พราว ตอนที่ 15
ติณห์เดินออกมาจากริมสระ มาตามทางเดินที่ขนาบด้วยต้นไม้ จนกระทั่งมาถึงมุมหนึ่ง เขาแอบยิ้มเหี้ยม เพราะรู้ว่าจันทร์จรีแอบรอจังหวะอยู่แถวนั้น แต่ก็เสทำเป็นไม่รู้ เดินผละไป
จันทร์จรีค่อยๆ เดินโผล่มา ใบหน้ากรึ่มๆ ด้วยฤทธิ์เหล้า มือขวากำมีดปอกผลไม้เล่มเล็กแต่คมกริบไว้แน่น พลางชะเง้อมองตามติณห์ไป รอจนกระทั่งเห็นเขาเดินลับไปแล้ว จึงรีบหันขวับไปที่ทางสระน้ำ ความหึงห่วงบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอร์ทำให้จันทร์จรีขาดสติ อยากจะกำจัดพราวไปให้พ้นๆ จากตำแหน่งคู่แข่งทั้งในวงการและคู่แข่งหัวใจ
สุดเขตต์เดินโผล่ตามมา แอบมองตามจันทร์จรีไป ก่อนรีบยกมือถือขึ้นกดโทร. ออก
“ฮัลโหล อยู่ไหนแล้วสารวัตร มาถึงหรือยัง ?”
สุดเขตต์แอบสะกดรอยตามจันทร์จรีมาอย่างสงสัย
“ท่าทางเหมือนกับจะไปฆ่าใคร”
จู่ๆ มาโนชก็โผล่มาขวางหน้าเอาไว้
“ไอ้นักข่าว แกเข้ามาได้ไงวะ”
สุดเขตต์ตกใจ แต่ไม่ทันจะทำอะไร ลูกน้องอีก 2 คนของมาโนชก็ประกบเข้ามาล็อกแขนซ้ายขวาไว้เสียก่อน
“ปล่อยนะ มาจับผมทำไม”
“อย่าขัดขืนนะเว้ย ไปคุยกับเจ้านายฉันดีๆ ไม่งั้นฉันแจ้งตำรวจจับแกข้อหาบุกรุก คิดดูซิวะ เงินหนาๆอย่างคุณติณห์จะยัดแกอยู่ในคุกได้นานแค่ไหน”
สุดเขตต์ขบกรามแน่น ด้วยความแค้นใจ
จันทร์จรีเดินกำมีดปอกผลไม้มาถึงเขตสระน้ำ พลางหายใจหอบแรงด้วยแรงอาฆาต แต่พอมาถึงกลับไม่เห็นพราวอยู่ที่นั่น
ขณะที่พราวกำลังเดินโทรศัพท์คุยกับแฟรงค์พลางชมนกชมไม้อยู่ที่ดงลีลาวดีอีกฝั่งของสระ จันทร์จรีมองตาขวางหันเดินไปหาทันที จังหวะที่พราวก้มกดวางสาย เธอก็ก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับเงื้อมีดในมือจะแทง
แต่พราวหันมาเสียก่อน มือที่กำลังเงื้อมีดจึงจำต้องลดลง
พราวเห็นจันทร์จรีก็ตกใจ แต่พยายามเก็บอาการ วางมาดนางพญาไว้
“มาทำไมตรงนี้”
จันทร์จรียิ้มยั่ว
“แล้วทำไมฉันจะมาไม่ได้ บ้านของคุณติณห์ เค้าไม่ได้ห้ามฉันไปตรงนั้น ไม่ได้ห้ามฉันมาตรงนี้”
“ถ้าเค้าไม่ห้าม งั้นเค้าคงไม่ว่าถ้าเธอจะไปเยี่ยมตรีน้องชายเค้าซะหน่อย”
แทนที่จะเป็นฝ่ายรุก จันทร์จรีกลับเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ
“ตกใจทำไมจรี หรือว่าคุณติณห์เค้ายังไม่รู้ว่าเธอเคยเป็นอะไรกับน้องชายเค้ามาก่อน ?”
“อย่ามาปากมากเรื่องของฉันนะนังพราว ฉันจะคบหากับใครมาก่อน ไม่ใช่กงการอะไรของแก”
พราวเชิดหน้านิ่ง
“ใครจะไปอยากยุ่งเรื่องเน่าๆ ของเธอ แต่ถามว่าเธอเคยนึกสงสารตรีบ้างไหม ในเมื่อเธอก็รู้แล้วว่าตรีกำลังป่วยหนัก มีชีวิตก็เหมือนไม่มี นั่งนอนเหมือนผักไม่รับรู้อะไร เธอก็น่าจะทำอะไรเพื่อช่วยตรีบ้าง นึกถึงตอนที่เค้ารักเธอมาก ช่วยพาเธอเข้าวงการบ้างซิ”
“หยุดเห่าหอนเดี๋ยวนี้ ฉันไม่อยากรับรู้ ฉันเลิกกับเค้าไปแล้ว เค้าจะเป็นอะไรก็ช่างหัวเค้าซิ”
พราวจ้องหน้าจันทร์จรีอย่างดูแคลน
“เธอไม่ได้เลิกกับเค้าจรี แต่เธอถีบหัวส่งเค้าต่างหาก ลืมไปแล้วเหรอ”
“นี่แกกำลังใส่ร้ายฉันว่าเป็นคนทำให้ตรีเป็นอย่างงี้เหรอ ?”
“เปล่า ฉันไม่ได้คิดอย่างงั้นเลย แล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนนั้น ที่ทำให้ตรีเสียใจจนขับรถไปคว่ำเป็นใคร แต่ดูเหมือนว่าเธอจะร้อนตัว”
พราวมองจันทร์จรีอย่างสงสัย อีกฝ่ายจ้องตอบอย่างเคียดแค้น
“มึง”
พราวชี้หน้าจันทร์จรีทันที
“อย่ามาขึ้นมึงขึ้นกูกับฉันนะ ฉันไม่ไพร่พอ แล้วถ้าไม่อยากฟังฉันพล่ามก็ย้ายก้นไปซะ พื้นที่ตรงนี้เป็นของฉัน ฉันต้องการความสงบ เคลียร์นะ”
พูดจบพราวก็สะบัดหน้าเดินผ่านไหล่ไปจันทร์จรียืนแค้นตัวสั่น กำมีดในมือกระชับแน่น นัยน์ตาวาวโรจน์ประดุจสัตว์ร้ายที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อ
พราวเดินกลับมานั่งอยู่ที่โต๊ะ พลางยกแก้วน้ำน้ำผลไม้ขึ้นดื่มดับอารมณ์หงุดหงิด
จังหวะนั้นสายเรียกเข้าจากสมชายก็ดังขึ้นมา อารมณ์หงุดหงิดของพราวมลายหายสิ้นทันที เธอรีบลุกขึ้นยืน พลางปรับน้ำเสียงก่อนรับสายแล้วเดินพูดเลียบริมสระไป
“ฮัลโหล ไม่ต้องถามนะว่าฉันอยู่ไหน ฉันอยู่บ้านคุณติณห์”
“ผมรู้อยู่แล้ว ตอนนี้คุณอยู่ตรงไหน ?”
“ก็บอกว่าอยู่บ้านคุณติณห์ไง”
พราวมัวแต่ยียวนกับสมชาย เลยไม่ทันระวังตัว จันทร์จรีเดินกำมีดใกล้เข้ามาทางด้านหลัง
“ก็บอกว่ารู้แล้วไง อยู่บ้านคุณติณห์น่ะ อยู่ส่วนไหนของบ้านเค้าล่ะ?”
“ริมสระน้ำ ทำไมเงียบไปล่ะ ฉันบอกแล้ว คุณจะรู้มั้ย ว่าสระน้ำบ้านเค้าอยู่ตรงไหน ฮัลโหลๆ วางสายใส่ฉันเหรอ ไม่แน่จริงจะโทร. มาทำไม”
พราวกดวางสายอยู่ริมขอบสระ ตาเหลือบมองเห็นเงาคนเงื้อมืออยู่ด้านหลังสะท้อนจากน้ำในสระ แม้จะมองเห็นไม่ชัดนัก เพราะน้ำในสระกระเพื่อมอยู่ แต่ด้วยสัญชาตญาณระวังตัว เลยใช้มือข้างที่กำโทรศัพท์อยู่เหวี่ยงไปด้านหลัง ทิ่มเข้าเต็มเบ้าตาจันทร์จรีเต็มเหนี่ยวพอดิบพอดี จนฝ่ายนั้นหน้าคว่ำลงสระน้ำไปทันที พราวตกใจ เหลียวมามองจนส้นสูงพลิก จะร่วงหงายหลังตกสระไปอีกคน แต่สมชายกลับปราดเข้ามาคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน
พราวไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“คุณโผล่มาได้ไง”
สมชายไม่ตอบ แต่กลับพูดย้อน
“คุณนั่นแหละหาเรื่อง มาที่นี่คนเดียวได้ยังไง เตือนแล้วทำไมไม่รู้จักฟัง”
จันทร์จรีผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในสระ กำลังตะเกียกตะกายจะว่ายน้ำ แต่ด้วยความเมา ทำให้แขนขาหมดเรี่ยวหมดแรง จมลงไปอีก พร้อมกับมีดปอกผลไม้ที่ร่วงอยู่ก้นสระ
สมชายรีบถอดแจ็คเก็ต รองเท้า แล้วกระโจนพุ่งหลาวลงสระไปคว้าตัวจันทร์จรีไว้ พาว่ายเข้าหาขอบสระ พราวยืนมองอย่างตกใจ ในใจทั้งเป็นห่วง ทั้งโกรธจันทร์จรี
สมชายอุ้มจันทร์จรีนอนลงกับพื้น ฝ่ายนั้นแกล้งนอนนิ่ง พราวรีบเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง
“จรี เป็นไงบ้างอ่ะ?”
สมชายจับคาง พลางยื่นนิ้วเช็คที่จมูก จันทร์จรีแกล้งกลั้นหายใจ
“ไม่หายใจ”
พราวตกใจ
“ไม่นะ ฉันไม่ตั้งใจผลักหรือทำให้ตกน้ำเลยนะ แต่เค้าเข้ามาข้างหลังฉันเหมือนจะทำร้าย ฉันก็เลยเหวี่ยงมือไป แค่จะป้องกันตัว”
“โอเค. ใจเย็นได้มั้ย เรื่องมันเป็นยังไง ค่อยคุยกัน ตอนนี้ต้องช่วยเค้าก่อน”
“ช่วยยังไง เค้าไม่หายใจแล้ว”
สมชายตัดสินใจจะเป่าปากผายปอด แต่จันทร์จรีรีบลืมตาขึ้นทันที พลางจงใจใช้ 2 มือโอบโน้มคอสมชายลงมาจูบต่อหน้าต่อตาพราว ที่พยายามข่มอารมณ์หึง
สมชายแกะมือจันทร์จรที่โอบคอออกแล้วดึงตัวเองหลุดออกมา พลางทำหน้าเซ็ง เพราะได้กลิ่นเหล้าจากปากจันทร์จรี
“ผมเซ็งที่สุดเลย เวลาต้องจูบกับผู้หญิงเมาเหล้า”
พราวหันขวับมาตวาดใส่สมชายทันที
“อะไรนะ นี่คุณแค่เซ็งเองเหรอ ยัยนี่หลอกจูบคุณนะ”
“ก็เค้าเมา ปากมีกลิ่นเหล้าหึ่งเลย คุณจะมาโวยวายใส่ผมทำไมเนี่ยะ”
สมชายพูดพลางหันไปคว้าเสื้อรองเท้ามาใส่ ขณะที่จันทร์จรีลุกขึ้นยืนโงนเงนหัวเราะร่วนออกมา
“ต๊ายตาย ซุปตาร์พราวหึงบอดี้การ์ด ปากก็บอกว่าไม่ๆ ไม่มีอะไร สะตอเบอรี่ได้ถ้วยจริงจริ๊ง”
สมชายทนไม่ไหว หันมาตะคอกใส่
“นี่คุณ หยุดเลยนะ อย่าพูดอะไรให้คุณพราวเสียหายอีก”
“ทำไม พูดไม่ได้เหรอพ่อบอดี้การ์ดรูปหล่อ”
พูดพลางเข้ามาทำยื่นนิ้วแตะปากสมชายยั่วพราว
“ก็ลองพูดอีกทีซิ ผมจะจับคุณโยนกลับลงไปในสระเดี๋ยวนี้เลย”
สุดเขตต์ที่ถูกคุมตัวยืนอยู่กลางห้อง มองไปยังติณห์ที่กำลังยืนจ้องเขาด้วยสีหน้าเครียด และโกรธจัด ขณะที่มาโนชกำลังแกะเอาSD การ์ดออกจากกล้องของเขาส่งให้เจ้านาย ติณห์รับมา พลางเดินมายื่นถามสุดเขตต์ ด้วยน้ำเสียงเหี้ยม
“บอกมา ว่าแกถ่ายรูปอะไรไว้ในนี้บ้าง”
“อยากรู้คุณก็เปิดดูเอาเองซิครับ จะมาเสียเวลาถามผมทำไม”
ติณห์หัก SD การ์ดเขวี้ยงใส่หน้าสุดเขตต์แล้วคว้าคอเสื้อเขาขึ้นมาอย่างคนควบคุมสติไม่อยู่
“ไอ้ตากล้องโนเนม ฉันเคยเตือนแกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกตามพราว นี่แกถึงกับทำตัวเป็นโจร แอบปีนเข้าบ้านฉันตามปาปารัซซี่พราวเลยเหรอ แกคิดว่าไฮโซอย่างฉันนี่ ดีแต่ขู่ใช่ไหม”
ขาดคำติณห์ก็เงื้อหมัดต่อยหน้าอย่างแรง จนสุดเขต์หน้าหัน ก่อนจะต่อยสวนกลับมา จนอีกฝ่ายเซผงะ
มาโนชกับสมุน 2 คน กำหมัดปรี่จะเข้าจัดการสุดเขตต์ แต่ติณห์กลับตวาดเสียงดัง
“ถอยไป ฉันจะสั่งสอนมันเอง”
พูดพลางปรี่เข้ามาสาวหมัดใส่หน้าสุดเขตต์ อีกฝ่ายยกแขนกันไว้ แล้วสวนหมัดคืน ติณห์ก็ยกแขนกันไว้เหมือนกัน
“วันนี้แกไม่ได้เดินออกไปจากบ้านฉันแน่ไอ้สุดเขตต์”
สุดเขตต์หัวเราะเยาะ
“คิดไม่ถึงเลย ว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ออกจากปากไฮโซอย่างคุณ”
“ยังมีเรื่องของฉันที่แกคิดไม่ถึงอีกเยอะ วันนี้แกได้เจอแน่”
ติณห์เงื้อหมัดจะต่อย แต่พนักงานของบริษัท วิ่งตะโกนเรียกเข้ามาขัดจังหวะ
“คุณติณห์คะ เกิดเรื่องกับคุณจรีค่ะ”
ติณห์หันไปมองหน้ากับมาโนช เพราะคิดว่าจันทร์จรีฆ่าพราวสำเร็จแล้ว เขาจึงรีบปล่อยมือและปัดมือสุดเขตต์ออกทันที
“ทำไม จรีไปทำอะไรเข้า”
“คุณติณห์ออกไปดูเองเถอะค่ะ เร็ว”
ติณห์รีบตามพนักงานออกไป มาโนชกับสมุนวิ่งตามไปแทบไม่ทัน สุดเขตต์รีบคว้ากล้องถ่ายรูปของตัวเองที่มาโนชวางไว้ วิ่งตามออกไปอีกคน
ติณห์รีบเดินตามพนักงานมาถึงบริเวณสระน้ำ สีหน้ากระหยิ่มที่คาดหวังว่าจะได้เห็นโศกนาฏกรรมของพราวต้องเปลี่ยนไปทันที
เมื่อเห็นจันทร์จรีกำลังตบน้ำโวยวายด่ากราดอยู่ในสระด้วยอาการเมามาย โดยมีพราวยืนดูอยู่ และที่ช็อกยิ่งไปกว่านั้น ก็คือสมชายที่ยืนเท้าเอวมองอยู่ข้างๆ เธอ
สุดเขตต์ตามมาหยุดมองอยู่ที่ด้านหลังกลุ่มของติณห์
จันทร์จรีโวยวายอย่างคนไม่มีสติ
“ไอ้บ้า ฉันจะฟ้องนักข่าว ว่านังพราวบงการให้แกทำร้ายฉัน”
สมชายหัวเราะขำ
“ฟ้องทำไมนักข่าว แจ้งตำรวจเลยดิ เอาม่ะ เดี๋ยวเรียกระดมพลมาให้ ทั้งตำรวจท้องที่ ทั้งกองปราบ ทั้งนครบาล หน่วยสวาท CSI แถมมูลนิธิเก็บศพมาให้ด้วย”
“เรียกมาทำไม มาเก็บศพนังพราวหรือไง”
ติณห์รีบพูดแทรกขึ้นมา ก่อนที่จันทร์จรีจะหลุดมากกว่านี้
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับพราว ?”
พราวไม่ทันจะตอบ จันทร์จรีก็แผดเสียงสวนขึ้นมา
“คุณติณห์ ช่วยจรีด้วยค่ะ ไอ้บอดี้การ์ดนังพราว มันจับจรีโยนลงสระ”
พราวจะสวนกลับ แต่ช้ากว่าสมชายที่กำลังโกรธได้ที่
“ฟ้องเสร็จหรือยัง ผมจะได้ฟ้องมั่ง พรีเซ็นเตอร์แป้งตบแล้วหน้าเด้งของบริษัทคุณ เปลี่ยนจากตบแป้ง มาตบพราว ทำร้ายพราว โชคร้ายที่ผมมาทัน พรีเซ็นเตอร์ของคุณเลยลงไปลอยคออยู่ในสระแทน”
พราวแอบกลั้นขำ ขณะที่ติณห์ทำทีเป็นพูดตำหนิจันทร์จรี
“ นี่คุณมาหาเรื่องพราวเหรอ ผมเตือนกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามายุ่งกับพราว”
สมชายแค่นหัวเราะ “นี่คุณเตือนแล้วเหรอ สาบานนะว่าเตือนแล้ว”
มาโนชรีบพูดช่วยติณห์
“คุณจรีคงเมาน่ะครับ เมื่อกี้ในงานเลี้ยง ผมเห็นดื่มเข้าไปหลายแก้ว”
“แล้วจะยืนพูดอยู่ทำไม รีบพาขึ้นสระไปให้พ้นไป”
มาโนชรีบพยักหน้าเรียกลูกน้องไปช่วยพยุงจันทร์จรีขึ้นจากน้ำ ก่อนจะแบกเข้าไปด้านใน ติณห์หันมาจับมือพราว แล้วแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับพราว ?”
สมชายรีบโพล่งขึ้นมา
“เผอิญผมมาทันไง คุณพราวก็เลยยังยืนอยู่ให้คุณถาม”
“แล้วคุณเข้ามาบ้านผมได้ยังไงครับ ผมไม่ได้เชิญคุณ”
สมชายยืนอึ้ง จังหวะที่พราวหันไปเห็นสุดเขตต์ เลยโวยขึ้นมาบ้าง
“แล้วนักข่าวนั่นเข้ามาได้ไงคะ คุณปล่อยให้เข้ามาได้ยังไงคะคุณติณห์ เดี๋ยวรูปพราวก็หลุดออกไป”
“ผมไม่ได้ให้เค้าเข้ามาครับ แต่เค้าแอบเข้ามาเอง”
สมชายได้โอกาสทันที “อย่างงั้นเหรอ เดี๋ยวผมจัดการอบรมให้”
พูดพลางรีบเดินมาหาสุดเขตต์ แล้วมองหน้าอย่างรู้กัน
“ขอเชิญหน่อยคุณ ออกไปกับผม ส่วนคุณน่ะครับคุณพราว เตรียมตัวกลับเลยนะครับ เดี๋ยวผมไปเอารถมารับข้างหน้า”
ขาดคำก็เดินคุมตัวสุดเขตต์ไป ติณห์มองตามอย่างโกรธแค้น
สมชายทำเป็นคุมตัวสุดเขตต์ออกจากบ้านมาที่รถมอเตอร์ไซด์ที่จอดอยู่ พลางเหลียวไปมองที่ประตูรั้วอย่างระแวดระวัง
“ได้อะไรมาบ้าง ?”
สุดเขตต์ล้วง SD การ์ดออกมาจากกระเป๋าลับในเสื้อแจ็คเก็ตแอบส่งให้
“อยู่ในนี้ครับ ได้รูปมาไม่มาก ดีที่ผมแอบสับเปลี่ยนการ์ดในกล้องเสียก่อน ไม่งั้นเสร็จนายติณห์”
“ขอบคุณมากที่ช่วยเป็นสายสืบเฉพาะกิจให้ผม รีบไป แล้วคุยกัน”
สุดเขตต์รีบขี่มอเตอร์ไซด์ออกไป สมชายรีบเก็บ SD การ์ดเข้ากระเป๋า ก่อนจะเดินไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่
พราวเดินถือกระเป๋าออกมารอสมชายที่หน้าบ้าน ติณห์เดินตามง้อ
“ผมเสียใจครับพราว ที่เกิดเรื่องขึ้นในบ้านผมแบบนี้ คุณคงไม่โกรธผมนะครับ เดี๋ยวผมจะลงโทษจรีให้เด็ดขาดเลย”
พราวหยุดหันมามองติณห์ นึกเห็นใจที่เขาต้องทนทุกข์กับเรื่องของน้องชาย มากกว่าโกรธเรื่องของตัวเอง
“พราวไม่โกรธคุณหรอกค่ะคุณติณห์ แต่สำหรับจรี พราวว่าลงโทษไปก็เท่านั้น จรีไม่มีทางคิดได้หรอก พราวไม่อยากจะพูดอะไรมาก เดี๋ยวพูดไปก็เหมือนใส่ร้ายเค้าเปล่าๆ พราวหวังว่าสักวันนึง คุณจะได้รู้อะไรๆ ในตัวจรี
ดีขึ้นด้วยตัวของคุณเองค่ะ”
พูดถึงตรงนี้ สมชายก็ขับรถเข้ามาจอดเทียบพอดี ติณห์มองอย่างขัดใจ
“กลับก่อนนะคะคุณติณห์ ไม่ต้องคิดมากนะคะ เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของคุณ”
สมชายขมวดคิ้ว ไม่อยากจะเชื่อหูที่พราวไม่เคืองติณห์สักนิด
“ขอบคุณครับพราวที่เข้าใจผม ขอโอกาสให้ผมทำอะไรเพื่อคุณเป็นแก้ตัวอีกครั้งนะครับ”
“บอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องคิดมาก กลับนะคะคุณติณห์”
พราวเดินไปขึ้นรถ ก่อนที่สมชายจะขับเคลื่อนออกไป ติณห์มองตามด้วยความชิงชัง และอาฆาตแค้น
ติณห์หงุดหงิดใจไม่หาย ที่แผนยืมมือจันทร์จรีฆ่าพราวไม่สำเร็จ เขารีบสั่งการให้มาโนชจัดการงมมีดที่ใต้สระไปทำลายหลักฐาน ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในห้อง ขณะที่จันทร์จรีอยู่ในชุดเสื้อคลุมนอนเมาอ้อแอ้อยู่บนเตียง
เขายื่นมือไปคว้าคอเสื้อคลุม ดึงตัวเธอขึ้นมาด้วยสีหน้าเลือดเย็น
“คิดจะทำอะไรกับนังพราว ?”
เขาจงใจถามทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอก จันทร์จรีปรือตาขึ้นมอง พลางจับมือติณห์ไว้
“จรีจะช่วยฆ่ามันให้คุณไงคะคุณติณห์”
“ทีหลังถ้าริจะทำ ก็ต้องทำให้สำเร็จ ฉันผิดหวังเธอจริงๆ”
ติณห์ผลักจันทร์จรีลงกระแทกกลับคืนบนเตียง แล้วจะเดินผละไป จันทร์จรีรีบลุกคว้าแขนกอดไว้
“คุณติณห์ อย่าโกรธจรีเลยนะคะ”
“เอามือของเธอออกจากตัวฉัน ในเมื่อเธอไม่มีความจริงใจจะช่วยฉันแก้แค้นนังพราว ฉันก็ไม่มีเวลามาเสียความรู้สึกกับเธออีก ปล่อย สร่างเมาแล้ว รีบออกไปจากบ้านฉันไปนะ แล้วก็ไม่ต้องมาเจอฉันอีก”
จันทร์จรีเกาะแขนติณห์ไว้แน่น ทั้งรัก และทั้งกลัวว่าจะเสียทุกอย่างไป
“ไม่ไป จรีไม่ไปไหนทั้งนั้น จรีสัญญา จรีจะช่วยคุณแก้แค้นนังพราวให้ได้”
ติณห์ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะหันมานั่งลงจับคางจันทร์จรีที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น เปลี่ยนเป็นผู้ชายอบอุ่นอีกครั้ง
“จริงนะจรี อย่าทำให้ฉันผิดหวังอีกนะ ฉันเองก็ไม่อยากเสียเธอไปหรอก ฉันจะให้ทั้งตัวฉันและทุกอย่างที่ฉันมีกับเธอ ถ้าเธอช่วยฉันแก้แค้นได้สำเร็จ”
จันทร์จรีรีบพยักหน้า
“ค่ะ ไม่ว่าคุณจะให้จรีทำอะไร จรีจะทำให้ทุกอย่าง ชีวิตของจรีเป็นของคุณ”
จันทร์จรีจับมือติณห์มาซบกับหน้าตัวเองอย่างลุ่มหลง ติณห์ยิ้มร้าย
สมชายขับรถมาตามทางอย่างหงุดหงิดใจ แล้วจู่ๆ ก็เบรกเอี๊ยดจนพราวเกือบหน้าคะมำ ก่อนที่จะเดินลงไปหยุดยืนสงบสติอารมณ์อยู่ข้างทาง พราวตามมาตอแยไม่เลิก
“อยู่ๆ ก็เบรกรถระห่ำแตกแบบนั้น เกิดหน้าฉันแหกโขกกับรถเสียโฉมขึ้นมา ทำมาหากินไม่ได้ คุณต้องรับผิดชอบเลี้ยงฉันไปตลอดชีวิตนะ”
“ผมคงไม่มีบุญวาสนาได้เลี้ยงคุณหรอก”
สมชายหันมาพูดใส่หน้า ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เพราะว่าฉันเป็นคู่หมั้นของคุณติณห์อยู่แล้วซินะ”
พราวพูดพร้อมกับยกแหวนหมั้นขึ้นมา สมชายรีบปัดมือออก
“ไม่ใช่เหตุผลเรื่องคู่หมั้น”
“แล้วอะไรล่ะ นายถึงเลี้ยงฉันไม่ได้”
“เพราะคุณอาจจะตายก่อนผมน่ะซิ”
สมชายสวนขึ้นมา ทำเอาพราวที่กำลังพูดเล่น ถึงกับอึ้งยกมือทาบอก ใจหายวาบ
“คุณโกรธฉันมากขนาดนี้เลยเหรอ ถึงกับมาแช่งชักให้ฉันตาย”
“ถ้าผมอยากให้คุณตาย ผมไม่เที่ยววิ่งตามดูแลคุณหน้าเหลืองอยู่นี่หรอก แต่คุณกำลังทำตัวเองนะพราว บอกว่าอย่ามาๆ คุณก็ยังจะรนมาหานายคู่หมั้นจนได้ ไม่ได้เจอกันสักพักมันจะลงแดงหรือไง แล้วยังใจกล้า
ขาสั่น มาหาคนเดียวอีก เอาเข้าไป ผู้จัดกงจัดการของคุณไปอวตารที่ไหนกันหมด ถึงกล้าปล่อยให้คุณนั่งรถไปกับ
คนขับรถของคนอื่นตามลำพัง ดีนะที่มันไม่แปลงร่างเป็นคนร้ายกลางทาง ไม่งั้นคุณไม่ได้มายืนเถียงผมฉอดๆ
อยู่ตรงนี้หรอก แล้วยังแม่ดาราคู่อริของคุณอีก ถ้าผมไปไม่ทันนะ คุณถูกยัยนั่นตบ ลอยอืดอยู่ในสระแล้ว”
พราวยืนตกใจ พร้อมกับนึกภาพตาม
“นายสมชาย คุณด่าฉันพอได้แล้วนะ ฉันแสบหูไปหมดแล้ว ฉันยอมรับผิดก็ได้อ่ะ ขอโทษนะ อย่าโกรธเลยนะๆ นายสมชาย”
พูดพลางยื่นมือไปคว้าแขนสมชายดึงไว้ เขามองมือเธอ พยายามบังคับใจอย่างมากไม่ให้ใจอ่อนแสดงออกว่ารักจนเธอได้ใจ ขณะที่พราวพยายามกักเขาให้อยู่แค่ในตำแหน่งบอดี้การ์ด
สมชายดึงมือที่สวนแหวนหมั้นออก แล้วหันเดินกลับไปที่รถ พราวรีบเดินตามจนสะดุดก้อนหิน ส้นรองเท้าหลุด เธอพยายามตอกๆ กับพื้น
“นั่นมันรองเท้านะคุณ ไม่ใช่เสาเข็ม ตอกเข้าไป มันก็ไม่ติดหรอก”
พราวเงยหน้ามามองค้อน
“สักแต่ด่า แล้วถ้าไม่ตอก ส้นมันหัก จะเดินได้ยังไง”
“ก็เดินเท้าเปล่าไง ถึงจะเป็นดารา แต่ตอนเกิดมาก็เดินเท้าเปล่าออกมา คนเราต้องให้เท้าลองสัมผัสดินดูบ้าง จะได้รู้ว่าจริงๆ แล้ว เรามาจากไหน”
เหมือนโดนสั่งสอนให้รู้กำพืด เหมือนถูกท้าทาย พราวลุกขึ้น ถือรองเท้าแล้วเดินเท้าเปล่าไป แบบ
กระเผลกๆ เพราะอีกข้างยังใส่ส้นสูงอยู่
“ฉันเดินเท้าเปล่าได้ แล้วต่อให้ฉันอยู่บนดาวสูงแค่ไหน ฉันก็ไม่เคยลืมกำพืดตัวเองว่ามาจากดิน”
สุดท้ายสมชายก็ต้องยอมแพ้ใจตัวเองเพราะความห่วงใย เข้ามาช้อนตัวพราวขึ้นอุ้ม เธอหันมองหน้าเขา รู้สึกมีความสุขเวลาที่มีเขาคอยดูแล แต่ก็แอบเจ็บลึกๆ ที่ไม่สามารถลงเอยกับเขาได้
พราว ตอนที่ 15 (ต่อ)
“นังจรีมันจะทำอะไรพราว”
แฟรงค์ตบอกผางด้วยความแค้นใจ เมื่อทราบเรื่องจากพราว
“พราวก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร แต่เห็นเงาจากน้ำ เค้าเงื้อมือเข้ามาทางด้านหลังเหมือนจะตบ”
“แล้วจริงๆ มันเป็นยังไงคะคุณสมชาย คุณเข้าไปช่วยพราวนี่คะ คุณน่าจะเห็นเหตุการณ์”
เอมี่หันมาถามสมชาย
“ผมเข้าไปตอนที่คุณจรีตกสระไปแล้วครับ คุณพราวกำลังจะตก”
“แล้วคุณติณห์หายศีรษะไปไหนห่ะพราว ถึงปล่อยให้พราวอยู่คนเดียว ให้นังจรีมันโผล่เข้าแว้งกัดได้”
แฟรงค์ชักสีหน้าไม่พอใจติณห์
“เค้าไม่ได้หายศีรษะไปไหนหรอกพี่ เค้าขอไปธุระแป๊บนึง”
สมชายถึงกับส่ายหน้า
“แล้วคุณก็เชื่อ หึ มีซุปตาร์โผบินไปหาถึงรัง พ่อนกไม่น่าทิ้งรังไปเลยนะ”
“ยียวนแบบนี้ คุณก็ว่าคุณติณห์เปิดช่องให้จรีมาเล่นงานฉันน่ะซิ เป็นไปไม่ได้ คุณติณห์เค้าจะทำอย่างงั้นเพื่อ ?”
พราวยังคงมองติณห์ในแง่ดี
“แล้วเค้าจะนัดคุณไปสวีตเพื่อ? ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีคู่อริของคุณอยู่ในบ้าน พร้อมจะเข้ามาเป็นมารขวางคอหอยได้ตลอดเวลา”
แฟรงค์นั่งคิดตามอยู่เงียบๆ ขณะที่เอมี่พูดออกมาอย่างใจคิด
“เรื่องนี้ฉันเห็นด้วยกับคุณสมชายร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็รู้อยู่นะ ว่าพราวจะไป ทำไมไม่ไล่จรีกลับไปก่อน เค้าทำไม่ถูกนะแบบนี้”
“เค้าอาจจะทำถูกก็ได้ครับคุณเอมี่”
สมชายพูดเพราะชักสงสัยติณห์แล้วว่าอาจจะวางแผนอะไรอยู่ แต่พราวกลับไม่คิด แฟรงค์ที่นั่งเงียบอยู่นานถึงกับออกปาก
“เจ๊ว่าคนที่น่าสงสารที่สุดคือหนูนะพราว”
พราวส่ายหน้า
“หนูไม่น่าสงสารเท่าคนที่มีน้องชายเป็นเจ้าชายนิทราตลอดชีวิตหรอกพี่”
สมชายอึ้งมองพราว ขณะที่แฟรงค์กับเอมี่งง
“นี่ชีวิตจริงของคุณติณห์นะคะ ตรีเป็นน้องชายของคุณติณห์”
“ตรีเนี่ยะนะ”
แฟรวค์กับเอมี่โพล่งออกมาพร้อมกัน
“ตรีขับรถชนค่ะ แล้วตอนนี้ก็นอนไม่รับรู้อะไร เหมือนผักอยู่บนเตียง”
จันทร์จรีหลังสร่างเมา และแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็มายืนลับๆ ล่อๆ ก่อนจะแอบเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนห้องหนึ่ง ซึ่งเธอคาดเดาว่าน่าจะเคยเป็นห้องนอนของตรีมาก่อน เพราะเห็นมีรูปถ่ายของตรีวางอยู่รอบๆ ห้อง จากนั้นก็มองไปที่ใกล้ประตูระเบียง เห็นด้านหลังตรีนั่งอยู่บนวิลแชร์ไฟฟ้า เธอทำใจกล้าเดินเข้าไปหา
แต่พอเข้าไปใกล้แล้วมองหน้าตรีเต็มๆ เธอก็ถึงกับกำหมัดยกขึ้นมากัดอย่างหวาดๆ กลัวๆ แต่แล้วก็กลั้นใจพูดขึ้น
“ฉันบอกคุณไปแล้วนะตรี ว่าไม่เคยรักคุณเลย ทำไมคุณไม่ไปให้พ้นๆ จากชีวิตฉัน ทำไมต้องเป็นน้องชายคุณติณห์ด้วย ฉันรักคุณติณห์มาก ได้ยินไหมฉันรักพี่ชายคุณ รักทั้งตัวเค้าและทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเค้า”
หน้าของตรีแม้ไม่ไหวติง แต่ดวงตาและใบหน้านั้นเหมือนกำลังรับรู้ จันทร์จรีเดินมานั่งยองๆ ตรงหน้า “ตรี ถ้าคุณรักฉันจริง ขอร้องล่ะนะ จะอยู่อย่างนี้ก็อยู่ไป แต่อย่าฟื้นขึ้นมานะ ไม่อย่างงั้น คุณได้ตายจริงๆแน่ ฉันไม่ได้ขู่นะ ฉันทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณติณห์ ฉันจะไม่ยอมเสียเค้าไปเด็ดขาด”
พูดพลางค่อยๆ ยื่นมือไปจับสายระโยงระยางที่ช่วยพยุงหัวใจตรีให้ยังเต้นอยู่ แต่แล้วติณห์ก็เปิดประตูผัวะเข้ามาเสียก่อน เธอตกใจรีบปล่อยมือลุกขึ้น
“คุณเข้ามาทำอะไรในนี้จรี”
จันทร์จรีหน้าซีดเผือด
“จรีกำลังจะกลับน่ะค่ะ ก็เลยอยากจะมาลาน้องคุณซะหน่อย บอกเค้าว่าไม่ต้องห่วง จรีจะช่วยคุณแก้แค้นนังพราวให้เองค่ะ เอ่อ คืนนี้มีงานเดินแบบ จรีกลับไปเตรียมตัวก่อนนะคะคุณติณห์ ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะกลับเลย”
พูดพร้อมกับเดินเข้าไปกอดติณห์ไว้ ด้วยสีหน้าทั้งรักและหวงแหนเขาเหลือเกิน ติณห์ยืนนิ่งไม่กอดตอบ สีหน้าเย็นชา
“หวังว่าคุณจะไม่ผิดคำพูดที่บอกไว้กับน้องผมนะ”
“ไม่ลืมค่ะ รักนะคะ”
จันทร์จรีจุ๊บแก้มติณห์แล้วหันเดินออกจากห้องไป ติณห์เดินเข้ามานั่งยองลงต่อหน้าน้องชาย พลางจับมือที่ขาวซีดราวกับศพไว้ น้ำตาคลอเบ้า
“พี่จะรีบแก้แค้นให้เร็วที่สุด แต่ตรีต้องสัญญานะ ว่าตรีจะต้องฟื้นกลับมาหาพี่ให้ได้ พี่รอน้องอยู่ รีบกลับมานะ”
สมชายนั่งฟังพราวเล่าเรื่องที่ไปพบตรี พลางพยายามรวบรวมข้อมูล แฟรงค์ลูบแขนตัวเองทำท่าขนลุก
“ฟังหนูเล่า เจ๊ขนลุกซู่ๆ เลยอ่ะ โลกมันไม่กลมนะเนี่ยะ มันบู้บี้บุบบิบมากเลย ที่อยู่ๆ คุณติณห์ก็เป็นพี่ชายของนายตรีซะงั้น”
“ใช่ค่ะ พราวก็คิดไม่ถึงเลยว่าตรีจะเป็นน้องชายเค้า ไม่เคยรู้เลย”
สมชายแอบเบ้ปาก “ตลกนะ คุณรับหมั้นเค้า ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องครอบครัวเค้าเลย”
พราวหันขวับไปทันที
“ก็เพราะอะไรล่ะ ฉันถึงต้องรับหมั้นเค้าแบบสายฟ้าแล่บ”
“คุณรับหมั้นเค้าเพราะผม ไม่ใช่เพราะรักเค้าหรอกเหรอ ?”
พราวอึ้ง แต่ยังปากแข็ง “ก็ทั้ง 2 อย่าง”
แฟรงค์เห็นท่าไม่ดี รีบถามต่อ
“แล้วที่คุณติณห์บอกว่าตรีไปขับรถคว่ำรถชนเพราะเสียใจถูกผู้หญิงหักอกน่ะ ผู้หญิงคนนั้น ชีเป็นใครเหรอ เค้าบอกเปล่า ?”
“เปล่าค่ะ คุณติณห์เค้ายังถามพราวเลย ว่ารู้ไหมผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
เอมี่ โพล่งออกมาอย่างเหลืออด “ก็ทำไมไม่บอกไปล่ะ ว่าเป็นจรี”
สมชายถึงกับหูผึ่ง
“ไปพูดอย่างงั้นได้ไงเอมี่ เราไม่มีหลักฐานนะ”
เอมี่รีบแย้ง “ทำไมไม่มี ก็เรา 3 คนนี่ไงที่เป็นพยานได้ว่าจรีเคยคบกับนายตรี หลอกให้เค้าพามาหาเจ๊แฟรงค์ ให้ช่วยพาเข้าวงการได้แล้วก็มาเขี่ยเค้าทิ้ง”
พราวถอนหายใจ
“แต่พอเลิกกับจรีแล้ว ตรีไปคบกับใคร มีแฟนใหม่อีกรึเปล่า เราก็ไม่รู้นะ”
แฟรงค์รีบแทรกขึ้นมาบ้าง
“เดี๋ยวๆๆ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คุณติณห์รู้เปล่าเอ่ย ว่าจรีเคยคบกับตรี ?”
พราวส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะ และคิดว่าจรีก็ไม่อยากให้รู้ด้วย”
แฟรงค์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ ขณะที่สมชายได้ข้อมูลแล้ว ก็รีบขอตัวออกไปทันที
สมชายกลับมายังสนามซ้อมยิงปืน พอสหวุฒิเดินเข้ามา เขาก็รีบยื่น SD การ์ดส่งให้
“นี่ครับ รูปถ่ายจากฝีมือนายสุดเขตต์สายสืบเฉพาะกิจของเรา”
สหวุฒิรับ แล้วส่งต่อให้ลูกน้อง
“ปริ้นต์รูปออกมาให้หมดนะ”
จากนั้นก็หันมาถามสมชายต่อ
“แล้วได้เรื่องนายตรีน้องชายไฮโซติณห์มาไหม?”
“ได้ครับ คุณพราวรู้จักกับนายตรีจริงครับ แต่เค้าไม่รู้มาก่อนว่านายตรีเป็นพี่น้องกับไฮโซติณห์”
“แล้วไฮโซติณห์ล่ะ รู้รึเปล่าว่าคุณพราวเคยรู้จักสนิทสนมกับน้องชายตัวเองมาก่อน ?”
สมชายขมวดคิ้ว “เท่าที่ผมฟังจากคุณพราวเล่า ดูเหมือนไฮโซติณห์ก็ไม่รู้มาก่อน เพิ่งจะมารู้วันนี้เอง แต่จริงๆ ไฮโซติณห์จะรู้มาก่อนรึเปล่า เรื่องนี้มีแต่ไฮโซติณห์เท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ แต่คุณพราวกับนายตรีเป็นแค่เพื่อนกันครับ ไม่ได้คบหากันอย่างที่เราตั้งข้อสงสัย แต่คนที่เคยคบหาเป็นแฟนกับนายตรีแน่ๆ คือคุณจันทร์จรี แล้วตอนนี้คุณจันทร์จรีก็กำลังเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้บริษัทคุณติณห์อยู่ด้วย”
“รู้สึกมันจะมาพัวพันอีรุงตุงนังกันอยู่ตรงที่นายตรีนี่นะ แปลกๆ”
สมชายพยักหน้าเห็นด้วย
“ผมก็รู้สึกเหมือนกับผู้กำกับครับ แถมสาเหตุที่ทำให้นายตรีขับรถไปคว่ำจนเป็นเจ้าชายนิทราก็เพราะถูกผู้หญิงทิ้ง”
“แล้วสารวัตรคิดว่าไง ?”
“ผมไม่ไว้ใจไฮโซติณห์ครับ ยิ่งวันนี้ ดาราที่ชื่อจันทร์จรีพยายามจะเข้ามาทำร้ายคุณพราว ตอนที่ไฮโซติณห์ทิ้งคุณพราวไว้ตามลำพัง ผมว่ามันประจวบเหมาะเกินไป”
“เอาล่ะ ผมรู้แล้ว ว่าจะต้องจับตาดูใครบ้าง”
สมชายหน้าเครียด ยิ่งนานวันก็ยิ่งรู้สึกไม่ไว้ใจติณห์มากขึ้นทุกที
แฟรงค์เดินเข้ามาในบริษัทติณห์อย่างเอาเรื่อง จันทร์จรีที่มารับเช็คพอดีมองเห็นเข้า ก็เริ่มประสาทเสีย“อีแฟรงค์ มึงจะมาแฉกูเหรอ”
จากนั้นก็รีบเดินตามแฟรงค์ไปทันที
ติณห์ก้าวเข้าลิฟท์ไป แฟรงค์ยกมือจะตะโกนเรียกแต่ไม่ทัน
“ยังไงๆ วันนี้ฉันต้องแฉแกให้ได้นังชะนี เมื่อแกไม่หยุด ฉันก็จะหยุดแกเอง ให้คุณติณห์รู้เช่นเห็นชาติแกซะที ว่าแกนั่นแหละ ที่เคยคั่วกับน้องชายเค้า แล้วเฉดหัวเค้าทิ้ง”
พูดพลางกดมือถือขณะเดินตรงมาที่ลิฟท์ แต่ลิฟท์อีกตัวกลับติดป้ายว่ากำลังซ่อมบำรุง ครั้นพยายามโทร.เข้ามือถือแต่ก็ไม่มีสัญญาณ แฟรงค์ร้อนใจ พลางหันมองไปเห็นประตูหนีไฟอยู่ข้างๆ
จันทร์จรีแอบสะกดรอยตามมา แววตาเหมือนสัตว์ร้ายรอโอกาสขย้ำศัตรู
แฟรงค์รีบหิ้วกระเป๋าเดินลงบันไดหนีไฟมา
“ความเร็วของลิฟท์ หรือจะสู้ความพยายามแฉของแฟรงค์กี้ได้”
จันทร์จรีแอบลงบันไดตามมาอย่างเงียบๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกลียด และคิดหาวิธีจะจัดการแฟรงค์ให้ดับดิ้น
“อีผู้จัดการจอมแฉ ถ้ากำจัดแกซะคน ก็เท่ากับกำจัดอดีตเน่าๆ ของฉันทิ้งได้ จะกำจัดมันยังไงดี”
เมื่อเดินตามลงมาเห็นรถเข็นก็ยิ้มออก รีบเข็นรถเข็นมาจ่อที่เหนือขั้นบันได
“ตายซะเถอะอีแฟรงค์”
จันทร์จรีผลักรถเข็นลงไปแล้วรีบหลบ แฟรงค์ได้ยินเสียงก็เหลียวหน้ามามอง แล้วต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นรถเข็นที่ทุกกล่องขนาดใหญ่กำลังพุ่งลงบันไดมาหาใส่เต็มหลัง
แฟรงค์ล้มลงนอนกองกับพื้น โดยมีรถเข็นและกล่องของทับอยู่ที่บริเวณหลังและต้นคอ จันทร์จรียืนกำหมัดมองลงมาตาลุกวาวด้วยความสะใจ แต่พอได้ยินเสียงคนเดินมาที่ประตูหนีไฟ ก็รีบวิ่งหลบขึ้นบันไดไปชั้นบนทันที
พนักงานขนของเปิดประตูหนีไฟชั้น 5 ออกมา จะขนของที่ใส่รถเข็นเอามาพักไว้ แต่ไม่เห็นรถเข็น กลับได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของแฟรงค์
“ช่วยด้วย”
พนักงานรีบวิ่งลงบันไดไปดูแฟรงค์ ที่นอนร้องโอดโอยอยู่ที่บันได
“โอย สันคอฉัน คอฉัน.”
จันทร์จรีรีบเปิดประตูหนีไฟชั้น 6 หลบไปทันที
แม่แก้วรีบเปิดประตูพามีนเข้ามาซ่อนในห้อง ทั้งคู่อยู่ในอาการตื่นเต้น จากนั้นแม่แก้วก็รีบเดินผละออกไป
มีนยืนหัวใจพองโตด้วยความดีใจ
พราวเดินเข้าประตูรั้วบ้านแสนรักเข้ามา เอมี่ มิกิ มาร์คเดินตามหลังมาติดๆ ตามด้วยขบวนนักข่าวทีวี และนักข่าวบันเทิงอื่นๆ
แมนยืนรออยู่ที่หน้าบ้านอย่างตื่นเต้นดีใจ แม่แก้วรีบเดินออกจากบ้านมา พร้อมกับจัดแต่งเสื้อผ้าของตัวเองลวกๆ
แม่แก้วกับแมนจับมือกันแน่น รอต้อนรับพราวที่กำลังเดินตรงเข้ามา ราวกับรอต้อนรับคนสำคัญที่สุดในชีวิต
พราวเดินมาถึงก็ยกมือไหว้แม่แก้ว เอมี่ มิกิ มาร์คพากันยกมือไหว้ตาม
“สวัสดีค่ะ แม่แก้วใช่ไหมคะ?”
แม่แก้วกับแมนยกมือรับไหว้อย่างถ่อมตัวแทบไม่ทัน
“ใช่ค่ะ ขอบคุณมากนะคะคุณพราว ที่กรุณามาเยี่ยมเด็กๆ บ้านแสนรักยินดีต้อนรับค่ะ”
“ยินดีเหมือนกันค่ะที่ได้มาเยี่ยมบ้านของเด็กๆ กำพร้า”
พราวมองไปที่แมน เอมี่เลยเข้ามาแอบกระซิบบอก
“นี่น้องแมน น้องชายแท้ๆ ของมีน”
พราวส่งยิ้มเอ็นดูให้แมน “สวัสดีค่ะน้องแมน”
แมนยิ้มเขินๆ “สวัสดีครับคุณพราว”
“แล้วเด็กๆ ล่ะคะ”
“เชิญข้างในเลยค่ะ”
พราวเดินนำทุกคนตามแม่แก้วกับแมนเข้าบ้านไป
ทันทีที่พราวกับทุกคนเข้ามาในบ้าน ก็เจอเด็กๆ ยืนตั้งแถวรอต้อนรับอยู่ โดยมีช่อดอกไม้ประดิษฐ์ที่ทำเองอยู่ในมือ ทันทีที่เห็นพราว เด็กๆ ก็ดีใจตื่นเต้นกันใหญ่
“ขอบคุณคุณพราวมากค่ะที่มาเยี่ยมพวกหนู พวกหนูดีใจมาก และมีกำลังใจมากขึ้น ที่ยังมีคนไม่ลืมพวกเด็กกำพร้าอย่างเรา”
พราวฟังแล้วน้ำตาคลอ เด็กๆ ยื่นช่อดอกไม้ให้พราว
“ขอบคุณมากจ้ะ”
พราวรับช่อดอกไม้ พร้อมกับกอดเด็กเอาไว้ นักข่าวถ่ายรูปรัว
พราวยิ้มอิ่มใจ ที่ทำให้เด็กกำพร้ามีความสุข พลางสายตาก็มองไปเห็นโต้ที่นั่งอยู่บนวิลแชร์ ไม่ได้เข้ามาร่วมสนุกกับเด็กคนอื่นๆ เลยหันไปถามแม่แก้ว
“โทษนะคะ น้องคนนั้นเป็นอะไรคะ ?”
“ เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาเมื่อคืนน่ะค่ะ ผ่าตัดรักษาโรคลมชัก ยังต้องพักฟื้นอีกสักพัก”
พราวนึกขึ้นได้ รีบหันไปถามเอมี่
“เราก็มีของขวัญมาให้เด็กไม่ใช่เหรอเอมี่ ?”
เอมี่ตกใจ “ใช่ อยู่ในรถ ลืมหยิบมา”
“อยู่นี่ครับ”
พราวกับทุกคนหันไปมอง เห็นสมชายเดินหิ้วถุงใส่ตุ๊กตาพะรุงพะรังเข้ามา โดยอีกมืออุ้มหมีตัวยักษ์เข้ามาด้วย
มาร์คกับมิกิรีบเข้าไปรับถุงจากสมชาย แล้วมาเปิดถุงให้พราวหยิบตุ๊กตา และขนมแจกให้เด็กๆ ที่หัวเราะเริงร่า ดีใจ
สมชายยืนมองพราวอย่างเงียบๆ รู้สึกดีใจที่ได้เห็นเธอยอมก้าวลงจากบัลลังก์ลดมาดนางพญามาทำประโยชน์อะไรแบบนี้ด้วยตัวเอง แทนที่จะบริจาคแล้วแยกตัวเหมือนในอดีต
มิกิช่วยหยิบตุ๊กตาแจก จนมาถึงตัวสุดท้าย
“นี่ของหนูจ้ะ อุ้ย”
มิกิตกใจที่หันไปเห็นแมน แทนที่จะเป็นเด็กๆ
“โทษค่ะ นึกว่าเป็นน้อง”
แมนยิ้ม “ ไม่ต้องขอโทษครับ ผมรับได้ เพราะผมก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน”
“งั้น มิกิให้ เอ่อ...”
“แมนครับ”
มิกิยิ้มกว้าง “มิกิให้แมนค่ะ”
“ขอบคุณมากครับคุณมิกิ”
แมนรับตุ๊กตามาพลางยิ้มให้อย่างถ่อมตัว ทั้งคู่มองหน้ากันยิ้มๆ
ส้มจี๊ดรีบเดินเข้ามาในบ้านแสนรักด้วยสีหน้าหงุดหงิด ขณะที่สุดเขตต์ตามมาด้วยสีหน้าตกใจ
“จริงเหรอ คุณพราวมาที่นี่ ?”
“เออดิ นังซุปตาร์มันแสบไหม มันปิด ไม่อยากให้ฉันมาทำข่าว แต่เชิญนักข่าวคนอื่นวงการมันแคบย่ะ ปิดฉันไม่มีมิดหรอก ไม่ต้องเชิญ อีส้มจี๊ดมาเอง”
สุดเขตต์ไม่ได้สนใจฟัง รีบวิ่งแซงส้มจี๊ดไปในบ้านทันที
พราวแจกตุ๊กตาให้เด็กคนอื่นๆ จนครบแล้ว เหลือโต้คนเดียวที่ยังไม่ได้ เธอหันไปมองตุ๊กตาหมีตัวยักษ์ที่สมชายอุ้มอยู่ท่าทางเก้ๆกังๆ เพราะยังมึนตึงกันอยู่ ก่อนที่จะคว้าตุ๊กตาดึงมาพลางค้อนใส่นิดๆ แล้วเดินอุ้มตุ๊กตาไปวางให้โต้บนตัก
สุดเขตต์กับส้มจี๊ดเข้าบ้านมาทันเห็นภาพพอดี เขารีบยกกล้องถ่าย สลับกับมองหามีน แต่เมื่อไม่เห็น
ก็ยิ้มโล่งอก
“ตัวโตที่สุดนี้ เป็นของเด็กเก่งครับ ขอให้หายเร็วๆนะคะน้องโต้”
โต้ยิ้ม พลางกอดตุ๊กตาแน่น
“ขอบคุณครับพี่พราว”
พราวลูบหัวแล้วกอดโต้อย่างเอ็นดู นักข่าวกับสุดเขตต์พากันถ่ายรูปกันใหญ่ ส้มจี๊ดยืนกอดอกมองอย่างหมั่นไส้
“อีดาราสร้างภาพ”
พราวผละจากโต้หันมาเห็นสุดเขตต์กับส้มจี๊ดก็หุบยิ้ม ชักสีหน้าไม่พอใจ สมชายเหล่มองตาม เห็นพราวจะเดินไปเอาเรื่องสุดเขตต์กับส้มจี๊ด ก็รีบยกมือขวางไว้
“อย่าไปเอาเรื่องเค้าเลยน่าคุณ”
“ก็แล้วทำไมคุณไม่จับตากล้องนั่นโยนออกไปล่ะ ที่แอบตามไปถ่ายปาปารัซซี่ฉันที่บ้านคุณติณห์ ทำไมคุณไม่จับเค้าส่งโรงพัก”
สมชายถอนหายใจเบาๆ “ผมมีเหตุผล คุณไปทำภารกิจของคุณให้เสร็จก่อน แล้วผมจะอธิบายให้ทราบทีหลัง พอใจมั้ย”
พราวมองค้อน พลางหันไปยิ้มให้แม่แก้วที่เดินเข้ามาหา
“เชิญคุณพราวด้านโน้นดีกว่าค่ะ แม่จะพาชมบ้านนะคะ”
พราวเดินตาแม่แก้วไป นักข่าวตามกันไปเป็นขบวน สุดเขตต์แอบเข้ามาดึงแขนแมนรั้งไว้
“พี่มีนล่ะแมน ?”
มีนกระวนกระวายอยู่ในห้อง อยากออกไปต้อนรับพราวด้วยตัวเองที่อุตส่าห์มาเยี่ยมถึงบ้าน แต่ก็ทำไมได้ พลันเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใครอ่ะ?”
“สุดเขตต์ครับมีน”
มีนยิ้มดีใจ รีบเปิดประตูให้สุดเขตต์เข้าห้องมา แล้วกดล็อกประตู
“คุณมาด้วยเหรอ งั้นเพื่อนคุณก็มาด้วยน่ะซิ”
“จะไปเหลือเหรอ ไม่ว่าคุณพราวอยู่ที่ไหน ส้มจี๊ดไม่มีทางปล่อยให้หลุดรอดสายตาไปได้หรอกครับ”
“คุณพราวมา เป็นยังไงบ้างอ่ะ เด็กๆ ดีใจมากมั้ยที่ได้เจอคุณพราว”
สุดเขตต์พยักหน้ายิ้มๆ “ดูเด็กๆ ตื่นเต้นดีใจกันมาก คุณพราวเอาของขวัญมาให้เด็กๆ ด้วย”
“มีนอยากออกเห็นกับตาตัวเองจังเลยอ่ะ แอบออกไปดูนิดนึงนะ”
มีนหันเดินไปที่ประตู แต่สุดเขตต์กลับกอดเอวไว้ทางข้างหลัง
“คุณออกไปไม่ได้นะครับมีน หลบอยู่ในนี้แหละ ยัยส้มจี๊ดเห็นคุณเข้า อาจจะความแตกได้ ยัยนี่เก่งเรื่องจับผิดมาก”
มีนเขินหน้าแดง มองมือสุดเขตต์ที่กอดเอวตัวเองอยู่
“ห้ามเฉยๆก็ได้มั้ง ทำไมต้องกอดด้วย”
“ผมคิดถึงมีนมาก อยากอยู่ใกล้ๆ อยากดูแลมีน แล้ววันนี้มีนสบายดีไหมครับ ปวดหัวบ้างรึเปล่า”
มีนส่ายหน้า “ข่าวดีค่ะ วันนี้มีนไม่ปวดหัวเลย”
“ผมอยากได้ยินข่าวดีอย่างงี้ตลอดไป ว่ามีนไม่ปวดหัวแล้ว มีนหายแล้ว”
สุดเขตต์กอดซบอยู่กับมีน ที่รับรู้ได้ว่าเขาทุกข์ใจกับอาการป่วยของเธอ เธอจึงกอดแขนเขาไว้แน่น
พราว ตอนที่ 15 (ต่อ)
แม่แก้วรีบร้อนเดินมาที่ตู้ พลางเปิดตามลิ้นชักหาอยู่ชั่วครู่ เมื่อเจอรูปเก่าๆ ใบหนึ่ง ก็ยิ้มดีใจ รีบเดินถือออกไปทันที ก่อนที่จะค่อยๆ นั่งลงข้างๆ พราว แล้วยื่นรูปให้ดู
“คุณพราว ดูนี่ซิคะ ยังจำได้ไหม?”
“รูปอะไรคะ ?”
พราวรับรูปมาดู เห็นเป็นตัวเองเมื่อสัก 6-7ปีที่แล้ว ตอนกำลังเริ่มมีชื่อเสียง เคยมาทำบริจาคของในวันเกิดที่นี่
“พราวเคยมาที่นี่เหรอ ?”
“ค่ะ ตอนนั้นคุณกำลังเป็นดาราหน้าใหม่ที่ดังมากๆ คุณมากับดาราหลายๆ คนน่ะค่ะ มาร่วมบริจาคให้เด็กๆ ที่นี่ จำไม่ได้ ไม่เป็นไรคะ แค่คุณกลับมาอีกครั้ง แม่ก็ดีใจมากแล้ว ขอบคุณนะคะที่มาเป็นกำลังใจให้เรา เด็กๆ จะได้เห็นคุณเป็นตัวอย่างในการทำความดี เมื่อโตขึ้น เค้าจะได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือสังคมบ้าง”
พราวยิ้มแล้วหยิบเช็คออกมายื่นให้แม่แก้ว
“เล็กๆ น้อยๆ จากพราวค่ะ เงินไม่มากมายอะไร แต่หวังว่าจะช่วยอะไรเด็กๆ ได้บ้าง”
“ขอบคุณมากค่ะคุณพราว ขอบคุณแทนมีนด้วย”
แม่แก้วกอดพราว แล้วกระซิบบอกเรื่องมีนกับเธอเบาๆ
“มีนดีใจมากที่รู้ว่าคุณมา อยากออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง แต่ก็ทำไม่ได้ ขอบคุณนะคะที่เมตตาให้งานมีนทำ”
พราวยิ้มอย่างจริงใจ
“พราวต่างหากที่ต้องขอบคุณมีน ที่ช่วยให้ชีวิตพราว ดำเนินต่อไปได้ ถ้าไม่มีมีน ป่านนี้พราวอาจจะถอดใจ ออกจากวงการนี้ไปแล้ว”
สุดเขตต์เปิดรูปจากกล้องในมีนดู แต่เธอกลับมองเห็นภาพนั้นพร่าเลือน
“ไหนอ่ะ ไม่เห็นหน้าเด็กๆเลย คุณถ่ายรูปเบลอจัง”
“พูดซะผมเสียเซลฟ์เลย ผมตากล้องระดับมืออาชีพนะครับ จะถ่ายรูปเบลอได้ยังไง นี่รูปออกจะชัด”
“ไม่ชัดอ่ะ มีนมองอะไรไม่เห็น”
มีนพูดพลางยกมือขยี้ตา ทำเอาสุดเขตต์ชะงัก
“ก็ยังไม่ชัดอ่ะ ตามีนเป็นอะไรไปแล้ว”
มีนเริ่มร้องไห้ ด้วยความตกใจ ทำเอาสุดเขตต์ใจหาบวาบ รีบดึงเธอมากอดไว้
“มีน ทำใจดีๆ นะ คุณไม่เป็นอะไรหรอก”
ส้มจี๊ดที่กำลังเดินมองหาสุดเขตต์อยู่ หูได้ยินเสียงเขาแว่วออกมาจากห้อง
“เสียงไอ้สุดเขตต์”
จากนั้นก็หันเดินมาทางห้องที่สุดเขตต์อยู่กับมีน
“ถ้ามีนตาบอด คุณจะยังรักมีนมั้ย?”
มีนร้องไห้จนตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่ในอ้อมกอดของสุดเขตต์
“ตาบงตาบอด พูดอะไรของคุณครับมีน ?”
สุดเขตต์แปลกใจ เพราะไม่รู้เรื่องอาการข้างเคียงการเป็นเนื้องอกของเธอ
“คุณกำลังคิดมากนะ เลยเถิดไปใหญ่แล้ว มองหน้าผมซิครับมีน”
มีนเหลือบตาขึ้นมองสุดเขตต์ช้าๆ
“คุณเห็นหน้าผมมั้ย เห็นรึเปล่าครับ?”
ใบหน้าของสุดเขตต์ที่พร่าเลือน ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น มีนยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความดีใจ
“เห็นแล้วค่ะ”
สุดเขตต์ลูบเรือนผมมีน พลางยิ้มปลอบ
“เห็นมั้ย ไม่มีอะไรเลย คุณคิดมากไปเอง ทั้งหมดก็เพราะว่าคุณกำลังไม่สบาย อย่าดื้อเลยนะครับมีน ผมขอร้อง คุณต้องรีบผ่าตัดให้เร็วที่สุด เห็นคุณเจ็บ ผมก็เจ็บไม่น้อยไปกว่าคุณ”
แต่แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“สุดเขตต์ แกคุยกับใครอยู่ข้างใน ?”
สุดเขตต์กับมีนตกใจแทบช็อก ส้มจี๊ดแนบหูฟังที่ประตู พลางเคาะรัว
“สุดเขตต์ ฉันได้ยินนะ แกคุยกับใครอยู่ ตอบฉันมาเดี๋ยวนี้นะ แกเข้าไปทำอะไรในนั้น“
ส้มจี๊ดพยายามบิดลูกบิดประตู แต่ประตูล็อก
สุดเขตต์กับมีนพยายามอยู่เงียบๆ พลางมองไปที่ประตู แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าลูกบิดประตูที่เก่าพอถูกส้มจี๊ดบิดและเขย่าๆ เต็มแรงก็กำลังจะหลุด
“สุดเขตต์ แกเปิดประตูนะ ไม่งั้นฉันพังเข้าไป บอกให้เปิด ไม่เปิดฉันพังเข้าไปจริง ๆ”
ส้มจี๊ดไม่พูดเปล่า เอาตัวกระแทกประตูจริงๆ สุดเขตต์ลุกเดินไปจะเอาตัวดันประตู แต่ช้าไป ส้มจี๊ดกระแทกประตูอีกครั้ง ลูกบิดร่วงลงที่พื้น พร้อมประตูเปิดผางออก ส้มจี๊ดเซเข้ามาตามประตู มีนรีบหันหน้าข้างที่เป็นปานแดงไปทางส้มจี๊ดทันที
“แกเข้ามาคุยกับใครลับๆล่อๆในนี้? อ๊าย”
ส้มจี๊ดตกใจเมื่อเห็นหน้าที่มีปานแดงของมีน
“ใคร ? ทำไมหน้าหยะแหยงอย่างงั้น”
สุดเขตต์ไม่พอใจที่ส้มจี๊ดทำท่ารังเกียจมีน
“แกซิน่าขยะแขยง ไปว่าเค้าอย่างงั้นได้ไง ขอโทษเดี๋ยวนี้นะ”
“ทำไมฉันต้องขอโทษ ก็ดูดิ หน้าเป็นอย่างงั้นใครจะไม่ตกใจวะ แกน่ะมานี่เลย ไปเข้าใกล้ทำไม เค้าเป็นโรคติดต่อรึปล่าวก็ไม่รู้”
พูดพลางดึงกระชากแขนอย่างแรง สุดเขตต์สะบัดมือออกอย่างโกรธจัด
“ไอ้ส้มจี๊ด หยุดว่าเค้าเดี๋ยวนี้นะ ทำไมนิสัยแก ถึงดูถูกคนอย่างงี้ นึกถึงใจเค้าบ้างไหม ว่าจะเสียใจขนาดไหน”
มีนเลยรีบตัดบท “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก็หน้าฉันน่าเกลียดแบบนี้ คนที่ไม่เคยรู้จัก ก็ตกใจกันทั้งนั้น”
สุดเขตต์อ้าปากจะพูดให้มีนรู้สึกดีขึ้น แต่เธอรีบตัดบทบอกส้มจี๊ด
“คุณเค้าเจอฉันไม่สบายนะคะ ก็เลยพามาส่งห้อง พอดีลูกบิดประตู ไม่ค่อยดี ก็เลยเปิดลำบาก ขอบคุณมากนะคะที่ช่วย”
มีนไม่ยอมสบตาสุดเขตต์ แถมรีบปิดประตูห้อง แล้วทรุดนั่งร้องไห้เงียบๆ
สุดเขตต์ยืนมองค้างอยู่หน้าห้อง แล้วหันมามองเป็นเชิงตำหนิส้มจี๊ด
“อะไรอ่ะ คนตกใจ ผิดด้วยเหรอ”
“แล้วทำไม แกต้องพังประตูเข้าไปขนาดนั้นด้วย”
“ ก็ฉันได้ยินเสียงแว่วๆแกคุยกับผู้หญิง แกก็รู้ว่าฉันรักแก ฉันหวงแกแค่ไหน”
“พอทีเถอะน่า เมื่อไหร่แกจะเลิกบ้าซะที”
สุดเขตต์ส่ายหน้า แล้วเดินหนี ส้มจี๊ดรีบเดินตาม
มีนที่อยู่ในห้อง เพิ่งรู้ความจริงว่าส้มจี๊ดกับสุดเขตต์มีเรื่องรักเกินเพื่อนกันอยู่ ยิ่งทำให้เธอคิดมาก
“คุณน่าจะมีความสุขมากกว่านี้ ถ้ารักคนอื่น”
“บอกเหตุผลคุณมาได้หรือยัง ทำไมไม่จัดการกับตากล้องสุดเขตต์ ปล่อยให้ตามปาปารัซซี่ชีวิตฉันอยู่อีก”
พราวยังคาดคั้นสมชายไม่เลิก
“ผมกลัวว่า บอกแล้วคุณจะช็อกน่ะซิ”
“ทำไมต้องช็อก หรือว่าตากล้องนั่นเป็นตำรวจแฝงตัวมา”
“มุกเป็นตำรวจน่ะไม่ช็อกหรอก แต่มุกเป็นแฟนของมีนช็อกซีนีม่ากว่า”
พราวตกใจ “นายสุดเขตต์เป็นแฟนมีน ?”
สมชายพยักหน้ากวนๆ พราวรีบเข้ามากระซิบกระซาบถาม
“งั้นตากล้องนั่นก็รู้เรื่องที่มีนปลอมตัวมาเป็นฉันน่ะซิ”
“สุดเขตต์เค้ารู้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ก่อนผมด้วยซ้ำ”
พราวผวาร้อนตัว หน้าเครียด
“แล้วทำไมคุณไม่รีบบอกฉัน ปล่อยให้ฉันเซ่ออยู่ได้ ถ้าข่าวนี้หลุดออกไป ว่าฉันมีตัวปลอม ไมใช่แค่พราวจะไม่มีที่ยืนในวงการนี้เท่านั้นนะ แต่พราวจะเน่าตายแบบไม่มีหลุมให้ฝังกลบเลย”
“คุณกลัวมากนักเหรอ กับการต้องตายไปจากวงการดารา? ในเมื่อครั้งหนึ่งคุณเคยหนีจากวงการ พร่ำบอกผมว่าอยากจะมีชีวิตอย่างคนธรรมดาๆ คนนึง”
พราวถอนหายใจเศร้าๆ
“คุณไม่เข้าใจเหรอ ฉันยอมออกจากวงการในตอนที่ตัวเองยังมีชื่อเสียง ดีกว่าต้องออกอย่างดับอนาถ”
“ผมเพิ่งเข้าใจชัดวันนี้เอง ไม่ว่ายังไง ชื่อเสียงก็สำคัญที่สุดในชีวิตคุณ”
ทั้งสองมองหน้ากันนิ่งๆ ความไม่เข้าใจก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นเอมี่ก็ถือมือถือวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“พราว เกิดเรื่องแล้วพราว พี่แฟรงค์ พี่แฟรงค์”
“พี่แฟรงค์ทำไม พี่แฟรงค์เป็นอะไรเอมี่ ?”
พราวรีบเดินนำเอมี่ มิกิ มาร์คมาตามทางเดินในโรงพยาบาล ด้วยความเป็นห่วงแฟรงค์ โดยเฉพาะพราว เพราะแฟรงค์เป็นยิ่งกว่าญาติ พี่ ผู้มีพระคุณ
สมชายตามมา พลางนึกแปลกใจว่าเกิดเรื่องขึ้นกับแฟรงค์ได้ยังไง ?
พราวเปิดประตูเข้ามาในห้องก่อนเป็นคนแรก เห็นแฟรงค์นอนอยู่ที่เตียง ที่คอใส่เฝือกอ่อนเอาไว้ เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยถลอก มีบอยดูแลอยู่กับนางพยาบาลอีกคน
เธอรีบถลาไปกอดแฟรงค์ที่เตียง แล้วร้องไห้โฮ จากนั้นทุกคนก็เดินตามเข้ามา สมชายตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย
“ทำไมพี่เป็นอย่างงี้ ใครทำอะไรพี่ บอกพราวมาเดี๋ยวนี้นะ ใครทำพี่แฟรงค์?”
แฟรงค์ยิ้มเศร้าๆ “โถ ไม่ต้องร้องไห้นะพราว อุบัติเหตุน่ะหนู ไม่มีใครทำพี่หรอก”
“ไม่มีใครทำ แล้วพี่เจ็บหนักขนาดนี้ได้ไง?”
“แบบว่าๆ พี่ไปหาคุณติณห์ นังลิฟท์อ่ะซิ มันดันเสีย พี่กลัวจะตามไปแฉคุณติณห์เรื่องนังจรีไม่ทัน ก็เลยหันมาพึ่งลำแข้งของตัวเอง เดินลงบันไดหนีไฟ แล้วอยู่ๆ นังรถเข็นขนของมันก็ร่วงลงมาใส่พี่”
“พี่ไม่เป็นไรมากก็ดีแล้ว”
เอมี่พยายามพูดในแง่ดี บอยพูดแทรกขึ้นมา
“ไม่เป็นไรมากหรอกครับ แค่คอเกือบหัก”
มิกิร้องไห้โฮออกมา ทำเอาตกใจกันทั้งห้อง มาร์ครีบพูดปลอบ
“มิกิ อย่ากลัวไปเลยนะ พี่แฟรงค์ไม่ตายง่ายๆหรอก พี่แฟรงค์อึดจะตาย”
แฟรงค์ค้อนประหลับประเหลือก
“ใช่ ฉันอึดเหมือนโคกระบือ ขอบใจนะเด็กๆที่เป็นห่วง ฉันไม่ตายก่อนดันพวกหล่อนดังหรอกย่ะ”
สมชายหน้านิ่ว
“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้คุณผอจอกอ บอกว่า รถเข็นร่วงลงมาใส่เองเหรอครับ?”
“มั้ง ถ้ามันไม่ร่วงเอง แล้วใครจะทำให้มันร่วงล่ะค้าคุณบอดี้การ์ด ?”
พราวถึงกับผวา ก่อนจะพูดอย่างมั่นใจ
“มีคนจ้องจะกำจัดพี่ เหมือนกับที่จ้องจะฆ่าพราว ต้องใช่แน่ๆ”
“โอ๊ย ไม่นะพราว เจ๊ไม่เอา อย่าคิดอย่างงั้น นี่ไม่ใช่หนังฆาตกรรมนะ”
จังหวะนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่ติณห์จะเข้ามา ด้วยสีหน้าร้อนรน
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณแฟรงค์ ลูกน้องผมที่บริษัทโทร. บอก ผมติดทานข้าวกับลูกค้าอยู่ ก็เลยมาช้า”
“มีคนจงใจจะฆ่าพี่แฟรงค์ค่ะคุณติณห์”
คราวนี้ติณห์ตกใจจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของจันทร์จรี ขณะที่แฟรงค์ทำหน้าอ่อนใจเพราะไม่คิดว่าจะใช่
จันทร์จรีตามมาสังเกตการณ์อาการแฟรงค์อยู่หน้าห้อง สีหน้าเคร่งเครียด
“ยังจะรอดอีก ขอให้แกพิกลพิการ เป็นอัมพาต ลิ้นไก่ขาด พูดไม่ได้ยิ่งดี อีผู้จัดการจากนรก”
พลางหันจะกลับเดินไป แต่กลับเห็นมาโนชยืนมองอยู่ข้างหลัง
“ฝีมือคุณเหรอครับ ?”
“พูดอะไรของแก ?”
“ผมได้ยิน”
จันทร์จรีชี้หน้ามาโนชทันที
“อย่าแส่นะ ไม่ใช่แค่นังพราวคนเดียว ไม่ว่าหน้าไหนที่มาขวางทางฉันกับคุณติณห์ ฉันไม่เอาไว้ทำยา”
พูดจบจันทร์จรีก็เดินผละไป มาโนชมองตาม ชักกังวลกับการที่จันทร์จรีดูจะคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่
“ไม่ใช่อุบัติเหตุ ไม่ใช่แน่ๆ ลางสังหรณ์พราวไม่เคยพลาด มีคนจงใจจะทำร้ายพี่แฟรงค์ ต้นเหตุก็เพราะพราว พี่แฟรงค์ก็เลยพลอยโดนหมายหัวไปด้วย เพราะพราวคนเดียว เพราะพราว”
พูดพลางพราวก็ร้องไห้อย่างขมขื่นใจ จนแฟรงค์ต้องพูดปลอบใจ
“โธ่หนูๆๆ พราว ไม่เอาซิ เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด หนูอย่าโทษตัวเองเลย”
สมชายมองพราวอย่างรู้สึกทุกข์ไปด้วย แต่จู่ๆ ติณห์กลับเอ่ยขึ้น
“ผมว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีส่วนนะครับ ที่ทำให้คุณพราวรู้สึกไม่ปลอดภัยแบบนี้”
“ตำรวจมีส่วนยังไงเหรอครับ ?”
สมชายย้อนถามกลับไปอย่างไม่พอใจ
“ตราบใดตำรวจยังจับตัวคนที่ปองร้ายคุณพราวไม่ได้ ชีวิตคุณพราวก็ตกอยู่ในอันตรายแบบนี้”
“ยังจับไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ตามจับ”
ติณห์ยิ้มหยัน
“งั้นคุณควรจะเอาเวลาไปตามจับมันให้ได้ดีกว่านะครับ ส่วนคุณพราว ผมจะดูแลเองระหว่างที่คุณแฟรงค์รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล”
ติณห์ยื่นมือไปจับมือพราว พร้อมๆ กับที่สมชายก็ยื่นมือไปจับแขนเธอเอาไว้
“คุณอยากจะทำอะไรก็ทำไป แต่ไม่มีสิทธิ์มาห้ามผมดูแลคุณพราว”
“ผมมีสิทธิ์ ผมเป็นคู่หมั้นของคุณพราว”
สมชายจ้องหน้าติณห์อย่างเอาเรื่อง
“ผมไม่สนหรอกคู่หมั้น คนเดียวที่จะไล่ผมไปจากหน้าที่บอดี้การ์ดนี้ได้ คือคุณพราวคนเดียวเท่านั้น”
สมชายกับติณห์หันมามองหน้าพราวพร้อมๆ กัน เหมือนกำลังให้เธอเลือก ทำเอาพราวลำบากใจ
ติณห์เดินนำออกมานอกห้อง ด้วยสีหน้าร้ายเต็มตัว สมชายเดิมตามมาติดๆ พลางพูดใส่หน้าฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่อ้อมค้อม
“ตอนนี้มีแค่คุณกับผม 2 คนเท่านั้น ไม่มีคุณพราว ก็ไม่ต้องแอ๊บอะไรกันอีก คุณเปิดอกพูดมาเลย ตรงๆ แบบลูกผู้ชาย”
“โอเค. เลย แบบลูกผู้ชาย”
ติณห์พูดพร้อมต่อยสมชายพลั่กทันทีโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว
“ไสหัวไปให้พ้นจากคู่หมั้นฉัน เป็นตำรวจ แฝงตัวเป็นบอดี้การ์ดมาพิทักษ์คุณพราวงั้นเหรอ แกไม่เห็นทำอะไรมากไปกว่าตามเฝ้าผู้หญิงไปวันๆ เพื่อให้เค้าเปลี่ยนใจจากฉันมารักแก”
พูดพลางเงื้อหมัดจะต่อยอีกหมัด แต่สมชายยกแขนขึ้นกันไว้ พร้อมกับแล้วต่อยคืน
“ไอ้ทุเรศเอ๊ย แกคิดได้เท่านี้เองเหรอ ? ถ้าฉันคิดแต่เรื่องนั้น ฉันแย่งพราวมาจากแกนานแล้ว”
ติณห์ลุกขึ้น แล้วปรี่มาต่อยสมชายคืนอีกหมัด
“เพราะแกไม่มีปัญญาทำได้ต่างหาก”
สมชายต่อยกลับ “ถ้าฉันจะทำ ฉันไม่ใช้ปัญญาหรอกเว้ย ฉันจะใช้ความรัก”
ติณห์หัวเราะเยาะ
“ความรักเหรอ ต่อให้แกรักพราวจนตายแทนได้ พราวก็ไม่มีวันเลือกแกหรอก อย่าเหนื่อยเปล่าเลยสมชาย พราวเค้ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เค้าเป็นซูเปอร์สตาร์ ชีวิตเค้าเลอค่า มากกว่าจะมาเกลือกกลั้วกับคนธรรมดาๆ อย่างแก นี่คนรักของซุปเปอร์สตาร์มันต้องเพียบพร้อมอย่างนายติณห์ชื่อดังคนนี้ ไม่ใช่แกไอ้สมชาย ตำรวจโนเนม”
สมชายโกรธจัด เงื้อหมัดต่อยหน้าเต็มแรง ติณห์กำลังจะเงื้อหมัดสวน แต่พราวตามมาเห็นเข้าพอดี
“หยุดนะนายสมชาย”
สมชายชะงักหมัด ติณห์ทำเป็นทรุดเจ็บเหมือนถูกต่อยอยู่ฝ่ายเดียว
“ทำไมถึงทำยังงี้ ไปทำร้ายคุณติณห์เค้าทำไม”
พูดพลางวิ่งเข้ามาผลักอกสมชายออกไป
“ผมน่ะเหรอทำร้ายเค้า เรากำลังคุยกันอย่างลูกผู้ชายต่างหาก”
พราวไม่ฟังคำอธิบาย รีบเข้ามาประคองติณห์
“คุณติณห์เค้าเป็นคนดีนะ เค้าเอาชื่อเสียง เอาศักดิ์ศรีปกป้องฉันมาตลอด คุณไม่มีสิทธิ์มาทำกับเค้าอย่างงี้”
สมชายเจ็บปวดไปทั้งใจ ขณะที่ติณห์แอบยิ้มกระหยิ่ม
“ชื่อเสียง ศักดิ์ศรีงั้นเหรอ ใช่ซิ ผมไม่เคยมีชื่อเสียง ไม่มีศักดิ์ศรีแพงๆ มาปกป้องคุณเลย นายสมชายมีแค่ชีวิตถูกๆแค่นี้ เอาไว้ปกป้องคุณ คุณก็เลยไม่เคยเห็นค่าของผม”
พราวได้ยิน ก็รู้สึกตกใจ “เอ่อ ไม่ใช่”
“ช่างเหอะ ผมถือว่าคุณเลือกแล้ว ว่าอยากได้เค้าดูแล ไม่ใช่ผม”
ขาดคำก็หันหลังเดินผละไป พราวยืนมองอย่างเสียใจ ติณห์แกล้งทำเป็นทรุด เพื่อไม่ให้พราวตามไป เธอรีบหันมาประคอง
“คุณติณห์ เจ็บตรงไหนบ้างคะ ?”
“แค่ปากแตกน่ะครับ ไม่เป็นไรมาก”
พราวใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเลือดให้ติณห์ แต่หันกลับไปมองทางที่สมชายเดินไปอย่างนึกห่วง ไม่อยากให้เขาคิดว่าเธอไม่แคร์ ในที่สุดก็ตัดสินใจ
“เดี๋ยวฉันมานะคะ ฉันต้องคุยกับนายสมชายค่ะ เค้าก็ช่วยดูแลฉันมามาก”
ติณห์อ้าปากจะห้าม แต่พราววิ่งไปแล้ว
“นายสมชาย เดี๋ยวก่อน บอดี้การ์ดสมชาย”
พราววิ่งตามมา พลางตะโกนเรียก แต่สมชายกลับไม่ยอมหยุด ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองด้วยซ้ำ เพราะในใจกำลังเจ็บปวด ที่ถูกพราวทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนในสายตา
“คุณจะไปก็ตามใจนะ แต่ฉันเห็นค่าของคุณเสมอ คุณยังเป็นหลุมหลบภัยสำหรับพราว”
สมชายยิ้มขมขื่น ก่อนจะหันไปมองพราวที่ยืนอยู่ห่างๆ
“ผมควรจะสำนึกใช่ไหม ว่าตัวเองเป็นได้แค่นั้นสำหรับคุณ”
“แค่นั้นของคุณ แต่มันยิ่งใหญ่สำหรับฉันมากนะ สิ่งที่คุณทำให้ฉันไม่มีใครมาทำแทนคุณได้ ไม่มีใครมาดูแลฉันได้ดีเท่าคุณหรอก คุณเป็นทั้งบอดี้การ์ด และคนที่รู้ใจฉันที่สุด ถ้าไม่มีคุณ ฉันก็ไม่มั่นใจเลยว่าต่อไปชีวิตพราวจะเป็นยังไง”
สมชายพยายามข่มความเจ็บปวดหัวใจ
“งั้นก็มากับผมซิ เลิกกับนายติณห์ แล้วเลือกผมเลย ผมอยู่นี่แล้ว”
พูดพลางทำท่าอ้าแขนรอ แต่พราวยืนนิ่ง สมชายฝืนหัวเราะ
“คุณก็ทำไม่ได้ ผมถึงควรจะเป็นฝ่ายที่ถอยออกมา ถูกต้องที่สุดแล้ว”
สมชายหันเดินจากไป พราวร้องไห้อย่างสับสน พลางเห็นติณห์เดินตามมาแต่ไกล แต่เธอกลับตัดสินจะเลือกสมชาย
“ขอโทษนะคุณติณห์”
พราวรีบวิ่งตามสมชายไป
พราว ตอนที่ 15 (ต่อ)
จันทร์จรีมองไปเห็นสมชายกำลังเดินออกมา ก็ชะงักมอง แล้วก็เห็นพราวรีบเดินตามมาข้างหลังแต่ไกล เธอยิ้มอย่างมีแผน แอบรอจังหวะ จนสมชายเดินเลี้ยวมา ก็โผล่ออกไปทำเป็นเดินชน
สมชายคว้าแขนจันทร์จรีไว้ด้วยสัญชาตญาณ แต่กลับถูกอีกฝ่ายโอบ 2 แขนไปที่คอ
“ขอโทษครับคุณ ผมรีบไปหน่อย ไม่ทันดูทาง ผมชนเจ็บตรงไหนบ้างไหมครับ?”
เขาพูดโดยยังไม่ทันเห็นว่าเป็นจันทร์จรี จนอีกฝ่ายเงยหน้ามอง พลางยิ้มยั่ว
“เจ็บไม่มากค่ะ แต่มันแน่นอก”
สมชายเห็นหน้าจันทร์จรี ก็ส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“คุณนี่ไม่เก่งแอ็คติ้งเลย ไปเรียนการแสดงเพิ่มเถอะ เผื่อจะดังกว่านี้ เอามือออกจากตัวผมเดี๋ยวนี้”
จันทร์จรีแม้จะถูกเหน็บ แต่ยังยิ้มสู้ ไม่ยอมปล่อยมือ พลางเหลือบมองไปข้างหลังเห็นพราวเดินเข้ามาใกล้ๆ เธอจึงแกล้งยื่นหน้าจะจูบสมชาย
พราวตั้งใจจะมาบอกสมชายว่าเธอพร้อมจะเลือกเขา แต่พอมาเห็นภาพนี้ก็มีทิฐิขึ้นมาทันที
“ที่นี่โรงพยาบาลนะ ไม่ใช่โรงแรม เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ?”
สมชายหันมามองพราว เห็นสีหน้าเธอกำลังหึง ก็นึกอยากยั่วโมโห เป็นการเอาคืน
“ผมรู้ ที่นี่โรงพยาบาล แต่พอดีเจอคุณจรี เค้าอยากให้ผมช่วยสอนเลิฟซีนให้หน่อย”
พูดพลางดึงมือจันทร์จรีที่โอบคอเขาออก ทำเป็นพูดดีด้วย
“ขอโทษนะครับคุณจรี วันนี้ผมไม่มีอารมณ์ ไว้เจอกันวันอื่นก็แล้วกันนะครับ ผมจะช่วยสอนให้”
จันทร์จรียิ้มหวานใส่จริตเต็มที่
“โอเคค่ะ แล้วเจอกัน”
จากนั้นก็ทำทีเป็นหันมาพูดกับพราว
“พี่แฟรงค์เป็นไงบ้าง ขอไปเยี่ยมได้เปล่า”
พูดจบก็เดินเชิดหน้าผ่านพราวไป
พราวมองหน้าสมชายด้วยความโมโห ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีทั้งน้ำตา สมชายรีบเดินตามไป แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นติณห์ออกจากลิฟท์ มาหยุดอยู่หน้าพราวที่กำลังร้องไห้
“คุยกับนายสมชายไม่รู้เรื่องเหรอครับ”
พราวพยักหน้า พร้อมกับปาดน้ำตา ติณห์ทำแสนดีรีบเช็ดน้ำตาให้
“ไม่ต้องร้องไห้นะครับ ปล่อยนายสมชายไปเถอะครับ”
พูดพลางดึงพราวมากอด แต่แอบยิ้มสะใจให้สมชาย
“เค้าไม่เข้าใจคุณก็ไม่เป็นไร แต่ผมเข้าใจคุณเสมอ เข้าใจทุกอย่าง ขอแค่ให้ได้คุณมาอยู่ในอ้อมกอดผมแบบนี้ ผมก็พอใจแล้ว”
สมชายยืนนิ่ง มองพราวอยู่ในอ้อมกอดของติณห์ด้วยความเจ็บปวด ขณะที่จันทร์จรียืนมองด้วยความแค้น
แม่แก้วมองเช็คของพราวในมือ แล้วก็ยิ้มด้วยความดีใจ
“เรามีเงินจ่ายค่ารักษาโต้ที่ค้างโรงพยาบาลทั้งหมดแล้วลูก คุณพราวเป็นเหมือนนางฟ้าที่ลงมาช่วยเราในยามที่ขับคันไว้จริงๆ”
“เงินบริจาคแค่ 3 แสน จ่ายค่ารักษาโต้ไป จะเหลือสักเท่าไหร่ จะช่วยอะไรได้”
แมนพูดตัดพ้อพลางมองไปที่มีนที่นั่งอยู่ เพราะหวังว่าเงินของพราวจะมากพอที่จะช่วยค่ารักษามีนได้
“3 แสนนี่ก็มากแล้วนะแมน ทำไมพูดอย่างงั้น”
“ก็ผมไม่เข้าใจ ทีกับมูลนิธิอื่น คุณพราวบริจาคเป็นล้าน ทีกับพี่มีน ทำไมคุณพราวถึงบริจาคแค่นี้”
“แมน”
มีนทำเสียงปราม เพราะกลัวแมนจะหลุดปากเรื่องตัวเองป่วย ขณะที่แม่แก้วไม่พอใจ
“พูดอะไรออกมาน่ะแมน แม่เคยสอนใช่ไหมแมน ว่าอย่าอยากได้เงินทองของคนอื่น ถ้าเค้าให้ก็ถือว่ามีเมตตากับเรา ต่อแค่ให้บริจาคสลึงเดียว มันก็มีคุณค่าสำหรับเรา แต่นี่ลูกละโมบ อยากให้เค้าบริจาคเป็นล้าน แม่เสียใจจริงๆที่ได้ยินยังงี้”
พลางจะลุกเดินหนีไป จนแมนต้องรีบถลันเข้าไปกอด
“แม่ครับ ผมขอโทษ แมนไม่ได้คิดอยากได้เงินของเค้าเลย”
แมนน้ำท่วมปาก อยากจะบอกเหลือเกินว่าอยากช่วยมีน แต่พูดไม่ได้ มีนเลยรีบแก้ตัวแทน
“แมนคงอึดอัดน่ะค่ะแม่แก้ว ที่ยังทำงานหาเงินมาช่วยเราไม่ได้ ก็เลยพูดอะไรไม่ทันคิดออกมา แมนเป็นเด็กดี แม่แก้วก็รู้นี่จ้ะ อย่าโกรธแมนเลยนะคะ”
“ทีหลังอย่าพูดอะไรแบบนี้ให้แม่ได้ยินอีก แม่เสียใจนะ”
แมนรับคำ พลางมองพี่สาวด้วยแววตาห่วงใย มีนบีบมือน้องชายแน่นอย่างรู้สึกขอบคุณ
สุดเขตต์เร่งรับงานจ๊อบหามรุ่งหามค่ำ เพราะอยากหาเงินมาช่วยรักษามีน แม้บางงานจะต้องเจอกับลูกค้าที่จู้จี้จุกจิก แต่เขาก็จำต้องกัดฟันทน ครู่หนึ่งสมชายก็เข้ามาหาที่สตูดิโอ ทั้งคู่จับเข่าคุยกันเรื่องที่ต่างคนต่างสงสัยติณห์
“ก็ผมเคยบอกแล้วไงครับ ภาพไฮโซ ผู้ชายอบอุ่น แสนดี มันแค่เปลือกนอก จริงๆ แล้วมันมีอะไรซ่อนอยู่ในไฮโซคนนี้”
สุดเขตต์เปิดประเด็น สมชายพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่จะพูดต่อ
“แล้วผมยังได้บางอย่างจากรูปที่คุณถ่ายมาจากบ้านนายติณห์”
“อะไรครับ ?”
สมชายย้อนนึกถึงตอนที่นั่งดูรูปที่สุดเขตต์ถ่ายซึ่งปริ๊นต์ออกมาแผ่นๆ วางเรียงอยู่บนโต๊ะ เขาหยิบรูปที่จันทร์จรีคุยกับมาโนช 2 คนในห้องขึ้นมาดูเรียงดู 4-5 รูป เห็นท่าทีที่เกรี้ยวกราดของจันทร์จรี ขณะที่มาโนชพูดอะไรบางอย่างออกมาก่อนจะออกไป จากนั้นจันทร์จรีรื้อหาข้าวของ แล้วเดินออกจากห้องไปเช่นกัน
“พอคุณจันทร์จรีออกจากห้องไป ก็ตรงไปที่สระน้ำ ที่คุณพราวอยู่กับไฮโซติณห์”
สุดเขตต์พยักหน้า
“ผมตามคุณจันทร์จรีไป แต่ถูกคนขับรถของคุณติณห์พาลูกน้องมาขวาง จับตัวไว้ซะก่อน”
“แล้วไฮโซติณห์ก็ทิ้งคุณพราวไว้คนเดียวที่สระน้ำ” สมชายลำดับเหตุการณ์ต่อ
“จนคุณจันทร์จรีตามไปมีเรื่องกับคุณพราวตามลำพัง"”
“ให้ตายเหอะ มันเหมือนทำงานกันเป็นทีม”
“สารวัตรสงสัยว่าคุณติณห์รู้เห็นเป็นใจให้คุณจันทร์จรีไปหาเรื่องคุณพราวที่สระน้ำเหรอครับ?”
สมชายถอนหายใจ หน้าเครียด
“ก็หลักฐานมันชี้บอกอย่างงั้น แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าเค้าจะทำเพื่ออะไร ในเมื่อเค้าแสดงออกว่ารักคุณพราวมากเสียจนไม่อยากให้ผมเข้าใกล้”
สุดเขตต์รีบห้าม
“ไม่ได้นะครับ สารวัตรจะปล่อยให้ไฮโซติณห์ดูแลคุณพราวตามลำพัง แล้วตัวเองก็ถอนตัวออกมาแบบนี้ไม่ได้ ผมไม่ไว้ใจเลย แล้วถ้าเกิดวันไหนมีนต้องปลอมตัวไปทำงานแทนคุณพราว มีนก็จะไม่ปลอดภัยไปด้วย”
“ผมไม่ได้ถอนตัว แต่ผมแค่ถอย”
ขณะเดียวกันพราว ติณห์ แฟรงค์ เอมี่ ก็นั่งคุยกันเรื่องที่สมชายจะไม่มาเป็นบอดี้การ์ดให้พราวแล้ว พราวแอบใจหาย ได้แต่นั่งเงียบ จนเอมี่โพล่งออกมา
“นับจากนี้ไป 2 อาทิตย์ พราวต้องไปถ่ายละครแทบทุกวัน เพื่อปิดกล้องให้เค้า บอดี้การ์ดสมชายก็ไปซะแล้ว เจ๊ก็นอนดามคอเดี้ยงอยู่นี่ แล้วใครจะมาช่วยเป็นหน่วยดูแลความปลอดภัยให้พราวล่ะ?”
ติณห์ฉวยโอกาสอาสาทันที
“ก็ผมนี่ไงครับ ผมจะมาทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดให้คุณพราวเอง”
พราวหันไปมองหน้า แล้วรีบท้วง
“คุณติณห์! คุณต้องดูแลธุรกิจของตัวเองนะคะ จะมาตามพราวไปทุกที่ได้ยังไง พราวไม่อยากเป็นภาระของคุณ”
“เจ้าของธุรกิจจะทำเพื่อหัวใจตัวเองสักครั้งไม่ได้หรือยังไง ธุรกิจมันจะเจ๊งก็ให้มันรู้ไปซิครับ”
จังหวะนั้นตำรวจในเครื่องแบบ 2 คน ก็เดินเข้ามาในห้อง พราวหันไปมองอย่างงงๆ
“สวัสดีคะ มีอะไรคะคุณตำรวจ ?”
“สารวัตรสมชายส่งผม 2 คน มาทำหน้าที่อารักขาคุณพราว ระหว่างที่สารวัตรติดภารกิจสำคัญ ไม่สามารถมาทำหน้าที่ดูแลคุณพราวได้ครับ”
พราวได้ยิน ก็ยิ่งเจ็บแปลบในหัวใจ ตรงข้ามกับติณห์ ที่ฟังอย่างร้อนใจ ที่สมชายยังทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองอยู่
“แต่ผมคิดว่าตำรวจไม่จำเป็น เอ่อ “
ติณห์อ้าปากจะแย้ง แต่พราวขัดขึ้น
“ปล่อยเค้าเถอะคะ เค้าอยากจะทำอะไรก็ให้เค้าทำไป คุณติณห์คะ พราวเหนื่อยมาก พราวอยากกลับแล้วค่ะ”
“งั้นก็รีบพาพราวกลับเถอะค่ะคุณติณห์ พราวต้องรีบนอนให้พอเพียง ไม่งั้นพรุ่งนี้ถ่ายละครหน้าจะไม่เด้งเพียงพอเวลาเข้ากล้องนะฮะ ทางนี้ไม่ต้องห่วงพี่ นายบอยเค้าอยู่เฝ้าไข้”
แฟรงค์พูดพลางขยิบตาให้ติณห์ เป็นเชิงปรามว่าอย่าไปขัดใจพราว ติณห์จำต้องเก็บความไม่พอใจไว้เงียบๆ
ส่วนสุดเขตต์ก็ค่อยเบาใจที่รู้ว่าสมชายยังส่งลูกน้องไปดูแลพราวแทนตัวเขา
“ระหว่างนี้ผมจะควานหาหลักฐานสาวไปถึงตัวคนปองร้ายคุณพราวให้ได้”
สุดเขตต์พยักหน้ารับ “มีอะไรจะให้ผมช่วยก็บอกนะครับ ผมไปทำงานก่อน ยังมีอีกจ๊อบรออยู่”
“ขยันทำงานเก็บเงินมากเลยนะคุณ”
“ผมจำเป็นต้องหาเงินไปรักษาคนๆ นึงครับ”
สมชายมองอย่างแปลกใจ “คนที่บ้านป่วยหนักเหรอครับ ?”
สุดเขตต์ยิ้มแทนคำตอบ แล้วรีบเดินผละไป ทิ้งให้สมชายมองตามอย่างคาใจ
เมื่ออยู่กันตามลำพัง บอยก็อดที่จะถามแฟรงค์ออกมาตรงๆ ไม่ได้
“ว่าแต่วันนี้ เจ๊เจอคุณติณห์ ทำไมไม่บอกเรื่องที่จรีเคยเป็นแฟนน้องชายเค้าล่ะ อุตส่าห์ไปเจ็บตัว
เพราะจะแฉเค้าเรื่องนี้ แต่พอเจอตัวกลับไม่บอกซะงั้น”
แฟรงค์มองน้องชายค้อนๆ
“ขืนบอกตอนนี้ เกิดนังจรีมันมาเอาเรื่องมาตบล้างน้ำฉัน ฉันจะไปสู้มันได้เหรอ รอก่อน รอแฟรงค์รีเทิร์น หายดีเมื่อไหร่ ฉันแฉแน่ แล้วเจอกันนังจรี”
ติณห์พาพราว เอมี่ มิกิ และมาร์ค มาส่งที่บ้านพราวแสง จากนั้นก็แยกตัวกลับไป พราวเดินขึ้นบ้านแบบเนือยๆ เหมือนคนไม่มีหัวจิตหัวใจ จนเอมี่ถึงกับแอบรำพึงออกมา
“ถ้าโลกของพราวไม่มีสมชาย พราวจะเป็นยังไงล่ะเนี่ยะ?”
ทางด้านติณห์ ก็ก้าวขึ้นมานั่งบนรถที่มาโนชสตาร์ทเครื่องรอยู่ ด้วยอารมณ์เดือดดาล
“เราต้องรีบลงมือกับนังพราว ตอนที่ไอ้สมชายมันไม่อยู่”
“แต่มันส่งตำรวจมาเฝ้าอยู่ตั้ง 2 คนนะครับ”
ติณห์ยิ้มเหี้ยม
“ไอ้ตำรวจ 2 คนนี้ไม่มีพิษสงเท่าไอ้สมชายหรอก เราต้องหาทางลงมือก่อนที่ไอ้สมชายมันจะกลับมาทวงตำแหน่งบอดี้การ์ดของมันคืน”
มาโนชรับคำ ก่อนจะรีบรายงานเรื่องแฟรงค์ ว่าเป็นฝีมือของจันทร์จรี ติณห์ได้แต่บ่นเสียดาย ว่าน่าจะเป็นพราวมากกว่าที่จะเป็นแฟรงค์
ฝั่งสมชายก็ใช่ว่าจะอยู่อย่างมีความสุข เพราะความคิดถึงพราวคอยแต่จะมารบกวนจิตใจของเขาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งได้รับการรายงานจากตำรวจ 2 นายที่ส่งไปดูแลพราว ว่าติณห์คอยประกบไม่ห่าง ก็ยิ่งร้อนรุ่มไปหมดทั้งใจจนต้องเตะล้อรถเพื่อระบายความคิดถึง
“โธ่เว้ย ไอ้ความคิดถึงนี่ มันทรมานเป็นบ้าเลย”
มีนออกมาดูเด็กๆ ที่นอนหลับเรียงกันอยู่ พลางคอยปัดยุง และห่มผ้าให้ ทั้งที่ตัวเองก็ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย จู่ๆ อาการปวดหัวก็กำเริบขึ้นมาอีก เธอพยายามอดกลั้นความเจ็บปวดจนตัวขดตัวงอ
พราวเดินออกจากบ้านพราวแสง มีเอมี่ ต้อยติ่งถือกระเป๋า และข้าวของส่วนตัวตามออกมาด้วย มาโนชขับรถเข้ามาเทียบ พลางวิ่งอ้อมมาเปิดประตูให้ติณห์ลงจากรถ
“มอนิ่งครับ บอดี้การ์ดคนใหม่มารับไปกองถ่ายครับ”
ติ๊ณห์พูดพลางส่งยิ้มให้ พราวฝืนยิ้มตอบ เพราะคำว่าบอดี้การ์ดคนใหม่ มันช่างบาดใจเหลือเกิน
“มอนิ่งค่ะ บอดี้การ์ดคนใหม่”
ติณห์ก้าวเข้ามาหา พร้อมกับยื่นดอกกุหลาบดอกหนึ่งให้
“ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับซูเปอร์สตาร์ของผมครับ”
พราวมองดอกกุหลาบ พลันนึกย้อนไปถึงสมชายที่เคยยื่นดอกไม้ให้เธอเป็นครั้งแรกที่โรงพยาบาล
ติณห์จูงมือพราวจะเดินไปที่รถ จังหวะเดียวกับที่ตำรวจ 2 นายเมื่อคืน ในชุดนอกเครื่องแบบ ก้าวลงจากรถแทนที่จะเป็นสมชาย
“สวัสดีครับคุณพราว เดี๋ยวผมจะขับตามอารักขา ไปจนถึงกองถ่ายครับ ไม่ต้องกังวลนะครับ สารวัตรกำชับมา ให้ดูแลคุณให้ดีที่สุด”
“ฝากขอบคุณสารวัตรคุณด้วยนะคะ”
พราวพูดเจือประชด ก่อนก้าวขึ้นรถไป เอมี่กับติณห์ก้าวขึ้นรถตามไป
พราวนั่งเหม่อมองออกนอกหน้าต่าง แม้มีติณห์อยู่ข้างๆ แต่โลกช่างแห้งแล้งสำหรับพราวเมื่อไม่มีสมชายวนเวียนอยู่ข้างๆ กระทั่งเอมี่ที่นั่งมองอยู่ข้างหลัง ยังรับรู้ได้ถึงความทุกข์ใจ
สมชายแอบซุ่มเข้ามาดูลาดเลาที่คอนโดระดับกลางๆ ที่จันทร์จรีพักอยู่ เพื่อเข้าไปสืบหาหลักฐานเพิ่มเติม ครู่หนึ่งก็เห็นจันทร์จรีสะพายกระเป๋า สวมแว่นกันแดดแต่งตัวขาสั้นสบายๆ เดินผลักประตูออกมาจากคอนโด เขารีบหลบวืด ก่อนจะแอบเดินตามไป
จันทร์จรีเดินเลี้ยวเข้ามาในซอยเล็กๆ ไม่มีคนพลุกพล่าน ตรงไปยังตึกอาคารพาณิชย์สร้างใหม่ที่ยังไม่มีใครอยู่ ด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
สมชายแอบเดินตามมา พลางมองอย่างแปลกใจ
“มาทำอะไร ?”
จันทร์จรีเดินมายังลานจอดรถใต้อาคารที่ค่อนข้างกว้าง มีเสาเรียงรายมากมาย พลางมองหาคนที่นัดไว้ แล้วก็เห็นชายคนหนึ่งสวมหมวกกันน็อกนั่งรออยู่บนมอเตอร์ไซด์อยู่ห่างๆ พอชายคนนั้นมองมา เธอก็ลองกดมือถือโทร.ไป เสียงมือถือดังขึ้น ชายคนนั้นยกมือขึ้นทักแล้วกดดับมือถือทันที
จันทร์จรียิ้ม พลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา ตอนที่ติณห์มาหาเธอที่ห้อง เพื่อวางแผนจัดการกับพราว
“ผมจะลงมืออีกครั้งที่กองถ่าย คุณต้องช่วยผม”
“แต่พรุ่งนี้ ไม่มีฉากที่จรีเล่นนะคะ ขืนไปกองถ่าย นังพราวต้องสงสัยแน่”
ติณห์หน้าเครียด “แล้วคุณคิดว่า ผมควรจะลงมือเมื่อไหร่ดี?”
“มะรืนนี้มั้ยคะ มีฉากใหญ่ แอ็คชั่น นังพราวต้องเล่นบทบู๊ด้วย อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้ซ้ำซาก”
ติณห์ยิ้มร้าย
“ถ้าอย่างงั้น คุณช่วยเตรียมยาให้ผมหน่อย เพื่อให้แน่ใจว่าพราว-พิชญาดาจะพลาดแน่ๆ”
จันทร์จรีมองหน้าติณห์อย่างแปลกใจ “ยา?”
จากนั้นจันทร์จรีก็จัดแจงสั่งซื้อยานอนหลับโดมิคุมและยาพิษทางอินเตอร์เน็ต ก่อนที่จะนัดเจอกันเพื่อรับ-ส่งยา
“ของล่ะ ?”
ชายคนนั้นล้วงถุงใส่ยาออกมาจากกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ ส่งให้จันทร์จรีเปิดดู มีขวดยาน้ำมีหัวกะโหลกไขว้1 ขวด กับกล่องยาโดมิคุมอีกหนึ่ง เธอยิ้มพอใจ ก่อนจะล้วงเงินส่งให้
สมชายเดินตามมา เห็นจังหวะที่จันทร์จรีส่งเงินให้ พร้อมกับรับถุงยามา
“กำลังซื้อขายอะไร ?”
ชายขายยาซิ่งมอเตอร์ไซด์ออกไปอย่างรวดเร็ว สมชายได้แต่มองตาม พอหันกลับมาอีกที จันทร์จรีก็เดินหายไปแล้ว
“โธ่เอ้ย ต้องรู้ให้ได้ว่าในถุงนั่นมีอะไร?”
สมชายยืนครุ่นคิด แล้วก็ตัดสินใจ
“เอาวะสมชาย ถึงเวลาต้องเอาตัวเข้าแลก”
จันทร์จรีเดินสะพายกระเป๋ากลับมาที่ห้อง ด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้ม
“พรุ่งนี้ จะเหลือเพียงหนึ่งเดียว คือจันทร์จรี”
ขณะที่เธอเปิดประตูจะเดินเข้าห้อง จู่ๆ ๆสมชายก็โผล่มาข้างหลัง ผลักประตูก้าวเข้าห้องไปด้วย
“คุณมาได้ไงเนี่ยะ?”
สมชายพูดยิ้มๆ แบบสุภาพ เพื่อไม่ให้จันทร์จรีตกใจหรือโวยวาย
“ตามสัญญาวันนั้นที่โรงพยาบาลไงครับ คุณลืมแล้วเหรอ ?”
พูดพลางมองไปที่กระเป๋า ที่จันทร์จรีใช้แขนหนีบไว้แน่น
“สัญญาอะไร ?”
“อ้าว ก็เรื่องที่จะให้ผมสอนการแสดงให้ไงครับ”
จันทร์จรียิ้มกว้าง
“ไม่รู้เหรอ ว่าฉันพูดไปงั้นแหละ อยากแกล้งยัยพราวให้มันหึงคุณเล่น”
“อ้าว เหรอครับ ผมก็นึกว่าคุณจริงจัง”
สมชายพูดพลางเดินเข้าหา จันทร์จรียืนยิ้ม เพราะอยากจะเอาชนะพราวทุกเรื่องอยู่แล้ว และสมชายก็หล่อล่ำกล้ามโตซะขนาดนี้
“ตอนแรกฉันก็ว่าจะเล่นๆ แต่คุณอุตส่าห์มาหาถึงห้อง ฉันก็ชักอยากจะจริงจังแล้วซิ”
จันทร์จรียื่นมือไปลูบที่หน้าอกล่ำๆ ของสมชาย พลางยิ้มอย่างเชิญชวน สมชายยิ้มตอบ แต่ในใจนึกถึงแต่ของในกระเป๋า ซึ่งจันทร์จรียังหนีบไว้ไม่ยอมวาง
พราวที่แต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังตรวจดูความเรียบร้อย พร้อมๆ กับที่เอมี่เดินเข้ามาตาม
“พราว เสร็จหรือยังจ้ะ กองถ่ายเค้าพร้อมแล้ว รีบถ่ายจะได้ไม่กลับดึก”
“เสร็จแล้ว ๆ”
อารามรีบลุก ทำให้ลืมไปว่าบนตักวางกระจกเงาส่องหน้าไว้ ทำให้กระจกร่วงตกพื้นแตกกระจาย พราวยืนมือทาบอกด้วยความตกใจ
“ฉันจะเจอเรื่องอะไรอีกเนี่ยะ?”
จบตอนที่ 15