ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 13
หลงกำลังฝึกลิเกอยู่ที่ลานหลังบ้านโดยไม่สำเหนียกว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้แล้ว เวลานี้ถึงคิวซ้อมฟันดาบกับกำจาย หลงฟันเบาไป
“ออกแรงหน่อยซีวะ พระเอกต้องฟันดาบทะมัดทะแมง หนักแน่น”
หลงก็ยังฟันเบาเกินไปอยู่ดี กำจายหยุดฟันดาบ
“ก็เบาไปอยู่ดี เอางี้ไอ้หลง เอ็งนึกว่ากำลังฟันดาบใส่คนที่เอ็งเกลียดขี้หน้า”
หลงคิดปราดเดียว นึกถึงคนที่ตนเกลียดในใจ “ตายซะเถอะ ไอ้เสี่ยเต๊ก!”
เท่านั้นละ หลงฟันดาบแรงได้ใจ ทำเอากำจายที่ตั้งรับจนดาบสั่น
ฟากเสี่ยเต๊กเดินลงบันได กดมือถือหาเบิ้มพลางถือรอสาย เสี่ยก้าวพลาด ตกบันไดพรวดแต่ไม่กี่ขั้น
“ใครแช่งอั๊ววะเนี่ย”
เบิ้มกับพลย่องเข้ามาดูภายในบ้าน เสียงโทรศัพท์เบิ้มดันดังพอดี เบิ้มรีบล้วงกระเป๋ารีบหยิบโทรศัพท์ แต่รีบจนทำโทรศัพท์หล่นอีก กว่าจะเก็บขึ้นมากดรับ เสียงโทรศัพท์ก็ดังอยู่นาน
เบิ้มรับสาย พูดเสียงเบา “ผมไม่สะดวกคุยครับเสี่ย”
เสี่ยเต๊กคุยสายอยู่ตรงแถวบันไดด่าเบิ้มเสียงลั่นบ้าน “ลื๊อเป็นเจ้านายอั๊วรึไงวะ ไม่ยอมคุย เจอพงศ์เทพหรอยัง”
“ยังครับ”
โก่งกับโก๊ะยินเสียงโทรศัพท์โผล่มาเห็นสองคน ทำตัวลับๆ ล่อๆ นี่มันขโมยชัดๆ สองหนุ่มคนลิเกถือไม้หน้าสามมาคนละท่อน เล็งแลจะฟาดสองนักเลงเบิ้มกับพล โก่งร้องตะโกนขึ้นว่า
“ไอ้หัวขโมย”
โก่งกับโก๊ะถือไม้ไล่ตี เบิ้มกับพลวิ่งหนีอุตลุดไปทางประตูรั้ว
เสี่ยเต๊กได้ยินเสียงโก่งดังลอดมาทางโทรศัพท์ ก็งง
“ใครขโมยอะไรวะ ไอ้เบิ้ม...ไอ้เบิ้ม หายไปไหนแล้ววะ”
เสี่ยวางสายอย่างหงุดหงิด โมโหลูกน้องไม่ได้ความ
เบิ้มกับพลวิ่งหนีโก่งกับโก๊ะมาถึงประตูรีบกระโดดข้ามรั้ว บึ่งมอเตอร์ไซค์หนีไป
“อย่ามาแถวนี้อีกนะเว้ย ข้าตีตาย” โก่งตะโกนตามหลัง
กำจายกับหลงได้ยินเสียงเอะอะ เดินออกมาดู
“โวยวายกันวะ เสียงดังไปถึงลานบ้าน”
“ชั้นได้ยินเสียงโทรศัพท์ เดินไปดู เห็นขโมยสองกำลังย่องเข้าบ้าน เลยเอาไม้ไล่ตีจ้ะ หนีหางจุกตูดไปแล้ว”
หลงสังหรณ์ใจวูบ เป็นเบิ้มกับพลหรือเปล่าหว่า? เลยถามขึ้น
“หน้าตาขโมยเป็นยังไงโก๊ะ”
“ไม่ได้จำหน้ามันพี่ วิ่งไล่ตีลูกเดียว” โก๊ะบอก
หลงชะเง้อมองไปที่ถนนหน้าบ้าน ไม่เห็นขโมยแล้ว เลยไม่รู้ว่าจะใช่เบิ้มกับพลมั้ย
เบิ้มกับพลขี่รถพ้นมาไกล เบาเครื่องจอดข้างทาง
“มันบ้านลิเกหรือบ้านนักเลงวะ ถือไม้ไล่ตีชาวบ้าน” พลบ่น
“ลูกเฮียพงศ์เป็นคนทำมาหากิน ไม่คบนักเลงหัวไม้พวกนั้นหรอก ไปหาพงศ์เทพที่อื่นกันต่อ”
เบิ้มกับพลขี่รถไป ไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิดถนัด
ด้านฟ้าประทานนอนพักผ่อนตากแอร์เย็นสบายอยู่ในห้อง สักครู่ตุ้มเปิดประตูเข้ามาหา
“ไปเยี่ยมครูเทียมกันจ้ะ ฟ้าประทาน”
“วันนี้ไม่มีซ้อม ผมอยากพัก”
“ชั้นคิดถึงครู คิดถึงบ้านเทียมฟ้า”
“อยากไปก็ไปคนเดียว ผมจะนอน”
ตุ้มโหยหาความรักจากผัว เดินไปนอนหนุนแขนฟ้าประทาน
สีหน้าฟ้าประทานชั่ววูบหนึ่ง ปรายตามองตุ้มด้วยแววตาอ่อนโยน
แต่พอตุ้มหันมามองหน้า ฟ้าประทานก็ปรับสีหน้าแววตาเป็นเย็นชาเช่นเดิม และสุดท้ายฟ้าประทานลุกนั่ง ไม่อยากใกล้ชิด ให้ความหวังตุ้มมาก
“เราเลิกกันแล้วนะตุ้ม ไม่ควรทำแบบนี้”
ตุ้มช้ำใจ ที่ฟ้าประทานตีตัวออกห่างมากขึ้นทุกวัน เดินซึมคอตกออกไป
“ไม่ใช่ผมรังเกียจตุ้มนะ ผมไม่อยากให้ตุ้มมีความหวัง”
ฟ้าประทานเองก็ซึมเอาการ ด้วยในใจยังมีเยื่อใยต่อตุ้มไม่น้อย
ตุ้มพาตัวเองมาก้มกราบครูเทียมที่โถงบ้านหลังเก่า กระแต กับจอมนางอยู่ด้วย
“ไปอยู่บ้านนั้น สบายดีมั้ยตุ้มเอ๊ย” ครูทอดเสียงนุ่มถาม
ตุ้มสะท้อนในอก ไม่กล้าเล่าปัญหา แต่หน้าตาหมองเศร้า ฟ้องว่าเธอไม่มีความสุข
“เมียเก่ากับเมียใหม่อยู่บ้านเดียวกัน ก็บ้านแตกสิจ๊ะปู่” กระแตเอ่ยขึ้นเป็นเชิงแดกดัน
ตุ้มค้อนตาคว่ำ “สู่รู้จริงนะนังกระแต”
“ไม่สบายใจก็กลับมาอยู่บ้านเรา ข้ายังเก็บห้องไว้ให้เอ็ง”
“กลับไม่ได้จ้ะครู ต้องอยู่กันท่าอีเจ๊ทรงงามกับฟ้าประทาน ดึกๆ ดื่นๆ ย่องไปห้องฟ้าประทานอย่างกับแมวขโมย”
กระแตสอดอีก “แกไม่ได้นอนห้องเดียวกับฟ้าประทานหรอ อ้อ ลืมไป ฟ้าประทานทิ้งแกแล้ว”
ตุ้มชักฉุน “นังกระแต จะปากดีกับชั้นไปจนตายจากกันเลยมั้ยฮึ”
“วะ พวกเอ็งนี่ แยกบ้านกันแล้ว แต่ยังกัดกันไม่เลิก” ครูเทียมหันไปสั่งกระแต “ไปปักผ้าไป”
กระแตลอยหน้าลอยตาไป
ครูเทียมมองแล้วยิ่งสงสารตุ้ม “เอ็งน่าจะบอกครูว่าผู้ชายที่เอ็งจะแต่งงานด้วย คือ ฟ้าประทาน
ครูอาจช่วยพูดให้มันสำนึกได้ รับผิดชอบเอ็ง ไม่ใช่ทิ้งขว้างเอ็งแบบนี้”
“ชั้นมันโง่เองจ้ะครู คิดว่าฟ้าประทานรักชั้นจริง”
“ก็รู้ว่าฟ้าประทานไม่รักจริง ทำไมตุ้มไม่ตัดใจ” จอมนางบอก
“จอมไม่เคยรักใครมากๆ ไม่รู้หรอก ความรักทำให้เราให้อภัยคนที่เรารักได้ทุกอย่าง ถึงเค้าจะทำให้เราเสียใจแค่ไหนก็ตาม”
พอพูดแล้วตุ้มก็หน้าเศร้าลงไปอีก ครูเทียมสงสาร ดึงหัวลูกศิษย์มาซบอก ตุ้มหลับตาซึมซับความอบอุ่นจากชายชราผู้อารี
กระแตแอบฟังตุ้มอยู่ ไม่ได้ไปไหนไกล ให้นึกสงสารตุ้ม ที่ถูกฟ้าประทานทำให้ช้ำใจ
ฝ่ายเสี่ยเต๊กคุยโทรศัพท์หัวเราะหัวใคร่กับสาวๆ บรรดากิ๊กในเลาจน์
“ห้ามเปิดเชมเปญนะจ๊ะน้องเอม อีกชั่วโมง เสี่ยไปถึงเลาจน์”
เหลียนฮัวกับเหมยฮัวกลับมาจากช้อปปิ้ง ซื้อเสื้อผ้า ขวดนมให้ลูกในท้อง อาจงออกมารับถุงของจากคุณนายกับคุณหนู เสี่ยเต๊กมองของในถุง เห็นเป็นเสื้อผ้าเด็กอ่อน ก็ยัวะ
“อั๊วบอกแล้วไง ไม่ต้องเตรียมของอะไรให้ลูกของเหมย รอให้ไอ้เทพ พ่อของมันกลับมาซื้อ”
เหลียนฮัวเสียงแข็งใส่ “เลิกพาลซะทีเสี่ย โกรธลูก เกลียดผัวลูก ก็อย่าลงที่หลาน”
“อั๊วไม่ได้ต้องการหลานคนนี้ พอมันเกิดมา อั๊วจะไม่อุ้ม ไม่มองหน้า กลางคืนมันร้องเสียงดังจนอั๊วนอนไม่ได้ อั๊วจะเอาขวดนมยัดปากมัน”
เหลียนฮัวโมโหผัว หยิบขวดนมในถุง ปาหัวเสี่ยโดนจังๆ ดังโป๊ก...
“ว้าย” เหมยฮัวตกใจ คิดไม่ถึงว่าหม่าม้าจะกล้าถึงเพียงนี้
เสี่ยเต๊กตกใจยิ่งกว่าลูก “นี่ลื๊อ...ลื๊อ...ลื๊อกล้าลงไม้ลงมือกับอั๊ว จำไว้เลยอาเหลียน”
เสี่ยเต๊กหน้าบึ้งตึง ถือขวดนมหลานออกไป
เสี่ยเต๊กถือขวดนมหลานมาขึ้นรถ จากสีหน้าถมึงถึง โกรธขึ้ง เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง มองขวดนมหลาน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“เราจะได้เป็นอากงแล้ว”
ใจจริงแล้วเสี่ยเต๊กก็รักลูก รักหลาน แต่ทิฐิ โกรธลูกสาว แรงกว่า
ภายห้องเด็กอ่อน ตอนนี้ยังเป็นห้องโล่งๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ นอกจากตู้ใบเดียว เหลียนฮัว เหมยฮัว และ อาจงช่วยกันรื้อของเด็กอ่อนที่ซื้อออกจากถุง เก็บเข้าตู้ มีชุดทารก ผ้าอ้อม ขวดนม
เหมยฮัวเอ่ยขึ้น “ตอนหม่าม้าเอาขวดนมปาเตี่ย เหมยตกใจ ไม่คิดว่าหม่าม้าจะกล้า”
“หม่าม้าจะไม่ยอมให้เตี่ยรังแกลูก รังแกหลาน”
เหลียนฮัวจับมือลูกสาว พูดจริงจัง “ที่เหมยพลาด ท้องทั้งที่ไม่ได้แต่งงาน หม่าม้าก็มีส่วนผิด
หม่าม้าเป็นแม่ที่ห่างเหินลูก”
เหมยฮัวหน้าเศร้า “เหมยไม่รักดีเอง หม่าม้าไม่ผิดค่ะ”
“เมื่อชีวิตลูกผิดพลาด คนเป็นแม่ปัดความรักผิดชอบไม่ได้ เหมย ต่อไปนี้เราจะเปิดอกคุยกันทุกเรื่อง เราจะใกล้ชิดกันให้มากขึ้น เหมยไม่ต้องไปหาความรักความเข้าใจนอกบ้านอีกแล้ว”
เหมยฮัวน้ำตาคลอหน่วย ซาบซึ้งตื้นตันใจมาก “ค่ะหม่าม้า”
“ส่วนเตี่ยเหมย หม่าม้ารู้ ที่จริงเตี่ยก็รักเหมย รักหลาน ความที่เตี่ยเหมยเป็นคนหัวโบราณ เชื่อว่าสนิทสนมกับลูกมากไป ทำให้ลูกไม่นับถือ เตี่ยเลยห่างเหินเหมย เตี่ยทำผิดพลาดกับเหมยมาแล้ว หม่าม้าจะไม่ให้พลาดกับลูกของเหมยอีก”
อาจงกังวล เอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยจะยอมเปลี่ยนเหรอคะคุณนาย อาจงว่า เสี่ยต้องเลี้ยงหลาน เหมือนที่เลี้ยงคุณหนู ไม่เคยป้อนข้าว ไม่เคยสอนการบ้าน ไม่พาไปเที่ยว”
“อั๊วจะดัดนิสัยเสี่ยเต๊ก เสี่ยต้องปรับปรุงตัวก่อนหลานเกิด อั๊วจะทำให้บ้านหลังนี้ เป็นบ้านที่อบอุ่น เพื่อหลานของอั๊ว”
เหลียนฮัวหน้าตาเอาจริงมาก เหมยฮัวยิ้มดีใจ หม่าม้าฮึดสู้เพื่อลูกและหลานในท้องตัวเอง
ค่ำคืนนี้จอมนางมาหาปู่ที่ห้อง จะมาหยิบยาให้ปู่กิน ปรากฏว่าหลงหยิบให้ก่อนแล้ว และปู่กำลังกินยา
“อ้าว ชั้นว่าจะมาหยิบยาให้ปู่เชียว”
“พี่มาหยิบยาให้ครูจนชิน ลืมไป จอมจะดูแลเรื่องยาให้ครูเอง” หลงบอก
“พี่หลงช่วยดูแลปู่ก็ดีจ้ะ”
ครูเทียมยิ้มแต้ ปลื้มใจ ที่ลูกหลานห่วงใย “ข้ามีบุรุษพยาบาล นางพยาบาลผลัดเวรดูแล”
“กินยามาหลายวันแล้ว มือสั่นน้อยลงมั้ยครับครู”
“บอกไม่ถูก”
หลงจับมือขวาครูเทียมข้างที่สั่นมาดู
“อืม ผมว่าสั่นน้อยลงนะครับ”
จอมนางมองหลงที่คอยดูแลเอาใจใส่ปู่ ยิ่งประทับใจ บอกกับตัวเองว่า
“ไม่ว่าพี่เป็นใคร ทำอะไรมา แต่พี่ดีกับปู่ชั้นก็พอ”
หลงบีบนวดมือขวาให้ครูเทียม มีจอมนางยืนมองอยู่อย่างนั้น
ครูเทียมตื่นแต่เช้าดังเช่นทุกวัน หน้าตาสดใส ชายชราเดินลงมาข้างล่างก็เห็นจอมนางกำลังปักซ่อมชุดลิเกของพ่อที่ให้หลงใส่ จอมนางปักไปยิ้มไป นึกถึงหน้าหลง
“ปู่ ชั้นเตรียมข้าวสุกไว้ให้ปู่โปรยให้นกแล้วจ้ะ อยู่หลังฝาโอ่งข้างบ้าน”
“ขอบใจลูก ตื่นมาปักซ่อมชุดแต่เช้าเลยนะจอมเอ๊ย”
“ชุดพ่อเก่ามาก เพชรลิเกหลุดไปเยอะ ชั้นอยากเนรมิตให้ชุดของพ่อ กลับมาสวยเหมือนเดิมจ้ะ”
ครูเทียมพยักหน้ารับฟัง ไม่ได้แย้ง ทั้งที่ในใจครูคิดว่า
“เอ็งอยากเนรมิตชุดให้ไอ้เจ้าหลงต่างหาก”
จอมนางก้มหน้าปักซ่อมชุดลิเกอย่างเบิกบาน ครูเทียมมองหลานสาวอย่างกังวล รู้ว่าหลานสาวชอบเจ้าหลงเต็มเปา
อ่านต่อหน้า 2
ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 13 (ต่อ)
ออกมานอกบ้านครูเทียมเดินตามหาหลง จนมาเจอเขากำลังใส่ปุ๋ยอยู่ที่แปลงผักของจอมนางหลังบ้าน
“หน้าร้อน ผักไม่ค่อยโต ต้องคอยใส่ปุ๋ยครับครู”
“หลง เอ็งพอจำอะไรได้เหรอยัง”
หลงไม่กล้าสบตาครูเทียม เพราะรู้แก่ใจว่ากำลังโกหก “ยังครับ”
“เกิดวันนึงความจำเอ็งกลับมา แล้วเอ็งจำได้ว่า เอ็งมีลูกเมียอยู่ที่กรุงเทพฯ เอ็งจะทำยังไง”
“ผมก็จะกลับไปหาลูกเมียผมครับ”
“ผู้ชายบางคน พอห่างลูกห่างเมีย ก็ถือโอกาสทอดทิ้ง ไปมีใหม่ ยิ่งหล่อๆ อย่างเอ็ง ผู้หญิงมาให้เลือกไม่ซ้ำหน้า”
“ถ้าผมตัดสินใจเลือกผู้หญิงซักคนเป็นภรรยาแล้ว ผมจะซื่อสัตย์กับเค้าคนเดียวครับ”
“ผู้ชายมันก็เจ้าชู้ทุกคนแหละ แค่มากน้อยต่างกัน”
“แต่พอแต่งงานแล้วต้องหยุดครับ ถ้าผมแต่งงานมีครอบครัว ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวของผมมีชีวิตที่ดี ผมจะอบรมสั่งสอนลูกจากประสบการณ์ชีวิตของผม ผมจะรักบูชาเมียผม เพราะเค้าคือคนที่ให้กำเนิดสายเลือดของผม”
ประโยคหลังหลงพูดทุกคำจากใจจริง เขาจึงกล้าสบตาครูเทียม ชายชราจ้องลึกลงไปในดวงตาหลง เห็นความซื่อสัตย์จริงใจในแววตา ก็พอใจในคำตอบ
“ผู้ชายอย่างเอ็ง ไม่มีวันทำให้ผู้หญิงคนไหนเสียใจ”
ครูเทียมยิ้มคำตอบของหลง ทำให้เบาใจ หายห่วงจอมนางไปเยอะ
เช้าวันเดียวกันพร้อมพงศ์กินข้าวเช้ากับเจ๋ง พร้อมพงศ์กินไปถอนหายใจไป คิดเรื่องครูเทียมป่วย สงสารครู
“สงสารครูเทียมนัก ลุงก็ไปเยี่ยมครูแกบ่อยๆ”
“ลุงกำลังคิดว่า ถ้าลุงเอาตัวไอ้เทพกลับไปแต่งงานตอนนี้ ครูเทียมต้องลำบากเทียมฟ้าอาจถึงขั้นยุบคณะ”
เจ๋งอะเมซิ่งมากๆ “โอ้โหแฮะ นึกถึงใจคนอื่นก็เป็นด้วย”
“เดี๋ยวปั้ดเอาแกงราดหัว เคยมองลุงแง่ดีมั่งมั้ยวะ”
“ลุงเลิกบังคับพี่เทพไปแต่งงานก็ดีแล้ว พี่เทพแกได้เลิกแกล้งโกรธลุง อุ๊ย”
เจ๋งหน้าแหยดันเผลอหลุดปาก
“อ๋อ...นี่ไอ้เทพมันแกล้งโกรธ ไอ้ลูกบังเกิดกล้า ทำเอาพ่อนอนไม่หลับ นึกว่าโดนลูกตัดขาด”
พร้อมพงศ์ยัวะลูกชาย วางจานช้อนลุกพรวด จะไปด่ามันที่บ้านลิเก
“อย่าไปเอาเรื่องพี่เทพนะลุง เดี๋ยวความลับพี่เทพแตก”
เจ๋งวางจานข้าวรีบตามลุงพงศ์ไป
พร้อมพงศ์เดินดุ่ยๆ มาในบ้านลิเก เจ๋งพยายามดึงลุงพงศ์กลับ
“ไอ้เจ๋งอย่าห้าม ลุงจะไปเล่นงานไอ้ลูกตัวแสบ”
พร้อมพงศ์เข้ามาในห้องโถง แต่แล้วต้องตะลึงแล มองจ้องลูกชาย ที่ยามนี้ใส่ชุดลิเกทรงเครื่องเต็มยศ...งามบรรลัยเลยลูก พ่อจอมกะล่อนคิด
จอมนางกับกระแตเย็บเครื่องทรงติดกับชุดให้
ครูเทียมเห็นพร้อมพงศ์ตะลึงมองหลง “ท่าเอ็งจะได้พ่อยกแล้วหลง จ้องเอ็งไม่วางตาเชียว”
“พี่เหมือนพระเอกลิเกเลยพี่” เจ๋งเองก็อึ้ง ทึ่ง เล็งแลไม่ต่างกัน
“ก็ต้องเหมือนซีวะ ไอ้เจ้าหลงมันเป็นพระเอกลิเก นี่ข้าให้มันลองชุดที่แก้ใหม่” ครูเทียมอวด
“ชั้นว่าขากางเกงยาวไปนิดนะพี่กระแต” จอมนางเล็งที่หลง
“พี่ว่าพอดีแล้วนะ” กระแตขยับชุดดู
พร้อมพงศ์มองตามุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้งอยู่นั่นแล้ว ปลาบปลื้มลูกชาย ที่กลายเป็นพระเอกลิเกเต็มตัว
ขณะที่หลงกำลังเปลี่ยนผ้า ถอดชุดลิเกทรงเครื่องชิ้นในสุด พร้อมพงศ์แอบเข้ามาหาลูก พงศ์เทพหรือหลงยังฟอร์มแกล้งโกรธต่อ ไม่พูดกับพ่อสักคำ
พร้อมพงศ์เลยเอ่ยขึ้น “ไอ้เจ๋งบอกพ่อแล้ว เอ็งแกล้งโกรธพ่อ”
“ไอ้น้องคนนี้ เก็บความลับไม่เคยอยู่” พงศ์เทพฉุนนิดๆ
“พ่อเคยฝันอยากเป็นพระเอกลิเก แต่ปู่กับย่าเอ็งไม่ยอมให้พ่อหัดลิเก เทพลูกพ่อ...เอ็งเดินตามฝันแทนพ่อ” พร้อมพงศ์ปลื้มลูกสุดๆ
“ผมทำเพื่อช่วยคณะเทียมฟ้าครับ”
“เทพ พ่อยอมให้เอ็งอยู่ช่วยครูเทียม”
พงศ์เทพมองพ่อดีใจมาก “พ่อไม่บังคับผมไปแต่งงานแล้ว”
“พ่อสงสารครูเทียม แล้วพ่อก็อยากดูเอ็งเล่นลิเกซักครั้ง แต่ หลังจากนั้นเอ็งต้องกลับไปแต่งงาน”
“โธ่พ่อ ดีให้ตลอดรอดฝั่งก็ไม่ได้”
พงศ์เทพเซ็ง พ่อไม่ทิ้งนิสัยเดิม เห็นแก่เงินเป็นที่ 1
ตุ้มลงมาจากห้องข้างบน ได้ยินเสียงฟ้าประทานร้องลิเก พอเดินมาถึงห้องโถงบ้านเจ๊ทรงงาม ก็เห็นฟ้าประทานใส่ชุดพระเอกลิเกลูกบทเต็มยศ และกำลังร้องเล่นลิเกให้อีเจ๊ทรงงามดูเป็นการส่วนตัว
ฟ้าประทานร้องลิเกใส่บทอ้อนหวานเยิ้ม เจ๊ลืมตัวนึกว่าดูลิเกอยู่ในวิก ควักแบงค์ให้ ฟ้าประทานก็ทำเนียน พับเงินยัดใส่เสื้อ
“ใช้เงินซื้อความรัก ก็ได้แต่ความรักปลอมๆ” ตุ้มหมั่นไส้
ทรงงามฉุน ย้อนกลับ “เหรอยะ พ่อฟ้าประทานรักหล่อนจริงสินะ ฮึ รักจริง! ทิ้งจริง!”
ตุ้มกับเจ๊ตั้งท่าจะปะทะคารมกัน ฟ้าประทานรีบห้าม
“ผมอยู่สงบๆ ซักวันนะครับ” ฟ้าประทานหันไปอ้อนทรงงาม “เจ๊ครับ ผมเล่นลิเกให้เจ๊ดูแล้วที่เจ๊สัญญาไว้”
“เจ๊จะดลบันดาลให้ฟ้าประทานทุกอย่าง ยกเว้นดาว เดือนกับ อุกกาบาต อันนั้นเจ๊หาให้ไม่ได้”
“รักเจ๊ที่สุดเลยครับ”
ฟ้าประทานกราบงามๆ ที่อก เจ๊ทรงงามถือโอกาสกอดหอมซะเลย ตุ้มตาลุกวาว หึงฝุดๆ กัดฟันกรอดๆ
ฟ้าประทานยิ้มร่า ไม่ว่าต้องการอะไร เขาต้องได้
ช่วงหัวค่ำวันเดียวกัน ที่โถงบ้านครูเทียม หลงกำลังทบทวนบทเรียนวันนี้อย่างมุ่งมั่น
“ท่าโอด คือ ท่าร้องไห้ ทำแบบนี้” หลงทำท่าร้องไห้
ครูเทียมมองอย่างชื่นชม “ตั้งแต่ข้าสอนลูกศิษย์มา เอ็งหัวไวที่สุด สอนวิชาอะไรไป รับหมด”
“ปู่จ๋า พรุ่งนี้เราให้พี่หลงหัดร้องหัดรำพร้อมกันทีเดียวเลยนะจ๊ะ”
“พื้นฐานรำหลงยังไม่แน่นพอ จะพาลจำกลอนไม่ได้ มัวแต่พะวงท่ารำ หลงเอ๊ย ซ้อมร้อง ซ้อมรำ แยกกันไปก่อนนะ เมื่อครูเห็นว่าเอ็งพื้นฐานแน่นแล้ว ครูจะให้เอ็งร้อง รำ พร้อมกัน” ชายชราว่า
หลงน้อมรับ “ผมจะตั้งใจฝึกฝนครับครู”
เวลาทำหน้าที่ของมันไป ชีวิตผู้คนโลดแล่นไปตามโมงยามที่เคลื่อนคล้อย หลายอาทิตย์ผ่านไป ชีวิตของพงศ์เทพ ที่ตอนนี้ได้สลัดคราบเซลส์แมนขายน้ำมันมะพร้าวทิ้งไม่เหลือ กลายเป็นพระเอกลิเกป้ายแดงนาม หลง ฝึกฝนอย่างเร่งรัด โดยที่ผู้ฝึกใส่ใจเป็นอย่างดี
ในตอนเช้า หลงฝึกร้องลิเกกับจอมนาง พอตกบ่าย ก็ฝึกรำกับกำจาย โดยทั้งเช้ายันบ่ายครูเทียมเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด
อีกฟาก ฟ้าประทานควงแขนเจ๊ทรงงามไปซื้อเครื่องเสียง เจ๊เขียนเช็คเงินสด 2 ล้านบาท จ่ายค่าเครื่องเสียงตามแรงรักในตัวพ่อยอดขมองอิ่ม
ไม่เท่านั้นอีเจ๊ยังถอยรถตู้ป้ายแดงให้ฟ้าประทานอีกหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฟ้าประทานดีใจมากเพียงไหนไหว้ขอบคุณเจ๊เป็นการใหญ่ เจ๊เป็นปลื้ม โดยมีสายตาขุ่นมัวของตุ้มคอยมองค้อนหมั่นไส้ ให้นึกเดียดฉันท์ว่าอีเจ๊ใช้เงินซื้อผู้ชาย
ส่วนที่บ้านเสี่ยเต๊ก เหลียนฮัว เหมยฮัว และอาจงช่วยกันตกแต่งห้องห้องเด็กอ่อน บัดนี้เริ่มมีเตียงเด็กมาวางตรงกลางห้องแล้ว ของเล่นเอย โมบายน่ารักๆ แขวนเหนือเปล เสี่ยเต๊กเดินวนเวียนไปมาหน้าห้อง ตั้งใจจะมาหาเรื่องเมียตามวิสัย ถูกเหลียนฮัวจ้องดุเอา ช่วงนี้ผัวเมียเลยไม่กินเส้นกัน
ทางด้าน เบิ้มกับพลยังขี่รถตระเวนหาพงศ์เทพทั่วอำเภอบางไทร ไม่เจอ ก็ยังหากันต่อไป เพราะหากกลับไป โดนเสี่ยตื้บแน่แท้
เพราะงานยังไม่เข้ามา กระแต โก่ง และโก๊ะ จึงหน้ามันขลุกอยู่ในครัวบ้านครูเทียม สามคนช่วยกันทำขนมไปฝากขาย ดูจากทำปริมาณทำเยอะขึ้น เพราะขายดีขึ้น
ตอนนี้ หลงอยู่ลานหลังบ้าน ฝึกพื้นฐานรำ และร้อง แน่นแล้ว เขาสามารถร้องและรำพร้อมกันได้อย่างคล่องแคล่ว พร้อมพงศ์มาดูลูกชายรำลิเก ปลาบปลื้มเบิกบานซะจริง ๆ งามแท้ลูกพ่อ
หลงเล่นบทเข้าพระเข้านางกับจอมนาง เข้าคู่กันได้ดีเลิศประเสริฐศรี ครูเทียมยิ้มปลื้ม พอใจมาก
เวลาผ่านไป ไวเหมือนในละครททบ. 5 เด๊ะ แป๊บๆ ผ่านไปแล้ว 2 เดือนซะงั้น เมื่อหน้าฝนมาเยือนพร้อมสายฝนอันชุ่มฉ่ำ ชายชาวคณะเทียมฟ้า ช่วยกันกลิ้งโอ่งน้ำมาล้างเพื่อรองน้ำฝน
“ไอ้โก๊ะ ก้นโอ่งใบนี้รั่ว เอามารองน้ำฝน ก็ไหลนองหมดดิวะ” โก่งร้องสั่ง
“ชั้นไม่ทันดูพี่”
“กลิ่นดินหลังฝนตก หอมดีนะครับ” หนุ่มกรุงอย่างพงศ์เทพ ยิ้มชื่นบาน
จอมนางที่ยืนส่งใจเป็นกองเชียร์ ท้วงขึ้นว่า “พี่หลงเป็นหนุ่มกรุงเทพฯ เคยได้กลิ่นดินด้วยหรอจ๊ะ”
“นั่นสิ กรุงเทพฯ มีแต่ฟุตบาท กับถนนคอนกรีต” กระแต บอกอย่างนี้
“มาได้กลิ่นที่นี่แหละครับ” หลงยิ้มแฉ่ง
“หน้าฝนนอนเย็นสบายดี เสียแต่ว่า งานลิเกไม่ค่อยมี” จำกายพูดคล้ายบ่น
ครูเทียมโพล่งขึ้นถัดมาว่า “ข้าจะปิดวิก”
ชาวคณะเฮ ดีใจ
โก๊ะยิ้ม “บรรยากาศเก่าๆ กลับมาแล้ว เดินเร่ขายตั๋วหน้าวิกลิเก”
จอมนางหันมาหาปู่ “ปู่จะปิดวิกที่ไหนจ๊ะ”
“ที่บางไทรนี่แหละ ปิดวิกหนนี้ เราจะถือโอกาสเปิดตัวพระเอกใหม่คณะเทียมฟ้า” ครูหันมาทางศิษย์คนล่าสุดในชีวิต “หลง เดือนหน้า ข้าจะเล่นลิเกเปิดตัวเอ็ง”
ชาวคณะพากันครื้นเครง พอๆ กะความตื่นเต้น ไม่ทันเห็นว่าหลงมีสีหน้าไม่มั่นใจนัก กังวลลึกๆ ว่าจะเรียกคนดู กอบกู้ชื่อคณะเทียมฟ้าให้ครูเทียมได้ไหมหนอ
วันเดียวกันนี้ กระแตมาจ่ายกับข้าวที่ตลาด เดินผ่านร้านน้ำเจ้าประจำ เห็นตุ้มนั่งซึมอยู่ในร้าน ตุ้มมัวแต่ซึมเหม่อ เลยไม่ได้มองคู่ปรับเก่า จนเห็นกระแตมานั่งด้วยก็แหวใส่
“ใครเชิญแก”
กระแตไม่ถือสา ด้วยรู้จักตุ้มดี “ตุ้ม ชั้นเป็นห่วงแกนะ เราโตมาด้วยกัน ถึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน แต่ก็ตัดกันไม่ขาด...ฟ้าประทานไม่ดีกับแกใช่มั้ย”
“ขอบใจที่เป็นห่วง ชั้นสุขบายดี” น้ำเสียงตุ้มยังถือดีอวดเก่งตามเคย ทั้งที่ในหัวอกกลัดหนอง
“แกอย่าโกหกชั้นเลย หน้าตาแกมันฟ้อง”
“ครูเทียมเป็นยังไงบ้าง ชั้นไม่ไปหาเป็นเดือนแล้ว ต้องซ้อมลิเกทุกวัน”
“ปู่สบายดี บ่นคิดถึงแกกับฟ้าประทาน เอ้อ...ตุ้ม เดือนหน้าแกมาดูเทียมฟ้าเล่นนะ ปู่จะปิดวิก เปิดตัวพี่หลงในฐานะพระเอกลิเก”
“ดีใจด้วยนะกระแต เทียมฟ้ากำลังจะกลับมาโด่งดัง” ตุ้มอดยินดีด้วยไม่ได้
สองสาวยิ้มให้กันจากใจจริง เป็นครั้งแรกในโลกที่ทั้งคู่แสดงไมตรีต่อกัน
“ชั้นไปละ”
ตุ้มลุกกลับไป กระแตมองตามสายตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
ระหว่างนั้นฟ้าประทานกำลังปรึกษาเจ๊ทรงงามเรื่องปิดวิกลิเกเช่นกัน
“อย่างช้าสุด เราต้องปิดวิกให้ได้ปลายเดือนนี้ครับ”
“เจ๊จะสั่งเร่งทำฉากจ้ะ”
ตุ้มกลับมาจากตลาดพอดี ยิ้มแย้ม บอกข่าวดี
“ฟ้าประทาน ครูเทียมจะปิดวิกเดือนหน้า เราไปให้กำลังใจครูกันนะจ๊ะ”
“ไปสิ ว่าแต่ ครูจ้างใครมาเล่นเป็นพระเอกแทนผม”
ตุ้มยิ้มระรื่น “พระเอกใหม่ของเทียมฟ้า ก็พี่หลงไงจ๊ะ ฟ้าประทานไม่รู้เหรอ”
ฟ้าประทานหน้าบึ้งขึ้นมาทันที
“ไอ้หลง มันคิดจะขึ้นมาเทียบรัศมีผม เจ๊ครับ ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมจะปิดวิกเดือนหน้า ชนกับวิกคณะเทียมฟ้า ต้องสกัดดาวรุ่งซะหน่อย”
ในใจที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาระคนเกลียดขี้หน้าหลง ฟ้าประทานยิ้มย่องลำพองตน มั่นใจว่าระดับพระเอกเจนเวทีอย่างเขา ต้องกลบรัศมีลิเกป้ายแดงอย่างหลง จนมิด!
อ่านต่อหน้า 3
ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 13 (ต่อ)
ตอนเย็นวันนี้ ครูเทียมนำชาวคณะทั้งหมดรวมทั้งหลง จุดธูปไหว้พ่อแก่ วันนี้เป็นวันปิดวิกลิเก ทุกคนมาขอพรจากพ่อแก่ให้งานปิดวิกคืนนี้ประสบความสำเร็จ
“วันนี้เป็นวันชี้เป็นตายของพวกเราชาวเทียมฟ้า ขอบุญญาบารมีพ่อแก่ แลครูบาอาจารย์ผู้สถิตณเบื้องบน ดลบันดาลความสำเร็จ ความสมหวังมายังชาวเทียมฟ้า ขอให้คนดูยกย่องชื่นชม ชื่อเสียงเทียมฟ้า กลับมาขจรไกลอีกคราด้วยเทอญ”
ทั้งหมดพากันกราบพ่อแก่อธิษฐานในใจ
ส่วนที่ห้องโถง บ้านทรงไทยของทรงงาม เย็นวันเดียวกัน ฟ้าประทาน ตุ้ม และ เจ๊ทรงงาม กำลังจุดธูปขอพรพ่อแก่ ตรงมุมที่จัดเป็นที่ไหว้ของคณะ เช่นเดียวกับชาวคณะเทียมฟ้า เนื่องด้วยฟ้าประทานก็จะปิดวิกลิเกคืนนี้เหมือนกัน ฟ้าประทานเป็นคนนำไหว้
“ขอพ่อแก่ และพระฤาษี ผู้มีฤทธิ์ลือชา เสกสรรวิชาความรู้ให้ลูกมาช้านานคืนนี้ขอให้คณะของลูกเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ กำชัยเหนือคณะใดในโลกา ให้ลูกปราดเปรื่องสติปัญญา เป็นฟ้าประทาน ผู้โด่งดังเอย”
ภายในลานวัดแห่งหนึ่งในอำเภอบางไทร วิกลิเกฟ้าประทานตั้งในวัด วิกกั้นด้วยผ้าดิบ เตรียมเก้าอี้ไว้ให้คนดูนั่ง คนดูยังไม่มา ลิเกยังไม่เปิดวิก
ด้านหลังเวทีฟ้าประทานพูดคุยทำความเข้าใจกับลูกคณะ
“คืนนี้เปิดตัวคณะผมครั้งแรก ขอให้ทุกคนทุ่มเทกายใจ ใส่ฝีมือ มีวิชาเท่าไหร่ใส่ให้หมด”
เก๋ นางเอกลิเก กิ๊กเก่าฟ้าประทานเพิ่งมาถึง เธอหิ้วชุดนางเอกลิเกมา 1 ชุด
“โทษทีจ้ะที่มาช้า รถชนกัน 5 คันรวดตรงทางเลี้ยวเข้าบางไทร รถติดยาวเป็นกิโล”
“ไม่เป็นไรเก๋” ฟ้าประทานบอกลูกคณะ “แต่งองค์ทรงเครื่องกันได้แล้ว”
ลูกคณะแยกย้ายกันไปแต่งหน้า แต่ละคนเอากล่องเครื่องสำอางมาเอง ฟ้าประทานช่วยนางเอกลิเกหิ้วชุดไปแขวน
“ขอบใจจ้ะ”
เก๋ไปนั่งรวมกลุ่มกับพวกตัวนางลิเกเริ่มลงมือแต่งหน้า
ตุ้มหึงมาต่อว่าฟ้าประทาน “เอาใจกิ๊กเก่าจังนะจ๊ะ”
ฟ้าประทานทั้งเซ็งทั้งเอือม “ที่ผมเอาใจเก๋ เพราะเก๋เป็นนางเอกลิเก ผมดีกับเค้า เค้าได้เล่นให้ผม
สุดฝีมือ”
“ไม่เห็นฟ้าประทานเอาใจจอม” ตุ้มแย้ง
“จอมไม่ชอบหน้าผม เอาใจไปก็เท่านั้น”
ฟ้าประทานอิดหนาระอาใจ เดินหนีไปแต่งหน้า ตุ้มหันไปจ้องเก๋ตาวาว ทั้งอิจฉาทั้งหมั่นไส้นังนี่
“เป็นนางเอกลิเก ถึงจะเอาใจหรอ”
แผนอุบาทว์ผุดขึ้นในหัวตุ้ม เป็นแผนที่จะทำให้ตัวเองได้เขยิบเป็นนางเอกลิเก ตุ้มเห็นทุกคนกำลังง่วนแต่งหน้า จึงหยิบแหนบถอนขนในกล่องเครื่องสำอางตัวเอง ทำทีเป็นเอาชุดลิเกของตัวเองไปแขวนใกล้ชุดนางเอก ตุ้มดูจนแน่ใจว่าไม่มีใครมองมา แอบใช้แหนบดึง ซี่ซิปหลังชุดลิเกนางเอกออก เพื่อให้ ซิปแตก
อีกฟาก ที่วัดอีกแห่งหนึ่งในอำเภอบางไทร วิกลิเกครูเทียมตั้งในวัดเหมือนวิกฟ้าประทาน
วิกครูเทียมกั้นด้วยผ้าดิบ ตระเตรียมเก้าอี้ไว้ให้คนดู จำนวนเก้าอี้พอๆ กับวิกคณะฟ้าประทาน
หน้าเวทีคนดนตรีกำลังซ้อมบรรเลง
ส่วนหลังเวที ยินเสียงดนตรีไทยจากหน้าเวทีดังมา ตรงแท่นบูชาพ่อแก่ ควันธูปลอยวนหน้าพ่อแก่ลอยฟุ้งไปยังหลง ที่แต่งตัวแต่งหน้าเสร็จแล้ว จอมนางกับกระแตช่วยใส่เครื่องทรงให้หลงจนครบทุกชิ้น
ครูเทียมเอายอดลิเกตัวพระมาให้หลง หลงคุกเข่าลงหน้าครู
“ขอครูบาอาจารย์อำนวยพร ให้ลูกศิษย์ที่ได้สั่งได้สอน ประสบความสำเร็จเป็นลิเกดี ลิเกเด่น ลิเกดัง สุขสมหวังทุกประการเอย”
หลงหลับตาประนมมือไหว้ครูเทียม ครูค่อยๆ บรรจงสวมยอดให้หลง
ครูเทียมนั่งขายตั๋วหน้างาน พร้อมพงศ์อยู่กับครู ตรงโต๊ะมีป้ายบอกราคาตั๋ว แถวหน้า 80 บาท
แถวกลางถึงแถวหลัง 40 บาท คนเงียบมาก ยังไม่มีคนดูมา จนกระทั่งยายกับหลานคู่หนึ่งเดินยักแย่ยักยัน มาซื้อตั๋ว
ครูเทียมคุยยิ้มแย้ม “มาคนแรกเลยนะแม่อ่อนศรี”
“เทียมฟ้าเล่นไม่พลาดอยู่แล้ว ตั๋วแถวหน้า 2 ใบจ้ะครู”
หลานหน้าเป็นตูด ถูกยายบังคับมา “ยาย อยากไปเล่นเกม”
ยายเอ็ดหลาน “เอ๊ะ ไอ้หลานคนนี้ พูดไม่รู้ฟัง บอกให้หิ้วตะกร้าให้ยาย”
ครูเทียมฉีกตั๋วให้ยาย ยายจูงมือหลานเข้าวิกลิเก หลานก็ยังหน้าเป็นตูด
“พงศ์อยู่ว่างๆ นั่งขายตั๋วให้ครูได้มั้ย ครูจะไปดูหลังเวที”
“ผมเฝ้าทางนี้ให้เองครับ”
“ขอบใจมากนะ”
ครูเทียมเดินอ้อมวิกลิเก เพื่อไปเข้าหลังเวทีดูความเรียบร้อย พร้อมพงศ์นั่งขายตั๋วแทนครู
คนดูมาอีก 1 คน เป็นหญิงชรา
“แถวหน้าใบนึงจ้ะ” คนดูจ่ายเงินค่าตั๋ว 80 บาท
“เข้าไปได้เลยครับ ข้างในไม่ตรวจตั๋ว”
พร้อมพงศ์เก็บเงิน 80 บาทเข้ากระเป๋าตัวเอง
“เงินมาตกใส่กระเป๋าเองเว้ย ฮะๆๆ”
เจ๋งเดินมาจากหลังวิกลิเก พร้อมพงศ์รีบหุบยิ้ม ป้องกันไอ้เจ๋งจับผิด
“ห้องน้ำอยู่ไกล๊ไกล ต้องเดินผ่านป่าช้าด้วย ดีนะผมไม่ใช่คนกลัวผี” เจ๋งเห็นหน้าวิกเงียบฉี่ คนไม่มีสักคนบ่นงึมงำว่า
“คนหายไปไหนหมด”
ก็จะมีได้อย่างไร ในเมื่อคนดูมาออกที่อยู่วิกลิเกคณะฟ้าประทานหมด คืนนี้เปิดตัวฟ้าประทานในฐานะพระเอกคณะลิเกใหม่ ใครๆ ก็อยากดู
บนเวทีตอนนี้ ตุ้มรับหน้าที่โฆษกกล่าวเปิดวิก ใส่ชุดลิเกลูกบทปักคริสตัลวาวแวว
“พ่อแม่พี่น้องแฟนลิเกที่ติดตามฟ้าประทานมาตั้งแต่เป็นพระเอกลิเกหน้าใหม่ จวบจนวันนี้ ฟ้าประทานเติบใหญ่ มีคณะลิเกของตัวเอง วันนี้ขวัญใจของพ่อแม่พี่น้องมาในมาดใหม่ สมญานามใหม่ว่า ...ฟ้าประทาน บุตรสวรรค์ ”
คนดูปรบมือเกรียว พวกแม่ยกแถวหน้าสุด กรี๊ดแตก ขาดเพียงแม่ยกคนสำคัญเจ๊ทรงงาม ที่ขายตั๋วอยู่หน้าวิก
ฟ้าประทานในฐานะพระเอกลิเกลูกบทเป็นครั้งแรก แสงไฟบนเวทีขับคริสตัลบนชุด จนส่องประกายแวววาวต้องตา แค่เห็นชุดใหม่ มาดใหม่ พวกแม่ยกก็กรี๊ดดังกว่าเดิม
ฟ้าประทานเปิดเวทีด้วยการร้องเพลงสุดฮิต ทันสมัย เป็นเพลงรักสดใส ลูกอ้อน จัดเต็ม
พวกแม่ยกแหกปากกรี๊ดอย่างกับดูคอนเสิร์ต ยกพลกันไปคล้องพวงมาลัยฟ้าประทานเป็นสาย คนดูหลายคนถูกอกถูกใจ ซื้อพวงมาลัยที่วางขายพวงละ 50 บาท ไปคล้องคอฟ้าประทาน
ฟ้าประทานร้องเพลงได้ไม่ถึงครึ่งเพลง พวงมาลัยก็เต็มคอ
หลังเวที ครูเทียมกับโก่งแหวกม่านนับหัวคนดู
ด้านหน้าเวที มียายกับหลานคู่เดิม หลานเล่นเกมในมือถือ แล้วก็มีคนดูอีก 5 คน คนแก่ล้วน ๆ
โก่งนับหัวคนดู “7 หัว 7 คน”
ครูเทียมผิดหวังที่คนดูน้อยมาก
“รอคนอีกซักพักมั้ยครู”
“เริ่มช้า กว่าจะจบก็ปาไปเที่ยงคืน” ครูเทียมสั่งโก่ง “เปิดวิกเลย”
แม้จะมีคนดูแค่ 7 คน โก่งก็ออกมาร้องเพลงออกแขกอย่างสนุกสนาน เฮฮา คนดูขำก๊าก
เจ๋งช่วยเดินขายพวงมาลัย
“พวงมาลัยให้ลิเกมั้ยครับ พวงละ 20 บาท”
“ซื้อพวงนึงไอ้หนู”
ยายแก่ซื้อพวงมาลัยคล้องคอโก่ง โก่งปลื้ม นานทีปีหนได้พวงมาลัยกับเค้า
เสี่ยเต๊กนั่งเกาะเกี่ยวอยู่กับสาวสวยในเล้าจน์ พลางโทรคุยกับเบิ้ม เปิดฉากด่าเบิ้มทันที
“3 เดือนแล้ว ยังหาตัวลูกเฮียพงศ์ไม่เจอ อั๊วไม่ได้ส่งพวกลื๊อไปแว้นรถเล่นที่บางไทรนะว้อย”
เบิ้มกับพลกินข้าวอยู่ในตลาด เสียงดนตรีไทยจากวิกลิเกดังแว่วมา
ขณะเบิ้มคุยสายกับเสี่ยเต๊ก “พวกผมขี่รถตระเวนดูทุกตรอกซอกซอยในบางไทรแล้วครับเสี่ย แต่คนมันคิดจะหลบ มันก็ระวังตัว ไม่ให้หาเจอง่ายๆ”
เสี่ยเต๊กกับเบิ้มโทร.คุยกัน
เสี่ยเต๊กได้ยินเสียงดนตรีไทยแว่วๆ มาในโทรศัพท์ “อยู่ในงานศพกันเหรอวะ”
“คืนนี้มีลิเกเล่นครับเสี่ย เสียงมาจากวิกลิเก”
เสี่ยเต๊กสะดุดหู “ลิเกเหรอ เฮียพงศ์ชอบดูลิเก พวกลื๊อไป”
“รู้แล้วครับ ผมจะไปหาเฮียพงศ์ที่วิกลิเก”
“อั๊วไม่พูดขึ้นมา ลื๊อจะนึกออกมั้ย ไอ้พวกโง่แล้วอวดฉลาด ไปค้นให้ทั่ววิกลิเก แล้วโทร.มารายงานอั๊วด้วย”
เบิ้มรับคำ “ครับเสี่ย”
เจ๊ทรงงามนั่งขายตั๋วอย่างบันเทิงเริงใจ ชาวบ้านเข้าคิวยาวซื้อตั๋ว มีป้ายตั้งบอกราคาตั๋ว แถวหน้า 100 บาท แถวกลาง 50 บาท และ แถวหลัง 30 บาท ราคาตั๋วแพงกว่าคณะครูเทียม
ทรงงามบอก “แถวหน้าหมดแล้ว เหลือแต่แถวกลางกับแถวหลังนะจ๊ะ”
ชาวบ้าน 1บอก “แถวกลาง 3 คนเจ๊”
ทรงงามฉีกตั๋วให้ชาวบ้าน 1 เก็บเงินใส่กล่องแสนสุขใจ เห็นกล่องใส่เงินเต็มไปด้วยแบงก์ แบงก์พันก็มีอยู่หลายใบ มองคร่าวๆ เป็นเงินร่วมหมื่นแล้ว
เบิ้มกับพลขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาในวัด
พลเห็นคนเข้าคิวซื้อตั๋วยาวเลยเซ็ง “คิวยาวจังเว้ย”
“คนที่ตลาดบอกว่า คืนนี้มีสองคณะเล่นชนกัน ไปดูอีกวิกก่อน แล้วค่อยกลับมาวิกนี้” เบิ้มบอกแล้วหันไปถามชาวบ้าน 1 “น้อง ลิเกอีกคณะเล่นวัดไหน”
“อ๋อ วิกครูเทียมน่ะหรอ อยู่วัดใกล้ๆ นี่เองจ้ะ”
พร้อมพงศ์นั่งขายตั๋ว แต่ไม่มีคนดูเลย นั่งหง่าวจนโดนยุงกัด พร้อมพงศ์ตบยุงแปะๆๆ ด้านในวิกลิเก เป็นช่วงดนตรีไทยบรรเลง ไม่มีเสียงร้อง เจ๋งถือพวงมาลัยออกจากวิกมาหาลุงพงศ์
“มีคนดูอยู่ 7 คน ขายพวงมาลัยได้ 2 พวง ดีใจแทบตาย”
“สงสารไอ้เทพ เป็นพระเอกลิเกครั้งแรก ไม่มีคนดู เจ๋ง เอ็งมาขายตั๋วแทนลุงเดี๋ยว ลุงจะไปปลอบใจมัน”
พร้อมพงศ์เดินอ้อมวิกลิเก ไปเข้าด้านหลังเวที เจ๋งกำลังจะนั่งลง เห็นเบิ้มกับพลขี่มอเตอร์ไซค์มา
เจ๋งตาเหลือก “ซวยแล้ว”
เจ๋งรีบหนีอ้อมไปหลังเวที เพื่อบอกพี่เทพของมัน เบิ้มกับพลไม่ทันเห็นเจ๋ง ทั้งคู่เดินมาหยุดที่โต๊ะขายตั๋ว
พลบ่น “ไรวะ วิกนู้นคนเต็ม วิกนี้ คนขายตั๋วยังไม่มี”
“คนขายอยู่ไหนวะ”
เบิ้มกับพลมองหาคนขายตั๋ว
อ่านต่อหน้า 4
ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 13 (ต่อ)
บนเวทีวิกเทียมฟ้าตอนนี้ ถึงพาทย์ที่จอมนางกับกระแตออกโรงร้องลิเก สองสาวตั้งใจเล่นเต็มที่ แม้มีคนดูเพียงหยิบมือ ส่วนหลังเวที หลงแต่งหน้าอยู่ เงอะๆ งะๆ ยังแต่งไม่คล่องนัก พร้อมพงศ์คุยอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจลูกในฐานะ เอฟซี พ่อยก อันดับ 1
“อย่าคิดมากนะเทพ เล่นครั้งแรกคนดูก็น้อยอย่างนี้แหละ คนยังไม่รู้จักเอ็ง”
“ผมน่ะไม่ได้คาดหวังอะไรหรอกครับ แต่ชาวคณะนี่สิ ต้องผิดหวังน่าดู”
เจ๋งโผล่หน้าเข้ามา กวักมือเรียกพี่หลงกับลุงพงศ์ให้ออกไปหาหลังวิกลิเก สองคนออกไปหา พวกกำจายง่วนแต่งตัวแต่งหน้าไม่ได้สนใจ โก่งแต่งตัวเสร็จแล้ว ช่วยคนอื่นแต่ง
สามคนออกมาคุยหารือกันที่หลังวิกลิเก
“ลูกน้องเสี่ยมา”
พงศ์เทพจ้องหน้าพ่อทันที
พร้อมพงศ์ปฏิเสธทันที “พ่อไม่เกี่ยวนะว้อยเทพ คนดูไม่มี งั้นเอ็งก็อย่าเล่นเลย กลับกรุงเทพฯกับไอ้เบิ้มไอ้พลคืนนี้”
“พ่ออยากเห็นผมเป็นพระเอกลิเกไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็ใช่ แต่มันไม่มีคนดู เอ็งจะเสียเวลาเล่นทำไมวะ”
“พ่อบอกอยากช่วยครูเทียม ช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด เราทิ้งครูเทียมไปกลางคัน แล้วมารู้หลังว่าคณะเทียมฟ้ายุบ ใครที่จะเสียใจที่สุดก็คือพ่อนะครับ”
พร้อมพงศ์คล้อยตามลูก
พงศ์เทพยิ้มบิ้วท์เป็นการใหญ่ “พ่อรักลิเกมาก ถ้าปู่กับย่าไม่บังคับ ตอนนี้พ่อต้องเป็นพระเอกลิเก ลิเกอยู่ในหัวใจพ่อ พ่อจะยอมให้คณะลิเกครูเทียมต้องปิดตัวเหรอครับ”
พงศ์เทพบิวท์ซะพร้อมพงศ์ใจอ่อนยวบ
“เอ็งอยู่ช่วยเทียมฟ้าก็ได้ แต่...พรุ่งนี้เอ็งต้องกลับกรุงเทพฯกับพ่อ สัญญากับพ่อแบบลูกผู้ชาย”
“ผมสัญญ”
พร้อมพงศ์เหลียวดูข้างหลังลูก ว่ามันแอบไขว้นิ้วหลอกเปล่า โดยไม่รู้ว่าพงศ์เทพไขว้นิ้วข้างหน้า
พร้อมพงศ์เลยหลงกลลูก “พ่อจะล่อไอ้เบิ้มกับไอ้พลไป”
“พ่อจะทำยังไง”
พร้อมพงศ์ทำหน้าทำตาเจ้าเล่ห์เพทุบาย ข้ามีวิธีแล้วกัน
เบิ้ม และ พล รอคนขายตั๋วมาซักพักแล้ว
“คนขายตั๋วไม่มา ก็เข้าไปเลยเว้ย เฮียพงศ์กับลูกอาจอยู่ข้างใน” เบิ้มบอกพล
พร้อมพงศ์เดินออกมาทางด้านข้างวิกลิเก จงใจมาให้สองคนเห็น เบิ้มตาโต
“เฮียพงศ์ !
พร้อมพงศ์โกยอ้าวหนีไป สองคนวิ่งไล่กวดตาม
บริเวณละแวกต้นไม้ในมุมมืดแสนวังเวง พร้อมพงศ์โกยอ้าวหนีเบิ้มกับพลมาแถวนั้น มีต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตระหง่าน มีเสียงหัวเราะของผู้ชาย “ฮะๆๆๆๆ” ลอยลมมา
พร้อมพงศ์ชะงักกึก หยุดวิ่ง เบิ้ม กะพลตามมาจับตัวพร้อมพงศ์ได้
“เล่นเกมส์แมวจับหนูอยู่นานเลยนะเฮียพงศ์”
พร้อมพงศ์เลิกลัก “จุ๊ๆๆๆ เงียบ”
ยินเสียงผู้ชายหัวเราะ “ฮะๆๆๆๆ” น่าขนหัวลุกดังขึ้นมาอีก
พร้อมพงศ์แกล้งทำเป็นกลัวผี ร้องเสียงสั่น แอ็คติ้งชนะโลก “ชาวบ้านบอกว่า วัดนี้มีผู้ชายใช้ผ้าขาวม้า ผูกคอตายใต้ต้นไม้”
พลนั้นกลัวผีขึ้นสมอง แต่เบิ้มยังใจดีสู้ผี
“เฮียอำผม”
ขาดคำ ผ้าขาวม้าปลิวลงมาจากต้นไม้ ในบรรยากาศอันวังเวงน่ากลัว เบิ้ม พล และพร้อมพงศ์แหงนหน้าขึ้นไปมองช้าๆ อย่างหวาดผวา
สามคนเห็นผีผู้ชายนั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งไม้ หัวเราะเสียงต่ำ “ฮะๆๆๆๆ”
เบิ้มกับพลไม่อยู่แล้ว วิ่งหนีผีกระเจิงไป
เจ๋งนั่นเองที่ปลอมเป็นผี พอหลอกสำเร็จ ก็กระโดดลงจากต้นไม้ ตุ้บ หัวร่อร่า
“หมดลายนักเลงเลยเว้ย ฮะๆๆๆ”
“แผนลุงสวดยอด มั้ยวะ ฮ่าๆๆ”
พร้อมพงศ์กับเจ๋งหัวเราะร่วน
เบิ้มกับพลวิ่งหน้าตั้งหนีผีมาขึ้นรถ รีบขี่มอเตอร์ไซค์ไปแทบไม่ทัน พร้อมพงศ์กับเจ๋งตามมาดู เห็นไวๆ ว่ามอเตอร์ไซค์เบิ้มแล่นไปไกลแล้ว
“ลุงไปบอกเทพ ไล่ลูกน้องเสี่ยไปได้แล้ว”
พร้อมพงศ์เดินอ้อมไปทางหลังวิกลิเก
พร้อมพงศ์พาตัวเองมาอยู่ที่หลังเวที กระซิบบอกลูกชาย “พวกมันไปแล้ว”
หลงกระซิบตอบ “เยี่ยม”
ครูเทียมแหวกม่านดูหน้าเวที คนดูยังเท่าเดิม และที่หน้าเวที จอมนางกับกระแตยังเล่น คนดูเท่าเดิม 7 คน แถมยายแถวหน้าหลับสับปะหงก ไอ้หลานที่โดนยายบังคับมา ก็เล่นเกมบนมือถืออย่างเมามัน ไม่ดูลิเก
จอมนางกับกระแตร้องลิเก
ครูเทียมชักเริ่มหนักใจ ลิเกเริ่มแล้ว คนดูยังไม่มา
กำจายเสียงแห้ง เจ็บคออาการกำเริบ ไอโขลกๆ “ไอ้ฟ้าประทานมันตั้งวิกชนกับเรา” จำจายไอแค่กๆ “ใจคอมันจะไม่ให้เราได้ลืมตาอ้าปาก”
“ชั้นไม่คิดว่ามันจะเลวขนาดนี้” โก๊ะโมโห
โก่งแค้น “นี่แหละธาตุแท้มัน”
“อย่าโทษคนอื่นเลย คณะเราดีจริง คนก็ต้องมาดู คืนนี้เราจะเปิดตัวพระเอกใหม่ให้แฟนๆ รู้จัก ไม่มีคนดู ก็ไม่มีใครรู้จักหลง”
ครูเทียมครุ่นคิด จะทำยังไงดี สุดท้ายบอกว่า
“เอาวะ ในเมื่อขาดทุนแล้ว ก็เปิดวิกให้ดูฟรีมันซะเลย
พร้อมพงศ์กับเจ๋งช่วยกันรื้อ ยกผ้าขึงประตูทางเข้าออก เปิดวิกให้คนดูฟรี
“รื้ออันนั้นออกด้วย ทางเข้าได้กว้าง ๆ”
ส่วนบนเวที จอมนางกับกระแตเล่นลิเกอยู่ สองสาวเห็นก็งง ว่าปู่ รื้อวิกลิเกทำไม
ครูเทียมโบกมือให้จอมนางกับกระแตเล่นลิเกต่อไป ไม่ต้องสนใจปู่
สองสาวเลยหันไปตั้งใจเล่นลิเกต่อ
พร้อมพงศ์ออกไอเดีย “ผมไปป่าวประกาศให้นะครับ วิกครูเทียมดูฟรี คนจะได้มาดูหลงเยอะๆ”
ครูเห็นงามด้วย
“ข้าไปเอากุญแจรถมอเตอร์ไซค์ที่หลังเวทีมาให้”
ลิเกคณะฟ้าประทานเริ่มเล่นแล้วเช่นกัน คนดูคอลิเกก็ยังทยอยมาเข้าคิวซื้อตั๋วที่โต๊ะเจ๊ทรงงามไม่ขาดสาย เจ๋งขี่มอเตอร์ไซค์พาพร้อมพงศ์เข้ามาใกล้ๆ แถวซื้อตัว
“ไปเรียกคนดูที่ตลาดเหอะลุง แย่งคนดูวิกอื่น เดี๋ยวได้ตีกันตาย” เจ๋งว่า
“แถวนี้แหละคนเยอะ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนลุงเปิดตัวเป็นพระเอกลิเกทั้งที คนดูต้องล้นวิก”
“เพื่อพี่เทพ เอาไงเอากันลุง”
พร้อมพงศ์สวมมาดโต้โผลิเก ตะโกนเรียกคนดู “พ่อแม่พี่น้อง คืนนี้คณะเทียมฟ้าเปิดตัวพระเอกใหม่ รูปหล่อเฟี้ยว พ่อช่างปั้น รำก็สวย ร้องก็เพราะ ไปดูกันนะคร้าบ...”
ทรงงามยัวะ ด่าพร้อมพงศ์ “ไอ้หน้าอูม แกเป็นใคร มาแย่งคนดูชั้น”
“ไม่มีใครสนใจเลยอะลุง” เจ๋งบอก มองไปรอบๆ คนดูไม่ขยับ
พร้อมพงศ์คิดปราดเดียว ร้องขึ้นอีกว่า “ครูเทียมใจป้ำ เปิดตัวพระเอกใหม่ให้ยลโฉมฟรี ไม่คิดเงินค่าตั๋ว
ชาวบ้าน 1 ชักสน “จริงหรอลุง”
พร้อมพงศ์ยิ้มแต้เป็นคำตอบ “ฟรีทุกที่นั่งเลยครับ รีบไปเร็วๆ เดี๋ยวไม่ทันเปิดตัวพระเอกใหม่”
ชาวบ้าน 1 ถาม “วิกครูเทียมอยู่ไหน”
“วัดใกล้ๆ นี่แหละครับ” เจ๋งบอก
คนดูหลายคนเริ่มออกจากแถว ทำท่าเปลี่ยนใจจะไปดูเทียมฟ้า
ทรงงามงัดสู้ “วิกนี้ ซื้อหนึ่งที่นั่ง แถมอีกหนึ่งที่นั่ง”
คนดูลังเล จะดูคณะไหนดี
พร้อมพงศ์บอก “วิกครูเทียม พวงมาลัยฟรีด้วย”
ทรงงามตะโกน สู้ขาดใจ “ซื้อหนึ่งที่นั่ง แถมสองที่นั่งเลยเอ้า”
คนดูเปลี่ยนใจ ต่อแถวซื้อตั๋วกับเจ๊ทรงงามตามเดิม พร้อมพงศ์เจ็บใจซ้ำยังโดนอีเจ๊ทรงงามเบะปากสมน้ำหน้า
ครูเทียมร้อนใจมารอคนดูหน้าวัด เห็นเจ๋งขี่มอเตอร์ไซค์พาพร้อมพงศ์กลับมา
“วิกนู้นสู้ แถมที่นั่งให้ฟรี คนเลยไม่มาครับ” พร้อมพงศ์รายงาน
“ไม่คิดว่าพงศ์จะไปแย่งคนดูวิกนั้น นึกว่าไปหาคนดูแถวตลาด”
“งั้นพวกผมไปตลาดนะครับ”
“ไม่ต้องแล้ว ขนาดคอลิเกที่วิกนั้น ยังไม่มาดู คนตลาดไม่ใช่คอลิเก ถึงไปบอกว่าดูฟรี ก็ไม่มาหรอก”
“สงสารหลง เล่นเป็นพระเอกครั้งแรก แทบไม่มีคนดู”
พร้อมพงศ์บ่นเสียงเศร้า สงสารลูกชาย หัดลิเกแทบตาย ความพยายามไม่ส่งผล
“คนดูน้อยยังไงก็ต้องเล่น เราเป็นลิเก ต้องสร้างความบันเทิงให้คนดู” ครูบอก
ไม่นานหลังจากนั้น ครูเทียมขึ้นเวทีกล่าวเปิดตัวหลง แม้มีคนดูแค่ 7 คน
“ขอคั่นความสำราญซักเดี๋ยวนะจ๊ะ คณะเทียมฟ้าปลุกปั้นพระเอกมาหลายรุ่น เราไม่เคยขาดแคลนพระเอกเจ้าเสน่ห์ รวมถึงพระเอกคนนี้ ผู้ซึ่งมีเสน่ห์ล้นเหลือ เจือความทะเล้นนิด ๆ รูปหล่อหน้าผ่อง เค้ามีนามว่า...เทพทอง สุวรรณศิลป์”
หลงในมาดพระเอกใหม่ เทพทอง สุวรรณศิลป์ รำออกมาอย่างสวยงาม
พอหลงเปิดปางร้องลิเก เป็นพาทย์แรกที่พระเอกออก คนดูซื้อพวงมาลัยจากเจ๋งพวงละ 20 คล้องคอพระเอกหน้าใหม่ หลงไหว้งามๆ
พร้อมพงศ์เอาพวงมาลัยที่เหลือมาหมด
“จ่ายมาด้วยดิลุง”
พร้อมพงศ์ไม่จ่ายค่าพวงมาลัยเจ๋ง คล้องพวงมาลัยให้ลูกชาย ปลาบปลื้มตื้นตันมาก ถึงขั้นน้ำตาคลอ
“เอ็งทำฝันพ่อให้เป็นจริง เอ็งเป็นพระเอกลิเกแทนพ่อ”
ต่อมา จอมนางออกมาเล่นลิเกกับหลง สองคนเล่นบทเข้าพระเข้านางอย่างเข้าขา
ครูเทียมยิ้มพอใจการเปิดตัวครั้งแรกของหลง เขาทำได้ดี
เก๋ นางเอกลิเกใส่ชุดไม่ได้ ซิปหลังแตก นางลิเกช่วยรูดขึ้น ก็รูดไม่ได้
“ซิปหลุดตั้งหลายซี่”
“ตอนเอาชุดออกจากตู้ ก็ดูแล้ว ชุดไม่ต้องซ่อม” เก๋บ่น
ตุ้มยิ้มกริ่ม ฝีมือชั้นเอง แกล้งดึงซี่ซิปชุดนังนางเอกออก
“ใส่ออกไปอย่างนี้ก็โป๊” ตุ้มว่า
“แต่พาทย์นี้เก๋ต้องออกแล้วนะ”
ตุ้มเดินไปหานางลิเก ตุ้มยิ้มแฉ่ง เสนอหน้า
ขณะที่ฟ้าประทานเล่นอยู่ ถึงคิวนางเอกออกมา แต่กลายเป็นตุ้ม เล่นเป็นนางเอก ฟ้าประทานงงมาก แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ จึงเล่นต่อได้เนียนๆ โดยไม่สะดุด
ฟ้าประทานกับตุ้มเล่นบทพระเอกนางเอก
ฟ้าประทานกับตุ้มรำกลับเข้าหลังเวที ถึงคิวตัวอื่นออกไปเล่นต่อ
ฟ้าประทานถามเสียงดุ “เก๋ เกิดอะไรขึ้น”
“ชุดซิปแตก ใส่ไม่ได้จ้ะ”
ตุ้มเสนอหน้า “ชั้นเล่นเรื่องเกียรติศักดิ์นักสู้มาเป็นร้อยรอบ จำบทนางเอกได้ เลยช่วยแก้ปัญหา
ให้เก๋น่ะ”
ฟ้าประทานมองหน้าตุ้มอย่างรู้ทัน ขยับมาต่อว่าตุ้มใกล้ๆ ไม่อยากให้ใครได้ยิน “ผมรู้ ตุ้มแกล้งเก๋”
ตุ้มหน้าม้าน โดนจับได้
“เรามาเล่นให้จบ แล้วคราวหน้าตุ้มก็คืนบทนางเอกให้เจ้าของเค้าไป”
“ทำไมไม่ไว้ใจให้ชั้นเล่นเป็นนางเอก”
“ตุ้มฝีมือไม่ถึง”
ฟ้าประทานย้อนเจ็บ แล้วผละไปท่าทางโกรธมาก ตุ้มน้อยใจ ในสายตาฟ้าประทาน หล่อนไม่มีดีซักอย่าง
ครูเทียมเรียกชาวคณะมาล้อมวงรวมใจกัน
“พวกเรารักอาชีพลิเก ถึงเราไม่โด่งไม่ดัง ไม่ร่ำไม่รวย ไม่ได้กล่องได้ถ้วยเหมือนคณะอื่น เราก็มีความสุขเวลาได้ร่ายรำ ได้ร้องกลอนสร้างความสุขให้คนดู เหลือพาทย์สุดท้ายแล้ว ออกไปแสดงฝีมือกันให้เต็มที่ โดยเฉพาะหลง เอ็งทำดีมาตลอดคืน พาทย์สุดท้าย ปล่อยวิชาที่เรียนมาให้หมดเอาให้คนดูประทับใจเอ็งจนวันตาย”
“ครับครู”
หลงและชาวคณะฮึกเหิม ตั้งใจเล่นให้ดีที่สุด
ชาวคณะเทียมฟ้าเล่นพาทย์สุดท้าย ฉากจบนี้ ต้องร้องกลอน แต่ละคนร้องได้ไม่มีปัญหา
พอถึงคิวกำจายร้อง กำจายเกิดเสียงหายไปเฉยๆ ทุกคนตกใจ คนดนตรียังต้องหยุดเล่น ไปไม่เป็น อยู่ๆ ลิเกหยุดร้อง จอมนางไหวพริบดีสุด ข้ามบทกำจายไป ร้องบทของตัวเอง ทำให้พาทย์สุดท้ายจบลงได้
พอลิเกจบ คนดู 7 คน ก็ปรบมือเสียงดังเปาะแปะๆๆ
ชาวคณะทุกคนมองกำจายด้วยความเป็นห่วง
ลิเกเลิกแล้ว ทุกคนยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า รุมล้อมกำจายด้วยความเป็นห่วง
กระแตเอ่ยขึ้น “เส้นเสียงน้าเสียแล้วล่ะ รีบไปหาหมอเถอะ”
กำจายเสียงมาแล้ว แต่ยังแหบพร่า “เดี๋ยว...ก็...หาย...”
“เอ็งอย่าดื้อสิ โก่ง พรุ่งนี้เช้าเอ็งขับรถพากำจายไปโรงพยาบาล”
กำจายโบกมือไม่ยอมไป
“พี่กำจายแกกลัวไม่มีเงินจ่ายค่ายาน่ะจ้ะครู” โก่งว่า
ครูเทียมบ่น “จะกี่บาทเชียววะ”
“ไปนะน้า อย่าให้หนักไปกว่านี้” โก๊ะขอร้องอีกแรง
เจ๋งเดินมาหาครูเทียม “ครูครับ คนคุมเครื่องเสียงอยากคุยกับครูครับ”
“พวกเอ็งเกลี้ยกล่อมมันให้ได้”
ครูเทียมกับเจ๋งออกไป หลงกล่อมต่อ
“ตามโรงพยาบาลมีแผนกสังคมสงเคราะห์ เงินไม่พอ ก็ขอเข้าโครงการรักษาฟรีได้ครับน้า”
กำจายดื้อ ส่ายหน้าดิก ไม่ยอมไปหาหมอ ชาวคณะเหนื่อยใจ
ครูเทียมเดินออกมาหาเจ้าของเครื่องเสียง กับหัวหน้าวงดนตรีไทยที่ครูจ้างมาเล่นคืนนี้
ชาย 1 เจ้าของเครื่องเสียงบอกท่าทีเกรงใจ “ครูครับ ผมจะกลับแล้ว เอ่อ...ค่าเช่าเครื่องเสียง”
“เอ็งก็เห็น แทบไม่มีคนดู ครูขาดทุนยับ ขอติดไว้ก่อนได้มั้ย”
“ถ้าผมรวย จะมาช่วยครูฟรีเลยครับ แต่นี่ผมมีลูกเมียต้องดูแล” ชาย 1 บอก
“งั้น ขอเวลาครูหาเงินหน่อยนะ”
ชาย 2 วงดนตรีไทย บอกว่า “ค่าจ้างวงดนตรีผมด้วยนะครับครู”
“ครูไม่ลืมหรอก ยังไงก็จ่ายแน่”
“ครูพร้อมจ่ายวันไหน โทร.มานะครับ พวกผมลาล่ะครับ” ชาย 1 ว่า
ชาย 1 และ 2 ไหว้ลาครูเทียม ครูซึม เครียดจัด ปิดวิกครั้งแรกคืนนี้ เจ๊งยับ
ส่วนที่หลังเวที อีกวิก ฟ้าประทานให้เงินค่าตัวลูกคณะ ต่ำสุดได้ค่าตัว 1 พันบาท ตัวกษัตริย์ได้ 4 พัน เก๋นางเอกได้ 5 พัน ลูกคณะฟ้าประทานยิ้มพอใจกับค่าตัว
“ชั้นไม่ได้เล่น เอาแต่ค่าเสียเวลาก็ได้จ้ะ” เก๋เกรงใจ
“ไม่ใช่ความผิดเก๋ เก๋ไม่ต้องรับผิดชอบ คืนนี้ขอบคุณทุกคนมาก มีงานวันไหน ผมจะโทร.ไปบอก”
ลูกคณะยิ้มแย้ม แยกกันไปเก็บข้าวของ เตรียมกลับ
ตุ้มเอ่ยทวงค่าตัว “ค่าตัวชั้นล่ะ”
“ผมไม่ไล่ตุ้มออกจากคณะก็ดีเท่าไหร่แล้ว ตุ้มแกล้งนางเอกผม เกือบทำผมพังไปด้วย”
พอดีกับที่เจ๊ทรงงามเดินยิ้มแฉ่ง ถือกล่องเก็บเงินมาหาฟ้าประทาน
“เดาสิ เก็บเงินได้เท่าไหร่”
“เจ๊บอกมาเลยครับ” ฟ้าประทานตื่นเต้น อยากรู้รายได้คืนนี้
เจ๊ทรงงามเปิดฝากล่องให้ฟ้าประทานดูเงินข้างใน เห็นแบงก์ร้อยแบงก์พันถูกมัดเป็นก้อน เจ๊นับเงินแล้ว
“ค่าตั๋วน่ะไม่เท่าไหร่ ค่าพวงมาลัยนี่ซิ สามหมื่นกว่า”
ฟ้าประทานยิ้มหน้าบาน “หักค่าตัวลิเกก็ยังได้กำไร แล้วไหนจะค่าตั๋วอีก”
“เราจะรวยกันใหญ่แล้ว” เจ๊ทรงงามระรื่น
“ชื่อเสียง เงินทอง กำลังไหลมาเทมา”
ฟ้าประทานกับเจ๊ทรงงามดีใจกันอยู่แค่สองคน ส่วนตุ้มถูกทิ้งให้หน้าเศร้าอยู่วงนอกทั้งคู่ไม่หันมาหาให้ร่วมแสดงความยินดีด้วย
อ่านต่อตอนที่ 14