอก
ขณะนั้น จ่าเจี๊ยบบอกจันทร์เจ้า
“อย่าลืมที่ผมบอกนะครับ คุณต้องทำทุกอย่างช้าๆ ประวิงเวลานานๆ เพราะยิ่งนาน พลังศรัทธายิ่งเยอะ”
“ตำราไหนเหรอคะ”
“ผมบอกไม่ได้ แต่เชื่อผมนะครับ มันจะทำให้เชนกลับมา”
จันทร์เจ้าพยักหน้า
“แล้วอย่าบอกด็อกเตอร์นะครับว่าคุณจันทร์เจ้าต้องการช่วยเชน ดวงมันฟ้องครับ ว่าผู้ชายสองคนนี้ไม่เอื้อกัน ให้รู้ไม่ได้ มันจะไม่ดี”
“อ๋อ เหรอคะ มุกไหนเนี่ย”
จันทร์เจ้าพยายามเชื่อ ตั้งใจจะช่วยเชนอย่างเต็มที่
ตรงหน้าต่างภายในมูลนิธิ ปวันค่อยๆ ปีนเข้ามา ตามด้วยตฤณที่ใส่หน้ากากแล้ว
“ทีมที่สาม กองหน้า จะลอบเข้าไปเอาแว่นสามมิติจากอาทิตย์ ทีมนี้เสี่ยงที่สุด ฉันเข้าไปเอง”
“ผมไปด้วย ตอนนี้ผมพัฒนาแล้ว ไม่เป็นภาระแน่นอน” ตฤรอาสา
ปวันกับตฤณเข้ามาได้แล้ว ทั้งคู่ย่องๆ ไปตามทางเดินอย่างระมัดระวัง พอเหลือบเห็นกล้องวงจรปิด ก็พาหลบหลีกอย่างรู้มุม เดินมาอีกสักพัก ตฤณได้ยินเสียงฝีเท้าคนจากด้านหลัง ดึงปวันไปหลบมุม รอให้สมุนดร.อาทิตย์ผ่านไป ทั้งคู่ค่อยออกมา มองหน้ากันแล้วพยักหน้าให้กัน ดูเหมือนจะทำงานเข้าขากันดีมาก
ทั้งคู่ย่องมาถึงทางแยก มีซ้ายและขวา ปวันจะไปซ้าย ตฤณจะไปขวา พอทั้งคู่เห็นว่าไม่ได้ไปทางเดียวกันก็หันมองกัน
“ฉันเคยมาที่นี่ ฉันรู้ว่าห้องทำงานอาทิตย์อยู่ไหน”
ปวันบอก แล้วเดินนำไปทางซ้าย ตฤณตามไป
บารมีคุยกับพนักงานอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ขณะที่เจนจิรายืนถ่ายรูปตัวเองอยู่กับสแตนดี้บารมี บารมีคุยงานเสร็จแล้ว หันกลับมาหาเจนจิรา กอดเอวเธอไว้ เจนจิรากอดกลับ ท่าทางรักบารมีมาก
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ พอดีมีเคสด่วนเข้ามา ผมก็เลยต้องแวะมาจัดการซะหน่อย”
“เจนรอนานแค่ไหนก็รอได้ค่ะ”
“ปากหวาน”
บารมีพูดพลาง กอดเอวเจนจิราพาเดินไปยังทางออก แต่ทันใดนั้นตังตัง กังฟู และสมายล์ก็ผลักประตูเข้ามา บารมีผงะ ตกใจ ตังตังนำเพื่อนมาล้อมหน้าล้อมหลังบารมี จับมือบารมีเขย่าๆ
“คุณอาบารมี ตังตังอยากสวยค่ะ”
“สมายล์ก็อยากสวยเหมือนนางสาวไทย”
“ผมอยากผอม”
“ตังตังอยากหน้าใสด้วย”
“สมายล์อยากหน้าเด้งดึ๋ง”
“ผมขอซิกแพคเป็นลอนๆ เลย”
เด็กสามคนแย่งกันพูด เขย่าๆ บารมีจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง บารมีต้องรีบห้าม
“หยุด หยุดก่อนเด็กๆ อาฟังไม่รู้เรื่อง พูดทีละคน”
“ตังตังอยากหน้าใสไร้ฝ้า”
“สมายล์ก็อยากหน้าเด้งๆ เหมือนลูกชิ้นเด้งดึ๋งๆ”
“ผมอยากผอม หุ่นดี สาวๆ ที่โรงเรียนจะได้กรี๊ด”
“โอเค เดี๋ยวอาจะบอกพนักงานให้นะ หนูตังตังกับสมายล์ไปนวดหน้า ส่วน ชื่อกังฟูใช่ไหมเรา เดี๋ยวจะให้พี่เขานวดสลายไขมันให้นะ”
“ไม่เอา ตังตังจะให้อาบารมีทำให้”
“ผมด้วยๆ”
ตังตังโวยวาย กระทืบเท้าเอาแต่ใจ สมายล์ก็รีบทำตาม
“สมายล์ก็จะให้อาบารมีทำให้เหมือนกัน ไม่งั้นสมายล์จะฟ้องพ่อ”
เด็กสามคนโวยพร้อมกัน เสียงดังโหวกเหวก จนลูกค้าโผล่หน้ามาจากห้อง มาดูว่าเกิดอะไรขึ้น บารมีกลัวลูกค้าจะแตกตื่น หันมาจะพยายามให้เด็กเงียบๆ
“โอเคค่ะๆ เดี๋ยวอาจัดให้นะคะ ไม่ต้องโวยวายนะ”
เจนจิราเต้นเชียร์
“บารมีสู้ๆ บารมีสู้ตาย บารมีไว้ลาย บารมีสู้ๆ”
ตังตังมองเจนจิรา รู้ว่าเพี้ยนไปแล้ว
ภายในห้องรับรอง จันทร์เจ้ากับจ่าเจี๊ยบนั่งอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ ตรงข้ามกับดร.อาทิตย์ อินทุยืนอยู่ใกล้ๆ ดร.อาทิตย์ จันทร์เจ้าทำตามที่จ่าเจี๊ยบบอก ไม่บริจาคเงินง่ายๆ ทำเป็นร้องห่มร้องไห้ น้ำตาไหลพราก คร่ำครวญกับดร.อาทิตย์ พูดช้าๆ เนิบๆ เพื่อประวิงเวลา
“ทำไม ฉันไม่เข้าใจ ทำไมชีวิตฉันถึงเป็นแบบนี้ มีลูกแต่ไม่มีสามี ด็อกเตอร์รู้ไหม การกอดตัวเองตอนกลางคืนมันเหงาแค่ไหน ฉันเปล่าเปลี่ยว ฉันโดดเดี่ยวมากๆ”
จันทร์เจ้าพูดยานคางมาก จนดร.อาทิตย์แอบหาว
“ฉันต้องทำยังไงคะ ฉันถึงจะหายเหงาหายเศร้าเสียที”
“คุณต้องมีศรัทธา”
“ฉันมีนะคะ ฉันมีมาตั้งนานแล้ว แต่ศรัทธาไม่เห็นจะช่วยอะไรฉันเลย”
“มันอาจจะยังไม่มากพอ”
ขณะที่ดร.อาทิตย์พูดอยู่ ไฟในห้องทำงานก็เกิดติดๆ ดับๆ แต่แค่ไม่นาน ก็กลับมาปกติ
“สงสัยไฟตก” อินทุบอก
ดร.อาทิตย์ไม่ได้สนใจมาก หันมามองจันทร์เจ้า
“งั้นฉันต้องศรัทธามากแค่ไหนล่ะคะ แค่ไหน บอกมาเลยค่ะ”
“แล้วคุณให้ได้แค่ไหนล่ะ”
ดร.อาทิตย์ถามเสียงนิ่งๆ ดูน่าเชื่อถือมาก จันทร์เจ้ากรีดน้ำตาด้วยนิ้ว แบมือตรงหน้าจ่าเจี๊ยบ จ่าเจี๊ยบรู้งาน หยิบสมุดเช็คจากกระเป๋าส่งให้ จันทร์เจ้าสะบัดๆ สมุดเช็คตรงหน้าดร.อาทิตย์
“ฉันเต็มที่กับศรัทธาเสมอค่ะ”
ดร.อาทิตย์ยังทำหน้าขรึม แต่ก็แอบลอบยิ้ม
ในห้องทำงานดร.อาทิตย์ ปิดไฟมืด เจิดกับวิศวะลอบเข้ามาได้ เจิดง่วนอยู่กับการปลดเซฟ วิศวะคอยดูต้นทางอยู่แถวประตู
“ได้ยังอาจารย์ เดี๋ยวพวกมันกลับมา”
“เดี๋ยวสิวะ”
เจิดพยายามไขเซฟด้วยกุญแจผี แต่ก็เปิดไม่ได้สักที
“พวกมันจะสงสัยไหม ไอ้ที่ไฟตกเมื่อกี้ เป็นเพราะเราปิดระบบเตือนภัย”
“อย่าเพิ่งถาม เสียสมาธิ”
เจิดตั้งใจไขเซฟ แต่ทันใดนั้น ดอกกุญแจกลับหักคาอยู่ข้างใน
“ท่าจะไม่ง่ายแล้วว่ะ”
“เอาอย่างนี้ละกัน”
วิศวะยกตู้เซฟขึ้นแบก ไม่ใหญ่แต่หนัก ท่าทางทุลักทุเล
“เอางั้นเลยเหรอ”
“รีบเปิดประตูสิอาจารย์”
เจิดรีบเปิดประตูให้วิศวะ แล้วทั้งคู่ก็รีบออกไป
ตามทางเดินในตึก สมุนดร.อาทิตย์ยืนเฝ้าตามจุดต่างๆ สมุนคนหนึ่งยืนตรวจตราอยู่ อยู่ๆ ก็ดิ้น ล้มลงไป
สมุนอีกคนเดินผ่านมุมห้อง มีมือยื่นออกมาจากมุมมืด สับท้ายทอยล้มลงไปอีกคน สมุนอีกคนได้ยินเสียงกุกกักเลยหันไปมอง ตฤณยื่นดาบออกมาจี้ที่เอว สมุนชัก ล้มลง ใครบางคน ยื่นมือมารับก่อนร่างจะพื้น แล้วลากไปแอบไว้
ตฤณและปวันยืนมองสมุนที่นิ่งไปแล้ว พวกเขาเป็นคนจัดการสมุนทั้งหมด ปวันยื่นหน้าออกมา มองทางเดินไม่มีสมุนของดร.อาทิตย์เหลืออยู่ จึงกวักมือบอกตฤณ
“ทางสะดวก”
ปวันนำออกไป แต่อยู่ๆ ตฤณก็สาวเท้าเร็วขึ้น เพื่อขึ้นแซง
“ขอผมนำบ้าง”
ตฤณนำไปที่บันไดหนีไฟ วิ่งขึ้นไปอย่างมั่นใจ ปวันวิ่งตามรวดเร็ว ตฤณวิ่งนำขึ้นบันไดมาถึงขั้นสุดท้ายที่จะถึงชั้น 4 เขาก็ต้องเบรกกะทันหัน เพราะนารียืนขวางอยู่
“กล้ากลับมาอีกนะ”
“เอ๊ย มาได้ไง”
นารีถือมีด พร้อมจะทำร้าย ตฤณกับปวันรีบหมุนตัวกลับ แต่ก็เจอลินดาถือแส้ยืนอยู่
“ไม่รู้เหรอยะ ที่นี่เป็นเขตหวงห้าม คนนอกห้ามมาเพ่นพ่าน”
ลินดาเอาแส้ฟาดพื้นขู่ ตฤณกับปวันไม่มีทางหนี
วิศวะวิ่งตามเจิดมา คอยระวังสอดส่ายสมุนของดร.อาทิตย์ไปด้วย แต่ก็ไม่มีใคร เจิดหันมามองวิศวะที่อยู่ด้านหลัง
“โห เอ็งนี่ วิ่งหรือคลานเนี่ย”
“อาจารย์ไม่ช่วยแบกแล้วยังจะแดกดัน”
“ไวๆ หน่อยดิ เดี๋ยวโดนจับได้หรอก”
ขณะที่เจิดพูด ก็ไม่ได้มองทาง ชนเข้ากับมิสเตอร์โอเค ซึ่งยืนยิ้มกริ่มพร้อมปืนบุ๋มบิ๋ม 1 กระบอก ในมือ
“คงไม่ใช่เดี๋ยวแล้วกระมัง”
มิสเตอร์โอเคมองที่เซฟในมือวิศวะ
“ฮู้ว์ เล่นขโมยของหนักซะด้วย”
“รู้ว่าหนักก็หลบซิวะ แขนมันจะหลุดอยู่ละ ยังมาขวาง หลีกไป”
เจิดไล่ แล้วเบี่ยงตัวจะเดินหนีให้ได้ แต่มิสเตอร์โอเคกางขาออกมากั้น ขวางทางเอาไว้
“ล้มกระพ้มให้ได้เซ่”
มิสเตอร์โอเคพูดไม่ทันจบ เจิดก็เตะผ่าหมาก มิสเตอร์โอเคไม่ทันตั้งตัว จุกจนหน้าเขียว
“จัดไป”
“อ๊าก ในโลกแห่งความจริง มันเจ็บจริงๆ”
เจิดรีบวิ่งลงบันได วิศวะมองมิสเตอร์โอเคที่จุกจนตัวงอ
“โอเคน้อยคงไม่โอเคแล้วล่ะ”
วิศวะวิ่งตามเจิดไป มิสเตอร์โอเคพยายามยันตัวขึ้นมา
ปวันกับตฤณถูกนารีและลินดาจับตัวไว้ ปวันโดนจับเอามือไพล่หลัง นารีเอามีดจี้หลังไว้ ตฤณโดนจับเอามือไพล่หลังเหมือนกัน โดยลินดาใช้แส้รัดข้อมือไว้ ตฤณบอกลินดา
“ละละละลินดา จำผมไม่ได้เหรอ ตฤณมือขวาเชนไง เราเคยสู้มาด้วยกันนะ”
“ตฤณไหน เชนไหน ฉันไม่รู้จัก อย่าพูดมาก ถ้ายังไม่อยากตาย”
ลินดาดึงแส้ให้แน่นขึ้น แขนตฤณโดนล็อคแรงขึ้น ตฤณเจ็บไหล่จนร้อง
“โอ๊ย ลินดา ทำไมใจร้ายแบบนี้”
นารีคุมตัวปวัน ขณะที่ลินดาก็คุมตัวตฤณไว้ พาเดินมาด้วยกัน แต่ทันใดนั้น วิศวะกับเจิดซึ่งวิ่งหนีมิสเตอร์โอเคลงมา ก็ชนเข้าอย่างแรง นารีโดนกระแทกมีดตกพื้น เซมาโดนลินดา ทั้งคู่ล้ม ทำให้ตฤณกับปวันล้มไปด้วย เจิดกับวิศวะนอนล้มอยู่ตรงนั้นด้วย นารีทับลินดามีวิศวะทับอยู่อีกที ขณะที่ปวันและตฤณเป็นอิสระ ตฤณหันไปมอง
“ไอ้วิศวะ”
“ลุงเจิด”
ปวันกับตฤณยันตัวขึ้น ขณะที่เจิดนอนอยู่ มีเซฟทับหน้าอก
“โอย ช่วยหน่อยสิวะ หายใจไม่ออก”
ตฤณรีบเข้าไปช่วยยกเซฟออก ไม่รู้ว่าในนั้นคือแว่น เลยวางไว้ข้างๆ แล้วพยุงเจิดขึ้นมา วิศวะค่อยๆ ลุกขึ้นมา นารีกับลินดามึนๆ เพราะล้มกระแทกกัน ปวันเอาปืนมาจากนารีได้ จะจัดการกับลินดาและนารี แต่ทันใดนั้น เสียงมิสเตอร์โอเคก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“โอ๊ะโอ นี่เรามาเจออะไรโดยบังเอิญเข้าเนี่ย”
ทุกคนหันไปมองต้นเสียง เห็นมิสเตอร์โอเคเดินมา โดยเล็งปืนมาด้วย เจิดกับวิศวะมองที่ปืนนั้น แล้วหันมามองหน้ากัน ลินดา นารี เข้ารวบตัวปวัน แย่งปืนคืนมา มิสเตอร์โอเคจี้ปืนไปที่เจิด วิศวะ ตฤณ
“ใครที่มันทำอะไรกับโอเคน้อยไว้ มันจะต้องชดใช้อย่างสาสม”
พวกปวันถูกต้อนจนมุม เจิด วิศวะ จ้องที่ปืนในมือมิสเตอร์โอเค เจิดกระซิบวิศวะ
“นายว่า นั่นมันบุ๋มบิ๋ม 1 หรือบุ๋มบิ๋ม 3”
“สาวๆ ไปเอาตัวสหายนักประดิษฐ์ของเรามา ส่วนอีกสองคน กระพ้มจัดการเอง”
มิสเตอร์โอเคพูดพลาง ควงปืนอย่างสบายๆ และลืมตัว เจิด วิศวะมอง แล้วสบตากันอีก
“บุ๋มบิ๋ม 3 ชัวร์ บุ๋มบิ๋ม 1หนักมาก มันไม่มีทางควงเล่นได้แบบนี้หรอก”
วิศวะบอก เจิดรีบโดดกระซิบตฤณรวดเร็ว
“พยายามยั่วให้ไอ้โอเคยิงนายให้ได้นะ”
“อะไรนะ”
วิศวะเข้ามากระซิบกับปวัน
“ทำยังไงก็ได้ ให้โอเคมันยิงพวกคุณ”
“หา”
ลินดากับนารีเข้าไปดึงเจิดกับวิศวะออกมา ทั้งคู่ดิ้นๆ ขณะที่ปืนของมิสเตอร์โอเค หันไปทางปวันกับตฤณ เจิดกับวิศวะถูกพาไปด้านหลังมิสเตอร์โอเค เจิดพยายามยั่วยุ
“ไอ้โอเค แกอย่าเอาปืนของแกไปเที่ยวยิงคนจริงๆ น้า คนจริงๆ ไม่เหมือนคนในหนังน้า เดี๋ยวเขาจะเจ็บจริง ตายจริงนะเว้ย”
“นั่นสิ ใครๆ ก็รู้ ว่าปืนบุ๋มบิ๋มของมิสเตอร์โอเคอานุภาพมันน่ากลัวขนาดไหน ยิ่งเป็นบุ๋มบิ๋มตัวใหม่ๆ นะ โอ๊ย ความร้ายแรงของมัน สยดสยองชั่วร้ายที่สุด”
วิศวะหลิ่วตาให้ตฤณ ปวัน ทั้งสองงงๆ เจิดสบตาสองคนทำหน้าขยิกๆ เร่งๆ นารีมองๆ
“เป็นอะไร ทำหน้าขยุกขยิก”
“เปล่า คันจมูก มันจะจาม แต่แกอย่ายิงสองคนนั้นนะ โอเค เห็นแก่พระเจ้าเถอะ”
“พระเจ้า แกพูดถึงพระเจ้ากับคนชั่วอย่างกระพ้มเหรอ”
ตฤณสบตากับปวัน แล้วเริ่มรับมุก
“โอ นั่นปืนบุ๋มบิ๋มของคุณโอเค อยากรู้จัง ว่าจะมีอานุภาพทำลายล้างเหมือนที่เคยดูในหนังมั้ยนะ” ปวันยั่ว
ตฤณสูดลมหายใจ ก้าวออกไป กางแขนสองข้างปกป้องปวัน
“อย่าพูดแบบนั้นสิ ปวัน แก ไอ้โอเค อย่าทำอะไรผู้หญิงนะ ปล่อยเขาไปเถอะ ยิงฉันคนเดียวพอ ปวัน ฝากเจนจิ หญิงที่ผมรัก บอกเธอว่า ผมจะรักเขาตลอดไป”
“ทำไมคนจริงๆ มันพูดจากันเน่ากว่าในหนังอีกวะ” มิสเตอร์โอเคแปลกใจ
พวกเจิด วิศวะ เชียร์ให้พูดอีก
“ฝากดูแลบ้านเช่า ผมฝากตังตังหลานสาวผมด้วย ฝาก ฝากซื้อไส้กรอกที่ร้านสะดวกซื้อปากซอยให้ตังตังกินแทนผมด้วย ไอ้โอเค แกรำคาญรึยัง ถ้ารำคาญก็รีบๆ ยิงสิ”
ปวันก้าวออกมายืนขวางตฤณ
“ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่จะแอบอยู่หลังผู้ชาย แน่จริง ก็วางปืนที่น่าขยะแขยงแบบนั้น แล้วมาสู้กันตัวๆ เลยสิ กล้าไหมล่ะ”
“กระพ้มไม่ชอบสู้กับผู้หญิง มันไม่โอเค กระพ้มชอบยิงมากกว่า”
มิสเตอร์โอเคเล็งปืน เหนี่ยวไกช้าๆ
“บอกลาโลกนี้ได้เลย ฮ่าๆๆ This world bad guy can win”
วิศวะยืนดูอยู่กับเจิด พึมพำเบาๆ
“แล้วมันจะยังไงต่อ อาจารย์”
“เดี๋ยวก็รู้”
“ตายซะเถอะ”
มิสเตอร์โอเคยิงออกไป ปวันกับตฤณหลับตาปี๋ แต่แทนที่จะเป็นระเบิดออกมา กลับเป็นเมือกเหนียวๆ สีเขียวระเบิดย้อนใส่หน้ามิสเตอร์โอเคเต็มๆ มิสเตอร์โอเคมองอะไรไม่เห็น ถึงกับผงะหงายหลังล้มลงไป
“เอ๊ย อะไรวะ อย่างงี้ไม่โอเค”
เมือกเขียวๆ กระเด็นไปข้างๆ ด้วย เจิดกับวิศวะรู้จึงย่อตัวหลบทัน เมือกจึงกระเด็นใส่หน้าลินดากับนารีที่อยู่ด้านหลัง ลินดาร้องลั่น
“อ๊าย ขยะแขยง”
“อี๋”
ลินดากับนารีรีบเช็ดหน้า ทำให้ต้องปล่อยมือจากเจิดและวิศวะ ขณะเดียวกันที่ปืนก็มีควันสีขาวค่อยๆ ลอยออกมา พร้อมกลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งไปทั่ว ลินดา นารี มิสเตอร์โอเค เหม็นมาก
“แหวะ เหม็นที่สุดในสามโลก” นารีทนไม่ได้
เจิดวิ่งไปหาตฤณกับปวันที่ยังงง
“ไปเร็ว”
เจิดเร่ง แต่ปวันนึกขึ้นได้
“แว่น”
เจิดนึกขึ้นได้เหมือนกัน
“เซฟ”
“เซฟไม่เอา เอาแว่น” ตฤณบอก
“ก็แว่นอยู่ในเซฟ”
“อ้าว งั้นก็เอาเซฟมา”
“แกนั่นแหละ ไปเอาเซฟมา”
ตฤณ เจิด วิศวะ ปวัน มองหาเซฟ ตฤณรีบคว้าเซฟขึ้นมา พวกปวันรีบหนีไป
ที่ห้องรับรอง ดร.อาทิตย์ยังอยู่กับจันทร์เจ้า จันทร์เจ้าถือปากกา แกว่งไปมา ไม่เซ็นเช็คสักที
“ถ้าฉันบริจาคเงินก้อนนี้ ชีวิตฉันจะดีขึ้นจริงๆ ใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้ว ชีวิตคุณจะค่อยๆ ดีขึ้นๆ”
จันทร์เจ้าก้มหน้าเซ็น แต่แล้วก็เงยหน้ามาถามอีก
“เงินแค่นี้ไม่น้อยไปเหรอคะ”
“คุณอยากให้เพิ่มก็ได้ แล้วแต่ศรัทธาของคุณเลย”
จันทร์เจ้าฉีกแผ่นเก่าทิ้ง ส่งให้จ่าเจี๊ยบขยำ แล้วเขียนตัวเลขลงแผ่นใหม่
“เท่าไรดีน้า”
ดร.อาทิตย์ถอนหายใจ เบื่อหน่าย บ่นพึมพำ
“เขียนๆ มาสักทีเถอะ”
ขณะนั้นเอง สมุนเดินหน้าตาตื่นเข้ามา กระซิบบางอย่างกับอินทุ อินทุรีบกระซิบบอกดร.อาทิตย์ ดร.อาทิตย์หน้าเครียด ลุกขึ้นทันที จันทร์เจ้ารีบร้องถาม
“อ้าว ด็อกเตอร์จะไปไหนล่ะคะ”
“ผมมีธุระ คุณเซ็นเสร็จเมื่อไรก็วางเอาไว้ได้เลย”
ดร.อาทิตย์เดินไป จันทร์เจ้าเงอะงะ จ่าเจี๊ยบรีบรั้งไว้
“แต่คุณจันทร์เจ้าอยากจะให้กับมือด็อกเตอร์นะครับ”
“ใช่คะ อย่าเพิ่งไปนะ”
จันทร์เจ้าดึงมือดร.อาทิตย์ไว้ แต่ดร.อาทิตย์หันมาสะบัด
“ก็บอกว่ามีธุระไง อยากให้กับมือก็รอวันอื่น”
ดร.อาทิตย์โกรธจัดถึงกับตวาดใส่ แล้วเดินหนีไปทันที อินทุตามไปด้วย จันทร์เจ้าอึ้ง
“ทำไมด็อกเตอร์ตวาดใส่ฉัน ด็อกเตอร์ไม่เคยเป็นแบบนี้”
“นี่อาจเป็นเนื้อแท้ของเขาก็ได้นะครับ”
“ไม่จริงๆ มันอาจเป็นแค่ภาพมายา ฉันต้องศรัทธา ต้องเชื่อในตัวด็อกเตอร์”
จันทร์เจ้าบอกตัวเอง จ่าเจี๊ยบถอนหายใจ รีบคว้ากระเป๋าให้จันทร์เจ้า แล้วพาเธอออกไป
ดร.อาทิตย์ออกมาจากห้องรับรอง เดินหน้าเครียดตรงไปที่ลิฟต์ สั่งอินทุเสียงเข้ม
“ปิดทางเข้าออกให้หมด อย่าให้มันหนีไปได้”
ประตูทุกบานของตึก กำลังปิดลง
ประตูรถปวันปิดลง เสียงหัวเราะของวิศวะดังขึ้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดเราก็หนีออกมาจนได้”
วิศวะหันไปคุยกับเจิด
“ระเบิดขี้มูก แก๊สไข่เน่า แล้วก็ควันนินจา นี่มันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวจริงๆ อาจารย์ทำได้ไง”
“มันไม่ให้เราแตะบุ๋มบิ๋ม 1 แต่ตอนทำบุ๋มบิ๋ม 2 ฉันก็แอบทำบุ๋มบิ๋ม 3 ไปด้วย กะว่าจะเอามาใช้เอง เพื่อสู้กะมัน แต่วัสดุอุปกรณ์ที่มันจัดมามีน้อยไป ไม่พอที่จะทำบุ๋มบิ๋ม 3 ฉันเลยต้องทำแบบกลวงๆ แล้วคิดทำพวกของแหวะๆ พวกนั้น โดยเอาวัตถุดิบมาจากอาหารที่มันเอามาให้เรากินทุกวันๆ นี่แหละ ยัดไส้ไปแทน กะว่า.จะสลับกับปืนจริงของมัน แต่ฉันไม่มีโอกาสจะสลับของได้ ก็เลยหาทางให้ไอ้โอเคยึดไป แล้วมันก็ยึดจริง แล้วมันก็อยากลองใช้ของใหม่จริงๆ ตามนิสัยของมนุษย์”
วิศวะยกนิ้วโป้งให้
“สุดยอดมากอาจารย์ นอกจากการคิดประดิษฐ์แล้ว อาจารย์ยังมีจิตวิทยา ใช้นิสัยมนุษย์มาเป็นตัวเร่งเร้าไอ้โอเคได้อีก”
“โชคดี ที่โอเคมันมาจากในหนัง นิสัยมันแบนๆ อ่านง่าย ไม่ซับซ้อนเหมือนคนจริงๆ”
วิศวะโผเข้ากอดเจิดด้วยความประทับใจ
“สมแล้วที่ศิษย์สวามิภักดิ์”
เจิดทำหน้าสยอง ผลักวิศวะออกไป
สายลับ 3 มิติ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ในห้องทำงานดร.อาทิตย์ เซฟที่ใส่แว่นไว้ ว่างเปล่า ดร.อาทิตย์หันขวับมาบอกทุกคนด้วยเสียงดัง
“มันเอาแว่นไปด้วย”
ดร.อาทิตย์ตบหน้าอินทุอย่างแรง
“ไม่ได้เรื่อง”
ดร.อาทิตย์ตบหน้านารีอีกคน
“ห่วยแตก”
นารีหน้าหัน มิสเตอร์โอเครีบเข้าไปประคอง
“เป็นสุภาพบุรุษ อย่าทำร้ายสุภาพสตรีสิ เจ็บไหมจ๊ะคนสวย”
นารีสะบัดตัวออกจากมิสเตอร์โอเค
“คนสมัยนี้เล่นสกปรกกว่าที่ไอ้กระพ้มจะคาดถึง”
“ใช่ สกปรกมาก”
ลินดาดูมือที่เช็ดเมือกออกไปแล้ว แต่ก็ยังเหนียวๆ อยู่
“อาบน้ำกี่รอบถึงจะสะอาดเนี่ย”
“ไอ้เจิดมันหนีไปได้ แล้วใครจะสร้างเครื่องผลิตปืนให้ฉัน โถ่เว้ย”
ดร.อาทิตย์เครียด ทุกคนเงียบ
บารมีพาสมายล์กับกังฟูออกมาจากห้องเสริมความงามชนิดต่างๆ
“ครบหมดทุกคนแล้วนะ เรื่องค่าใช้จ่าย น้าจะส่งบิลไปที่พ่อกับแม่ของหนูๆ เอง ทั้งหมดน้าลดให้ 5 เปอร์เซ็นต์”
“5 เปอร์เซ็นต์”
“คนอื่นน้าลดแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ เองนะ”
เด็กๆ มองหน้ากันว่าบารมีเค็มจริงๆ สมายล์กับกังฟูเดินมาหาตังตัง ตังตังร้อนใจมาก หันกลับไปมองที่ประตูอีกครั้ง พึมพำ
“น้าตฤณ ทำไมยังไม่มาอีก”
บารมีมองไปรอบๆ
“อ้าว แล้วเจนล่ะ”
“เจนอยู่นี่ค่ะ”
เสียงเจนจิราดังขึ้นจากด้านหลัง บารมีและเด็กๆ หันไปมอง เจนจิราเดินมาจากห้องน้ำ มีผ้าคลุมไหล่ หมุนตัวหนึ่งรอบ แล้วดึงผ้าออก เจนจิราเปลี่ยนเป็นชุดชายทะเลที่บารมีเพิ่งซื้อให้ พร้อมทั้งดึงเสื้อเปิดโชว์ไหล่
“เป็นไงคะ สวยไหม หลักฐานยืนยันความรักของเรา”
บารมีเห็นรอยสักรูปหัวใจ มีลูกศรปัก และมีชื่อเจนจิรากับบารมี บนไหล่ของเธอ
“เจน คุณไปสักมาเหรอ”
เจนจิราชูปากกาหมึกหัวใหญ่ขึ้นมา
“เจนเขียนเอง”
เจนจิราร้องโค้ดเชียร์ที่แต่งเองขึ้นมา พร้อมทำท่าเหมือนเชียร์ลีดเดอร์
“บารมี เป๊ะ เด๊ะ เด้งดึ๋ง ใครเห็นก็ต้องตะลึง เด้งดึ๋ง เป๊ะ เด๊ะ เฮ้”
เจนจิราจบด้วยท่าโพสต์โชว์รอยสักที่หัวไหล่ บารมีตบมือให้ พลางหันมาบอกเด็กๆ
“น้าต้องไปแล้วนะ เดี๋ยวขึ้นเครื่องไม่ทัน”
“เดี๋ยวค่ะ”
ตังตังคิดข้ออ้างไม่ออกแล้ว เลยกอดขาเจนจิราไว้
“ตังตังไปด้วยนะ น้าเจนไปไหน ตังตังไปด้วย”
บารมีตกใจ ตังตังหันไปขยิบตาให้กังฟูกับสมายล์ ตอนแรกทั้งสองทำหน้างง แต่ตังตังส่งสัญญาณบอกใบ้ ให้ทั้งสองเข้าไปกอดขา แล้วชี้ไปที่บารมี กังฟูกับสมายล์เข้าใจ กังฟูเข้าไปกอดขา สมายล์เกาะแขนบารมี
“ให้ผมไปเที่ยวด้วยนะ”
“สมายล์ก็อยากไปด้วย”
บารมีถอนหายใจ ก่อนจับมือเจนจิรา พาเดินออกไปจากคลินิกทั้งแบบนั้น ตังตังพยายามดึงไม่ให้เดิน
“น้าเจน ให้ตังตังไปด้วยนะ”
“ผู้ใหญ่เขาจะสวีทกัน เด็กไม่เกี่ยว”
เจนจิราพยายามแกะมือตังตังออก ตังตังก็เกาะแน่น ระหว่างนั้นเอง ตฤณก็วิ่งเข้ามา
“เจน”
“เย้ น้าตฤณมาแล้ว”
ตฤณวิ่งเข้ามาหาเจนจิรา บารมีเห็น
“ว่าแล้วว่ามันต้องมีอะไร น้าขี้แพ้ใช้หลานสาวเป็นเครื่องมืออีกแล้ว”
ตฤณไม่สนใจบารมี รีบดึงเจนจิราไว้
“เจน เราต้องคุยกัน”
เจนพยายามสะบัดตัวจากตฤณ
“ฉันไม่คุยกับผู้ชายคนอื่น”
ตฤณยังจับแขนเจนจิราไว้ ตังตังช่วยจับแขนอีกข้าง บารมีโวยวาย
“ปล่อยคู่หมั้นฉันนะ”
บารมีจะเข้าไปห้าม สมายล์ดึงแขนไว้
“คุณน้าบารมี ช่วยนวดหน้าให้พี่คนขับรถสมายล์ก่อนนะคะ พี่ๆ มาเร็ว”
คนขับรถหน้าตาเข้มของสมายล์เข้ามาช่วยดึงบารมีไว้
“นวดหน้าให้ผมก่อนสิครับ”
บารมีพยายามสะบัดๆ แต่ก็สู้แรงคนขับตัวใหญ่ไม่ได้ ขณะเดียวกัน ตฤณก็ดึงเจนจิราไป เธอพยายามดิ้น แต่สมายล์ กังฟู ตังตังช่วยกันจับ
“กังฟู รถอ่ะ” ตังตังถาม
กังฟูผิวปากหนึ่งที รถแวนของกังฟูก็แล่นมาจอดตรงหน้า
“น้าตฤณ ไปเร็ว”
ตฤณพาเจนจิราขึ้นรถไป โดยมีกังฟูและตังตัง สมายล์คอยจับเจนจิราไว้ด้วย บารมีร้องเรียก ขณะที่รถตู้แล่นจากไป
ปวัน เจิด วิศวะ อยู่ในห้องลับของวิศวะ เจิดใช้สว่านเจาะเซฟ ในที่สุดก็เปิดเซฟได้
เขาหยิบแว่นออกมา วิศวะรีบบอก
“รีบใส่เลยอาจารย์ จะได้รีบพาเชนออกมา”
“ไม่เอา เอ็งนั่นแหละใส่ คราวที่แล้วเจอผีจนวิ่งป่าราบ”
“ฮ่าๆๆ ตลกแล้วอาจารย์ ผมใส่เข้าไปเจอสมุนไอ้โอเคแล้วผมจะสู้ยังไง”
“เอ็งแหละใส่”
“อาจารย์ใส่”
ทั้งคู่เถียงกันไปมา ปวันพูดขึ้น
“ฉันขอเข้าไปเอง”
วิศวะกับเจิดมองปวันทันที
“เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริง ฉันควรได้เห็นกับตา”
วิศวะกับเจิดมองหน้ากัน ขณะที่ปวันมีสีหน้ามุ่งมั่น จะเข้าไปในหนังให้ได้
ภายในรถ กังฟู สมายล์ ตังตัง นั่งประกบเจนจิราที่พยายามดิ้นเพื่อที่จะลง ตฤณนั่งคุมอีกที
“ปล่อยฉันนะ นี่ลักพาตัวฉันหรือไง”
ตฤณจับเจนจิราไว้ บอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ตัวเองไปโดนอะไรมา ทำไมเปลี่ยนไปขนาดนี้”
“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่คุยกับผู้ชายคนอื่น ฉันมีคู่หมั้น ฉันจะฟังแต่คู่หมั้นของฉันเท่านั้น”
เจนจิราตบหน้าตฤณ ตฤณฟุบไป เจนจิราคลุ้มคลั่ง สมายล์ ตังตังและกังฟูต้องช่วยจับ
“กังฟูเคยเห็นในทีวี แบบนี้เรียกว่าอาการตกมัน”
“นั่นมันไว้ใช้กับช้าง” ตังตังดุ
“คุณบารมี ช่วยเจนด้วย ช่วยด้วย”
“น้าเจนอย่าร้องสิ” ตังตังรีบปิดปากเจนจิรา
“เอาไงดี น้าตฤณ” สมายล์ถาม
“ไม่ ไม่ฟัง ฉันจะฟังแค่คุณบารมีเท่านั้น คุณบารมี คุณบารมี ฉันรักคุณบารมี ฉันรักเขา ปล่อยฉันนะ ปล่อย ฉันจะไปหาเขา”
“ต้องหาทางแก้การสะกดจิตให้ได้”
ตฤณกลุ้ม
ในห้องลับ ปวันใส่แว่นแล้ว ยืนอยู่หน้าทีวี วิศวะใส่แผ่นดีวีดีเข้าไป เป็นสายลับเจ้าเสน่ห์ ตอน สายลับตกงาน เจิดถือรีโมทไว้
“พร้อมไหม”
ปวันพยักหน้า มองไปที่ทีวี เจิดพยักหน้า กดปุ่มเพลย์ บนจอทีวีปรากฏ เป็นฉากบ้านเมืองที่ดูสงบ ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างจ้า เจิดกับวิศวะต้องยกแขนป้องตา แสงจากจอสว่างไปทั่วห้อง ปวันร้องลั่น ก่อนจะทะลุพรวดออกมาจากแสงสว่าง ล้มกลิ้งไปกับพื้น แว่นตกไปข้างๆ
“โอ๊ย”
ปวันค่อยๆ ลุกขึ้นมา หยิบแว่นมาใส่กระเป๋าเสื้อ มองไปรอบๆ อย่างมึนงง ตัวเองยืนอยู่กลางถนน เห็นทุกอย่างเป็นขาวดำ
“นี่ ในหนังเหรอ”
ปวันยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ กวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง
“นี่เราอยู่ในหนังจริงๆ เหรอเนี่ย”
เจิดกับวิศวะกำลังดูปวันจากจอโทรทัศน์ พูดตอบคำถามที่ปวันถาม
“ถามอยู่นั่นแหละ ตัวซีดขนาดนี้แล้วยังไม่เชื่ออีก”
“รีบตามหาเชนสิคุณตำรวจ เวลาไม่ค่อยท่านะ”
เจิดกับวิศวะคอยลุ้นเอาใจช่วยปวัน
ปวันยืนอยู่กลางสี่แยก มองซ้ายมองขวา ไม่รู้จะไปทางไหน
“ต้องไปซ้ายหรือขวา โอ๊ย เชน นายอยู่ไหนเนี่ย เชน เชน”
ทุกอย่างยังคงเงียบ ทันใดนั้นก็มีรถแล่นมา รถบีบแตรไล่ ปวันสะดุ้ง หันกลับไป สามีภรรยาที่ขับรถอยู่ชะโงกหน้าออกมา
“อ้าว หนู ทำไมมายืนกลางสี่แยก จะฆ่าตัวตายหรือไง”
ปวันเห็นคน รีบวิ่งเข้าไป เกาะกระจกด้านคนขับ
“พี่ พี่รู้จักเชนไหม”
“เชน เชนไหน”
“เชน สายลับเจ้าเสน่ห์ไง ที่ผูกผ้าพันคอสีแดง ชอบทำท่า เอ่อ หล่อๆ เท่ๆ”
“สายลับเจ้าเสน่ห์ คุ้นๆ หู เหมือนเคยได้ยินที่ไหนสักแห่ง”
“คุณต้องรู้จักสิ เชนที่ชอบผดุงความยุติธรรมอ่ะ เขาดังมากเลยไม่ใช่เหรอ”
“โลกนี้มีความยุติธรรมอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ใครมาช่วยผดุงหรอก ถ้าอยากตามหาคนก็ไปที่สถานีตำรวจนู้นไป”
สามีชี้ส่งๆ ไป จังหวะที่ปวันหันมองตามมือที่ชี้ สามีก็เหยียบคันเร่งแล้วแล่นจากไป ปวันประชด
“ช่วยได้มาก สถานีตำรวจเหรอ”
ปวันกำลังจะวิ่งไป แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงร้อง
“อ๊าย”
ปวันหันกลับไป เจอพาร์ทเนอร์สาววิ่งหนีแก๊งแมงดาตรงมาที่ปวัน
“ช่วยด้วยค้า ช่วยด้วย”
ปวันยืนงงว่าเกิดอะไรขึ้น พาร์ทเนอร์สาววิ่งเข้ามาเกาะหลัง แสดงอาการหวาดกลัวจนตัวสั่น ปวันยังไม่ทันถาม แก๊งแมงดาสามคนก็วิ่งเข้ามา
“นั่น แม่สาวพาร์ทเนอร์หลบอยู่นั่น”
“นี่มันอะไรกัน” ปวันงง
“พวกมัน พวกมันจะจับฉันไปเป็นนางบำเรอ”
“นางบำเรอ”
“มีสาวสวยโผล่มาอีกหนึ่ง หวานปากล่ะสิ”
แก๊งแมงดาหัวเราะแบบหนังโบราณ
“จับผู้หญิงสองคนนี้ไว้”
แมงดาเข้ามาจับตัวพาร์ทเนอร์ พาร์ทเนอร์ดีดดิ้น โวยวาย
“ปล่อยฉัน เอามือโสมมของพวกแกออกไปจากฉันนะ ปล่อย”
ขณะเดียวกัน แมงดาอีกคนก็เข้ามาจับปวัน
“น้องสาว จะไปไหน มากับพี่ดีกว่า”
ปวันไม่ยอม สะบัดแขนแรงๆ แต่แมงดากลับกระเด็นถอยหลัง สะดุดขาล้มลง แล้วกลิ้งต่ออีก 2 ตลบไปชนกับเสาไฟฟ้า ปวันอึ้ง
“ท่าเยอะไปป่ะ”
“อ้าว น้องสาว เล่นงานเพื่อนพี่ซะแล้ว อย่าคิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วพี่จะไม่กล้า”
แมงดาถลาเข้ามา ง้างมือจะต่อยปวัน ปวันเอี้ยวตัวหลบ แล้วต่อยกลับไปเบาๆ แมงดาหน้าหัน ลอยไปลงบนลังไม้ที่เหมือนเซ็ตเอาไว้ ปวันแปลกใจ
“เอ๊ย แค่แตะเองนะ”
แมงดาค่อยๆ หันหน้ากลับมา ปรากฏว่าปากบวมเบ่ง มีเลือดไหลเป็นทางยาว ดูเป็นเลือดปลอม
“เจ็บขนาดนี้ สลบดีกว่า”
แมงดาคอพับ สลบไปเลย ปวันมองอยู่ ทันใดนั้นแมงดาอีกคนก็เข้ามาล็อคคอปวันจากด้านหลัง
“เก่งนักใช่ไหม”
แมงดาใช้แขนล็อคคอไว้ ทำหน้าเหมือนกำลังออกแรง แต่แขนกลับไม่โดนคอปวันจริงๆ พูดใกล้ๆ หูปวัน หน้าตาดุดัน
“เป็นผู้หญิง อย่าซ่านักซี่”
แมงดาทำเหมือนล็อคคอปวันแน่นมาก แต่ปวันก้มมองแขนที่ไม่โดนคอตัวเอง หน้านิ่ง กรอกตามอง แล้วถอนหายใจเบื่อๆ ดึงแขนแมงดาออกห่างจากคอ แล้วหมุนตัว เหวี่ยงแมงดา ออกไป แมงดาหมุนติ้ว ทำเป็นภาพสโลโมชั่นด้วยตัวเอง
“ชิบ เป๋ง แล้ว”
พอพูดจบ แมงดาก็หน้าคว่ำ ล้มลงไปในเข่งขยะที่วางอยู่บนฟุตบาท ปวันยืนมองผลงาน พาร์ทเนอรยืนอยู่ข้างหลังปวันตบมือตื่นเต้น
“ว้าว เก่งจังเลย”
ทันใดนั้น เสียงไซเรนก็ดังขึ้น ก่อนรถตำรวจจะแล่นมา ปวันเงยหน้าไปมอง
“ตำรวจมาตอนจบจริงๆ นี่ฉันอยู่ในหนังจริงๆ ด้วย”
ตำรวจจอดรถลงมาสองคน
“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ”
“มอบตัวซะโดยดี”
“พวกเราล้อมไว้หมดแล้ว”
ตำรวจวิ่งเข้าไปรวบตัวแมงดาทั้งสามใส่กุญแจมือ ปวันหันกลับมาหาพาร์ทเนอร์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง แต่ก็ต้องตกใจ เมื่อฉากหลังเปลี่ยนเป็นสวนสาธารณะอย่างรวดเร็ว เธอหันไปมองข้างหน้า ก็เป็นสวนเหมือนกัน ไม่มีฉากถนนที่ต่อสู้กับแมงดาแล้ว
“เอ๊ย ฉากเปลี่ยนได้ไงวะ”
ขณะที่ปวันกำลังแปลกใจ พาร์ทเนอร์ก็เดินเข้ามาใกล้ มองด้วยความซาบซึ้ง
“ขอบคุณคุณมากนะคะที่ช่วยชีวิตฉัน ถ้าไม่ได้คุณ ฉันก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร”
พาร์ทเนอร์มองปวันอย่างซึ้งใจมาก จนปวันชักเขิน ทำหน้าไม่ถูก
“อืม ไม่เป็นไรค่ะ”
“ถ้าคุณต้องการอะไร บอกฉันเลยนะคะ ฉันยินดีจะตอบแทนคุณทุกอย่าง เพราะว่าคุณคือผู้มีบุญคุณของฉัน ฉันคงป่นปี้ยับเยิน ถ้าไม่ได้คุณช่วย”
“อ่ะๆ พอล่ะๆ รู้ว่าซึ้ง คืองี้ ฉันกำลังตามหาคนๆ หนึ่ง คุณพอจะรู้จักไหม”
“ผู้หญิงหรือผู้ชายหรือคะ”
“ผู้ชาย”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ถามถูกคนแล้วค่ะ”
พาร์ทเนอร์ยิ้มกริ่ม ช้อนตามองปวันแบบมีจริต ขณะที่ปวันยิ้มๆ กลับไป
ประตูไนท์คลับเปิดเข้ามา ปวันกับพาร์ทเนอร์ยืนอยู่ตรงกรอบประตู
“อยู่ในหนังก็ดีแฮะ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง”
พาร์ทเนอร์นำเข้าไป ยิ้มโปรยเสน่ห์ให้หนุ่มๆ ก่อนจะหันมาหาปวัน ยื่นหน้ามาพูดใกล้ๆ
“นั่นใช่คนที่คุณตามหาหรือเปล่าคะ”
พาร์ทเนอร์ชี้ไปที่เคาน์เตอร์ ปวันมองตาม เห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ ตอนแรกยังดูไม่ชัดเพราะเขาก้มหน้า เธอเลยต้องเพ่งมอง แล้วเขาก็เงยหน้ามาคุยกับบาร์เทนเดอร์ แค่ได้เห็นข้างๆ ปวันก็จำได้ทันที
“เชน”
เชนนั่งคอตกอยู่ที่เคาน์เตอร์ หน้าแดงเหมือนคนเมา บอกบาร์เทนเดอร์เสียงยานคาง
“ไอ้น้อง เอายกล้อมาอีกเป๊กสิ”
บาร์เทนเดอร์รินใส่แก้วชอตให้ ยกมาให้ 2 แก้ว
“เป๊กเดียวไม่น่าพอ ผมให้สองเลย”
บาร์เทนเดอร์วางแก้วชอตตรงหน้าเชน เชนกระดกหนึ่งแก้วรวดเดียวหมด ใช้หลังมือปาดปากท่าเท่ๆ จังหวะนั้นสาวสวย 3 คนก็มาห้อมล้อมเขา
“วันนี้ป๋ามาแต่หัววันเลยนะคะ ไหน ขอหอมสักจ๊วบให้ชื่นใจ”
“อย่าหอมแรงนะจ๊ะ เดี๋ยวแก้มพี่ช้ำ”
สาวกำลังจะหอมแก้มเชน แต่มีมือมาดึงสาวให้ห่างจากเชน เชนหันไปมอง
“นี่ผมคิดถึงคุณมากเกินไป หรือว่าผมกำลังฝัน”
“นายไม่ได้ฝัน”
เชนมองหน้าปวัน
“ขอทดสอบหน่อยก็แล้วกัน”
ปวันไม่ทันตั้งตัว เชนดึงปวันมาใกล้ สบตาเล็กน้อย แล้วก็หมุนตัวปวัน ก่อนจะก้มหน้าลงจูบอย่างรวดเร็ว
วิศวะกับเจิดนั่งดูจากจอทีวีอยู่ พอเห็นฉากนั้น วิศวะก็ร้อง ทุบๆ เจิดด้วยความเขิน
“ว้ายๆๆ บ้าๆๆ”
“รักษาอาการหน่อย”
วิศวะมองไปที่มือเจิด
“แล้วในมือนั่นอะไร”
เจิดก้มมองในมือ เห็นหมอนถูกจิกจนขาด เจิดแกล้งสะดุ้ง ตกใจ
“อุต๊ะ ขาดได้ไง”
เจิดยิ้มแก้เก้อ วิศวะส่ายหน้า แล้วหันกลับมาดูเชนกับปวันจากจอทีวีต่อ
เชนถอนใบหน้าออกมา มองปวันในอ้อมกอดของตน บอกซึ้งๆ
“ถ้านี่เป็นความฝัน ผมก็ไม่ปรารถนาที่จะตื่น”
ปวันต่อยเชนทันที เชนหน้าหัน
“ตื่นยัง”
“น้ำหนักหมัดแบบนี้ ไม่มีใครเลียนแบบได้”
เชนหันขวับมองปวัน แล้วก็ยิ้มดีใจ
“ปวัน คุณ คุณจริงๆ”
เชนอ้าแขน จะกอดปวันด้วยความคิดถึง แต่ปวันยกกำปั้นมาตรงหน้า
“จะเอาอีกสักหมัดไหม”
“ถ้าได้แลกกับรอยจูบของคุณ อีกกี่หมัดผมก็ยอม”
“บ้า”
ปวันว่าเชน แต่พอเชนยิ้มให้ เธอก็ต้องกลั้นยิ้มของตัวเองไว้ ไม่ให้เชนรู้ว่าตัวเองก็ดีใจที่ได้เจอเขา สาวทั้งสามเห็นเข้าก็ไม่ยอม
“นี่ หล่อนเป็นใครยะ”
“ใช่ มายุ่งอะไรกับป๋าของพวกฉัน”
สาวอีกคนกำลังจะพูด ปวันยกมือให้หยุด แล้วแนะนำตัวเอง
“ปวัน ศิษย์สายลับเจ้าเสน่ห์”
เชนกับปวันยืนคุยกันอยู่หน้าไนท์คลับ
“ฉันมาตามนายกลับไปจัดการกับมิสเตอร์โอเค”
“หา มิสเตอร์โอเค”
“ไอ้อาทิตย์มันเอาตัวมิสเตอร์โอเคกับลินดาออกไปแล้ว”
“ว่าไงนะ ไอ้อาทิตย์เอาโอเคกับลินดาออกไปแล้ว”
“ลุงเจิดบอกว่า อาทิตย์มีแผนจะก็อปปี้ปืนของมิสเตอร์โอเค แล้วส่งขายให้พวกกองกำลังติดอาวุธต่างชาติ”
“อะไรนะ ก๊อปปืนขายให้กองกำลังติดอาวุธต่างชาติ”
“กลับเข้ามาในหนังไม่เท่าไร คือเล่นใหญ่กว่าเดิมเยอะมาก และจะพูดซ้ำเพื่อ”
“ก็คนมันตกใจ”
“เราต้องรีบกลับไป”
ปวันจะหยิบแว่นออกมา แต่จับไปที่กระเป๋าเสื้อก็ไม่มี ลองตบๆ ดูที่กระเป๋ากางเกงก็ไม่เจอ
“แว่น แว่นหาย”
ปวันตกใจ แต่เชนเบิ่งตากว้าง อ้าปากกว้าง ดูตกใจกว่ามาก
“หา แว่นหาย”
ปวันพยายามนึกว่าแว่นจะอยู่ที่ไหน ก็นึกได้ว่าพาร์ทเนอร์เข้ามากอดก่อนจะโบกมือลาจากไป พาร์ทเนอร์ส่งจูบให้ด้วย
“ต้องเป็นสาวพาร์ทเนอร์คนนั้นแน่ๆ”
เชนจะอ้าปากอุทานอีก ปวันรีบห้าม
“ไม่ต้องพูดซ้ำแล้ว รีบไปเร็ว”
ปวันดึงเชนให้เดินไปด้วยกันทันที
เคาน์เตอร์หน้าร้านขายของ สาวพาร์ทเนอร์กำลังบรรยายสรรพคุณแว่นสามมิติให้พ่อค้าฟัง
“เฮียคงไม่เคยเห็นแว่นแบบนี้ที่ไหนมาก่อนละสิ”
พ่อค้าดูแว่น พิจารณามาก
“ว่ายังไง เฮียให้ฉันได้เท่าไร”
“ก็แค่แว่นเก่าๆ”
พ่อค้าวางแว่นลง แล้วหยิบเศษตังค์ออกมาวางบนเคาน์เตอร์ ใช้นิ้วเลื่อนมาให้
“อั๊วให้ได้เท่านี้”
“แค่นี้”
“ถ้าลื้อไม่เอา อั๊วก็ไม่เอาแว่นนี่เหมือนกัน ไปขายที่อื่นเลย”
พ่อค้าตะปบเงินคืน พาร์ทเนอร์สาวรีบตะครุบเงินไว้ก่อน เปลี่ยนท่าที
“โถ่ เฮีย อย่าขี้น้อยใจสิ เท่าไรฉันก็ขายทั้งนั้นแหละ”
ทันใดนั้น เชนก็วิ่งเข้ามาในฉาก โพสต์ท่าเท่ ชี้ไปที่หน้าพ่อค้าและพาร์ทเนอร์
“นั่นมันแว่นของพวกเรา คุณเอามาขายได้ยังไง”
“ก็ฉันเก็บได้”
ปวันวิ่งตามมา พูดต่อ
“เก็บได้จากกระเป๋าฉันน่ะสิ ไหนบอกว่าเป็นสาวพาร์ทเนอร์ไง ทำไมมาขโมยของคนอื่น”
“ก็อาชีพเสริม ไปแล้วนะเฮีย”
พาร์ทเนอร์สาววิ่งหนีไปอีกทางอย่างรวดเร็ว พ่อค้าจะเรียกก็เรียกไม่ทัน หันกลับมาเจอเชนยืนจ้อง
“เอาแว่นของผมคืนมา”
“ได้ยังไง อั๊วจ่ายตังค์ไปแล้ว”
“รับซื้อของโจรมันผิดกฎหมายนะ เอาคืนมา”
ปวันจะเอาแว่นคืน แต่พ่อค้าคว้าปืนไรเฟิลใต้ลิ้นชักขึ้นมาถือขู่
“ของซื้อของขาย อั๊วซื้อมา ถ้าลื้ออยากได้ ก็ต้องจ่ายเพิ่ม 10 เท่า”
“เป็นเท่าไร” เชนถาม
“50 บาท”
“หา แค่ 50 ฉันให้ร้อยหนึ่งเลยอ่ะ”
ปวันจะหยิบกระเป๋าสตางค์ แต่พ่อค้าโกรธ ขึ้นลำกล้องของปืน
“ล้ออั๊วเหรอ”
พ่อค้าเล็งปืนมาที่ปวัน เชนรีบเข้าขวาง
“ใจเย็นสิเฮีย อย่าวู่วาม”
เชนมองไปในร้าน แล้วทำหน้าตกใจ
“เอ๊ย ไฟไหม้”
พ่อค้าหันกลับไป จังหวะนั้น เชนรีบวิ่งไปหยิบแว่นที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ แล้ววิ่งกลับมาดึงมือปวันให้วิ่งไปด้วยกัน พ่อค้าหันกลับมา ไม่เห็นแว่น รู้ว่าเชนเอาไปแล้วก็โกรธ วิ่งออกมาจากร้าน เล็งปืนไปที่พวกเชน
“กล้ากระตุกหนวดเสือเหรอ”
จบตอนที่ 10