xs
xsm
sm
md
lg

ใยกัลยา ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ใยกัลยา ตอนที่ 12

ค่ำคืนนี้ รอบบริเวณของโรงพยาบาลเงียบสงบจนสงัด ผู้คนไม่พลุกพล่าน ด้วยหมดเวลาเยี่ยมแล้ว นางพยาบาลคนหนึ่งกำลังนั่งบันทึกรายงานประจำวันอยู่ตรงเคาน์เตอร์จ่ายยาคนไข้ ส่วนอีกคนกำลังจัดยา ที่จะนำไปให้คนไข้ ใบหน้าพยาบาล 1 จดจ่ออยู่กับรายงานที่เขียน

จังหวะนี้ เหมือนเงาดำๆ เงาหนึ่งผ่านตรงหน้าไปอย่างรวดเร็ว พยาบาล 1 เงยหน้าขึ้นมอง
พยาบาล 2 แปลกใจในท่าที “อะไรเหรอ”
พยาบาล 1 บอก สีหน้าฉงนฉงาย “ไม่รู้ซิ เหมือนมีใครเดินผ่านไป”
พูดพลางพยาบาล 1 เดินออกไปจากเคาน์เตอร์ พยาบาล 2 เดินตามไปชะเง้อดู ทั้งสองคนชะโงกมองสำรวจด้านโน้นด้านนี้ พบว่าบริเวณโถงแห่งนั้น เงียบเชียบปราศจากเงาของใคร
“ไม่มี” พยาบาล 1 แปลกใจไม่หาย
พยาบาล 2 ว่า “ผีมั้ง”
พยาบาล 1 ฉุน “บ้า อยู่เวรดึกๆ ใครเขาพูดถึงผีกันบ้าง”
ทั้งสองนางกลับเข้าไปในเคาน์เตอร์ ท่าทางยังหวาดๆ ทั้งคู่

รถคันหนึ่งจอดแอบอยู่ ริมถนนด้านนอกของโรงพยาบาล ภายในรถคันดังกล่าว เจคกับหอมน้ำที่ถูกพุธกันยาสิงนั่งคุยกันอยู่ สีหน้าท่าทางซีเรียสทั้งคู่
“กัลทำไม่ได้”
“แล้วกันซิ” เจคหงุดหงิด ออกไปทางไม่พอใจ
“ศวัสรักเด็กคนนี้ กัลไม่ต้องการให้ลูกผิดหวัง”
เจคพูดกล่อมอย่างคนเห็นแก่ตัว “ก็แค่แว้บเดียว แต่ศวัสจะได้แม่กลับมาแทน แม่ซึ่งจากไปตั้งแต่เขา 3 ขวบ คุณก็รู้ว่าเขาต้องการความรักความอบอุ่นจากคุณมานาน”
หอมน้ำส่ายหน้า น้ำตาคลอ “มันสายไปแล้ว เวลานั้นผ่านไปนานแล้ว เขาชินกับการไม่มีแม่มานานจนไม่รู้สึกอะไร”
เจคเสียงแข็ง “ไม่จริง ลูกทุกคนต้องการแม่”
หอมน้ำครวญ “เจค”
เจคไม่ละความพยายาม “แล้วคุณบุรีล่ะ คุณบุรีรักกัลมาก เขาไม่เคยลืมกัลเลย แล้วนี่เป็นโอกาสที่กัลจะได้กลับมาอยู่กับเขา โอกาสที่จะอยู่พร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก”
หอมน้ำยกมืออุดหู ไม่อยากได้ยิน “พอที กัลไม่อยากฟัง”
“คุณต้องฟัง โอกาสมาถึงแล้ว คุณจะทิ้งมันไปง่ายๆ ด้วยข้ออ้างน้ำเน่าอย่างนั้นน่ะหรือ”
“คุณไม่เข้าใจ กัลรักลูก กัลพยายามแล้ว แต่พอรู้ว่าศวัสรักหอมน้ำจริงๆ กัลจะพรากของรักของลูกไปได้อย่างไร การพลัดพรากจากคนที่เรารักมันเจ็บปวดทรมานมาก กัลรู้ดี กัลเคยรู้สึกมาแล้ว”
“คุณจะปล่อยให้ขวัญอนงค์แย่งคุณบุรีไปต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ”
หอมน้ำอึ้ง นิ่งงันไป
“คุณก็รู้ว่าขวัญอนงค์จ้องจะจับสามีของคุณตลอดเวลา” เจคตอกย้ำอีก
หอมน้ำเปิดประตูรถ
เจคชะโงกหน้าพูดตามไป “เก็บไปคิดให้ดีก็แล้วกัน”
หอมน้ำเดินแกมวิ่งหายไปในความมืด

นางพยาบาลสองคนนั่งคุยกันอยู่ตรงเค้าน์เตอร์
พยาบาล 2 เอ่ยขึ้น “รู้เรื่องที่ ตึกศัลฯ มั้ย เขาปิดกันให้แซด”
“ไม่รู้” พยาบาล 1 บอก
พยาบาล 2 ทำหน้ากลอกตาลึกลับ มองซ้ายมองขวา อ้าปากจะพูด
พยาบาล 1 ยกมือห้าม “หยุด เรื่องผีหรือเปล่า”
“ใช่”
“งั้นอย่าเล่า”
“กลัวเหรอ ไหนบอกว่าผีไม่มีในโลกไง”
“ไม่มี แต่เราก็ไม่ควรทำให้มันมี”
พยาบาลทั้งสองคนชะงัก เมื่อรู้สึกเหมือนมีเงาดำแวบผ่านไป ทั้งสองคนมองหน้ากัน แล้วตัดสินใจเดินออกมาดู พบว่าทั่วบริเวณนั้นเลยไปจนถึงห้องคนไข้ปราศจากเงาของสิ่งมีชีวิตใดๆ ท่ามกลางแสงไฟสลัว ทั้งสองคนหันมามองหน้ากันอีกที
พยาบาล 1บอกเพื่อนเสียงเบาหวิว หน้าตาตื่นๆ “เหมือนเมื่อกี้นี้เลย”
พยาบาล 2 พยักหน้าท่าทีหวาดผวา แล้วเดินกลับเข้าที่ อีกคนรีบเดินตาม

ในแสงสลัวของห้อง เขนเริ่มขยับตัว พลิกตะแคงมาทางเตียงหอมน้ำ เหมือนมีใครเดินผ่านไปทางนั้น เขนลืมตาขึ้น เห็นหอมน้ำนั่งอยู่ท่ามกลางความมืด
เขนลุกนั่งทีท่าง่วงงุน “เป็นอะไรน่ะ หอม”
หอมน้ำบอกด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่ง “เปล่า เขนนอนเถอะ”
หอมน้ำเอนตัวลงนอน เขนลงนอนตามเดิม โดยไม่รู้ว่าหอมน้ำลืมตาโพลงขึ้นมา อย่างน่ากลัว แววตาขาวโพลนทั้งดวงมีแต่แววหมองเศร้า
เสียงเจคดังก้องขึ้น “คุณก็รู้ว่า ขวัญอนงค์จ้องจะจับสามีของคุณตลอดเวลา”
ตามด้วยภาพตอนขวัญอนงค์พยายามชิดใกล้เอาใจกับบุรี ผุดเข้ามาในห้วงความคิด พอภาพเหล่านั้นเลือนหาย เป็นภาพศวัสที่เผลอตัวมองหอมน้ำด้วยความรักซ้อนเข้ามา
ภาพเลือนหายไป หอมน้ำหลับตาลง พุธกันยาลุกขึ้นมาจากร่าง ก้าวลงมาก้มมองหอมน้ำ ซึ่งนอนหลับสนิท มีไอเย็นจางๆ ออกจากลมหายใจ สีหน้าพุธกันยาครุ่นคิดหนัก

ด้านศวัสนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงในห้องนอน เหมือนมีใครคนหนึ่ง เดินช้าๆ เข้ามาที่เตียง ใครคนนั้นคือพุธ กันยา ที่กำลังก้มลงมองลูกขณะทรุดตัวลงนั่ง พุธกันยายกมือลูบผมลูกชายอย่างอ่อนโยนรักใคร่ แต่มือผ่านทะลุไปหมด
พุธกันยาถอนใจหนักหน่วง ดวงตาแม้เหมือนจะไร้ชีวิต แต่ก็ดูเศร้าเหลือเกิน

บริเวณชั้นที่ห้องหอมน้ำพักฟื้นอยู่เงียบสงัดและวังเวง โดยพยาบาลทั้งสองคนยังคงนั่งคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้ที่ไม่ใช่ผี
ส่วนภายในห้อง หอมน้ำนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
จู่ๆ ร่างหอมน้ำ ค่อยๆ ลอยขึ้นไปจนเกือบติดเพดาน ในสภาพคว่ำหน้าลงมา หอมน้ำบนเพดานลืมตาขึ้น แล้วต้องตกใจ พยายามจะลงมา แต่ก็ไม่สำเร็จ ร้องขึ้นสุดเสียง
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
ร่างเขนนอนหันหลังให้ หลับสนิทราวกับไม่ได้ยิน
หอมน้ำดิ้นสุดแรงเกิด “เขน ช่วยด้วย ช่วยด้วย เขน”
เมื่อร่างนั้นหันกลับมาช้าๆ แต่กลายเป็นพุธกันยาไม่ใช่เขน
หอมน้ำกรีดร้องลั่น
หอมน้ำบนเตียงตกใจตื่น ผุดลุกขึ้นนั่ง
เขนเองก็ตกใจตื่นเช่นกันแล้วรีบมาที่เตียง “หอม หอม เป็นอะไร”
หอมน้ำหอบหายใจรุนแรง “หอมฝันร้ายอีกแล้ว”
มีเสียงเคาะประตูรัวๆ แล้วพยาบาลสองคนรีบเข้ามา
“เป็นอะไรหรือคะ” 1 ใน 2 คน ถาม
“เพื่อนหนูฝันร้ายน่ะค่ะ”
พยาบาล 2 มองแล้วบ่น “ดูซิ คงดิ้นจนเข็มน้ำเกลือหลุดเลย”
เขน หอมน้ำและพยาบาล 1 มองตามสายตาพยาบาล 2 เห็นสายน้ำเกลือวางอยู่ พยาบาลทั้งสองเดินอ้อมมาเสียบให้ใหม่
“ขอบคุณค่ะ” หอมน้ำขอบคุณ
พยาบาลช่วยจัดให้หอมน้ำลงนอน ดูแลความเรียบร้อยให้

ในขณะที่เขนมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ขณะรอทานมื้อเช้า บุรีกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ โดยมีเยาวภายืนคอยปรนนิบัติ ส่วนพุธกันยานั่งด้านขวาแล้วมองเยาวภาอย่างไม่เป็นมิตร

ศวัสเดินผูกเน็คไทด์เข้ามา ลงนั่งด้านซ้าย
“ขอโทษครับ คุณพ่อ วันนี้ผมตื่นสายไปหน่อย”
บุรีพับหนังสือพิมพ์วางลงข้างตัว “ไม่เป็นไร”
เยาวภาสั่ง “แจ่ม ไปยกอาหารเช้ามาได้แล้ว”
“ค่ะ” แจ่มเดินออกไป
“วันนี้มีไข่กวนนะคะ”
บุรียิ้ม “ดีเลย”
“หอมน้ำไม่สบาย เมื่อวานผมพาไปส่งโรงพยาบาล”
บุรีตกใจนิดๆ “อ้าว เป็นอะไรไปล่ะ”
แจ่มยกจานไข่กวนกับขนมปัง แฮมกับไส้กรอกมาเสิร์ฟ
“เห็นหมอบอกว่า น่าจะเป็นเพราะพักผ่อนน้อย เดี๋ยวผมว่าจะแวะไปดูหน่อ”
บุรีนิ่วหน้านิดๆ “วันนี้พ่อมีนัดกับท่านรัฐมนตรีเสียด้วย”
ตลอดเวลาตั้งแต่ศวัสบอกเรื่องหอมน้ำเข้าโรงพยาบาล เยาวภาแอบจับสังเกตท่าทางของสองพ่อลูก
“ไม่เป็นไรครับ หอมไม่ได้เป็นอะไรมาก พรุ่งนี้ก็จะกลับบ้านได้แล้ว”
“แต่ยังไงพ่อก็ควรจะไปเยี่ยม เพราะ...” บุรีหยุดไปเมื่อสบตาลูก
“เพราะกัลเคยสิงอยู่ในร่างหอมน้ำใช่ไหมคะ” พุธกันยาว่า
“คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะดูแลหอมน้ำอย่างดีที่สุดครับ”
บุรีพยักหน้าและกินอาหารเงียบๆ เช่นเดียวกับศวัส
พุธกันยามองสองคนพ่อลูกด้วยความรักและซาบซึ้งใจ

สายอีกหน่อย เขนนั่งกินอาหารเช้าอยู่ในห้องพักฟื้นซึ่งมี 2-3 อย่างวางอยู่ ทั้ง ข้าวมันไก่ เกาเหลา พร้อมขนมนมเนยขบเคี้ยวพร้อม หอมน้ำหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วเห็นศวัสเดินเข้ามา
เขนหันไปมองพลางไหว้ “สวัสดีค่ะ คุณหมอทานข้าวหรือยังคะ”
“เรียบร้อยแล้ว หอมน้ำเป็นยังไงบ้าง” เขาพูดพลางเดินไปที่เตียง
“เมื่อคืนฝันร้ายอีกแล้วค่ะ นี่ก็เพิ่งหลับไป”
ศวัสหันมามอง “เธอพูดเหมือนหอมน้ำฝันร้ายบ่อยๆ”
“ระยะหลังๆ นี้บ่อยค่ะ เขาก็เลยนอนไม่ค่อยหลับ” เขนบอก
ศวัสพยักหน้าแล้วหันไปมองเพ่งพิศครู่หนึ่ง จึงหันมาที่เขนอีก “วันนี้เธอมีธุระที่ไหนหรือเปล่า” หมอหนุ่มทำทีถามเรื่อยเปื่อย เหมือนไม่ได้สนใจนัก
เขนบอกเสียงอ่อยๆ “ที่จริงก็มีค่ะ ต้องไปพบอาจารย์ แต่เขนขอเลื่อนได้”
“ไม่ต้องเลื่อนหรอก ชั้นจะฝากพยาบาลที่เคาน์เตอร์ให้ พอตรวจเสร็จก็จะขึ้นมาดู”
“ไม่รบกวนคุณหมอหรือคะ”
ศวัสย้อนเอา “ถ้ารบกวนชั้นจะพูดอย่างนั้นมั้ย”
เขนจ๋อย “คงไม่...มั้งคะ”
ศวัสเบือนหน้ากลับไปมองหอมน้ำ
เขนรีบเข้ามาไหว้ “ขอบคุณมากค่ะ”
ศวัสพยักหน้า โดยไม่ได้หันมามอง

ขณะนั้น เอิงขับรถเข้ามาจอดในโรงพยาบาลแล้ว โดยมีวดีนั่งหน้าบึ้งอยู่ข้างๆ
“ถึงแล้วค่ะ คุณป้าวดีขา” เอิงทำเสียงอ่อนหวานเอาอกเอาใจป้า
“แกนะแก”
เอิงลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้
“เชิญค่ะ”
วดีก้าวลงมาอย่างไม่เต็มอกเต็มใจ
“ทางนี้ค่ะ” เอิงคล้องแขนวดีประจบประแจง วดีมองค้อนขวับ

ที่แผนกทันตกรรมไม่นานต่อมา พยาบาลกำลังช่วยประคองวดีขึ้นเก้าอี้ตรวจ โดยเอิงเจื้อยแจ้วอย่างมีความสุข
“เจ็บตรงไหน ปวดตรงไหน ก็บอกพี่หมอตามตรงเลยนะคะ ไม่ต้องโกหก พี่หมอมือเบ๊า...เบา”
ศวัสเดินมาที่เก้าอี้ตรวจ
เอิงรีบบอก “อ้าปากค่ะ ป้า”
วดีมองศวัส ศวัสพยักหน้า
“อ้ากว้างๆ เลย กว้างเป็นอุโมงค์”
วดีรำคาญ “คุณหมอ ช่วยไล่มันออกไปหน่อย รำคาญ”
เอิงเซ็ง “อ้าว”
ศวัสดุ “คุณเอิงครับ”
“น้องเอิงอยากอยู่เป็นกำลังใจให้คุณป้านี่”
“ขืนแกอยู่ ชั้นต้องตายเร็วกว่าผิดปกติ”
“ก็ได้ค่ะ”
เอิงทำกระเง้ากระงอดออกไป ศวัสเริ่มตรวจ สีหน้าของเขาออกอาการแปลกใจ
“ซี่ที่ผุอุดหมดแล้วนี่ครับ ไม่น่าจะปวดอีก”
“เพิ่งหายปวดเมื่อเช้านี้เองค่ะ ความจริง อาก็บอกน้องเอิงแล้ว แต่เขาก็ยังยืนยันจะพาอามาตรวจให้ได้ เขาเป็นห่วงอามาก คือ…เรามีกันแค่สองคนป้าหลาน หากใครเป็นอะไรไปคนหนึ่ง คนที่เหลือก็แย่” วดีสร้างภาพ
“ถ้าหากคุณวดีปวดอีก ค่อยมาหาใหม่ก็แล้วกันนะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยตรวจ”
“ครับ”
วดีลงจากเก้าอี้ตรวจแล้วเดินออกไป มีพยาบาลเดินตามมาเพื่อเรียกชื่อคนไข้คนใหม่

เอิงซึ่งรออยู่มุมหนึ่งหน้าห้องตรวจรีบยกมือลุกขึ้นยืน
“ทางนี้ค่ะ” วดีเดินไปหา “พี่หมอล่ะคะ”
วดีพูดพลางเดินนำไปที่รถ “เขาก็ตรวจต่อซิยะ”
เอิงเดินตามไปแล้วบ่น “แล้วเขานัดเมื่อไหร่อีกคะ”
วดีกวน “นัดเมื่อปวด”
“งั้นพรุ่งนี้ป้าต้องปวดอีก”
วดีหยุดเดินหันขวับมามอง “จะบ้าเรอะ เขาเพิ่งบอกชั้นว่าฟันซี่ที่ผุอุดหมดแล้วทุกซี่ ไอ้ที่ไม่ได้อุดก็ยังดีทั้งนั้น”
“แหม ป้าก็แกล้งๆ”
วดีเดินฉับๆ ออกไปอย่างหงุดหงิด

สองคนป้าหลานเดินมาที่จอดรถ แล้วขึ้นไปนั่ง
เอิงยังอ้อนป้าต่อ “นะคะ ป้าขา ป้าต้องเห็นแก่น้องเอิง”
“ชั้นว่าแกเปลี่ยนแผนใหม่ดีกว่า ขืนทำตามแผนนี้ต่อไป หมอของแกเขาต้องจับได้แน่นอน”
“ป้าช่วยคิดซิคะ ว่าน้องเอิงควรจะทำยังไงดี”
เอิงสตาร์ตรถออกไป
“เอ๊ะ หรือว่า น้องเอิงจะบอกพี่หมอว่า ถูกป้าไล่ออกจากบ้านดี”
วดีรำคาญมากขึ้น “แกอายุเท่าไหร่แล้ว ฮึ น้องเอิง”
“ยี่สิบแล้วค่ะ”
“ชั้นนึกว่าสองขวบ”
เอิงทำหน้างอๆ ขับรถมาเรื่อยๆ โดยวดีบ่นว่าไปตลอดทางเพราะเอิงขับปรู๊ดปร๊าดน่ากลัว
“โอ๊ย ยัยเอิง ว๊าย ชั้นสาบานเลยว่าจะไม่นั่งรถที่แกขับอีกต่อไป”
เอิงหัวเราะชอบอกชอบใจ “เว่อร์ไปป่ะ ป้าขา”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เอิงจะรับ แต่วดีชิงหยิบก่อน “เอามานี่ ชั้นรับเอง”
“กลัวถูกปรับอ่ะดิ”
“แกพูดจาให้มันเป็นผู้เป็นคนหน่อยได้ไหม” วดีรับสาย “ว่าไงจ๊ะ เพลิน”
เอิงหันมามองแวบหนึ่ง
“น้องเอิงกำลังขับรถจ้ะ มีธุระอะไรหรือเปล่า” วดีฟังแล้วชะงัก “อ๋อ อาไม่รู้เรื่องเลย ใครบอกหนูล่ะ อ้อ ขวัญเขาสนิทกับบ้านนี้นี่” น้ำเสียงวดีออกแนวประชดเล็กๆ “ขอบใจนะคะ แล้วอาจะบอกน้องเอิงให้”
วดีปิดโทรศัพท์
“พี่เพลินโทร.มาเรื่องอะไรคะ”
“หอมน้ำเข้าโรงพยาบาล”
“ต๊าย ส่งพวงหรีดไปให้ดีมั้ยเนี่ย เขาเป็นอะไรคะ ใกล้ตายหรือยัง”
“เพลินเขาฝากบอกแกว่า เด็กนั่นอยู่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่น”
เอิงสะดุ้ง เพราะเป็นโรงพยาบาลที่เพิ่งออกมา
“หมอศวัสเป็นคนพาไป”
เอิงหักเลี้ยวทันที รถคันอื่นเบรคกันอุตลุต น่าหวาดเสียวมากๆ
วดีร้องลั่น “นังน้องเอิง แกจะบ้ารึไง”

เอิงขับรถอย่างร้อนใจ โดยมีวดีโวยวายไปตลอดทาง

เอิงเลี้ยวรถเข้ามาจอดในลานจอดรถโรงพยาบาลอย่างน่าหวาดเสียว แล้วขยับจะเปิดประตู

วดีคว้าแขนไว้ “แกจะไปไหน”
“จะไปด่านังหอมน้ำ มันแย่งแฟนเอิง” เอิงจะออกไปอีก
วดีดึงไว้แน่น “ไม่ได้”
“เอ๊ะ ป้าจะเข้าข้างคนอื่นหรือคะ น้องเอิงเป็นหลานป้านะ” เอิงฉุนขาด
“เพราะเป็นหลานน่ะซิ ชั้นถึงปล่อยแกลงไปอาละวาดไม่ได้”
“ก็มัน...”
วดีอบรม “ป้าไม่ยอมให้แกไปทำตัวต่ำๆ แย่งผู้ชายเด็ดขาด”
“นังหอมน้ำมันแย่งพี่หมอของน้องเอิง”
“หมอศวัสเขาบอกหรือว่า เขาเป็นแฟนแก” เอิงนิ่งอึ้ง “ถ้าแกชอบเขา แกต้องทำตัวเสียใหม่”
เอิงชะงัก “เอิง”
“ฟังป้านะ หมอศวัสเขาไม่ชอบผู้หญิงเอะอะโวยวายหรอก แล้วจำใส่ใจเลยว่า ผู้ชายเขาจะวิ่งหนีผู้หญิงที่ตามจับเขา”
เอิงนั่งนิ่ง
“ทีนี้ก็ขับรถกลับออฟฟิศ”
เอิงขับรถออกไปอย่างว่าง่าย

ฝ่ายเพลินพิศขับรถเข้ามาจอด ขณะที่ขวัญอนงค์ยังหันไปมองข้างหลังด้วยความแปลกใจ
“รถพี่วดีจริงๆ ด้วย” ขวัญอนงค์หันกลับมา “เขามาเยี่ยมหอมน้ำหรือ”
เพลินพิศมีพิรุธนิดเดียว “คงไม่ใช่หรอกค่ะ อาจจะมาตรวจร่างกายหรือว่าไม่สบายมาหาหมอ”
“นั่นซิ อาก็ว่าเขาไม่น่าจะ เพราะพี่บุรีไม่ได้บอกใครเลย”
ทั้งสองคนเปิดประตูรถ เพลินพิศถือกระเช้าลงมาด้วย “คงบังเอิญนั่นแหละค่ะ”
“เพลินเผลอบอกใครหรือเปล่า”
เพลินพิศแสร้งหัวเราะ “โถ เพลินจะไปบอกใครได้ล่ะคะ อาขวัญก็เห็นว่าเพลินอยู่กับอาขวัญตล๊อด ตลอด”
ทั้งสองคุยพลางเดินเข้าไปในตัวตึก ด้วยทั้งสองเป็นดาราดัง จึงมีคนมอง และมาขอถ่ายรูปเป็นระยะ

เขนล้างหน้าล้างตาเสร็จ แล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ
“อ้อ ลืมบอกไป อาจารย์กับเพื่อนๆ ฝากมาเยี่ยมเธอด้วย ที่จริงเขาจะมากัน แต่เขนบอกว่าหอมจะออกแล้ว”
หอมน้ำพยักหน้า “ดีแล้วละ หอมไม่อยากให้ใครยุ่งยาก”
“คุณหมอฟันทันตแพทย์เขาเป็นห่วงหอมมากรู้มั้ย”
หอมน้ำเบือนหน้าไปอีกทางเพื่อซ่อนความอาย “ฮื้อ ! หมอเขาก็เป็นห่วงคนไข้ทุกคนนั่นแหละ”
“เขาเป็นหมอฟันทันตแพทย์นะจ๊ะ ไม่ใช่หมอ...”
พูดๆ อยู่เขนชะงัก เมื่อเสียงเคาะประตูดังขัดขึ้น หอมน้ำเองก็หันหน้ามามอง
ประตูเปิดออก เป็นขวัญขวัญอนงค์เดินนำเพลินพิศซึ่งถือกระเช้าของเยี่ยมเข้ามา หอมน้ำกับเขนประหลาดใจ แต่ก็ยกมือไหว้ พร้อมๆ กัน
“สวัสดีค่ะ อาขวัญ คุณเพลิน”
ขวัญอนงค์เดินมาที่เตียง เพลินพิศวางของเยี่ยมแล้วตามมา “เป็นยังไงบ้าง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ อาขวัญทราบได้ยังไงคะ”
“พี่บุรีบอก” มีความภาคภูมิอยู่ในน้ำเสียงขวัญอนงค์
เพลินพิศกวาดตามองไปโดยรอบห้อง “ใครเป็นสปอนเซอร์ให้เนี่ย”
ทุกคนชะงักกันหมด ขวัญอนงค์หันมาดุ “เพลิน”
เพลินพิศพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “เพลินถามเพราะหวังดีน่ะค่ะ น้องเขาไม่ได้ร่ำรวยอะไร ก็เลยคิดว่าเพลินจะรวบรวมเงินจากเพื่อนๆ ในวงการมาช่วย นี่เพลินไม่ได้ดูถูกน้องนะคะ”
หอมน้ำตกใจ “อุ๊ย ไม่ต้องค่ะ”
“คุณเพลินไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ หอมเขามีตังค์จ่าย แต่ดูเหมือนคุณหมอศวัสจะจัดการให้หมดแล้ว”
คำพูดนั้นของเขน ทำเอาขวัญอนงค์นิ่วหน้าเล็กน้อย
เพลินพิศหัวเราะไม่เชื่อ “แล้วมันเรื่องอะไรที่คุณหมอเขาจะต้องมารับเป็นภาระ เอ๊ะ หรือว่ามีอะไร”
หอมน้ำรีบปฏิเสธ “ไม่มีค่ะ คุณหมอเป็นคนใจดี”
เพลินพิศประชด “ดีไปหรือเปล่า”
“เพลิน เรื่องของเขาน่า”
เพลินพิศยังไม่หยุด “เพลินถือว่า เราอยู่ในวงการเดียวกัน ไม่อยากให้คนอื่นเขามาดูถูก”
เขนชักคันปาก “แต่ที่คุณเพลินจะทำนี่เรียกว่าเป็นการดูถูกเต็มๆ เลยนะคะ”
ขวัญอนงค์มองเขนดุๆ “เราเป็นเด็ก ไม่ควรเถียงผู้ใหญ่”
หอมน้ำเริ่มเบื่อ “หอมขออยู่เงียบๆ ได้มั้ยคะ หอมไม่สบาย”
ขวัญอนงค์สะอึก เมื่อได้ยินหอมน้ำพูดเหมือนไล่
“กลับกันเถอะค่ะ อาขวัญ เขาไล่เราแล้ว”
หอมน้ำตกใจ “หอมไม่ได้ไล่”
เพลินพิศสวนทันที “ยังจะมีหน้ามาเถียงอีก”
“อาเสียใจนะหอมน้ำ อามาเยี่ยมด้วยความหวังดี แต่กลับถูกหนูไล่”
สองคนเดินออกไปเลย โดยไม่ฟังหอมน้ำเรียก
“อาขวัญค่ะ อาขวัญ หอมขอโทษ”
“ช่างเขาเถอะน่ะ”

หอมน้ำน้ำตาคลอด้วยความอัดอั้นตันทรวง

ทั้งสองคนเดินมาที่ลิฟต์ โดยมอบรอยยิ้มขอบคุณกับคนที่มาทักทายกัน ประตูลิฟต์เปิดออก ศวัสเดินออกมา

“อ้าว หมอ”
ศวัสไหว้ “สวัสดีครับ อาขวัญ อาขวัญมาเยี่ยมหอมน้ำหรือครับ”
“มีที่คุยกันไหม”
“มีครับ”
ศวัสเปิดประตูห้องพักแพทย์ เบี่ยงตัวให้ทั้งสองคนเข้ามา แล้วปิดประตู
“เชิญนั่งครับ” ทั้งสองคนทรุดตัวลงนั่ง
“หอมน้ำเป็นอะไรหรือ” ขวัญอนงค์ถาม
“แค่พักผ่อนน้อยครับ ไม่ได้เป็นอะไรมาก พรุ่งนี้ก็กลับได้ คุณพ่อบอกอาขวัญหรือครับ”
“ค่ะ”
“พออาขวัญทราบก็รีบชวนเพลินมาเยี่ยม แต่กลับถูกหอมน้ำไล่กลับ” เพลินพิศสอดขึ้น
ขวัญอนงค์หันมามองหน้าปรามเพลินพิศ แวบหนึ่ง “ก็ไม่ถึงกับไล่หรอก อาจจะแค่หงุดหงิด หรือ...หรือว่า...” ขวัญอนงค์ชะงัก คล้ายลังเล
“อะไรหรือครับ”
“อาไม่ค่อยอยากพูด”
“อาขวัญหมายถึง หอมน้ำถูกผีสิงใช่ไหมคะ”
ศวัสอึ้งไปทันที
“เพลิน” ขวัญอนงค์หันมาหาศวัส “อาขอโทษ แต่...มันก็อาจจะเป็นไปได้”
ศวัสมองแต่มือตัวเองนิ่งๆ “ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้”
“อาขอโทษ ที่อาพูดเพราะเป็นห่วงหอมน้ำ”
ศวัสถอนใจเบาๆ แล้วเบือนหน้ามองออกไปภายนอกหน้าต่าง

ทั้งสองสาวเดินกลับมาขึ้นรถ
“หมอศวัสนี่ถ้าจะหลงเสน่ห์หอมน้ำเต็มที่นะคะ” เพลินพิศว่า
“อาเป็นห่วงหอมน้ำ”
เพลินพิศหันมามองงงๆ
“เพลินสังเกตไหมว่า หอมน้ำหน้าตาซีดๆ”
“ก็เขาไม่สบายนี่คะ”
“ไม่ใช่ มันซีดแปลกๆ”
เพลินพิศเบิกตากว้าง “อาขวัญหมายถึง...”
“อาไม่แน่ใจว่า การที่กัลยาเข้าสิงหอมน้ำนานๆ แล้วมันจะมีผลอะไรหรือเปล่า”
เพลินพิศมีสีหน้าเหมือนจะสะใจ ขณะขับรถออกไป

เมื่อผ่านเวลาไปอีกช่วงหนึ่ง เขนเดินออกมาจากห้อง เจอศวัสเดินมาพอดี
สาวอวบระยะอึดอัดยิ้มแป้น “คุณหมอฟันมาพอดี ฝากหอมแป๊บนึงนะคะ เขนจะลงไปทานข้าว”
“เห็นทีไร ไม่ทานข้าวก็กำลังจะไปทานทุกที”
“อุ๊ย นี่มันเที่ยงครึ่งแล้วนะคะ”
“ไปเถอะ”
เขนเดินไป ศวัสเดินมาหยุดหน้าห้องและเคาะประตูเบาๆ แล้วเดินเข้าไป

หอมน้ำเบือนหน้ามามอง เห็นศวัสเปิดประตูแล้วเดินมาใกล้ มองหน้าเธออย่างพินิจพิเคราะห์
หอมน้ำเหมือนจะเขินๆ เบือนหน้าไปอีกทาง ศวัสจับคางให้เบือนกลับมาอย่างอ่อนโยน
หอมน้ำหรุบตาลง ศวัสยังมองเพ่งพิศ คำพูดของสองคนเมื่อครู่ดังก้องขึ้น
“อาขวัญหมายถึงหอมน้ำถูกผีสิงใช่ไหมคะ” / “อาขอโทษ แต่...มันก็อาจจะเป็นไปได้”
ใบหน้าหอมดูซีดเซียว ขอบตาเริ่มมีสีเขียวคล้ำ แก้มปราศจากสีเลือด ซีดสนิทเช่นเดียวกับปาก
“เธอต้องเข้ารับการตรวจร่างกายให้ละเอียด”
หอมน้ำส่ายหน้าทันที “หอมไม่ได้เป็นอะไร”
“เธอต้องตรวจ”
“คุณหมอคะ”
“ถ้าเธอไม่รักตัวเอง ก็ต้องนึกถึงคนที่เขารักและเป็นห่วงเธอ”
หอมน้ำมองสีหน้าจริงจังของศวัสอย่างพิศวง
จนศวัสรู้สึกตัว ปล่อยคาง แล้วกลับเข้าสูโหมดความเคร่งขรึมอย่างเดิม “เช่น คุณพ่อคุณแม่”
หอมน้ำลอบผ่อนลมหายใจยาวเบาๆ
“แล้วก็เขน...แล้วก็...คนอื่น...”
“ใครหรือคะ”
“จะไปรู้ได้ยังไง”
ศวัสเดินไปนั่ง แล้วหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาเปิดอ่านเพื่ออำพรางความรู้สึกในดวงตา
หอมน้ำมองลังเลครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจเอ่ยขึ้น “คุณหมอคะ”
“หือ” ศวัสยังคงทำทีอ่านหนังสือพิมพ์
“อาทิตย์หน้า หนังที่หอมเล่นจะฉายแล้ว คุณหมอจะไปดูมั้ยคะ”
ศวัสตอบทันที “ไม่”
หอมน้ำสะอึกอึ้ง ตาแดงๆ เหมือนจะเริ่มร้องไห้
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ศวัสลดหนังสือพิมพ์ลง แล้วมองไปยังเตียง
หอมน้ำเหมือนกำลังพยายามกลั้นน้ำตาเต็มที
ศวัสสุ้มเสียงอ่อนลง “ชั้นไม่ค่อยมีเวลาดูทีวี”
หอมน้ำขยับนอนตะแคงหันหลังให้
ศวัสวางหนังสือพิมพ์ลง “อยากให้ชั้นไปดูหรือ”
หอมน้ำพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกและสั่นนิดๆ “หอมขอโทษค่ะ หอมลืมไปว่า คุณหมอไม่มีเวลาให้กับเรื่องไร้สาระ...” เสียงของเธอขาดหายไป
ศวัสลุกเดินเข้ามา “ชั้นยังไม่ได้พูดอย่างนั้นสักคำ”
“ถึงคุณหมอไม่พูดออกมา หอมก็รู้ว่า คุณหมอพูดในใจ”
ศวัสเดินอ้อมเตียงมาอยู่อีกด้าน ซึ่งหอมน้ำหันหน้ามา
“เก่งนี่”
หอมน้ำจะเบือนหน้ากลับไปอีกทาง แต่ศวัสจับคางไว้อีก
“แล้วเธอรู้ไหมว่า ใจชั้นพูดอะไรอีก”
หน้าตาซีดเซียวของหอมน้ำ แดงซ่านขึ้นทันตาเห็น
ศวัสเสียงเบาลง แต่คาดคั้น “ใจชั้นพูดอะไรอีก”
หอมน้ำช้อนตาขึ้นมองศวัส ซึ่งกำลังจ้องเขม็งอยู่

ใบหน้าทั้งสองคนจ้องกันและกัน ตาสบตา บรรยากาศภายในห้อง เหมือนจะอบอวลด้วยความอ่อนหวานโรแมนติกไปทุกอณู

อ่านต่อหน้า 2

ใยกัลยา ตอนที่ 12 (ต่อ)

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทั้งสองคนสะดุ้ง ศวัสรีบปล่อยมือจากหอมน้ำ แล้วทำเป็นเดินไปปิดม่านหน้าต่าง

เป็นเจคเดินนำเข้ามา ตามด้วยคณะและเขน โดยเจคถือกระเช้ามาด้วย
ทับทิมยิ้มทัก “น้องหอม เป็นไงบ้าง”
ทุกคนเข้ามารอบเตียงและซักถามอาการด้วยความเป็นห่วงกันวุ่นวาย
“เดี๋ยวค่ำๆ โค้กกับคัมภีร์ แล้วก็ป้าพิไลจะมากันอีก” อุมาบอก
ศวัสเดินออกไปจากห้อง เจคหันมามองแล้วเดินตามออกไป

เจคตามออกมาหน้าห้องพักฟื้น “หมอ
ศวัสหันหน้ากลับมา
“พอจะคุยกับอาหน่อยได้ไหม”
“ได้ครับ เชิญคุณอา”
“คุยตรงนี้แหละ”
เจคพูดพลางเดินไปที่ระเบียงตึก มีศวัสตามมา โดยศวัสไม่รู้ว่าเจคตั้งใจเลียบๆ เคียงๆ ถาม เพื่อดูความเป็นไปและอาการของหอมน้ำ
“หอมน้ำไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหม”
“ครับ แต่ผมยังไม่ค่อยแน่ใจ เลยจะให้ตรวจร่างกายพรุ่งนี้”
เจคพยักหน้า
“หน้าตาเขาซีดๆ”
“ท่าทางเด็กคนนี้ไม่ค่อยแข็งแรง อาก็ว่าดีแล้วที่เขาจะเลิกเล่นละคร”
ทั้งสองคุยกันไปเรื่อยๆ

ส่วนภายในห้องพักฟื้น ทุกคนต่างรุมล้อมหอมน้ำ พูดคุยกันเป็นอันดี แต่ฟ้านัยน์ตาเหมือนยังมีแววไม่จริงใจชัดแจ้ง
“น้องหอมน้ำซี๊ด...ซีด”
ทับทิมค้อนขวับ “คนไม่สบายนี่ยะ คุณพี่ฟ้า จะให้หน้าเด้งออกมาเป็นนางเอกงิ้วเหมือนตัวเองได้ไง”
หอมน้ำชักกังวล “ซีดมากหรือคะ”
“ซีดแบบนางเอกเวลาไม่สบายจ้ะ ดูน่ารัก น่าสงสาร น่าทะนุถนอม จนพระเอกต้องคอยมาเฝ้า” อุมาอดแดกดันไม่ได้
เขนฉุนนิดๆ “นี่ นี่ ถ้าจะมาแดกดันกันล่ะก็ เชิญกลับไปได้”
ฟ้ายัวะ “ไล่เรอะ”
“ก็แดกดันเขาหรือเปล่าล่ะ ถ้าใช่ก็ออกไป”
“นังทับ” ฟ้าโกรธ
“จะทำไม นังฟ้า” ทับทิมจิกกลับ
ฟ้าทำเป็นหัวเราะเจื้อยแจ้ว “ข้อดีของการชื่อฟ้า ขนาดเรียกจิกว่า นัง ยังเป็นนางฟ้าเลย ไป พี่อุมา เขาไล่เราแล้ว”
อุมาบอก “แกออกไปคนเดียวซิ”
ฟ้าเซ็ง “อ้าว”
“ถ้าคุณเจคถามว่าทำไมออกมา แกจะตอบว่ายังไง ทะเลาะกับคนโปรดของคุณเจคเรอะ”
หอมน้ำถอนใจ
“นี่โรงพยาบาลนะคะ คนป่วยเขาต้องการความสงบ” เขนเหน็บ
ฟ้ากับอุมาด่ากันแบบทำปากขมุบขมิบ
“โน่น ออกไปด่ากันข้างนอก” ทับทิมบอก
หอมน้ำหลับตาลง เจคเปิดประตูกลับเข้ามา ทับทิมสะกิดหอมน้ำให้ลืมตา ขณะที่อุมากับฟ้าปรับท่าทางเป็นมิตรกันทันที
“พอหนังจบก็ป่วยเลยนะเรา”
หอมน้ำยิ้มบางๆ แล้วไหว้อีก “ขอบคุณมากค่ะ ที่กรุณามาเยี่ยมหอม”
“เราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่ ครอบครัว สร้างศิลป์ 2000 ไงล่ะ”
ฟ้ากับอุมา พากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
หอมน้ำตื้นตันใจ “ขอบคุณค่ะ”
“ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทางบริษัทจะรับผิดชอบ”
เขนขัดขึ้น “เรื่องนี้ คุณหมอศวัสบอกว่า...”
เจคสวนทันที “หมอศวัสไม่เกี่ยว หอมทำงานกับพี่ พี่ก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบเอง”

หอมน้ำสบตาเขนด้วยความอึดอัด

ค่ำคืนนั้นในบรรยากาศแสนวังเวง มีหมอกควันจางๆ ทั่วบริเวณนั้น เจคเดินเข้ามา กวาดสายตามองหาใครสักคน จนเห็นใครคนหนึ่งนั่งหันหลังให้

เจคเพ่งมองจนเห็น “นั่นคุณใช่ไหม กัลยา”
“ชั้นทำไม่ได้” พุธกันยาเอ่ยขึ้น
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย โอกาสหนึ่งในไม่รู้กี่ล้านมาถึงแล้ว ตอนนี้หอมน้ำอ่อนแอลงมาก”
“ถ้ากัลไม่สิงเขาอีก เขาก็จะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น”
“แล้วคุณล่ะ”
“กัลก็จะไป”
“โดยไม่คิดถึงสามีกับลูกเลยอย่างนั้นหรือ”
พุธกันยาแสนเจ็บปวด “อย่าพูดอย่างนั้น พี่บุรีกับศวัสเป็นยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจของกัล”
เจคพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “ศวัสยังหนุ่มยังแน่น ไม่มีหอมน้ำเขาก็จะมีคนอื่น ลูกชายคุณคงไม่อาลัยอาวรณ์ถึงหอมน้ำไปจนตลอดชีวิตหรอก ดูอย่างคุณบุรีซิ คุณตายไป เขาก็มีขวัญอนงค์”
พุธกันยาหันขวับมาทันที หน้าตาดูซีดขาวโพลนจนน่ากลัว “ไม่มีวัน เขาไม่ได้รักมัน กัลเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขารัก เราผูกพันกันมาก จนกัลข้ามไปไม่พ้นโลกนี้สักที ความรักของเขาฉุดรั้งวิญญาณของกัลไม่ให้ไปไหน”
“แล้วคุณล่ะ คุณอยากไปจากเขาหรือเปล่า”
“ไม่เคยเลยแม้แต่สักวินาทีเดียว” พุธกันยาเศร้าสุดๆ “กัลยังไม่พร้อมจากไป ยังมีอีกหลายอย่างที่กัลอยากจะบอกเขา”
“คุณมีโอกาสบอกเขาแล้ว อย่าทิ้งไปง่ายๆ โอกาสเป็นของคุณแล้ว”
พุธกันยายกมือปิดหน้า ร้องไห้โหยหวนเยือกเย็นสะท้อนก้อง “ไม่.....”

ภายในห้องทำงานเจคเปิดไฟโคมสลัว เจคสะดุ้งตื่นขึ้นมาและลุกขึ้นนั่ง ยกมือลูบหน้า แล้วมองไปโดยรอบ บริเวณในห้องว่างเปล่า เจคลุกขึ้นไปรินน้ำดื่ม พุธกันยายืนมองอยู่ในเงามืด
“กัล คุณอยู่ในนี้หรือเปล่า”
พุธกันยามองเจคนิ่งสนิท
“ผมหมายความตามที่พูดในความฝันจริงๆ ผมอยากให้คุณคิดให้ดี”
พุธกันยาค่อยๆ เลือนหายไปในความืด
“กัลยา”
ทุกอย่างเงียบสนิท เจคถอนใจยาว แล้วทิ้งตัวลงนั่ง ในสีหน้าเคร่งเครียด

บรรยากาศยามเช้ารอบบริเวณโรงพยาบาลแสนสดชื่น
ส่วนภายในห้อง หอมน้ำลุกลงจากเตียงมานั่งรถเข็นเพื่อไปตรวจอาการอีก โดยมีเขนช่วยแล้วจับมือหอมบีบเบาๆ เมื่อเห็นหอมน้ำมีสีหน้าหวั่นหวาด
“ไม่ต้องกลัวนะ หอมไม่เป็นอะไรหรอก”
หอมน้ำพูดไม่ออกได้แต่พยักหน้า ศวัสเดินเข้ามา
“วันนี้หน้าตาดีขึ้นแล้วนี่”
“งั้นหอมไม่ต้องไปตรวจได้ไหมคะ”
“กลัวล่ะซิ” ศวัสแหย่
หอมน้ำหน้าเหยเก
“ตรวจเสียนั่นแหละดี ไม่ได้เป็นอะไรก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นก็จะได้รีบรักษา”
ศวัสพยักหน้ากับเจ้าหน้าที่ที่ตามเข้ามา เจ้าหน้าที่เข็นรถออกไป หอมน้ำหันมาส่งสายตาเหมือนวิงวอน
ศวัสกับเขนเดินตามไป

อีกฟาก ภายในห้องนอนเอิงในคอนโดวดี เอิงกำลังคุยโทรศัพท์
“ใช่ค่ะ พี่ฟ้าโทร.มารายงานน้องเอิงเมื่อคืนนี้”
คู่สายคือเพลินพิศซึ่งอยู่ที่คอนโดขวัญอนงค์ “สงสัยพอเอ็กซ์เรย์ออกมา ข้างในกลวงโบ๋ เพราะถูกผีเจาะกินไปหมดแล้ว”
เอิงหัวเราะขบขัน “ว้าย พี่เพลินใจร้ายอ้ะ เพี้ยง ขอให้เป็นอย่างนั้นทีเทิ้ด”
“แค่นี้ก่อนนะคะ อาขวัญเข้ามาแล้ว”
ขวัญอนงค์เดินเข้ามา “คุยกับใครแต่เช้า”
“เพื่อนน่ะค่ะ”
“ใช่น้องเอิงหรือเปล่า หมู่นี้เห็นสนิทสนมกันดี” ขวัญอนงค์ดักคอ
“น้องน่ารักนะคะ”
ขวัญอนงค์ประชด “เราก็น่ารักพอกันนั่นแหละ”
เพลินพิศยิ้มแหยๆ มองตามขวัญอนงค์ซึ่งเดินไปหยิบแก้วน้ำส้ม
“อาขวัญคะ” ขวัญอนงค์มองมาเป็นเชิงถาม “เพลินเชียร์อาขวัญกับคุณบุรีเต็มที่เลย”

ขวัญอนงค์ชอบใจ ออกอาการเขินๆ

ด้านวดีเข้าออฟฟิศแต่เช้า กำลังคุยโทรศัพท์กับพีอาร์อย่างอารมณ์ดี

“จ้ะ ขอบใจมากนะ แล้วพี่จะลงข่าวให้”
วดีวางโทรศัพท์ลงในขณะที่เอิงเดินเข้ามา ตามด้วยลิซซี่ที่ถือกระเป๋าเข้ามาส่ง
“วันนี้ไม่ไปผลาญเงินที่ไหนเรอะ”
เอิงหัวเราะเจื้อยแจ้ว “คอยฟังข่าวดีก่อนแล้วค่อยไปค่ะ”
“ชั้นขอเตือนแกด้วยความหวังดีอีกครั้งนะ ถ้าหากไม่เชื่อก็ตัวใครตัวมัน การแย่งผู้ชายด้วยวิธีน้ำเน่าอย่างที่แกกำลังทำอยู่น่ะ ไม่มีทางสำเร็จหรอก”
ลิซซี่เอ่ยขึ้น “น้องเอิงควรเชื่อคุณป้านะคะ คุณป้าท่านอาบน้ำร้อนมาก่อน เคยผิดหวังมาก่อน”
วดีหันขวับมาทางลิซซี่ ถลึงตาใส่ “นังลิซซี่”
ลิซซี่เสียงอ่อยๆ “เหมือนลิซซี่เคยอ่านประวัติคุณวดีจากที่ไหนมาสักแห่งน่ะค่ะ”
วดีแหวใส่ “ยังจะขยายต่ออีก”
“พี่ลิซซี่ไปอ่านที่ไหนหรือคะ น้องเอิงจะได้อ่านบ้าง”
ลิซซี่มองวดีแล้วทำตาปริบๆ
“ไปให้พ้น ทั้งสองนั่นแหละ”
เอิงหัวเราะคิกคัก แล้วลากแขนลิซซี่ออกไป
วดีเอนหลังพิงพนัก แล้วหลับตาลง รำลึกถึงความรักความหลังเมื่อ 30 ปี ก่อน

หลังพุธกันยาเสียชีวิตลง เจคเอาแต่นั่งซึมตลอดวัน อย่างตอนนี้นั่งซึมอยู่ที่โต๊ะทำงาน ตรงหน้าเป็นภาพสวยๆ ของพุธกันยาจัดอย่างดีในอัลบั้ม จนมีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้ววดีเปิดประตูเข้ามา ด้วยสีหน้าแววตาแจ่มใส
“เจค วดีมารับไปทานข้าวค่ะ”
“ผมไม่หิว”
“อะไรกัน พิไลบอกวดีว่าคุณไม่ได้ทานข้าวเลยตั้งแต่เมื่อเย็นวาน”
“ก็บอกแล้วว่าผมไม่หิว ไม่หิว”
“วดีเป็นห่วงคุณนะคะ พิไลก็เป็นห่วง ทุกคนก็...”
เจคกลับตัดบท “ขอร้องเถอะวดี ผมอยากอยู่คนเดียว”
วดีมองอัลบั้มพุธที่กางอยู่ข้างหน้าเจคอย่างหมดความอดทน
“เพราะไอ้รูปพวกนี้ใช่มั้ยคะ กัลยา ตายไปตั้งหลายเดือนแล้ว เมื่อไหร่เจคจะทำใจได้เสียที เฮอะ ผัวเขายังไม่เศร้าถึงครึ่งหนึ่งของเจคเลยมั้ง”
เจคมองวดีอย่างเย็นชา “ออกไป”
“ตามใจ เจคจะอยู่กับผีแม่กัลยาก็ตามใจ” วดีเดินไปที่ประตูแล้วหันกลับมา “ผู้หญิงที่เหลือแต่เถ้าถ่านน่ะ สู้ผู้หญิงที่ยังมีชีวิตจิตใจอยู่ไม่ได้หรอกนะ”
จากนั้นวดีก็เปิดประตูแล้วเดินออกไป

คิดเรื่องนี้แล้ววดีทอดถอนใจยาว ก่อนจะขยับตัวตรง สะบัดหน้าเหมือนจะไล่ภาพอดีตออกไป แล้วกดโทรศัพท์ภายใน
“ลิซซี่ ส่งคนไปโรงพยาบาลหรือยัง...ดีมาก”
วดีวางโทรศัพท์ลง แล้วเปิดเน็ตทำงาน

ฟากศวัสอยู่ในห้องพักแพทย์ สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความกังวล พุธกันยายืนจับตามองลูกเงียบๆ ศวัสดูกระวนกระวายครู่หนึ่ง แล้วเปิดลิ้นชัก หยิบรูปที่หอมน้ำปริ้นท์ออกจากเน็ตให้ ออกมาดู เป็นรูปและตัวอักษรเขียนว่า ดอกพลับพลึงธาร หรือ หอมน้ำ
ศวัสยังคงจับจ้อง ขณะพุธกันยาเดินมาชะโงกดูจากทางด้านหลัง
ศวัสเงยหน้าขึ้น “คุณแม่ครับ คุณแม่ช่วยคุ้มครองหอมน้ำอย่าให้เป็นอะไรเลยนะครับ”

พุธกันยาอึ้งไป ส่วนศวัสยังคงมีสีหน้ากังวลหนัก

อ่านต่อตอนต่อไป

วดีนั่งทำงาน ปั่นต้นฉบับอยู่ในออฟฟิศอย่างเพลิดเพลิน จนเวลามืดค่ำโดยไม่รู้ตัว สักพักหนึ่ง มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะเห็นลิซซี่เดินเข้ามาพร้อมกับจานสลัดจัดอย่างสวยงามน่ากิน และแก้วทรงสูงใส่น้ำส้มสดคั้นเข้ามาวางให้

“มาแล้วค่ะ ซีซาร์สลัด และน้ำส้มสดคั้น”
“ขอบใจ ข้างนอกยังมีใครอยู่บ้าง”
“ถ้าลิซซี่กลับ ก็คงเหลือแต่ รปภ. ล่ะค่ะ”
“แล้วแกจะรีบกลับไปไหน”
“อุ๊ย ไม่รีบแล้วนะคะ แต่ตอนนี้มันจะ 3 ทุ่มแล้ว ลิซซี่ขอตัวก่อนนะคะ จะไปงานวันเกิดเพื่อนค่ะ”
“จะไปไหนก็ไป”
“คุณวดีอยู่คนเดียวได้ไม่กลัวผีนะคะ” ลิซซี่ถาม
วดีฉุน “นั่นปากเรอะ นังลิซซี่ ผีที่ไหนมันจะกล้าหลอกเจ้าที่อย่างชั้น”
ลิซซี่กลอกตา อ้าปาก “ก็ผี...”
ถูกวดีจ้องเขม็งดักคอ “นังลิซซี่”
“ขา...ไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”
ลิซซี่รีบวิ่งออกไป วดีคว้าของใกล้มือปาตามหลัง แต่ไม่ทัน จึงโดนแค่ประตู
“นังบ้า”
ทุกสิ่งภายในห้องนั้นตกอยู่ในความเงียบ วดีกวาดตามองรอบห้อง มือเปิดกระเป๋าถือ
“ห้องทำงานนี้เป็นของชั้น ชั้นต้องเป็นใหญ่”
วดีหยิบสร้อยพระออกมาคล้องคอขณะพูด แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าอีก
“ผีที่ไหนแหยมเข้ามา ชั้นจะไล่ให้กระเจิงไปเลย” พร้อมคำพูดนั้น วดีหยิบขวดน้ำมนต์ออกมาวางตรงหน้า
“ทุกอย่างเตรียมมาเรียบร้อย”

มองจากบริเวณภายนอกอาคารออฟฟิศชิดขอบบันเทิงซึ่งไฟปิดหมด คงมีแต่แสงไฟลอดออกมาจากทางเดินบริเวณห้องกองบรรณาธิการ และในห้องทำงานวดี แม่บ้าน 2 คนเดินออกมา
รปภ. ถาม “กลับแล้วเรอะ
สองสาวพยักหน้า “กลับแล้ว”
แม่บ้านสองคนเดินออกไป รปภ.นั่งฟังลูกทุ่งหมอลำจากวิทยุต่อ

ด้านวดีละสายตาจากจอโน้ตบุ๊ค เอนหลังพิงพนัก แล้วเริ่มทานสลัดอย่างแอร่ม ขณะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทร. แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อมีเสียงเหมือนมีคนเดินมาหยุดที่หน้าประตู
“ใครน่ะ”
ทุกอย่างเงียบจนผิดปกติ วดีวางมือถือลงบนโต๊ะ มือวดีข้างหนึ่งจับสร้อยพระ อีกมือหยิบขวดน้ำมนต์
“ใคร” ไม่มีคำตอบเช่นเคย
วดีลุกขึ้น มือกำขวดน้ำมนต์ไว้แน่นแล้วเดินไปที่ประตู ค่อยๆ ยกมือขึ้นไปจับลูกบิด วดีเม้มปากแน่นอย่างตัดสินใจ กระชากประตูเปิดออก มองไปบริเวณหน้าห้องไม่ปรากฏวี่แววของสิ่งมีชีวิต
วดีหันหลังจะเข้าห้อง ทันใดนั้นมีเสียงแมวร้องดังขึ้น พร้อมกับแมวตัวหนึ่งกระโดดมาจากมุมใดมุมหนึ่งของห้อง บอกอใหญ่ตกใจสุดขีด หวีดร้องด้วยความตกใจ ค่อยๆ หันมามอง แล้วถอนใจเฮือก เมื่อเห็นเป็นแมวดำตัวหนึ่ง
“ไอ้แมวบ้า”
วดีเดินไปที่หน้าต่าง เปิดออก แล้วหันมาไล่แมว
“ออกไป๊”
แมวยังคงมองจ้องหน้าวดี พลางแยกเขี้ยวคำราม
“บอกให้ออกไป”
แมวยังคงมองเขม็ง วดีชักหงุดหงิด เดินไปที่ประตูแล้วเปิดออกไป

รปภ. รีบเดินออกจากป้อมยามมาหานาย ด้วยท่าทีแข็งขันเมื่อเห็นวดีตรงมา
“แมวที่ไหนไม่รู้เข้าไปอยู่ข้างใน ช่วยไปจับออกมาหน่อย”
“ครับผม”
รปภ.รีบเดินตามวดีเข้าไป

วดีเดินนำรปภ.เข้ามาในออฟฟิศ แล้วมองหาแมว
“อ้าว ไปไหนแล้วล่ะ”
ทั้งสองคนช่วยกันหา แต่ไม่ปรากฏแมว
รปภ.พยายามเรียก “เมี้ยวๆๆๆๆ”
ทุกอย่างยังคงอยู่ในความเงียบ
“สงสัยจะออกไปทางหน้าต่างนั่นแล้วมั้ง” วดีพยักพเยิดไปทางหน้าต่าง แล้วนิ่วหน้าแปลกใจ
รปภ.มองตาม “หน้าต่างปิดนี่ครับ”
“ก็เมื่อกี้...” วดีนิ่วหน้า สุดท้ายตัดบท “ช่างเถอะ ไม่มีก็ไม่มี ไปได้แล้ว”
“ครับผม” รปภ. โค้งให้วดี แล้วเดินออกไป
วดีเดินกลับเข้าห้อง
เมื่อเดินมาที่โต๊ะ วดีจัดเก็บข้าวของจะกลับ จู่ๆ เสียงประตูด้านนอกดังปัง เหมือนมีใครกระแทกปิดอย่างแรง วดีสะดุ้งโหยง คว้ากระเป๋าสะพายเดินออกไปอย่างหงุดหงิด

วดีเดินออกมาหน้าห้อง กวาดสายตามองไปโดยรอบด้วยความอารมณ์หงุดหงิดต่อเนื่อง
“ใคร” ทุกสิ่งไม่มีอะไรผิดปกติ
“แกเหรอ กัลยา”
ภายในห้องดูเยือกเย็นวังเวง บรรยากาศเหมือนบ้านร้าง วดีจับพระที่คล้องคอ อีกมือหนึ่งจับขวดน้ำมนต์ไว้เตรียมพร้อม
“ชั้นไม่กลัวแก”
ไฟในห้องกองบรรณาธิการกระพริบวิบวับ2-3ที แล้วดับวูบลง
วดีสะดุ้งอีกเล็กน้อย “ชั้นมีพระ มีน้ำมนต์ ชั้นจะสาดแกให้หนีกลับนรกไปเลย”
มีเสียงเหมือนใครถอนใจเบาๆ ดังมาจากข้างหลัง และลมนั้นรดต้นคอวดี จนผมบริเวณนั้นปลิวเบาๆ
วดีหันขวับไปมอง นัยน์ตาหวาดกลัวเบิกกว้าง เมื่อเห็นเงาดำๆ ของผู้หญิงรางๆ อยู่มุมห้อง วดีกัดฟันด้วยความโกรธปนกลัว
“ลองน้ำมนต์นี่ซิ”
วดีเปิดขวดน้ำมนต์ แล้วสาดไปที่เงานั้น ทว่าเงานั้นยังคงอยู่ แล้วขยับเหมือนจะเดินมาหา วดีโยนขวดน้ำมนต์ทิ้ง แล้วเดินแกมวิ่งออกไปทางประตูด้านหน้า ด้วยความหวาดกลัว

เอิงอยู่ที่คอนโด หัวเราะตัวงอเป็นกุ้ง เมื่อวดีเล่าเรื่องให้ฟังจบลง
“หัวเราะอะไรเฮอะ น้องเอิง ป้าแกถูกผีหลอกจะหัวโกร๋นตายอยู่แล้ว ยังจะทำหน้าเป็นอีก”
“โอ๊ย ปวดท้อง ขอโทษค่ะ ป้าขา น้องเอิงขำน่ะ”
“ไม่ต้องมาขำเลย แกไปเอาน้ำมนต์วัดไหนมาให้ป้า”
“วัดนี่ค่ะ” เอิงขำอีก ชี้มือลงพื้น
“วัดนี่น่ะวัดไหน”
“ไม่มีวัดไหนหรอกค่ะ น้องเอิงขี้เกียจเข้าวัด ก็เลยเอาน้ำก๊อกใส่ขวดให้ป้า น้องเอิงขอโทษจริงๆ ค่ะ ไม่นึกว่าผีจะจับได้ โอ๊ย! หัวเราะจนปวดท้องเลย”
วดีฉุนขาด “แกเอาน้ำก๊อกใส่ขวดน้ำมนต์ให้ชั้น”
เอิงพยายามกลั้นหัวเราะ จนน้ำหูน้ำตาไหล “ค่ะ”
วดีค้อนตาคว่ำ “เด็กบ้า”
“อย่าโกรธน้องเอิงเลยนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้า น้องเอิงจะไปเอาน้ำมนต์ที่วัดมาให้จริงๆ”
วดีเดินเข้าห้องนอนอย่างหงุดหงิด โดยไม่มองหน้าเอิงเลย
“ว้า ป้าโกรธจริงๆ ด้วยแฮะ” เอิง เกาหัว
วดีเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด คำรามในลำคอ
“นังกัลยา ชั้นไม่ยอมให้แกทำชั้นฝ่ายเดียวหรอก”

รุ่งขึ้นวดีเข้าออฟฟิศแต่เช้า ตามตัวลิซซี่เข้ามาพบในห้องทันที ลิซซี่ฟังจบถึงกับสะดุ้ง มองวดีเป็นคำถาม
“จะ...จะ...ดี...ดีหรือคะ”
“ถ้าชั้นตัดสินใจจะทำอะไร ก็หมายความว่าดีแล้ว”
ลิซซี่ยิ้มแห้งๆ “ค่ะ นั่นซิคะ”
“คืนนี้แกไปจัดการตามที่ชั้นสั่ง ทำให้สำเร็จด้วย”
“ลิซซี่จะพยายามค่ะ”
“ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่พยายาม” วดีเน้นคำ
กะเทยเผือกทวนคำตาม “ค่ะ ต้องทำให้ได้ ไม่ใช่พยายาม”
“ดี ไปได้แล้ว”
“ค่ะ” ลิซซี่ย่อตัวลงขณะพูดแล้วรีบออกไป

วดีเอนตัวพิงพนัก สีหน้ามาดหมาย

อ่านต่อหน้า 3

ใยกัลยา ตอนที่ 12 (ต่อ)

หอมน้ำออกจากโรงพยาบาลวันนี้ โดยมีศวัสไปรับ รถแล่นมาจอดหน้าอาคารหอพัก เขนเปิดประตูออกมาพร้อมกับทับทิม คนละด้าน ทั้งสองหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าและเครื่องใช้ของหอมน้ำและเขน แล้วยืนรออยู่ด้านนอก

หอมน้ำขยับจะเปิดประตู แต่ศวัสชิงพูดขึ้นก่อน
“อย่าเพิ่ง” หอมน้ำหันมามอง “เดี๋ยวได้เป็นลมเป็นแล้งไปอีก”
ศวัสอ้อมไปเปิดระตูให้ แล้วยื่นมือมา
หอมน้ำหน้าแดงด้วยความขัดเขิน แต่พอสบตาดุๆ ของศวัสก็รีบยื่นมือไปให้ศวัสจับแล้วก้าวลงไป โดยที่เขนกับทับทิมสบตากันพลางยักคิ้วอย่างรู้งาน แล้วพยักพเยิดชวนกันขึ้นไปก่อน หอมจะปล่อยมือแต่ศวัสจับไว้
“กลัวคนเห็นหรือ”
หอมน้ำรับเสียงเบา “ค่ะ”
ศวัสอ้างว่า “ถึงเห็นเขาก็ไม่คิดอะไร เพราะว่าชั้นเป็นหมอ”
“แต่คุณหมอเป็นหมอฟันทันตแพทย์”
“แล้วใช่หมอหรือเปล่าล่ะ”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นใครจะมาว่า โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ของเธอฝากให้ชั้นดูแล”
ขณะศวัสพูด หอมน้ำอ้าปากหวอฟัง
“เดี๋ยวแมลงวันก็เข้าปากหรอก ไปได้แล้ว”
หอมน้ำรีบหุบปากแล้วเดินไป ศวัสปล่อยมือมาจับแขนแทน หากมีคนมองมาจึงเหมือนผู้ใหญ่จับแขนเด็ก

เขนกับทับทิม รออยู่ในห้องหอมน้ำแล้ว กำลังคุยกัน
“ทำไมยังไม่ขึ้นมาอีก”
“แหม เขาก็กลัวจะมาเจอก้างอ้วนๆ ขวางคออยู่นะซิคะ น้องเขนขา” ทับทิมอมยิ้ม
เขนขยับจะพูด แต่ประตูเปิดออกก่อน ศวัสพาหอมน้ำเข้ามา ทั้งสองคนหันมามองและขยับเก้าอี้ให้หอมกับศวัสนั่ง
หอมน้ำยืนนิ่ง ตามองไปที่เตียง ลมหายใจมีไอเย็นจางๆ หอมน้ำเห็นพุธนั่งอยู่และส่งยิ้มมาให้อย่างอ่อนโยน
อีกสามคนมองตามสายตาหอมน้ำไป แต่ก็เห็นเพียงความว่างเปล่า
“คุณพุธเหรอหอม” เขนถาม
หอมน้ำพยักหน้า
“ชั้นดีใจที่เธอปลอดภัยดีทุกอย่าง”
หอมน้ำไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
ขณะหอมน้ำพูดกับพุธกันยา ทั้งสามคนมองเห็นหอมน้ำพูดอยู่ฝ่ายเดียว
“ชั้นไปละ”
“ค่ะ”
พุธกันยาเลือนหายไปแล้ว หอมน้ำจึงหันมาบอกทุกคน “เธอไปแล้วค่ะ”
ศวัสดูนาฬิกา “ชั้นก็ต้องไปทำงานเหมือนกัน แล้วจะโทร.มา”
หอมน้ำไหว้ “ขอบคุณมากค่ะ”
ทับทิมกับเขนไหว้ขอบคุณศวัสเช่นกัน ศวัสรับไหว้สามสาวแล้วเดินออกไป
“เหนื่อยมั้ยน้องหอม” ทับทิมถาม
“นิดหน่อยค่ะ”
“แปลกจัง ปกติหอมไม่ใช่คนเหนื่อยง่าย จะแข็งแรงกว่าเขนด้วยซ้ำ ไอสักแค่กก็ไม่มี หมอตรวจละเอียดหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“แหม คุณน้องเขนขา น้องหอมน่ะเข้าเครื่องตรวจทุกอย่างที่มีอยู่ในโรงพยาบาลแล้วนะคะ แล้วคุณหมอที่ตรวจก็เป็นเพื่อนสนิทคุณหมอศวัสอีก พี่ทับว่าเขาต้องเอ็กซเรย์ทุกตารางนิ้วเลยล่ะค่ะ”
“ขอหอมนอนพักหน่อยได้มั้ยคะ”
“เอาเลย เขนจะอ่านหนังสือเป็นเพื่อน”
“พี่ทับต้องเข้าออฟฟิศ ก่อนนะคะ เดี๋ยวบ่ายนี้มีฟิตติ้งหนังเรื่องใหม่ ค่ำๆ พี่ทับจะมาอยู่เป็นเพื่อน”
“ขอบคุณค่ะ พี่ทับ”
หอมน้ำไหว้ทับทิมแล้วลุกขึ้นเดินมานอนที่เตียง หลับตาลง ทับทิมเดินไปที่ประตู โดยมีเขนเดินตามออกไปส่ง

ทั้งสองสาวเดินออกมาหน้าห้อง เขนเอ่ยขึ้นว่า
“ถ้าใครจะมาเยี่ยม ก็บอกว่าอย่าเพิ่งนะพี่ทับ เขนอยากให้หอมพักอีก 2-3 วัน”
“แล้วคุณเจคล่ะ”
“เหมือนกัน”
“โอเค แต่เขาจะเชื่อหรือเปล่าไม่รู้นะ ไปละ”
เขนไหว้ “ขอบคุณค่ะ พี่ทับ”
ทับทิมโบกมือแล้วหันหลังเดินไปที่ลิฟต์ เขนเปิดประตูกลับเข้าไปข้างใน แล้วเดินตรงไปที่เตียง เห็นหอมน้ำนอนหลับสนิทไปแล้ว
เขนมองเพื่อนและถอนใจยาว ด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าหอมน้ำยังคงดูซีดเซียวอยู่มาก
เขนค่อยๆ ดึงสร้อยพระของหอมน้ำออกมาไว้นอกเสื้อ “อย่าเป็นอะไรนะหอม ขอให้พระพุทธคุณจงช่วยปกป้องคุ้มครองหอมด้วยเถิด”

หอมน้ำยังคงหลับสนิท

ที่ออฟฟิศสร้างศิลป์ บริเวณมุมรับแขกหน้าห้องทำงานเจค เพลินพิศกำลังยืนคุยยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่กับโค้ก ทับทิมเดินเข้ามา เพลินพิศหันมาเห็นพอดี

“พี่ทับ ไปเยี่ยมหอมน้ำมาหรือเปล่า”
โค้กหันมามองตาม
“ค่ะ” ทับทิมตอบเมินๆ แล้วจะเดินเข้าข้างใน
เพลินพิศเข้ามาฉุดไว้ “เดี๋ยว บอกก่อนว่าหอมน้ำเป็นยังไงบ้าง ใกล้ตายหรือยัง
โค้กหัวเราะกับเพลิน ขณะที่ทับทิมหน้าบึ้ง
“หน้าตาก็สวยดี แต่ปากเหมือนส้วม พูดออกมาทีเหม็นฉึ่ง”
ทับสะบัดหน้าเดินเข้าไป ขณะที่ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงกับคำพูดของทับ
“ว้าย! ตายแล้ว อีพี่ทับ มาขอโทษชั้นเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นแกตกงานแน่”
ทับทิมไม่สนใจฟัง เดินขึ้นบันไดไปยังห้องเก็บเสื้อผ้า
เพลินพิศโมโหมากหันมาฟ้อง “พี่โค้ก พี่โค้กเป็นพยานให้เพลินนะ เพลินจะไปฟ้องคุณเจค”

เจคเรียกทุกคนเข้ามาสอบถามในห้องทำงาน
“ว่าไง โค้ก”
โค้กมองทับทิมที่ยังคงยืนนิ่งหลังเล่าจบ โดยไม่มองหน้าใคร
“โค้ก” เจคเรียกอีก
“ครับ จริงอย่างที่ทับเล่า”
เพลินพิศเม้มปากและตวัดตามองโค้กไม่พอใจแวบหนึ่ง “ถึงเพลินจะพูดจริงแต่อี...เอ๊ย พี่ทับก็ไม่ควรด่าเพลิน พี่ทับไม่มีสิทธิ์ เพลินเป็นดารา พี่ทับเป็นแค่คอสตูม”
เจคสวนออกมา เสียงเข้ม “คอสตูมก็เป็นคนนะ เพลิน”
เพลินพิศชะงัก “คุณเจค”
ทับทิมกับโค้กมองเจคด้วยความประหลาดใจในคำพูดดังกล่าว
“อาจะให้ทับเขาขอโทษเพลิน แล้วขอให้เลิกแล้วต่อกัน ถ้าต่อไปทับยังพูดไม่ดีกับเพลินอีก อาจะให้ทับออก ส่วนเพลิน ถ้าไม่สบายใจจะเล่นหนังเล่นละครกับพี่ ก็ไม่เป็นไร”
เพลินพิศสะดุ้งเฮือก “สบายใจซิคะ สบายใจมาก เพลินชอบเล่นหนังกับพี่เจคที่สุด”
“งั้นก็เป็นอันว่าเลิกแล้วต่อกัน แยกย้ายกันไปได้”
ทั้งสามคนพึมพำรับคำ แล้วเดินออกไป
เจคถอนใจยาว เอนหลังพิงพนักด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

ด้านหอมน้ำยังคงนอนหลับสนิท มีเขนนั่งอ่านหนังสืออยู่มุมหนึ่ง พร้อมกับคอยเหลือบมองหอมน้ำอย่างห่วงใยเป็นระยะๆ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขนรีบหยิบมาดู แล้วเปิดประตูออกไปคุยข้างนอก โดยไม่วายหันมามองหอมอีกครั้ง

เขนก้าวมายืนที่ระเบียงด้านนอกขณะพูดโทรศัพท์
“ว่าไงคะ พี่ทับ”

ใบหน้าสวยซีดและดูอิดโรยหอมน้ำยังคงนอนหลับสนิท เริ่มมีไอเย็นลอยจางๆ ออกมาจากลมหายใจ พุธกันยาเดินเข้ามาที่เตียง
“หอมน้ำ” หอมน้ำยังคงนอนหลับอยู่ พุธกันยาเรียกอีก “หอมน้ำ”
เปลือกตาหอมน้ำเริ่มขยับไปมา
“ได้ยินชั้นหรือเปล่า”
หอมน้ำพึมพำและยังหลับตาอยู่ “คุณพุธ”
“ชั้นมาขอโทษเธอ”
ปากหอมน้ำขมุบขมิบไปมา เหมือนพยายามจะพูด
“เธอต้องเข้มแข็งเข้าไว้”
ประตูเปิดออก เขนเดินกลับเข้ามาและปิดประตูเบาๆ เขนลงนั่งอ่านหนังสือต่อ
พุธกันยาลุกขึ้น “จำเอาไว้ เธอต้องเข้มแข็ง ศวัสรักเธอ ลูกชายของชั้นรักเธอ และนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เธอปลอดภัย”
พุธกันยาค่อยๆ จางหายไป

เที่ยงวันนั้น เจคนัดเจอขวัญอนงค์ สองคนนั่งอยู่ภายในร้านอาหารบรรยากาศเงียบๆ ยังไม่มีคนมากนัก รอจนบริกรยกอาหารมาเสิร์ฟให้ทั้งสองคน แล้วเดินออกไป โต๊ะของทั้งสองคนอยู่ลึกเข้าไปด้านในสุด
ขวัญอนงค์ส่ายหน้าเศร้าๆ “พี่บุรีเขายังรักกัลยาอยู่ น่าอิจฉานะคะ ตายไปตั้งนานมากแล้ว แต่สามียังรักและไม่เคยลืมเลย”
“คุณรักเพื่อนคุณหรือเปล่า”
“กัลยาน่ะหรือคะ” เจคพยักหน้า “รักซิคะ เราสนิทกันมาก”
“ถ้าอย่างนั้น คุณต้องช่วยเขา”
ขวัญอนงค์มองหน้าเจคอย่างงงๆ
“กัลยาตายไปเป็นสิบๆ ปี แต่วิญญาณเขายังคงวนเวียนไปไหนไม่ได้เพราะความรักของสามีที่คอยถ่วงเอาไว้ แล้วถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ไป กัลยาจะไม่มีวันพบกับความสุขสงบ”
“แล้วจะให้ขวัญทำยังไง”
เจควางสีหน้าจริงจัง และพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ผมว่า ถึงเวลาที่คุณบุรีกับกัลยาจะต้องเป็นอิสระจากกันแล้ว คุณบุรีควรจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ส่วนกัลยาก็จะได้ไปสู่สัมปรายภพเสียที”
ขวัญอนงค์ยังคงมีสีหน้าหนักใจ
เจคตบหลังมือดาราสาวใหญ่เบาๆ “ผมรู้ว่าคุณรักบุรีมานานแล้ว”
ขวัญอนงค์สะดุ้งนิดๆ
“มันไม่ใช่ความผิด บุรีเองเขาก็มีใจให้คุณไม่น้อย ถึงเวลาที่ทั้งผีทั้งคนจะได้มีความสุขเสียที”

ขวัญอนงค์ยิ้มออกมาได้ เมื่อเจคพูดตบท้ายอย่างอารมณ์ดี โดยไม่รู้ว่ากำลังตกเป็นเครื่องมือของเจค

เมื่อกลับถึงคอนโด ขวัญอนงค์เดินเข้ามาในห้องรับแขก และวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ ทรุดตัวลงนั่ง พลางยกมือขึ้นลูบหน้าเหมือนยังกังวลอยู่

เพลินพิศเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำส้มคั้น ใบหน้ายิ้มแย้มแฝงล้อเลียน แต่งตัวเหมือนจะออกไปข้างนอก
“จะไปไหนน่ะ”
“กลับคอนโดฯ แล้วค่ะ เพลินมารบกวนอาขวัญตั้งหลายวันแล้ว”
“หายกลัวผีแล้วหรือ”
“นิดนึงค่ะ แต่เพลินมาคิดๆดูว่า ถ้ามัวแต่กลัว เพลินก็จะอยู่บ้านไม่ได้ทั้งๆ ที่มันเป็นบ้านของเพลิน อุตส่าห์ทำงานเก็บเงินแทบตายกว่าจะซื้อได้ แล้วมันเรื่องอะไรจะให้ผีที่ไหนก็ไม่รู้มาไล่เราออกไป เพลินจะหาเด็กมาอยู่เป็นเพื่อน จะนิมนต์พระมาเจิมอีกที”
“เดือดร้อนกันไปหมด” ขวัญอนงค์พูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง
“นั่นน่ะซิคะ ทำไมไม่รู้จักไปผุดไปเกิดเสียทีก็ไม่รู้” นางร้ายหน้าสวยมองสีหน้าท่าทางซึ่งกำลังครุ่นคิดหนักของรุ่นพี่อย่างแปลกใจ “อาขวัญเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ขวัญอนงค์ปรับสีหน้าท่าทางให้เป็นปกติ “เปล่า”
“งั้นเพลินไปล่ะนะคะ” เจ้าหล่อนว่าพลางเข้ามากราบประจบประแจง “ขอบคุณอาขวัญมากค่ะ ที่ช่วยเหลือเพลิน”
“ไม่เป็นไรจ้ะ จะมาอยู่อีกเมื่อไหร่ก็มาได้เลยนะ”
เพลินพิศขยับลุก “ค่ะ บ๊ายบาย ค่ะ”
เพลินพิศหยิบกระเป๋าและกุญแจรถที่วางไว้บริเวณนั้น แล้วเดินออกไป
ขวัญอนงค์ยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม ด้วยสีหน้าเหมือนจะคิดตกแล้ว

ในเวลาต่อมา บุรีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูชื่อ แล้วยิ้มออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ขวัญ หายเงียบไปเลย ผมว่าจะโทร.หาเหมือนกัน”
บุรีเดินช้าๆ พูดสายสีหน้าแจ่มใส โดยมีพุธกันยานั่งมองด้วยสีหน้าเคร่งขรึมปนเศร้า
“อ้าว ผมพูดจริงๆ คนเราปูนนี้แล้วจะต้องมาโกหกเอาใจอะไรกันอีก”
“โอเค ค่ะ ขวัญจะยอมเชื่อ” ขวัญอนงค์โทร.มาจากคอนโด
“เอาอย่างนี้ เพื่อยืนยันคำพูดของผม เย็นนี้ผมจะเลี้ยงข้าวเอง จะให้ไปรับกี่โมงดี”
“หกโมงเย็นดีมั้ยคะ”
“ตกลงครับ เย็นนี้พบกัน”
“ค่ะ”
ขวัญอนงค์ลดโทรศัพท์ลง สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความสดชื่น
บุรีขยับจะเดินขึ้นไปข้างบน ในขณะที่เยาวภาเดินเข้ามา
“เยาว์มาพอดี เย็นนี้ชั้นจะออกไปทานข้าวข้างนอกนะ”
“เมื่อตอนกลางวัน คุณหนูก็โทร.มาบอกว่า เย็นนี้ไม่ทานข้าวเหมือนกัน”
บุรีพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินขึ้นข้างบนไป พุธกันยาลุกขึ้นเดินตามมาชะเง้อมองตามสามี
“ดี ไม่อยู่กันทั้งพ่อทั้งลูก ทิ้งให้ชั้นอยู่คนเดียว” เยาวภาบ่นบ้าอย่างหงุดหงิด
พุธกันยาผินหน้ามามองเยาวภาแวบหนึ่ง แล้วจึงเดินตามบุรีขึ้นไปข้างบน

พุธกันยาเดินมาหยุดหน้าห้องบุรี ทำท่าจะเดินเข้าไปแล้วชะงัก
“ไม่ ชั้นต้องพยายามตัดใจให้ได้” พุธกันยาเดินเลยไปจนสุดทาง

สุดท้ายพุธกันยาเดินเข้ามาในห้องตัวเอง หยุดยืนมองไปโดยรอบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความอ้างว้าง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นของที่ระลึกถึงคนที่ตายไปแล้ว
พุธกันยามองเลยเรื่อยไปจนถึงโกศเก็บกระดูกตนเอง เดินมาทรุดตัวตรงหน้าโกศนั้น
“ชั้นเหลือเพียงแค่นี้เอง แค่นี้จริงๆ”
น้ำตาพุธกันยาไหลพราก จนโกศที่มองเห็นข้างหน้าดูพร่าพราย พุธกันยาร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าเวทนา

ศวัสเลิกงานตอนค่ำ แวะมาหาหอมน้ำที่หอพัก ทั้งสามคนนั่งกินโจ๊กอยู่ด้วยกัน เฉพาะเขนมีข้าวมันไก่อีกจานเตรียมไว้ตรงหน้า
พุธกันยาปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบเชียบมุมหนึ่ง หอมน้ำวางช้อนลงอย่างเกรงใจ เพราะทานไปได้ไม่กี่คำ
“อิ่มแล้วหรือ” ศวัสมองดุ
หอมน้ำตอบเสียงอ่อยๆ “ค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเขนกินต่อเอง”
“ข้าวมันไก่อีกจานยังไม่พออีกเหรอ” ศวัสเหน็บ
“สบายมากค่ะ โรตีอีกสองอันยังไหว”
ศวัสจ้องหอมน้ำนิ่ง “กินให้หมด”
หอมน้ำยังอิดออด “หอม...”
“กินแค่นี้จะไปมีแรงได้ยังไง” ศวัสหันมาทางเขน “เราก็พอแล้ว เดี๋ยวก็กระเพราะครากหรอก”
เขนทำตาปริบๆ
“หอมน้ำ กินให้หมด”
หอมน้ำรับเสียงเบา “ค่ะ”
พุธกันยามองภาพอบอุ่นนั้นด้วยความสะเทือนใจ แล้วหันหลังกลับเดินออกไป

อีกฟาก บุรี และ ขวัญอนงค์ นั่งทานอาหารด้วยกันในร้านหรูแห่งนั้น บุรีกำลังตักอาหารให้ขวัญและพุดคุยกันเบาๆ
พุธกันยายืนมองภาพนั้นด้วยความสะเทือนใจ
ขวัญอนงค์ยื่นหน้าไปกระซิบบุรีเบาๆ บุรียิ้มหัวพยักหน้า พุธกันยาเม้มปาก แล้วหันหลังเดินหายไป

สุดท้ายพุธกันยามาปรากฏตัวขึ้นภายในบริเวณซุ้มพุดซ้อนที่บ้าน เดินมาทรุดตัวลงนั่งทอดสายตามองไปที่ดอกไม้ซึ่งร่วงโรยลงไป
“ชั้นก็เหมือนดอกพุดซ้อนที่ร่วงหล่นจากต้นแล้ว ไม่มีใครที่ไหนจะนึกถึงอีก”

พุธกันยา นั่งนิ่งขึง สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดขมขื่น

ส่วนศวัสมองหอมน้ำอย่างพอใจ ที่เธอตักกินโจ๊กคำสุดท้ายเข้าปาก

เขนถอนใจเฮือก “โล่งใจไปที”
ศวัสเลื่อนแก้วน้ำให้ หอมน้ำไหว้ “ขอบคุณค่ะ” แล้วรับมาดื่ม
“เดี๋ยวชั้นจะโทร.รายงานคุณพ่อคุณแม่ของเธอ ท่านจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“หอมโทรเองก็ได้ค่ะ”
“เธอพักผ่อนเถอะ ชั้นรับปากท่านไว้แล้ว” ศวัสลุกขึ้น “อย่าลืมทานยาแล้วก็วิตามินด้วยล่ะ”
“ค่ะ คุณหมอจะกลับแล้วหรือคะ”
“ใช่ เธอกินโจ๊กหมดแล้วนี่”
ศวัสเดินไปที่ประตู
“คุณหมอคะ”
ศวัสหันหน้ามามอง
“ขอบคุณมากค่ะ” หอมน้ำพนมมือไหว้ เขนไหว้ตาม
ศวัสรับไหว้ “ไม่เป็นไร” ประโยคต่อมาเขาพูดเหมือนจะออกตัว “ชั้นทำตามที่ได้รับปากไว้กับคุณพ่อคุณแม่ของเธอ”
หอมน้ำหรุบตาลง เหมือนจะซ่อนแววผิดหวังและน้อยใจ ในขณะที่เขนค้อนศวัสขวางๆ แกมหมั่นไส้
“แล้วจะมาเยี่ยมอีก หรือถ้าวันไหนไม่ว่างก็จะโทร.มา” ศวัสหันกลับไปจะเดินออก
หอมน้ำสวนทันทีด้วยความน้อยใจ “ไม่เป็นไรค่ะ”
ศวัสชะงักแล้วหันกลับมาพูดเสียงห้วนๆ “ทำไมถึงไม่เป็นไร”
เขนเลี่ยงไปอยู่มุมห้อง ยืนกอดอกมองทางโน้นทีทางนี้ทีตามจังหวะการพูด โดยศวัสกับหอมน้ำก็เหมือนมีอยู่กันแค่สองคนในห้อง
หอมน้ำยังคงน้อยใจ “เพราะดิชั้นดูแลตัวเองได้”
ศวัสแค่นหัวเราะนิดหนึ่ง “โอ๊ะ! “ดิชั้น” นี่ อิน หนัง มากไปหรือเปล่า ขนาดเพิ่งเล่นไปแค่เรื่องเดียว แล้วไอ้ที่บอกว่าดูแลตัวเองได้น่ะ มันไม่ ดราม่า มากไปหน่อยหรือ ชั้นไม่ใช่พระเอกในละคร แล้วเธอก็ไม่ใช่นางเอกเหมือนกัน”
หอมน้ำพยายามฝืนเต็มที่ไม่ให้น้ำตาไหล “หอมก็รู้ตัวดีค่ะ ว่าหอมเป็นแค่เด็กโง่ธรรมดา แถมยังบ้านนอกอีกต่างหาก เดี๋ยวหอมจะโทร.บอกพ่อบอกแม่ว่าอย่าโทร.มารบกวนคุณหมอฟันทันตแพทย์อีก”
ศวัสหงุดหงิดสุดๆ “ดื้อ อวดดี”
ขณะที่ทั้งสองคนเถียงกัน นอกจากเขนจะหันไปทางโน้นที ทางนี้ทีแล้ว ยังมีสะดุ้งตกใจบ้าง เบิกตากว้างบ้าง หรือยกมือทาบอก อุดปาก เป็นไปตามดีกรีความแรงของสองคน บางครั้งก็กลั้นหัวเราะ
หอมน้ำน้ำตาจะหยดเสียให้ได้ “หอมไม่ใช่คุณน้องเอิงนี่คะ”
ศวัสฉุน “น้องเอิงเขามาเกี่ยวอะไรด้วย”
หอมน้ำนิ่งอึ้ง
“ชั้นไม่ชอบให้ไปพาดพิงถึงคนอื่น น้องเอิงเขาอยู่ของเขาดีๆ”
หอมน้ำหันหลังให้ทันที เพราะน้ำตาไหลออกมา
ศวัสเข้าใจผิด “แล้วดูทำสะบัดหน้าสะบัดตาเข้าซิ ยังกับน่ารักนักนี่”
หอมน้ำเม้มปากแน่น น้ำตาร่วง แต่พยายามเชิดหน้าไว้
ศวัสมองแล้วถอนใจแรงอย่างหงุดหงิด ด้วยเข้าใจท่าทางนั้น ว่าหอมน้ำทั้งดื้อทั้งอวดดี แล้วเดินออกไป
พอหอมน้ำได้ยินเสียงประตูปิด ก็หันกลับมามอง น้ำตายังไหลพรากๆ
เขนยังคงกอดอกมอง ก่อนจะส่ายหน้า “ร้องไห้ทำไม”
“คุณหมอฟันทันตแพทย์เข้าใจผิด”
“ก็แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่บอกเขา”
“หอมไม่กล้า”
“งั้นเขนจะไปบอกให้”
หอมน้ำตกใจและรีบห้าม “ไม่ต้อง”
“แล้วจะเอายังไง จะมานั่งร้องไห้เสียใจอยู่อย่างนี้น่ะเหรอ”
หอมน้ำพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้า
“It’s a เวร It’s a กรรม” เขนบ่น
หอมน้ำเดินเข้าห้องน้ำ ไปล้างหน้าล้างตา
เขนส่ายหน้ามองตาม แล้วคว้าโทรศัพท์ตัวเองเดินออกไป

เขนปิดประตูเบาๆ แล้วกดโทร.ออกหาศวัส
“เขนเองค่ะ เขนขออนุญาตเล่าเรื่องหอมให้คุณหมอฟัง คือว่าหอมเขาไม่ได้ดื้อหรืออวดดีอะไรหรอกค่ะ”
เขนพูดค้าง ด้วยหอมน้ำเปิดประตูออกมายืนและส่ายหน้าห้ามไม่ให้เขนพูดต่อ
เขนเลยถอนใจ “แค่นี้ก่อนนะคะ” พลางปิดสายไป
หอมน้ำเดินกลับเข้าข้างใน เขนเดินตามด้วยสีหน้าเซ็งๆ
ส่วนศวัสขับรถมาระหว่างทาง ส่ายหน้าด้วยความหงุดหงิด เมื่อเขนวางโทรศัพท์
“เด็กสมัยนี้เหมือนกันหมด”

เขนเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนแง่งอนใส่
“อย่าโกรธน่าหอม เขนแค่จะอธิบายให้คุณหมอฟันทันตแพทย์ฟัง”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้อง ไม่ต้อง”
“ทำไม”
“เพราะว่าไม่มีประโยชน์”
“รู้ได้ไง”
“รู้ก็แล้วกัน”
“ดราม่า จริงๆ ด้วย เพื่อนเรา”
หอมน้ำขึ้นเตียง ดึงผ้าห่มมาห่มแล้วหลับตาลง
“เขนนอนเป็นเพื่อนมั้ย”
หอมน้ำส่ายหน้าทั้งๆ ที่ยังหลับตา “ไม่ต้อง หอมอยู่คนเดียวได้ ขอบใจจ้ะ”
“แน่ใจนะ”
หอมน้ำพยักหน้า เขนเดินออกไป หอมน้ำยังคงหลับตานิ่งๆ อยู่อย่างนั้น
กลางดึกคืนนั้น ดวงจันทร์ลอยคล้อยเข้ากลุ่มเมฆฝน ซึ่งกระจายอยู่เต็มท้องฟ้า ท้องฟ้าเริ่มร้องครืนครัน ฟ้าแลบแปลบปลาบ
บริเวณซุ้มพุดซ้อนยามนี้ มีชายคนหนึ่ง เพื่อนของลิซซี่ที่เคยแอบเอาอมยิ้มมาวาง แอบเข้าบ้านศวัสมา และกำลังใช้มีดฟันต้นพุดซ้อนทิ้งราวกับโกรธกันมาเป็นร้อยชาติ

ด้านลิซซี่นั่งรออยู่ในรถปิ๊คอัพอย่างหวาดหวั่น คอยเหลียวมองทางโน้นที ทางนี้ที
สุดท้ายยกนาฬิกาขึ้นดู “โฮ้ย เมื่อไหร่จะมาสักที”
ลิซซี่กระสับกระส่าย บางครั้งก็ชะเง้อชะแง้รออยู่ครู่หนึ่ง ตรงหน้าคอนโซลรถมีพระหลายองค์หลายขนาดตั้งไว้ รวมทั้งม้วนสายสิญจน์กันผีเต็มที่ แลดูน่าขัน
จู่ๆ มีมือๆหนึ่งมาแตะที่ไหล่ ลิซซี่ร้องลั่น “ว้าย”
เพื่อนเองก็ร้องด้วยความตกใจที่ลิซซี่ตกใจ “เฮ้ย”
ลิซซี่ทั้งโล่งใจและฉุนที่เห็นว่าเป็นเพื่อน “ไอ้เขียว แกทำชั้นตกใจหมด”
“แล้วเจ๊ร้องทำไมล่ะ เจ๊ร้องผมก็ร้องบ้างน่ะซิ” เขียวอ้อมมาขึ้นรถที่คนขับ “นึกว่าเจ๊เจอผี”
“ไอ้บ้า ชั้นบอกแล้วไงว่าไม่ให้พูดคำนี้ รีบไปเร็ว”
เขียวขับรถออกไปพลางบ่น “ใจคอหายโม้ด”
ลิซซี่ฉุนขาด “แกไม่ได้หายคนเดียว ชั้นก็หายด้วย”

ฝนเริ่มเทสายลงมาแล้ว พุธกันยาซึ่งนอนอยู่บนเตียงลืมตาขึ้นทันที นัยน์ตามีแต่สีดำแลดูน่ากลัว
พุธกันยาลุกขึ้นนั่ง สีหน้าราวกับได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แล้วลุกจากเตียงขึ้นยืนเดินออกไป

พุธกันยาเดินเข้ามาในบริเวณซุ้มพุดซ้อน แล้วต้องชะงักด้วยความตกใจ เมื่อเห็นต้นพุดซ้อนถูกฟันล้มระเนระนาด

พุธกันยากรีดร้องโหยหวนด้วยความโกรธและเคียดแค้น เสียงนั้นผสมปนกับเสียงฟ้าที่ครืนครัน ยิ่งฟังแล้วน่ากลัวน่าสยองขวัญ

อ่านต่อหน้า 4

ใยกัลยา ตอนที่ 12 (ต่อ)

วันทนาสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงทุบประตูและเสียงเรียกของกนกรัตน์ดังลั่นเข้ามา

“วัน! วัน! เปิดประตูเร็ว”
วันทนางัวเงียตื่น “เดี๋ยวค่ะ คุณหนก ไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”
ขณะวันทนาเดินไปเปิดประตู กนกรัตน์ยังคงระดมเคาะประตูร้องเรียกเสียงดัง
วันทนาเปิดประตูออกมาหา “เปิดแล้วค่ะ ลืมหูลืมตาดูบ้างซิคะ”
กนกรัตน์ซึ่งหลับหูหลับตาเคาะและเรียก “วัน ชั้นเห็นคนบุกเข้าบ้านคุณบุรี”
วันทนามองกล้องส่องทางไกลในมืออย่างอ่อนใจ “นี่คุณหนกยังไม่เลิกแอบส่องบ้านคุณบุรีอีกเหรอ”
“เลิกตั้งหลายวันแล้ว พอส่องวันนี้ก็ได้เรื่องเลย ไม่เชื่อชั้นก็ส่องดูซิ”
กนกรัตน์เอากล้องไปที่ตาวันทนา
“โฮ้ย คุณหนกขา ส่องตรงนี้ก็เห็นแต่ฝาบ้านนั่นแหล่ะค่ะ”
“เออ...ใช่ ตามชั้นมา”
กนกรัตน์คว้าแขนวันทนา ลากไปอย่างใจร้อน
“วันเดินไปเองได้ ไม่ต้องลาก”
วันทนาโวยวาย ขณะกนกรัตน์ลากไป

กนกรัตน์ลากวันทนามาจนถึงริมหน้าต่างในห้องนอนตัวเองแล้วยัดกล้องใส่มือวันทนา
“เอ้า ส่องดู”
วันทนาส่องดูอย่างเสียไม่ได้ มองไปทางไหนเห็นแต่ฝนหนาเม็ด
“เห็นมั้ย...เห็นมั้ย” กนกรัตน์พูดเป็นเชิงว่า ”เห็นมะชั้นบอกแล้ว”
วันทนาส่งกล้องคืนให้ “ไม่เห็นค่ะ เห็นแต่ฝน ซึ่งไม่ต้องส่องก็เห็น”
“อ้าว ฝนตก แต่เมื่อกี้ฝนไม่ได้ตก”
“แต่ตอนนี้ตกแล้ว ตกหนักเสียด้วย” วันทนาดึงม่านปิด “ไปนอนเถอะค่ะ อากาศเย็น ห่มผ้าด้วย เดี๋ยวจะเป็นหวัด”
กนกรัตน์ทำตาม ขณะวันทนาเดินมาช่วยคลี่ผ้าห่มคลุมให้
“คุณหนกสาบาน”
วันทนาเอ็ด “จุ๊ ห้ามสาบี้สาบานค่ะ ยิ่งฝนตกหนักอย่างนี้ยิ่งห้ามสาบี้สาบาน”
“คุณหนกขอยืนยัน”
“นอนยันได้แล้วค่ะ วันก็จะไปนอนบ้าง”
วันทนาหาวหวอดๆ เดินไปที่ประตู เปิดออกไป แล้วปิดเบาๆ โดยไม่ลืมกดล็อค
กนกรัตน์มองตามด้วยสีหน้าหงุดหงิด “พูดอะไรไม่เคยเชื่อเล้ย หนอย ไอ้เรายืนยันมันจะให้นอนยัน”
นอนครู่หนึ่ง กนกรัตน์ก็สลัดผ้าห่มออก แล้วหยิบกล้องส่องทางไกลลุกเดินไปส่องดูแล้วดูอีก แต่ฝนยังตกหนาเม็ด

เช้ามืด บุรีท้าวสะเอวมองตามที่คนสวนรายงานอย่างหงุดหงิด ศวัสยืนนิ่ง ขณะที่เยาวภาลอบยิ้มเยาะท่าทีสะใจ พุธกันยาเบือนหน้ามาเห็นพอดี มองอย่างโกรธขึ้ง
“นังเยาว์”
“ยังดีนะคะ ที่มันไม่ได้เข้าไปในบ้าน”
“ให้มันเข้าไปขโมยของยังดีกว่า มาฟันต้นพุดซ้อนพวกนี้” บุรีว่า
เยาวภาหันมามองตาขวางแวบหนึ่ง ขณะที่พุธกันยามองบุรีด้วยความตื้นตันใจ
บุรีพูดเหมือนพูดกับตัวเอง “กัลยาเขารักดอกพุดซ้อนมาก”
“คงต้องติดกล้องวงจรปิดไว้แถวนี้ด้วยแล้ว” ศวัสว่า
บุรีพยักหน้า
“เดี๋ยวเราไปจตุจักรกันดีไหมครับ คุณพ่อ ไปซื้อต้นพุดซ้อนมาปลูกใหม่”
“แล้วลูกไม่ไปทำงานหรือ”
“เดี๋ยวผมโทร.ไปให้เพื่อนมาแทนได้ครับ”
บุรียังคงมองต้นพุดซ้อนที่ถูกฟันอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
“พ่อไม่เข้าใจเลย”
ศวัสบอกกับคนสวน “เดี๋ยวเก็บกวาดแถวนี้ให้สะอาด”
“ครับ”
“เข้าข้างในเถอะครับ”

บุรีเดินนำเข้าบ้านไป ตามด้วยศวัส เยาวภาและแจ่ม

กนกรัตน์ยืนมองเหตุการณ์อยู่ในห้องนอนชั้นบน ก่อนจะลดกล้องลง สีหน้าแววตายังตื่นเต้น ขณะผละจากหน้าต่างวิ่งออกไปจากห้อง

ร้องสียงดัง “วัน! วันทนา”
วันทนากำลังทำอาหารเช้าอยู่ในครัว ถอนใจเฮือกทันทีที่ได้ยินเสียงผู้เป็นนายมาก่อนตัว
“วัน วันเอ๊ย วันทนา วันทนา”
วันทนาหันกลับมาในจังหวะเดียวกับที่กนกรัตน์เข้ามาพอดี
“วันทนา” กนกรัตน์เหนื่อยหอบ
“เจอผีอีกหรือคะ”
“ไม่ใช่ จำ...จำเรื่องที่ชั้นบอกเมื่อคืนได้มั้ย ที่ว่ามีคนบุกรุกเข้าไปในบ้านคุณบุรีน่ะ ปรากฏว่าเป็นความจริง เมื่อกี้ชั้นส่องกล้องดู”
วันทนาเอือม “เอาอีกแล้ว”
“ต้นไม้หลังบ้านคุณบุรีถูกโค่นเกลี้ยงเลย” หน้าตาท่าทางกนกรัตน์แน่วนิ่งจริงจังมาก “จริง”

ภายในห้องรับแขก ขณะที่ศวัสกับบุรีกำลังปรึกษากันเงียบๆ พุธกันยานั่งคิดอยู่มุมหนึ่ง
กนกรัตน์พรวดพราดเข้ามา ติดตามด้วยวันทนาซึ่งพยายามห้าม
“คุณบุรีคะ คุณบุรี”
“คุณหนก กลับบ้านเถอะค่ะ”
ทั้งหมดหันมามอง
“ต้องขอประทานโทษด้วยนะคะ” วันทนาไหว้ขอโทษ
กนกรัตน์โพล่งขึ้น “คุณหนกเห็นคนที่บุกรุกเข้ามาในบ้านคุณเมื่อคืนนี้ค่ะ”
“ใครหรือครับ” บุรีฉงน
พุธกันยาเอ่ยขึ้นเป็นเชิงถามโดยไม่มีใครได้ยินว่า “นังสุรีย์ ช้อยนิ่ม ใช่ไหม”
ศวัสเชื้อเชิญ “เชิญนั่งก่อนครับ คุณป้า”
“คุณอาก็พอมั้ง แต่จะให้ดี เรียกคุณหนก เวิร์คสุด”
“คุณหนกเห็นคนที่บุกรุกเข้ามาในบ้านผมหรือครับ” ศวัสถาม
“ใช่ค่ะ มันมาคนเดียว”
“นังสุรีย์ ช้อยนิ่ม ใช่ไหม” พุธกันยาพยายามถามอีก
“พอมาถึง มันก็ฟันเอา ฟันเอาเลยค่ะ คุณหนกพยายามจะซูมหน้ามันเข้ามา แต่พอดีฝนตกเสียก่อน”
วันทนาเกรงใจมาก “ต้องขอประทานโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษครับ คุณหนกช่วยเราได้มาก”
“ยังมีอีกค่ะ คุณหนกคลับคล้ายคลับคลาว่า เห็นรถกระบะจอดอยู่เยื้องๆ บ้านคุณบุรี”กนกรัตน์บอกอีก
“คุณป้า เอ๊ย คุณหนก พอจะจำทะเบียนรถ...”
ศวัสพูดไม่ทันจบ กนกรัตน์ก็สวนออกมา “รู้สึกว่าจะไม่ได้ติดป้ายทะเบียนค่ะ”
“ชั้นมั่นใจว่าต้องเป็นนังสุรีย์ ช้อยนิ่ม แน่ๆ” พุธกันยาบ่นบ้า

หอมน้ำนั่งเอนพิงหมอนที่วางซ้อนกันอยู่บนเตียง มือหนึ่งถือหนังสืออ่าน อีกมือหนึ่งถือยาดม สักครู่หนึ่ง แล้วมีไอเย็นลอยออกมาจากลมหายใจ หอมน้ำวางหนังสือลง แล้วกวาดตามองไปโดยรอบ
“คุณพุธหรือคะ”
“จะมีใครเสียอีกล่ะ”
หอมน้ำหันไปมองทางเสียง เห็นพุธกันยายืนกอดอกอยู่ใกล้หน้าต่างตรงหัวเตียง
“เป็นยังไงบ้าง”
“ค่อยยังชั่วขึ้นแล้วค่ะ คุณพุธล่ะคะ”
“ชั้นมาขอบใจเธอ ที่ช่วยให้ชั้นได้พูดได้คุยกับลูกกับสามี พอได้ชุ่มชื่นใจบ้าง”
หอมน้ำยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ”
พุธกันยาเดินมานั่งตรงปลายเตียง “หอมน้ำ ชั้นตั้งใจว่าจะไปตามทางของชั้นเสียที”
“หอมดีใจด้วยค่ะ ที่คุณพุธจะได้ไปสู่สัมปรายภพ”
พุธกันยาถอนใจเฮือกใหญ่ “เอาเข้าจริงๆ ชั้นก็ยังไม่รู้เลยว่า สัมปรายภพน่ะอยู่ที่ไหน อาจจะเป็นเพราะชั้นยังมีห่วงอยู่”
พุธกันยาลุกขึ้นยืน หอมน้ำเงยหน้ามองตาม
“ถึงเวลาที่ต้องบอกลากันเสียที” พุธกันยาอ้าแขนออก “ขอกอดหน่อยได้ไหม”
“ได้ซิคะ”
พุธกันยายิ้มชื่น แล้วมองไปเห็นสร้อยพระของหอมน้ำ หอมน้ำรู้ก้มมองตาม แล้วถอดสร้อยพระออกช้าๆ
พุธกันยานัยน์ตาลึกลับมีประกายประหลาดขณะมอง หอมน้ำวางสร้อยพระไว้ที่หัวนอน แล้วหันมายิ้มกับพุธกันยา ที่เดินเข้ามาใกล้แล้วโอบกอดหอมน้ำ
ทั้งสองร่างกลืนเข้าเป็นร่างเดียวกัน
หอมน้ำร่างกระตุกนิดหนึ่ง แล้วเดินไปที่กระจก มองดูเงาของตนเองที่สะท้อนออกมา แล้วเบิกตากว้าง เมื่อพบว่าร่างพุธกันยาซ้อนอยู่กับร่างตัวเอง
“ขอโทษทีนะหอมน้ำ ที่ชั้นต้องเปลี่ยนความตั้งใจที่จะไม่สิงร่างเธออีกต่อไป ชั้นยังมีอีกหลายอย่างที่จะต้องจัดการ”
วิญญาณพุธกันยาเลือนหายเข้าไปในร่างหอมน้ำ แล้วยิ้มในขณะที่หอมน้ำยังคงมองและเบิกตากว้างตะลึงตะไลอยู่อย่างนั้น

ที่ออฟฟิศชิดขอบบันเทิง กองบรรณาธิการปั่นต้นฉบับกันอยู่ ภายในห้องทำงานวดี เอิงกับลิซซี่กำลังหัวเราะชอบอกชอบใจ ในขณะที่วดีมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
“อ้าว ป้าขา ทำไมป้าไม่หัวเราะกับพวกเราล่ะคะ ที่พวกเราแกล้งผีได้สำเร็จ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทั้งสามคนหันไปมอง
“เข้ามา”
ประตูเปิดออก มีนักข่าวชายยืนอยู่ สีหน้ายิ้มแย้ม
“มีดารามาพบบอสครับ”
สามคนถามพร้อมกัน “ใคร”
นักข่าวเบี่ยงตัวหลบ เผยให้เห็นหอมน้ำยืนยิ้มเยือกเย็นอยู่ ทั้งสามคนสะดุ้ง
“อยู่กันพร้อมหน้าเลย” หอมน้ำหันมาทางนักข่าว “ขอบคุณค่ะพี่”
“ยินดีครับ”
หอมน้ำก้าวเข้ามาแล้วปิดประตูปัง ทั้งสามคนสะดุ้งพร้อมเสียงนั้น
“จะไม่เชิญให้ชั้นนั่งหรือ”
เอิงถามท่าทีไม่มั่นใจ “แกเป็นผีหรือเป็นคน”
วดีปราม “น้องเอิง”
“ก็แล้วแต่เธอจะอยากให้เป็น”
ลิซซี่กระโดดไปหลบหลังวดี “แบบนี้ผีแน่เลยค่ะ”
“น้องเอิงเปิดก่อนล่ะนะคะ” เอิงรีบไปที่ประตู
ลิซซี่โกยแนบอีกคน “รอพี่ลิซซี่ด้วยค่ะ”
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป”
วดีพูดไม่ทันจบ เอิงกับลิซซี่ออกไปแล้ว หอมน้ำเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

“ทีนี้ก็เหลือแค่เราสองคน”

วดีสูดลมหายใจลึกๆ เรียกความเข้มแข็งให้ตัวเองก่อนถามขึ้นว่า

“ต้องการอะไร”
“ทำไมต้องไปทำลายดอกไม้ของชั้นด้วย”
“ดอกไม้บ้าบออะไรของแก ชั้นไม่รู้เรื่อง”
หอมน้ำตวาด “โกหก”
วดีดึงสร้อยพระออกมาจากคอ หอมน้ำชะงักไปนิดหนึ่ง
“ไปให้พ้น”
หอมทรุดตัวลงนั่งด้วยท่าทางแบบทองไม่รู้ร้อน วดีมีสีหน้ามั่นใจขึ้น
“แกจะอวดดีกับชั้นเรอะ นังผีบ้า” วดีชูพระขึ้น “นี่เห็นมั้ย พระพวงเบ้อเริ่มเลย”
หอมน้ำเอนตัวพิงพนักในท่าสบาย ขณะที่วดีก้าวเข้ามาใกล้หยุดตรงหน้าแล้วดึงสร้อยออกมา
“ชั้นจะเอาวิญญาณของแกไปขังไว้ในหม้อ ไม่ให้ไปผุดไปเกิด”
“ดูหนังแม่นากหลายเว่อร์ชั่นไปมั้ง”
วดีสวมสร้อยลงบนคอหอมน้ำ ในขณะที่หอมน้ำคออ่อนคอพับหมดสติไป
วดีสะใจ “ถึงกับสลบไปเลยเรอะ นังกัลยา”
หอมน้ำลืมตาขึ้น เบิกตามองวดีอย่างประหลาดใจ
“คุณวดี”
“แก”
หอมน้ำก้มลงมองสร้อยแล้วจับขึ้นมา “นี่สร้อยของใครคะ”
วดีงง “แก ไม่กลัวพระเรอะ”
หอมน้ำงงกว่า “กลัวพระ”
“ก็แกเป็นผี”
หอมน้ำสะดุ้ง “ผี...ผีที่ไหนคะ นี่หอมเองค่ะ”
“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย”
หอมน้ำขยับจะลุกขึ้น แต่แล้วก็ซวนเซนั่งลงอีก
“หอมมาที่นี่ได้ยังไงคะ”
วดีดูออกทันที “นังผีบ้ามันพาแก เอ๊ย! เธอมาน่ะซิ เอาสร้อยของชั้นคืนมา”
หอมน้ำถอดสร้อยออก กำพระยกมือไหว้ แล้วส่งคืนให้วดี “นี่ค่ะ”
วดีมองหอมเพ่งพิศ “นี่ไม่รู้ตัวจริงๆ หรือว่ามาที่นี่ได้ยังไง”
“ค่ะ หอมจำได้ว่า หอมนอนพักอยู่ในห้อง”
หอมน้ำนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่พุธกันยามาลาแล้วขอกอด
“แล้วยังไงอีก” วดีซัก
หอมน้ำลุกขึ้นแล้วซวนเซเล็กน้อย “หอมต้องขอตัวกลับก่อนค่ะ”
“เดี๋ยวซิ เล่าให้ชั้นฟังให้จบก่อน”
“ไม่มีอะไรแล้วค่ะ”
หอมน้ำขยับจะเดิน แต่ก็ดูกระปลกกระเปลี้ยไม่มีแรง
วดีตามจับแขนแล้วดึงไว้ “บอกว่าอย่าเพิ่งไป”
จู่ๆ มีเงาดำ ซ้อนชัดขึ้นแล้วกลืนเป็นร่างเดียวกับหอมน้ำ โดยตอนนี้มี 2 วิญญาณในร่างหอมน้ำ ซึ่งพุธกันยาครอบครองเป็นส่วนใหญ่ แต่พอมีอันตรายก็จะหลบไปให้หอมน้ำออกมาแทน
จังหวะนี้นัยน์ตาหอมน้ำกลายเป็นสีขาวโพลนทั้งหมด สะบัดวดีจนกระเด็นออกไปก่อนจะหันขวับมา นัยน์ตายังเป็นสีขาวทั้งหมดและพูดด้วยเสียงพุธกันยาว่า
“แกไม่ควร ทำให้ชั้นเปลี่ยนใจกลับมาอีก”
หอมน้ำเปิดประตูเดินออกไป วดีเบิกตากว้างมองตามอย่างงุนงง

หอมน้ำก้าวออกมาหน้าห้องวดี ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่หันมามองเป็นตาเดียว รวมทั้งลิซซี่กับเอิงซึ่งนั่งเม้าท์กันอยู่มุมหนึ่ง หอมน้ำเดินออกไปโดยไม่มองใคร
เอิงฉุนค้อนควัก “เฮอะ ทำเป็นหยิ่ง”
ลิซซี่ปราม “จุ๊ เบาหน่อยค่ะ คุณน้อง”
“ทำไม พี่ลิซซี่กลัวมันเหรอคะ”
“ลำพังหอมน้ำไม่กลัวหรอกค่ะ แต่กลัวอีกคน อุ๊ยตายแล้ว เพิ่งนึกได้ เข้าไปดูคุณวดีก่อนเถอะค่ะ”
ทั้งสองคนรีบเดินกลับเข้าไปในห้องวดีทันที

วดีเหยียดแขนที่กระแทกพื้น พลิกทายาหม่อง
“ป้าขา เป็นอะไรหรือคะ” เอิงถาม
วดีฉุน “หายหัวไปไหนกันมา พวกแกนี่ใช้ไม่ได้ มีแต่เอาตัวรอด”
เอิงทำตาแบ๊วใส่ “อ้าว ป้าขาป้า นั่นเป็นธรรมชาติของมนุษย์นะคะ ทุกคนก็ต้องเอาตัวรอดกันทั้งนั้น”
ขณะเอิงพูด ลิซซี่คอยพยักพเยิดเห็นด้วยตลอดเวลา
“ว่าแต่เมื่อกี้มันผีหรือคนกันแน่คะ”
วดีนิ่งคิดครู่หนึ่ง “อาจจะเป็นคนบ้าก็ได้” พูดแล้วชะงักนิดหนึ่งแล้วยิ้มออกมาอย่างนึกขึ้นได้

“รู้แล้วว่าชั้นจะทำยังไง”

เช้าวันนี้ เพลินพิศถือหนังสือพิมพ์ ชิดขอบบันเทิง สีหน้าตื่นเต้นเข้ามาในห้องรับแขกคอนโดขวัญอนงค์

“อาขวัญ...อาขวัญ เห็นข่าวหน้าหนึ่งหนังสือ ชิดขอบบันเทิง วันนี้หรือยังคะ เล่มอื่นก็พร้อมใจกันลงทุกฉบับเลย”
“อ่านแล้ว”
เพลินพิศวางหนังสือพิมพ์ลง เห็นพาดหัวข่าวตัวใหญ่ “นางเอกใหม่บุกอาละวาด บก. ใหญ่ตกใจ แต่ก็ให้อภัย”
“ไม่รู้เขาเป็นบ้าอะไร” เพลินพิศบ่น
ขวัญอนงค์ครุ่นคิด “บางที...อาจจะไม่ใช่หอมน้ำ”
เพลินพิศลดเสียงเบาลงสีหน้ายังหวาดๆ “พุธกันยาหรือคะ”

ข่าวหอมน้ำกลายเป็นข่าวดังประจำวัน ศวัสจึงไปรับตัวห้องน้ำที่หอพัก พามาหลบนักข่าวที่บ้าน และเปิดประตูรถพาหอมน้ำเข้ามาภายในห้องรับแขก สภาพหอมหน้าตาอมทุกข์ซีดเซียว
“หลบอยู่ที่นี่ก่อน โทรศัพท์ปิดหรือยัง”
“ปิดแล้วค่ะ”
ศวัสพยักหน้า “ดี แล้วเขนจะมาเมื่อไหร่”
“พบอาจารย์เสร็จก็จะตามมาค่ะ”
เสียงเยาวภาดังเข้ามา “จะรับอาหารเช้าหรือเปล่า”
ทั้งสองคนหันไปมอง หอมน้ำถึงกับสะดุ้ง เพราะเยาวภาเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
ศวัสถามหอมน้ำ “หิวหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ”
“ไม่หิวก็ต้องกิน” ศวัสหันไปทางเยาวภา “ขอเป็นข้าวต้มนะครับ น้าเยาว์”
“ค่ะ แล้วของคุณหนูล่ะคะ”
“เหมือนกันครับ”
บุรีเดินเข้ามา สีหน้าเหมือนรู้เรื่องดีอยู่แล้ว เยาวภาเดินกลับเข้าไปเตรียมอาหารด้วยสีหน้าเย็นชา
“มากันแล้วหรือ”
หอมน้ำไหว้บุรี บุรีรับไหว้แล้วมองหอมน้ำอย่างเพ่งพิศแวบหนึ่ง
“คงจะต้องหลบอยู่ที่นี่สักพักนึงนั่นแหละ เมื่อเช้าคุณพ่อคุณแม่เขาโทรศัพท์มาหาศวัส ก็เลยรู้เรื่องกันหมด”
หอมน้ำน้ำตาคลอ “หอมเลยทำให้เดือดร้อนกันไปหมด”
“ชั้นเชื่อว่าเธอไม่ได้เป็นคนทำ ชั้นกับคุณพ่อจะรับผิดชอบทุกอย่าง”
หอมน้ำถอนใจยาวเพราะทุกข์เหลือเกินแล้ว

เจคอยู่ในห้องทำงาน เดินกลับไปกลับมาอย่างร้อนใจ พยายามโทรศัพท์ตลอด แต่ก็มีเพียงเสียงให้ฝากข้อความ
“เป็นบ้าอะไรกันไปหมด”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เป็นคัมภีร์เปิดเข้ามา
“คัมภีร์มาพอดี”
คัมภีร์มองโทรศัพท์ในมือเจคแวบหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “คุณเจคจะไปดูที่หอพักไหมครับ”
“ไปซิ”
ทั้งสองคนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

ด้านนอกอาคารชิดขอบบันเทิง มีนักข่าวบันเทิงสำนักต่างๆ มารอสัมภาษณ์วดีเต็มไปหมด ภายในเห็นวดีกำลังแต่งหน้าแต่งตา เติมแป้งเติมปาก จัดทรงผมโดยเพลินพิศกับลิซซี่
ลิซซี่หยิบลิปสติกสีแดง “เอาสีนี้ไหมคะ สีแดงแปร๊ดเลย คุณวดีทาแล้ว คื้น...น...ขึ้น”
“จะบ้าเหรอยะ พี่วดีต้องเล่นบทผู้ใหญ่ใจดีมีเมตตากรุณา มุทิตา อุเบกขา เพราะฉะนั้นควรทาสีนู้ด” เพลินพิศบอก
ประตูเปิดผลัวะเข้ามา เอิงสีหน้าตื่นเต้น
“ป้าขา อ้าว พี่ลิซซี่ มาหมกกันอยู่ในนี้หมดเลย”
“มาช่วยกันแต่งหน้าให้คุณป้าค่ะ เดี๋ยวจะต้องออกไปให้สัมภาษณ์นักข่าว” เพลินพิศบอก
“มากันเยอะมั้ย” วดีถาม
“เรียกว่ามืดฟ้ามัวดินเลยล่ะค่ะ”
“ตอนที่พี่เพลินมาถึงก็เยอะมากแล้วค่ะ เห็นบอกว่าตามตัวหอมน้ำไม่เจอมือถือปิด หนังยังไม่ทันฉาย แม่นี่ก็สร้างกระแสฉาวโฉ่แล้ว เพลินกลั๊ว...กลัว กลัวคนจะไม่ดู”
“ดี สมน้ำหน้า อยากมาแย่งบทน้องเอิงเล่น”
“สวยจังเลยค่ะ พี่วดี” เพลินพิศถอยออกมามอง
วดียกกระจกเล็กๆ ขึ้นดูอย่างพอใจ “พี่ออกไปแล้วนะ”
“ค่ะ เพลินจะออกไปยืนเป็นแบ็คกราวน์ ให้ ไปด้วยกันนะคะ น้องเอิง พี่ลิซซี่”
ทั้งหมดพากันออกไป

หอมน้ำยืนอยู่ในโถงบ้าน ทอดสายตามองออกไปภายนอก ศวัสเดินเข้ามา
“มาอยู่ที่นี่เอง เป็นอะไรหรือเปล่า”
หอมน้ำเบือนหน้ากลับมาช้าๆ “นี่แม่เอง”
ศวัสชะงักไปเล็กน้อย
“ไม่ดีใจหรือลูกที่แม่กลับมาหา”
“ผมคิดว่า คุณแม่...เอ้อ...ช่างเถอะครับ”
“แม่ถูกกลั่นแกล้งจนต้องกลับมาอีก แม่ยังไปไหนไม่ได้ตราบใดที่หัวใจยังไม่สงบ”
ศวัสมีสีหน้ากังวล
“ลูกเป็นห่วงหอมน้ำเหรอ” พุธกันยาน้อยใจนิดๆ
“ผม...”
หอมน้ำยิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วงเขาหรอก หอมน้ำจะไม่เป็นอะไร แม่แค่อาศัยร่างเขาเป็นครั้งคราวเท่านั้น”
ศวัสมีสีหน้าจริงจังขึ้น “คุณแม่ครับ”
หอมน้ำมองศวัสอย่างตั้งใจฟัง
ศวัสลังเลเล็กน้อยแล้วตัดสินใจพูดออกมา “สิ่งที่คุณแม่ทำอยู่นี่มัน...ผิดธรรมชาติ”
หอมน้ำหน้าเสีย “ศวัส”
“ผมอยากให้คุณแม่ใช้เหตุผล”
“พอที”
หอมน้ำหันหลังเดินออกไป ศวัสมองตามอย่างหนักใจ

หอมน้ำเดินเข้ามาในห้องพุธกันยา แล้วปิดประตูลง หอมน้ำทิ้งตัวพิงประตู หลับตาลงด้วยความอาดูรครู่หนึ่ง แล้วจึงลืมตาขึ้น
หอมน้ำเดินไปที่หน้ากระจกเงา ภาพสะท้อนในกระจก กลับเป็นหอมน้ำซึ่งมองไปรอบๆ ด้วยความหวาดกลัว
เสียงพุธกันยาดังขึ้น “หอมน้ำ”
หอมน้ำในกระจกชะงัก หันขวับมามองตามเสียงเรียก แล้วต้องยกมือปิดปาก ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดๆ ผู้ที่อยู่หน้ากระจกกลับกลายเป็นพุกันยา
“คุณ...คุณพุธ”
พุธกันยายิ้ม “หอมน้ำ”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ หอม...หอมอยู่ที่ไหน”
“เธอก็ยังอยู่ในร่างนี้นั่นแหละ แต่พื้นที่ของเธอเหลือน้อยเต็มทีแล้ว อีกไม่นาน ชั้นก็จะได้ครอบครองร่างของเธอทั้งหมด”
“ไม่...ไม่จริง”
“เธอจะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน แล้วก็จางหายไปในที่สุด”
หอมน้ำปิดหน้าร้องไห้
พุธกันยาพูดด้วยสีหน้าจริงใจ “ชั้นต้องขอโทษเธอจริงๆ ชั้นไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้เลย แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วเหลือเกิน นับตั้งแต่มุกเม็ดนั้นกระเด็นเข้าปากเธอ”
หอมน้ำชะงักแล้วเอามือออกจากหน้า “อะไรนะคะ”
“จำวันนั้นได้ไหม วันที่เราพบกันครั้งแรก แล้วเธอสามารถเห็นชั้นได้ด้วยจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ของเธอ แล้วไข่มุกเม็ดนั้นได้เปิดทางให้ชั้นเข้าสิงในตัวเธอได้”
หอมน้ำนิ่งคิด นึกถึงเหตุการณ์ที่หอมน้ำตกใจสะดุดหกล้มเพราะรีบร้อน จนกล่องเครื่องประดับตกกระจาย แล้วไข่มุกกระเด็นเข้าปาก
“มุกเม็ดนั้น” หอมน้ำรำพึง
“มันเป็นเครื่องประดับของชั้น เมื่อรวมกับซิกส์เซ้นส์ที่เธอมี ทุกอย่างมันประจวบเหมาะกันหมด”
หอมน้ำทรุดลงนั่งอย่างหมดแรง
“ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น ชั้นจะดูแลรักษาร่างของเธอให้ดีที่สุด”
พุธกันยาหันหลังกลับเดินออกไป
หอมน้ำก้าวออกมาจากกระจก ตามออกไปทั้งที่ประตูปิดอยู่ พุธกันยาต้องเปิดประตูออกไป

หอมน้ำก้าวผ่านประตูออกมา แล้วเบือนหน้าหันไปมอง หอมก้มลงมองตัวเอง แล้วเบือนหน้ากลับไปมองอีกที
หอมน้ำน้ำตาไหลออกมาด้วยความตกใจและหวาดกลัวที่จู่โจมเข้ามาอีกครั้ง
แจ่มเดินขึ้นมา พร้อมเครื่องมือทำความสะอาด
“พี่แจ่ม” แจ่มฮัมเพลงโดยไม่มีท่าทีว่าจะเห็น หอมน้ำเรียกอีกดังขึ้น “พี่แจ่ม”
หอมน้ำพูดพลางขยับเข้าขวางหน้าเพื่อให้แจ่มเห็น ทว่าแจ่มเดินทะลุผ่านไปเลย หอมน้ำเบิกตากว้างแล้วมองตาม ร้องไห้โฮออกมา

“ชั้นเป็นผีแล้วจริงหรือนี่”

อ่านต่อตอนที่ 13
กำลังโหลดความคิดเห็น