พราว ตอนที่ 13
ต้อยติ่งนำสมชายเดินเข้ามาในบ้านพราวแสง ขณะที่ทุกคนรอฟังข่าวกันอยู่อย่างร้อนใจ
“กำลังตำรวจบุกไปที่บ้านนายประเสริฐแล้ว พบหลักฐานเต็มไปหมด”
“แล้วพบตัวคนร้ายรึเปล่า ?” ติณห์รีบถาม ทำทีว่าเป็นห่วงพราว
“ไม่พบครับ”
ติณห์ยิ้มเยาะ
“ตำรวจทั้งนครบาล จับคนโรคจิตคนเดียวไม่ได้ แล้วอย่างนี้ ความปลอดภัยในชีวิตของคุณพราวอยู่ที่ไหนครับ”
สมชายมองจ้องหน้าติณห์อย่างไม่พอใจ
“ก็อยู่ที่ผมนี่แหละ ผมจะดูแลคุณพราวเอง เอาชีวิตตัวเองปกป้องชีวิตของคุณพราวให้ปลอดภัยจนกว่าจะจับตัวคนร้ายทุกคนได้”
“คุณคิดว่าสมควรจะทำหน้าที่บอดี้การ์ดต่ออีกเหรอครับ”
“ไม่ใช่สมควร ผมสมชายนี่แหละจะทำหน้าที่บอดี้การ์ดต่อไป”
ติณห์ถึงกับหน้าเจื่อน แฟรงค์เองก็พลอยหน้าเสียไปด้วย ขณะที่เอมี่กับต้อยติ่งกลั้นขำ
“อะไรกันเนี่ยะ สมควร สมชาย พราวหนูจะเอายังไง แฟรงค์เฟียต”
พราวคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจ
“มันก็หลายครั้งนะคะ ที่บอดี้การ์ดสมชายช่วยชีวิตพราวให้รอดความตายมาได้ คุณติณห์คะ พราวอยาก ให้บอดี้การ์ดสมชายได้ทำหน้าที่ต่อไปค่ะ”
สมชายแอบโล่งอก ติณห์จำต้องเก็บพิรุธ ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษต่อไป
“ถ้าคุณพราวต้องการอย่างนั้น ผมก็ยินดีครับ เพื่อความสบายใจของคุณพราว”
ทันทีที่ออกมาพ้นจากบ้านพราวแสง สีหน้าของติณห์ก็เปลี่ยนเป็นร้ายกาจทันที
“เขี่ยไอ้สมชายไม่พ้นทางซะที วันนี้ถ้าไม่มีมันโผล่มา ซูเปอร์สตาร์พราวต้องได้ชดใช้กรรม”
จากนั้นก็รีบหยิบมือถือขึ้นมากดโทร.
“ฮัลโหล แกอยู่ไหนมาโนช มาหาฉันที่บ้านตอนนี้เลย”
ขณะที่ภายในบ้านพราวแสง สมชาย พราว แฟรงค์ และเอมี่ ก็ปิดห้องประชุมกันหน้าเครียด แฟรงค์ไม่รอช้า ยิงคำถามเปิดประเด็นทันที
“จะเรียกประชุมลับเรื่องอะไร เชิญค่ะคุณบอดี้การ์ด”
“ไม่มีอะไรมากครับ ผมแค่อยากรู้คิวงานของคุณพราว”
เอมี่เปิดสมุดคิวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมารายงาน
“ละครค่ะ ตอนนี้จะเทคิวพราวให้ละครอโยธยาทั้งหมด เค้าจะปิดกล้องแล้ว”
“ถ่ายต่างจังหวัดเหรอครับ ?”
แฟรงค์พยักหน้า “ใช่ฮะ แต่คิวที่จะถึงนี้ จะไม่ให้พราวไปหรอก ให้มีนไปแทน”
พราวมองแฟรงค์อย่างไม่เห็นด้วย
“พราวจะไปเองค่ะพี่แฟรงค์ มันเป็นงานของพราวนะคะ พราวจะโยนให้มีนรับผิดชอบทั้งหมด
มันใช้ได้ที่ไหน”
“พี่รู้ พี่เข้าใจหนู แต่ที่พี่คิดว่าหนูควรจะพักก่อน แล้วให้มีนไปแทน ด้วยเหตุผล 2 ข้อ ข้อแรกสภาพจิตใจหนูยังไม่พร้อม หนูยังหวาดผวา กับเรื่องมือมีด ข้อที่ 2 มันเป็นฉากบู๊นะหนู มีตีรันฟันแทง หนูจะไม่ระแวงเหรอ”
สมชายเห็นด้วยกับแฟรงค์
“ผมเห็นด้วยกับคุณแฟรงค์ครับ ว่าคุณควรจะพัก รอให้สภาพจิตใจคุณดีขึ้นเสียก่อน คุณค่อยกลับไปทำงานเอง”
“ก็ได้ ก็ได้”
พราวโวยวายเสียงดัง ก่อนจะลุกจากโต๊ะ เดินออกจากห้องไป สมชายลุกจะตาม แต่แฟรงค์รีบพูดขัดขึ้นมาก่อน
“คุณติณห์เป็นคู่หมั้นที่ใจกว้างมากนะว่าไหมฮะ ที่ยอมให้คุณเป็นบอดี้การ์ดของพราวต่อไป”
คำพูดของแฟรงค์แฝงนัยเป็นเชิงเตือนว่าพราวมีคู่หมั้นแล้ว แต่สมชายย้อนกลับไปนิ่งๆ
“ผมก็ใจกว้างมากนะครับ ที่ยอมให้เค้าสวมแหวนหมั้นให้คุณพราว”
พูดจบ ก็เดินออกไป แฟรงค์ยืนเหวอ หันมามองหน้าเอมี่งงๆ
พราวหลบมานั่งจุ่มเท้าลงในสระ หน้าตากลัดกลุ้มอยู่คนเดียว จู่ๆ ก็มีเสียงคนเดินมาข้างหลัง เธอผวาตกใจ รีบหันไปมอง
“ผมเอง”
“เข้ามาเงียบๆ ตกใจหมดเลย”
สมชายทรุดตัวนั่งลงข้างๆ
“เห็นมั้ยว่าคุณยังไม่พร้อม ผมเดินเข้ามาแค่นี้ คุณยังผวาเลย”
“งั้นถ้าคืนนี้ฉันนอนไม่หลับ คุณคงไม่ว่าฉันนะ ถ้าฉันจะขอกินยาสักเม็ด”
สมชายรีบจับมือพราวไว้เป็นเชิงห้าม
“อย่ากินนะ ถ้านอนไม่หลับ โทรหาผม ผมจะคุยอยู่เป็นเพื่อนคุณทั้งคืน เพราะผมคงทำได้แค่นี้ ในฐานะบอดี้การ์ด ผมกลับนะ”
พูดจบก็ลุกขึ้นโดยที่มือยังจับมือพราวอยู่ ก่อนจะปล่อยมือเธอช้าๆ พราวยกมือจะเรียกเขาไว้ แต่ประกายเพชรจากแหวนหมั้นบนนิ้วนางข้างซ้ายรั้งเธอไว้
จันทร์จรีมาหาติณห์ที่บ้าน บังเอิญเหลือบเห็นผู้หญิงแต่งตัวเหมือนนางพยาบาลเดินถืออ่างแก้วออกมาจากห้องๆ หนึ่งชั้นบน ก็นึกแปลกใจ
“มีนางพยาบาลด้วยเหรอยะ? นอกจากคุณติณห์แล้ว ในบ้านนี้ยังมีใครอยู่อีก เค้าอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ?”
คิดพลาง ก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปดู ให้หายคาใจ
จันทร์จรีเดินมาถึงหน้าห้องที่เห็นพยาบาลออกมาเมื่อครู่ พลางค่อยๆ แนบหูฟัง เมื่อไม่ได้ยินเสียงใครข้างใน ก็ตัดสินใจบิดลูกบิดประตูเปิดเข้าไป
ทันทีที่เปิดประตูออก เธอก็รีบยกมือปิดจมูกเมื่อได้กลิ่นยาแบบในโรงพยาบาลปะทะออกมาจากในห้อง
“กลิ่นยังกับยาในโรงพยาบาลแนะ”
พลางกวาดตามองไปรอบๆ เห็นเตียงวางอยู่กลางห้อง แต่มีม่านกั้นอยู่ ปิดคนที่นอนอยู่บนเตียงไว้ เห็นแต่ขาโผล่ออกมา
จันทร์จรียกมือทาบอกรู้สึกตกใจ
“ใครนอนป่วยอยู่บนเตียง?”
ตรีนอนอยู่บนเตียงมีม่านกั้น จิตเหมือนสัมผัสได้ถึงหญิงคนรักที่ทิ้งไปนาน กำลังกลับมา ร่างที่นอนนิ่งก็เริ่มสั่นสะท้าน
จันทร์จรีเดินย่างเข้ามาช้าๆ เบาๆ กลัวว่าคนที่เตียงจะได้ยิน ตรงไปยังม่านกั้น กำลังยื่นมือไปจะแหวกม่านกั้นออกดูหน้าคนที่เตียงให้หายสงสัย แต่ติณห์เปิดประตูห้องเข้ามาเสียก่อน
“จรี”
คิ้วตรีกระตุกเมื่อได้ยินชื่อจันทร์จรี ขณะที่เจ้าของชื่อสะดุ้งตกใจชะงักมือ หันไปมองติณห์“คุณเข้ามาทำอะไรในนี้ ?”
จันทร์จรีแก้ตัวไม่ออก ติณห์ก้าวเข้ามาคว้าแขนพาตัวออกไป
“ห้ามคุณเข้ามาในห้องนี้อีก เข้าใจมั้ย”
“จรีไม่ได้ตั้งใจค่ะตุณติณห์ จรีไม่รู้”
ระหว่างที่ติณห์เดินดึงจันทร์จรีออกไปก็สวนกับพยาบาลที่ถือผ้าห่มผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องมา เมื่อมาถึงเตียงก็ต้องตกใจ ปล่อยผ้าห่มร่วง เมื่อเห็นว่าสัญญาหัวใจของตรีหยุดเต้นไปแล้ว
“แย่แล้วค่ะคุณติณห์ หัวใจหยุดเต้น”
ติณห์ตกใจ รีบวิ่งถลากลับเข้าไปในห้องทันที จันทร์จรีอยากรู้อยากเห็นใจจะขาดอยู่นอกห้อง แต่ไม่กล้าโผล่เข้าไปดู
ติณห์กำลังพยายามปั๊มหัวใจตรี เพื่อยื้อชีวิตของน้องชายสุดที่รักเอาไว้ให้นานที่สุด
“อย่าทิ้งพี่ไปนะตรี หัวใจน้องต้องสู้ เต้นซิ ตรีกลับมาหาพี่”
พยาบาลรีบฉีดยากระตุ้นหัวใจเข้าสายน้ำเกลือ ครู่ใหญ่สัญญาณเต้นของหัวใจก็กลับมาเต้นอีกครั้ง
ติณห์ถึงกับฟุบกอดตรี แล้วร้องไห้โฮ
“จะรีบทิ้งพี่ไปไหน รอก่อนซิ น้องต้องอยู่รอดูผู้หญิงคนนั้นชดใช้กรรมเสียก่อนเข้าใจมั้ย พี่ขอโทษที่ทำอะไรช้าไป พี่จะไม่รีรออีกแล้ว พี่จะรีบลงมือให้เร็วที่สุด”
จากนั้นก็ผละออกมา พลางหันมาสั่งนางพยาบาล
“รีบโทร. ตามหมอมาดูอาการน้องผม บอกหมอเอาเครื่องมือเอายามา ทำยังไงก็ได้อย่าให้หัวใจน้องผมหยุดเต้นอีก ไม่ว่าแพงแค่ไหน กี่ล้านผมจะจ่าย ต้องรักษาหัวใจของน้องผมให้เต้นต่อไปนานๆ เพราะมันเป็นความหวังเดียวของผม รู้มั้ย”
พยาบาลรีบรับคำ
ติณห์วางแก้วไวน์ที่ดื่มเพื่อดับอารมณ์ พร้อมๆ กับที่กลับมาควบคุมสติได้เหมือนเดิมแล้ว จันทร์จรีเดินเข้ามาโอบกอดไหล่อ้อนทางด้านหลัง
“โกรธจรีเหรอคะ จรีขอโทษ จรีไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงเรื่องในบ้านคุณเลยนะคะ แต่เผอิญเห็นพยาบาล ออกมาจากห้องนั้น ก็เลย...”
“อยากรู้ ?”
จันทร์จรีก้มหน้านิ่ง “ไม่อยากรู้แล้วก็ได้ค่ะ ถ้าคุณไม่อยากบอก”
“เมื่อไหร่ผมอยากให้คุณรู้ ผมจะบอกคุณเอง ไม่ต้องรีบ”
จันทร์จรียิ้มดีใจ
“จริงนะคะ แหม จรีไม่น่ารีบร้อนทำตัวจุ้นให้มากนักเลย เพราะถึงยังไง ต่อไปจรีก็ต้องรู้เรื่องทุกอย่างในบ้านนี้อยู่แล้ว ในฐานะ...เอ่อ...”
จันทร์จรีแสร้งทำเป็นหัวเราะ เว้นคำว่าเมียของติณห์ไว้ เขาแอบยิ้มร้าย จังหวะนั้นมาโนชเดินเข้ามารายงานว่าหมอมาแล้ว ติณห์รีบหันมาถามจันทร์จรีเป็นเชิงไล่กรายๆ
“ผมมีนัดคุยธุระสำคัญกับมาโนช คุณมาดึกป่านนี้มีอะไรรึเปล่า?”
“จะเรื่องอะไรอีกล่ะคะก็เรื่องข่าวที่แฟนคลับคลั่งบุกแทงยัยพราวถึงห้าง จรีตกใจแทบแย่ กลัวคุณจะถูกลูกหลงไปด้วย”
“ผมไม่เป็นอะไร คุณพราวก็ปลอดภัยดี”
จันทร์จรีแอบเบ้ปาก “หนังเหนียวจริงๆ เล๊ย มะรืนนี้ถ่ายละคร นักข่าวต้องตามมาทำข่าวเกะกะวุ่นวายอีก”
ติณห์กระตือรือร้นขึ้นมาทันที เพราะกำลังจ้องหาโอกาสให้มาโนชลงมือกับพราวอยู่พอดี
“มะรืนนี้ถ่ายที่ไหนครับ ?”
“อยุธยาโน่นแน่ะค่ะ ซีนใหญ่ด้วย มีระบงระเบิด ขืนนักข่าวมาเกะกะ วุ่นวาย จะถ่ายเสร็จไหมเนี่ยะ”
ติณห์กับมาโนชมองหน้ากัน เห็นโอกาสที่จะลงมือกับพราวแล้ว
พราวยืนทำหน้าหน้าเครียดอยู่หน้าบ้านพราวแสง ครู่หนึ่งสมชายก็เดินเข้ามา
“ผมมารับไปส่งคอนโด”
เธอหันมามองอย่างอึดอัดใจที่ไม่สามารถไปทำหน้าที่ตัวเองได้
“น่าสงสารนะ ซูเปอร์สตาร์พราวต้องซ่อนตัว เหมือนเจ้าหญิงบนหอคอยใช้ให้คนอื่นไปทำหน้าที่แทน ทั้งที่ร่างกายก็ไม่ได้เจ็บได้ป่วยอะไร”
สมชายพยายามพูดปลอบ “ร่างกายคุณอาจจะพร้อม แต่ใจคุณไม่พร้อม เชื่อผู้จัดการคุณเถอะ”
“สรุปว่าร่างกายฉันไม่เป็นอะไร แต่ใจฉันป่วย”
“อย่าดื้อน่า ลืมที่ตัวเองพูดแล้วเหรอ ถึงคุณจะเป็นซูเปอร์สตาร์ คุณก็ไม่ใช่เทวดา ไม่ได้มีชีวิตสมบูรณ์แบบทุกอย่างหรอก”
พราวหน้าจ๋อยลงทันที
“งั้นฝากดูแลมีนด้วยนะนายสมชาย อย่าให้เค้าเป็นอะไรไป เพราะรับเคราะห์แทนฉัน”
“คุณไม่ต้องห่วง ผมจะดูให้อย่างดี จะทะนุถนอม ยิ่งกว่าดูแลคุณซะอีก”
สมชายแกล้งพูดยั่ว พราวหันมามองค้อน
“ก็แล้วแต่นะ”
พลางเดินหน้าเหวี่ยงผ่านหน้าไป สมชายยิ้มพอใจที่ทำให้พราวหึงได้
ขณะที่พราวตัวจริงร่างกายพร้อม แต่จิตใจไม่พร้อม พราวตัวปลอมกลับตรงกันข้าม เพราะถึงมีนจะจิตใจพร้อม แต่ร่างกายกลับไม่เอื้ออำนวย เอาแต่คลื่นไส้พะอืดพะอมอาเจียนอยู่ในห้องน้ำ ก่อนจะพยายามแข็งใจ
รวบรวมพลังเปิดประตูออกมา แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเจอแม่แก้วยืนดักรออยู่ที่หน้าห้องน้ำ
“เป็นอะไรรึเปล่ามีน ตื่นมา เห็นเข้าออกห้องน้ำหลายครั้งแล้ว”
มีนจำใจต้องพูดปด “ท้องเสียนิดนึงอ่ะแม่แก้ว แต่ตอนนี้หายแล้วจ้ะ”
“ไปทำงานให้คุณแฟรงค์ไหวนะลูก ไม่ไหวก็ปฏิเสธเค้าไป”
“ไหวซิแม่ มีนไหว”
แม่แก้ว ฝืนยิ้ม สีหน้าเหมือนมีอะไรในใจ จนมีนต้องเป็นฝ่ายย้อนถาม
“แม่แก้วน่ะ มีอะไรรึเปล่า หน้าตาไม่ค่อยสบายเลย”
“โต้น่ะลูก เช้านี้อาการไม่ค่อยดีเลย นอนตัวเกร็ง แม่กลัวจะชักอีก”
มีนถอนหายใจด้วยความเป็นห่วง
“พาส่งโรงพยาบาลเลยแม่แก้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินนะ มีนมี มีนเก็บไว้แล้ว นะแม่นะ เห็นท่าไม่ดีส่งโรงพยาบาลเลย มีนสายแล้ว ต้องรีบไป เสร็จงานแล้วมีนจะรีบกลับ”
มีนเปิดลิ้นชักในห้องนอน พลางเปิดกล่องที่เก็บเงินจากการทำงานแทนพราว ซึ่งมีเงินที่เก็บไว้ราวแสนกว่าบาท จากนั้นก็หยิบเงินทั้งหมดใส่ซอง แล้วรีบคว้ากระเป๋าจะออกไป จังหวะนั้นแมนก็เข้ามาพอดี
“อ่ะนี่เงิน เอาให้แม่แก้วพาโต้ไปหาหมอนะ”
แมนมองหน้าพี่สาวอย่างเป็นห่วง “พี่มีนกำลังไม่สบายมากใช่ไหม ?”
มีนไม่ตอบ รีบยัดซองเงินใส่มือแมน
“เอาเงินนี่ไป ถ้าหมอจะรักษาโต้ยังไง ก็ให้เค้าทำไปเต็มที่เลย ถ้าเงินไม่พอ พี่หามาให้อีกได้ พี่ไปล่ะ”
มีนเดินจะผละมา แมนรีบพูดไล่หลัง
“แล้วตัวพี่เองล่ะ พี่จะรักษาตัวเองยังไง อาการพี่เป็นมากขึ้นทุกวัน ผมเห็นนะว่าพี่อ้วก พี่ต้องการหมอนะพี่มีน พี่ต้องการการรักษา คุณสุดเขตต์เค้ารู้มั้ยว่าพี่ไม่สบาย ?”
มีนตกใจหันขวับมา
“อย่าบอกคุณสุดเขตต์นะแมน”
“เค้าเป็นแฟนพี่ เค้าควรจะรู้นะพี่”
มีนส่ายหน้า “เค้ารู้ไม่ได้ พี่อยากให้เค้ามีความสุข ไม่อยากให้เค้าต้องมาทุกข์เพราะพี่ เข้าใจมั้ย”
พูดจบก็รีบหันเดินออกไป ทิ้งให้แมนยืนกำซองเงินมองตามพี่สาวด้วยความสงสาร
มีนแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ในชุดของพราวก้าวเดินออกจากประตูห้องคอนโดมากับสมชายและแฟรงค์ ทิ้งให้พราวตัวจริงเก็บตัวอยู่ในห้องกับเอมี่
ฟากส้มจี๊ดที่ยังนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาล ก็หงุดหงิดใจ เมื่อรู้จากทีมงานว่าสุดเขตต์โผล่ไปที่กองละคร “อโยธยา” แล้ว
สุดเขตต์ที่กำลังถ่ายภาพบรรยากาศในกอง ถึงกับต้องลดกล้องลง เมื่อได้ยินเสียงกลุ่มนักข่าวฮือฮาอยู่ข้างหลัง ทันทีที่เห็นรถตู้หรูของแฟรงค์แล่นเข้ามาจอด
สมชายสวมแว่นเรย์แบนด์ลงจากรถมาเป็นคนแรก จากนั้นก็ถอดแว่นออก แล้วหันมากำชับนักข่าว ที่วิ่งกรูเข้ามา
“ขอความกรุณาคุณพี่นักข่าวทุกท่าน เพื่อความปลอดภัยของคุณพราว ผมในฐานะบอดี้การ์ด
ขอความร่วมมือนะครับ อย่าเข้าใกล้คุณพราวในระยะประชิดตัวเด็ดขาด เว้นระยะไว้สองสามช่วงตัวนะครับ ไม่อย่างนั้นอาจจะเจอมือไม้ผมผลักผมดันออกไปโดยไม่ตั้งใจ จะโกรธเคืองไม่พอใจกันเปล่าๆ เข้าใจนะครับ ขอบคุณครับ”
ขาดคำแฟรงค์ก็พามีน ที่สวมบทบาทเป็นพราวก้าวลงมาจากรถตู้ นักข่าวรุมถ่ายรูปและยิงคำถามเรื่องแฟนคลับโรคจิต ระหว่างนั้นสายตามีนภายใต้แว่นกันแดด ก็มองไปสุดเขตต์ที่ยืนอยู่ด้านหลังกลุ่มนักข่าว เขาแอบส่งยิ้มให้
สมชายมองตามสายตาเห็นสุดเขตต์มองมา ก็พยักหน้าทักทายกัน ส่วนแฟรงค์ก็รีบพูดตัดบท
“เย็นไว้หนู เก็บความอยากไว้ก่อนนะ รอให้พราวไปแต่งตัวให้เสร็จเรียบร้อยซะก่อน เจ๊สัญญาจ้ะ จะจัดโต๊ะแถลงข่าวตอบข้อข้องใจทุกประเด็น ขอทางนะจ๊ะขอทาง”
สมชายเข้าไปโอบประกบพราวทำหน้าที่บอดี้การ์ดทันที
จันทร์จรีกำลังแต่งตัวอยู่ในชุดนางร้ายไส้ศึก เห็นสมชายพามีน และแฟรงค์เข้ามาส่งในซุ้มแต่งตัว ก็ทำเป็นแสร้งเป็นห่วงลุกเดินเข้าไปหา
“อุ๊ยตายพราว เป็นไงบ้างอ่ะ ได้ข่าวว่าถูกแฟนคลับไล่แทงเอาเหรอ”
สมชายเห็นจันทร์จรีปรี่เข้ามาหา ก็ออกมายืนขวางไว้
“อย่ามาเข้าใกล้คุณพราว ถ้าผมไม่อนุญาต ผมเตือนไว้ซะก่อน”
แฟรงค์ยิ้มพอใจที่เห็นจันทร์จรีหน้าเสีย
“อะไรยะ ขู่เหรอ ฉันอุตส่าห์เป็นห่วงซุปเปอร์สตาร์เบอร์1ของเมืองไทยนะมีแฟนคลับเป็นล้าน แต่เกือบจะมาตายเพราะน้ำมือแฟนคลับของตัวเอง มันน่าสมเพช”
แฟรงค์ทนไม่ไหว ปราดเข้ามายืนเท้าเอวจ้องหน้า
“ฉันว่าหล่อนนั่นแหละที่น่าสมเพช นังงูกำพร้า ไม่มีใครดูแลอบรมสั่งสอน ถึงได้เที่ยวฉก เที่ยวกัดๆ
คนอื่นไปทั่ว”
จันทร์จรีสวนกลับ “ก็ยังดีกว่าอีงูแก่ผิดเพศก็แล้วกัน”
ทั้งคู่ปราดจะเข้าตบตีกัน จนมีนต้องมาดึงห้ามไว้ ก่อนจะพูดปรามในบทบาทของพราว
“พอเถอะพี่แฟรงค์ ทำงานดีกว่าค่ะ อย่าเสียเวลาไปทะเลาะด้วยเลย”
พลางดึงแฟรงค์ผละไปยังเก้าอี้ส่วนตัว
“ผมจะอยู่ข้างนอกนะครับ เตรียมพร้อมเสมอ ถ้าเห็นมีอะไรผิดปรกติ เรียกผมทันที”
สมชายพูดจบก็เดินออกไป จันทร์จรีแอบเบ้ปาก
“อีคู่ลวงโลก ต่อหน้าคนอื่นบอกไม่มีอะไรกัน ลับหลังยังแอบกินตับกันอยู่ แล้วยังด้านมายุ่งกับคุณติณห์ของฉันอีกอย่าให้กูมีโอกาสนะมึงอีพราว จะจัดให้หนักยิ่งกว่าไอ้แฟนคลับโลกจิตนั่นอีก”
สมชายเดินสำรวจไปรอบๆกองถ่าย พลางมองอย่างระแวดระวังภัย ขณะเดียวกันสุดเขตต์ที่ทำทีเป็นกำลังส่องกล้องเหมือนกับถ่ายรูป แต่จริงๆ แล้วก็กำลังเดินสำรวจระแวดระวังไม่ต่างกัน ทั้งคู่หันมายิ้มให้กันอย่างเป็นมิตร
“หวังว่าวันนี้คงถ่ายทำราบรื่น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ”
สุดเขตต์พยักหน้ารับ “ผมก็หวังว่าอย่างนั้นครับ”
ติณห์กำลังเปิดภาพจากหนังสือพิมพ์ เป็นรูปตอนที่เขาสวมแหวนหมั้นให้พราว
“จำแหวนวงนี้ได้ใช่ไหมตรี แหวนหมั้นที่น้องตั้งใจไปขอผู้หญิงคนนั้นแต่งงานด้วยความรักแท้ แต่เค้ากลับโยนมันทิ้งอย่างไม่แยแส ทำให้น้องต้องเสียใจ ตกอยู่สภาพตายทั้งเป็นแบบนี้ ตอนนี้พี่จัดการให้แหวนวันนี้ไปอยู่บนนิ้วผู้หญิงเลวคนนั้นสมใจตรีแล้ว”
พูดพลางก้มมองหน้าน้องชายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง พลางกำมือขยำหนังสืออย่างสุดแค้น
“แล้ววันนี้ ผู้หญิงคนนั้นจะได้สวมแหวนวงนี้ชดใช้กรรมที่ทำไว้กับตรี”
พราว ตอนที่ 13 (ต่อ)
มาโนชปลอมตัวมาอยู่ในกองถ่าย กำลังทาใต้ตาดำๆ อำพรางหน้าตาให้เหมือนนักแสดงตัวประกอบคนอื่นๆ สมชายกับสุดเขตต์เดินผ่านมามอง แล้วก็เดินเลยไป พร้อมๆ กับแววตามาโนชที่วาวโรจน์
จันทร์จรีทำหน้าเซ็ง เมื่อรู้ว่าทีมงานจะจัดให้พราวแถลงข่าวก่อนจะเริ่มถ่ายทำ พอธุรกิจกองเดินออกไป แฟรงค์ทนไม่ไหว ก็แกล้งเดินตามเข้ามาที่ด้านหลัง ทำเป็นยิ้มหวานกระซิบที่ข้างหู
“เอาม่ะ เดี๋ยวเจ๊จะช่วยหาประเด็นทำข่าวหล่อนให้ดังแข่งกับข่าวพราวให้”
จันทร์จรียิ้มเชิด “ข่าวไรไม่ทราบ ?”
“ข่าวคุณตรีไง ตอนที่หล่อนเป็นพริตตี้แล้วยอมพลีกายให้เค้า เพื่อหลอกให้เค้าพามาฝากฉันดันหล่อนเข้าวงการ แล้วหล่อนก็ถีบหัวเค้าทิ้งไง”
จันทร์จรีตกใจลุกพรวดหันมาจ้องหน้าแฟรงค์
“คิดจะแฉฉันเหรอ ?”
“เรื่องแฉเด็กเก่าในสังกัด เจ๊ไม่เค๊ยไม่เคย แต่หล่อนอาจเป็นผู้โชคดีคนแรก ถ้ายังไม่หยุดคัน เจ๊ก็จำเป็นต้องช่วยเกาให้”
จันทร์จรีกำมือแน่น อยากจะกรีดร้องใจแทบขาด
มีนเปลี่ยนเสื้อผ้ามาใส่ชุดที่จะเข้าฉากเสร็จแล้ว กำลังจะออกจากซุ้มกั้นที่ทำเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าจะเดินกลับไป แต่ตาเหลือบมองผ่านรอยต่อซุ้มผ้า เห็นสุดเขตต์กำลังเดินเหมือนตรวจตราอยู่ข้างนอกหลังเต็นท์แต่งตัว
ก็อมยิ้ม พร้อมทั้งแอบแหวกซุ้ม เรียกออกไปเบาๆ
“คุณสุดเขตต์”
สุดเขตต์หันมองซ้ายขวา ไม่เห็นใครก็เดินเข้าไปหา พร้อมกับจับมือมีนไว้
“ไม่สบาย ปวดหัว หายหรือยังครับ ?”
“หายแล้วค่ะ”
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต่อ เสียงแฟรงค์ก็ดังแทรกขึ้นมา
“เปลี่ยนชุดเสร็จหรือยังจ้ะหนู ?”
มีนหันไปมองแฟรงค์ที่เดินเข้ามา โดยที่มือยังแอบจับอยู่กับสุดเขตต์ด้วยความคิดถึง
“เสร็จแล้วค่ะ”
“งั้นก็เตรียมตัวนะ เราต้องออกไปแถลงข่าวกัน เจ๊จะเป็นคนคนพูดเอง หนูนั่งเฉยๆ แล้วเจ๊จะคอยส่งให้หนูตอบเท่าที่จำเป็นเท่านั้น”
มีนรีบรับคำ “ค่ะพี่”
“งั้นไปเร็ว เดี๋ยวนังจรีมันจะวีนเอาได้ว่าเราใช้อภิสิทธ์ ทำให้กองถ่ายล่าช้า”
แฟรงค์รีบเดินนำไป มีนดึงมือกลับจากมือสุดเขตต์ รู้สึกว่ามีอะไรติดมือมา เธอแบมือมอง เห็นเป็นตัวหนังสือเขียนไว้ในฝ่ามือว่า “รัก” เธอก็แอบยิ้มอย่างสุดแสนประทับใจ
กองทัพนักข่าวมาออกันอยู่หน้าโต๊ะแถลงข่าว พลางพากันยกกล้อง ยกมือถือถ่ายรูปพราวที่นั่งอยู่ข้างๆแฟรงค์ โดยมีสมชายคอยยืนคุ้มกันอยู่ใกล้ๆ ขณะที่สุดเขตต์ยืนรวมอยู่ในกลุ่มนักข่าว
แฟรงค์ยกรูปประกาศจับประเสริฐที่ตำรวจออกหมายขึ้นโชว์ให้นักข่าวดู
“นี่ฮะนายประเสริฐ ที่พยายามจะทำร้ายพราว”
นักข่าวรีบยิงคำถามต่อทันที “คุณพราวเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่าคะ?”
แฟรงค์หันไปมองมีน ในคราบของพราว ก่อนจะพยักหน้าอนุญาตให้ตอบ
“ไม่เลยค่ะ พราวไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้จักสนิทสมเป็นการส่วนตัวกับคนๆนี้มาก่อน”
“ข่าวว่าเค้าเป็นแฟนคลับโรคจิตจริงๆ รึเปล่าคะ?”
แฟรงค์รีบตอบแทน
“อันนี้ก็ไม่ทราบได้ ต้องให้จับตัวได้ซะก่อน แล้วพวกพี่ๆ น้องๆ นักข่าวอย่าลืมถามเค้าให้ด้วยนะฮะ ว่าจิตหรือไม่จิต ตอนนี้ทางตำรวจได้ออกหมายจับนายคนนี้แล้ว จำหน้าไว้นะฮะ พี่ๆ น้องๆ นักข่าวช่วยเป็นหูเป็นตาให้ด้วย เกิดเห็นหมอนี่มาป้วนเปี้ยนอยู่ในกองถ่าย ก็รีบแจ้งบอดี้การ์ดสมชายคนนี้เลยนะฮะ”
มาโนชแอบซุ่มอยู่ห่างๆ มองไปยังโต๊ะแถลงข่าว เห็นทุกคนพากันไปสนใจการแถลงข่าวกันหมด ก็ยิ้มพอใจ ที่โอกาสลงมือมาถึงแล้ว
ขณะที่ทีมงานกำลังประกอบอุปกรณ์ทำระเบิดเอฟเฟ็กต์อยู่ มาโนชก็ค่อยๆ เดินย่องเข้ามาซุ่มแอบดู
ครู่เดียวก็เห็นทีมงานอีกคนเข้ามาตาม
“ผู้กำกับเรียกมึงแน่ะ”
ทีมงานเงยหน้าจากกองอุปกรณ์ “ทำไมว่ะมึง?”
“ก็ไปวางจุดฝังเอฟเฟ็กต์ระเบิดดิ เค้าเซ็ตฉากเพิงไม้เสร็จแล้ว ไปๆ วางไว้ก่อน”
ทีมงานจำใจต้องวางมือ แล้วลุกเดินตามไป
มาโนชรีบออกมาจากที่ซ่อน ตรงมาที่รถทันที พลางมองลูกดินเหนียวระเบิดที่ทำค้างอยู่ เพราะตั้งใจจะเทดินปืนที่ทำให้ระเบิดจริงๆ ลงไปแทนดินประสิว
จันทร์จรีเดินหงุดหงิดผ่านมา เห็นตัวประกอบแต่งตัวเป็นทหารพม่าทำท่าทางลับๆ ล่อๆอยู่ที่รถทำเอฟเฟ็กต์ ก็เพ่งมองอย่างแปลกใจ
ก่อนจะเดินย่องใกล้เข้าไปมองจ้องจับผิด และแล้วก็มองเห็นหน้าเต็มๆ
“คนขับรถของคุณติณห์นี่ มาทำไรอ่ะ”
ครู่หนึ่งมาโนชก็เดินผละไป จันทร์จรีชะเง้อมองตามอย่างสงสัย พลางรีบเดินหลบมากดมือถือหาติณห์
“ฮัลโหล รู้มั้ยคะคุณติณห์ จรีเจอใครที่กองถ่าย ?”
“ใครเหรอ ?”
“คนขับรถของคุณ”
ติณห์หัวเสียขึ้นมาทันที ที่มาโนชดันเผลอทำให้จันทร์จรีเห็น
“คุณเห็นมาโนชทำอะไร ?”
“เค้ามาเป็นตัวประกอบได้ไงไม่รู้ ไปยืนทำลับๆ ล่อๆอยู่ที่รถทำเอฟเฟ็กต์ ไม่น่าไว้ใจเลย คุณติณห์จะให้จรีทำยังไงดีคะ โทร. แจ้งตำรวจไหม?”
แต่ติณห์ตอบกลับมาด้วยเสียงเข้ม “สิ่งที่คุณต้องทำคืออยู่เฉยๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น”
จันทร์จรีตกใจ “นี่คุณรู้เหรอคะว่าเค้ามา หรือว่าคุณเป็นคนส่งเค้ามา?”
“คุณไม่ได้ยินที่ผมสั่งเหรอ ว่าให้อยู่เฉยๆ” ติณห์ตะคอกกลับมา
“ดีมาก ขอให้เชื่อฟังผม ทุกอย่างจะดีเอง”
ติณห์วางสาย พลางหันมามองตรี
“ทันทีที่เริ่มนับ 5 4 3 2 แอ็คชั่น เราจะได้ยินข่าวดี”
ที่เต๊นท์ผู้กำกับ สมชาย สุดเขตต์ แฟรงค์ นักข่าวและทีมงานกำลังมุงดูการแสดงอยู่ที่จอมอนิเตอร์
ผู้กำกับยิ้มอย่างพอใจ กับบทบาทการแสดงของมีน ที่ทุกคนคิดว่าเป็นพราว
“ขนลุกซู่มากเลยอ่ะ มันเป็นอะไรที่อธิบายยากจริงๆ ไม่ต้องมีเลิฟซีน แต่มันสยิวกิ้วไปถึงก้านสมองเลย ฝีมือการแสดงของคุณพราวสุดยอดจริงๆ คุณแฟรงค์ สมแล้วกับตำแหน่งซูเปอร์สตาร์”
แฟรงค์รีบพยักหน้ารับ สีหน้าปลื้มปริ่มไม่แพ้กัน “ค่า แฟรงค์ก็สยิวกิ้วด้วย”
สมชายเหล่มองไปที่สุดเขตต์ ก็เห็นเขายิ้มปลื้ม สายตามองไปที่มีนตลอดเวลา
“ไอ้ตุ้ย ถ้าเทปผ่านแล้ว ให้คุณพราวไปพักก่อน รอถ่ายฉากระเบิดป่าเผากระท่อมกลางคืน แล้วไปตามคุณจันทร์จรีมาถ่ายซีนต่อไป”
ผู้กำกับสั่งการ
จันทร์จรีเดินครุ่นคิดอย่างไม่หายคาใจ ว่าติณห์กำลังทำอะไร ? และส่งมาโนชมาเพื่ออะไร ? พอธุรกิจกองถ่ายเดินเข้ามาตาม เธอจึงถึงกับสะดุ้ง
“ถึงคิวหนูแล้วจ้ะ”
“อ๋อ ค่ะๆ”
“หนูเป็นอะไรรึเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดีเลย”
จันทร์จรีรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่านี่คะ ไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวหนูตามออกไปค่ะ”
พลางมองสำรวจหน้าตาตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะหันเดินออกไป สวนกับมีนที่เดินเข้ามาพร้อมกับ
แฟรงค์
มีนแอบถอนหายใจ รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจเลยที่ต้องมาทำงานร่วมกับจันทร์จรี
จันทร์จรีเดินมาจะไปยังมุมที่ถ่ายทำ ผ่านมุมเซ็ตฉากเป็นเพิงที่พัก เห็นทีมงานกำลังฝังเอฟเฟ็กต์ตามต้นไม้ ที่พื้นดินกันอยู่
“โทษค่ะ เซ็ตอะไรกันอยู่เหรอพี่ ?”
“ฝังเอฟเฟ็กต์ระเบิดน่ะครับ เอาไว้ถ่ายซีนระเบิดเผาเพิงนี่”
จันทร์จรีตกใจ เพราะเห็นมาโนชไปป้วนเปี้ยนอยู่แถวรถที่ทำระเบิดพวกนั้น
“ว้าย ระเบิดเหรอ”
“อ๋อ ไม่ใช่ระเบิดจริงหรอกครับ มันมีแค่ไฟปะทุขึ้นมาเฉยๆ เป็นไฟเย็นเหมือนพลุน่ะครับ รับรองไม่เป็นอันตราย”
“งั้นก็โล่งอก ขอบคุณค่ะ”
จันทร์จรีรีบเดินผละออกมา พร้อมทั้งหลับตานึกถึงภาพเหตุร้ายแรงในการถ่ายซีนนั้น
“ โชคดีที่ไม่มีฉันร่วมซีนกับนังพราวในฉากนั้น คืนนี้ เงาหัวขาดแล้วนังพราว”
พราวในบทบาทของแม่หญิงแก้วเจ้าจอมกำลังนอนหลับอยู่ในเพิงที่พักที่นักรบคู่ใจทั้ง 5 คนปลูกให้ชั่วคราว เงาตะคุ่มของทหารพม่าโพกหัวคนหนึ่งแอบเข้ามาในเพิงอย่างเงียบกริบ มันชักมีดปาดตาลที่เหน็บเอวออกมา คมมีดแวววับในความมืดส่องแสงไปที่หน้า มันตรงมาที่แม่หญิงแก้ว พลางมองและยิ้มอย่างหื่นกระหาย ก่อนจะกระชากผมแม่หญิงขึ้นมา พร้อมกับเงื้อมีดจะแทง
แม่หญิงตกใจตื่นลืมตาโพล่งขึ้นมา เห็นเป็นหน้าประเสริฐก็กรีดร้องลั่น
พราวสะดุ้งตื่นจากที่นั่งผล็อยหลับไปที่โซฟาตัวใหญ่ เอมี่ที่กำลังอุ่นอาหารสำเร็จรูปอยู่ในครัวตกใจวิ่งออกมาทั้งผ้ากันเปื้อน
“เป็นอะไรอ่ะพราว?”
พราวหายใจหอบ
“ฉันฝันไปน่ะ เห็นตัวเองแสดงอยู่ในฉาก แล้วก็เห็นแฟนคลับคนนั้นบุกเข้ามาแทงฉันด้วยมีด”
“ไอ้ประเสริฐนั่นน่ะเหรอ แหม ไอ้นี่ ตามรังควาญแม้กระทั่งในฝัน เมื่อไหร่ตำรวจจะจับๆตัวมันได้ซะทีนะ”
สีหน้าพราวเป็นกังวล “มันอาจจะแอบตามฉันไปที่กองถ่าย แล้วทำร้ายมีน เพราะคิดว่าเป็นฉันก็ได้นะแก”
“ไม่หรอกแก คิดมากน่า บอดี้การ์ดสมชายก็อยู่ทั้งคน คราวนี้เค้าคงไม่ยอมให้มันหนีรอดเงื้อมมือไปได้แน่ๆ “
เอมี่พยายามพูดปลอบแต่พราวก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ สังหรณ์ใจบางอย่าง
“คืนนี้ถ่ายฉากใหญ่ มีบู๊ มีระเบิดด้วย ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง”
“ห่วงมีนเหรอ ?”
พราวถอนหายใจ “แกคิดว่าฉันรู้สึกดีมากนักเหรอ ที่ส่งคนอื่นไปเสี่ยงตายแทนตัวเองน่ะ”
“แกไว้ใจบอดี้การ์ดสมชายเถอะน่า เค้าคงดูแลมีนได้อย่างเซฟตี้และอบอุ่นเหมือนกับดูแลแกยังไงยังงั้นเลยแหละ เผลอๆ นายสมชายอาจจะลืมตัวคิดว่ามีนเป็นคนๆ เดียวกับพราวก็ได้นะ”
เอมี่พูดไปโดยไม่ทันคิด พราวนิ่วหน้าเครียด รู้สึกหึงขึ้นมาทันที
สมชายยืนมองมีนกำลังยืนซักซ้อมบทอยู่หน้าฉากเพิงพักกับผู้กำกับผู้ช่วยนักแสดงและตัวประกอบทุกคน เขากวาดสายตามองสำรวจไปทั่วบริเวณ ก็ไม่พบใครมีพิรุธน่าสงสัย
สักพักใหญ่สุดเขตต์ก็เดินเข้ามายืนข้างๆ
“มีอะไรมั้ยครับ สถานการณ์ มีวี่แววว่าไอ้แฟนคลับโรคจิตกับไอ้เจ๋งจะแฝงตัวเข้ามาในกองถ่ายบ้าง
มั้ย ?”
สมชายส่ายหน้า “ผมยังไม่ได้กลิ่นมันเลย คิดว่าไอ้เจ๋งคงไม่มาลงมือในสถานที่คนยั้วเยี้ยแบบนี้ พฤติกรรมของไอ้โฉดนี่ มันชอบทำตัวเป็นหมาล่าเนื้อซุ่มโจมตีแบบไม่ตั้งตัว แล้วตามไล่ล่าเหยื่ออย่างสะใจ ก่อนลงมือขย้ำ”
สุดเขตต์ฟังแล้วสยอง
“เหยื่อที่ว่าของมัน คือผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างคุณพราวนะครับสารวัตร จะเอาอะไรไปสู้กับมันได้ ต่อให้เจอ กับเอ่อ คุณมีนก็เหมือนกันไม่มีทางเอาตัวรอดได้หรอก”
“แต่ถ้าไม่ประมาทซะอย่าง มันก็ไม่มีทางเข้าใกล้สาวๆ ของเราได้หรอกคุณ”
“สาวๆของเรา ?”
สุดเขตต์ยิ้มขำ สมชายรีบเปลี่ยนเรื่องพูด
“ส่วนไอ้ประเสริฐแฟนคลับโรคจิต ผมเดาใจมันไม่ถูก ว่ามันจะผลุบโผล่มาแบบไหน ยังไง เมื่อไหร่?
แต่หวังว่าคงไม่ใช่วันนี้”
แฟรงค์เข้ามาเห็นทั้งคู่ยืนคุยกันก็แปลกใจ
เสียงผู้กำกับตะโกนสั่ง
“เอานะ นักแสดงพร้อมแล้ว ทุกคนพร้อมนะ”
สมชาย สุดเขตต์ และแฟรงค์รีบหันมองไปที่ฉาก
แม่หญิงและนักรบทั้ง 5 คน พากันก้มหลบ ระเบิดถูกทหารพม่าเจ็บ และล้มลงตายกันเอง นายเรืองเห็นอย่างนั้นเลยตะโกนบอก
“ไอ้กล่ำ ไอ้ฉิม พาแม่หญิงหนีไป ทางนี้ข้ากับไอ้พันไอ้มาจะสู้กับมันเอง”
แต่แม่หญิงไม่ยอม “ไม่ ข้าไม่ไป ข้าจะอยู่สู้กับเจ้า”
“ไปเถอะแม่หญิง ไม่ต้องห่วงข้า ตามสัญญา ถ้าข้าไม่ตายเสียก่อน ข้าจะไปหาแม่หญิงที่นัดหมาย
ไอ้กล่ำไอ้ฉิม พาแม่หญิงไป ได้ยินไหม ข้าบอกให้ไป”
นายเรือง นายพัน จู่โจมขวางสู้กลับทหารพม่าไม่ให้ตามแม่หญิงไป ขณะที่นายกล่ำ นายฉิมช่วยกันพาแม่หญิงวิ่งหนีไป
จากนั้นตามบทพวกพม่าจะต้องโยนระเบิดลงมาที่เพิงอีกลูก
ช่างเอฟเฟ็กต์กดสวิชต์ช่วยทำให้ระเบิดและเกิดไฟลุกขึ้นที่เพิงตามคิว
นายกล่ำนายฉิมพาแม่หญิงวิ่งหนีมา โดยมีพวกทหารพม่าโยนระเบิดตามหลังมา ทุกลูกล้วนเป็นลูกที่เป็นระเบิดปลอม มีแค่แสงไฟ
ทว่า 2 ลูกหลังที่โยนมา พอตกพื้นแล้วก็ระเบิดตูมๆ เสียงดังสนั่น ข้าวของแถวนั้นกระจัดกระจายด้วยแรงอัดระเบิด ทำเอาทั้งกองถ่ายตกใจก้มหลบ ผู้หญิงกรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ
สมชาย สุดเขตต์ แฟรงค์ที่ยืนดูอยู่ห่างๆ รีบล้มตัวก้มหลบตามสัญชาติญาณ
สมชายมองไปในฉาก เห็นตัวประกอบพม่าคนหนึ่งนอนเลือดท่วมได้รับบาดเจ็บ
“ระเบิดจริงนี่หว่า”
พลางรีบกระโจนลุกวิ่งตรงไปหามีนพร้อมกับตะโกนสั่งไปที่ตัวประกอบพม่าที่ทำหน้าที่จุดโยนระเบิดที่ดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัว
“อย่าจุด หยุด ระเบิดจริง”
แต่ช้าไป ตัวประกอบจุดและโยนระเบิดลูกหนึ่งมาแล้ว
ระเบิดลอยมา สมชายรีบวิ่งถลาเข้าไปหามีนที่ทรุดตัวอยู่กับพื้น
จันทร์จรีรีบวิ่งมาจากซุ้มแต่งตัว มาแอบมองลุ้น
“ขอให้เจอ ขอให้โดน นังพราว”
มาโนชที่ยังอยู่ในชุดตัวประกอบพม่า แอบโผล่มามองอยู่ที่มุมมืด รอดูผลงานตัวเอง
สมชายวิ่งไปถึงตัวมีน พลางตะโกนบอกนักแสดงทุกคนที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น
“กระโดด”
ขาดคำ ทุกคนก็กระโดดหนีไปคนละทิศละทาง ขณะที่สมชายก็เข้ามาโอบพามีนล้มกลิ้งไปกับเนิน
เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
ก้อนดินเหนียวร่วงลงพื้นแล้วระเบิดตูม แรงระเบิดทำเอาทุกคนก้มหลบราวกับอยู่ในสนามรบ แม้แต่จันทร์จรีที่อยู่มุมไกล ยังต้องก้มหลบอยู่หลังต้นไม้
สิ้นเสียงระเบิด ควันฝุ่นคลุ้งไปทั่วบริเวณ ข้าวของเสียหาย ทุกอย่างเงียบราวกับเป็นป่าช้า
สุดเขตต์รีบลุกขึ้นวิ่งตรงไปยังเนินที่สมชายพามีนกลิ้งหลบระเบิดลงไป แฟรงค์ลุกวิ่งตามพลางตะโกนด่าลั่น
“อะไรกันยะเนี่ยะ เล่นระเบิดจริงกันเลยเหรอกองถ่ายนี้ จะบ้าหรือไง”
ผู้กำกับ ทีมงาน และทีมเอฟเฟ็กต์ตกใจหน้าซีดกันเป็นแถว
สมชายตระกองกอดมีนที่เป็นลมหมดสติอยู่
“พราว พราว คุณอย่าเป็นอะไรไปนะ”
อารามตกใจ เขาลืมไปเสียสนิทว่าคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขานั้น คือมีนไม่ใช่พราว !!
สุดเขตต์กับแฟรงค์ยืนอึ้งมองภาพนั้น ด้วยความห่วง นักข่าวที่วิ่งตามมาดูพากันถ่ายรูปไว้ จันทร์จรีตามเข้ามาดู พลางนึกลุ้นให้พราวมีอันเป็นไป
แต่แล้วมีนก็ได้สติลืมตาขึ้นมองหน้าสมชาย
“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ บอดี้การ์ดสมชาย”
สมชายยิ้มออก ขณะที่แฟรงค์แทบลมใส่ จันทร์จรีแอบผิดหวังที่เห็นพราวไม่เป็นอะไร
สมชายเงยหน้ามองเห็นสุดเขตต์มองอยู่ ก็ได้สติว่าคนที่ตัวเองกำลังกอดอยู่นั้นไม่ใช่พราวแต่เป็นมีน จึงค่อยๆ คลายอ้อมแขนออก
“ผมว่ารีบพาคุณพราวไปหาหมอดีกว่าครับ”
มีนหันมามองสุดเขตต์ เห็นความเป็นห่วงฉายชัดในดวงตาเขา
แฟรงค์รีบปรี่เข้าไปหามีนด้วยความเป็นห่วง ขณะที่มาโนชรีบหลุบหนีหายไปกับความมืด
แฟรงค์ประคองมีนเดินกลับเข้ามาในซุ้มแต่งตัว โดยมีสมชายเดินตามมาด้วยความเป็นห่วง ขณะที่
สุดเขตต์ยืนชะเง้อๆ มองอยู่ด้านนอก
“ไหวหรือเปล่าหนู ไปหาหมอก่อนดีกว่าเชื่อเจ๊”
มีนส่ายหน้าช้าๆ “หนูไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะพี่แฟรงค์”
สมชายรีบพูดแทรกขึ้นมา
“แต่เมื่อกี้คุณหมดสติไปนะ แรงอัดของระเบิดอาจจะทำให้สมองคุณกระทบกระเทือนได้”
“นั่นน่ะซิ ไปหาหมอเถอะหนู อย่าชะล่าใจ เซฟชีวิตตัวเองไว้ก่อน”
มีนถึงกับอึ้งไป ถ้าเธอไปหาหมอให้ตรวจสมอง ทุกคนต้องรู้เรื่องอาการป่วยของเธอแน่
“หนูก็แค่ตกใจ แล้วก็มึน หูอื้อเพราะเสียงระเบิด สมองไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรหรอกค่ะพี่แฟรงค์”
“แต่ผมจะปล่อยให้คุณกลับบ้านทั้งยังงี้ไม่ได้ ทางกองถ่ายต้องรับผิดชอบ”
สมชายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่มีนกลับทำท่าโชว์ให้เห็นว่าเธอไม่เป็นอะไรจริงๆ พลางบอกให้สมชายออกไปดูแลคนเจ็บด้านนอก
สมชายเดินออกมาเจอสุดเขตต์ยืนรออย่างร้อนใจอยู่ข้างนอก
“ไม่ต้องห่วง คุณมีนบอกว่าไม่เป็นไร”
สุดเขตต์ถอนหายใจโล่งอก แต่ก็ยังไม่หายข้องใจ
“ระเบิดครั้งนี้ สารวัตรคิดว่าเป็นอุบัติเหตุหรือจงใจ”
“ผมไม่อยากคิดไปเอง ขอไปตรวจสอบหลักฐานดูก่อน”
“แต่คุณมีนเกือบจะตายนะครับ ถ้าคุณไม่เข้าไปช่วยไว้ได้ทัน ผมมั่นใจว่ามีคนจงใจจะทำร้ายคุณพราวด้วยระเบิด”
สมชายขบกรามแน่น “ถ้ามันจริงอย่างที่คุณพูด ไอ้คนที่ทำ มันชั่วมาก ถึงขั้นใช้ระเบิดกับผู้หญิงไม่มีทางสู้ มันไม่สนว่าใครจะโดนลูกหลงมั่ง ไอ้เลวเอ้ย”
ติณห์นั่งรอฟังข่าวอย่างใจจดใจจ่ออยู่ข้างเตียงของตรี ครู่หนึ่งมาโนชก็โทร. เข้ามือถือมา
“ไง สำเร็จไหม ? โว้ย”
เขาเขวี้ยงมือถือด้วยความโมโห พลางเท้าแขนทั้ง 2 ข้าง ลงกับเตียงของน้องชาย
“พี่ขอโทษตรี พี่ทำพลาดอีกแล้ว พี่ยังแก้แค้นให้น้องไม่สำเร็จ”
สมชาย กับแฟรงค์ ช่วยกันประคองพามีนกลับมาที่คอนโด พราวกับเอมี่รออยู่ด้วยความเป็นห่วง
หลังได้รับข่าวเรื่องระเบิดในกองถ่ายเมื่อคืน
“มีน ไม่เป็นไรนะ ?”
พราวรีบลุกเดินเข้าไปจับมือมีนด้วยความเป็นห่วง มีนยิ้ม แม้ร่างกายจะป่วย แต่จิตใจเข้มแข็งมาก
“ค่ะ มีนปลอดภัยดี”
“ขอบคุณมากนะมีน”
พราวสวมกอดมีน แล้วก็น้ำตาซึมอย่างตื้นตันใจ
“ขอบคุณที่ไปรับเคราะห์แทนฉัน เหมือนฉันส่งมีนไปเสี่ยงตายแทน”
แต่มีนกลับเป็นฝ่ายพูดปลอบใจพราว
“คุณพราวอย่าพูดอย่างงั้นซิ ใครจะไปรู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น แต่ถึงเมื่อคืนจะเป็นคุณพราวไปเอง มีนก็มั่นใจค่ะว่าคุณพราวจะปลอดภัย เพราะมีบอดี้การ์ดสมชายอยู่ใกล้ๆ “
สมชายทำหน้าไม่ถูก พราวมองไปที่สมชาย ทั้งคู่มองสบตากัน
“เมื่อคืนสารวัตรเป็นคนช่วยพามีนหนีระเบิด”
ขณะที่แฟรงค์เหล่มองอย่างไม่ค่อยปลื้ม แล้วรีบพูดเสี้ยมทันที
“ก็แหงล่ะ เห็นคุณบอดี้การ์ดกอดมีนซะกลม”
ทิ้งระเบิดจบก็เดินผละไป โดยมีสายตาสมชายมองอย่างไม่พอใจ
“แล้วอยู่ๆระเบิดปลอมๆ ทำเอฟเฟ็กต์ในฉาก กลายเป็นระเบิดจริงได้ยังไง? มันเป็นอุบัติเหตุ หรือว่า...” พราวพูดไม่ออก ก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่คอ พลางปรายตามองไปที่สมชายอย่างรอคอยคำตอบ
“เอ่อ เดี๋ยวผมจะ ค่อยๆ เล่าให้คุณฟังเอง”
มีนกลับมาอยู่ในชุดเดิมของตัวเอง ลบเครื่องสำอางออก เดินออกมาจากลิฟท์ แล้วอยู่ๆก็เกิดอาการวิงเวียน ตาพร่า มือเท้าอ่อนแรงขึ้นมา จนต้องรีบเกาะเสาพยุงตัวไว้ พร้อมกับที่แม่แก้วโทร. เข้ามือถือมาพอดี
“ฮัลโหล แม่แก้ว มีนเพิ่งถ่ายละครเสร็จน่ะจ้ะ กำลังจะกลับแล้ว”
“มีน ตอนนี้แม่อยู่โรงพยาบาลนะ”
มีนตกใจ “ใครเป็นอะไรแม่ ?”
“โต้ โต้”
แม่แก้วพูดได้แค่นั้น ก็ปล่อยโฮออกมา จนแมนต้องจับไหล่ปลอบใจ
มีนพยายามกัดฟัน ทั้งที่ตัวเองกำลังอ่อนแรง รีบออกมาจากคอนโด สุดเขตต์รีบลงจากรถที่มาจอดรอวิ่งมาพยุงไว้
“คุณไหวมั้ยครับ ก็บอกแล้วว่าไปให้หมอเช็ค คุณก็ดื้อ”
มีนพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ช่วยพามีนไปส่งโรงพยาบาลหน่อยค่ะ”
“เห็นมั้ย ถ้าไปหาตั้งแต่เมื่อคืน คุณก็ไม่ต้องมาป่วยแล้ว”
“มีนไม่ได้ไปหาหมอ มีนจะไปดูโต้ โต้เป็นลมชักกำเริบอาการแย่แล้ว”
มีนมาถึงโรงพยาบาล รีบเดินมาตามทาง แต่จู่ๆ เธอก็วูบไป สุดเขตต์ที่เดินไล่หลังตามมาติดๆ รีบวิ่งไปประคอง
“ มีน มีน”
มีนตัวอ่อนปวกเปียก หน้าซีดดเผือด จนเขาใจหายวาบ
มีนนอนอยู่บนเตียงกำลังถูกเข็นไป สุดเขตต์วิ่งตามอย่างสุดแสนเป็นห่วง ฝ่ามือข้างหนึ่งของเธอ ยังมีตัวหนังสือคำว่ารักที่เขาเขียนให้อยู่ เขาจับมือข้างนั้นไว้แน่น อย่างจะส่งผ่านความห่วงใยไปให้
พราว ตอนที่ 13 (ต่อ)
สุดผุดลุกผุดนั่ง รอฟังอาการของมีนอยู่ในห้องฉุกเฉิน ครู่หนึ่งแม่แก้วกับแมน ก็เดินเข้ามา ด้วยอาการร้อนใจ
“มีนล่ะ มีนอยู่ไหน มีนเป็นอะไรคุณสุดสุดเขตต์?”
“พอมาถึงโรงพยาบาล อยู่ๆมีนก็เป็นลมไปน่ะครับ ตอนนี้หมอกำลังดูอาการอยู่ในห้อง”
แม่แก้วถอนหายใจอย่างเป็นห่วง
“โถลูก ไปถ่ายละครหามรุ่งหามค่ำ กลับมาก็เช้า คงจะเหนื่อยมาก ข้าวปลาได้กินเต็มปากเต็มคำกับเค้าบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ ถึงได้หมดเรี่ยวหมดแรงเป็นลมอย่างนี้”
แมนได้ยินก็น้ำตาจะไหล อยากบอกเหลือเกินว่ามีนไม่ได้แค่เป็นลม แค่อาการย่ำแย่กว่านั้น สุดเขตต์รีบเล่าต่อ
“ก่อนหน้านี้ มีนก็มีอาการไม่ค่อยสบายอยู่แล้วนะครับ ปวดหัวแล้วก็เป็นลม”
“จริงเหรอคะ ทำไมแม่ไม่รู้เลยล่ะ?”
แม่แก้วหันมามองหน้าแมน ที่รีบก้มหน้าหลบตา
“หลบตาแม่อย่างงี้ แสดงว่ารู้ใช่มั้ยว่าพี่เราไม่สบาย ทำไมไม่บอกแม่ห่ะแมน?”
แมนอึกอัก “พี่มีน เอ่อ สั่งห้ามไม่ให้บอกใครนี่ครับ”
“ทำไมถึงใจร้ายกับแม่กันอย่างงี้นะ มีเรื่องอะไรก็ปิดกันอยู่นั่นแหละ ไม่ค่อยจะยอมบอก เห็นแม่เป็นอะไร”
แม่แก้วถึงกับน้ำตาคลอ จนสุดเขตต์ต้องรีบพูดปลอบ
“แม่แก้วครับ อย่าคิดมากซิครับ มีนคงเห็นว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็ไม่อยากทำให้แม่แก้วไม่สบายใจ”
“นี่เหรอคุณ ไม่เป็นอะไรมาก อยู่ๆ ก็เป็นลมล้มไป อาการเหมือนคนป่วยหนัก”
แมนหน้าเครียด ตัดสินใจหันไปจะบอกความจริง แต่พยาบาลออกมาเสียก่อน
“คุณมีนรู้สึกตัวแล้วค่ะ”
จากนั้นก็รีบเดินนำสุดเขตต์ แม่แก้ว แมนเข้ามาในห้อง ขณะที่มีนนอนสลึมสลืออ่อนเพลียอยู่บนเตียง
“มีนเป็นไงบ้างลูก? โถ ดูซิหน้าซีดไม่มีสีเลือดเลย”
แม่แก้วถลาเข้ามากอดลูบหัวมีน น้ำตาไหลด้วยความเป็นห่วง
“มีนไม่เป็นไรหรอกจ้ะแม่แก้ว อย่าร้องไห้ซิ เดี๋ยวมีนก็หายกลับบ้านได้แล้ว”
พยาบาลพูดขัดขึ้นมา
“คุณหมอไม่อนุญาตให้กลับนะคะ คุณหมอสั่งแอดมิด รอตรวจเช็คคุณให้ละเอียดอีกที”
มีนหน้าซีด ตกใจ
“ไม่ต้องเช็คหรอกค่ะ ฉันแค่เป็นลมไม่เป็นอะไรมาก”
แมนรีบค้าน “โธ่พี่มีน เชื่อหมอเถอะพี่”
มีนมองสบตาน้องชาย เป็นเชิงดุ “ก็พี่ไม่เป็นอะไรมาก ทำไมต้องนอนโรงพยาบาลให้เปลือง”
“กับคนอื่นพี่รักษาได้ ทำไมตัวพี่เอง พี่ไม่คิดจะรักษา”
มีนตกใจ กลัวแมนจะหลุดปากบอกทุกคน
“พูดอะไรแมน ก็พี่ไม่ได้เป็นอะไร ทำไมต้องรักษา”
สุดเขตต์เห็นด้วยกับหมอ
“เชื่อหมอเถอะครับมีน เช็คให้ละเอียด นอนโรงพยาบาลสักคืนจะเป็นไรไป ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง”
มีนอ้าปากจะเถียง แต่แม่แก้วพุดเชิงออกคำสั่ง
“นอน นี่เป็นคำสั่งของแม่ ไหนๆ แล้วก็ให้หมอเช็คให้ละเอียด”
มีนจำต้องยอมทำตาม แต่ยังไม่วายเป็นห่วงโต้
“แล้วโต้ล่ะคะ โต้ผ่าตัดแล้วเป็นยังไงบ้าง?”
สมชายเดินแยกตัวมาคุยมือถือกับสหวุฒิที่มุมหนึ่งในคอนโดของพราว เมื่ออีกฝ่ายถามถึงพราว เขาก็อึกอัก เพราะต้องปิดเรื่องมีน
“ไม่เป็นอะไรเลยครับ ผมพาคุณพราวกลับถึงบ้าน ปลอดภัยดี ระเบิดเมื่อคืน ผมมั่นใจว่าเป็นระเบิดที่ถูกสับเปลี่ยนที่กองถ่าย ไม่ใช่ฝีมือของไอ้เจ๋งแน่นอนครับผู้กำกับ สันดานอย่างไอ้เจ๋ง ถ้ามันจะล้างแค้น เมื่อคืนมันต้องเป็นคนเดินถือระเบิดเข้าไปปาเองกับมือ มันไม่ทำหลบๆ ซ่อนๆ เป็นไอ้โม่งหรอกครับ มันจะตามติดเปิดหน้าจู่โจมถึงตัว เหมือน
3 ครั้งที่แล้ว ที่มันลงมือเล่นงานผมกับคุณพราวนั่นแหละครับ”
ขณะที่ไอ้เจ๋ง แอบซุ่มอยู่ที่หน้าบ้านติณห์ พลางมองเข้าไปในบ้าน ด้วยสีหน้าเหี้ยม
“3 ครั้งที่แล้วกูอาจจะพลาด แต่จะไม่มีครั้งที่ 4”
“ลักษณะการลงมือเมื่อคืนที่กองถ่าย เหมือนตอนที่คุณพราวเจอน้ำกรดและไฟร่วงใส่ในกองถ่ายคราว
ที่แล้วไม่มีผิด”
สมชายพยายามตั้งสมมติฐาน สีหน้าหนักใจ
"แต่ครั้งนี้แตกต่างกว่าการลงมือครั้งที่แล้ว ก็ตรงที่คนร้ายพุ่งเป้าถึงชีวิตของคุณพราว ไม่ใช่แค่ข่มขู่เหมือนครั้งที่ผ่านมา การลงมือค่อนข้างวางแผนมาอย่างดี"
"คนร้ายรู้ล่วงหน้าว่าจะมีฉากระเบิดในการถ่ายทำ ถ้าเป็นฝีมือของไอ้แฟนคลับโรคจิต มันไม่ใจเย็นมาวิ่งสับเปลี่ยนระเบิดอยู่หรอกครับ ผมแน่ใจว่าต้องเป็นฝีมือไอ้โม่งอีกคน ที่ยังเรายังหาไม่พบ เราต้องเร่งมือแล้วนะครับผู้กำกับ"
ส่วนแฟรงค์ก็หงุดหงิดใจ เพราะต้องคอยบอกปัดนักข่าวที่โทร. เข้ามาจะขอสัมภาษณ์พราว ขณะที่เอมี่ดูเวลาแล้วร้อนใจ
“เจ๊ต้องพาเด็กไปคัดเลือกประกวดร้องเพลงที่จะโกอินเตอร์ ส่งไปเกาหลีไม่ใช่เหรอ ?”
แฟรงค์หน้าเครียด “ก็ใช่น่ะซิยะ แล้วหล่อนก็ต้องพายัยมิกิไปเทสต์หน้ากล้องถ่ายโฆษณาแทนฉันด้วย งานนี้ถ้าผ่านนะ ค่าตัว 7 หลักเลยนะยะ แถมยัยมิกิจะได้เกิดเต็มตัวในวงการ ไล่บี้นังจรีไปติดๆ ให้มันรู้ซะมั่งว่าเป็นเด็กเจ๊มีแต่เกิดไม่มีดับ”
สมชายที่เดินเข้ามา มองแฟรงค์แล้วส่ายหน้า ดูเหมือนเงิน 7 หลัก จะทำให้แฟรงค์ลืมว่าพราวเพิ่งเกิดเรื่องระเบิดมาเมื่อคืนหยกๆ
พลันมือถือของพราวก็ดังขึ้น แฟรงค์เห็นเป็นติณห์โทร. มา ก็รีบยัดโทรศัพท์ใส่มือพราว เธอรีบกดรับสาย
“ฮัลโหล ค่ะคุณติณห์”
“ผมเห็นข่าวระเบิดที่กองถ่ายละครเมื่อคืน มันเกิดอะไรขึ้นครับ คุณเป็นอะไรรึเปล่า ถูกลูกหลงบาดเจ็บตรงไหนบ้างไหมครับ?”
ติณห์แสร้งถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย แต่สีหน้ากลับตรงกันข้ามกับน้ำเสียง มาโนชยืนก้มหน้ารู้สึกผิดที่ทำงานพลาด
พราวอึดอัดใจไม่น้อย เพราะคนที่เจอระเบิด คือมีนไม่ใช่เธอ
“เปล่าค่ะ พราวไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย บอดี้การ์ดสมชายคอยระวังอยู่ เลยพาหนีออกมาได้ทันน่ะค่ะ”
ติณห์ขบกรามจนเป็นสัน กำหมัดแค้นสมชาย
“ผมต้องขอบคุณนายสมชายมากจริงๆ ที่ช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยให้คู่หมั้นของผมได้อย่างดีเยี่ยม”“ค่ะ ฉันจะบอกบอดี้การ์ดสมชายให้ ว่าคุณรู้สึกขอบคุณเค้าที่ดูแลฉันเป็นอย่างดี สมกับที่เป็นบอดี้การ์ดของพราว”
“คุณพราวอยู่ที่บ้านพราวแสงรึเปล่าครับ ผมจะไปหา”
พราวรีบปฏิเสธ “เปล่าค่ะ ที่บ้านมีกองทัพนักข่าว รออยู่เต็มไปหมด พราวยังกลับเข้าไปไม่ได้”
“แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนล่ะครับ ผมจะไปหาเดี๋ยวนี้”
“คุณจะมาหาพราวเหรอคะ ?”
พราวมองเลยไปทางสมชาย ที่รีบยก 2มือขึ้นไขว้กันเป็นกากบาท เป็นเชิงห้าม
“พอดี พราวติดธุระอยู่น่ะค่ะ ไว้เดี๋ยวเสร็จธุระแล้ว พราวจะโทรไปให้คำตอบนะคะ”
“ได้ครับ ผมจะนั่งรอคำตอบคุณอยู่ที่บ้าน จะไม่ไปไหน จะไม่ทำอะไรเด็ดขาด สิ่งเดียวที่ผมอยากจะทำคือได้เจอคุณ ไม่ว่าจะให้ผมไปหาที่ไหน เมื่อไหร่ ผมจะไปหาคุณให้ได้ ผมจะรอคำตอบจากคุณ อย่าให้ผมรอเก้อนะครับ
คุณพราว ผมรักคุณ โทร. กลับมาด้วยนะครับ”
ติณห์วางสาย แล้วโยนมือถือลงโซฟาอย่างสุดทน
“อยากจะอาเจียน”
“ถ้าคุณติณห์ต้องฝืนใจ ยังไม่พร้อม ทำไมวันนี้ต้องไปเจอยัยพราวด้วยครับ”
คำถามของมาโชทำให้ติณห์อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างระงับไม่อยู่
“แม่นั่นถูกระเบิดเกือบตาย ถ้าคู่หมั้นอย่างฉันไม่เป็นทุกข์เป็นร้อน ไม่รีบไปปลอบใจมัน ไอ้บอดี้การ์ดสมชายมันต้องสงสัยเอาแน่ๆ ฉันต้องแสดงละครให้มันสมบทบาท หาวิธีทำยังไงก็ได้ เพื่อแยกนังพราวออกจากไอ้สมชายให้เร็วที่สุด ไม่อย่างงั้น ต่อให้ใช้วิธีไหน ไอ้สมชายมันก็จะคอยตามขัดขวางไปหมด นังพราวก็ไม่ได้ชดใช้กรรมที่ทำไว้กับน้องฉันซะที ฉันแทบคอยต่อไปไม่ไหวแล้วมาโนช แค่นังพราวอยู่อย่างไม่มีความสุข หวาดกลัว หรือพิกลพิการคงไม่พออีกต่อไปแล้วสำหรับฉัน ตอนนี้สิ่งที่ฉันอยากเห็นก็คือเห็นมันตาย ตายอย่างทรมานได้ยิ่งดี”
ติณห์กำหมัดทุบลงบนโต๊ะอย่างสุดแค้น
ไอ้เจ๋งจอดรถซุ่มดูอยู่ที่นอกประตูรั้ว ครู่หนึ่งก็เห็นจันทร์จรีขับรถเข้ามา มันส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด
“เมื่อไหร่ไอ้ไฮโซคู่หมั้นของนังพราว จะออกมาวะ ออกมาซิ ออกไปหานังพราวด้วยกัน ไปเจอไอ้สมชาย
จะได้ตายหมู่ ดังไปทั้งวงการ”
แฟรงค์กับเอมี่รีบออกไปงานข้างนอก ทิ้งให้สมชายคอยเฝ้าพราวอยู่ในคอนโดตามลำพัง พอคล้อยหลังทั้งคู่ สมชายก็อดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้
“ขอเผือกเรื่องผู้จัดการคุณหน่อยเหอะ พอมีเรื่องค่าตัวหกเจ็ดหลักของเด็กในสังกัด ก็ดี๊ด๊าจนลืมไปเลยว่าคุณกำลังเสียขวัญกับเรื่องระเบิดที่กองถ่ายเมื่อคืน”
“พี่แฟรงค์เค้าก็เป็นอย่างงี้แหละ เค้าตื่นเต้นดีใจทุกครั้ง เวลาที่หางานให้เด็กในสังกัดได้”
“ไม่คิดว่าเค้าห่วงธุรกิจมากกว่าคุณ ?”
“ไม่จริง”
“ไม่จริงแล้วทำไมคุณถูกคนปองร้ายขนาดนี้ ยัยเจ๊แฟรงค์ถึงไม่ให้คุณหยุดงานในวงการ แล้วเก็บตัวสักพัก”
พราวรีบพูดอย่างเข้าใจแฟรงค์
“ก็เพราะว่าเค้าทำไม่ได้น่ะซิ คุณไม่มีทางเข้าใจหัวอกผู้จัดการดาราอย่างพี่แฟรงค์หรอก แต่ฉันเข้าใจ”
“คุณเข้าใจหัวอกผู้จัดการคุณ แล้วคุณเข้าใจหัวอกผมบ้างรึเปล่า ?”
สมชายทำตาซึ้ง ทำเอาพราวถึงกับอึ้ง
“คุณกลัวว่าไม่รู้เมื่อไหร่คนร้ายจะโผล่มาทำร้ายคุณ แต่รู้ไหม ผมกลัวอะไร ผมกลัวว่าจะช่วยคุณไว้ไม่ทัน”
พูดพลางก้าวเข้ามาถึงตัว จนพราวต้องจับมือข้างที่ใส่แหวนหมั้นขึ้นมาขวางไว้
“นี่คุณ ผมไม่ใช่ผีนะ เอะอะคุณก็ยกแหวนหมั้นขึ้นมาขู่ผมน่ะ มันเป็นยันต์กันผีหรือไง”
“ก็คุณ เข้ามาใกล้ฉันง่ะ”
สมชายทำหน้ากวนใส่
“ทำไม กลัวผมจะเข้าไปกอดคุณเหรอ หรือว่ากลัวห้ามใจไม่อยู่ เดี๋ยวนี้คนอย่างซูเปอร์สตาร์พราว แค่นี้ก็กลัวแล้วเหรอ ? คุณอย่าห่วงไปเลย ผมจะทำตามที่คุณขอร้อง ผมจะไม่ทำให้คุณลำบากใจ เวลาที่เราต้องอยู่ด้วยกัน 2ต่อ 2 ทั้งๆ ที่ผมต้องห้ามใจแทบแย่”
พูดจบก็เดินผละออกไปอาบน้ำ
“จรีอยากรู้เรื่องระเบิดที่กองถ่ายเมื่อคืนนี้ค่ะ”
จันทร์จรียิงคำถามใส่ทันที ติณห์เหลือบตามองไปที่มาโนช จริงๆ แล้วไม่ได้อยากให้เธอรับรู้ แต่เมื่อรู้แล้วก็ต้องพลิกวิกฤตเป็นโอกาส
“คุณอยากรู้ความจริงเหรอ ? ถ้าผมบอกแล้ว คุณแน่ใจเหรอ ว่าจะยังอยู่เคียงข้างผมต่อไป”
จันทร์จรีรีบพยักหน้า “แน่ใจซิคะ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร จรีก็จะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”
ติณห์รีบหันไปสั่งให้มาโนชออกไป ก่อนจะหยิบมือถือ พร้อมทั้งใช้มืออีกข้างคว้าแขนพาจันทร์จรีเดินไปดื้อๆ
ติณห์พาจันทร์จรีเข้ามาในห้อง พลางรีบปิดล็อกประตู แล้วก็เปลี่ยนท่าทีที่เย็นชาเป็นเจ็บปวดฝังใจ
“ที่ผมทำลงไปทั้งหมด เพราะต้องการจะแก้แค้น”
จันทร์จรีทำหน้างง “แก้แค้นใครเหรอคะ?”
“จะใครซะอีก ก็ซูเปอร์สตาร์เบอร์1พราว-พิชญาดาคู่แค้นของจรีนั่นแหละ เรามีศัตรูคนเดียวกัน”
จันทร์จรีตะลึงแทบไม่เชื่อหู
“ถ้างั้นที่คุณทำเป็นหลงรักมัน คุกเข่าสวมแหวนขอหมั้นนังพราวก็เป็นแค่แผนการน่ะซิคะ?”
“ ถ้าผมไม่ทำอย่างงั้น ผมก็ไม่มีวันเข้าถึงคนอย่างซูเปอร์สตาร์พราวได้”
จันทร์จรีดีใจจนเนื้อเต้น
“อยากรู้จริงๆ นังพราวมันทำอะไรกับคุณติณห์ของจรีคะเนี่ยะ คุณถึงได้โกรธแค้นมันถึงขนาดนี้”
ติณห์ยิ้มเหี้ยม
“ถ้าเค้าทำกับผม ผมอาจจะอโหสิให้ แล้วก็ลืมผู้หญิงเลวๆคนนี้ซะ แต่นี่ เค้าทำกับคนที่ผมรัก น้องชายคนเดียว ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผม เพราะเราเหลือกันอยู่แค่ 2 คนเท่านั้น เค้าทำให้น้องชายผมหลงรักหัวปักหัวปำ ถึงขนาดอยากจะแต่งงานใช้ชีวิตด้วย แต่พราวกลับไม่เห็นค่าในความรักของน้องชายผม พราวเขี่ยน้องผมทิ้ง น้องผมเสียใจมาก จนขาดสติ ขับรถไปชน ตอนนี้น้องชายผมนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่บนเตียง”
จันทร์จรียกมือทาบอก ตกใจ
“น่าสงสารจริงๆเลย แล้วตอนนี้น้องคุณชายคุณอยู่ที่ไหนคะ”
“ก็อยู่บนห้องที่คุณเข้าไปนั่นไง”
จันทร์จรีนึกถึงห้องนั้นทันที
“ถึงน้องผมจะนอนเหมือนผัก ไม่รู้สึก ไม่รับรู้อะไร แต่หัวใจของเค้ายังเต้นอยู่ เพื่อรอถึงวันที่ผมแก้แค้นพราวได้สำเร็จ พราว-พิชญาดาจะต้องชดใช้กรรมที่ทำไว้กับน้องชายผม จรี คุณต้องช่วยผมนะ”
ติณห์หันมาจับมือจันทร์จรีบีบ
“เรื่องจัดการกับนังพราว ไม่ต้องบอกหรอกค่ะ จรีพร้อมอยู่แล้ว แต่ก็หวังว่าหลังจากกำจัดนังพราวได้แล้ว จรีจะได้เป็นที่หนึ่งสำหรับคุณ”
จันทร์จรีฉลาดพอที่จะต่อรอง แต่ก็ไม่ฉลาดไปว่าติณห์ ที่รีบดึงเธอเข้ามากอด
“แน่นอนจรี คุณลองคิดดู ทำไมผมถึงเลือกคุณมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ทำงานอยู่ใกล้ๆ ผม ก็เพราะผมหลงเสน่ห์คุณ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้เจอกันแล้ว คุณต้องช่วยผมแก้แค้นพราวให้เร็วที่สุดนะ เพื่อที่เราจะได้แต่งงานกัน”
จันทร์จรีตาวาว “คุณจะแต่งงานกับจรีเหรอคะคุณติณห์”
“ผมสัญญา เมื่อผมกำจัดทุกข์ แก้แค้นให้น้องชายผมสำเร็จแล้ว ผมจะแต่งงานมีความสุขกับคุณซะที”
พราวนั่งเปิดไอแพด เพื่อดูข่าวระเบิดเมื่อคืน เห็นรูปสมชายกอดมีน ก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาทันที
เพราะตัวเองไม่สามารถเป็นผู้หญิงคนนั้นให้เขากอดได้ สมชายอาบน้ำเสร็จ เห็นพราวทำหน้าเศร้า ก็แปลกใจ
“ดูอะไรอยู่เหรอคุณ ?”
พราวสูดลมหายใจ ลุกหันมายกไอแพดให้ดูรูปที่เขากอดมีนที่กองถ่าย
“ทำไมคุณต้องกอดขนาดนี้ด้วย ?”
“ไม่รู้ซิ ผมคงจะตกใจมั้ง”
“ตกใจหรือว่าแอบคิดอะไรกับมีนกันแน่ ?”
สมชายยิ้มขำออกมา “อ๋อ ที่คุณถามนี่ คุณหึงผมเหรอ ?”
“ฉันไม่ได้หึง แต่ฉันไม่ชอบ เพราะตอนที่คุณกอดมีน มีนกำลังแสดงเป็นฉันอยู่ มีนกำลังแสดงเป็นพราว ดูดิ นักข่าวเขียนข่าวไปกันใหญ่ ว่าถึงฉันจะรับหมั้นคุณติณห์แล้ว ก็ยังแอบเลี้ยงไข้บอดี้การ์ดอยู่”
พราวแกล้งโวยวายกลบเกลื่อน สมชายฉุนขึ้นมาทันที
“คุณก็เลยกลัวไฮโซติณห์จะเข้าใจผิดงั้นดิ ?”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด”
สมชายรีบพูดประชด “งั้นจะช้าอยู่ทำไม เอาซิ รีบโทรไปนัดคู่หมั้นคุณเลย รีบไปปรับความเข้าใจ
กับเค้าเร็วๆ เดี๋ยวเค้าเห็นรูปนี้เข้า เกิดเค้าขอแหวนหมั้นนั่นคืน น้ำตาจะเช็ดหัวเข่า”
“คุณไม่มาแช่งหรอก ฉันกำลังจะโทร. อยู่นี่ไง”
พูดพลางคว้ามือถือแล้วเดินไปกดโทร. ไกลๆ สมชายยืนมองอย่างขัดใจ
เสียงมือถือของติณห์ที่วางอยู่ดังขึ้น ติณห์ผงะเงยหน้าขึ้นจากโซฟา จันทร์จรีนอนอยู่ข้างล่าง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย
ติณห์เดินไปหยิบมือถือขึ้นมาดู ก่อนจะปั้นความรู้สึก แล้วกดรับสาย ทำน้ำเสียงดีใจ
“เสร็จธุระแล้วเหรอครับพราว ผมอยากจะกอดปลอบคุณจะแย่อยู่แล้ว จะให้ผมไปหาคุณที่ไหนครับ?
อ๋อ รู้จักครับ อยู่ใกล้ๆบ้านผมนี่เอง เป็นที่เงียบๆ เหมาะให้เราอยู่ด้วยกันตามลำพัง จะให้ผมไปเจอกี่โมงครับ”
จันทร์จรีนึกอยากจะกรี๊ด แต่ที่ทำได้คือรีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า
“พราวจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง เจอกันค่ะ พราวไม่อยากให้คุณรอนาน แค่นี้นะคะ เดี๋ยวเจอกัน”
พราวพูดเสียงดัง จงใจให้สมชายได้ยิน ก่อนจะกดวางสาย แล้วหันมามองสมชาย รู้ดีว่าเขากำลังหึง แต่ก็แกล้งทำไม่เป็นรู้ไม่ชี้
“ไปกันเถอะ”
พราวเดินยิ้มไปหยิบกระเป๋า สมชายคว้าแจ็คเก็ต คว้ากุญแจรถจะเดินตามไป
“อุ๊ย เดี๋ยวก่อน ฉันจะไปชุดนี้เหรอ มันสวยพอไปเจอคุณติณห์รึเปล่าเนี่ยะ?” พราวแกล้งพูดยั่ว
“ไปเปลี่ยนให้สวยกว่านี้ดีกว่า”
สมชายรีบพูดขัดขึ้นมา
“ไม่ต้องไปเปลี่ยนเลย แค่นี้ก็สวยจนไอ้หมอนั่นน้ำลายยืดแล้ว เพิ่งเจอเรื่องระเบิดมาหยกๆ ไม่กลัวเหรอ ยังจะออกไปเจออะไรอีก”
พราวยิ้มล้อๆ
“ฉันไม่กลัวหรอก เพราะฉันมีบอดี้การ์ดสมชายไปด้วย เร็วซิ เดี๋ยวคุณติณห์เค้ารอฉันนานนะ”
สมชายจำต้องเดินตามไป
แม่แก้วเข็นรถพามีนเดินเข้าไปเยี่ยมโต้ในห้องไอซียู ทิ้งสุดเขตต์กับแมนนั่งรออยู่ที่หน้าห้อง
“ห่วงพี่มีนเหรอครับ?”
สุดเขตต์เห็นหน้าแมนเครียดๆ ก็อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้
“แล้วคุณล่ะครับ ไม่ห่วงพี่ผมเหรอ ?”
“ ห่วงซิครับ ทำไมผมจะไม่ห่วง คราวก่อนที่มีนเป็นลม ผมพยายามขอร้องให้มีนไปหาหมอ แต่มีนก็ไม่ยอมไป วันนี้หมอสั่งแอดมิดก็ดีแล้วครับ มีนจะได้รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร จะได้รักษาให้หายๆ ซะ”
แมนยิ้มขมขื่น
“คุณคิดว่าพี่มีนไม่รู้เหรอว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร พี่มีนรู้มาตั้งนานแล้ว แต่พี่มีนก็ไม่ยอมรักษา พี่มีนปิดทุกคน ผมต้องทนเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจคนเดียว”
พูดถึงตรงนี้แมนก็ถึงกับน้ำตาร่วง รีบเดินผละไป สุดเขตต์ยิ่งใจคอไม่ดี ตัดสินใจเดินตามแมนไป
มีนจับมือโต้น้ำตาคลออย่างแสนห่วง ขณะที่ได้ฟังแม่แก้วอธิบายอาการ
“หมอบอกว่าผ่าตัดเอาเนื้อสมองที่มีปัญหาบางส่วนออกไปนิดหน่อย ไม่มากหรอก หลังจากหายแล้ว โต้จะมีชีวิตที่ดีขึ้น ควบคุมอาการชักได้ หรือถ้าโชคดี ก็ขอให้หายชักไปเลย แต่ค่ารักษาน่ะมีน เงินที่มีนให้แม่มามันไม่พอนะลูก กว่าโต้จะหายออกจากโรงพยาบาลได้ ค่ารักษาคงจะอีกหลายแสน แล้วเราจะหามาจากที่ไหน ?”
มีนกุมมือโต้ หน้าเครียด
“ตกลงมีนป่วยเป็นอะไรกันแน่ ?”
สุดเขตต์เดินตามมาจนทัน แมนขยับตัวจะเดินหนี
“จะเดินหนีผมทำไมครับ แมนพูดออกมาแล้ว แมนก็ต้องบอกผมให้หมด”
“ผมไม่น่าหลุดปากเลย พี่มีนต้องโกรธผมแน่ๆ ถ้ารู้ว่าผมมาบอกคุณ”
แมนยืนอ้ำอึ้ง จนสุดเขตต์ร้อนใจ
“ผมไม่เข้าใจว่ามันพูดยากตรงไหน แค่บอกว่ามีนป่วยเป็นอะไร เป็นความดัน ไมเกรน หรือว่าโรคภูมิแพ้”
แมนน้ำตาร่วง “ภูมิแพ้ที่ไหนกัน พี่มีนเป็นเนื้องอกที่สมองรู้มั้ยครับ”
สุดเขตต์ยืนช็อกตะลึงงัน
“พี่มีนเป็นมานานแล้ว แต่ไม่มีเงินรักษา ได้แต่กินยาแก้ปวดไปวันๆ หมอบอกว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่เนื้องอกอาจจะเป็นมะเร็ง ถ้าไม่รีบรักษา แต่ตอนนี้เนื้องอกมันคงจะลามไปมากแล้ว ผมแอบเห็นพี่มีนอ้วก มือขา หมดแรง ปวดหัวลงไปนอนตัวเกร็ง แต่ผมกลับช่วยอะไรพี่มีนไม่ได้เลย คุณสุดเขตต์ สงสารพี่มีนเถอะ ถ้าคุณรักพี่มีนจริง อย่าปล่อยให้พี่ผมตาย พี่มีนช่วยชีวิตเด็กๆ มามากแล้ว พี่มีนควรมีใครสักคนมาช่วยชีวิตพี่มีนบ้าง ถ้าคุณรักพี่มีนคุณต้องช่วยนะครับ คุณต้องช่วยพี่ผม”
สุดเขตต์หูอื้อตาลาย ก่อนจะค่อยๆ ทรุดนั่งลงกับเก้าอี้อย่างหมดแรง
มีนที่อยู่กับพยาบาลในห้องพักคนป่วยตามลำพัง รีบหันมาพูดกำชับ
“ขอความกรุณานิดนึงค่ะ คือเรื่องที่ฉันป่วยมีเนื้องอก ไม่มีใครที่บ้านรู้”
“คุณไม่อยากให้บอก เข้าใจค่ะ”
พยาบาลรับคำอย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งมีนให้นอนซึมอยู่คนเดียว แต่กลับไม่คิดถึงเรื่องของตัวเอง คิดถึงแต่เรื่องโต้
“จะหาเงินที่ไหนมาจ่ายค่ารักษาโต้นะ เฮ่อ คุณสุดเขตต์ไปไหนน้า?”
สุดเขตต์นั่งซึม คิดถึงมีนด้วยความเป็นห่วง และสงสารจับใจ
“ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับคนดีๆอย่างมีน ชีวิตผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึง จะต้องมาเจอเรื่องร้ายๆซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดเวลา มันไม่ยุติธรรมเลย”
พลันส้มจี๊ดก็โทร. เข้ามาที่มือถือของเขา
“ฮัลโหล”
ส้มจี๊ดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว กำลังจะออกจากโรงพยาบาล รีบพูดกลับมาทางปลายสาย
“ฉันโทรมาบอกข่าวดีกับแก ฉันได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
สุดเขตต์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ” ดีใจด้วย แค่นี้ใช่ไหม?”
“เดี๋ยวๆ ฉันยังพูดไม่หมด ฉันยังไม่พูดถึงข่าวร้ายที่ว่านังพราวเกือบโดนระเบิดตายที่กองถ่ายเมื่อคืน
มันได้รับผลกรรมที่ทำให้ฉันถูกแทงแล้ว แหม เสียดาย ไอ้บอดี้การ์ดสมชายไม่น่ากระโจนเข้าไปช่วยทันเลย ไม่งั้นนะ... ฮ่ะๆๆ เละ”
“ หัวเราะเยาะชะตากรรมของคนอื่นน่ะ แกสนุกมากนักเหรอส้มจี๊ด แกเคยคิดบ้างไหมว่าถ้าเมื่อคืนคุณพราวเกิดตายขึ้นมาจริงๆ คนที่รักเค้าจะเสียใจทุกข์ใจขนาดไหน”
พูดจบก็รีบตัดสายทิ้งทันที
“นังพราวถูกระเบิด แกเป็นเดือดเป็นแค้น ทีฉันถูกแทง ไม่เห็นแกรู้สึกอะไรเลยสักแอะ บอกเลย ส้มจี๊ดไม่ยอมเจ็บตัวฟรีหรอก ออกไปคราวนี้ ฉันจะเอาคืนนังพราวให้แผลเหวอะยิ่งกว่าฉันร้อยเท่า”
พราว ตอนที่ 13 (ต่อ)
สุดเขตต์เดินมาหยุดที่หน้าห้อง พลางยืนตั้งสติก่อนจะเข้าไปเผชิญความจริงในห้อง มีนนอนหลับอยู่บนเตียงจากอาการป่วยและอ่อนเพลียที่ถ่ายละครเมื่อคืน เขายืนมองเธออย่างทั้งรักทั้งสงสาร พลางยื่นมือไปลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบา ก่อนก้มลงจุมพิตที่หน้าผาก
มีนขยับตัวตื่น ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองสุดเขตต์ แล้วยิ้มให้
“คุณหายไปไหนมาคะ นึกว่าจะทิ้งมีนไว้ หนีกลับบ้านไปซะแล้ว”
สุดเขตต์ฝืนยื้ม “ผมไม่มีวันทิ้งมีนไปไหน ผมจะอยู่เคียงข้าง ดูแลมีนจนกว่าจะหาย”
“พรุ่งนี้มีนก็หายกลับบ้านได้แล้วค่ะ พูดยังกับมีนต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเดือนงั้นแหละ”
มีนพูดเพราะยังไม่รู้ว่าสุดเขตต์รู้ความจริงแล้ว
“ถ้าคุณไม่ผ่าตัด คุณไม่หายหรอกมีน คุณต้องเชื่อหมอ”
มีนหลบหน้าสุดเขตต์ แล้วรีบพูดกลบเกลื่อน
“มีนไม่รู้คุณพูดอะไร มีนไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ทำไมต้องผ่าตัด”
“ผมรู้ขนาดนี้แล้ว คุณยังจะปิดบังผมอีกเหรอมีน ? คุณป่วยจริงๆ คุณปวดหัว คุณไม่มีแรง คุณเป็นลมหมดสติ เพราะเนื้องอกในสมอง มันกำลังเตือนให้คุณรีบรักษาตัวเองให้เร็วที่สุด”
มีนน้ำตาร่วง “พอแล้ว อย่าพูดอีก มีนขอร้อง”
“แต่มีนต้องฟังผมนะ ในเมื่อการผ่าตัดทำให้มีนหายได้ ทำไมมีนถึงไม่รีบ”
“ก็เพราะว่าหลังการผ่าตัด มีนอาจจะโชคร้ายพิการ เป็นอัมพาต หรือความจำหายไป แม้แต่คุณ มีนก็อาจจะจำไม่ได้ว่าเคยรัก”
น้ำตาของเธอรินเป็นสาย
“และที่เลวร้ายกว่านั้น ถ้ามีนโชคร้าย มีนอาจจะตายระหว่างผ่าตัดก็ได้ ที่สำคัญเงิน!ค่าผ่าตัดไม่ใช่น้อยๆ มีนจะเอาเงินที่ไหนมาผ่าตัด นี่โต้ผ่าตัดโรคลมชัก มีนยังไม่รู้จะหาจากที่ไหนเลย”
สุดเขตต์มองเธออย่างห่วงใย
“เรื่องเงิน ผมช่วยมีนได้”
“คุณช่วยไม่ได้ทั้งหมดหรอก แล้วมีนก็ไม่ต้องการเอาเงินของคุณมาใช้ด้วย”
สุดเขตต์พยายามหาทางออก
“คุณพราวไง ใช่แล้ว คุณพราวอาจจะช่วยมีนได้”
“ไม่นะคะคุณสุดเขตต์ มีนขอร้อง อย่าบอกใครว่ามีนป่วย อย่าให้มีนรู้สึกแย่ที่ต้องเป็นภาระของใครเลย นะคะ เก็บเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเรา 2 คน มีนขอร้อง อย่าบอกใคร รับปากซิว่าคะว่าคุณจะไม่พูด รับปากซิ”
มีนรบเร้าสุดเขตต์จำใจพยักหน้า
“ผมรับปาก ผมจะไม่บอกใคร”
มีนโผกอดสุดเขตต์ทั้งน้ำตา
“ขอบคุณมากค่ะ แค่นี้คุณก็ช่วยมีนมากแล้ว มีนไม่ตายง่ายๆ หรอก คุณไม่ต้องเป็นห่วง ใจมีนยังสู้อยู่”
จันทร์จรีแอบเดินขึ้นบันไดมายังห้องนอนตรี จังหวะเดียวพยาบาลเดินถือตะกร้าใส่ผ้าที่ใช้แล้วออกมาจากห้อง เธอรีบเดินไปที่หน้าห้อง พลางยืนรวบรวมความกล้าอยู่หน้าประตู
“ขอดูหน้าไอ้หน้าโง่หน่อยเหอะ รวยซะเปล่า ปล่อยให้อีพราวหลอกเอาได้”
จันทร์จรีใช้มือแหวกม่านกั้นออก เห็นร่างของตรีนอนอยู่ ถึงกับยืนช็อกอ้าปากค้าง
ขณะที่ร่างของตรีเหมือนจิตสัมผัสได้ว่าหญิงที่รักกลับมาหาอีกครั้ง ก็มีอาการสั่นเทา จนเตียงสั่นไหวดังไปหมด ก่อนที่ใบหน้าจะหันขวับมา จันทร์จรีกรีดร้องสุดเสียง รีบผงะถอยหลัง แล้วก็สะดุดขาตัวเอง ทรุดลงไปนั่งพิงฝามองตรีอย่างกลัวสุดชีวิต ขาอ่อนแทบไม่มีแรงจะลุกเดิน
จันทร์จรีวิ่งหนีเตลิดออกมาจากห้องตรีอย่างตกใจสุดขีด แต่กลับเห็นติณห์เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จจะออกไปหาพราวเดินมาอีกทาง เธอรีบหลบมุมไปยืนแอบขวัญผวาเงียบๆ
“ตรีเป็นน้องชายคุณติณห์เหรอเนี่ยะ นรกที่สุดเลย ทำไมเรื่องมันต้องเป็นอย่างงี้ด้วย ถ้าคุณติณห์รู้ว่าผู้หญิงที่หลอกน้องชายเค้าเป็นฉัน ไม่ใช่นังพราว ฝันของฉันที่จะได้แต่งงานกับเค้าเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้
ต้องพินาศลงทันที ไม่ได้ จะให้เค้ารู้ไม่ได้เด็ดขาด จะให้เค้ารู้ไม่ได้”
ไอ้เจ๋งเหลือบมองเห็นรถของติณห์ออกมาจากบ้าน ก็หัวเราะชอบใจ
“เหยื่อล่อปลาออกมาแล้ว”
มันรีบขับตามรถติณห์ไปทันที
ติณห์เริ่มผิดสังเกต ที่เห็นรถไอ้เจ๋ง ซึ่งขับตามมาจากบ้าน มาจอดติดไฟแดงข้างๆ
“พวกไหนสะกดรอยตาม?”
เมื่อสัญญาณไฟเขียว เขาก็ขับรถต่อไปเรื่อยๆ ทำเหมือนยังไม่รู้ตัวว่ามีคนสะกดรอยตาม
ติณห์ขับรถเข้ามายังที่พราวนัดไว้ แล้วจอดรถที่มุมหนึ่ง สายตาเพ่งมองกระจกมองหลัง เห็นรถคันนั้นยังคงขับตามหลังมาห่างๆ แล้วทำเป็นขับเลยไปที่มุมไกล เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ตัว พลางรีบลงจากรถ เดินไปที่ริมแม่น้ำตรงหน้าเพื่อรอพราว
ไอ้เจ๋งขับรถมาจอดซุ่มอยู่ห่างๆ
“มันมานัดเจอใครวะ ขอให้ใช่ ขอให้เจอ ทีเถอะมึง”
มันคิด พร้อมกับรีบหยิบปืนพร้อมแมกกาซีนปืนสำรองอีกอันจากที่ซ่อนไว้ในรถ มาเหน็บไว้ที่เอว แล้วรีบเปิดประตูลงจากรถ เดินไปแอบโผล่หน้าซุ่มดูติณห์อย่างใจเย็น แววตาจ้องเขม็ง
ครู่หนึ่งรถของสมชายก็ขับเลี้ยวเข้ามาจอดใกล้ๆ รถของติณห์
“นรกส่งพวกมึงมาให้กูแล้ว”
สมชายพูดแกมสั่งให้พราวนั่งรอในรถก่อน ขณะที่เขารีบลงจากรถ ใช้สายตากวาดมองสำรวจไปรอบๆบริเวณทั้งหมดอย่างระแวดระวังภัย
ไอ้เจ๋งรีบผลุบหลบเข้าไป พลางรอเวลาลงมือ ขณะที่ติณห์ยืนมองอย่างไม่ค่อยพอใจ แต่สมชายไม่สน
“คุณมาถึงที่นี่ก่อน เห็นอะไรผิดปรกติบ้างไหมครับ ?”
ติณห์นึกไปถึงรถที่ขับตามเขามาทันที
“ไม่เห็นมีนี่ครับ”
“แล้วมีคนแปลกหน้า หรือเห็นใครขับรถตามคุณมาบ้างรึเปล่า ?”
ติณห์ทำเป็นนึกๆ ก่อนจะส่ายหน้า
“ผมมายืนตรงนี้สักพักแล้ว ไม่เห็นมีใคร นอกจากผมคนเดียว คุณจะตรวจอาวุธผมก็ได้นะ เชิญเลยครับ”
พูดพลางกางมือให้ สมชายมองอย่างนึกรู้ว่าติณห์จงใจกวน เลยยิ้มสวนไป
“ไม่เป็นไรครับ ผมให้เกียรติคุณ อีกอย่างนึง ผมชักปืนไว ระยะไม่กี่เมตร ถ้าคุณแปลงร่างเป็นคนร้ายเมื่อไหร่ รับรองผมยิงไม่พลาดเป้า รอสักครู่นะครับ”
สมชายเดินกลับไปที่รถ พลางเปิดประตูให้พราวลงจากรถ เธอหันมามองหน้าเขายิ้มๆ ก่อนจะเดินตรงไปหาติณห์
“ขอโทษนะคะถ้าทำให้รอนาน”
ติณห์โผเข้ามากอดพราวไว้แน่น
“ดีใจจริงๆ ครับ ที่เห็นพราวของผมปลอดภัย”
สมชายเห็นภาพแล้วแทบห้ามตัวเองไม่อยู่ เขาขบกรามแน่น ก่อนจะปิดประตูรถกระแทกอย่างระบายอารมณ์
ไอ้เจ๋งชักปืนออกมา แอบเล็งปากกระบอกปืนไปที่พราว แต่ร่างของติณห์บังเธอเกือบมิด มันจึงจำต้องลดปืนลงอย่างหงุดหงิด
“ใจเย็นไว้ไอ้เจ๋ง หนนี้ ต้องไม่มีคำว่าพลาด มันใส่พานมารอให้เชือดแล้ว เย็นไว้”
ติณห์คลายอ้อมแขนออก พลางจับไหล่พราว แล้วมองสบตาราวกับรักมากเสียเหลือเกิน
“เรื่องระเบิด ทางผู้จัดละคร เค้าจะรับผิดชอบยังไงบ้างครับ ?”
“เค้ากำลังให้ทางตำรวจตรวจสอบหาหลักฐานอยู่ค่ะ ว่าเป็นอุบัติเหตุ หรือว่ามีคนจงใจ”
ติณห์ปรายตามองไปทางสมชาย แล้วยิ้มเยาะ
“ตำรวจ โน่นก็ตำรวจ แต่ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณ ยังไม่เห็นจับคนร้ายได้เลยสักคนเดียว”
พราวรีบพูดตัดบท
“เปลี่ยนเรื่องคุยเถอะค่ะคุณติณห์ พราวอยู่กับเรื่องถูกแทง ถูกระเบิด ถูกปองร้ายมาหลายวันแล้ว ให้พราวห่างจากเรื่องพวกนี้สักพักเถอะค่ะ”
ติณห์จำต้องหยุด จับมือพราวบีบแน่น จงใจให้สมชายเห็น พลางแอบมองเหล่ไปทางที่เห็นรถที่สะกดรอยตามขับหายไป แอบคิดว่าถ้าเป็นใครสักคนที่ปองร้ายเธออยู่ เขาควรจะล่อเธอไปตรงนั้น
“เราเดินเล่นไปทางโน้นดีกว่าครับ รู้สึกจะมีร้านอาหารอยู่ ไปนั่งคุยกัน ทานของว่าง ดื่มกาแฟกันดีกว่า”
สมชายรีบก้าวเข้ามาขวางไว้
“เดี๋ยวครับคุณติณห์ จะพาคุณพราวไปไหน ?”
“ไม่เป็นไรหรอกน่าบอดี้การ์ดสมชาย แค่เดินเล่นไปตรงร้านอาหารโน่นนิดเดียวเอง”
ติณห์แอบยิ้มสะใจ
“ถ้าคุณเป็นห่วง คุณก็ตามมาด้วยซิครับ ผมไม่ได้ห้าม ไปครับ”
ติณห์จูงพราวเดินไป สมชายจำต้องเดินตามหลังไปติดๆ ไอ้เจ๋งแอบมองตามทั้ง 3 คน แล้วยิ้มร้าย เมื่อเห็นโอกาสลอยมาถึงมือ
ติณห์เดินจูงมือพราวมาที่ริมแม่น้ำมุมหนึ่ง เธอหยุดยืนมองอย่างรู้สึกสบายใจและชื่นชอบ
“ผมดีใจนะครับ ที่มีโอกาสจูงมือคุณเดินเล่นแบบนี้ ไว้เมื่อไหร่ที่เราแต่งงานกัน ผมสัญญาครับ ว่าจะหาซื้อบ้านเก่าๆสวยๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาสักหลัง ตกแต่งใหม่ให้ซูเปอร์พราวได้พักผ่อน ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า และได้เห็นพระอาทิตย์ตกในตอนเย็น”
พราวฟังแล้วอดจะเคลิ้มไปไม่ได้ ติณห์จับมือเธอขึ้นมาจูบ สมชายยืนมองอย่างพยายามข่มใจ
ติณห์ทำทีเป็นยกมือถือขึ้นจะถ่ายรูปคู่ แต่ยังไม่ยอมปรับเป็นกล้องหน้า ทำให้ส่องเห็นว่าไอ้เจ๋งแอบซุ่มรอจังหวะอยู่ เขาแอบยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกล้องหน้าแล้วหันมาโอบไหล่พราวให้มองกล้อง พร้อมกับกดถ่ายรัว
ไอ้เจ๋งได้โอกาสเดินตรงเข้ามาที่พราวขณะกำลังก้มหน้าดูรูป พร้อมกับชักปืนออกมาจะเล็งไป แต่สมชายหันมาเห็น เขาชักปืนออกมาพร้อมกับตะโกนบอกเสียงดังลั่น
“ก้มลงคุณพราว หลบ”
สมชายลั่นไกยิงใส่ ไอ้เจ๋งรีบหลบฉากเข้าที่กำบัง
“ยังจะอยู่อีกทำไม รีบพาคุณพราวหนีไปก่อนคุณติณห์ เร็วซิ”
ติณห์จำต้องตามน้ำ และไม่อยากให้ตัวเองถูกลูกหลง รีบลุกประคองพราวขึ้น แล้วจูงมือเธอวิ่งหนีไป
แต่พราวไม่วายหันมามองสมชายอย่างเป็นห่วง
“นายสมชาย หนีมาเร็ว”
“คุณไปก่อน ไม่ต้องห่วงผม”
สมชายละสายตาจากไอ้เจ๋งหันไปมองพราว ทำให้มันได้โอกาสโผล่มายิงใส่เป็นชุด เขากลิ้งตัวหลบลงข้างทางเข้าหลังต้นไม้ ก่อนจะโผล่ออกไปจะยิงสวน แต่กลับเห็นมันกำลังวิ่งตามพราวกับติณห์ไป
ติณห์จูงมือพราวพาวิ่งหนีทะลุมายังตรอกซอกซอยชุมชนชาวบ้านริมแม่น้ำ ไอ้เจ๋งวิ่งไล่ตามมาข้างหลัง“อย่าหนีนะ วันนี้แกไม่รอดหรอกนังพราว”
มันลั่นไกใส่ไปหนึ่งนัด ในจังหวะที่ติณห์พาพราววิ่งเลี้ยวเข้าอีกซอยไป กระสุนพลาดเจาะเข้ากับสังกะสีแถวนั้น พราวกรี๊ดลั่น
“มันตามมาแล้ว”
ติณห์รีบคว้าแขนพาพราวหนี พลางคิดว่าจะทำยังไงถึงจะให้พราวถูกไอ้เจ๋งเก็บเนียนๆ โดยที่ไม่มีใครสงสัยเขา
สมชายวิ่งตามมา เห็นหลังไอ้เจ๋ง เลี้ยวไปที่ซอยข้างหน้า ก็รีบวิ่งตามไป
ติณห์จูงพราววิ่งหนีมา แต่จู่ๆ เธอก็ทรุดเพราะหมดแรง
และแล้วโอกาสของติณห์ก็มาถึง เขามองไปที่ร้านขายของเล็กๆข้างทาง
“งั้นเราหลบเข้าร้านนั้นก่อนเถอะครับ”
พลางรีบประคองพราวเข้าไปหลบในร้าน ไอ้เจ๋งวิ่งตามมา แต่ไม่เห็นทั้งคู่แล้ว
“วิ่งตามมาติดๆ มันจะหายไปไหนได้”
ติณห์ที่แอบอยู่ในร้าน คนละมุมกับพราว ทำเป็นโผล่หน้าแอบมอง จงใจให้ไอ้เจ๋งเห็น พอมันหันขวับมาเขาก็แกล้งทำเป็นรีบหลบ
ไอ้เจ๋งยิ้ม แล้วรีบเดินปรี่เข้าไปที่ร้าน พลางกวาดตามองหาพราว เจ้าของร้านออกมาจากหลังร้านเห็นเข้าพอดี ก็ตกใจร้องกรี๊ดเสียงดังลั่น แต่กลับถูกไอ้เจ๋งฟาดด้วยด้ามปืนล้มลงสลบ พราวที่ซ่อนอยู่มองเห็น รีบปิดปากตัวเองไม่ให้ร้องออกมา ขณะที่มือก็ควานหยิบไม้ช็อตยุงที่วางอยู่ขึ้นมากระชับไว้ พอมันโผล่หน้ามา เธอก็กระหน่ำฟาดเข้าไปเต็มแรง จนมันผงะล้มลง
พราวรีบออกจากที่ซ่อนจะวิ่ง แต่มันคว้าขาเอาไว้
“คุณติณห์ช่วยด้วย”
ติณห์จำต้องออกมาช่วย เตะไอ้เจ๋งล้มหงายไป พราวรีบวิ่งไป ไอ้เจ๋งลั่นไกยิงใส่ติณห์ แต่เขาหลบหลุดไปได้ทัน
ไอ้เจ๋งรีบวิ่งออกจากร้านตามพราวไป สมชายวิ่งตามมา เห็นมันกำลังวิ่งตามพราวไป ก็รีบวิ่งตามไปทันที
ติณห์โผล่ออกมาจากร้านค้า มองตามอย่างฉุนเฉียว
“โธ่เว้ย ไอ้โจรกระจอก แค่นี้จัดการนังพราวไม่ได้”
พราววิ่งหนีตายที่ร้านอาหารริมน้ำ หันไปเห็นไอ้เจ๋งไล่ตามมาติดๆ พลางหันไปเห็นเรือของร้านอาหาร ที่คนขับกำลังถอนสมอจะออกเรือไป เธอตัดสินใจวิ่งไปที่โป๊ะเทียบเรือ แล้วรีบก้าวขึ้นเรือไปทันที
ไอ้เจ๋งวิ่งตามมา เห็นพราวอยู่ในเรือ และเรือกำลังแล่นออกห่างจากโป๊ะ มันรีบไปที่โป๊ะ แล้วกระโดดลงเรือตามไป
พราวตกใจ รีบวิ่งไปหลบที่ด้านหลังเรือ สมชายวิ่งตามมาติดๆ กระโดดลงเรือตามไปอีกคน ตามด้วยติณห์
จบตอนที่ 13