เงา ตอนที่ 15
รุ่งเช้าวันถัดมา คุณหญิงเพ็ญยืนรออยู่แล้วในห้องโถง ขณะชาลินีเดินลงบันไดเข้ามาหา พอเห็นธิดา คุณหญิงก็ตวัดตามองค้อนอย่างหมั่นไส้ ชาลินีทำท่าเหมือนคนทำผิด สีหน้าขรึม
“ไม่คิดเลยว่าชั้นต้องไปทำเรื่องน่าอับอายแบบนี้”
ชาลินีหลบสายตามารดา
คุณหญิงเพ็ญเดินนำออกไปก่อน ชาลินีมีความลังเลวูบหนึ่ง แล้วยืดกายตรง ตัดสินใจลุย
ขณะที่คุณหญิงเพ็ญเดินมาใกล้ประตู นายพลบัญชาก็เดินสวนเข้ามาพอดี คุณหญิงชะงัก หน้าเจื่อน พูดไม่ออก ชาลินีตามมาชะงักตามกัน
ท่านนายพลชะงัก เมื่อเห็นภริยา ด้วยนึกว่าจะต้องถูกบ่น เหน็บแนมอย่างเคย จึงตั้งป้อมไว้ก่อน
“อ้าว คุณหญิง จะไปไหนกันแต่เช้า”
“ช่างดิฉันเถอะค่ะ”
คุณหญิงเพ็ญขยับไปเพียงก้าว แล้วอดไม่ได้ “ท่านกลับมารังได้เหมือนกันนะคะ”
สมใจแล้วคุณหญิงจึงเดินออกไป นายพลบัญชาเท้าเอวมองตาม เอือมเหลือ
“เอา ต้องขอให้ได้ประชดประชันสักทีสิน่ะ เฮอะ รู้งี้ไม่กลับมาหรอก”
นายพลบ่นบ้าแล้วเดินเข้าบ้านไป ชาลินีมองตามพ่อ แล้วหันมามองออกไปนอกบ้าน หน้าเครียด
ประตูตึกของวังปิดอยู่ ขณะคุณหญิงเพ็ญเดินมา ร้องเรียก
“มีใครอยู่หรือเปล่า”
คุณหญิงหันมองหาจนเห็นสิริ เดินทื่อเข้ามา
“อุ้ย”
“มาหาใคร”
“ที่นี่วังใครล่ะชั้นก็มาหาท่านชายน่ะสิ” คุณหญิงเพ็ญฉุน ชะเง้อหา “อยู่ไหม”
สิริมองผู้มาเยือนพลางยิ้มเยาะ
คุณหญิงเพ็ญหงุดหงิด พอเห็นดวงตาสิริก็นึกกลัว “ว่าไงล่ะ”
สิริปรายตามอง คุณหญิงมองหวาดๆ อยู่บ้าง
ครู่ต่อมาสิริเดินนำคุณหญิงเพ็ญเข้ามา จนถึงหน้าประตูห้องกลม สิริหยุด หันมา
“ถึงแล้ว เชิญ”
สิริผายมือ คุณหญิงออกจะหวั่นหวาดแต่ความโกรธ ความโมโหมีมากกว่า หล่อนลุยเดินเข้าห้องไป
ภายในห้อง ไม่มีโต๊ะ มีเพียงเก้าอี้สองตัว และโต๊ะเล็ก รับรอง คุณหญิงก้าวเข้ามามองรอบห้อง ทั้งห้องทาด้วยสีทอง รูปปั้นตุ๊กตารายล้อม ในนั้นไม่มีใคร
ตุ๊กตารูปปั้นแต่ละตัวเหมือนมีชีวิต มองมาที่คุณหญิงเขม็ง จนคุณหญิงหวาดๆ ขยับจะถอยหลัง เสียงท่านชายมาด้านหลัง
“คุณหญิงเพ็ญ”
คุณหญิงหันมาตกใจ “อุ้ย”
ท่านชายเยื้อนยิ้ม น้ำเสียงนุ่ม “มีธุระอะไรกับฉันหรือ”
คุณหญิงเริ่มลังเลเล็กน้อย ที่ท่านชายไม่มีท่าทีสะทกสะท้านหรืออาการรู้สึกผิดใดๆ เลยกระแอมเรียกความมั่นใจ ทำเสียงดังข่ม
“ท่านชายต่างหากทีต้องบอกดิฉันว่าเรื่องมันเป็นยังไงกัน”
ท่านชายเลิกคิ้วฉงน ปรายยิ้มบางเฉียบ “แล้วเรากำลังพูดถึงเรื่องอะไรล่ะ”
“ท่านชายน่าจะรู้แก่ใจนะคะ ว่าท่านชายทำ...” คุณหญิงเพ็ญภาวีร์กัดฟันนึกหาคำพูด คับแค้นใจ “เรื่องน่าอับอายขายหน้าแค่ไหน”
“ฉันมั่นใจว่า ไม่ว่าฉันจะทำเรื่องอะไรลงไป ไม่เคยได้รับความอับอายขายหน้า”
คุณหญิงอ้าปากค้าง “แม้แต่เรื่องที่ท่านทำกับยายชาเมื่อคืนด้วยเหรอคะ”
คราวนี้ท่านชายหัวเราะบางๆ ด้วยสีหน้าขบขันแกมเย้ยหยัน จนคุณหญิงชะงัก ท่านชายเดินผ่านคุณหญิงไปลงนั่งเก้าอี้ยกขวาไขว่ห้าง
“ลูกสาวคุณหญิงเขาบอกว่ายังไงหรือ”
“ไม่ต้องบอกดิฉันก็เห็นสารรูปยายชา ท่านชายต้องรับผิดชอบ” คุณหญิงมองค้อน
ท่านชายยิ้ม “สำหรับลูกสาวคุณหญิง ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าฉันต้องรับผิดชอบอะไร”
คุณหญิงโกรธ “ห๊ะ...นี่...นี่...ท่านกล้า พูดถึงขนาดนี้เชียวเหรอคะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าท่านชายหายไปจนสิ้น มันถูกแต่งแต้มด้วยความเคร่งขรึมดุดัน จริงจังขึ้น
“แล้วทำไม คุณหญิง ไม่ถามลูกสาวบ้างว่า เขา...กล้าพูดยังไงกับฉัน”
คุณหญิงเพ็ญชะงักกึก มองท่านชายอย่างโมโห ท่านชายมองสบตาท้าทาย
ทางฝ่ายชาลินีเดินว้าวุ่นอยู่ในห้องนอน หยุดบีบมือตัวเอง แล้วเดินกลับไปกลับมา สีหน้าหวาดหวั่น
อีกฟาก ท่านชายวสวัตมองคุณหญิงนิ่งอยู่ คุณหญิงเชิดหน้า พยายามตั้งสติใหม่
“ท่านชาย” คุณหญิงเพ็ญแค้นแสนแค้น “จะบอกว่า ลูกสาวดิฉัน มันใจง่ายเองงั้นสิ ตบมือข้างเดียวมันจะดังเหรอคะ”
“ถ้าฉันทำอะไร ฉันยอมรับเสมอ”
คำพูดนั้นทำให้คุณหญิงใจชื้น ถอนใจโล่งอกออกมา
“แต่ฉันไม่มีวันจัดการกับเรื่องที่ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย”
“ห๊ะ...เนี่ยน่ะเหรอ ท่านชายวสวัตผู้โด่งดัง คงคิดสินะว่าเรื่องมันจะยุติง่ายๆ” คุณหญิงหลุดปากขู่ตามวิสัย
ท่านชายลุกยืน หน้าเคร่ง นัยน์คมกริบมองผู้มาเยือน “คุณหญิงกลับไปถามความจริงจากลูกสาวดีกว่า ไม่แน่ คุณหญิงอาจจะคิดอะไรได้บ้าง” น้ำเสียงท่านชายทั้งเหนื่อยหน่าย และเศร้าใจในตัวชาลินี “เขาคิดอะไรง่ายเกินไป สักวันหนึ่งเถอะ เขาจะได้รู้ว่า สิ่งที่เขาคิดว่าง่าย จะเป็นโทษกับเขาอย่างมหันต์
คุณหญิงงง โกรธจนมือไม้สั่น พูดไม่ออก และไม่เข้าใจ
“แต่ยังไงดิฉันก็ไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่ายๆ”
ท่านชายหันขวับมามองตาดุ จนคุณหญิงสะดุ้ง แล้วท่านก็ระบายลมหายใจยาว ชิงชังมนุษย์จนไม่อยากมองหน้า
“เราอย่ามาเถียงกันอยู่เลย คุณหญิงกลับไปเถอะ ฉันมีงานต้องทำ ฉันเสียเวลานานแล้ว สิริ!”
สิริก้าวเข้ามาโดยเร็ว
“พาคุณหญิงไปส่ง แล้ว อย่าให้ใครรบกวน”
ท่านชายเดินออกไปจากห้องทันที ไม่แม้แต่จะมองหน้าเอ่ยลาคุณหญิง
“เอ๊ะ เดี๋ยวสิคะ”
สิริก้าวมาขวางหน้า คุณหญิงเพ็ญหงุดหงิด ปนหวาดกลัว ไม่ชอบสีหน้าสิริ
ประตูห้องภาพเขียนในวังเปิดออกเอง ท่านชายก้าวพรวดๆ เข้ามา หยุดยืนอยู่หน้าภาพเขียนอย่างโกรธเกลียด ชิงชัง และเหนื่อยหน่าย ภุมมะ ตามหลังมา
“ฉันไม่มีวันเข้าใจ ความอยากของมนุษย์ ทำให้มนุษย์ทำได้ทุกอย่าง แม้แต่เรื่องที่น่าอับอายที่สุด”
ท่านชายหันมองภาพเขียน แลเห็นเปลวแสงสีแดงกลายเป็นเปลวไฟเต้นระริกมีชีวิต
ยินเสียงแว่วๆ ของสรรพสัตว์นรกที่ร้องโหยหวน
“นรก...ร้องเรียกหาเธออีกแล้ว ชาลินี”
ชาลินีหงุดหงิดเลยพาล ปาแก้วกาแฟลงพื้นอย่างอารมณ์เสียถึงขีดสุด
“เอาอะไรมาให้ชั้นกินเนี่ย ขมปี๋ ไปไป๊”
สาวใช้รีบเก็บแก้วลนลานออกไป สวนกับนายพลบัญชาเข้ามา
“เป็นอะไรไปเรา ทำไมอารมณ์เสียขนาดนี้”
ชาลินีอึกอัก เบือนหน้าหนี
เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอด ชาลินีลุกพรวดชะเง้อมองหน้าบ้าน นายพลมองตามเห็นคุณหญิงภริยาเดินเร็วรี่เข้ามาในบ้าน
ชาลินีผวาหาจับแขนถามอย่างร้อนใจ “แม่ เป็นยังไงบ้างคะ”
สีหน้าคุณหญิงเครียด สะบัดมือออกจากลูกสาวอย่างแรง
“เป็นยังไง ก็งามหน้าน่ะสิ”
ชาลินีหน้าเสีย อึ้ง ท่านนายพลมองแม่ลูกงงๆ
“อะไรกัน”
แม้จะเครียดชาลินียังวางสีหน้าอวดดี คุณหญิงโกรธมองอย่างหมั่นไส้ นายพลบัญชามองสองคนไปมาอย่างไม่เข้าใจ หงุดหงิด
สุดท้ายคุณหญิงพ่นออกมาว่า “ฮึ ขยันทำเรื่องงามหน้าทั้งพ่อทั้งลูก อีหน่อย ดิฉันคงต้องเอาปี๊บครอบหัวเดิน”
ชาลินีนั้นจิตใจด้านชา พ่อแม่ก็เหมือนเคย ไม่ได้ใส่ใจในหัวจิตหัวใจลูก ห่วงแต่หน้าตาตัวเอง
“มันก็ด้วยกันทั้งนั้น เฮอะ มาบ้านทีไรมีแต่เรื่องปวดกบาล”
คุณหญิงย้อน “ค้า...ไม่ใช่แต่กบาลท่านหรอก ทั้งพ่อทั้งลูก สร้างแต่เรื่องหนักกบาลชั้นด้วย”
นายพลฉงนฉงาย “ไงเรา ไปก่อเรื่องอะไรไว้”
“เล่าให้พ่อเขารับรู้มั่งสิ แม่คุ๊ณ เขาจะได้รู้ ว่าบาปกรรมน่ะ มันตามทันเขาแล้ว”
นายพลยิ่งงง ไม่เก็ต “บาปกรรมอะไร ชั้นไปทำอะไร”
“โฮ๊ย ค่า มีแต่ทำบุ๊ญ..เก็บสาวๆมาเลี้ยง จนมีลูกเป็นโขยง”
ชาลินีแหวใส่อย่างเหลืออด “หยุดเถียงกันเสียทีเถอะค่ะ”
นายพล และคุณหญิงชะงักมองลูก ชาลินีรู้สึกตัว ยืนอึ้ง
“ยังมาทำเป็นมาห้าม เพราะแก หน้าชั้นเนี่ย หยิกไม่เจ็บแล้ว”
“ไอ้ที่จะหยิกไม่เจ็บก็เพราะมาตะโกนปาวๆให้คนใช้ฟังนี่แหละ” ท่านนายพลมองสองคน “นี่มีเรื่องอะไรกัน ไปคุยในห้องหน่อยสิ”
คุณหญิงหัวเราะขื่นๆ “คุยในห้อง? เก็บไว้คุยกับสาวๆ เถอะค่ะ”
นายพลยัวะ “นี่คุณ เแก่ๆ กันแล้วนะ ยศศักดิ์ก็มีค้ำคอกันอยู่ อย่าพูดให้อายเด็กในบ้านหน่อยเลย เฮอะ..หึงตั้งแต่สาวจนแก่”
นายพลหันตัวกระแทกเท้าเดินนำไป คุณหญิงเข่นเขี้ยว
“ฟังพ่อแกนะ”
“แม่คะ อย่าพูดเถอะค่ะ เดี๋ยวยิ่งทะเลาะกันใหญ่โต เรื่องของหนู หนูจัดการเองได้”
“อ้อ แกคิดว่าเป็นเรื่องของแกคนเดียวเหรอ แกเป็นลูกไม่มีพ่อแม่หรือไง ก็ถ้าคิดซะอย่างนี้แล้วให้ฉันบากหน้าไปพูดกับเขาทำไม หรือจะรอให้มีพยานออกมาเป็นตัว ให้มันงามหน้าล่ะ”
ชาลินี ชะงักงัน อึ้งไปเลย มือหล่อนสั่นคำพูดมารดาจี้ใจดำโดยอีกฝ่ายไม่รู้
“ดีเหมือนกัน พ่อแกจะได้สำนึกมั่งว่า เวลาลูกของตัวเองไปถูกเขากินมาฟรี ๆ จะรู้สึกยังไง” คุณหญิงหันขวับมองลูก “เรามันตัวต้นเหตุ มา...พูดกันให้รู้เรื่อง”
คุณหญิงหันตัวเดินตามสามีไป
ชาลินีสับสนหนัก ต่อสู้กับอารมณ์ตัวเอง จนสุดท้ายตัดสินใจเดินหน้าต่อมองไปยังทางที่พ่อแม่เดินไป รู้สึกว่าหลังชนฝาแล้ว
“อย่ากลัวสิชาลินี มาถึงขั้นนี้แล้ว บางที บารมีของพ่อ อาจจะช่วยได้”
ชาลินีสูดลมหายใจ เชิดหน้าอันซีดเซียวนั้น ก้าวเดินไป
คุณหญิงกระแทกตัวลงนั่งโซฟา นายพลบัญชาเดินตามมาหยุดนั่งโซฟาอีกตัว ชาลินีเดินเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ปิดประตูลง ด้วยสีหน้าเรียบ หล่อนยืนนิ่ง ไม่ยอมนั่ง
“ว่ามาสิ มันเรื่องอะไรกัน”
“ถามแม่ลูกสาวสิคะ”
ท่านนายพลโมโหอีก “เอ๊า ก็เล่ามาสักคนซิ จะได้รู้เรื่อง”
ชาลินีอึ้ง
“แม่ลูกสาวของคุณ ไปเสียท่าผู้ชายมาค่ะ”
นายพลสูงวัยลุกยืนพรวด “ห๊ะ ว่าไงนะ”
ชาลินียืนนิ่ง ใจด้านชา
“ไม่ต้องมาหามาแหหรอก แม่ลูกสาวของคุณ ไปเสียท่าผู้ชายมา แล้วเขาก็มาโยนทิ้งเป็นลมเป็นแล้งอยู่หน้าบ้านเมื่อคืน เป็นไงคะ นึกถึงที่ตัวเองพาลูกสาวเด็กๆ ของคนอื่นไปไหนมาไหน มาคราวตัวเอง รู้สึกยังไงล่ะคะ”
ชาลินีเครียด กดดันหนัก ที่พ่อแม่สนแต่เรื่องตัวเองนั่นแหละ
นายพลบัญชาโกรธจนร่างสะท้าน แผดเสียงลั่นห้อง
“ใคร...มันเป็นใคร” เสียงท่านนายพลดังขึ้นอีก เมื่อแม่ลูกยังเงียบ “ชั้นถามว่าใคร”
“จะมาตะคอกดิฉันทำไม ไปถามลูกสาวคุณดูซี่”
บัญชาหันมาหาลูก “บอกมาสิ ใคร!”
ชาลินีอึกอัก “เอ้อ…”
“อย่ามาเอ้ออ้า แกไม่ได้หลับตาไปกับเขามานี่ จะได้ไม่รู้ว่าใคร”
“ท่าน...ท่านชายวสวัตค่ะ”
เมื่อโพล่งชื่อนั้นออกไปแล้ว ชาลินีรีบซ่อนสีหน้าทันที
รู้สึกผิดที่โกหก แต่ภายใต้ความรู้สึกเครียดและกดดันสับสนกับตัวเองนี้ ยังไงหล่อนต้องไปต่อ
นายพลบัญชาตะลึง คุณหญิงเพ็ญกอดอก ค้อนทั้งพ่อทั้งลูก
อิศรานอนคว่ำกอดหมอนบนเตียงนอนที่เจริญขวัญเคยนอน เขาหลับอยู่ทั้งเสื้อผ้าชุดเมื่อวานยังไม่ได้เปลี่ยน จนมีเสียงมือถือดัง อิศรารู้สึกตัว พลิกมาตายังหลับขณะล้วงมือถือจากกระเป๋า รับสาย
“ฮัลโล”
คุณหญิงเพ็ญโทร.มาจากบ้าน “อิศรา...เธออยู่ไหนน่ะ”
อิศราค่อยลืมตา พลางลูบหน้า “ผมอยู่…” เขาชะงักเมื่อมองรอบกาย ได้สติว่ามานอนในห้องเจริญขวัญ
“ผมอยู่ที่บ้าน” ชายหนุ่มลุกนั่ง
“เกิดเรื่องกับพี่สาวเราแล้วนะอิศรา มาบ้านอาด่วนเลย เท่านี้นะ”
คุณหญิงเพ็ญวางสาย
อิศรากดมือถือปิด มองรอบห้องอีกที แล้วหันไปคว้าหมอนที่เจริญขวัญเคยหนุนนอน มากอดแนบอก ดมกลิ่นเธอจากหมอน ก้มหน้ากอดหมอนนั้น ใบหน้าเศร้า
ในห้องทานข้าว บรรยากาศอึมครึมตึงเครียดสุดจะประมาณ ชาลินีนั่งก้มหน้า ไม่กล้าสบตาใคร นายพลบัญชา ดื่มกาแฟอย่างโกรธเกรี้ยว ไม่อยากมองหน้าลูก คุณหญิงเพ็ญนั่งหน้าเครียด ข้างๆ สามี ชาลินีดูโดดเดี่ยวอีกฝั่งหนึ่ง
เสียงรถแล่นเข้ามาจอด ทุกคนได้ยิน ชาลีนีขยับลุกออกจากประตูมาที่หน้าห้อง เห็นอิศราเดินไวเข้ามา และอิศราเห็นชาลินีที่เดินออกมาจากห้องกินข้าว ตรงมาหาตน
“นี่มันเรื่องอะไร เรียกมาแต่เช้า เราเพิ่งได้นอนเมื่อตีสี่กว่าๆ นี่เอง ง่วงชิบ” อิศราชะงักมองไปในห้องเห็นผู้ใหญ่อยู่
ชาลินีเอาใจ “กาแฟไหม เดี๋ยวจะสั่งเด็กให้”
อิศราพยักหน้า มีเสียงคุณหญิงเพ็ญเรียก ดังมาจากในห้อง
“ตาอิศ มาในนี้สิ”
อิศราเดินเข้าไปในห้อง ชาลินีมองตาม เห็นอิศราไหว้ นายพลและคุณหญิง
“ว่าไงนายอิศ เพื่อนเรา รังแกพี่สาวแล้ว จะว่ายังไง”
อิศรางง “อะไรครับ ใครรังแกใคร”
ชาลินีรับกาแฟจากสาวใช้มาวางให้อิศรา
“ก็ไอ้ท่านชายวสวัตน่ะ” นายพลบัญชาพูดอย่างมีอารมณ์
อิศราตาโต “ห๊า”
“ไม่หาล่ะ เมื่อคืนนี้ เขาพายายชาไปปู้ยี้ปู้ยำแล้วก็มาทิ้งให้เป็นลมหน้าบ้าน โอ๊ย พูดแล้วเจ็บใจ” คุณหญิงบอก
อิศรางงมาก “ผมว่าเข้าใจผิดแล้วมั้งครับ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นมีผู้หญิงคอยให้ท่ามากๆ ก็คงจะตระครุบ แต่ท่านชายวสวัต ท่านไม่ทำเรื่องสกปรกแบบนี้แน่”
คุณหญิงเพ็ญวี้ดใส่ “แกว่าใครให้ท่าใคร”
“ผมพูดเรื่องจริง ชามีแต่คอยตามท่าน ท่านต่างหากที่เฉยๆ ชาเขาบอกผมเองด้วยซ้ำว่าจะจับท่านให้ได้ ไม่เชื่อถามเขาดูสิครับ”
ชาลินีพูดแทบเป็นตวาด “เธอพูดให้ดีๆนะ”
ท่านนายพลตบโต๊ะ ลุกทันควัน “แกมันเข้าข้างเพื่อน ไอ้อิศ”
อิศรายัวะ “อ้าว พูดกันดีๆ สิครับ ถ้าถึงกับขึ้นไอ้ มันจะไม่ดีมั้งครับ”
“ก็เพื่อนแกแต่ละคน มันดีนักนี่ แกต้องไปถามว่าเขาจะเอายังไงกะพี่แก อย่าให้ชั้นไปเอง เดี๋ยวอดใจไม่ไหว ชั้นยิงมันจริงๆ”
คุณหญิงเพ็ญปรามสามีและหลาน “เดี๋ยวๆ ใจเย็นกันได้ไหมคะ พูดกันไม่รู้เรื่องซะที” พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “อิศรา เธอไปพูดกับท่านชายที เป็นเพื่อนกัน น่าจะพูดกันรู้เรื่อง”
อิศรานิ่งไปครู่หนึ่ง ถอนใจแล้วว่า “ก็ได้ครับ ผมจะลองไปถามท่านดู” เขาปรายมองเยาะชาลินีอย่างรู้ทัน “แต่ผมว่า ทางที่ดี ทางนี้ก็ให้หมอมาตรวจซะด้วยสิครับ เผื่อชาจะได้คิดหาทาง...ว่าจะใส่ความท่านยังไง”
อิศราจ้องชาลินีเขม็ง ชาลินีตะลึงหน้าเสียที่อิศราโยนเรื่องการตรวจร่างกายขึ้นมา
นายพลคำราม “ไอ้อิศ!”
อิศราเดินปึงปังออกไป
“ไอ้หมอนี่” บัญชาฉุนขาดมองสองกราดแม่ลูก “ยังไงล่ะ แม่ลูก เลี้ยงกันมาประสาอะไร”
“นั่นไง โอ๊ย ซื้อหวยล่ะไม่เคยถูก” คุณหญิงโวยลั่น
“ก็จริงมั้ยล่ะ แม่ก็เอาแต่ออกสมาคมสงเคราะห์ชาวบ้าน กับนินทาคน แม่ลูกสาวก็เอาแต่ขับรถฉายไปฉายมาผลาญแต่เงิน”
“อ้าว งานสมาคมนี่น่ะก็ได้ดีได้หน้าไปถึงท่านด้วยนะคะ แล้วไอ้ที่ว่าผลาญเงินน่ะ ใครกันที่มัวไปกกนังเล็กๆ เฮอะ แก่ๆ ไม่มีสมบัติ ใครจะมาแยแส”
ชาลินีที่ฟังอยู่ตลอด หมดความอดทน กระแทกแก้วกาแฟจนแก้วแทบแตก พ่อแม่ตกใจหันมอง
“เลิกทะเลาะกันสักทีได้มั้ยคะ”
คุณหญิงโกรธ “นังตัวดี ที่กล้ากระแทกของรดหัวพ่อแม่เหรอ”
“ก็แม่กับพ่อ พูดกันแล้วเถียงกันเรื่องเดิมน่ะแหละ เอาเถอะค่ะเรื่องของหนูก็ปล่อยไปเถอะ” ชาลินีชักเริ่มกังวลจะหาทางเลี่ยงออกจากการโกหก “มันคงไม่สึกหรอกอะไรนักหรอก”
นายพลประกาศิตตามนิสัย “ปล่อยไม่ได้ ฉันไม่ยอม แกไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่นี่ ให้มันรู้บ้างว่าพ่อแก ไม่ใช่คนที่มันจะมาดูถูกด้วยวิธีการแบบนี้ ถึงลูกมันจะไม่รักดีเองก็เถอะ”
ชาลินีหน้าชา นิ่งงัน เจ็บลึกในใจ เหมือนตัวคนเดียวในโลก
“เดี๋ยวฉันจะสั่งหมอให้มาตรวจร่างกายแก เผื่อไว้มีหลักฐานฟ้องไอ้ท่านชายนั่น” นายพลบัญชาหันมากำชับภริยา “หมอมาก็ดูแลด้วยล่ะ”
“อุ้ยแหม ขอบพระคุณมากนะคะ ที่กรุณาจัดการให้บ้าง” คุณหญิงไม่วายที่จะแดกดัน
“ก็ไอ้เสียงแดกดันแบบนี้ ใครจะอยากอยู่ฟัง”
นายพลเดินฉุนเฉียวออกไป ชาลินีขยับลุกตาม
“แกก็อย่าเที่ยวแรดไปไหนล่ะ เพิ่งจะมีเรื่อง เดี๋ยวทางโน้นเขาจะว่าได้ว่า เราน่ะสำส่อนเอง”
ชาลินีชะงักเจ็บจี๊ด หน้าชา ย้อนเรียบๆ
“ก็ชอบพูดแบบนี้ไงคะ พ่อถึงต้องไปมีเมียน้อย”
ชาลินีเดินหนีไปอีกคน ทิ้งคุณหญิงเพ็ญให้ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียว
อ่านต่อหน้า 2
เงา ตอนที่ 15 (ต่อ)
ทางด้านท่านชายวสวัตยืนดูรูปปั้นอยู่คนเดียว รำลึกถึงใบหน้าแสนเศร้าของเจริญขวัญทั้งชาติภพปัจจุบันและ ในชาติภพเจ้าหญิงฟ้ารุ่งเศร้า
ท่านชายถอนหายใจยาว สักครู่หนึ่ง สิริ เดินนำอิศราที่ออกอาการหงุดหงิด เข้ามา
“ท่านชาย”
ท่านชายหันมามองสีหน้าขรึม ทักเสียงนุ่ม “นึกอยู่แล้ว ว่าจะมา”
อิศราฉงน “ทำไมถึงทราบล่ะครับ”
“เมื่อเช้า มีแขกมาที่นี่แล้วคนหนึ่งน่ะสิ”
อิศราถอนใจเฮือกก่อนจะลงนั่ง
“ผมก็เพิ่งทะเลาะกับบ้านโน้นมา เพราะผมไม่เชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง”
ท่านชายยิ้มสีหน้าเรียบมองความคิดไม่ออก แม้อิศราจะมองลึกในดวงหน้าเรียบเฉยนั้น
“แล้วเรื่องจริงมันเป็นยังไงครับ ชาลินีถึงได้ไปบอกว่า...ท่านชายกับชา”
ท่านชายหัวเราะ “ไม่รู้สิ เรื่องที่เขาพูด อยากรู้ เธอต้องถามเขาเอง”
“ผมว่าแล้ว ชา ไม่น่าทำขนาดนี้ แต่ผมว่าคุณพ่อคุณแม่ของชา ไม่ยอมน่ะสิครับ จะเอาเรื่องท่านให้ได้”
“งั้นหรือ”ท่านชายหัวเราะอีก แล้วบอกว่า “หรือฉันควรจะให้ในสิ่งที่เขาปรารถนาดี เผื่อจะทำให้พวกเขาสำนึกอะไรบ้าง” สุดท้ายพญายมราชเฉไฉ “ว่าแต่เธอเถอะ”
“ทำไมครับ”
“มัวยุ่งเรื่องของคนอื่น แล้วเรื่องของตัวเองล่ะ”
อิศราอึ้ง ถอนใจเฮือกใหญ่
“ผม ยังคิดไม่ออกเลยครับว่าจะทำยังไง รู้แต่ว่า ขวัญคงเกลียดขี้หน้าผมเหลือเกิน”
อิศราถอนใจยาวหนักหน่วงอีก ท่านชายยืนมอง แม้ดวงตามีจิตเมตตาอยู่บ้าง แต่ก็เคร่งขรึม
อีกฟาก คุณหญิงเพ็ญเดินมาใกล้ประตูมองมาเห็นหมอไพโรจน์เดินตรงมา
ชาลินีเดินตามมาทางเบื้องหลัง มองมาเห็นเป็นหมอไพโรจน์ก็ตกใจ สีหน้ากระอักกระอ่วน หมอไพโรจน์เดินเข้าหน้าเครียด เศร้า และฉุนลึกๆ มาหยุดตรงหน้าเจ้าบ้าน และมีหมอผู้หญิงวัยไม่มากนักตามมาด้วย ชาลินีหลบตา
หมอไพโรจน์ มองชาลินีอย่างอึดอัด เสียใจ และสงสาร ส่วนชาลินีแม้เครียดแต่ยังเชิด ดื้อแพ่งไม่ยอมแพ้เกมนี้
คุณหญิงผลักชาลินีออกมาที่บันไดหน้าตึก หมอผู้หญิงตามมา
“พาคุณหมอไปที่ห้องนอนเลย ยายชา”
ชาลินีอึกอัก
“ไปซี่”
ชาลินีตัดสินใจเดินขึ้นบันไดมา
คุณหญิงหันกลับมาหาไพโรจน์“หมอ...เชิญเลยค่ะ”
หมอผู้หญิงเดินตามชาลินีขึ้นบันไดไป
หมอไพโรจน์ขยับเข้าหาคุณหญิง
“มันเกิดเรื่องแบบนี้ ได้ยังไงครับ”
“ท่านนายพลไม่ได้บอกอะไรเหรอจ๊ะ”
หมอไพโรจน์ส่ายหน้าช้าๆ
“ท่านแค่ ขอให้ผมเก็บเรื่องนี้เป็นความลับครับ ใครกันครับพี่หญิง ที่กล้าทำกับชาลินีแบบนี้”
คุณหญิงเพ็ญถอนใจ “พี่อายเธอเหลือเกิน หมอ”
หมอไพโรจน์มองคุณหญิงอย่างคาดคั้น กระแสผิดหวังถั่งโถมในใบหน้าเศร้านั้น
ชาลินีเข้ามาในห้อง หมอหญิงเดินตามมา
“หมอ ไม่ต้องตรวจหรอก อยู่ในนี้สักพักค่อยลงไป แล้วหมอก็บอกว่าตรวจแล้ว”
ชาลินีเดินไปที่กระเป๋าถือเปิดออกระหว่างพูด “หมอแค่บอกในสิ่งที่ฉันอยากให้หมอพูด ก็พอ”
ชาลินีควักเงินแบงค์พันออกมา
“ตกลงนะคะ หมื่นหนึ่ง สำหรับ นั่งเฉยๆ สักพัก พอไหม”
หมอหญิงยิ้ม ส่ายหน้า
“งั้นสองหมื่น”
“หมอว่า คุณชาลินี ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดหลวมๆ หน่อยนะคะหมอใช้เวลาตรวจไม่นานหรอกค่ะ”
หมอหญิงเดินไปวางกระเป๋าที่เตียง เปิดกระเป๋าทำทีดูของ ไม่สนใจชาลินีที่มองมาอย่างผิดหวัง
ในห้องโถง พอฟังจบ หมอไพโรจน์หน้าเครียดกว่าเก่า เหมือนคนเห็นของรักถูกทำให้ย่อยยับ คุณหญิงเพ็ญโกรธและอายในลูกสาว
คุณหญิงเพ็ญถอนหายใจแรง
หมอหญิง เดินลงบันไดมาหา
“เป็นยังไงบ้างคะ” คุณหญิงถาม
“ก็ไม่มีอะไรน่าวิตกนี่คะ”
คุณหญิงเพ็ญฉงน “หมายความว่ายังไง”
“อาการทั่วไปเป็นยังไงบ้าง”
“อาการทั่วไป ปกติดีค่ะ”
“โอ๊ย พูดไม่รู้เรื่อง” คุณหญิงหงุดหงิดหันไปพูดกับไพโรจน์ “นี่ หมอไม่ได้บอกเขาเหรอว่าเราต้องการตรวจเพื่อเป็นหลักฐานเรื่อง…”
หมอไพโรจน์ถอนใจ บอกกับหมอหญิง “หมออธิบายให้ละเอียดหน่อย”
“ค่ะอาจารย์ คือ ถ้าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณชาลินี ก็คงจะเกิดนานแล้ว ไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอกค่ะ”
คุณหญิงเซ็งเลย “เอาเข้าไป ยิ่งพูดชั้นยิ่งงง”
“คือ ตามความเห็นของดิฉัน คุณชาลินีเคยผ่านการแต่งงาน และมีบุตรมาแล้ว”
คำพูดเรียบๆ ของหมอหญิง กระแทกเข้าใบหน้าคุณหญิงเพ็ญภาวีร์ จนตื่นตะลึง
“ว่า...ว่าไงนะ”
คุณหญิงเพ็ญ ซวดเซ หน้าซีดจะเป็นลม หมอไพโรจน์ปราดประคอง
“พี่หญิง”
หมอไพโรจน์เองก็มีสีหน้าตกตะลึงไม่แพ้กัน คุณหญิงเลื่อนมือมากุมมือหมอ พูดด้วยสีหน้าตะลึงนั้น
“ยายชา...เคยมีลูกแล้ว งั้นเหรอ”
หมอไพโรจน์อึ้ง เข้าใจ ถอนใจยาว
ชาลินีนอนอยู่บนเตียง มีผ้าห่มคลุม สีหน้าราบเรียบเหมือนรู้ว่าต้องเผชิญกับอะไรต่อจากนี้ และ
ปลดล็อกความกลัวทั้งปวงทิ้ง คุณหญิงเพ็ญ เปิดประตูผลัวะเข้ามา สีหน้าโกรธแค้นสุดขีด ชาลินีปรายมอง ไม่สะทกสะเทือน จิตใจด้านชา
“ว่าไงยะ แม่ตัวดี ว่ายังไง๊” ผู้เป็นมารดาแผดเสียงใส่
“อย่าแผดเสียงหน่อยเลยค่ะ”
คุณหญิงยิ่งแผดดังกว่าเดิม “ทำไม อ้อ แกอายเป็นด้วยเหรอ”
ชาลินีลุกนั่งหันหลังให้ “แม่คะ ถ้าจะพูดกับหนู ก็ปิดประตูเสียก่อน หรือไม่ ก็ไม่พูดกันเลย หนูไม่อยากให้คนรับใช้เก็บเอาไปนินทา”
คุณหญิงละล้าละลังก่อนหันไปปิดประตูสุดแรง หันมาหาลูก
“เอา ว่ามา”
“หนูไม่มีอะไรจะว่า”
คุณหญิงเพ็ญแทบกรี๊ด จะปรี่ไปตบลูกแต่ก็ไม่อยากทำ หันรีหันขวาง ไปกวาดของบนโต๊ะกระจกตกลงพื้นกระจาย ชาลินียังนั่งนิ่งสงบ
“แก...แก นังลูกไม่รักดี แกไปทำระยำกับใครที่ไหนมา บอกมาสิ”
“ขอเถอะค่ะ อย่ามาใช้ภาษาแบบนี้เลย”
“แม่ผู้ดี ภาษาแค่นี้ทนไม่ได้ แล้วไอ้ที่ไปเที่ยวไข่ทิ้งไว้น่ะ ทำไมหน้าหนาได้ ห๊ะแม่คู๊ณ...”
ชาลินีนั่งมือจิกเตียง นิ่งเหมือนมีภูเขาไฟภายใน
“ไม่เกี่ยวกับหน้าหนาหน้าบางหรอกค่ะ ไม่ว่าใครก็พลาดกันได้”
“แล้วไอ้ที่พลาดน่ะ พลาดกับหัวดำหรือหัวแดง ห๊ะ ทำไมแกปิดบัง เรื่องระยำของแกไว้”
ชาลินีแค่นหัวเราะ “ใช่ค่ะ ถ้าจะมีใครสักคนที่ระยำก็คงหนูแน่ๆ”
คุณหญิงพลุ่งพล่าน เดือดดาลสุดๆ “แล้ว..ไอ้ผู้ชายคนนั้น มันเป็นใคร”
“เขาน่ะเหรอคะ” หล่อนแค่นยิ้ม “เขารวยมากเลยนะคะแม่ รวยจนหนูคิดว่าจะสมใจพ่อแม่กับคุณยาย ว่าไม่น้อยหน้าใคร เสียอย่างเดียว เขามีเมียแล้ว แต่ตอนที่เขารักหนู เขาสัญญาว่าจะหย่ากับเมีย”
คุณหญิงเพ็ญตะลึง โกรธจนน้ำตาคลอ รักลูกด้วยแค้นใจก็ด้วย
“แต่พอหนูท้องเท่านั้น เขาก็เปลี่ยนไป หนูได้แต่หวัง ว่าเขาจะเห็นกับลูก หนูก็เลยเก็บเด็กไว้ แม่รู้มั้ยคะว่าหนูต้องเที่ยวหลบซ่อนตัวอยู่นานแค่ไหน จนเด็กนั่น ออกเป็นตัวเป็นตน” ชาลินียิ้มขมขื่นแต่มีริ้วรอยความเหี้ยมโหดชัดเจนเมื่อพูดตอนท้าย
คุณหญิงเพ็ญมองหน้าลูกแล้วอึ้งงัน
“มิน่า แกบอกว่าย้ายที่เรียน”
“เด็กนั่น น่ารักมากนะคะ” ชาลินียิ้มเศร้าตามองไปไกล รำลึกถึงความหลัง “อ้วน ขาว แก้มยุ้ย..ผมดำ แต่ตาสีฟ้า แกไม่อ้อนเลยค่ะแม่ยังกับรู้ว่า ไม่มีใครต้องการให้แกเกิด”
คุณหญิงเพ็ญเซ ทรุดนั่ง ตะลึง ฟังชาลินีที่ยิ้มบางๆ เมื่อพูดถึงลูกแล้วกลายเป็นรอยยิ้มเหี้ยมอีกครั้ง
“แรกๆ พ่อมันก็ไม่ยอมรับ หนูก็ล่อมันมา หลอกให้มันตายใจในที่สุด มันก็อดมาดูลูกไม่ได้ และลงท้าย สันดานของพ่อก็อดรักลูกไม่ได้”
ชาลินีลุกลงจากเตียงมาที่โต๊ะเครื่องแป้ง เท้าเหยียบเศษแก้วที่มารดากวาดตกแตก เลือดซึมออก มา แต่ชาลินีไม่รู้สึกรู้สม
“หนูรอเวลานี้ นานเหลือเกิน จนหนูแทบคลั่ง แต่หนูก็ทนมาได้”
ชาลินีตัวจริง มองผ่านไปในกระจกเหมือนคิดถึงความหลัง
ชาลินีเกิดอาการจิตหลอนอีกแล้ว
ชาลินีตัวจริงดวงตาแห้งผาก ส่วนในกระจกตอนนี้คือชาลินีผู้อ่อนแอ เอาแต่ร้องไห้
ชาลินีตัวจริงเล่าต่อว่า “หนูอยากทำให้พ่อมัน...เจ็บ เหมือนที่หนูเจ็บ”
ชาลินีในกระจกเล่าด้วยน้ำเสียงเศร้า
“ต่อให้มันรักลูกแค่ไหน มันก็ไม่ยอมหย่า ไม่กล้าแสดงตัว...มันบอกมันอายคน แล้วก็ถึงฤดูหนาว มันหนาวจัดมากค่ะ ยายพี่เลี้ยงอุ้มเด็กนั่นมาให้แม่มัน” ชาลินีในกระจกตวัดตามองสบตาตัวเองอย่างโกรธเกลียด และชิงชังตัวเอง
ชาลินีตัวจริงใบหน้าเหี้ยมเกรียม เหม่อลอย
“หนู ถอดเสื้อลูก เปิดหน้าต่าง แล้วก็นั่งมองเด็กนั้น ยกมือร้องไห้หาแม่ ตอนที่ลมหนาวพัดมา... ไม่นานหรอก..แค่สิบห้านาทีเท่านั้น”
ชาลินีในกระจกเศร้าสุดขีดเล่าต่อว่า “แกก็เป็นหวัด สุดท้ายเป็นนิวมอเนีย”
คุณหญิงเพ็ญตะลึงอ้าปากค้าง กับความเหี้ยมโหดของธิดาคนเดียว
ชาลินีตัวจริงมองกระจกเขม็ง เห็นภาพชาลินีในกระจกเอาแต่ร้องไห้
ชาลินีตัวจริง ยิ้มเหยียด เสียงเหี้ยมเล่าต่อว่า
“พ่อมันวิ่งวุ่นแต่ออกหน้าไม่ได้ หนูก็รีดมัน...รีดเอาแต่เงิน ทำหน้าเศร้าพูดถึงแต่ลูก เศรษฐีอย่างมันเสียเท่าไหร่ก็ยอมเสีย แต่ก็ยังไม่ยอมหย่าจากเมีย”
ชาลินีแค้นปากสั่นระริก น้ำตาคลอ แต่ยังเสียงแข็งกร้าว
“หนูไม่เหลือความหวังอะไรกับพ่อมันอีก พอเด็กออกจากโรงพยาบาล กลับบ้านได้ คราวนี้ หนู เปิดหน้าต่างแค่ห้านาทีเท่านั้น”
ชาลินีในกระจกเล่าต่อเสียงเศร้า “ลูกก็ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีก แต่ก็หมดหวังเสียแล้ว” ชาลินีในกระจกร่ำไห้หันมามองชาลินีตัวจริง “เพราะ แม่มัน จงใจฆ่าลูก” พร้อมกับชี้ตัวเองปากสั่นระริก “มันฆ่าลูกในไส้ของมันเอง”
ชาลินีในกระจกร้องไห้
ชาลินีตัวจริงมองกระจกใบหน้านิ่งเรียบ ด้านชา
คุณหญิงเซทรุด ตะลึงตะไลกับความโหดร้ายของชาลินีที่ฆ่าลูกตัวเอง
“แกถึงขนาดฆ่าลูกของแกเลยแล้ว...ลูกแก...ผู้หญิง หรือ ผู้ชาย”
ชาลินีในกระจกที่ร้องไห้สะอื้น มองคุณหญิง
“ผู้หญิงค่ะแม่ ถ้าอยู่ถึงตอนนี้ แกก็จะสี่ขวบแล้ว”
ชาลินีตัวจริงหันมา หน้าเหี้ยมเกรียม
“หนูจำเป็นนะคะแม่ หนูไม่อยากให้แกโตขึ้นแล้วผิดพลาดเหมือนแม่มัน และถ้าแกยังอยู่ แกจะมีความสุขเหรอคะ พ่อก็ไม่ต้องการตากับยาย กับยายทวด จะชื่นชมที่แกเป็นลูกไม่มีพ่อเหรอคะ ทุกคนห่วงแต่ชื่อเสียงตัวเองทั้งนั้น ให้แกไปเกิดใหม่กับพ่อแม่ที่เต็มใจให้แกเกิดดีกว่า”
“ทำไม...ใจคอแก ถึงได้...” คุณหญิงร้องไห้โฮ “โหดเหี้ยมขนาดนี้”
ชาลินีนิ่งงันไป ครู่หนึ่ง ก็หัวเราะเบาๆ กรีดน้ำตาทิ้ง สะบัดผมเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น ขยับมานั่งข้างเตียงกับคุณหญิง ยิ้มเหมือนไม่มีอะไร ซ่อนความหลังไว้อย่างเคย
“นี่ไงคะเรื่องที่แม่อยากทราบ”
คุณหญิงมองลูกสาวอย่างหวาดระแวงเหมือนมองกลัวคนแปลกหน้า ขยับหนีห่าง
“แม่คงไม่บอกคุณพ่อใช่ไหมคะ” ชาลินีตาใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำไม ชั้นจะบอกไม่ได้”
“ถ้าบอก พ่อก็ต้องโทษแม่ที่เลี้ยงลูกให้กลายเป็นฆาตกรไงคะแล้วก็ต้องเถียงกัน โทษกันโทษกันมา สุดท้ายพ่อก็หาเรื่องมีเมียน้อยเพิ่ม”
คุณหญิงอึ้งไป แล้วนึกได้
“ถ้าอย่างงั้น เรื่องท่านชาย แกก็ปั้นเรื่อง กล่าวหาเขาน่ะสิ”
“แม่” ชาลินียิ้มหัว “ท่านชายวสวัต มีทุกอย่าง รูปงาม ฐานะก็ร่ำรวยกว่าใครๆ แม่ไม่คิดให้หนูแก้ตัวใหม่เหรอคะ”
คุณหญิงอึ้ง “แล้วให้ชั้นแบกหน้าไปทั้งๆที่มันไม่จริง” ผุดลุกพรวด “ไม่เอาแล้ว เรื่องของแก ชั้นล้างมือล่ะ ชั้นจะไม่ยุ่งอะไรด้วยแล้ว”
ชาลินียิ้มลุกมายืนข้างแม่
“ไม่ได้ค่ะ แม่ต้องช่วยหนู อย่างน้อยก็เรื่องคุณพ่อ ท่านชายอาจจะเกรงใจบารมีของคุณพ่อ”
คุณหญิงเพ็ญอึ้ง มองหน้าชาลินี
“แล้วแกไม่กลัว เขามารู้ทีหลังเรื่องที่แก...แก” คุณหญิงอัดอั้น ร้องไห้อีก “ไม่ใช่แค่มีลูกนะ...แต่ฆ่าลูก”
ชาลินีดื้อด้าน ลุกยืน “ถึงท่านชายมาทราบทีหลัง หนูก็ไม่กลัวหรอกคะ พอเราอยู่ด้วยกัน ท่านรักหนู ท่านก็จะไม่สนใจอดีตของหนูเอง”
คุณหญิงมองหน้าลูกแล้วนิ่งงัน ตะลึงตาค้าง ทรุดนั่ง แรงแค่ไหนก็แพ้ความแรงของลูก
ชาลินีมองแม่แล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้คุณหญิงอึ้ง หมดแรงอยู่ลำพัง
ฝ่ายหมอไพโรจน์ยืนครุ่นคิดอยู่ตรงระเบียงบ้าน ชาลินีก้าวเข้ามาหา ชะงักมองหมอ เข้าใจดีว่าหมอแอบชอบตน จนอาจผิดหวัง ชาลินีปรับอารมณ์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“วันนี้เลยต้องทำให้อาหมอลำบากไปด้วยเลยนะคะ”
หมอหันมา งง ทำตัวไม่ถูก
“ชา เป็นยังไงบ้าง”
ชาลินีหัวเราะเสียงใส “อ๋อ ชาสบายดีค่ะ ดูสิคะ” หล่อนผายมือ
“อา..งงไปหมดแล้ว”
“อาหมอคะ อย่าใส่ใจเรื่องของชาเลยค่ะ” หมอไพโรจน์มองชาลินี “คนเราทุกคน ก็ล้วนมีอดีตที่อยากลืมกันทั้งนั้น อดีตของชาก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะพูดถึง” หล่อนมองสบตาหมอเน้นคำ “โดยเฉพาะ กับคุณพ่อ”
หมอไพโรจน์ เข้าใจความหมาย
“อาเข้าใจ”
ชาลินียิ้มหัว “ชารู้ค่ะ ว่าอาหมอเข้าใจชาเสมอ เพราะอาหมอน่ะแสนดี อีกหน่อยคงมีผู้หญิงแสนดีสักคนเข้ามาเคาะประตูหัวใจอาหมอแน่นอน”
หมอไพโรจน์พูดจริงจัง “อาอาจจะไม่ใช่ผู้ชายทันสมัยเหมือนหนุ่มๆสมัยนี้แต่อาเชื่อเรื่อง การให้โอกาสใหม่แก่คนเราเสมอ”
ชาลินีอึ้ง เกือบใจอ่อนในความดีของหมอไพโรจน์เบือนหน้าหนีซ่อนน้ำตาคลอ
“และอา อยากให้ชารู้ว่า... ไม่ว่าเรื่องอะไร ชา คุยกับอาได้ทุกเรื่อง”
ชาลินีสะท้อนในอก ปรายตามาสีหน้าอ่อนลง
“ขอบคุณค่ะ”
หมอไพโรจน์มองชาลินีอย่างให้กำลังใจ
ชาลินีเฉปรับสีหน้าเป็นยิ้มแม้ แต่สีหน้ายังซีดเซียว อ่อนแรงอยู่
“ชาขอตัวก่อนนะคะ”
หล่อนปั้นยิ้มสวยไหว้ลานอบน้อม
ทางด้านอิศราเดินกลับเข้าบ้านมาอย่างโผเผ นอนไม่เต็มและเศร้าลึกๆ อิศรามานั่งเก้าอี้หน้ารูปคุณย่า อย่างหมดแรง ถอนใจยาว พิงพนักเก้าอี้หลับตา
สีค่อยๆ เดินมาเลียบๆ เคียงๆ อย่าง เกรงใจ
“เอ้อ คุณอิศคะ”
อิศราหลับตาอยู่ “หือ...”
“เมื่อกี้คุณทนายวันชัยโทรมาค่ะ”
อิศราลืมตาแต่ยังคงมองไปไกลไม่มองป้าสี
“ว่าไง”
“แกโทร.มาถามหาคุณเจริญขวัญค่ะ พอบอกไม่อยู่ แกก็เลยฝากให้ถามคุณอิศว่า เรื่องโอนบ้านว่า จะเอายังไง”
อิศราขยับลุกนั่ง ตาแลเลยไปเห็นซองสีน้ำตาลที่วางอยู่ กัดกราม จู่ๆอิศราคว้าซองสีน้ำตาลนั้น ผุดลุกเดินเร็วๆออกไปจากบ้าน สีมองตามบ่นบ้าตามประสา
“อ้าว เพิ่งเข้ามา ไปไหนอีกแล้ว”
ความงาม ความสดใสของธรรมชาติในไร่ ไม่ได้ทำให้ เจริญขวัญเบิกบานขึ้นมาเลย เธอนั่งจมอยู่ที่เก้าอี้ชานชาลาหน้าบ้าน
หญิงสาวทอดตาไปไกลบนถนนหน้าบ้านที่เงียบเหงา ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมาอย่างทดท้อ
อรุณกับยายปลั่งยืนแอบมองเจริญขวัญอยู่ด้วยความสงสาร
“คุณขวัญ ดูเศร้าจังนะคะคุณรุณ” ปลั่งเอ่ยขึ้น
ไม่ต่างจากอรุณที่ถอนใจยาว “เวลาคงช่วยรักษาขวัญได้”
ปลั่งค้อน พูดหยอกๆ “ก็คุณรุณไงค้า ช่วยรักษาใจคุณขวัญสิค้าแม๊ ไม่ได้ดังใจป้าปลั่งเล้ย”
ว่าพลางผลักอรุณไปทางเจริญขวัญ อรุณหันมายิ้มกับปลั่ง
เจริญขวัญนั่งซึมอยู่ อรุณโผล่มาที่บันได มองอย่างเห็นใจแล้วโผล่หน้ามายิ้มกว้าง
“ขวัญ ทำอะไรอยู่”
เจริญขวัญยิ้มบางตอบเบาๆ ว่า “เปล่า”
“ไปขี่จักรยานเล่นกันไหม”
เจริญขวัญส่ายหน้า “รอแม่กลับบ้านดีกว่า”
อรุณลงนั่งกับขอบบันได
“นั่งตรงนั้นอีกแล้ว มานั่งด้วยกันข้างบน”
อรุณส่ายหน้ายิ้ม ดึงมือเจริญขวัญมา
“ไหน ขอดูลายมือหน่อย”
“ดูหมอดูได้ด้วยเหรอ”
“ได้ซี่” อรุณลูบมือแล้วดัดเสียงพูดจีนแกล้งๆ “ตามลายมือเนี่ยนะ บอกว่าเมื่อตอนเกิดนะ เกิดมาเป็นลูกผู้หญิง ชัวร์”
“อ้าว ก็ใช่น่ะสิ”
“เดี๋ยวๆ ยังไม่จบ” อาตี๋อรุณส่องใหญ่ “เส้นชีวิตแข็งแรง แปลว่า โตขึ้น อีก็เป็นผู้หญิง สวยด้วย”
“เอาละ แกล้งกันละ”
อรุณเห็นเจริญขวัญหัวเราะ ก็ยกอีกมือของตนเองลงทาบกับฝ่ามือของเจริญขวัญ มองมือ แล้วมองหน้าเจริญขวัญ เสียงเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลอบอุ่นขึ้น
“แล้วเส้นลายมือ ยังบอกอีกนะว่า ..ผู้หญิงคนนี้ อาจจะผ่านความเสียใจจากใครมา”
เจริญขวัญคลายรอยยิ้ม
“แต่ว่า ความเสียใจจะค่อยๆหายไปเอง และก็จะมี..เพื่อนที่จะคอยอยู่ ดูแล เคียงข้างขวัญ เสมอ”
เจริญขวัญทอดตามองอรุณอย่างเข้าใจและอบอุ่น อรุณยิ้มกว้าง กุมมือเจริญขวัญ
ร่างอิศราเดินเข้ามาระหว่างกลางของทั้งสองคน อิศรามองตรงมา ทั้งโกรธและหึงแผ่รังสีเคียดแค้นในแววตาเข้ม
เจริญขวัญที่สีหน้าอ่อนโยนมองอรุณนั้น ช้อนตามาเห็นอิศรา ก็ดีใจวูบหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นตกใจดึงมือออกจากอรุณทันที อรุณหันไปมองตามสายตาเจริญขวัญ
เห็นอิศรายืนอยู่ตรงนั้น มือถือซองสีน้ำตาล
มืออิศรากำซองสีน้ำตาลนั้นอย่างโกรธแค้น หวงหึง มองเจริญขวัญและอรุณ ที่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนจากแค่ อิศราเดินเข้าไปหายิ้มทักในหน้าอันเคร่งเครียด
“พี่อิศ”
“พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” ผู้มาเยือนเหลือบมองอรุณแล้วมองกลับมายังเจริญขวัญ “ส่วนตัวกับขวัญ”
เจริญขวัญนิ่งเฉย อรุณก้าวมาขวาง
“ขวัญไม่อยากคุยด้วยหรอก”
“ขวัญ ขวัญจะมาหนีพี่ มาแบบนี้ง่ายๆไม่ได้ ขวัญมีอะไรต้องพี่สิ”
อรุณเท้าเอวชักฉุน “เอ..พูดไม่รู้เรื่องเว้ย”
อิศราขึ้นเสียง “อย่าเสือก”
อรุณยัวะ เกลียดขี้หน้าอยู่แล้ว “อ้าว เฮ้ย”
เจริญขวัญแตะแขนอรุณห้ามไว้ “อย่าอรุณ” หญิงสาวมองอิศราใบหน้าเรียบเฉย แล้วเบือนหน้าหนีคล้ายไม่อยากมอง “ขวัญบอกทุกอย่างในจดหมายแล้ว พี่อิศกลับไปเถอะค่ะ”
อิศราสวนคำทันควัน “ไม่”
“ก็คนเขาไล่แล้ว ไม่ได้ยินหรือไง ขวัญ เข้าบ้านไป”
เจริญขวัญอึ้ง อรุณหันมาจับบ่าสองข้างจ้องตาเจริญขวัญ ภาพนั้นยิ่งทำให้อิศราหัวเสีย
“ขวัญ คิดจะเชื่อคนโกหกหลอกลวงอีกเหรอ”
เจริญขวัญมองอรุณแล้วหันตัว เดินหนีเข้าบ้านไปเลย อรุณมองตามยิ้มกระหยิ่ม ก่อนจะปรายตามามองอิศรา ผู้ถูกมองฉุนกึก ก้าวเร็วๆ จะตาม
“ขวัญ”
อรุณปราดมาขวาง เอามือดันอกอิศรา
“พูดไม่รู้เรื่องหรือไงวะ กลับไป๊”
อิศราคำรามจับอรุณเหวี่ยงลงพื้น
อิศราพูดเสียงแข็งกร้าว “ไม่ใช่เรื่องของนาย”
อิศราก้าวต่อ มืออรุณ รีบล้วงกระเป๋าหยิบมือถือออกมา กดปุ่ม
ยินเสียงชาลินีดังจากมือถือ “อิศ ชั้นว่า เธอน่าจะจับเขาแต่งงานจดทะเบียนเสียก่อนนะ จะได้ไม่มีอะไรพลาด”
อิศราชะงัก ตกใจมาก หันขวับมา อรุณลุกโชว์มือถือขึ้นมา ยิ้มสะใจ
“เธอก็ฉลาดไม่ใช่ย่อย มาขอแต่งงานตอนที่รู้ว่าเขาเป็นโรคหัวใจ”
อิศราเข้าใจกระจ่างทุกประการ สีหน้าตกใจมาก ตะลึงงันไปเลย อรุณมองอิศราอย่างชิงชัง
“ไอ้เลว มึงทำอย่างนี้ได้ยังไง ไป ไปให้พ้นเลย แล้วไม่ต้องกลับมาอีก ไป๊”
อรุณกึ่งผลักกึ่งดันอิศราที่กำลังยืนเคว้ง ตะลึงตะไลอยู่
อิศราแข็งแรงกว่า ถูกผลักถอยไปได้หน่อยเดียวก็ยืนตั้งหลักได้จมกับความคิดตัวเอง
“โธ่ เว้ย”
อรุณชกอิศรา จนหน้าสะบัดไป ปลั่งโผล่มาขวาง
“อย่าค่ะคุณรุณ”
อรุณฮึดฮัด ฟึดฟัด มองอิศราอย่างเกลียดชัง อิศราไม่มองใคร ตะลึงช็อก คาดไม่ถึง
ด้านชาลินีในชุดรัดรูปสีดำ สวมแว่นตาดำ ทาปากสีแดงเข้มเพื่อปิดบังความอิดโรย เดินเข้ามา หยุดยืนมองรอบ คล้ายเห็นร่างใครเดินจากหลังเสา
“ท่านชายคะ”
เป็นภุมมะก้าวออกมา ชาลินีตั้งสติยืนตัวตรงเชิดหน้า
“ไปเรียนท่านชายด้วย ว่าฉันจะขอพบ”
“ท่านชายไม่อยู่...กลับไปซะ”
“นี่ ท่านชายไม่อยู่ ก็แค่นั้น ไม่ต้องมาไล่ ระวังตัวไว้เถอะ” หล่อนหันกลับไปอย่างหัวเสีย
ภุมมะหัวเราะเยาะ เสียงต่ำในคอ
“ไอ้บ้า”
ชาลินีโมโห เดินออกไป ภุมมะมองตาม หัวเราะเยาะเย้ย หน้าตาน่ากลัว
คุณหญิงเพ็ญนั่งอึ้ง ดื่มไวน์ จมอยู่กับความทุกข์ พูดไม่ออก ไม่กล้าสบตานายพลเดินไปเดินมา มองอย่างฉุน
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ไม่ทันไร ตะลอนๆ ออกไป ไม่รู้จักเข็ด”
“ใครจะไปห้ามเขาได้ล่ะคะ”
“แล้วหมอ ว่าไงมั่ง”
“ก็...เอ้อ...อย่างที่รู้ๆ นั่นแหละค่ะ”
นายพลดี จะได้มีหลักฐานพูดกันให้รู้ดำรู้แดง”
“เอ้อ...ฉันว่า ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา ดีกว่าไหมคะ”
“เกิดอะไรขึ้นมา เมื่อเช้ายังเห็นจะเป็นจะตาย มาตอนนี้จะให้ประนีประนอม”
คุณหญิงถอนใจ พูดไม่ออก
“แล้วไอ้นายอิศรา ไปพูดกับเขาได้ความว่าไง บอกมาหรือเปล่า”
“ยังไม่ส่งข่าวเลยค่ะ”
“แล้วไอ้ท่านชายนี่ ประวัติความเป็นมาเป็นยังไง ดีไม่ดี ต้องไปคุยกับผู้ใหญ่ที่มันนับถือ”
“ดิฉันก็ทราบแค่ชื่อท่านชายวสวัต”
บัญชายัวะ “อะไรก็ไม่รู้เรื่อง งั้นที่เคยบ่นว่า เหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก เติมแม่ลงไปด้วยนะ ว่าเป็นแม่ประสาอะไร”
คุณหญิงแว้ดใส่ “ค๊า คุณก็ดูตัวเองด้วยนะคะ ว่าเป็นพ่อคนประสาอะไร”
“โธ่เว้ย” ท่านนายพลอาละวาด “เฮ่ย มีใครอยู่มั่ง เอาเหล้ามากินหน่อยสิ”
สองคนต่างหงุดหงิด
ฟากอรุณยังยืนจังก้า กอดอกอยู่ที่บันไดหน้าบ้านเจริญขวัญ
ส่วนอิศรานั่งอยู่ที่แคร่ ด้วยความรู้สึกผิด ละอายใจ ชอกช้ำที่ทำให้เจริญขวัญเสียใจ มือยังคงกำซองสีน้ำตาลจนยับคามือ
ปลั่ง แอบเดินมาหาอรุณ
“ยังไม่ยอมกลับอีกหรือคะ”
“ขวัญล่ะ”
“อยู่ในห้องนอนค่ะ”
เจริญขวัญยืนพิงผนังห้องมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าเศร้า ส่วนอิศรายังนั่งที่แคร่ไม้ เหมือนสองคนต่างมองมาหากัน
รถกระบะดวงแล่นมาจอด ดวงแก้วลงมาจากรถ พร้อมตาพุด
อิศราลุกขึ้นอย่าง เจียมตนและเคว้งคว้างสุดขีด อรุณยังนั่งเอาขาพาดเสาหลังพิงเสาอีกต้น ผุดลุกเมื่อเห็นดวงแก้วมองอิศราใบหน้าเรียบตึง จนอีกฝ่ายต้องหลบตา
ดวงแก้วเข้ามาใกล้ มีพุดตามมาหยุดเบื้องหลัง
“กลับไปเถอะค่ะคุณอิศ”
“แต่ผมมีเรื่องต้องพูดกับขวัญ”
“พอเถอะค่ะ อา...เอ้อ..ดิฉันขอร้อง ขอให้เราต่างคนต่างอยู่เหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
“ผม...ผม...ยอมให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้”
“ก็สุดแท้แต่นะคะ อย่าหาว่าดิฉันใจร้ายเลย เพราะสิ่งที่คุณทำมันใจร้ายกับยายขวัญมากเกินไป”
ดวงแก้วเดินเข้าบ้านไปเลย อิศรายิ่งรู้สึกแย่ หันมาเจอหน้าบึ้งๆของตาพุดอีก
“เจ้าของบ้านเขาไล่ จะอยู่ต่อทำไมครับ” พุดผายมือ “เชิญ”
อรุณ กับปลั่ง ยืนที่บันไดบ้าน ดวงแก้วเดินมาสมทบ อิศราก้าวไปก้าวหนึ่งตามทางที่ตาพุดผายมือ แต่แล้วหันกลับมาทรุดตัวคุกเข่าลง
ปลั่งตกใจ “อุ้ย”
ดวงแก้วประหลาดใจ หันกลับมามองอิศรา ที่คุกเขาก้มหน้าอยู่ และค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“ผม...จะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่า จะได้พูดกับน้องขวัญ..อย่าน้อย...ก็...ขอโทษเธอ”
ดวงแก้วบอกเสียงเรียบ “ไม่จำเป็นหรอกค่ะคุณอิศ ไม่จำเป็นเลย”
อิศราอึ้ง ยิ่งสะเทือนใจ
ดวงแก้ว มองเล้วเดินเข้าบ้านไป ยายปลั่งเดินตาม ทิ้งอิศราไว้กับความผิดมหันต์ของเขา
อีกฟาก ชาลินี เดินเข้าประตูบ้านมาตอนค่ำ มองผ่านทะลุไปจนถึงห้องกระจก นายพลออกมาจากห้องกระจก ยืนเท้าเอวจังก้าส่งเสียงดังมา
“ไปไหนมา”
ชาลินีชะงัก หันไป
นายพลบัญชาออกคำสั่ง “มาพูดกันหน่อยสิ”
ชาลินีหันมามองบิดา
อ่านต่อหน้า 3
เงา ตอนที่ 15 (ต่อ)
ภายในห้องกระจก ตอนหัวค่ำ คุณหญิงนั่งเครียดในท่าเก่า ส่วนท่านนายพลยืนอยู่ข้างๆ แก้วไวน์ บนโต๊ะมีขวดไวน์พร่องไปเยอะ
ชาลินี เข้าประตูห้องมาหน้าเครียด นายพลบัญชาหันขวับไป แล้วโดยไม่ให้ซุ้มเสียง ท่านนายพล ผู้เป็นบิดาตบหน้าชาลินีสุดแรง ร่างชาลินีถลาไปฟุบที่เก้าอี้ คุณหญิงเพ็ญตกใจตะลึงตะไล
ชาลินีสะบัดหน้ามามองบิดา ไม่มีน้ำตาสักหยด ดวงตาเป็นประกายวาววับ ดื้อรั้น และอวดดี
“งามหน้านักเรา ให้เขากินฟรีขนาดนี้แล้วยังไปเที่ยวแรดๆ อีก”
“คุณพ่อคงเคยกินฟรีใครมาเยอะนะคะ แต่คนอย่างหนูจะไม่ได้ง่ายเหมือนอีพวกนั้น”
“นังชา” บัญชาจะถลันมาตบอีก คุณหญิงผวาไปกันไว้
“อย่าค่ะ”
“อีลูกสารเลว เลี้ยงไม่ได้ดี ไปไหนมา”
“ยังไม่รู้ว่าหนูไปไหน แล้วมาตบหนูทำไมคะ” ชาลินีย้อนตาแข็ง
“แกเสือกไปหาไอ้หมอนั่นมาละสิ”
“ถ้าคนเราไปไหนมาไหนกลายเป็นเรื่องเสือก ก็คงเสือกด้วยกันทุกคน”
ท่านนายพลเงื้อมืออีก “อีชาลินี”
คุณหญิงเพ็ญแหวขึ้น “โอ๊ย พอแล้วค่ะ ใจเย็นหน่อยได้ไหมคะ” พลางหันไปดุมองตารู้กันกับลูกสาว “แกก็จะต่อปากต่อคำเถียงพ่อเขาทำไม ทำอะไรไว้ รู้ตัวมั่งสิ”
ชาลินีสงบปากลงได้ หน้านิ่ง นายพลหงุดหงิดไปลงนั่งไม่อยากมองหน้าชาลินี คุณหญิงอึดอัดใจมองชาลินี อย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“แล้วไง นายอิศไปคุยกับท่านชายแล้วเขาว่ายังไง”
“ไม่ทราบค่ะ”
บัญชาโวยลั่น “แล้วทำไมโทรไปหามัน ป่านนี้แล้วต้องรู้เรื่องแล้วซี่”
ชาลินีแค่นหัวเราะ “จะให้หนู ไปกราบอ้อนวอนท่านชายเลยดีมั้ยคะ”
“อ้อ ไอ้ที่แกไปนอนกับเขา แกไปกราบอ้อนวอนเขาด้วยหรือเปล่าล่ะ”
คุณหญิงหงุดหงิด “โอ๊ย เอาอีกแล้ว ด่ากันไปด่ากันมา เมื่อไหร่จะรู้เรื่องคะ”
นายพลสวน “แล้วจะรอให้ฉันนั่งรอเป็นไอ้โง่ จนมันมีลูกไม่มีพ่อออกมางั้นเหรอ”
คุณหญิงชะงักกึก มองธิดาคนเดียว ชาลินีหน้าตึงไม่มองใคร นายพลหงุดหงิด ลุกพรวด
“ไป..ไปพูดกับมันให้รู้เรื่อง คืนนี้เลย”
ท่านนายพลออกไปจากห้อง คุณหญิงตกใจ เดินหาชาลินีที่ลุกยืน ลูบปลายคางอย่างใจเย็น
“แล้วนี่จะทำยังไง ทั้งเมาทั้งโมโหอย่างนี้ เดี๋ยวก็ได้เรื่องหรอก”
“ก็ดีสิคะ เมามากๆ จะได้จัดการให้หนูเร็วๆ”
คุณหญิงเดินไปกระแทกตัวลงนั่ง “เฮ้อ.. จะหาผัวทั้งที ก็ต้องแบลคเมลเขา เอาเถอะ แกจะโกหกโกไหว้ยังไงต่อไปก็เรื่องของแก ฉันไม่ขอยุ่ง ฉันคงมองหน้าท่านชายไม่ติดแล้ว”
คุณหญิงกลุ้มใจมาก ยกแก้วไวน์ดื่มรวดเดียวหมด ชาลินีมองไปทางที่พ่อเดินออกไปหมายมาด
วังยามค่ำ บรรยากาศยิ่งดูน่าสะพรึง
ท่านชายนั่งอยู่คนเดียวในห้อง ประสานมือหลับตาอยู่ สักครู่ท่านชายลืมตา หันมาช้าๆ
“สิริ”
สิริก้าวเข้ามา
“เจ้าข้า”
“เรากำลังจะมีแขก ดูด้วยอย่าให้ใครออกมายุ่มย่าม”
“เจ้าข้า”
นายพลบัญชาเดินนำมาหน้าตึก มีชาลินีตามติด ประตูปิดอยู่
“ไฟเฟย ไม่คิดจะเปิดกันบ้างหรือไง อยู่หรือเปล่า หรือจะเปิดหนีไปแล้ว”
นายพลขยับจะเคาะประตู จู่ๆ ประตูก็แง้มเปิดออกเองช้าๆ นายลพลชะงักมอง ชาลินีขยับเข้าใกล้บิดา
สิริยืนหน้าขาวซีดมองมา ท่านนายพลชะงักมอง
สักครู่สิริ เดินนำนายพลและชาลินีเดินขึ้นบันไดมา ระหว่างเดินขึ้นบันไดและด้วยแสงสลัว ทำให้ดูวังเวง สิรินำพ่อลูกมาจนถึงชั้นสอง จึงหันมาบอก
“รอที่นี่”
สิริเดินจากไป นายพลบัญชามองโดยรอบ เห็นภาพเขียน เห็น โคมไฟระย้าย้อย สวยงาม แต่ปิดอยู่
นายพลบ่นเพราะรอนาน อีกทั้งเมาด้วย “แล้วยังไงล่ะเนี่ย ไหนล่ะ ท่านชาย”
พลันไฟแชนเดอร์เลียเหนือระเบียงก็เปิดสว่างพรึบขึ้น พร้อมๆ กับน้ำเสียงห้วนๆ ของท่านชาย
“มีเรื่องอะไร ว่าไป”
พ่อลูกหันไปทางเสียง เห็นท่านชายเดินพ้น แชนเดอร์เลียตรงข้ามห้องโถงออกมา แสงกระทบร่างท่านชายดูโดดเด่น
ในขณะที่นายพลบัญชา และ ชาลินี ยืนกันอยู่ในจุดที่แสงสลัวกว่า
“เรามีเรื่องต้องพูดกันมากเชียวล่ะ” ท่านนายพลเอ่ยขึ้น
“ที่จริง น่าจะเป็นฝ่ายฉันมากกว่าที่ต้องพูดแบบนั้น เพียงแต่ ยังไม่ถึงเวลา”
นายพลยังไม่ถึงเวลา แล้วเรื่องที่เกิดนั้น มันเวลาไหนไม่ทราบ
ชาลินียืนเกาะอยู่หลังท่านนายพลแจ ซ่อนสีหน้าจากท่านชาย
ท่านชายเดินเข้ามาใกล้ “มนุษย์...กิเลศ...ตัณหา...ไม่เลือกสถานที..ไม่เลือกคน ไม่เลือกเวลา”
เสียงที่ตอบมาดังก้องเหมือนมีเสียงสะท้อน ท่านนายพลถึงกับสะดุดใจ ก่อนหันมองท่านชาย
“ยอมรับล่ะสิ แล้วไง ไอ้กิเลสตัณหามันเกิดขึ้นแล้ว จะรับผิดชอบยังไง”
ท่านชายก้าวมาอีก สีหน้าขรึมดุ ขอบตาแดงเหมือนตอนอยู่ในนรก ชาลินีขยับตัวเข้าใกล้บิดาเกาะแจ
“ฉันต้องรับผิดชอบงั้นรึ” ท่านชายหัวเราะเย้ยหยัน ”ลองถามเจ้าตัวเขาดูหรือยัง หรือถ้าจะให้ดี ถามคุณหญิงเสียด้วย”
“ไม่ต้องมาย้อนหรอก ต้องรู้นะ ว่าคนอย่างฉันเอาจริง จะมาทำเป็นเล่นกับลูกสาวนายพลบัญชา ไม่ได้ นาย...” อะไรบางอย่างทำให้บัญชานึกเกรงบารมีอยู่หน่อย “ท่านชายต้องรับผิดชอบ ไม่งั้นก็เป็นเรื่องกัน”
ท่านชายหัวเราะหยัน “ในเมื่อร้องขอให้ฉันรับผิดชอบกันนัก ก็ได้ ฉันจะ รับผิดชอบ”
ชาลินีเงยหน้ามองท่านชายอย่างตื่นเต้น
“แต่ระวังสิ่งที่ปรารถนาให้ดี เพราะสักวัน มันอาจจะย้อนกลับมาเล่นงานตัวเอง”
“ลูกผู้ชาย รักษาคำพูดด้วยแล้วกัน ฉันถือว่านาย รับปากแล้วนะ”
“พ่อคะ พูดรู้เรื่องแล้ว ก็กลับกันเถอะค่ะ”
ชาลินีฉุดแขนบิดา พากันเดินลงบันไดไป
ท่านชายขยับออกมามองตาม สีหน้าดุดันยิ้มเกรียม
ชาลินีเกาะแขนนายพลลงบันไดมาจนถึงโถงใต้แชนเดอร์เลีย
“เห็นมั้ย มัน..เอ้อ..ท่านชายของแกก็ต้องเห็นแก่หน้าฉัน”
“ค่ะพ่อ แล้วหนูจะมาคุยกับท่านชายเองอีก ขอบคุณนะคะพ่อ”
นายพลสะบัดแขนจากชาลินี “เฮอะ”
แล้วเดินหนีไป ยังไงก็ยังคงความไม่พอใจลูกสาวอยู่
ชาลินีแหงนมองดูแชนเดอร์เลีย ยิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนเดินไป
ท่านชายวสวัตยืนอยู่ใต้แชนเดอร์เลีย ท่านมองผ่านโคมไฟระย้าลงไปข้างล่างมองไปยังชาลินี
“ในเมื่อเธอเรียกหาความรับผิดชอบ เธอก็จะได้ตามนั้น ชาลินี เพราะดวงวิญญาณดวงหนึ่ง ก็รอคอยการรับผิดชอบจากเธอมานานนักหนาแล้วเหมือนกัน”
ท่านชายมองหน้าดุดัน น้ำเสียงเยียบเย็นจับกระดูก หากใครได้มาฟัง
ค่ำลง ประตูบ้านยังปิดอยู่ และอิศรายังคงนั่งคุกเข่ากับพื้น มีอรุณนั่งที่บันไดหน้าบ้านคุมเชิง อ้าปากกลั้นหาว ตาพุดนั่งตบยุงพลางหลับพลางที่แคร่
อิศราก้มหน้ามองพื้นจมอยู่กับความเสียใจ และละอายใจ
ดวงแก้วก้าวมายืนดูที่หน้าต่างจากในห้องโถงกลาง ปลั่งตามมา
“แกนั่งอย่างนั้นได้ยังไง เป็นชั่วโมงๆ แล้วนะคะคุณดวงแก้ว”
ดวงแก้วถอนหายใจ แล้วเดินออกไปจากหน้าต่าง ทิ้งไว้แต่ยายปลั่ง
อรุณกลั้นหาวอีก แล้วมองอิศราอย่างรำคาญลุกมาหา “เฮ้ย”
อิศรานิ่ง ลงคุกเข่าประจันหน้าอิศราที่มองเหม่อไปทางหนึ่ง
“ทำไมมันดื้อด้านนัก คิดจะมาเล่นบทพระเอกหนังเกาหลีหลอกขวัญอีกรึไง แค่นี้ ยังทำขวัญเจ็บไม่พออีกเหรอ”
อิศราไม่สนใจ จมอยู่กับความคิดของตัวเอง อรุณโมโห ลุกไปหาตาพุดที่นั่งที่แคร่
“ลุงพุดครับ”
“ครับ คุณรุณ”
“เก็บขยะครับ”
พุดงง “ไหนครับ”
“นี่ไงครับ”
“อ้อ ได้ครับ”
พุดเดินมาคว้าแขนอิศรา “คุณอิศ ลุก”
อิศราสะบัดมือ ไม่มองใคร อรุณ และพุด เข้าช่วยกันดึงแขนอิศราคนละข้าง
“ลุกสิโว๊ย”
อิศราโดนดึงตัวขึ้น แข้งขาออกจะหมดแรง เพราะคุกเข่ามานาน แต่อิศราก็อาละวาดสะบัดทั้งสองคนออกก่อนลงไปนั่งที่พื้นอีก
“แรงเยอะซะด้วย เอาไงดีคุณรุณ”
อรุณ ละล้าละลัง มองนาฬิกาข้อมือ
อรุณอยากจะนั่งแช่อยู่แบบนี้ก็ตามใจ ลุงพุดเฝ้าไว้นะครับ ผมต้องกลับบ้านก่อน มีรายงานต้องส่งแล้วพรุ่งนี้เช้าผมจะรีบมา
ตาพุตครับๆ
อรุณละล้าละลัง ก่อนจะตัดใจไป
“เฝ้าให้ดีๆ นะครับ อย่าให้คลาดสายตาเลยนะครับ”
“ครับผม ไม่ต้องห่วงครับคุณรุณ”
อรุณเดินออกไป พุดหันมามองแขกผู้ไม่ได้เชิญ เห็นอิศรานั่งอยู่กับพื้นหญ้า ปักหลักชนิดไม่ยอมไปไหน
ดวงแก้วเปิดประตูเข้ามา เห็นเจริญขวัญนอนแล้วอยู่บนเตียง
“ขวัญ หลับหรือยังลูก”
เจริญขวัญลืมตามองแม่ หน้าเศร้าจัด ดวงแก้วขยับไปนั่งขอบเตียง เจริญขวัญเลื่อนตัวมากอดเอวแม่
“แม่” กระแสเสียงเครือสั่นเหมือนอยากร้องไห้
“แม่รู้” ดวงแก้วลูบหัวปลุกปลอบลูก “เข้มแข็งไว้นะลูก แล้วทุกอย่างมันก็จะผ่านไปเอง”
เจริญขวัญชอกช้ำระกำทรวงสุดจะประมาณ
คืนนั้นอิศรานั่งอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้าน ส่วนพุด สัปหงกอยู่ที่บันไดหน้าบ้านเจริญขวัญ
อิศราแหงนมองท้องฟ้าอยู่ น้ำตาคลอ
นึกถึงเหตุการณ์ที่คุณย่าเคยสอน เคยดุ ให้เห็นแก่เงิน
แตกต่างสิ้นเชิงกับความดีที่เจริญขวัญพร่ำบอก และสงสารเมื่อเขาเล่าเรื่องคุณย่าให้ฟัง
“ขวัญสงสารเด็กผู้ชายคนนั้น”
นึกแล้วยิ่งละอายใจ อิศราน้ำตาไหลอย่างสำนึกผิดรำพันออกมาว่า
“ขวัญ...พี่ขอโทษ” มีหยดน้ำตารินไหลลงมาจากหางตาของอิศรา
ระหว่างนี้ เจริญขวัญเดินออกมา แอบดูอิศราที่หน้าต่างห้องนอน
อิศรานั่งอยู่แคร่หน้าบ้านโดยไม่เห็นว่าเจริญขวัญแอบมอง
สุดท้ายเจริญขวัญเดินกลับไปที่เตียง
รุ่งเช้า ขณะที่อิศรานอนยกมือก่ายหน้าผากอยู่ที่พื้น อรุณก้าวเข้ามาก้มมอง ในมือมีถังน้ำ อรุณยกถังน้ำสาดเข้าที่ร่างอิศรา ผู้ถูกโดนน้ำสาดใส่ สะดุ้งตื่นพรวด
อรุณหัวเราะเยาะเย้ย “มอนิ่งคร๊าบบบ คุณพี่”
อิศราโกรธ ยกมือลูบน้ำ ตวัดตามองอรุณ
“ทำไม โกรธเหรอ เอาซี่ ชกเลย วันนี้จะยอมให้ชกฟรีๆ จะได้ไปแจ้งตำรวจให้จับนายไปนอนในห้องขัง จะได้ไม่อยู่รกสายตาที่นี่”
อิศราถอนใจแรง โมโหมากแต่ไม่โต้ตอบ อรุณหัวเราะหึๆ มองอิศราอย่างเกลียดชัง
ปลั่งมองจากห้องโถงออกไปนอกหน้าต่าง แล้วร้องขึ้น
“อุ๊ยตายแล้ว”
ดวงแก้วเดินมาพอดี “อะไรพี่ปลั่ง”
“คุณรุณค่ะ เอาน้ำสาดคุณอิศ เปียกปอนหมดเลย”
ดวงแก้วนิ่ง
ปลั่งเจื้อยแจ้วต่อ “คุณอิศนอนตากยุงทั้งคืน ไม่ได้กินอะไรเลย น่าสงสารเหมือนกันนะคะ
ดวงแก้วนิ่งฟัง แล้วหันเดินกลับไป คล้ายไม่สนใจ ปลั่งหันไปชะเง้อดูอิศรา
ปลั่งเดินนำอิศราในสภาพทรุดโทรมมาทางหลังบ้าน
“ทางนี้ค่ะ คุณอิศ”
ปลั่งหยุดตรงหลังบ้าน ที่มีตุ่มน้ำ ขัน สบู่ยาสีฟัน และผ้าขาวม้า
“หลังบ้านนี่มีแต่ห้องส้วมค่ะ ถ้าจะอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวก็ในโอ่งนี่ได้เลยนะคะ น้ำรองน้ำฝน รับรองว่าสะอาดค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ปลั่งมองสารรูป “โถ ยุงกัดซะลายพร้อย..ตามสบายนะคะ”
อิศราเรียกไว้ “เดี๋ยวครับ ป้าปลั่ง มีทางช่วยให้ผมได้พบขวัญบ้างมั้ยครับ”
“เอ้อ เรื่องนี้ ป้าปลั่งคงช่วยไม่ได้หรอกนะคะ”
ปลั่งเดินไป อิศราถอนหายใจ
ต่อจากนั้นปลั่งวางจานข้าว มีแกงโปะบนจาน และขวดน้ำ พุดมองอาหารแล้วมองหน้าเมีย
“ใครเขาสั่งให้แกดูแล เอาข้าวเอาน้ำให้คุณอิศน่ะ เดี๋ยวคุณรุณมาเห็นจะหาว่าเข้าข้าง”
“แล้วจะปล่อยให้คุณอิศอดข้าวอดน้ำได้ลงคอเหรอ ยังไงคุณอิศเค้าก็เคยมีน้ำใจกะเรา เคยซื้อเหล้าให้แกด้วย” เมียทักท้วง
“ก็จริง”
อิศราเดินกลับมา ผมเปียก หน้าผ่องขึ้น
“คุณอิศ ทานข้าวค่ะ” ปลั่งบอก
“ผม...ทานไม่ลงหรอกครับ ขอแค่น้ำนี่ก็พอ ขอบคุณนะครับ”
อิศรายกแก้วน้ำดื่ม แล้วมองไปทางบ้าน พุดกับปลั่งมองหน้ากัน ได้แต่ถอนใจ
ชาลินีเดินเข้ามองตัวเองหน้ากระจก
หล่อนนึกถึงภาพท่านชายที่หัวเราะพลางบอกว่า “ในเมื่อร้องขอให้ฉันรับผิดชอบกันนัก ก็ได้ ฉันจะ รับผิดชอบ”
ชาลินี ยิ้ม บรรจงทาปาก สีหน้าภาคภูมิ “ชาลินี ผู้หญิง ของท่านชายวสวัต”
ชาลินีในกระจก ใบหน้าเศร้าเอ่ยขึ้น “ไปบังคับผูกมัดท่านชายแบบนั้น จะดีเหรอ”
ชาลินีพูดกับตัวเอง “โอ๊ย คิดมากไปได้ ถ้าท่านไม่มีใจเอง มีเหรอท่านจะยอมง่ายๆ”
ชาลินีในกระจกคลายสีหน้าเศร้า กลายเป็นชาลินีตัวจริง ที่ยิ้มสาสมใจตัวเองอยู่อย่างนั้น
คุณหญิงเพ็ญ กำลังยกแก้วไวน์ดื่มอยู่ตรงบาร์ในห้องโถง ขณะที่ชาลินีเข้าห้องมา
“ดื่มแต่เช้าเลยเหรอคะแม่”
คุณหญิงเพ็ญค้อน สีหน้าเคร่งยังกดดันเรื่องที่รู้ว่าชาลินีฆ่าลูก “ยังจะมาถาม จะไปไหน”
“ไปหาท่านชายสิคะ” ชาลินีมานั่งใกล้มารดา “แม่คะ แม่ว่าอย่างท่านชายถ้าจะให้แหวนแต่งงานชา น่าจะวงละสักกี่ล้านดีคะ”
“เขาคิดจะให้ ก็บุญแล้วมั้ง”
ชาลินีหงุดหงิด “เอ๊ะ แม่”
“เถอะ แกจะจัดการยังไงกับชีวิตของแกก็เอาเถอะ”
คุณหญิงสะบัดตัวลุกเดินหนีไป ชาลินีอึ้งขรึมลง
ชาลินีสวมแว่นดำลงรถ ก้าวเดินมาหยุดมองตัวตึกตระหง่านเบื้องหน้า หล่อนลดแว่นดำลง ดวงตาวาววับ มองไปด้านใน ยิ้มอย่างผู้ชนะ
ชาลินีเดินเข้ามายังโถงอันหรูหรา หล่อนมองรายรอบอย่างตื่นเต้น และวาดฝันถึงอนาคตว่ากำลังจะได้เป็นเจ้าของ ชาลินีเดินมาต่อยังกลางห้อง
สิริ ภุมมะ ก้าวออกมาจากคนละด้านมายืนคู่ มองแขกไม่ได้เชิญ ชาลินีชะงักแล้วยืดอกท้าทาย
“ท่านชายอยู่รึเปล่า”
สองคนมองนิ่ง ยิ้มเหยียด
ชาลินีกอดอกถาม “หรือว่า อยู่ข้างบน” หล่อนหันตัวจะเดินไปที่บันได
ภุมมะร้องห้ามแทบเป็นตวาด “หยุดนะ”
ชาลินีชะงักหันมา
“ไม่ได้รับอนุญาต ขึ้นไปไม่ได้”
ชาลินีหันเดินมาหา สิริและภุมมะพูดเสียงเบา หน้ายิ้ม ตาดุ
“อีกไม่นานนี้ล่ะนะ ที่ฉันไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใคร ที่จะไปที่ไหนก็ได้ ในวังนี่”
สิริ ภุมมะ มองหน้ากัน เหมือนจะฉงน แล้วหันมามองชาลินีด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ชาลินีรู้สึกกลัว ขนลุกขึ้นมาบ้าง
เสียงท่านชายดังขึ้น “ชาลินี”
ชาลินีหันขวับไป เห็นท่านชายยืนมาดเท่ อยู่ที่เปียโน ชาลินียิ้มทัก
“ท่านชาย”
ท่านชายปรายตามองมานัยน์ตาคมกริบ
สักครู่ท่านชายเดินมาหยุดที่กรอบประตู มองออกไปทางสระ ชาลินีตามมา ทำท่าทางนอบน้อม
“ท่านชายขา อย่าโกรธ อย่าเกลียดชาเลยนะคะ”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่ คุณพ่อคุณแม่ชา เข้าใจผิดว่าท่านชาย..เอ้อ..แล้วท่านชายก็เลยต้อง รับผิดชอบ”
“ฉันรับผิดชอบคนมากมาย จะรับผิดชอบเธออีกสักคนจะเป็นไรไป”
“แต่คนอื่น ต้องไม่เหมือนกับชานะคะ เพราะกับชา หมายถึง การแต่งงาน”
ชาลินีขยับเข้าหาอีก ส่งเสียงหวานออดอ้อน
“ท่านชายขา ชาสัญญาด้วยชีวิต ว่าชาจะทำให้ท่านชาย เป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก”
“เธอรู้งั้นเหรอ ว่าอะไร จะทำให้ฉันมีความสุข”
“ชา เรียนรู้จากท่านชายได้นี่ค่ะ”
ชาลินีมองท่านชายตาหวานซึ้ง มีกระแสความนอบน้อม เจียมตน และเว้าวอน ในนั้น
ท่านชายมองด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม
“ดูเธอมั่นใจจริง ก็ได้ มาลองดูกัน ว่าเธอจะทำให้ฉันมีความสุขได้ไหม”
ชาลินีปลาบปลื้ม ยิ้มหวาน ท่านชายมองหล่อนสีหน้าขรึม ดูสูงส่ง แววตารู้ทันทุกอย่าง
ปลั่งยืนมองจากห้องโถงเรือน ออกไปนอกหน้าต่าง เห็นอิศรายังคงนั่งซึมมองมือตัวเองที่แคร่ไม้ มีตาพุดเดินไปเดินมาเหมือนคุมเชิง ปลั่งหันมาทาง ดวงแก้ว เจริญขวัญ และอรุณ ที่นั่งทานข้าวกันอยู่
“คุณอิศโทรมเชียวค่ะคุณดวงแก้ว ไม่ยอมทานอะไรเลยนะคะ นอกจากน้ำ” ปลั่งบอก
ดวงแก้วลอบมองเจริญขวัญพร้อมๆ กับอรุณ เจริญขวัญตักอาหารเข้าปากทานเหมือนไม่ได้ยิน
“เดี๋ยวหิวทนไม่ไหม ก็กลับไปเองล่ะครับ” อรุณว่า
เจริญขวัญลอบถอนหายใจ อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ไม่สบตาใคร ทำเป็นกินข้าวเฉยๆ
กลางท้องฟ้าใส แดดแผดจ้า อิศราแหงนมองฟ้า ทั้งร้อน และ กระหาย จู่ๆ มีมือๆ หนึ่ง ยื่นแก้วน้ำมาให้ตรงหน้า อิศรามองดีใจ เมื่อหันมองเห็นเจริญขวัญหน้านิ่ง ยื่นแก้วน้ำมาให้
“ขวัญ”
อิศรารวบแก้วและรวบมือของเจริญขวัญไว้ เจริญขวัญชักมือออก และยังไม่มองหน้าอิศรา
อิศราอึ้ง เสียใจ ละอายใจ “ขวัญ...พี่”
เจริญขวัญกอดอก “ต้องคุยกันให้ได้ใช่ไหมคะ ถึงจะยอมกลับไป”
อิศราอึ้ง นิ่งงันไป
อรุณและดวงแก้ว มองเจริญขวัญและอิศราอยู่ครู่หนึ่ง อรุณหันมาหาดวงแก้วร้องขอ
“อาแก้วครับ ปล่อยให้ขวัญไปคุยกับคนหน้าไหว้หลังหลอกแบบนั้นไม่ได้นะครับ เดี๋ยวขวัญก็โดนมันหลอกอีก”
“ขวัญโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาตัดสินใจเองได้ อายุ่งไม่ได้หรอก” ดวงแก้วบอก
อรุณหงุดหงิดขัดใจ เหลียวมอง ไปยังเจริญขวัญที่กอดอกมองสบตาอิศราอยู่
เจริญขวัญเดินหนีมามุมหนึ่ง ใบหน้าเคร่งขรึม อิศราตามมาจนอีกฝ่ายหยุด เขาหยุดตาม
“ขอบคุณนะที่ยอมคุยกับพี่ ถ้าพี่เป็นขวัญ พี่ก็คงเกลียดน้ำหน้าไอ้ผู้ชายคนนี้เหลือเกิน” เจริญขวัญนิ่ง อิศราถอนใจยาว “พี่จะไม่โกหกว่า พี่ไม่เคยคิดเรื่อง...”
เจริญขวัญพูดลอยๆ “หลอกขวัญ”
อิศราอึ้ง “ใช่ เพราะคุณย่าเคยประกาศยกบ้านนี้ให้พี่ แล้วอยู่ๆ มันก็จะกลายเป็นของคนที่ไม่เคยเจอคุณย่า”
“ขวัญเคยถามแล้ว ว่ามีอะไรให้บอกขวัญตรงๆ”
“พี่รู้...” อิศราถอนหายใจยาวอีก “ตอนแรก พี่คิดว่า สาวน้อยบ้านไร่ คงตื่นตากับบ้านหลังใหญ่แล้วก็คงเฉดหัวพี่ไป พี่ยอมรับว่า พี่เคยตั้งใจวางแผนที่จะมัดใจขวัญให้ได้” เขาละอายใจนักเมื่อพูดคำนี้ “เพื่อบ้าน”
เจริญขวัญน้ำตาคลอจะรินไหลอยู่รอมร่อ เธอกรีดน้ำตาทิ้งพยายามเข้มแข็งโดยไม่มองเขา
“แต่พี่คิดผิด ความจริงใจ ความสะอาดบริสุทธิ์สาวน้อยคนนั้น กลายเป็นกระจกที่สะท้อนความเห็นแก่ตัวของพี่”
เจริญขวัญยังคงพยายามเข้มแข็ง กลั้นน้ำตา
อิศราขยับเดินเข้าใกล้ “และในที่สุด พี่ก็ได้รู้ว่า บ้าน ที่แท้จริง คืออะไร”
อิศราค่อยๆ กอดจากเบื้องหลัง ซบหน้าแนบข้างศีรษะเจริญขวัญที่หลับตาไม่ยอมใจอ่อน
“ขวัญ คือบ้านของพี่” อิศราน้ำตาหยด “ขวัญเป็นยิ่งกว่าความรัก เป็นคนที่มาเติมเต็มหัวใจที่โดดเดี่ยวเหลือเกินของพี่พี่ขาดขวัญไม่ได้ พี่รักขวัญ”
อิศรากอดเจริญขวัญจากเบื้องหลังนิ่งอยู่อย่างนั้น
เจริญขวัญร้องไห้ ต่อสู้กับอารมณ์ตัวเอง ที่ลึกๆ อยากกลับไปคืนดี แต่ความน้อยใจเสียใจมีมากกว่า ในที่สุดเธอกรีดน้ำตาออกเสีย เลื่อนมือขึ้นมาจับแขนอิศราที่กอดอยู่แล้วปลดออก หันตัวมาหาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พูดจบแล้วใช่ไหมคะ”
อิศรานิ่งมอง อย่างคนสำนึกผิด
อ่านต่อหน้า 4
เงา ตอนที่ 15 (ต่อ)
เจริญขวัญเอ่ยขึ้นอย่างห่างเหินว่า
“คุณอิศคะ”
อิศราใจหล่นวูบ เขาชะงัก ทวนคำอย่างไม่เชื่อหู “คุณอิศ”
เจริญขวัญมองนิ่ง “จะให้เรียกอะไรล่ะคะ ในเมื่อเราไม่ได้เป็นญาติ ไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกันทั้งนั้น เป็นเพียงแค่ คนที่ท่านมาเจอกัน แล้วก็จากกัน”
อิศรารับไม่ได้ “ไม่...”
“เมื่อขวัญมอบความไว้วางใจทั้งหมดให้ใคร แล้วมันพังทลายลง มันก็เจ็บปวดจนขวัญไม่เหลือความเชื่อใจอีก”
“พี่รู้ พี่ขอโทษ แต่ให้โอกาสพี่”
“พอเถอะค่ะ อย่ามาผูกพัน สร้างความเจ็บปวดให้กันอีกเลย”
อิศราจะอ้าปากปฎิเสธ
“คุณอิศกลับไปเถอะค่ะ” เจริญขวัญยิ้มเศร้า “คุณอิศก็ได้ไปแล้วทุกอย่าง คงหาผู้หญิงที่มาเติมเต็มช่องว่างให้คุณอิศได้ไม่ยากหรอก”
เจริญขวัญหันหลังเดินเร็วรี่กลับไปที่บ้าน ห่างออกมาเรื่อยๆ อิศรามองตาม สองคนเจ็บปวดรวดร้าวกันทั้งคู่
ขณะนั้น ดอกไม้ในแจกันอันใหญ่ ถูกวางประดับบนโต๊ะกลางหน้ากระจก ชาลินีเอียงคอมองอีกครั้งอย่างพึงใจ ปรากฏเงาท่านชายวสวัตก้าวเข้ามาในกระจกทางเบื้องหลัง ชาลินีเงยหน้าเห็นก็ยิ้มพราย
“ชาเอาดอกไม้มาประดับวังบ้าง จะได้ดูสดชื่นนะคะ”
ท่านชายมองนิ่ง มุมปากเหมือนมีรอยยิ้มเหยียดนิดๆ ก่อนก้าวออกไป
ชาลินีมัวยิ้มไม่ทันสังเกต หล่อนจัดดอกไม้อีกทีแล้วหันมามองความหรูหราของทั้งห้องก็ยิ่งพึงใจ
เย็นจวนค่ำชาลินีเดินขึ้นบันไดมาตามทางโค้ง เพื่อมาสำรวจห้องหับชั้นบนของวัง
“ต้องเติมไฟ ทาสีใหม่ดีกว่า”
ชาลินีบอกตัวเองแล้วเดินต่อ หยุดมองรูปภาพที่ประดับตามข้างผนัง
“รูปอะไรก็ไม่รู้ น่ากลัวจริง เดี๋ยวจะเปลี่ยนซะให้หมด”
ขณะที่ชาลินีเอียงคอมองรูป หางตาของหล่อนเห็นว่าที่ด้านหลัง มีร่างเด็กหญิง วิ่งแว่บไปทางหนึ่ง
ส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ชาลินีหันขวับไป แต่ไม่เห็นอะไร พยายามเพ่งมอง เห็นร่างของเด็กหญิงวิ่งไปอีกทางไวๆ ชาลินีหันขวับไปอีก
“นั่นใครน่ะ”
ร่างเด็กแว่บๆ เลี้ยวเข้ามุม ทางขึ้นบันไดชั้น 3
“เอ๊ะ”
ชาลินีเร่งเท้าเดินตาม ถึงตรงทางเลี้ยวขึ้นบันไดนั้น หล่อนพยายามเอียงคอมองหา ยินเสียงเด็กหัวเราะคิกๆ ดังขึ้น
“หนู ไปหลบตรงนั้นทำไม ออกมาสิ”
จู่ๆ มีมือน้อยๆ ขาวซีดยื่นออกจากความมืด มาจับขอบมุมผนัง ชาลินีชะงักกึก มองตะลึง ตัวแข็งทื่อ เมื่อต่อมาปรากฏเสี้ยวหน้าผีเด็กหญิงมีผมรุ่ยร่าย โผล่มาให้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าข้างเดียวมองเขม็งมายังชาลินี ที่น่ากลัวกว่านั้นคือใบหน้าผีเด็กมีเลือดไหลออกจากตาแทนน้ำตา!
ชาลินีตัวเกร็ง ขนลุกเกรียว หวีดร้องสุดเสียง
ชาลินีตัวเกร็งขนลุกเกรียว หวีดร้อง ยกมือปิดหน้า ถอยหลังจนมาชน ร่างๆ หนึ่ง หล่อนสะดุ้งเฮือก ร้องวี้ด พอหันไปพบว่าเป็นท่านชายวสวัตยืนหน้าขรึมอยู่ ชาลินีผวาตัวเข้าไปหา
“ท่านชาย ท่านชายคะ”
“เป็นอะไรไป ชาลินี”
“เด็กค่ะ เด็กนั่น” หล่อนชี้ แล้วหันไป
แต่ที่มุมห้องนั้น ไม่ปรากฏร่างใคร ชาลินีชะงัก
“เด็กอะไร ที่นี่ไม่มีเด็ก”
“มีสิคะ ชาเห็นจริงๆ น่ากลัวมาก”
ท่านชายย้อนถาม “เธอกลัวเด็กหรือชาลินี”
ชาลินีชะงัก มองท่านชาย แต่ท่านชายสีหน้าเฉย
“ไม่...ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ”
ท่านชายเดินเลยไปที่มุมผนังนั้น
“นี่ล่ะมั้ง เด็ก...ของเธอ มาดูสิ”
ชาลินีเดินไปดูอย่างขลาดๆ พอเลี้ยวมุม ก็เห็นตุ๊กตารูปปั้นตั้งอยู่
“เอ้อ แต่...” ชาลินีถอนใจไม่อยากต่อความ “ค่ะ ชาอาจจะตาฝาดไป”
ท่านชายวสวัตมองชาลินีแล้วหันหลังกลับ ใบหน้างามที่หันหนีมานั้น ยิ้มมุมปากนิดๆ แต่ชาลินีไม่มีวันเห็น แต่เจ้าหล่อนยังหันไปมองตุ๊กตาอย่างระแวง สงสัย และหวาดกลัว
ฝ่ายเจริญขวัญทรุดนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งอย่างตกใจ ยกมือกุมหน้าอก หอบหายใจ แล้วพยายามสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ มือหนึ่งของเธอยังถือหวีแปรงผมอยู่
เจริญขวัญหันไปมองตนเองในกระจกอย่างตกใจ ขณะพยายามสูดลมหายใจจนอาการหัวใจเต้นแรงๆ คลายลง
ดวงแก้วและปลั่งกำลังวางจานข้าวต้มบนโต๊ะอาหารเช้า เจริญขวัญเดินออกลงมาจากห้อง ชะงักมองผ่านกรอบประตู ที่หน้าบ้าน ไร้วี่แววอิศรา เจริญขวัญยืนกวาดตามอง แอบเศร้า
ปลั่งสะกิดดวงแก้วให้หันไปมอง
ดวงแก้วสงสารลูกสาวนัก มองแล้วรีบปรับสีหน้าพยายามทำให้ปกติเหมือนไม่มีอะไร
“ขวัญ มาลูก ข้าวต้มกำลังร้อนๆ”
เจริญขวัญยิ้มเดินมานั่ง
“คุณอิศราแกหายไปเลยนะคะ แกจะไม่กลับมาแล้วหรือคะ” ปลั่งบอก
ดวงแก้วมองหน้าปลั่ง ดุปราม
ปลั่งหัวเราะเบาๆ เลื่อนจานให้ “ไข่เจียวค่ะ คุณขวัญ”
เจริญขวัญยิ้ม ทานข้าว
หลังมื้อเช้ารถกระบะที่ดวงแก้วขับแล่นมาจอดในไร่ เจริญขวัญ ตามดวงแก้ว ลงจากรถ
“ไม่ต้องทำอะไรมากจนเหนื่อยเกินไปล่ะขวัญ ช่วยนิดๆ หน่อยๆ ก็พอ เข้าใจไหมลูก”
“ค่ะแม่ แหม ขวัญอยู่แต่กับบ้าน เบื่อออก”
พุดเดินเร็วรี่มาหา ท่าทางลุกลี้ลุกลนลับๆล่อๆมา
“คุณดวงแก้วครับ”
“พี่พุด มีอะไรจ๊ะ”
“เอ้อ ผมมีคนงานคนใหม่ แทนเจ้าก้านที่ลาออกไปแล้วครับ”
“ก็ดีสิ ไปหามาจากไหนล่ะจ๊ะ” ดวงแก้วถามไม่คิดอะไร
“เดินดุ่มๆ มาขอสมัครเองน่ะครับ...นั่นน่ะครับ”
ดวงแก้ว และ เจริญขวัญ หันไปเห็นอิศราในชุดทะมัดทะแมง สวมหมวกสาน ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เขามีผ้าขาวม้าคาดเอว ก้าวเข้ามา ยิ้มกว้าง
เจริญขวัญมองอย่างประหลาดใจ
อิศราไหว้ดวงแก้ว
“คนงานใหม่ ขอรายงานตัวครับผม”
ดวงแก้วรับไหว้งงๆ ก่อนหันมองเจริญขวัญ ที่หงุดหงิดคนงานใหม่ ส่วนอิศรายิ้มกว้าง
อิศราเดินตาม เจริญขวัญและดวงแก้ว มีตาพุดเดินตาม
“ทำไมล่ะครับ ทำไมผมจะทำงานที่นี่ไม่ได้ ผมน่ะ” เขาเบ่งกล้ามโชว์ “แข็งแรงนะครับ”
เจริญขวัญหงุดหงิด “คุณอิศจะเล่นตลกอะไรอีกคะ”
“เปล่า พี่...เอ้อ ผมอยากมาทำงานที่นี่จริงๆ” อิศราหันมาอ้อนดวงแก้ว “นะครับ รับรองว่าผมจะทำตามสั่งทุกอย่าง ค่าแรงผมไม่เอาก็ได้นะครับ ขอแค่ข้าวน้ำกินสามมื้อ”
“อะไรคะ คุณอิศกะจะอยู่ที่นี่เลยหรือไงคะ” ดวงแก้วตกใจนิดๆ
อิศราตีหน้าเศร้า “ก็ ผมไม่มีบ้านอยู่นี่ครับ”
ดวงแก้วบอก “บ้านคุณอิศราก็อยู่กรุงเทพฯ ไงคะ”
“บ้านนั้นก็ไม่ใช่ของผมซะหน่อยครับ เจ้าของเขาหนีมา ส่วนบ้านผม...” อิศรามองเจริญขวัญ “อยู่ที่นี่ต่างหาก”
เจริญขวัญสบตาที่มั่นคงจริงจังของอิศรา แล้วเบือนหนี
“บ้านของคุณอิศ จะมาอยู่กับท้องไร่ลำบากลำบนได้ยังไงคะหรือว่า คุณอิศได้บ้านหลังนั้นไปแล้วยังไม่พอ”
อิศราหน้าเสีย เจริญขวัญเดินหนี อิศราหันยิ้มเหยเก กับดวงแก้ว
“อาแก้วครับ ผมอาจจะเป็นคนเลวไปแล้วในสายตาของทุกคนแต่ผมไม่มีวิธีอื่น ที่จะพิสูจน์ตัวเองได้ นอกจากเอาชีวิตของผมมาแลกกับข้าว น้ำของอาแก้วเท่านั้น ผมไหว้ล่ะครับ”
ดวงแก้วมองความมุ่งมั่นปนเสียใจของอิศรา แล้วอึดอัดถอนใจยาว
อิศราช่วยทำงานในไร่ แข็งขันด้วยร่างกายอันบึกบึน
เจริญขวัญหันมองอิศราที่กำลังลงต้นไม้ เธอเขม้นมองเขาอย่างชั่งใจ เห็นอิศรายกมือขึ้นปาดเหงื่อ พอมองมาเห็นเจริญขวัญมองอยู่ ก็ส่งยิ้มกว้างให้ เจริญขวัญเส หันไปทางอื่น เดินหนีไป อิศรายิ้มเก้อ
เจริญขวัญเดินมาหาดวงแก้วและพุด
“แม่อ่ะ ใจอ่อน”
“ทำไงได้ล่ะลูก”
“แต่คุณอิศ จะทนได้สักกี่น้ำครับนั่น คราวที่แล้ว ทำไปได้ป๊อบๆแป๊บๆ ก็ไปนั่งพักเหงื่อแตก หอบแดดแล้ว”
“ลุงพุดก็ช่วยทำให้ คุณอิศเค้าเบื่อเร็วๆ สิคะ”
พุดขำ “นั่นแน่ เอางั้นนะครับ ได้ครับ ได้ตามประสงค์คุณขวัญ”
เจริญขวัญพูดแล้วหันไปทำอย่างอื่น ไม่สนใจ ดวงแก้วมองไปทางอิศรา เห็นความตั้งใจ ขะมักเขม้นทำงานของเขา เริ่มใจอ่อนลง
ตาพุดยืนบงการการแกล้งอิศรา ให้ทำนั่นทำนี่ เจริญขวัญลอบมองไกลๆ เห็นอิศราปาดเหงื่อหันมาสบตาก็ยิ้ม ไม่ย่อท้อ
พุด สั่งให้ทำนั่นทำนี่ไม่วายเว้น
อิศราช่วยคนงานขนของ แบกถุงปุ๋ย ทะมัดทะแมง แต่ไม่คล่องแคล่วนัก พออิศราขุดดินก็เก้ๆ กังๆ แต่ไม่ท้อ อิศราทำงานกับคนงาน ด้วยความพยายาม เจริญขวัญลอบมองสีหน้าเรียบ
ช่วงพักเที่ยง อิศราทิ้งตัวลงนั่งบนแคร่ไม้ไผ่มุมหนึ่ง เหยียดขา เอาแขนชันด้านหลังแหงนหน้าหลับตา พ่นลมหายใจ เหงื่อซ่ก ท่าทางเหนื่อยหนัก กลุ่มคนงาน หิ้วปิ่นโตเดินผ่านไปมุมหนึ่ง
พุด ดวงแก้วและเจริญขวัญเดินมาที่แคร่ เจริญขวัญหิ้วปิ่นโต พุดหิ้วกระติกน้ำ มาหยุดมองคนงานใหม่
อิศราลืมตาหันมาเห็น ขยับลุกนั่งดีใจ ตามองกระติกน้ำ ปิ่นโต เอาผ้าขาวม้ารีบปัดๆแคร่ไม้
“กำลังหิวตาลายเลยครับ อาดวงแก้ว”
พุดดุ “เอ้อ คุณอิศครับ”
อิศรายิ้มกว้าง “ครับ ลุงพุด”
“ที่ตรงนี้ ที่ของคุณแก้วกับคุณขวัญ”
อิศรายังไม่รู้ว่าถูกไล่ที่ “ครับๆ”
“ส่วนที่ของเรา คนงานไร่ ทางโน้นครับ”
“ห๊ะ...อ้อ…”
อิศรามองเจริญขวัญกับดวงแก้ว ที่ไม่อยากสบตาด้วย ก็ยิ้มปูเลี่ยนๆ
“เราน่ะ เหมือนคนแปลกหน้ากัน จะมาร่วมทานอาหารด้วยกัน มันเกินไปนะคะ” เจริญขวัญบอกเสียงเรียบ
พุดแปลไทยเป็นไทย “คือคุณขวัญหมายถึง คุณน่ะแค่คนงาน อย่าอาจเอื้อม เข้าใจมั้ยครับ”
อิศราอึ้งยิ้มแห้งๆ
สักครู่อิศรา ตามพุดมาอีกมุม พุดปูเสื่อวางกับพื้น มีคนงานสองคนนั่งแกะปิ่นโตออกวาง กับข้าวมีหมูเค็ม น้ำพริก ผักสด ส้มตำ
“เฮ่ยๆ ขยับหน่อย ให้เด็กใหม่เขานั่งด้วย” พุดลงนั่งหันมาเรียกอิศรา “อ้าว นั่งสิครับ คุณอิศ”
อิศราลงนั่ง ก่อนแอบหันไปมองที่แคร่เจริญขวัญ กับ ดวงแก้ว กำลังทานอาหารกัน เห็นเจริญขวัญปรายมองด้วยหางตาแล้วทำเป็นไม่มอง
“อ้าว เอ่ย ตักข้าวให้เด็กใหม่ด้วยสิวะ อย่าทำเป็นใจจืดใจดำ”
คนงาน 1 ตักข้าวใส่จานเก่าๆ ยื่นให้ อิศรารับมามองจาน แอบเอาผ้าขาวม้าเช็ดขอบจาน พุดลอบมองแล้วแกล้งตักส้มตำ และแอบหยอดพริกขี้หนูซ่อนใส่เพิ่ม มาวางโปะลงในจานข้าวของอิศรา
“ส้มตำปลาร้าปูเค็ม ยายปลั่งตำงี้ แซบสุดๆ เลยครับคุณอิศ หนุ่มๆที่นี่ ชอบกันนักล่ะ ทานเลยครับ”
“ครับๆ”
อิศราจ้วงข้าวคลุกส้มตำกิน พุดลอบมอง อิศราเคี้ยวแล้วรู้สึกเผ็ดมาก ร้อนจนต้องซู้ดปาก
“โอยๆ ซู้ด”
คนงานพากันหัวเราะ พุดหัวเราะตาม ส่งกระบอกน้ำให้
“เอาๆ น้ำครับคุณอิศ พิธีต้อนรับเด็กใหม่ของตาพุ๊ด... ฮ่าๆๆ ไงครับคุณอิศ ไหวมั้ยครับ”
ตาพุดและคนงานหัวเราะขำกลิ้ง อิศราเผ็ด ดื่มน้ำแล้วหัวเราะแหะๆ กับพวกพุด
“ไหวครับ แต่แหมลุงพุดนี่..ร้ายนะ อูย..ซู้ด” ทุกคนหัวเราะกันครืน
เจริญขวัญทานข้าวอยู่ลอบมองมาแต่ไกล ดูเหมือนอิศราหัวเราะหัวใคร่มีความสุขดีอยู่ ก็แอบยิ้มบาง
ดวงแก้วมองลูกด้วยสายตาเข้าใจ
ตกบ่าย อิศราช่วยตอกตะปูผนังศาลา ที่เจริญขวัญตั้งใจจะสร้างเป็นห้องสมุด สำหรับเด็กลูกคนงานไร่ พุดเดินดูคนงานที่ช่วยๆ กันตอกตะปู ติดแผ่นไม้
“เอา ๆ ขยันขันแข็งกันหน่อยนะครับ ท่านๆทั้งหลาย ซ่อมศาลาเสร็จ เดี๋ยวจะได้ไปทำอย่างอื่นต่อ”
อิศราถาม “ลุง มีอย่างอื่นต่ออีกเหรอ นี่จะบ่ายสามแล้วนะ”
“โอ๊ย งานไร่มีไอ้นู่นไอ้นี่ให้ทำไม่มีหมดหรอกครับ คุณอิศ ไหวมั้ยล่ะครับ”
“เอ้อ ไหวสิครับ”
พุดยิ้มย่องเดินผิวปากไปดูคนอื่น
อิศราตอกตะปู แล้วเหลือบเห็นเจริญขวัญเดินมาพร้อมกระติกน้ำ
พอเห็นเจริญขวัญเดินมาใกล้ อิศราคิดปราดเดียว ทำทีเป็นตอกตะปูพลาดโดนนิ้ว แล้วลอบมอง
“อู้ย โอ๊ย...เจ็บๆ เจ็บจังเลย อูยๆ”
เจริญขวัญตกใจในเบื้องแรก จะขยับมาหา แล้วชะงัก ทำเป็นไม่สนใจ พูดลอยๆกับทุกคน
“น้ำอยู่ตรงนี้นะคะ ทุกคน”
เจริญขวัญวางกระติก แล้วเดินกลับไป อิศรามองตามผิดหวัง พุดโผล่หน้ามา
“ไงครับคุณอิศ เจ็บมากมั้ยครับนั่นๆ โถ..จะทำต่อไหวมั้ยครับ”
“ลุงพุดเลิกถามเถอะครับ ว่าไหวมั้ย” อิศรามองไปทางเจริญขวัญ “เพราะยังไง ผมก็ไม่มีวันยอมแพ้”
บ่ายจัด ตรงอีกมุมในไร่ มีโต๊ะไม้ตั้งอยู่ ดวงแก้วและเจริญขวัญนั่งอยู่ที่นั่น พุดยืนดูแล ทำการจ่ายเงินให้คนวานที่ยืนเข้าแถว อิศราเป็นคนสุดท้าย
ดวงแก้วจ่ายเงิน “เอา นายยอด ขอบใจนะจ๊ะ”
นายยอดเดินออก อิศราเข้ามายืนรอหน้าโต๊ะ
“เอ้อ คุณอิศ”
อิศรายิ้มสงบ ดวงแก้ว ยื่นเงินค่าแรงให้สองร้อยห้าสิบ
“นี่ค่ะ ค่าแร”
อิศราจะรับเงิน
พุดขัดขึ้น “เดี๋ยวๆครับ คุณแก้ว คือ ผมว่า ประเมินจากการทำงานวันนี้วันแรก ยังไม่ค่อยคล่องตัวเท่าไหร่ ต้องหักค่าสอนงานของผมด้วยครับ” ลุงพุดดึงเงินไปใส่กระเป๋าตัวเองร้อยหนึ่ง “เหลือแค่นี้พอครับ”
ดวงแก้วงงๆ แต่คล้อยตาม
“เหลือสอยร้อยนะคะคุณอิศ”
อิศราไหว้ “ขอบคุณครับ”
เขาก้มมองเงินในมือ ใบหน้านิ่งเรียบ เจริญขวัญลอบมองมือที่ยังมีรอยดินอยู่บ้าง พูดลอยๆ
“ค่าแรงคนงาน คงไม่เหมาะกับค่าตัวคุณอิศรามั้งคะ”
“ใครว่า นี่เป็นเงินที่พี่ภูมิใจที่สุดเลย” อิศรายิ้มกว้างจูบเงินฟอด “นี่เองที่เค้าเรียกว่า เงินจากน้ำพักน้ำแรง..เย้ !!! วู้ๆๆ”
ดวงแก้วอดยิ้มขันไม่ได้ เจริญขวัญเกือบจะยิ้ม กลัวใจอ่อน ค้อนควักแล้วลุกหนี
“บ้า..กลับกันเถอะค่ะแม่”
ดวงแก้วลุกตาม
อิศราหันมาทางพุด “ลุงพุด”
“ว่าไงครับ”
อิศราชูเงิน “แบบนี้ เย็นนี้ต้องฉลองนะครับ”
มุมหนึ่ง ไม่ไกลจากตัวบ้าน อิศราปักเสาเต็นท์สนามอันสุดท้ายเสร็จสิ้นในตอนเย็น มีพุด กะปลั่ง ยืนมอง อิศราปาดเหงื่อ หัวเราะมีความสุข
“แต่น แต้น แต๊น เป็นไงครับ แจ่มมั้ยครับ ลุงพุด ป้าปลั่ง”
“คุณอิศ เล่นอย่างนี้เลยเหรอครับ”
“นั่นสิคะ แถวนี้ก็มีโรงแรม สะดวกสบายกว่ากันตั้งเยอะนะคะ” ปลั่งว่า
“ผมแค่คนงานไร่ มีรายได้วันล่ะไม่กี่ร้อย จะให้ผมไปเช่าโรงแรมอยู่ได้ไงล่ะครับ”
เจริญขวัญ อรุณเข้ามา อิศราไม่ทันตั้งตัว
“แล้วมาจับจองที่หน้าบ้านคนอื่นเขาเนี่ย ไม่กลัวข้อหาบุกรุกหรือคะ” เจริญขวัญว่า
“ใช่ เราว่าเรียกตำรวจมาจับให้ไปนอนในห้องขังเลย ขวัญ” อรุณเสริม
“คนอื่นที่ไหนครับ นี่น่ะบ้านเจ้านายผมนะ ผมทำงานรับเงินค่าแรงจากเจ้านาย น้อยนิด ขอแค่อาศัยพื้นที่นิดเดียว เจ้านายคงไม่ใจไม้ไส้ระกำหรอก จริงมั้ยครับ” เขายิ้มหยอกขณะพูดคำท้าย
“อย่ายอมนะขวัญ”
เจริญขวัญยิ้มในสีหน้า แล้วเดินหน้าบึ้งหันเดินกลับไปที่บ้าน
“อ้าว ขวัญ”
อรุณวิ่งตาม อิศรามองตามยิ้มๆ พุด กะปลั่งแอบขำ
“คุณอิศครับ”
อิศราหันมอง สองผัวเมียเอาตัวชนกันแอบชูนิ้วโป้งให้ อิศรายิ้มกว้าง
ดวงแก้วยืนดูเหตุการณ์อยู่ในบ้าน เจริญขวัญกับอรุณเดินมาที่ประตู ด้านหลังยังเห็น อิศราอวดเต็นท์กับตาพุดยายปลั่งที่จับนู่นดูนี่อย่างสนใจอยู่
“ขวัญ ยอมได้ยังไงแบบนี้” อรุณหงุดหงิดอยู่นั่น
“คนเขาดื้อ จะให้เราทำยังไงล่ะ”
“อย่างนี้ไม่เรียกดื้อ เขาเรียกด้าน ขวัญต้องก็ไล่ไปซิ”
เจริญขวัญมองไปทางเต็นท์ แล้วหันเดินขึ้นห้องนอนไป
“อ้าว ขวัญ” อรุณหันมาทางดวงแก้ว “อาแก้วครับ ยอมกันแบบนี้ อีกหน่อยขวัญก็ใจอ่อนหรอกครับ”
ดวงแก้วตีหน้าซื่อ “อาก็...แล้วแต่ยายขวัญจ้ะ”
ดวงแก้วเดินไปอีกทาง อรุณเงิบ หงุดหงิดถึงขีดสุด
“เฮ้อ”
ตั้งเต็นท์เสร็จอิศรามาอาบที่น้ำหลังบ้าน กำลังจ้วงขันตักน้ำขึ้นมาราดตัวเอง อิศรานุ่งผ้าขาวม้า แสงกระทบร่างและน้ำที่ราดเป็นฝอย ดูเป็นเกล็ดแสงวาวสว่าง
เจริญขวัญเดินออกมาทางระเบียงชั้นสอง มองลงมา แล้วต้องสะดุ้ง อาย หันรีหันขวางแล้วหันกลับ ยืนหลบมุมแอบดู
อิศราอาบน้ำกลางแจ้งอย่างมีความสุข รู้สึกปลดปล่อย ไม่ยึดติดใดๆ แล้ว
เขาเงยหน้ามองฟ้า สูดอากาศรับลม อ้าแขนรับความสุขรอบตัว เจริญขวัญลอบมองแล้วอดยิ้มเขินออกมาไม่ได้
อ่านต่อตอนที่ 16