ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 17
ลิเกคณะฟ้าประทาน บุตรแดนสรวง ปิดวิกเปิดการแสดงติดต่อกันมาหลายคืนแล้ว คืนนี้ เจ๊ทรงงามนั่งหงอย เพราะขายตั๋วไม่ออก คนดูน้อยกว่าทุกคืน มีเสียงดังมาจากในวิกลิเก บอกให้รู้ว่าลิเกเล่นแล้ว
จังหวะนี้รถหรูคันงามของเสี่ยเต๊กแล่นมาจอดไม่ไกลจากโต๊ะขายตั๋ว
“อุ๊ยตาย แม่ยกที่ไหนเนี่ย รวยน่าดู”
เจ๊ทรงงามกุลีกุจอไปต้อนรับเจ้าของรถคันงาม เสี่ยเต๊กลงจากรถ หน้าตาขึงขัง ไม่เป็นมิตร
“ที่แท้ก็พ่อยก ตั๋ว 3 ใบนะจ๊ะ แถวหน้าสุดเลยน้า ได้ดูลิเกแบบใกล้ชิดติดขอบเวที”
พวกเสี่ยเต๊กจะลุยเข้าวิกลิเกเลย
เจ๊ทรงงามไม่พอใจ ร้องบอก “ซื้อตั๋วก่อนสิ แหมมม...ขับรถหรู แต่กะจะดูฟรี”
เสี่ยเต๊กไม่สบอารมณ์ ควักเงินฟาดหัวเจ๊ทรงงามไป 1 พันบาท
“พอมั้ย”
“พอเหลือๆ จ้ะ” เจ๊ยิ้มแฉ่งเก็บแบงค์พันไปใส่กล่องเงินค่าตั๋ว
พวกเสี่ยเต๊กเข้าวิกลิเกไป
เสี่ยเต๊กและสมุน เข้ามาในวิกลิเก พบว่ามีคนดูหรอมแหรม ส่วนบนเวที ฟ้าประทาน เก๋ และลิเกชาย 1 คน กำลังเล่นลิเก
ฟ้าประทานกับชาย 1 เล่นบทชิงนาง ต่อสู้ ฟันดาบกัน เก๋ร้องลิเกห้าม
เบิ้มกับพลเดินไล่ดูหน้าคนดูทีละคน หาตัวพร้อมพงศ์
“เฮ้ย หาแบบนี้เสียเวลา”
ขาดคำเสี่ยเต๊กนำลูกน้องขึ้นเวที ทั้งที่ลิเกยังเล่นอยู่
ฟ้าประทานบอกดีๆ “คนดูห้ามขึ้นมาครับ”
เสี่ยเต๊กไม่สน อยู่บนเวที กวาดตาดูข้างล่างทั่วๆ ว่าเฮียพงศ์แอบอยู่ตรงไหน ฟ้าประทานโดนเสี่ยเต๊กขึ้นมารบกวน เลยต้องหยุดเล่นลิเก
“เชิญลงไปครับคุณ”
เสี่ยเต๊กไม่สนใจฟัง หันมาคุยกับลูกน้อง “เฮียพงศ์อาจเห็นเรา เข้าไปซ่อนหลังเวที”
เบิ้มกับพลรู้งาน เข้าไปหาที่หลังเวที
ฟ้าประทานร้องห้ามออกมาทันที “เข้าไปไม่ได้”
เบิ้มกับพลเดินกร่างเข้ามาหลังเวที ฟ้าประทานตามมาติดๆ ตุ้มกับพวกลิเกกำลังซ้อมร้องรำ เตรียมออกโรง
“นี่คณะผม คนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ห้ามเข้าหลังเวที”
เบิ้มกับพลไม่สนใจฟังคำพูดฟ้าประทาน เดินไปแหวกดูตามราวแขวนชุดลิเก พากันรื้อชุด โยนลงพื้น เผื่อพร้อมพงศ์ซ่อนอยู่หลังราวแขวน
“เดี๋ยวคริสตัลที่ปักก็หลุด” ตุ้มทั้งตกใจทั้งโมโห
“พวกแกเป็นใคร มาหาอะไร” ฟ้าประทานโกรธแล้ว
“เฮียพงศ์ไม่อยู่”
พลหันไปบอกเบิ้ม สองคนกลับไปหน้าเวที ฟ้าประทานกับตุ้มตามออกไปเอาเรื่อง
เบิ้มกับพลออกมาจากหลังเวที ฟ้าประทานกับตุ้มตามมาติดๆ
“เกิดชุดลิเกเสียหาย พวกแกต้องชดใช้” ตุ้มโวย
“เฮ้ย ลงเวทีไปได้แล้ว จะเล่นต่อ” ฟ้าประทานไล่
เสี่ยเต๊กหันมา “ไม่เคยมีใครกล้าไล่เสี่ยเต๊ก”
“ไม่ลงใช่มั้ย”
ฟ้าประทานยัวะเงื้อดาบในการแสดง ทำท่าขู่จะฟันเสี่ยเต๊ก แต่เบิ้มชักปืนออกมา ยิงปืนขึ้นฟ้าขู่ ปัง ! พอสิ้นเสียงปืน ทั้งบนและล่างเวทีก็วงแตกกระเจิง พวกลิเกหนีเข้าหลังเวที ส่วนคนดูข้างล่างกรูกันวิ่งหนีออกจากวิกลิเก สวนกับเจ๊ทรงงามที่วิ่งเข้ามาดู ว่าเกิดอะไรขึ้น
เจ๊ทรงงามตะลึง เมื่อเห็นเบิ้มถือปืนอยู่บนเวทีร้องลั่น “ว้าย” แล้ซรีบก้มหลบ
“อย่าริบังอาจกับเสี่ยเต๊ก” เสี่ยคำราม
ฟ้าประทานป๊อด กลัวตาย “ผมขอโทษครับเสี่ย ไม่รู้ว่าเสี่ยของจริง”
เสี่ยเต๊กทำหน้าเหี้ยมจะลงจากเวที ดันสะดุดสายไฟ จนตกเวที โครม !
เบิ้ม กะพลร้องอุทานประสานเสียง “เสี่ย”
เสี่ยเต๊กนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นหน้าเวที เบิ้มกับพลรีบพยุงเสี่ยขึ้น ไม่มีใครกล้าหัวเราะ
เสี่ยเต๊กลุกเดินหลังเดี้ยงให้สมุนประคองออกไป
คืนเดียวกันชาวคณะปรึกษาหารือกันเรื่องหาเงินรักษากำจายที่ถูกตรวจพบว่าเป็น ติ่งเนื้อที่เส้นเสียง
“ถ้าน้ากำจายเป็นมะเร็งที่เส้นเสียง ก็ต้องรักษากันยาว ใช้เงินเป็นแสน” โก่งเอ่ยขึ้น
“โอ้โห เงินตั้งแสน บ้านเราข้าวสารกรอกหม้อยังแทบไม่มี” โก๊ะว่าตามสภาพ
ครูเทียมเอ่ยขึ้น “ข้าจะขายรถตู้คณะ”
หลงท้วง “ได้เงินไม่เท่าไหร่หรอกครับครู เก็บรถไว้ใช้คุ้มกว่า ครูครับ ผมขอไปเล่นลิเกข้างถนน เหมือนพวกนักแสดงเปิดหมวก เป็นอาชีพสุจริต ไม่ต้องลงทุนด้วย”
“ที่เอ็งพูดถึง เรียกว่าลิเกเร่ มีมานานแล้ว สมัยก่อนเล่นตามหน้าบ้าน แลกข้าวสาร เอ็งอย่าไปเล่นเลย คนสมัยเนี้ยไม่เข้าใจ มองว่าเราเป็นขอทานในคราบลิเก”
หลงยอมรับ “ครับครู”
จอมนางเอ่ยขึ้นว่า “เอาบ้านไปจำนอง เอาเงินมารักษาน้ากำจายมั้ยจ๊ะปู่”
“ชั้นว่าพวกเราอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้เลยจ้ะ น้ากำจายอาจเป็นแค่เนื้องอกก็ได้” กระแตว่า
“ยังไงก็ต้องหาลู่ทางหาเงินไว้ก่อน ฉุกละหุกขึ้นมา ไม่มีเงินรักษากำจาย บ้านเรามีทรัพย์อยู่อย่างเดียว คือ บ้าน จนหนทางจริงๆ ก็ต้องเอาบ้านไปจำนอง ชีวิตกำจายสำคัญกว่า บ้าน หาซื้อเมื่อไหร่ก็ได้”
ทุกคนพยักหน้า ตกลงตามนี้ การจำนองบ้านเป็นทางเดียวที่ทำให้ได้เงินมากที่สุดในขณะนี้
ไม่มีใครเห็นว่ากำจายแอบฟังอยู่
“ชั้นกำลังจะทำให้ทุกคนไม่มีบ้านซุกหัวนอน”
กำจายสะเทือนใจ เป็นต้นเหตุทำให้ทุกคนลำบาก
กลางดึกคืนนั้น หลง โก่ง โก๊ะ หลับสนิท กำจายเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ทำให้เสียงเบาที่สุด ไม่ให้พวกหลงตื่น เสื้อผ้ากำจายมีไม่กี่ชุด เก็บแป๊บเดียวก็เสร็จ กำจายหันมองโก่งกับโก๊ะ สายตาเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
กำจายตัดใจ ละสายตาจากสองคน เปิดประตูห้องออกไป เสียงฝีเท้าเบากริบ
กำจาย สะพายกระเป๋าเสื้อผ้าข้างตัว ออกมาไหว้ลาพ่อแก่ เสียงแหบแห้ง
“ลูกถวายตัวรับใช้พ่อแก่ เล่นลิเกมาค่อนชีวิต วันนี้เสียงของลูกแหบแห้ง ไม่ก้องกังวานเหมือนก่อน ลูกไม่อาจอยู่รับใช้พ่อแก่ได้อีกแล้ว ขอพ่อแก่อภัยให้ลูกด้วย”
กำจายก้มกราบพ่อแก่
หลังไปไหว้ลาพ่อแก่ กำจายก็มาลาครูเทียม คุกเข่าพนมมืออยู่หน้าห้องนอนครู
“เมื่อแรกเริ่มเข้าวงการลิเก ชั้นมีวาสนา ได้ครูเทียมเป็นครูคนแรก หลายปีที่ครูปลุกปั้นชั้นมา แต่สุดท้าย ตัวชั้นเองมาทำพัง เสียแรงที่ครูทุ่มเทกายใจให้”
ครูเทียมนอนหลับสนิท ไม่ได้ยินเสียงกำจายหน้าห้อง
“เพราะชั้นไม่เชื่อฟังครู กินเหล้ามาก สุขภาพเลยย่ำแย่ เส้นเสียงเสีย ชั้นไม่อยากอยู่เป็นภาระครู ให้ต้องขายบ้านขายช่อง รักษาชั้น ชั้นขอกราบลาครูไว้ตรงนี้ แม้ว่าชีวาวายไปแล้ว วิญญาณชั้นก็จะระลึกถึงพระคุณครูเทียมเสมอ”
กำจายน้ำตาคลอ ก้มกราบหน้าประตูห้องครูเทียม ก้มกราบนิ่งนาน ทำใจยากเหลือเกิน ต้องจำจากครูเทียม ผู้ที่กำจายเคารพรักยิ่ง
กำจายหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าออกจากบ้านคณะเทียมฟ้า หยุดหันมามองบ้านอย่างอาลัยอาวรณ์
“ชั้นจะไม่ลืมบ้านเทียมฟ้า บ้านหลังเดียวในชีวิตของชั้น”
กำจายน้ำตาร่วง ยกมือปาดน้ำตา ตัดใจเดินจากบ้านไป และหายไปในความมืด
เช้านี้หลงตื่นนอนคนแรก พอลุกจากที่นอน ก็เห็นว่าน้ากำจายไม่อยู่บนที่นอน ส่วนโก่งกับโก๊ะยังหลับอุตุอยู่
“แปลก วันนี้น้ากำจายตื่นเช้า”
หลงเห็นจดหมายน้อยวางไว้บนหมอนน้ากำจาย ก็นึกสังหรณ์ใจ รีบไปหยิบจดหมายมาเปิดอ่าน
“ชั้นไม่อยากอยู่เป็นภาระของทุกคน ชั้นจะกลับบ้านเกิดที่นครศรีธรรมราช จะระลึกถึงทุกคนตลอดไป...กำจาย”
หลงตกใจรีบปลุกโก่งกับโก๊ะ
โก่งงัวเงียตื่น “อะไรวะไอ้หลง”
“น้ากำจายหนีไป”
สองกอลุกพรวด “ห๊ะ”
ทุกคนรีบอาบน้ำอาบท่ามารวมตัวกันหน้าบ้าน จะออกไปตามหากำจา ครูจ่ายงาน
“โก่ง โก๊ะ เอ็งเอามอเตอร์ไซค์ไปดูที่วินรถตู้เข้ากรุงเทพฯ หลงเอารถตู้คณะออก ไปดูกำจายที่ท่ารถในตัวอำเภอ”
“โทร.หาญาติน้ากำจายที่นครฯ สิครับ ถามว่าน้ากำจายติดต่อไปเหรอเปล่า ตอนนี้น้ากำจายอยู่ไหน” หลงออกความเห็น
“พวกเราไม่มีเบอร์ญาติน้ากำจายทางใต้จ้ะ รู้แค่ว่าแกเป็นคนนครฯ ตัวแกเองก็ไม่ได้ติดต่อญาติมาเป็นสิบๆ ปี” จอมนางบอก
“รีบไปตามหาพี่กำจาย เผื่อแกยังรอรถอยู่”
โก่งกับโก๊ะขี่มอเตอร์ไซค์ไป หลงขับรถตู้คณะพาครูเทียม จอมนาง และกระแตออกไป
หลงขับรถตู้มาจอดที่ท่ารถ ทั้งหมดรีบลงจากรถ แยกย้ายกันไปตามหากำจาย แทบทุกซอกทุกมุม ในท่ารถ แต่ละคนเดินหากำจายให้ควัก แต่ไม่มีวี่แววกำจาย ถามใครก็ไม่มีใครเจอกำจาย จึงหน้าแห้งกลับมาเจอกันที่เดิม แถวรถตู้คณะ
“ไม่เห็นน้ากำจายเลยครับ”
“น้ากำจายต้องหนีไปตั้งแต่เมื่อคืน ป่านนี้นั่งรถเข้ากรุงเทพฯ ไปต่อรถทัวร์ที่สายใต้ใหม่แล้วล่ะจ้ะ” กระแตว่า
“เมื่อคืนชั้นปิดบ้าน 4 ทุ่มกว่า รถเข้ากรุงเทพฯ หมดแล้ว แกต้องรอรถเที่ยวเช้า” จอมนางบอก
หลงไปถามนายท่าที่นั่งโต๊ะอยู่แถวนั้น
“รถเข้ากรุงเทพฯ เที่ยวเช้าสุดวันนี้ มีผู้ชายวัยกลางคน รูปร่างท้วม ผิวคล้ำแบบคนใต้ ขึ้นรถไปด้วยหรือเปล่าครับ”
“เที่ยวเช้าคนเยอะ ไม่ได้สังเกตผู้โดยสาร” นายท่าบอก
“ไปสายใต้ใหม่ที่กรุงเทพฯ ยังไงต้องตามกำจายกลับมา” ครูบอก
ทั้งหมดรีบกลับขึ้นรถตู้ หลงขับไป
อ่านต่อหน้า 2
ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 17 (ต่อ)
ฟากโก่งกับโก๊ะขี่มอเตอร์ไซค์ จะไปวินรถตู้เข้ากรุงเทพฯ พอขี่ผ่านศาลาพักริมถนน โก่งซึ่งนั่งซ้อน เห็นผู้ชายร่างท้วม ตัวดำๆ นอนอยู่ในศาลา
“หยุด”
โก๊ะเบรกรถหัวทิ่ม “อะไรกันพี่โก่ง”
โก่งถลาไปดูผู้ชายที่นอนหลับหันหลังให้ในศาลาพักริมถนน แล้วยิ้มดูจากข้างหลังก็รู้ว่าใคร โก่งสะกิด ผู้ชายสะดุ้งตื่น คือ กำจาย
“เฮ้ย เผลอหลับไปตอนไหนวะ”
“โธ่น้ากำจาย มานอนหลับอุตุอยู่ตรงนี้”
“ข้ามานอนตั้งแต่เมื่อคืน ดักรอรถเที่ยวเช้า เข้ากรุงเทพฯ”
“หนีออกจากบ้านเป็นวัยรุ่นเลยนะพี่ กลับบ้านเถอะ หมู่มวลให้อภัยแล้ว” โก่งยิ้มโชว์เหงือก
“ตลกนะไอ้โก่ง ที่ข้าหนีมาเพราะไม่อยากให้ครูเทียมหมดเนื้อหมดตัว เสียเงินรักษาข้า”
โก่งยกเหตุผลมาแย้ง “ลองคิดกลับกัน ถ้าพี่กำจายมีเงิน พี่จะยอมหมดตัว รักษาครูเทียมมั้ย”
“ยอมอยู่แล้ว ข้ารัก ข้าบูชาครูเทียม”
“ครูเทียมก็รักพี่ อยู่กันมาเป็นสิบๆ ปี จนเป็นครอบครัวเดียวกัน ครูก็เหมือนพ่อของพวกเรา”
“พ่อข้าทิ้งไปตั้งแต่ข้าแบเบาะ ข้ารักครูเทียมเหมือนพ่อแท้ๆ”
โก่งบิ้วท์อารมณ์กำจายชุดใหญ่ “ตามวิสัย พ่อย่อมรักลูก มากกว่าลูกรักพ่อ พี่นึกถึงใจครูสิ พี่หนีมาแบบนี้ หัวใจครูเจ็บช้ำแค่ไหน”
พอนึกถึงครูเทียม กำจายก็น้ำตาจะร่วง
“พี่อย่าทิ้งพ่อครูไป กลับบ้านไปกอดพ่อครู สองแขนของพ่อครู รอรับ ลูกสุดที่รักกลับไปหา อ้อมกอดของพ่อครูพร้อมให้ไออุ่นลูกๆ เสมอ”
กำจายสะอื้น “ไอ้โก่ง เอ็งบิ้วท์ซะอย่างกับละครดราม่าหลังข่าว”
กำจายน้ำตาร่วงเผาะๆ ไอ้โก๊ะก็พลอยอินด้วย น้ำตาหยดติ๋งๆ
“ไอ้โก๊ะ เอ็งเกี่ยวอะไรด้วยวะ”
“ไม่เกี่ยว แต่อิน” โก๊ะว่า
“กลับบ้านกันเถอะนะ” โก่งขอร้อง
กำจายกับโก๊ะพยักหน้าอยากกลับบ้านไปกอดครูเทียม
โก๊ะโทร.บอกจอมนาง “จอม บอกครู เจอน้ากำจายแล้ว กำลังจะพากลับบ้าน ตอนนี้ร้องไห้เป็นเด็กๆ เลย”
“คนมันอ่อนไหวเว้ย” กำจายเช็ดน้ำตาป้อยๆๆ
เมื่อมาถึงบ้าน กำจายเข้าไปกราบขอโทษครูเทียม
“ชั้นขอโทษที่ทำให้ครูเป็นห่วง ชั้นจะไม่หุนหันพลันแล่น หนีไปอีกแล้วจ้ะ”
“อยู่รักษาตัวให้หาย เงินทองต้องใช้เท่าไหร่ อย่าไปคิด เงินทองมันเป็นของนอกกาย ไม่ตาย ก็หา...ยากฉิบ”
ทุกคนฮาครูเทียมที่หักมุมสุดเฟี้ยว
กำจายเข้าไปสวมกอดครู ครูเทียมลูบหัวอย่างรักใคร่ห่วงใยลูกศิษย์
โก๊ะเกิดอินขึ้นมาอีก สะอื้นไห้ เข้าไปกอดครูเทียมด้วย
“ชั้นรักครูจ้ะ”
“ไอ้โก๊ะมันเพี้ยนหรอวะ” ครูเทียมเอ็ด แต่ก็กอดไอ้โก๊ะด้วย รักลูกศิษย์ทุกคน
ฟ้าประทานนัดครูลิเกชื่อสมยศมาคุยที่บ้านเจ๊ทรงงาม เพื่อจะจ้างแต่งกลอนลิเก มีเจ๊ทรงงามนั่งคุยอยู่ด้วย
“ครูใช้เวลาแต่งกลอนลิเกเรื่องนึงกี่วันครับ”
“เร็วสุดก็ 2 อาทิตย์ หัวตื๊อคิดไม่ออก ก็เป็นเดือน” ครูสมยศบอก
“คิดค่าจ้างแต่งเรื่องละเท่าไหร่จ๊ะ” อีเจ๊ถาม
“5 หมื่น”
สองคนอุทานลั่น “5 หมื่น”
“นี่ราคาคนกันเองแล้ว เก๋แนะนำมา ปกติครูคิดที่ 6 หมื่น”
“ครูเทียมให้กลอนลิเกผมฟรี”
“นั่นครูเทียม นี่ครูสมยศ คนละคนกัน”
ฟ้าประทานกับเจ๊ทรงงามหันมองหน้ากัน เอายังไงดี
“ขอบคุณครูมากครับที่แวะมาคุยกัน ค่าจ้างตั้ง 5 หมื่น ผมลองแต่งเองดีกว่าไม่ติดหนี้บุญคุณครูด้วย”
ครูสมยศหน้าตึง ไม่พอใจฟ้าประทาน พูดจาไม่เกียรติครูลิเกเอาเลย
ส่วนจอมนางเอากลอนลิเกที่หัดแต่งมาให้ปู่อ่าน จอมนางแต่งได้จนจบเรื่องแล้ว ครูเทียมนั่งพักผ่อนอยู่ที่ศาลาริมคลองหลังบ้าน อ่านได้ครึ่งเรื่องแล้ว จอมนางลุ้น ปู่จะชมหรือติ
จอมนางอดรนทนรอไม่ไหว “ปู่...ปู่บอกมาซะทีสิจ๊ะ กลอนลิเกที่ชั้นแต่งใช้ได้มั้ย”
“ให้ปู่อ่านจบเรื่องก่อน”
จอมนางอีกตั้งครึ่งเรื่อง ปู่บอกมาซักนิ้ดด ว่ากลอนลิเกของชั้น ไพเราะเสนาะหู
เนื้อเรื่องก็สนุกชวนติดตาม
“อยากให้ปู่ชมว่างั้นเถอะ จอม ที่ปู่อยากอ่านให้จบก่อน เพราะ มันสนุกจนวางไม่ลงไงลูก”
“จริงนะจ๊ะปู่” จอมนางยิ้มแป้นดีใจ
“ยิ้มปากแทบจะฉีกถึงติ่งหูแน่ะเอ็ง ปู่ภูมิใจในตัวเอ็งนะจอมเอ็งอุตสาหะแต่งจนจบเรื่อง วันหน้า เมื่อปู่ไม่อยู่แล้ว ปู่ก็วางใจว่ามีคนสานต่อ คณะเทียมฟ้าของเราไม่เคยขาดครูลิเกดีๆ”
ครูเทียมยิ้มชื่น มองปลื้มหลานสาว จอมนางก็ปลาบปลื้มตัวเอง ยิ้มแก้มแทกแตก
ฝ่ายฟ้าประทานหัดแต่งกลอนลิเกอยู่ตรงเรือนรับรอง แต่งได้ไม่กี่ประโยคก็ฆ่าทิ้ง หงุดหงิด แต่งไม่ได้ซะที
“แต่งมาร่วมชั่วโมง ประโยคแรกยังไม่ได้”
ตุ้มมาหาฟ้าประทาน
“เจ๊ทรงงามบอกว่า ฟ้าประทานจะแต่งกลอนลิเกเอง มันไม่ใช่ง่ายๆ นะจ๊ะ ต้องคนมีพรสวรรค์ ถึงแต่งได้”
ฟ้าประทานฉุนกึก “ให้กำลังใจกันมั่งไม่ได้รึไงตุ้ม”
“เงินค่ากลอนลิเกแค่ไม่กี่หมื่น แลกกับค่าวิชาของครูลิเกเชียวนะจ๊ะ”
“ผมก็มีวิชา ผมแต่งได้ ไม่ยอมเสียตังค์หรอก”
ฟ้าประทานอวดเก่ง เขียนประโยคลงบนกระดาษอีก แต่ไม่พอใจ ฆ่าทิ้ง ตุ้มถอยออกมา พูดกับฟ้าประทานไปก็เปล่าประโยชน์
ตุ้มเดินออกมา นึกกลุ้มใจ เลยโทร.หากระแต “แกว่างมั้ย ไปเจอชั้นที่ร้านเดิม”
ตุ้มนัดเจอกระแตที่ร้านน้ำเจ้าเดิม นางร้ายลิเกปรับทุกข์กับกระแต
“ตั้งแต่ออกมาตั้งคณะเอง ฟ้าประทานทะนงตนมาก เตือนอะไรก็ไม่ฟัง”
“ปล่อยไปเถ๊อะ ทำตัวใหญ่คับฟ้า ตกสวรรค์ลงมาก็เจ็บหนัก” กระแตพอนึกออก
“กระแต ชั้นมีอีกเรื่อง อยากเล่าให้แกฟัง แต่แกต้องสัญญา ห้ามบอกใครเป็นอันขาด มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย”
กระแตค้อน “เห็นชั้นเป็นคนปากโป้งไปได้ แกมาระบายอะไรให้ฟัง ชั้นไม่บอกแม้กระทั่งจอม”
“ฟ้าประทาน...อืม…” ตุ้มชักลังเล
กระแตเดาออก “ผัวแกก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ”
“ฟ้าประทาน อมเงินคณะ”
กระแตตกใจ “ห๊ะ นี่ฟ้าประทานหน้าเงินขนาดนั้นเลยเหรอ เจ๊ทรงงามรู้เข้า ต้องเอาตาย ถึงอีเจ๊คลั่งไคล้ฟ้าประทาน แต่อีเจ๊ก็คลั่งไคล้เงินพอกัน”
ตุ้มเครียด หน้าหมองลง “ชั้นไม่สบายใจเลย ห้ามฟ้าประทานก็ไม่เชื่อ นี่ชั้นต้องช่วยปกปิดให้ ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก”
กระแตถอนใจเฮือก “กรรมของแกนังตุ้ม รักผู้ชายแบดบอยครบเครื่อง หลายใจ เห็นแก่ตัว ขี้โกงทำบุญเยอะๆ นะแก ชาติหน้าได้พ้นฟ้าประทาน เออนี่ น้ากำจายป่วยนะ”
“เป็นอะไร”
“มีติ่งเนื้อที่เส้นเสียง อาจเป็นเนื้อมะเร็ง”
“อะไรนะ” ตุ้มตกใจ อดเป็นห่วงสุขภาพกำจายไม่ได้
ตุ้มซื้อนมกล่อง แวะมาเยี่ยมกำจายที่นอนพักอยู่ในห้อง
“ชั้นไม่ได้ซื้อพวกของกินมา เพราะกระแตบอกว่า น้าเจ็บคอ กินอะไรไม่ค่อยลง”
“ขอบใจมากตุ้ม อุตส่าห์มาเยี่ยม”
หลงเอากระติกน้ำอุ่นเข้ามาให้กำจาย
ตุ้มยิ้มแซวกำจาย “เป็นคนป่วยบ้านนี้สบายเนอะ มีคนรุมดูแล”
“เอ็งมาป่วยอย่างน้าบ้างมั้ยล่ะ น้าทำเรื่องยกอาการป่วยให้”
ตุ้มหัวเราะ “ยังมีอารมณ์ขันนะจ๊ะน้า”
“ฟ้าประทานเป็นยังไงบ้าง ล่ำซำหรือยัง” กำจายซักถาม
“หลายคืนมานี่ คนดูไม่เต็มวิกจ้ะ เมื่อคืนก็เกิดเรื่อง เสี่ยที่ไหนไม่รู้มาอาละวาดให้ลูกน้องยิงปืนขึ้นฟ้าบนเวที”
“คนดูตีกันในวิกเหรอ” กระแตแปลกใจ
“เปล่า อีตาเสี่ยนั่นมาตามหาคน พอไม่เจอก็พาลหาเรื่อง อืม..ชื่อเสี่ยอะไรน้า...ชื่อจีนๆ ต...เต่า”
หลงสะดุดหู ฉุกคิด ใช่เสี่ยเต๊กหรือเปล่า?
ตุ้มจำชื่อไม่ได้ “จำไม่ได้ ตอนนั้นชั้นกลัวมาก สติแทบแตก”
หลงนึกสังหรณ์ใจ เสี่ยที่ตุ้มเล่าถึงอาจเป็นเสี่ยเต๊ก
อ่านต่อหน้า 3
ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 17 (ต่อ)
ในที่สุดพงศ์เทพก็ตัดสินใจมาหาพ่อกับเจ๋งที่แผงเสื้อยืด เล่าเรื่องเสี่ยต.ที่บุกไปไปยิงปืนในวิกฟ้าประทานเมื่อคืน
“อาจเป็น เสี่ยติ๊ก เสี่ยตุ๊ด เสี่ยแต๋ว ก็ได้พี่ ไม่ใช่เสี่ยเต๊กหรอก” เจ๋งไม่เชื่อ
“มาตามหาคน มีลูกน้องติดตาม เข้าเค้าว่าเป็นเสี่ยเต๊ก” พงศ์เทพครุ่นคิด
“เป็นเสี่ยเต๊กจริง เอ็งก็มอบตัวเหอะเทพ กลับไปแต่งงานกับลูกสาวเสี่ย”
หลงเอือมพ่อฝุดๆ “พ่อยังจุดยืนเหมือนเดิมนะครับ อยากขายผมกิน แล้วที่เห็นใจครูเทียม อยากช่วยบ้านลิเก จุดยืนอันนั้นของพ่อ หายไปไหนแล้วครับ”
“พ่อก็มีเขวบ้าง เสี่ยเต๊กรวยเป็นพันล้าน ในหัวพ่อมันก็แอบชะแว้บ เห็นเงินเป็นตั้งๆ” พร้อมพงส์บอกด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “แต่พ่อขอยืนยัน พ่ออยากให้เอ็งอยู่ช่วยบ้านลิเก”
“ประกาศเจตนารมณ์แล้วนะพ่อ ห้ามทิ้งอุดมการณ์ เจ๋ง ไปเป็นเพื่อนพี่ ไปดูว่าใช่เสี่ยเต๊กเหรอเปล่า ถ้าใช่ เราได้ระวังตัวมากขึ้น”
“พี่รู้หรอ เสี่ยเต๊กอยู่ไหน”
“ไปเช็คชื่อแขกตามโรงแรม โรงแรมหรูๆ ที่บางไทรมีไม่กี่แห่ง”
“ขอผมปิดร้านก่อนพี่”
หลงช่วยเจ๋งเก็บเสื้อยืดใส่กล่อง ปิดร้าน
ฝ่ายเสี่ยเต๊กนอนเดี้ยงอยู่ในห้องพักโรงแรมเดิม ปวดหลังมากขึ้น เนื่องจากตกเวทีลิเกเมื่อคืน เสี่ยจะลุกจากเตียง เบิ้มกับพลช่วยพยุง
“อย่าโดนหลังสิเว้ย! เจ็บ”
“พลเปิดประตูห้องน้ำให้เสี่ย” เบิ้มสั่ง
“อั๊วไม่ได้จะเข้าห้องน้ำ กินยาแก้ปวดไปหมดแผงแล้วไม่หายปวด พวกลื๊อพาอั๊วไปหาหมอ กระดูกสันหลังอั๊วอาจจะร้าว”
เบิ้มกับพลประคองเสี่ยเต๊กที่เดินหลังตรงเหมือนหุ่นยนต์ออกไป
ฟากพงศ์เทพขับรถพาพ่อกับเจ๋งมาจอดแอบหน้าโรงแรมแห่งนี้
“โรงแรมสุดท้ายแล้ว ถ้าโรงแรมนี้ไม่มีชื่อเสี่ยเต๊กเข้าพัก ก็แสดงว่า เสี่ยที่บุกไปยิงปืนในวิกฟ้าประทาน ไม่ใช่เสี่ยเต๊ก”
ทั้งหมดลงจากรถ เดินเข้าไปในบริเวณล็อบบี้โรงแรม
พวกพงศ์เทพเข้ามาในล็อบบี้โรงแรม
“สวัสดีค่ะ เข้าพักกี่ท่านคะ”
“ผมนัดมารับคุณเต๊ก อยากทราบว่าพักห้องไหนครับ” พงศ์เทพวางฟอร์ม
“ชื่อคุณเต๊ก รอซักครู่นะคะ” พนักงานหันไปเช็คข้อมูลให้
เบิ้มกับพลประคองเสี่ยเต๊กมาจากทางโซนห้องพัก ต่างฝ่ายต่างเห็นกัน
เสี่ยเต๊กร้องลั่น “พงศ์เทพ”
พงศ์เทพหรือหลงอุทาน “เสี่ย” แล้วรีบเผ่น
เสี่ยเต๊กร้องลั่น “จับมันให้ได้”
เบิ้มกับพลวิ่งไล่ตามพวกหลงออกไป เสี่ยเต๊กหลังเดี้ยง เดินกึ่งวิ่ง ท่าทีน่าขัน เหมือนหุ่นยนต์ ตามออกไปช่วยลูกน้องจับพงศ์เทพ
พวกพงศ์เทพวิ่งหนีเข้ามาในสวน เบิ้มกับพลไล่ตามมาติดๆ
เบิ้มควักปืนออกมาขู่ “หยุด ไม่งั้นยิง”
สามคนกลัวโดนยิง เลยหยุดวิ่งหนี เบิ้มจับตัวพงศ์เทพก่อนเพื่อน ส่วนพลจับพร้อมพงศ์
“ตามหาแทบตาย มาให้จับถึงที่”
เจ๋งเป็นอิสระไม่ถูกจับตัว เลยเข้าแย่งปืนเบิ้ม พงศ์เทพช่วยรุมแย่งปืน จนได้ปืนมา พงศ์เทพเขวี้ยงทิ้งไปไกลๆ
เบิ้มไม่มีปืนเลยใช้หมัดแทน ต่อยพงศ์เทพ สองคนสู้กันอุตลุด 3 ต่อ 2
เสี่ยเต๊กวิ่งหลังเดี้ยงมาถึง เข้าไปช่วยลูกน้อง สู้กันเป็นคู่ๆ พงศ์เทพฟัดกับเบิ้ม เจ๋งฟัดกับพล พร้อมพงศ์ฟัดกับเสี่ยเต๊ก
“เฮียกล้าหือกับผมหรอ”
“ไม่กล้าครับ” ปากไม่แต่พร้อมพงศ์เตะเสี่ยเต๊กป้าบ
“ไหนบอกไม่กล้า” เสี่ยแค้น
“ผมถูกบีบให้ทำ”
เสี่ยเต๊กกับพร้อมพงศ์กอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน แต่พร้อมพงศ์ตัวใหญ่กว่า แรงดีกว่า ล้มทับเสี่ยเต๊ก
“โอ๊ย...หลังเดี้ยงอยู่”
“ขอโทษครับเสี่ย”
พร้อมพงศ์ลุกขึ้นได้ แต่เสี่ยเต๊กลุกไม่ขึ้น นอนหลังเดี้ยงอยู่ เบิ้มกับพลรีบไปดูอาการเสี่ย สามคนเลยฉวยจังหวะวิ่งหนีไปทางหน้าโรงแรม
“ไอ้โง่! ตามมันไปซีวะ”
เบิ้มกับพลไล่ตามพวกพงศ์ฌทพ ส่วนเสี่ยพยายามยันตัวลุกขึ้น เจ็บหลังสุดๆ
พงศ์เทพ พร้อมพงศ์ เจ๋ง วิ่งหนีมาขึ้นรถ พงศ์เทพรีบออกรถไปทันที เบิ้มกับพลตามมาไม่ทัน
“โธ่เว้ย หนีไปได้อีกแล้ว” เบิ้มยัวะ
“เสี่ยต้องเล่นงานเราแน่เลยเบิ้ม” พลบอก
“เสี่ยเจ็บหลังอยู่ ไม่มีแรงหรอก” เบิ้มว่า
เสี่ยเต๊กโผล่มาข้างหลัง ถีบพลเปรี้ยง! “ใครว่าอั๊วไม่มีแรง”
“ให้ผมขับรถตามหามันมั้ยครับ” เบิ้มรีบบอก
“มันคงจอดรถรอลื๊อหรอกนะ เทพ...เสี่ยไม่ยอมกลับกรุงเทพฯมือเปล่า เสี่ยจะลากคอลื๊อ กลับไปด้วย”
เสี่ยเต๊กพูดจบก็เอื้อมมือแตะหลัง ปวดทั้งตัวเจ็บทั้งใจ
พงศ์เทพขับรถเข้ามาจอดในบ้านเช่า
“เจ๋ง หาผ้ามาคลุมรถ พวกเสี่ยเต๊กขับรถผ่าน จะได้ไม่เห็นรถ”
เจ๋งวิ่งเข้าบ้าน ไปหาผ้า
“เสี่ยถึงขั้นมาบางไทรเองแล้ว แสดงว่า...เอาจริง” พร้อมพงศ์หนักใจ
“ผมก็คนจริง ต่อให้เสี่ยเอาปืนจี้หัว ผมก็ไม่กลับ”
เจ๋งเอาผ้าปูที่นอนออกมา ช่วยพี่เทพคลุมรถ แต่คลุมไม่มิด ผ้าผืนเล็กไป
“คลุมเฉพาะตรงทะเบียนรถแล้วกัน”
สองคนเลื่อนผ้าคลุม ปิดไม่ให้เห็นป้ายทะเบียนรถ
พร้อมพงศ์เอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้พ่อจะไปซื้อผ้าคลุมรถกระบะมา”
“ไม่ต้องครับพ่อ ช่วงนี้ไม่จำเป็นห้ามออกไปไหน เราต้องเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้าน อยู่ยาวแบบหมีจำศีล”
“ของกินล่ะ จะให้พ่อกับไอ้เจ๋งอดอยากอยู่ในบ้านเหรอ”
“ไปซื้อมาตุนไว้ ผมเองก็จะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านลิเก เพื่อความปลอดภัย ผมไปนะครับ เราคงไม่เจอกันหลายวัน”
“ระวังตัวนะพี่เทพ” เจ๋งบอก
พงศ์เทพรีบกลับบ้านลิเก
“เราก็เข้าบ้านเหอะลุง เผื่อลูกน้องเสี่ยตระเวนมาแถวนี้”
เจ๋งกับพร้อมพงศ์เข้าบ้าน ปิดประตูหน้าต่างฝั่งหน้าบ้าน ไม่ให้คนมองเข้าไปเห็นภายในบ้าน
ขณะที่จอมนางรดน้ำผักอยู่ มองไปที่ประตูรั้ว เห็นหลงรีบร้อนเข้าประตูบ้านมา แต่หลงไม่ได้หันมามองเดินเข้าตัวบ้านไปเลย
“แอบไปไหนมาอีกล่ะ? รู้..พี่เป็นคนดี แต่พี่ชอบทำตัวให้ชั้นไม่ไว้ใจอยู่เรื่อย”
จอมนางถอนหายใจ ชอบหลงก็ชอบ แต่ใจหนึ่งก็ไม่ไว้ใจเต็มร้อย
ตกกลางคืน จอมนางหยิบยาโรคพาร์กินสันให้ครูเทียมกิน
“ปู่คิดไม่ตก จะไปสอนลิเกที่โรงเรียนดีมั้ย ปู่ไม่เคยทำ”
“ที่ปู่ยืดหยัดเล่นลิเกทรงเครื่องมาทั้งชีวิต ก็เพราะไม่อยากให้ลิเกทรงเครื่องสูญหาย ไปสอนเด็กรุ่นใหม่ๆ ให้รู้จักลิเกทรงเครื่อง ก็คือการส่งต่อความรู้ไปสู่คนรุ่นหลังนะจ๊ะ”
ครูเทียมปลื้ม “เอ็งโตขึ้นเยอะนะจอม พูดจามีเหตุมีผล”
“ต้องขอบคุณสภาวะไม่มีจะกินของที่บ้านในช่วงหลายปีมานี้จ้ะ ชั้นต้องแก้ปัญหาเรื่องเงินทอง ปัญหาทำให้คนเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ปู่นอนได้แล้วจ้ะ”
จอมนางห่มผ้าให้ปู่ ครูเทียมบอก
“ปู่เชื่อเอ็ง จอม ปู่จะไปสอนนักเรียนที่โรงเรียน”
จอมนางยิ้มให้กำลังใจ แล้วปิดไฟ เดินออกไป
เช้าวันต่อมา ที่โรงเรียนระดับมัธยมแห่งหนึ่งในจังหวัดอยุธยา เป็นช่วงเข้าเรียน บรรยากาศจึงเงียบไม่จอแจมาก
อาจารย์ใหญ่พาครูเทียมมาที่ชมรมลิเก มีเด็กนักเรียนรออยู่ จอมนาง กระแต และโก่ง สามคนช่วยกันยกกล่องใส่ชุดลิเก และ รุ้งใส่ยอดลิเก
“นักเรียน นี่ครูเทียม เจ้าของคณะเทียมฟ้าที่บางไทร ครูเทียมเล่นลิเกทรงเครื่อง วันนี้จะมาสอนพวกเรา” อาจารย์ใหญ่แนะนำ
นักเรียนไหว้ครูเทียม ครูเทียมประหม่าเล็กน้อย ไม่เคยสอนในโรงเรียนมาก่อน
“อืม...ก่อนอื่น ครูอยากรู้ ทำไมลูกๆ ถึงอยากรำลิเก”
นักเรียน 1 บอกว่า “ตาผมเป็นลิเกเก่าครับ”
นักเรียน 2 บอก “ช่วงปิดเทอม หนูไปเล่นลิเกกับญาติค่ะ หารายได้พิเศษ”
ครูเทียมถาม “หนูเป็นเด็กดีมากลูก พวกลูก ๆ รู้จักลิเกทรงเครื่องมั้ย”
นักเรียนทุกคนส่ายหน้า ไม่รู้จัก
“ลิเกทรงเครื่องก็คือ ลิเกที่ใส่เครื่องทรง กระแตเอ๊ย เอาเครื่องทรงให้น้องๆ ดู”
กระแตหยิบยอดลิเกออกจากรุ้ง ให้นักเรียนดูเครื่องทรง
“เครื่องทรงตัวนาง เรียกว่ากระบังหน้าจ้ะ ส่วนเครื่องทรงตัวพระเรียกว่า ยอด” กระแตอธิบาย
นักเรียน 2 ถาม “ขอถือได้มั้ยคะ”
“เบามือหน่อยนะจ๊ะ ก้านเงินหักง่าย
นักเรียนส่งยอดลิเกต่อ ผัดกันดู
“เอกลักษณ์ของลิเกทรงเครื่องอีกอย่างก็คือ ชุด ชุดของเราไม่เหมือนชุดลิเกลูกบท”
จอมนางกับโก๊ะเอาชุดออกจากกล่อง ยืนถือชุดลิเกทรงเครื่องให้นักเรียนดู
“ชุดลิเกทรงเครื่องทำจากผ้าเยียรบับ ยกผืน เพราะฉะนั้นจะแก้ ต่อแขน ต่อขาให้ยาวขึ้นไม่ได้ ช่างตัดชุดลิเกทรงเครื่อง ต้องวัดตัวคนใส่แล้วตัดตามนั้นเป๊ะ” จอมนางบอก
“ดิ้นที่ปัก ก็ใช้แต่ดิ้นเงิน ไม่ใช้ดิ้นทอง ดิ้นทองเป็นชุดพวกนาฏศิลป์จ้ะ” กระแตเสริม
ครูเทียมร้องบอก “พวกเราลุกมาดูชุดใกล้ๆ ได้”
นักเรียนมาดูชุดลิเกทรงเครื่องใกล้ๆ อย่างสนใจ ครูเทียมพึงพอใจ เห็นเด็กรุ่นใหม่สนอกสนใจลิเกทรงเครื่อง
โก่งร้องออกแขกให้นักเรียนฟัง บทร้องออกแขก ขำๆ โดนใจ นักเรียนหัวเราะฮาครืนใหญ่ ครูเทียมอธิบายว่า
“ก่อนแสดง ลิเกทรงเครื่องก็มีร้องออกแขกเหมือนลิเกลูกบท ที่ทรงเครื่องต่างกับลูกบทอยู่บ้าง ก็คือ ท่ารำ ท่าทรงเครื่องจะเยอะกว่า เป็นแบบแผนกว่า”
จอมนางรำให้นักเรียนดูเป็นตัวอย่าง
ครูเทียมอธิบายต่อ “สังเกตมือพี่จอม แตะตรงเอวไว้ตลอด ทรงเครื่อง มือห้ามตก ลูกบท ทิ้งมือได้”
จอมนางรำนำ แล้วให้นักเรียนรำตาม โดยมีครูเทียมเดินยิ้ม คอยดูนักเรียน ว่ารำได้ถูกต้องมั้ย
“ตั้งวงรำสูงไปลูก ลดมือลงหน่อย”
กระแตกับโก่งมองครูเทียมสอนนักเรียน
“ดูครูมีความสุขเนอะกระแต” โก่งยิ้ม
“ปู่อยากอนุรักษ์ลิเกทรงเครื่อง เลยดีใจ มีเด็กรุ่นใหม่มาเรียน”
ครูเทียมรำให้นักเรียนดูเป็นตัวอย่าง ดูมีความสุขกับการสอนนักเรียนมาก
ครูเทียมสอนลิเกเสร็จแล้ว นั่งคุยอยู่กับนักเรียนในอิริยาบถสบายๆ
“ลิเกทรงเครื่องรำยากมั้ยลูก”
นักเรียน 2 ยิ้มตอบ “ยากค่ะ แต่หนูชอบ ท่ารำสวยดี ชุดก็สวย อยากใส่ หนูอยากเป็นนางเอกลิเกทรงเครื่อง”
“ครูดีใจ เด็กรุ่นหลัง อยากเล่นลิเกทรงเครื่อง เห็นอย่างนี้แล้ว ก็เบาใจว่าวันหน้า ลิเกทรงเครื่องจะยังอยู่ถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน”
อาจารย์ใหญ่เข้ามาหา
“หมดเวลาเรียนแล้วครับครู”
“ยังสอนเพลินอยู่เลย”
“อาทิตย์หน้ามาสอนอีกนะครับ”
“ไม่ติดธุระอะไร ก็จะมา”
อาจารย์ใหญ่หันมาหานักเรียน “นักเรียน ลาครูเทียม”
นักเรียนก้มกราบครูเทียมอย่างนอบน้อม
“ขอให้เจริญๆ นะลูก”
นักเรียนทยอยออกไป จอมนาง กระแต และโก่ง ช่วยกันเก็บชุด เครื่องทรงใส่กล่อง อาจารย์ใหญ่ขยับมาหา ยื่นซองเงินให้ครูเทียม
“ไม่เอาหรอกอาจารย์ มาสอนเป็นวิทยาทาน”
“ทางโรงเรียนมีงบสำหรับวิทยากรพิเศษครับ ครูไม่รับ คราวหน้า ผมก็ไม่กล้าโทร.ตามให้ครูมาสอน”
ครูเทียมจำใจรับซองเงินมา อาจารย์ใหญ่ไหว้แสดงความเคารพครูเทียมจากใจ
โก่งขับรถตู้พาครูเทียม จอมนาง กระแตกลับมาจากโรงเรียนในตัวเมือง หลงมาช่วยขนเครื่องทรงกับชุดลงจากรถ เห็นใบหน้าครูเทียมอิ่มเอิบ มีความสุข
“สอนนักเรียนเป็นยังไงบ้างครับครู”
“พอใจมาก นักเรียนตั้งใจเรียน ส่งวิชาอะไรไป รับหมด” ครูบอกพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้าชาวบ้านสนใจลิเกทรงเครื่องซักครึ่งนึงของนักเรียนที่เราเจอวันนี้ คณะเราก็ไม่ลำบากนะจ๊ะ” จอมนางว่า
“หลักการตลาดเบื้องต้น กลุ่มผู้บริโภคต่างกัน ความต้องการสินค้าย่อมต่างกันครับ”
“เอ็งต้องเป็นนักการตลาดแน่ๆ ไอ้หลง” โก่งชม
“พ่อนักการตลาดจ๊ะ ยกกล่องใส่ชุดไปเก็บทีจ้ะ” จอมนางยิ้มแย้ม
หลง จอมนาง กระแต โก่ง ช่วยกันยกกล่องใส่ชุด กับ เครื่องทรงเข้าบ้าน ครูเทียมครุ่นคิดอยู่คนเดียว
“หลักการตลาดเบื้องต้นคืออะไรข้าไม่เข้าใจ แต่ข้าชักเห็นว่า เอ็งมาถูกทางแล้ว...หลง”
ครูเทียมพนมมือไหว้บอกกล่าวต่อพ่อแก่
“วันนี้ลูกได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดว่าจะได้เห็น เด็กรุ่นใหม่หัดรำลิเกทรงเครื่อง ลูกอยู่ในวงการลิเกมานาน จนไม่กล้าเปลี่ยนแปลงวิถีลิเกรุ่นปู่ย่าตายาย ปิดวิกเล่นลิเกทั้งที่รู้ ไม่มีคนดู เท่ากับฆ่าตัวเอง ฆ่าลิเกทรงเครื่องให้ตายเร็วขึ้น ลูกควรเปิดใจยอมรับความเปลี่ยนแปลง เพื่อให้สิ่งที่ลูกหวงแหน คงอยู่ต่อไป”
ครูเทียมก้มกราบพ่อแก่ แต่พอลุกขึ้นยืน ก็เซ เกือบล้ม รีบหาที่ยึดใกล้ตัว
“รีบลุกเลยหน้ามืด”
ครูเทียมค่อยๆ เดิน รู้สึกว่าทรงตัวลำบาก ตะโกนเรียกหลาน
“จอม...จอมเอ๊ย มาช่วยปู่ที”
รออยู่นานแต่ไม่มีเสียงตอบรับจากหลานสาว ครูเลยเดินเกาะผนังไปทางบันได
ครูเทียมเซทรงตัวไม่ดี ต้องใช้สองมือเกาะราวบันไดลงมา จนเกือบจะถึงพื้นโถงชั้นล่าง ครูเทียมเกิดก้าวพลาดพลัดตกบันไดไม่กี่ขั้น ลงมานั่งกองอยู่กับพื้นบ้าน จอมนางกำลังจะขึ้นไปหา เห็นปู่ตกบันไดก็ตกใจร้องลั่น
“ปู่”
จอมนางถลามาประคองปู่ ครูเทียมงง ไม่เข้าใจ ตัวเองเป็นอะไร
อนิจจาอาการโรคพาร์กินสันกำเริบแล้ว
อ่านต่อหน้า 4
ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 17 (ต่อ)
หลงขับรถตู้มาจอดหน้าทางเข้าตึกผู้ป่วยของโรงพยาบาล ในตัวเมืองอยุธยา จอมนางกับกระแตช่วยกันพยุงครูเทียมลงจากรถ หลงมาช่วยสองสาวพยุงด้วย เจ้าหน้าที่พอเห็นคนป่วย ก็รีบเอารถเข็นมาให้ครูเทียมนั่ง
“จอมพาครูไปหาหมอก่อนครับ พี่จอดรถแล้วจะตามไป”
เจ้าหน้าที่เข็นครูเทียมเข้าตึกผู้ป่วยไป จอมนางกับกระแตหน้าตาเป็นกังวลหนักทั้งคู่ กลัวปู่เป็นอะไรมาก ขณะที่ตัวคนป่วย นั่งนิ่งๆ ไม่วิตกกังวลเท่าหลานสาว
หมอเจ้าของไข้คนเดิมตรวจอาการครูเทียม โดยให้ครูเดินให้ดู ครูเทียมทรงตัวไม่ดี
“นั่งได้แล้วครับ” หมอบอก
จอมนางกับกระแตประคองปู่มานั่ง สองสาวเป็นห่วงปู่มาก
“อาการทรงตัวไม่ดี เป็นอาการหนึ่งของโรคพาร์กินสันครับ จากเดิมผู้ป่วยมือขวาสั่น ตอนนี้เริ่มควบคุมร่างกายได้ไม่ดี”
จอมนางซัก “กินยาแล้วจะช่วยให้ทรงตัวได้เหมือนเดิมมั้ยจ๊ะหมอ”
“ต้องเข้าใจก่อนนะครับ พาร์กินสันเป็นโรคที่รักษาไม่หาย อาการของโรคจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออาการปรากฏแล้ว ร่างกายไม่จะกลับไปเป็นปกติเหมือนเดิม”
“ปู่เดินเหินไม่คล่องอย่างนี้ จะไปไหนมาไหนยังไง” กระแตใจหาย สงสารปู่
ครูเทียมใจสู้ มองโลกแง่ดี “ก็เกาะฝาบ้านไปไง เหมือนจิ้งจก ตุ๊กแกน่ะ”
“อันที่จริงอาการผู้ป่วยถือว่าไม่หนักมากนะครับ ใช้ไม้เท้าช่วยเดินได้ ทางโรงพยาบาลมีไม้เท้าให้ฟรี” หมอบอก
จอมนางนึกได้ “ปู่ตกบันไดลงมาด้วยจ้ะ ไม่รู้แข้งขาเป็นอะไรหรอเปล่า”
“ขอหมอดูขาหน่อยครับ”
หมอลุกไปดูขาครูเทียม ตัวครูทำใจได้ นั่งเฉยๆ ไม่กังวลกับอาการป่วยตัวเอง ส่วนจอมนางกับกระแตกังวลมากกว่า
จอมนางเข็นครูเทียมออกจากห้องตรวจ หลงที่รออยู่รีบไปช่วยเข็นครูเทียม พลางถาม
“หมอบอกว่าครูเป็นอะไรครับ”
“เดี๋ยวค่อยคุยนะจ๊ะพี่หลง ชั้นต้องไปเอาไม้เท้าให้ปู่”
“พี่ไปเป็นเพื่อน ฝากปู่แป๊บนะจ๊ะพี่หลง”
จอมนางกับกระแตเดินไปตรงเคาน์เตอร์ หลงเข็นครูเทียมไปตรงเก้าอี้ นั่งคุยกับครู
“ครูต้องใช้ไม้เท้าเหรอครับ” กลงเองก็ห่วงครูไม่แพ้จอมนาง
“ก็ยังดีกว่าต้องนั่งรถเข็นแหละวะ ข้ายังเดินได้”
หลงยิ้ม “ครูเทียมเลือกมองโลกแง่ดีเสมอนะครับ”
“ตอนรู้ว่าป่วยเป็นพาร์กินสัน ข้าก็ปลง เกิดแก่เจ็บตายเป็นวัฏจักรของชีวิต ที่ข้าห่วงคือคณะเทียมฟ้า สุวรรณศิลป์ ถือกำเนิดเกิดมาร่วมร้อยปี ตั้งแต่รุ่นปู่ทวดข้า ถ้าเป็นคนก็นับว่าแก่ชราเต็มที แต่เทียมฟ้าจะป่วย...จะตายไม่ได้”
“ครูเทียม กับ เทียมฟ้าต้องอยู่คู่กันไปอีกนานครับ”
“เอ็งพูดอย่างกับข้าเป็นหนุ่มรุ่นกระทงอย่างนั้นแหละ ข้า 80 กว่าแล้วนะหลง ใกล้ถึงเวลาวางมือ”
สีหน้าครูเทียมขรึมลง ครุ่นคิดถึงการส่งมอบคณะเทียมฟ้าต่อให้จอมนาง
ฟากพวกกำจายออกมารอรับครูเทียมถึงประตูรั้ว ด้วยเป็นห่วงครู สักครู่หลงขับรถตู้พาครูเทียมกลับมาจากโรงพยาบาล
“ช่วยกันประคองปู่หน่อยจ้ะ” จอมนางร้องบอก สามกอ
พวกกำจายยื่นมือไปรับครูลงจากรถ ครูเทียมใช้ไม้เท้ายันช่วยทรงตัว ยืนได้เองไม่ต้องให้ใครพยุง
โก๊ะแปลกใจระคนตกใจ “ถึงขนาดต้องใช้ไม้เท้าเลยเหรอจ๊ะ”
สามก. กำจาย โก่ง โก๊ะ เห็นครูเทียมต้องใช้ไม้เท้าช่วยเดินแล้วถึงกับเศร้า สงสารครู
“ดีออกนะพวกเอ็ง ข้ามีขาเพิ่มมาอีกหนึ่งขา ข้ากลายเป็น...ครูเทียมสามขา ฮะๆๆ”
พอเห็นครูเทียมหัวเราะได้ ชาวคณะก็สบายใจ ยิ้มออก
กำจายเย้าครูเทียม “ต่อไปพวกชั้นขอเรียกครูว่า ครูเทียมสามขานะจ๊ะ”
“สามขาไม่พอพี่ ต้องสี่ขา ถึงจะครบวง” โก่งว่า
“ไอ้โก่ง! วกมาเรื่องไพ่ เอ็งแอบไปเล่นไพ่อีกใช่มั้ย”
ครูเทียมแกล้งเอาไม้เท้าตีโก่งเบา ๆ
“ไม่ได้ไปนานแล้วจ้ะครู”
หลงเตือน “ระวังล้มครับครู”
“ให้ขาที่สามไปพักเถอะจ้ะปู่ ชั้นกลัวมันเมื่อย แล้วปู่ล้มอีก” กระแตว่า
ชาวคณะห้อมล้อมพาครูเทียมเข้าบ้าน ครูยังใช้ไม้เท้าช่วยเดินไม่ถนัดนัก ชาวคณะคอยระวังไม่ให้ครูหกล้ม
จอมนางจัดยาส่งแก้วน้ำให้ปู่กินยา ครูเทียมไม่ดื้อ กินยาแต่โดยดี จอมนางเอาไม้เท้าไปวางพิงหัวเตียงให้ปู่ตื่นมาหยิบถนัด
“จอมเอ๊ย มานั่งหน้าปู่สิลูก”
จอมนางนั่งบนพื้นตรงหน้าปู่ แหงนหน้ามองปู่ ตาแป่วแหวว
“ใจปู่น่ะยังสู้ แต่ร่างกายปู่มันถดถอยลงทุกวัน ไม่ช้าก็เร็ว ปู่ต้องยืนซ้อมลิเกให้พวกเอ็งไม่ไหว จอม อีกไม่นาน ปู่จะยกคณะให้เอ็ง”
จอมนางหน้าเศร้าลง “ชั้นแบกรับภาระไม่ไหวหรอกจ้ะปู่”
“ที่ปู่ให้เอ็งหัดแต่งกลอนลิเก ก็เพื่อเตรียมพร้อมเอ็ง ให้ขึ้นคุมคณะ หัวหน้าคณะเทียมฟ้าทุกรุ่น แต่งกลอนลิเกเองทุกคน ตั้งแต่รุ่นทวดเอ็ง ตัวเอ็งก็แต่งกลอนลิเกจบไปแล้วหนึ่งเรื่อง”
“แต่ยังไม่เคยเอาไปเล่นที่ไหน คนดูอาจไม่ชอบกลอนลิเกของชั้นก็ได้จ้ะ”
หน้าตาจอมนางไม่มั่นใจในตัวเอง จะขึ้นคุมคณะได้
“พ่อเอ็งมาด่วนตาย ภาระเลยมาตกที่เอ็ง ยังไงซะ วันนึง เอ็งก็ต้องเป็นหัวหน้าคณะ”
“ชั้นไม่มีบารมีเหมือนทวด เหมือนปู่ ลูกคณะไม่เชื่อฟังชั้นหรอกจ้ะ”
“ตอนปู่ขึ้นคุมคณะ ก็อายุมากกว่าเอ็งตอนนี้ไม่เท่าไหร่ จอม เมื่อถึงเวลาเอ็งต้องทำได้ เหมือนที่ปู่ทำได้ มันอยู่ในสายเลือดของเรา”
ครูเทียมก้มมองหลานสาวคนเดียว มั่นใจว่าจอมนางต้องคุมคณะได้
ส่วนจอมนางแววตาหวั่นใจ ไม่มั่นใจในตัวเองซักเท่าไหร่ รู้สึกกดดัน
ถัดมา จอมนางเดินถือถาดแก้วน้ำลงมาจากข้างบน ขณะที่หลงกำลังปิดบ้าน
“ครูเทียมกินยาแล้วหรอครับ”
“จ้ะ”
จอมนางวางแก้วน้ำมาช่วยพี่หลงปิดบ้าน หลงเห็นจอมนางหน้าตากลัดกลุ้มก็พูดปลอบ
“ครูเทียมมีไม้เท้าแล้ว ไม่ล้มอีกแล้วล่ะครับจอม”
จอมนางกลุ้มใจ ระบายกับหลง “พี่หลง ปู่จะยกคณะให้ชั้นจ้ะ ชั้นกลัวทำไม่ได้ หัวหน้าคณะอ่อนกว่าลูกคณะเป็นสิบๆ ปี ลูกคณะที่ไหนจะเชื่อฟังชั้น”
“เมื่อวัยวุฒิเราไม่ถึง ก็ต้องใช้คุณวุฒิ ทำให้ลูกคณะนับถือ พี่เชื่อศักยภาพในตัวจอม เวลาพี่ซ้อมลิเกกับจอม พี่ได้รับพลังที่ส่งมาจากจอม”
จอมนางฉงน “ชั้นเนี่ยนะมีพลัง”
“จะเรียกพลัง หรือพรสวรรค์ก็ได้ เวลาจอมเล่นลิเก จอมมีพลังดึงดูดให้ทุกสายตาจับจ้องมองมาที่จอม เอาพลังที่อยู่ภายในออกมาใช้สิครับ จอมชนะใจคนดูได้ จอมก็ชนะใจลูกคณะได้”
จอมนางทวนคำหลง “พลังที่อยู่ภายใน...ทำให้ชั้นชนะใจลูกคณะได้”
คำให้กำลังใจของหลงทำให้จอมนางมีแรงใจ มั่นใจในตัวเองมากขึ้น จอมนางยิ้มหวานขอบคุณพี่หลง ฝ่ายหลงยิ้มตาหวานเชื่อมให้จอมนาง
เพลงรักหวานแว่วในใจหนุ่มสาวสองคน
หลงมัวแต่สบตาจอมนาง ไม่ทันมอง เลยปิดหน้าต่างหนีบนิ้วตัวเอง
“โอ๊ย”
จอมนางหัวเราะขำหลง แหมะกะลังซึ้งอยู่เชียว
ตอนกลางวัน วันถัดมา ฟ้าประทานเก็บตัวในห้องตั้งแต่เช้า พยายามเขียนกลอนลิเก เขียนออกมาไม่ได้ดั่งใจสักที หงุดหงิดตัวเอง ฉีกกระดาษทิ้ง พื้นห้อง รอบเตียงฟ้าประทาน เต็มไปด้วยกระดาษเกลื่อนห้อง
เจ๊ทรงงามยกถาดข้าวกับน้ำ มาให้ฟ้าประทาน ตุ้มตามเข้ามาด้วย
“กินข้าวก่อนจ้ะพ่อนักแต่งกลอนลิเก”
เจ๊ทรงงามหมั่นไส้ “นี่หล่อน! อย่าเอาหน้าสิยะ ชั้นเป็นคนหาข้าวให้ฟ้าประทาน” อีเจ๊รีบปั้นเสียงหวานกับฟ้าประทาน พูดเหมือนตุ้มเป๊ะ “กินข้าวก่อนจ้ะพ่อนักแต่งกลอนลิเก”
ตุ้มหมั่นไส้ “สร้างสรรค์หน่อยเจ๊ เลียนแบบคำพูดชั้น”
“จดลิขสิทธิ์ไว้รึไงยะ”
“คนมีมารยาท เค้าไม่ก๊อปปี้กันซึ่ง ๆ หน้า”
“ถ้าอย่างชั้นไม่มีมารยาท หล่อนก็เข้าขั้นมารยาททราม”
สองคนทะเลาะกันทุกวัน ทุกเรื่อง ฟ้าประทานระอามาก “พอได้แล้วทั้งคู่”
เจ๊ทรงงาม ยังไม่หยุด “อาศัยบ้านชั้นอยู่ แต่ด่าชั้นฉอดๆๆ นังคนไม่เจียมตัว”
“ชั้นเป็นเมียฟ้าประทาน ชั้นมีสิทธิ์อยู่กับผัวชั้น” ตุ้มก็ไม่ยอม
“เมียเก่าย่ะ หล่อนกับฟ้าประทานเลิกกันแล้ว”
“ยัดเยียดสถานะเมียเก่าให้ชั้นนัก อยากเป็นเมียใหม่ใจจะขาดสิ”
ฟ้าประทานหมดความอดทนกับผู้หญิงสองคนนี้ ตวาดเสียงดังลั่นห้อง
“หยุดได้แล้ว”
ตุ้มกับเจ๊ทรงงามตกกะใจ ที่เห็นฟ้าประทานโกรธขนาดหนัก
“ก็เพราะบ้านมันวุ่นวายอย่างนี้ไง ผมถึงแต่งกลอนลิเกไม่ได้ซะที หนวกหู ตีกันอยู่นั่นแหละ”
ฟ้าประทานลุกจากเตียง เอาสมุดแต่งกลอนลิเกใส่กระเป๋า ผลุนผลันออกไป เจ๊ทรงงามวางถาดอาหารกับน้ำดื่มไว้บนเตียง ตามฟ้าประทานไป ตุ้มตามติด
ฟ้าประทานเดินหน้าบูดหิ้วกระเป๋าใส่สมุดแต่งกลอนมาที่รถ เจ๊ทรงงามกับตุ้มตามมา
“จะให้ไม่ตีกันได้ยังไง เจ๊ทรงงามชอบหาเรื่องชั้น”
ฟ้าประทานหยุดหันมาต่อว่าตุ้ม “ตุ้มวอแวผมไม่เลิก เจ๊ถึงไม่พอใจ เราจบกันไปแล้ว ตุ้มเลิกหึงหวงผมซะที ตุ้มไม่มีสิทธิ์”
ตุ้มหน้าเสีย เจ๊ทรงงามหัวเราะฮิๆ สมน้ำหน้า
ฟ้าประทานหันมาต่อว่าเจ๊ทรงงาม “เจ๊ก็เหมือนกัน เจ๊ไม่มีสิทธิ์หวงผม ผมไม่ใช่แฟนเจ๊”
เจ๊ทรงงามหน้าเหวอ อึ้งรับประทาน ไม่เคยโดนฟ้าประทานต่อว่ามาก่อน ตุ้มเอาคืน หัวเราะ ฮะๆๆ ใส่อีเจ๊
เจ๊ทรงงามตัดพ้อ “ฟ้าประทานไม่เคยพูดจาไม่ดีกับเจ๊”
“ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมต้องพูด เจ๊อย่าทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผม”
“เจ๊ไม่ได้อยากเป็นเจ้าของฟ้าประทานนะจ๊ะ เจ๊แค่อยากเป็นคนสำคัญที่สุดของฟ้าประทาน”
ฟ้าประทานย้อนอีก “มันต่างกันตรงไหน ผมไม่ใช่สิ่งของที่ใครจะครอบครองได้ ฟ้าประทานคนนี้
ไม่ใช่ของๆ ใครทั้งนั้น เลิกแย่งกันซะที”
ฟ้าประทานโมโห เดินหุนหันขึ้นรถขับทะยานรถไป
เจ๊ทรงงามน้อยใจฝุดๆ “หลายปีที่รู้จักกัน ฟ้าประทานไม่เคยว่าเจ๊ซักคำ วันนี้จัดมาเป็นชุด”
“เคยเจอแต่ลูกหวานลูกอ้อน โดนจับกินยาขมซะมั่ง”
ตุ้มไม่วายเหน็บแนม พร้อมกับหัวเราะสมน้ำหน้าอีเจ๊ แล้วเข้าบ้านไปก่อน เจ๊ทรงงามซึม น้อยอกน้อยใจพ่อฟ้าประทานสุดที่รัก
เจ๊ทรงงามเดินซึมเข้าห้องฟ้าประทานมา เห็นตุ้มกำลังเก็บกระดาษที่เกลื่อนห้อง จะเอาไปทิ้ง เจ๊ทรงงามยกถาดข้าวกับน้ำบนเตียงจะเอาไปเก็บในครัว อีเจ๊ทำแก้วน้ำล้ม น้ำเปล่าหกราดฟูก
“ซุ่มซ่ามจริงเจ๊”
“ฟูกเปียกหมด ช่วยกันยกฟูกไปตาก”
ตุ้มกับเจ๊ทรงงามช่วยกันยกฟูกขึ้น พบว่าใต้ฟูกมีสมุดบัญชีธนาคารซ่อนอยู่ เจ๊หยิบขึ้นมาดู
ตุ้มนึกได้ สมุดบัญชีนี้เป็นของฟ้าประทานที่ปิดไม่ยอมบอกเจ๊ทรงงาม
“เกิดเจ๊ทรงงามเจอเงินสดในห้อง ต้องจับได้ว่าฟ้าประทานแอบแก้สัญญา อมเงินค่าจ้าง”
“เดี๋ยวผมจะเอาเงินไปฝากธนาคาร เจ๊ทรงงามไม่มีทางจับได้”
เจ๊ทรงงามกำลังเปิดสมุดบัญชีดู ตุ้มรีบฉกแย่งสมุดบัญชีมา โกหกเจ๊ว่า
“ของชั้น”
“ของหล่อนแล้วซุกซ่อนใต้ที่นอนฟ้าประทานได้ยังไง” เจ๊ทรงงามไม่เชื่อนัก
“ก็ชั้นรู้ทัน เจ๊ชอบแอบไปค้นห้องนอนชั้น เลยเอามาซ่อนในห้องฟ้าประทาน”
“เอามาดูสิ มีเงินเท่าไหร่”
ตุ้มไม่ให้จะเอาสมุดบัญชีออกไป เจ๊ทรงงามไวกว่าแย่งสมุดบัญชีมาได้ รีบเปิดหน้าบัญชีดู ตุ้มหน้าเสีย เจ๊ทรงงามต้องรู้ว่า สมุดบัญชีเป็นของฟ้าประทาน
เจ๊ทรงงามเปิดข้ามหน้าชื่อเจ้าของสมุดบัญชี ไปดูหน้าบันทึกเงินเข้าออก
“โอ้โห มีเงินฝากตั้งหลายหมื่น เบิกมาช่วยออกค่าน้ำค่าไฟมั่งสิยะ”
“แล้วจะเบิกมาให้ เอาคืนมา”
ตุ้มฉกสมุดบัญชีจากมือเจ๊ทรงงาม แล้วรีบออกไป
“หวงเหลือเกินนะยะ อ้าว เลยหนีไม่ช่วยชั้นยกฟูก”
เจ๊เลยต้องออกแรงยกฟูกไปตากคนเดียว
“ฮื้บ...”
ฟ้าประทานขับรถมาตามถนนสายหนึ่งในบางไทร ตุ้มโทร.มาหา ฟ้าประทานไม่อยากรับสาย ตุ้มโทร.ไม่หยุด
ฟ้าประทานจำใจรับสาย “มีเรื่องอะไรมาให้ผมปวดหัวอีกล่ะตุ้ม”
ตุ้มโทร.คุยกับฟ้าประทาน เรื่องสมุดบัญชีที่อยู่ในมือ
“เจ๊ทรงงามเจอสมุดบัญชีธนาคารฟ้าประทานใต้ฟูก”
ฟ้าประทานใจหายวูบ รีบจอดรถเข้าข้างทาง เพื่อคุยกับตุ้ม
“งั้นเจ๊ก็รู้แล้ว ผมอมเงินเจ๊”
“โชคดี เจ๊ไม่ได้เปิดดูชื่อเจ้าของบัญชี เจ๊ดูเฉพาะที่มีบันทึกเงินเข้าออก ชั้นโกหกว่าเป็นสมุดบัญชีของชั้น”
ฟ้าประทานถอนหายใจเฮือกใหญ่ โล่งอก “ทำดีมากตุ้ม ผมจะกลับบ้าน หาที่ซ่อนสมุดบัญชีใหม่”
“กลับมาตอนนี้ เจ๊ก็ต้องถาม ทำไมรีบกลับ ฟ้าประทานเพิ่งออกไปหยกๆ ชั้นจะเก็บสมุดบัญชีไว้ให้จ้ะ ไม่ต้องห่วง”
“ผมไว้ใจตุ้มได้เสมอ”
“ไม่ว่าฟ้าประทานทำอะไร ชั้นจะคอยระวังหลังให้ ชั้นไม่มีวันหักหลังฟ้าประทาน”
ฟ้าประทานวางสายด้วยความสบายใจแล้ว ยิ้มย่องผ่องใส ขับรถไปต่อหน้านวลๆ
อ่านต่อตอนที่ 18