พราว ตอนที่ 9
สมชายก้าวมาที่หน้าห้องน้ำ ซึ่งมืดไฟปิดมืดอยู่ พร้อมทั้งใช้ตะปบปืนที่เหน็บเอว ก่อนจะชักปืนออกเตรียมพร้อม มืออีกข้างกดไปที่สวิตช์ไฟ แล้วก็ถีบประตูผางเข้าไปกวาดตามอง มือที่ถือปืนเล็งไปในห้องน้ำ แต่กลับไม่พบใคร
ที่มุมมืดด้านนอกห้อง ชายคาดมาส์กยืนมองมา พอสมชายหันขวับไปมอง มันก็ถอยหลุบเข้าเงามืดแล้วหันหลบไปจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ผู้หญิงผมบ๊อบดำคนหนึ่งเดินรีบร้อนออกมานอกห้อง พร้อมกับแอบหย่อนมาส์กปิดหน้าทิ้งลงถังขยะหน้าห้อง แล้วเดินไปอย่างรวดเร็ว คลาดกับสมชายที่รีบเดินตามหลังออกมาติดๆ พลางพยายามมองหาคนแปลกหน้าตามลักษณะที่พราวบอกไปได้แบบฉิวเฉียด
หญิงผมบ๊อบเปิดประตูเข้ามานั่งเบาะที่นั่งคนขับ จากนั้นก็ใช้มือดึงวิกผมออกจากหัวโยนไปที่พื้นของเบาะข้างๆ พลางยื่นมือไปปรับกระจกมองหลัง
“เรียบร้อยครับคุณติณห์”
มันพูดเสร็จก็หันเสี้ยวหน้ามามองหน้าติณห์ ที่นั่งซุ่มอยู่ที่เบาะด้านหลังรถ
ที่แท้ชายชุดดำคนนั้น ก็คือมาโนช คนขับรถผู้ภักดีของติณห์นั่นเอง
สมชายยืนพูดโทรศัพท์กับสหวุฒิอยู่มุมหนึ่ง ขณะที่ตำรวจท้องที่มาตรวจหาหลักฐาน โดยมีผู้บริหารฟิตเนสมาคอยอำนายความสะดวก
พราวกำลังนั่งให้ปากคำตำรวจ 2 นายอยู่อีกมุมหนึ่ง เทรนเน่อร์ 3 คนช่วยกันพัดวีให้ดมยาจนประเสริฐฟื้นคืนสติ แต่ยังนั่งมึนๆ อยู่
“ตำรวจท้องที่มาถึงที่เกิดเหตุแล้วครับ ผมขอให้ถอดเทปกล้องวงจรปิดในฟิตเนสทุกจุดมาตรวจสอบดู โดยเฉพาะที่ห้องล็อกเกอร์หญิง แต่ผู้บริหารที่นี่บอกไม่ได้ติดกล้องภายในห้องล็อกเกอร์ ก็หวังว่าเราจะเห็นตัวคนร้ายที่ด้านหน้า ตอนเข้าและหนีออกไปจากห้องล็อกเกอร์ได้ครับ ยังไงผู้กำกับตามเรื่องเทปให้ด้วยนะครับ”
สมชายกดวางสาย พลางหันไปมองเห็นพราวให้ปากคำตำรวจด้วยท่าทางเครียดๆ
“ฉันจะไปรู้ได้ไงว่ามันเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ฉันไม่เห็นหน้ามัน ไฟติดๆ ดับๆ แล้วมันก็ใส่มาส์กปิดปากปิดจมูก จะมาคาดคั้นถามอะไรฉันนักหนา ทำไมไม่ถามนายคนนั้นดู เขามาจับล็อก ปิดปากฉันไว้”
พราวชี้ไปที่ประเสริฐ ที่รีบส่ายหัวดิก
“ผมจะช่วยคุณนะคุณพราว”
“ช่วยอะไร มาอุดปากฉัน”
พราวยก 2 มือปิดหู พร้อมกรีดร้องออกมาอย่างเสียขวัญ สมชายต้องรีบเข้าไปจับไหล่ปลอบ
“คุณพราวครับทำใจให้สบายครับ ไม่มีอะไรแล้ว ไม่มีอะไร พอแค่นี้ก่อน”
พราวลุกขึ้นซุกหน้ากับอกสมชาย พร้อมกับหลบหน้าหลบตาทุกคน
“พาฉันกลับบ้านนายสมชาย ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว พาฉันกลับ”
สมชายพยักหน้า ก่อนจะหันไปบอกตำรวจที่สอบปากคำ
“เดี๋ยวผู้กำกับสหวุฒิจะติดต่อประสานเรื่องคดีมาที่ท้องที่นะครับ ยังไงก็ช่วยทำคดีกันอย่างเงียบๆ ปิดข่าวหน่อยเพื่อความปลอดภัยและชื่อเสียงของผู้เสียหาย ส่วนเทรนเน่อร์คนนี้ ช่วยส่งตัวเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้วเช็คร่างกายให้ละเอียดด้วยนะครับ”
สมชายตั้งใจจะสื่อว่าให้เช็คประวัติของประเสริฐอย่างละเอียด ตำรวจทั้ง 2 นายรีบรับคำ
สมชายที่ทำหน้าที่บอดี้การ์ดอย่างเต็มตัว โอบประคองไหล่พราวเดินออกมาที่รถ จากนั้นรีบเปิดประตูส่งเธอขึ้นรถ แล้วรีบมาขึ้นด้านคนขับ พลางสตาร์ทรถ
ขณะที่สายตามองจับจ้องอาการของเธออยู่ตลอดเวลาด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นเธอร้องไห้เหมือนเด็กขี้แย ก็รีบล้วงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองออกมา หันไปจับหน้าเธอจะเช็ดน้ำตาให้
แต่พราวกลับเบือนหน้าหนี
“อย่ามายุ่งกับฉันน่า”
“ ไม่ยุ่งได้เหรอ ลืมป่ะ ผมเป็นบอดี้การ์ดคุณนะ หันหน้ามา นั่งนิ่งๆ”
พราวนั่งนิ่ง ให้สมชายเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ
“ครั้งต่อไปคิดว่าฉันจะรอดไหมบอดี้การ์ดสมชาย ?”
สมชายมองหน้าพราวด้วยความสงสารจับใจ แต่พยายามระงับความรู้สึก
“รอดซิ ถ้าบอดี้การ์ดของคุณยังชื่อว่าสมชายอยู่”
พราวยิ้มทั้งน้ำตา “จริงๆนะ คุณอย่าหลอกให้ฉันหลงดีใจ”
สมชายพยักหน้ารับ รู้สึกดีที่ทำให้พราวยิ้มออกได้บ้าง
“เอาล่ะ ผมจะไปส่งคุณกลับบ้านนะ เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ไว้คุณสบายใจขึ้นแล้วเราค่อยคุยกัน”
พราวถอนหายใจ “ฉันอยากพักเงียบๆ ไม่อยากกลับบ้านพี่แฟรงค์ ไปเจอใครในตอนนี้”
“แล้วคุณอยากให้ผมไปส่งที่ไหน ?”
ติณห์เปิดประตูเข้รามาในห้องของตรี แล้วก็ต้องช็อกเมื่อเห็นน้องชายที่มีสายระโยงระยางนั่งอยู่บนเตียง
“ทำไมกลับบ้านช้าครับพี่ติณห์ ผมรอพี่อยู่”
ติณห์ดีใจที่สุดในชีวิต รีบถลาไปหาตรีที่เตียง พร้อมทั้งกางมือทั้ง 2 ข้างออกแล้วโอบกอดน้องชายไว้เต็มอก อย่างรอวันนี้มานาน
แต่...สุดท้ายอ้อมกอดนั้นก็ว่างเปล่า ติณห์หันมองอีกที ร่างของตรียังคงนอนซีดไม่ไหวติงอยู่บนเตียง
มีเพียงเสียงเครื่องวัดการเต้นของหัวใจที่ดังเป็นระยะ 2 แขนติณห์ตกลงข้างตัว เข่าอ่อนทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ น้ำตาลูกผู้ชายไหลพราก
“ปาฎิหาริย์ เมื่อไหร่จะมีปาฎิหาริย์เกิดขึ้นกับน้องพี่ พี่จะต้องรออีกนานแค่ไหน หรือจนกว่านังคนนั้นจะชดใช้กรรมเสียก่อน”
ติณห์นึกย้อนไปวันที่ตรีเกิดอุบัติเหตุ เขารีบวิ่งเข้ามาในโรงพยาบาลอย่างร้อนใจ โดยมีมาโนชตามหลังมาด้วย
“น้องผม น้องผมอยู่ไหน ?”
ติณห์ระล่ำระลักถามพยาบาลทันทีที่ถึงแผนกฉุกเฉิน พลางหันไปเห็นร่างตรีที่นอนอยู่บนเตียงกำลังถูกเข็นออกมาจากห้องๆ หนึ่งในสภาพใส่ปลอกคอ ศีรษะพันด้วยผ้าก๊อซไว้รอบ มีเลือดเปรอะซึมไปทั่วร่าง เขารีบถลาเข้าไปหาน้องชายที่เตียง
“ตรี เป็นไงบ้าง ตรี ตอบพี่ซี ลืมตามองพี่”
ก่อนจะหันมากำชับนางพยาบาลที่เข็นเตียงมา
“รีบช่วยชีวิตน้องผมเร็วๆ เข้า จะต้องจ่ายสักกี่ล้านผมก็ยอม หมอต้องช่วยชีวิตน้องผมไว้ให้ได้เค้าเป็นน้องชายคนเดียวของผม เค้าต้องไม่ตาย เข้าใจไหม”
ติณห์ยืนมองตรีถูกเข็นออกไป แววตาเต็มไปด้วยความกังวล
ติณห์ร้อนรนใจจนนั่งไม่ติด เขาลุกเดินไปมา พลางเหลือบมองไปที่ห้องผ่าตัดตลอดเวลาอย่างรอคอย
“แกต้องรอดตรี แกต้องไม่ตาย แกยังมีอนาคต พี่รอแกอยู่ตรงนี้”
จากนั้นก็หันมาบอกกับมาโนช ที่เดินเข้ามายืนใกล้ๆ อย่างเป็นกำลังใจให้
“มาโนช ถ้าตรีต้องตายหรือพิการเพราะผู้หญิงคนนั้น ฉันจะไม่ให้อภัยเค้าเลย ฉันอยากจะรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
ติณห์กำหมัดทุบไปที่ผนังด้วยความแค้น มาโนชวางกระเป๋าข้าวของพร้อมมือถือของตรีลงที่ม้านั่ง
“ข้าวของของคุณตรีครับ ทางมูลนิธิเค้าเก็บออกจากรถไว้ให้”
ติณห์หันมานั่งลงอย่างเดิม มองข้าวของตรีแล้วสะเทือนใจ จากนั้นก็รีบคว้ามือถือตรีที่หน้าจอปริเป็นรอยร้าวมา แล้วรีบเปิดเข้าแกลอรี่รูป ที่เต็มไปด้วยรูปรถ วิวทิวทัศน์ เพื่อนๆ และรูปตัวเองที่ตรีถ่ายเล่น จนกระทั่งเห็น
รูปพราวถ่ายคู่กับตรีอย่างสนิทสนมในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง ติณห์ชะงักมอง พร้อมกับขมวดคิ้วเครียด ก่อนจะเปิดดูรูปต่อๆไปด้วยมืออันสั่นเทา มีรูปตรีถ่ายคู่กับพราวอีกหลายรูป ในอิริยาบถที่บ่งบอกถึงความสนิทสนม ติณห์จึงมั่นใจว่าผู้หญิงที่บอกเลิกตรี ต้องเป็นพราวแน่นอน
“พราว”
ติณห์กำมือถือ พร้อมทั้งขบกรามแน่น
มือของติณห์กุมมือตรีแน่น
“1 ปีที่ตรีต้องนอนทุกข์ทรมานอยู่บนเตียง นังดาราคนนั้นกำลังชดใช้ พี่จะทำให้มันต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ทุกข์ทรมานเป็น 10 เท่า แต่ดันมีไอ้สมชายเข้ามาเกะกะขวางทาง หึๆ ไม่มีทาง ต่อให้มีกี่สมชาย มันก็ขวางพี่ไม่ได้หรอก”
สมชายพาพราวมาที่คอนโดริมน้ำของเธอ เขารีบเดินไปเปิดผ้าม่านออก พลางหยุดมองออกไป เห็นมุมทิวทัศน์ริมเจ้าพระยาสวยงามอยู่เบื้องหน้า
“มีคอนโดหรู วิวสวยซะเปล่า มีเวลาได้นั่งชมวิวใช้มันให้คุ้มค่าบ้างรึเปล่าคุณ ?”
ไม่มีเสียงตอบจากพราว สมชายรีบหันไปมอง แต่เธอหายไปแล้ว
สมชายค่อยๆ เดินผ่านห้องนอนที่ประตูแง้มไว้เล็กน้อย ก่อนจะลองผลักเข้าไปดูอย่างเบามือ เห็นพราวนอนคว่ำขวางเตียงอยู่แบบหมดสภาพ
เขาหยุดยืนมอง พลางส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปถอดถุงเท้าให้พราวที่ใส่มาตั้งแต่ออกกำลังที่
ฟิตเนส
“ซกมกจริงๆ แม่ดารา นอนเข้าไปได้ยังไงทั้งชุดนี้ น้ำท่าก็ยังไม่ได้อาบ”
จากนั้นก็ค่อยๆ ถอดเสื้อวอร์มออกให้ พร้อมทั้งจับเธอหงายตัวขึ้น ก่อนจะช้อนตัวพาไปนอนหนุนหมอนดีๆ ที่หัวเตียง
จู่ๆ พราวก็เหวี่ยงทั้งขาและแขนเอียงข้างกอดเขาในท่ากอดหมอนข้าง จนสมชายล้มหงายลงบนเตียง “จะเล่นงี้เหรอ รู้ตัวรึเปล่าว่าคุณกำลังเล่นอยู่กับใคร เสือผู้หญิงนะ”
สมชายทำท่าเหมือนจะเข้ากอด เพราะคิดว่าเธอแกล้งหลับ แต่ปรากฏว่าเธอกลับหลับไม่รู้เรื่องจริงๆ เมื่อมองผ่านไหล่เธอไปที่โต๊ะข้างหัวเตียง ก็เห็นขวดยาคลายเครียดเปิดอยู่ มีแก้วน้ำพร้อมเหยือกน้ำวางอยู่ข้างๆ
“มิน่าหลับป็อกไปเลย”
ยามที่พราวไม่รู้ตัว สมชายสามารถมองหน้าเธอด้วยความรู้สึกรักอย่างเปิดเผย
“ไม่เคยมีใครสอนหรือไงแม่ซูเปอร์สตาร์ ว่าเวลาอยู่กับผู้ชาย 2 ต่อ 2 ห้ามหลับ”
พูดพลางลูบผม พร้อมกับสอดแขนโอบศีรษะของเธอมากอดไว้ แล้วจูบหน้าผากเบาๆ ด้วยสีหน้าสุดแสนห่วงใย
แฟรงค์เดินมาหามีนในบ้าน ด้วยสีหน้าเอาเรื่อง เอมี่ที่เดินตามหลังมา มองอย่างนึกหวั่นใจ
มีนลุกขึ้นยกมือไหว้แฟรงค์กับเอมี่ทั้งๆ ที่มือยังถือดอกไม้ที่ทำค้างอยู่
“เอากองไว้ตรงนั้นเลย”
เอมี่จับแขนเป็นเชิงเตือน แต่กลับถูกแฟรงค์สะบัดมือออกอย่างหงุดหงิด
“ถ้ามีนยังอยากให้พี่รับไหว้อยู่ล่ะก็ ไปกับพี่เดี๋ยวนี้”
มีนรีบปฏิเสธ “ไม่ค่ะ หนูไม่เอาปานแดงออก”
“ก็หนูรับปากกับพี่แล้ว อยู่ๆมาเปลี่ยนใจ มันใช้ได้ที่ไหน ไปกับพี่เดี๋ยวนี้”
พูดพลางเข้ามาคว้าแขนมีนจะดึงออกไป
“พี่แฟรงค์คะ มีนขอโทษ มีนผิด มีนคิดน้อยไปหน่อย ที่รับปากพี่พล่อยๆ มีนไม่อยากทำ”
แฟรงค์จ้องหน้าคาดคั้น “แต่เธอต้องทำ มาเร็วๆ”
แมนเดินออกมากับเด็กๆ อีกกลุ่มหนึ่ง เห็นแฟรงค์กำลังดึงแขนมีนไป
“เด็กๆ เค้าจะพาพี่มีนไปจากพวกเราแล้ว ขวางไว้ อย่าให้เค้าพาพี่มีนออกจากบ้านไปได้นะ”
เด็กเลยลุกกรูเข้าไปหาแฟรงค์
“อย่านะ อย่าเอาพี่มีนไป”
เด็กเข้ามามะรุมมะตุ้มแฟรงค์ แม่แก้วเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“ว้าย ตายแล้ว หยุดนะเด็กๆ ไปทำคุณพี่แฟรงค์ทำไม แม่สั่งให้หยุด หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
เมื่อรู้เรื่องว่าแมนเป็นคนยุให้เด็กมารุมแฟรงค์ แม่แก้วก็สั่งให้แมนรีบขอโทษแฟรงค์ทันที จากนั้นจึงหันมาทางมีน
“คุยกับพี่แฟรงค์ดีๆ นะลูก”
“ค่ะ แม่แก้ว”
แม่แก้วรีบดึงแขนแมนลุกเดินออกไปจากห้อง ขณะที่มีนตัดสินใจคุกเข่าลงกับพื้น ทำเอาแฟรงค์
ยกมือทาบอก ตกใจ
“พี่แฟรงค์ด่ามีนเลย จะว่ามีนยังไงก็ได้ มีนยอมรับผิดทุกอย่างค่ะ”
แฟรงค์ถอนหายใจ
“ด่าๆ ฉันด่าแล้ว เธอจะกลับไปหาหมอริวเอาปานแดงออกได้หรือยังล่ะ จะให้ฉันทำยังไงกับเธอดี ทำไมเธอถึงได้ดื้อๆ”
มีนเดินเข่าเข้าไปจับมือแฟรงค์ไว้
“มีนรักและเคารพพี่แฟรงค์ มีนอยากทำงานกับพี่ต่อไป อยากช่วยคุณพราวทำหน้าที่เป็นสแตนด์อินให้คุณพราวให้ดีที่สุด มีนสัญญาว่าจะดูแลภาพพจน์ของคุณพราวให้เป็นที่รักของทุกคน มีนทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว อย่าเอาสิ่งที่ติดตัวมีมาแต่เกิดไปจากมีนเลยนะพี่แฟรงค์ มันอาจจะดูอัปลักษณ์สำหรับคนอื่น แต่สำหรับมีน ปานแดงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมีนค่ะ พี่แฟรงค์เข้าใจมีนนะคะ”
แฟรงค์นิ่งมองแล้วก็ใจอ่อน ยื่นมือไปโอบตัวเธอมากอด
“โอเค. พี่เข้าใจจ้ะ บีบน้ำตาเก่งเหลือเกินนะ ฉันละเพลีย”
มีนยกมือไหว้ที่อกแฟรงค์ แล้วก็ยิ้มทั้งน้ำตา
แฟรงค์กับเอมี่เดินออกมาด้านนอก ก็เจอแมนที่ยืนดักรออยู่ แมนอยากจะบอกทั้งคู่ถึงอาการป่วยของมีน ไม่อยากให้พี่สาวต้องทำงานหนัก แต่ก็อึกอักไม่กล้าพูด ได้แต่พูดเลี่ยงๆ ออกไป
“ผมก็แค่ไม่อยากเห็นพี่มีนทำงานหาเงินจนเหนื่อย พี่ทั้ง 2 คนให้ผมช่วยก็ได้นะครับ มีงานอะไรให้ผมทำบ้างไหมครับ ? ผมอยากทำ”
พราว ตอนที่ 9 (ต่อ)
ยังไม่ทันที่แฟรงค์จะตอบอะไร แม่แก้วเดินออกมาได้ยินพอดี
“แมน ไปกวนอะไรคุณแฟรงค์กับคุณเอมี่ เค้าจะกลับแล้ว ตาแมนก็พูดไปตามประสาน่ะค่ะ อย่าไปใส่ใจเลยค่ะ”
แฟงรค์กับเอมี่เลยถือโอกาสลากลับ แม่แก้วหันมามองแมนอย่างอ่อนใจ
“เรื่องงานเราคุยกันแล้วนะลูก แมนช่วยงานแม่บ้านแสนรักแล้วก็เรียนไปอีกปีเดียวก็จบแล้ว” แมนจำใจต้องรับคำ พร้อมทั้งเดินคอตกเข้าบ้านไป
ขณะที่มีนซึ่งเดินหลบเข้าห้อง จู่ๆ อาการปวดหัวก็กำเริบขึ้น เธอรีบล็อกประตู ก่อนจะหยิบยาจากขวดป้อนเข้าปาก 1 เม็ด แล้วก็คว้าขวดน้ำที่วางอยู่ขึ้นข้างเตียงขึ้นมาดื่มจนหมด พลางทิ้งตัวลงนอนคุดคู้บนเตียง แล้วก็หลับตา 2 มือกำชายหมอนแน่น พยายามอดทนกับอาการปวดหัวที่รุนแรงมากขึ้น
“ทำไมวันนี้มันถึงปวดหัวมากกว่าทุกครั้ง”
มีนไม่รู้ตัวเลยว่ามะเร็งร้ายกำลังแพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว
พราวขยับตัวตื่นขึ้น ลืมตามองเห็นตัวเองนอนอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างดี รวมทั้งถุงเท้า และเสื้อวอร์มของตัวเองก็ถูกพับวางไว้อย่างดีที่ปลายเตียงพร้อมกระเป๋ากีฬา
“ไม่เสียแรงที่เลือกมาเป็นบอดี้การ์ด เป็นบอดี้การ์ดด้วย เป็นพ่อบ้านได้ด้วย”
จากนั้นก็รีบออกจากห้อง เพื่อไปหาเขา
ภายในเปิดไฟสลัวๆ รับกับบรรยากาศยามค่ำคืนริมแม่น้ำภายนอก ที่โต๊ะอาหาร มีอาหารวางครอบอยู่ พร้อมแสงเทียนสวยที่ลอยน้ำอยู่ในถ้วยแก้ว
พราวเดินไปเปิดดู เห็นเป็นข้าวผัดอเมริกัน แต่งหน้าด้วยซอสมะเขือเทศเป็นตา 2ข้าง และปากยิ้ม
“น่ากินมากๆเลยพ่อเชฟสมชาย”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ พราวหันมองหาไปทั่วห้อง
“บอกให้กลับ ก็กลับไปจริงๆเหรอเนี่ยะ เป็นบอดี้การ์ดประสาอะไร ทิ้งคนที่ต้องดูแลคุ้มครองชีวิตไว้ให้นอนหลับอยู่ในห้องคนเดียว”
พราวเปิดประตูเข้ามาในห้องน้ำ พลางเดินไปที่อ่างล้างมือ แล้วมองหน้าตาตัวเองในกระจก แล้วต้องชะงักเมื่อหันมองไปที่อ่างจากุซซี่หรูหราขนาดใหญ่ ซึ่งมีน้ำและฟองสบู่ฟูเต็มอ่าง
“ใครมาเปิดน้ำผสมสบู่ไว้เต็มอ่าง ?”
เธอทำใจกล้า ค่อยๆ ยื่นมือไปในอ่าง พลันก็มีมือโผล่พรวดขึ้นมาจากฟองสบู่คว้ามือเธอไว้ พราวหลับหูหลับตาร้องลั่น พร้อมทั้งพยายามดึงมือกลับ
“กรี๊ดเข้าไป เดี๋ยวได้แตกตื่นกันทั้งคอนโดหรอก ลืมตาดูซะก่อน”
พราวลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นสมชายนอนแช่อยู่ในอ่าง
“คุณ บ้าที่สุดเลย”
พราวระดมตี จนสมชายต้องจับมือของเธอไว้
“คนกำลังอาบน้ำ มาตีทำไมเนี่ยะ เดี๋ยวลุกขึ้นโชว์โป๊ซะเลย”
พราวหยุดกึก
“ทุเรศ อย่ามาทำอนาจารในคอนโดฉันนะ ฉันไม่อยากจะดูของๆ คุณหรอก ปล่อย”
พราวดึงมือตัวเองหลุดออกมา สมชายหัวเราะขำ พลางหันไปแช่น้ำทำหน้าสุดแสนสบาย
“ยังจะมาหัวเราะอีก คุณถือวิสาสะมากเลยนะ มานอนแช่อ่างฉันแบบนี้”
“อย่างกไปหน่อยเลยน่า นึกถึงบุญคุณกันบ้าง ผมน่ะอุตส่าห์ทำข้าวเย็นอร่อยๆ ไว้รอคุณ กลัวคุณตื่นขึ้นมา แล้วไม่มีอะไรจะใส่ท้อง”
พราวมองค้อน พลางหันไปเห็นเสื้อผ้าสมชายกองอยู่พื้น จึงรีบรวบขึ้นมา
“รักสะอาดมากนักใช่ไหม งั้นก็นอนแช่อ่างไปให้ตัวเปื่อยเลยทั้งคืน ฉันอนุญาต”
พูดจบก็หันเดินออกจากห้องน้ำไปทันที
“คุณ อย่าเล่นอะไรปัญญานิ่มแบบนี้นะ เอาเสื้อผมคืนมา”
สมชายตกใจลุกขึ้นยืนพรวด แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อนึกได้ว่าตัวเองโป๊อยู่ พลันก็เหลือบไปเห็นผ้าเช็ดตัวหวานแหววของพราววางอยู่ที่ข้างอ่างล้างมือ เขารีบไปคว้ามาปิดไว้
สมชายนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวตามพราวออกมาที่นอกห้องน้ำ
“แม่ดาราตัวแสบ เอาเสื้อผ้าผมคืนมาซะดีๆ”
“ไม่ให้ จะทำไม”
พราวพูดพลางทำเป็นกางเสื้อกางกางเกงของสมชายยั่ว
“ยะ อย่า”
สมชายยังพูดไม่ทันขาดคำ กางเกงในสีขาวของเขาก็ร่วงแผละลงที่พื้น พราวก้มลงมองแล้วร้องกรี๊ดขึ้นมาสุดเสียง
“โธ่เอ้ย ก็บอกว่าอย่าๆ เอาคืนมา”
สมชายวิ่งเข้าไปหา พราวถือเสื้อผ้าวิ่งหนีไปรอบๆห้อง ทั้งคู่วิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน
ครู่หนึ่งสมชายก็จับแผลที่ถูกไอ้เจ๋งแทง แล้วทรุดลง พราวตกใจ หยุดวิ่ง
“บอดี้การ์ดสมชาย นั่นแผลอะไร คุณเจ็บเหรอ เป็นอะไรมากรึเปล่า ?”
พราวเดินเข้ามาดู สมชายเลยได้ทีคว้าตัวเธอไว้ได้
“นี่นายแกล้งเจ็บเหรอ ผู้ชายมารยา สะตอเบอร์รี่”
สมชายหัวเราะร่วน
“ไม่ได้ซิ อยู่กับดารามันต้องแอ็คติ้งใส่ดราม่าหน่อย เดี๋ยวไม่ทันกัน”
พราวพยายามดิ้น แต่กลับถูกสมชายมือกาวโอบกอดไว้แน่น
“ไม่เอานะ อย่าทำอะไรฉัน ฉันล้อเล่น เอาของคุณคืนไป”
แล้วพราวต้องนิ่งอึ้ง เมื่อพบว่าหน้าสมชายซุกอยู่ข้างแก้มของเธอ ขณะที่ตัวเธอเองก็อยู่ในอ้อมแขนเปลือยของเขา
แต่ก่อนที่จะมีอะไรเลยเถิด เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น แฟรงค์กับเอมี่หิ้วถุงของกินเดินเข้ามา ทั้งคู่ถึงกับช็อก
แฟรงค์ปล่อยถุงร่วงแผละลงพื้น แล้วหงายเงิบลมใส่ สมชายกับพราวรีบผละออกจากกันทันที
สมชายที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงนุ่งผ้าเช็ดตัว นั่งเคียงข้างพราว ที่ช่วยกันพูดปฏิเสธว่าไม่มีอะไรเลยเถิดกันต่อหน้าแฟรงค์กับเอมี่
“เจ๊ ฉันว่าประเด็นผ้าเช็ดตัวหลุด มันไม่น่ากลัวเท่าประเด็นที่มีคนแอบเข้าไปจะทำร้ายพราวถึงใน
ฟิตเนสนะ”
เอมี่กลั้นขำ พลางหันมาบอกกับแฟรงค์ พราวถึงกับทำหน้าแปลกใจ
“รู้แล้วเหรอ ?”
เอมี่พยักหน้า “ผู้กำกับสหวุฒิโทร. มาบอกตะกี๊ เราเลยรีบบึ่งมาหาเธอ”
แฟรงค์หน้าเครียด
“นี่มันชักไปกันใหญ่แล้วนะ ขนาดมีบอดี้การ์ดตามติด มันยังกล้าลงมือ”
สมชายมองหน้าทั้งสามคม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมคิดว่ามันกำลังเดินหน้าเต็มที่ คุกคาม ข่มขู่ ทำให้คุณพราวเสียขวัญ อาจจะไม่อยากให้คุณพราวอยู่อย่างสงบก็ได้ ผมยังไม่อยากฟันธงว่ามันต้องการอะไร แต่ต่อจากนี้ไป ไม่ว่าคุณจะไปไหน ทำอะไร ก็ต้องระวังตัว
ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องเก็บตัว”
แฟรงค์ถอนหายใจเฮือก
“เก็บตัวได้ไง พรุ่งนี้ก็ต้องไปกองถ่ายละครอโยธยา เค้าเร่งจะปิดกล้องอยู่แล้ว”
สมชายหันไปมองพราวด้วยความเป็นห่วง
“จะไปเหรอ? แน่ใจนะว่าพรุ่งนี้สภาพจิตใจคุณพร้อมจะไปถ่ายละครได้”
พราวมองหน้าสมชาย อยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่พร้อม แต่แฟรงค์กลับพูดแทรกขึ้นมาก่อน
“พราวเป็นมืออาชีพ ไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งพราวได้ พรุ่งนี้ 6 โมงเช้า คุณมารอที่ล็อบบี้คอนโดก็แล้วกัน จะได้ตามไปคุ้มกันพราวที่กองถ่าย”
สมชายไม่เห็นด้วยที่พราวจะไป แต่ก็ไม่อยากทำตัวยุ่งเกินหน้าที่ ได้แต่ถอนใจแล้วลุกเดินกลับเข้าห้องน้ำไปแต่งตัว แฟรงค์ชะเง้อมองตาม แล้วหันมาจับมือพูดกระซิบกับพราว
“เป็นไงบ้างพราวของพี่ พรุ่งนี้ไม่ต้องห่วง หนูพักไปนะ พี่จะให้มีนไปแทน”
มาโนชเปิดประตูให้จันทร์จรีที่อยู่ในชุดกระโปรงสั้น สวยเซ็กซี่ก้าวเข้ามาในบ้าน เธอยืนมองไปทั่วบ้านอย่างทึ่ง
“แม่เจ้า คฤหาสน์ในฝัน”
มาโนชแอบมองด้วยสายตาคมกริบ
“เชิญคุณจันทร์จรีไปรอคุณติณห์ที่ห้องดินเน่อร์ด้านในก่อนนะครับ ผมจะไปเรียนคุณติณห์ให้ทราบ”
จันทร์จรีพยักหน้าอย่างไว้ตัว พลางค่อยๆปลดกระดุมเสื้อออก 2 เม็ด
“ค่อยหายร้อนหน่อย”
พลางสยายผมด้วยสีหน้ายิ้มกระหยิ่ม
ติณห์กำลังบีบนวดแขนขาให้ตรี ซึ่งเป็นกิจวัตรที่เขาต้องทำทุกวัน พลันเสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมๆ กับที่มาโนชเปิดประตูเข้ามารายงาน
“คุณติณห์ครับ คุณจันทร์จรีมาแล้วครับ”
ทั้งคู่ไม่ทันสังเกตว่าใบหน้าของตรีกระตุกขึ้นมานิดหน่อย เมื่อได้ยินชื่อจันทร์จรี
“ดูแลคุณตรีแทนฉันที”
ติณห์พูดพลางรีบเดินออกไป มาโนชนั่งลงทำหน้าที่แทน
เครื่องวัดระดับการเต้นของหัวใจ บ่งบอกว่าหัวใจของตรีเต้นเร็วขึ้น จนมาโนชแปลกใจ
“ทำไมอยู่ๆหัวใจถึงเต้นเร็วขึ้น หรือว่าคุณตรีจะฟื้นแล้ว คุณตรีครับคุณตรี ได้ยินผมไหมครับคุณตรี”
แต่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ และหัวใจของตรี ก็ค่อยๆลดลงมาเต้นในจังหวะปรกติเหมือนเดิม
ติณห์เดินเข้าประตูห้องดินเน่อร์มา เห็นจันทร์จรีเดินดูโน่นดูนี่อยู่ในห้องอยู่อย่างตื่นตาตื่นใจ สีหน้าของเขายิ้มร้าย เขาตั้งใจโทร. ตามเธอมา เพราะมีแผนจะหลอกใช้
“โทษทีครับ ที่ผมโทร. ตามมาดึกๆ ดื่นๆ”
ติณห์พูดพลางเดินไปยังโต๊ะที่มีไวน์แชร์อยู่พร้อมแก้ว จันทร์จรีหันมายิ้ม
“สามสี่ทุ่มไม่ถือว่าดึกหรอกค่ะ จรีเพิ่งทานข้าวกับเพื่อนเสร็จ กำลังเหงาอยู่พอดีเลยค่ะ”
“งั้นให้ผมเลี้ยงไวน์หลังอาหารนะครับ”
พูดพลางเปิดขวดเทไวน์ใส่แก้วส่งให้
จันทร์จรีส่งสายตาหวานเยิ้มให้ติณห์ตลอดเวลา เขามองสบตา และมองเลยไปเห็นว่าเสื้อของเธอถูกปลดกระดุมออก เห็นร่องอกลึก เขามองอย่างรู้ทันว่าเธอจงใจ แต่จันทร์จรีกลับตีความว่าติณห์กำลังจะติดกับเธอแล้ว
“วันนี้ผมได้คุยเรื่องคุณกับคุณพราวเรียบร้อยแล้ว”
จันทร์จรีหุบยิ้ม แต่พยายามเก็บความไม่พอใจเอาไว้
“คุณไปเจอคุณพราวมาเหรอคะ ?”
“ครับ เราไปออกกำลังที่ฟิตเนสด้วยกัน คุณพราวไม่ติดใจเรื่องคุณแล้วล่ะครับ ผมเห็นว่าพรุ่งนี้คุณมี
คิวจะไปถ่ายละครกับคุณพราว ก็เลยอยากจะบอกให้คุณสบายใจไว้ก่อน พรุ่งนี้จะได้ไปทำงานร่วมกับคุณพราวอย่างไม่มีปัญหา”
จันทร์จรีทำแสร้งงอน “ที่บอกเนี่ยะ ตกลงว่าคุณติณห์เป็นห่วงพราวใช่ไหมคะ คุณติณห์อ่ะ ใจดำ ไม่เป็นห่วงจรีบ้างเลยเหรอ”
“เป็นห่วงซิครับ ทำไมจะไม่เป็นห่วง เอ่อ ขอโทษนะครับ กระดุมเสื้อคุณหลุด ผมติดให้นะครับ”
ติณห์วางแก้ว ก่อนที่จะมาติดกระดุมเสื้อให้จันทร์จรีอย่างใกล้ชิด ขณะที่เธอส่งสายจาเชิญชวนเขาตลอดเวลา
จันทร์จรียื่นหน้าเข้าไปจะจูบ แต่ติณห์กลับหันหน้าหลบในวินาทีที่ปากของเธอกำลังจะสัมผัสปากเขา ก่อนจะพูดอย่างเยือกเย็น
“ผมติดกระดุมให้เรียบร้อยแล้วครับ”
จันทร์จรี ยิ้มยั่ว “ไม่ว่าคุณจะติดหรือจะแก้มัน จรีก็ยอมค่ะคุณติณห์”
“ดื่มไปแค่นิดเดียว คุณเมาแล้วเหรอครับ”
“จรีไม่ได้เมา ที่จรีพูดออกมาทั้งหมดอย่างไม่อาย เพราะจรีรักคุณ จรีไม่อยากจะเก็บมันเอาไว้ในใจคนเดียวอีกต่อไปแล้ว”
พูดพลางโอบแขนกอดเขาไว้แน่น ติณห์แอบยิ้ม ที่เธอช่างติดกับเขาได้อย่างง่ายดาย
“ผมรู้สึกดีนะครับที่คุณจรีมีใจให้ผม แต่ว่าตอนนี้ผมมีคุณพราวอยู่แล้ว”
“หมายความว่าถ้าไม่มีพราว คุณก็รับรักจรีได้ใช่ไหมคะ?”
ติณห์ทำเป็นเงียบ
“คุณไม่ต้องตอบหรอกค่ะ เพราะถึงจะมียัยพราว จรีก็ไม่สนหรอก ก็จรีรักคุณนี่ จรีมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆคุณ ใครจะมาจิกหัวชี้หน้าด่าว่าจรีเป็นมือที่ 3 จรีก็ยอมค่ะ”
“ผมว่าคุณชักจะเมาแล้วนะครับ กลับเถอะครับ เดี๋ยวคุณจะขับรถกลับไม่ไหว”
“กลับไม่ไหวก็ให้จรีค้างกับคุณที่นี่ซิคะ นะคะคุณติณห์”
ติณห์ดึงมือจันทร์จรีที่โอบเอวของเขาออก
“ผมบอกแล้วไงครับว่าผมมีคุณพราวอยู่แล้ว คุณอย่าทำอย่างงี้เลย กลับไปเถอะครับ”
“ไม่ค่ะ อย่าไล่จรี จรีไม่กลับ จรีจะอยู่กับคุณ จรีรักคุณ”
จันทร์จรีพยายามจะกอด แต่กลับถูกติณห์จับมือไว้ พร้อมทั้งทำเป็นดุใส่
“กลับไปเถอะครับคุณจรี ผมขอร้อง”
จันทร์จรีรีบคว้ากระเป๋า สะบัดหน้าวิ่งออกไป ติณห์ยืนมองดูอย่างพอใจในผลงาน
“พรุ่งนี้ได้ถ่ายละครกันสนุกแน่”
จันทร์จรีวิ่งออกมา พลางปาดน้ำตาด้วยความแค้น
“นังพราว ฉันจะเปิดศึกชิงคุณติณห์กับแกอย่างเต็มรูปแบบ”
พราว ตอนที่ 9 (ต่อ)
ส้มจี๊ดยืนรอสุดเขตต์อย่างกระสับกระส่ายอยู่ที่หน้าบริษัท พลันเสียงข้อความไลน์จากจันทร์จรีก็ดังเตือนเข้ามา
“ยัยพราวจ้างบอดี้การ์ดส่วนตัว ไรย่ะ ฉันตกข่าวได้ไงเนี่ยะ หึ ตาฝาดไปป่ะเนี่ยะ บอดี้การ์ดยัยพราวชื่อสมชาย”
ส้มจี๊ดรีบเก็บมือถือ พลางก้มดูนาฬิกาอีกครั้ง
“ไม่มาก็อย่ามา”
ส่วนสมชายก็มาถึงที่ล็อบบี้คอนโด 6 โมงเช้าตรงเผ็ง ด้วยความกระตือรือล้นอยากจะเจอพราว แต่กลับไม่พบใคร
“นัดให้มา 6 โมง หึ ตรงเวลาดีมาก”
ขณะที่พราวยืนมองออกไปที่ระเบียงด้านนอก สีหน้าเครียด
“ตอนนี้บอดี้การ์ดสมชายคงมารอฉันแล้ว เค้าเป็นคนตรงต่อเวลา”
แฟรงค์รับเดินเข้ามาพูดปลอบ
“อย่านอยด์ไปหน่อยเลยพราว ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยแอนด์เพอร์เฟ็กต์ มีนจะทำหน้าที่แทนพราวได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอบให้พี่ชื่นใจหน่อยซิมีน?”
มีนยิ้มรับ “ค่ะพี่แฟรงค์ มีนจะทำด้วยใจเต็มร้อย”
พราวหันหน้ามาเห็นมีนที่ยืนพร้อมอยู่ข้างหลัง แต่งตัวหน้าผมพร้อมเหมือนเธอราวกับเป็นคนๆเดียวกัน ยกเว้นสายตาที่ดูใสซื่อเจียมเนื้อเจียมตัว และดูห่วงใยพราว
“ดูท่าทางคุณพราวเหนื่อยมากเลย คุณพักเถอะนะคะ ไม่ต้องห่วง มีนจะแสดงละครแทนคุณให้ดีที่สุด”
พราวฝืนยิ้ม ยื่นมือไปจัดผมเผ้าให้มีน
“รู้มั้ย ฉันไม่ห่วงเรื่องแสดงละครเลยมีน ที่ฉันยอมให้เธอไปเข้าฉากแทนฉัน เพราะฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอสามารถ แต่ที่ฉันห่วง ฉันห่วงว่าเค้าจะจับได้ว่าเธอกำลังแสดงเป็นฉันมากกว่า”
พราวหมายถึงสมชาย ทำเอามีนแอบหวั่นใจ แต่แฟรงค์รีบพูดตัดบท
“มิสแฟรงค์อยู่ทั้งคน โนพรอมแพรม พี่เตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้มีนหมดแระ เอานี่บท แว่นตา แล้วก็หูฟัง 3 สิ่งนี้จะช่วยให้เธอแคล้วคลาดจากนายสมชายได้”
มีนมองของ 3 สิ่งอย่างงงๆ
สมชายควักมือถือออกมากดจะโทร. ตาม แต่บังเอิญเหลือบไปเห็นแฟรงค์กับเอมี่พามีนในคราบของพราวเดินออกมา
มีนสวมแว่นกันแดด ใส่หูฟังที่เสียบต่อกับมือถือเหมือนกำลังฟังเพลงอยู่ ส่วนในมือถือบทละครสมชายยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาเคาะๆ แล้วพูดเหน็บ
“สงสัยนาฬิกาของผมจะเสีย เพราะมันเลย 6 โมงเช้ามาครึ่งชั่วโมงแล้ว”
พูดพลางมองไปที่มีน ซึ่งเขาเข้าใจว่าเป็นพราว อยากรู้ว่าเธอจะแก้ตัวยังไง แต่มีนทำเป็นยกมือแตะหูฟังเหมือนกำลังฟังเพลงอยู่ไม่ได้ยินที่เขาพูด
เอมี่รีบเล่นละครตามน้ำมองนาฬิกาทำเป็นตกใจ
“เอ่อ ว้ายเจ๊ 6 โมงครึ่งจริงๆ ด้วยอ่ะ”
“งั้นรีบไปเถอะหนู เราต้องไปกันอีกไกล เดี๋ยวกองถ่ายเฉ่งเอา ไปๆ”
แฟรงค์รีบจูงมือมีนในคราบพราวเดินออกไป พร้อมกับเอมี่ สมชายยืนมอง แทนที่จะรู้สึกดีที่พราวสงบปากสงบคำ เขากลับฉุนที่เธอไม่เถียงตอบโต้อย่างที่เคย
สมชายขับไปตามทาง พร้อมกับมองกระจกซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง แฟรงค์กับเอมี่นั่งหลับคอพับคอเอียงไปแล้ว เหลือแต่มีนที่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถ พลางถอดแว่นกันแดดออก เพราะอยากมองทิวทัศน์ข้างนอกให้ชัดๆ แต่พอหันกลับมา ก็เห็นตาสมชายมองอยู่ที่กระจกมองหลัง เห็นสายตาแบบนั้น เธออยากจะบอกเขาเหลือเกินว่า...
เธอคือมีนไม่ใช่พราว !!
จากนั้นก็รีบใส่แว่นกันแดดกลับอย่างเดิมพร้อมทั้งคว้าบทละครมาทำเป็นเปิดอ่าน หยิบหูฟังขึ้นมาเสียบใส่หู
แทนที่จะเห็นสายตาเอาแต่ใจ ไม่ยอมใคร ยียวนใส่เขาเหมือนทุกครั้ง แต่กลับเห็นพราวทำเฉยชาใส่ ทำเอาสมชายยิ่งร้อนรุ่ม
สุดเขตต์มาถึงกองถ่ายแต่เช้า เพราะอยากเจอมีน ยิ่งได้รู้ว่ามีนปลอมตัวเป็นพราว เขาก็ยิ่งอยากรู้จักเธอยิ่งๆ ขึ้นไปอีก
“ขอให้เป็นมีนมาเข้าฉากแทนคุณพราวทีเถอะ”
ส้มจี๊ดเดินรีบร้อนเข้ามาในกองถ่าย เห็นสุดเขตต์อยู่ในกองแล้ว ก็รีบปรี่เข้าจิกทึ้งเสื้อด้วยความโมโหสุดเขตต์ที่ยืนยิ้มๆ คิดเรื่องมีนอยู่เพลินๆ ถึงกับสะดุ้ง
“บ้าอะไรวะไอ้ส้มจี๊ด”
“แกซิบ้า นัดมากองถ่ายด้วยกัน ทำไมแกไม่รอฉัน ปล่อยให้ฉันคอย”
“เบาๆ ซิไอ้ส้ม เอะอะโวยวาย ทำยังกับฉันเป็นแฟนแก แล้วทิ้งแกมางั้นแหละ”
ส้มจี๊ดถึงกับอึ้ง สุดเขตต์รีบแก้ตัว
“ฉันพูดเล่น ฉันจะไปทิ้งแกได้ไงวะ เพราะฉันไม่มีวันเป็นแฟนกับแก”
“ฉันไม่ใช่ยัยพราวใช่ไหมล่ะ แกถึงไม่อยากเป็นแฟนด้วย ฉันรู้ที่แกรีบมากองถ่ายเพราะอยากเจอยัยนั่น”
สุดเขตต์ตกใจรีบปิดปากส้มจี๊ด เพราะกลัวคนในกองได้ยิน
“ไอ้ส้มจี๊ด แกพูดอะไรของแกวะ ไปกันใหญ่แล้วนะเว้ย”
พอได้ยินธุรกิจกองตะโกนบอกผู้กำกับว่าแฟรงค์กำลังจะพาพราวเข้ามาแล้ว สุดเขตต์ก็ปล่อยมือ แล้วเดินผละไป ทำเอาส้มจี๊ดยิ่งหึง
สุดเขตต์เดินมา พร้อมกับที่คณะของแฟรงค์ลงจากรถพอดี เขาหยุดมองไปที่มีนที่กำลังก้าวลงจากรถ รู้สึกตื่นเต้นบอกไม่ถูก
ในจังหวะนั้นเธอก็เงยหน้ามองเขาอย่างอึ้งๆ สุดเขตต์จึงแอบยิ้มอย่างมั่นใจว่า เธอคือมีน เพราะถ้าเป็นพราวจะไม่มีทางญาติดีกับเขาแน่ๆ
สมชายเหล่มองเห็นสีหน้าแววตายิ้มดีใจของสุดเขตต์ที่ส่งมาให้มีน และเธอมองตอบ เขาก็ยิ่งร้อนรุ่มด้วยความหึง
แฟรงค์ประกาศต่อหน้าทีมงานในกองถ่าย และบรรดานักข่าวที่เตรียมจะมาสัมภาษณ์พราว
“ขอปุกาดให้รู้ทั่วกันเลยนะฮะ ทั้งทีมงานและนักข่าว ว่าถ้าเห็นพราว-พิชญาดาไปไหนมาไหนกับหนุ่มคนนี้ ขอให้ลด-ละ-เลิกและห้ามจิ้น หรือมโนเป็นอย่างอื่นเด็ดขาด เพราะเค้าคือบอดี้การ์ดสมชาย บอดี้การ์ด
ส่วนตัวของพราวนะฮะ”
สุดเขตต์ถึงกับอึ้ง ส้มจี๊ดมองอย่างคุ้นหน้า
สมชายคุ้มกันมีนในคราบของพราวเดินผ่านหน้าสุดเขตต์ ที่ปรายตามองตาม แต่เจอเข้ากับสายตาสมชายที่มองจ้องมา 2 หนุ่มปะทะสายตากัน สุดเขตต์รับรู้ได้ถึงความไม่พอใจ และเคลือบแคลงใจของสมชาย เขาอดที่จะคิดกังวลใจไม่ได้
“สารวัตรสมชายอยู่ๆก็มาเปิดตัวเป็นบอดี้การ์ดให้คุณพราว เค้าจะรู้เห็นเรื่องที่คุณมีนปลอมตัวเป็นคุณพราวด้วยรึเปล่า? ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ที่เค้าจะไม่รู้”
พลันส้มจี๊ดเดินเข้ามา ด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ฉันนึกออกแล้วสุดเขตต์ นายบอดี้การ์ดสมชายของยัยพราว เค้าเป็นคนๆ เดียวกับที่พาตัวยัยพราวออกไปจากห้างวันที่ชุลมุน”
สุดเขตต์แอบเครียด เพราะไม่อยากให้ส้มจี๊ดรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพราวกับสมชายมากนัก โดยเฉพาะเรื่องที่สมชายคือผู้ชายพายเรือที่อัมพวา
“วันนั้นฉันก็ตะหงิดๆ ว่าหมอนี่เป็นใครวะ อยู่ๆ ก็โผล่มาพาตัวยัยพราวออกไป ท่าทางเหมือนจะสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก มีอะไรพิเศษกันรึเปล่าน้า ?”
ส้มจี๊ดพูดพลางยิ้มร้าย
“ไอ้ส้ม ไอ้หมกมุ่น แกก็คิดไปในแง่ชู้สาวอยู่เรื่อย ก็คุณสมชายเค้าเป็นตำรวจ เค้าก็คงถูกขอร้องให้มาช่วยดูแลคุ้มครองความปลอดภัยให้คุณพราวน่ะซิวะ?”
“ว่าไงนะ? เป็นตำรวจ แล้วแกรู้ได้ไงห่ะ ว่านายสมชายเป็นตำรวจ”
สุดเขตต์นึกโมโหตัวเอง ที่ดันหลุดปากออกไปให้เรื่องยาวไปกันใหญ่
สมชายพามีนในคราบของพราวเข้ามาซุ้มแต่งตัว จันทร์จรีที่นั่งแต่งตัวอยู่ก่อนแล้ว หันมาเหล่มองอย่างหมั่นไส้
มีนเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ จันทร์จรี ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งในบทบาทของพราว
“ว่าไงไอ้สุดเขตต์ แกรู้ด้วยเหรอว่าเค้าเป็นตำรวจ รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
ส้มจี๊ดคาดคั้นถามสุดเขตต์
“ก็รู้ตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องตำรวจล้อมจับแก๊งค้ายาบ้าที่ห้าง แล้วคุณพราวถูกลูกหลงนั่นแหละ สารวัตรสมชายเค้าเป็นหัวหน้าชุดเข้าปฏิบัติการในวันนั้น”
“ยศสารวัตรซะด้วย แล้วไมแกไม่เคยบอกฉันเลย ว่ารู้จักนายบอดี้การ์ดนั่น”
สุดเขตต์รีบอธิบาย
“ฉันก็เพิ่งรู้ว่าเค้ามาเป็นบอดี้การ์ดให้คุณพราววันนี้พร้อมๆ กับแกนั่นแหละเว้ย”
พูดพลางก็เดินแยกออกไป ส้มจี๊ดโวยตามหลัง
“แหม ถามเรื่องยัยพราวนิดๆหน่อยๆ ทำไมเป็นมาอารมณ์เสียใส่ ถึงกับต้องจ้างบอดี้การ์ดส่วนตัว ทำตัวยังกับเป็นดาราฮอลลีวู้ด แม่ดาราสร้างภาพ คิดเหรอว่ามีบอดี้การ์ดแล้ว จะลับลวงพรางนักข่าวอย่างส้มจี๊ดได้”
จันทร์จรีเริ่มหาเรื่องระรานมีน ซึ่งกำลังนั่งให้ช่างทำผม เพราะเข้าใจว่าเป็นพราว
“ดูซิ พราวเล่นแต่งหน้าจัดเต็มมาจากบ้านแบบนี้ ไม่รู้หรือไงจ๊ะพราว ว่าวันนี้ถ่ายซีนบู๊เดินป่าน่ะ”
มีนพยายามตั้งสติตอบโต้ตามคาแรกเตอร์ของพราวให้เหมือนที่สุด
“รู้ ทำไมเหรอ?”
จันทร์จรียิ้มเยาะ “รู้แล้วยังแต่งหน้าเข้มมาอีก ดูดิปากแก้มแดงเกินจริง เดี๋ยวผู้กำกับได้วีนแตก แต่ไม่ได้วีนเอากับพราวหรอกนะจ๊ะ แต่จะวีนพี่ช่างแต่งหน้าเค้าแทน”
จันทร์จรีพุดเสี้ยม ช่างแต่งหน้าหน้าตื่น รีบคว้าทิชชู่ยื่นมาจะลบแก้มด้านที่เป็นปานแดงของมีน แต่เธอเบือนหน้าหลบทัน
“จะทำไรคะ ?”
“ก็จะลบบรัชออนที่แก้มออกหน่อยน่ะซิคะ”
มีนจับแก้มบริเวณที่เป็นปาน
“ลบออกแล้วรองพื้นตรงนี้ ไม่หลุดหมดเหรอ”
“หลุดก็ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวรองพื้นให้ใหม่ค่ะ นะคะ ลบแก้มออกหน่อย เดี๋ยวพี่โดนด่าเละกลางกองถ่าย”
ช่างแต่งหน้าพูดพร้อมกับยื่นทิชชู่มาเช็ด โดยที่มีนไม่ทันตั้งตัว
“พี่มาลบได้ไงคะ พราวยังไม่อนุญาตเลย”
ช่างแต่งหน้าหยุดกึก จันทร์จรีได้ที
“ไปด่าเค้าทำไม เค้าทำตามหน้าที่ของเค้า คิดว่าตัวเองเป็นดาราใหญ่ แล้วจะข่มเหงทีมงานหรือไงยะ งั้นฉันจะลบให้เอง”
พูดพลางกระชากทิชชู่ออกมา อีกมือคว้าขวดน้ำเปล่าของตัวเองมาทำท่าจะราดใส่หน้า แต่มีนไหวตัวทัน รีบจับมือจันทร์จรีไว้
“เธอมายุ่งอะไรด้วย หยุดนะจรี”
“เธอนั่นแหละหยุด อยู่เฉยๆ ฉันจะล้างหน้าให้หล่อนเองนังพราว”
ช่างหน้า-ผม-คอสตูมพากันตกใจ ขณะที่มีนกับจันทร์จรียื้อยุดมือกัน สมชายได้ยินเสียง รีบปรี่เข้ามาจะห้าม
“เฮ้ยคุณ หยุดนะ จะทำอะไรคุณพราว”
มีนอาศัยความคล่องและเก่งการป้องกันตัวที่เรียนจบพละมา บิดข้อมือจันทร์จรีข้างที่ถือขวดน้ำ จนน้ำรดใส่ตา ใส่หน้าตัวเองเต็มๆ
จันทร์จรีร้องลั่น แสบตาข้างที่น้ำเข้า จนต้องปล่อยขวดน้ำร่วง สมชายหยุดชะงักมอง นึกแปลกใจที่พราวไม่ได้เสียท่าอย่างที่คิด
แฟรงค์ตามเข้ามาจะเอาเรื่องจันทร์จรี แต่เอมี่ห้ามไว้ ขณะที่ทีมผู้ดูแลจันทร์จรีจากบริษัทของติณห์ รีบเข้ามาดึงตัวเธอออกไป
สมชายยิ่งมอง ก็ยิ่งสงสัย ที่เห็นพราววันนี้ดูมีสติ และสามารถรับมือกับเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี ซ้ำยังมีทักษะการต่อสู้อีกด้วย
พราว ตอนที่ 9 (ต่อ)
จันทร์จรีที่ถูกทีมผู้ดูแลพาตัวออกมา ก็หันไปย้ำว่าห้ามรายงานเรื่องนี้กับติณห์เด็ดขาด
“ มันเป็นเรื่องระหว่างฉันกับนังพราวคู่แข่ง ไม่เกี่ยวกับงาน เข้าใจไหม ?”
พลางมองกลับเข้าไปด้านในอย่างแค้นใจ คิดจะเอาเรื่องพราวให้ถึงที่สุด
สมชายเดินผละออกมารับสายจากผู้กำกับสหวุฒิ
“เจอหลักฐานเพิ่มเติมที่ฟิตเนสเหรอครับ มาส์กปิดหน้า เจอที่ไหนครับ? ในถังขยะหน้าห้องล็อกเกอร์รูมเหรอครับ งั้นก็แปลว่าคนร้ายมันถอดหน้ากากปิดปากไว้ก่อนที่จะหนีออกจากฟิตเนส”
เขาเดินพูดโทรศัพท์เพลิน ห่างจากซุ้มแต่งตัวมาเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว
“แต่เมื่อคืนถอดเทปกล้องวงจรปิดดูแล้ว ไม่เห็นผู้ชายตามลักษณะที่คุณพราวบอกเดินออกมาจากห้องนั้นเลยนะครับ แล้วมันจะหนีออกไปตอนไหน ? ผมว่าต้องเช็คเทปกล้องวงจรปิดดูให้ละเอียดอีกทีนะครับผู้กำกับ
แล้วเทรนเน่อร์ฟิตเนสที่ชื่อประเสริฐคนนั้นล่ะครับ ยังอยู่ที่โรงพยาบาลเหรอ ? ไม่พบพิรุธหรือประวัติทำความผิดอะไรเลยเหรอครับ?”
สมชายถอนใจอย่างเซ็งๆ ที่ไม่มีอะไรคืบหน้าได้อย่างใจเขาเลย
“ตอนนี้ผมมาทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดซุปตาร์พราวอยู่กองถ่ายที่อยุธยาน่ะซิครับ แต่ถ้าผู้กำกับได้เบาะแสอะไร หรือรู้ตัวคนร้ายรีบโทรตามผมเลยนะครับ ผมจะไปลากคอมันเอง ครับผม รับทราบครับ”
จากนั้นก็รีบกดวางสาย แล้วหันหลังจะเดินกลับไปที่ซุ้มแต่งตัว แต่ส้มจี๊ดเดินเรียกมาแต่ไกล
“เดี๋ยวค่ะ คุณบอดี้การ์ดสมชาย”
มีน ในคราบของพราว แต่งตัวเป็นแม่หญิงแก้วเจ้าจอมเสร็จเรียบร้อยแล้วแล้ว กำลังถือกระจกส่องดูหน้าตาของตัวเองให้แน่ใจว่ารองพื้นปกปิดปานแดงได้เนียนสนิท พลางก็เหลือบมองเห็นสุดเขตต์ยืนอยู่ที่มุมไกลๆด้านหลัง
สุดเขตต์มองมาที่มีนเหมือนมีอะไรอยากจะคุยด้วย เธอรู้สึกไม่สบายใจ เกรงว่าถ้าเขาหลุดปากบอกใครเรื่องที่เธอปลอมตัวเป็นพราว ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ
มีนตัดสินใจที่จะคุยกับสุดเขตต์ให้รู้เรื่อง จึงอาศัยจังหวะทุกคนเผลอ วางกระจกแล้วเดินออกไปจากซุ้มแต่งตัวอย่างรวดเร็ว
ส้มจี๊ดพยายามชวนสมชายคุยเพื่อเจาะข้อมูล
“มีคนบอกฉันว่าคุณเป็นถึงตำรวจ ยศไม่ธรรมดา เป็นถึงระดับสารวัตรเลย”
สมชายยิ้ม “แต่ไม่ต้องมีใครบอกผมหรอก ว่าใครเป็นคนบอกคุณ นายคนนั้นชื่อสุดเขตต์แน่ๆ”
“ก็แหงอยู่แล้วล่ะค่ะ ก็สุดเขตต์เป็นตากล้องทำงานอยู่กับฉันนี่คะ เค้ารู้อะไร เค้าก็ต้องบอกฉันหมดแหละ”
สมชายพยักหน้ากวนๆ
“อ๋อ เหรอครับ แต่คุณมาสนใจอะไรผม ผมไม่ใช่ซุปตาร์ ไม่ใช่คนในวงการ ผมแค่มาเป็นบอดี้การ์ดให้คุณพราวชั่วคราว”
“ก็นั่นแหละที่ฉันอยากรู้ ไฮโซติณห์ส่งคุณมาดูแลคุณพราวเหรอคะ?”
“อยากรู้เหรอครับ? อยากรู้ คุณก็ไปถามไฮโซติณห์เอาเองซิครับ คุณเป็นนักข่าว เดี๋ยวคุณก็ซอกแซกคำตอบจากเค้าได้ หรือไม่ก็ ไปถามจากตากล้องสุดหล่อของคุณดู เค้าอาจจะรู้เรื่องของผมหมดเลยก็ได้”
สมชายยิ้มกวน ก่อนจะหันเดินผละไป
สุดเขตต์เดินมองหามีน พลางแหวกกิ่งดอกโสนสีเหลือง ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำ จังหวัดอยุธยาที่ขึ้นอยู่ริมทาง
และแล้วก็เห็นมีนยืนอยู่ข้างหน้า เขาหยุดยืนมองอย่างอึ้งๆ เพราะมีนสวยเหมือนนางในประวัติศาสตร์จริงๆ พลางรีบยกกล้องขึ้นถ่ายรูป
มีนทำเป็นดุใส่ตามคาแรกเตอร์ของพราว
“หยุดถ่ายเดี๋ยวนี้นะ ใครอนุญาตให้คุณถ่ายรูปฉัน”
สุดเขตต์ลดกล้องลงยิ้มๆ “คุณดุไม่เนียนเลยนะครับคุณมีน”
มีนอึ้ง แต่พยายามควบคุมอารมณ์ เล่นบทพราวต่อไป
“ใครคะมีน คุณพูดถึงใครไม่ทราบ ฉันคือพราว-พิชญาดา”
“ใช่ ดูยังไงๆคุณก็คือพราว-พิชญาดา ทั้งรูปร่างหน้าตา เสื้อผ้าและการแสดง แต่ขอโทษนะครับ เปลือกภายนอกพวกนี้ ซ่อนมีนจากสายตาผมไม่ได้หรอก”
สุดเขตต์ยิ้มน้อยๆ พลางมาหยุดยืนจ้องตามีน จนเธอถอนใจอย่างยอมจำนน
“คุณแยกออกได้ยังไงคะคุณสุดเขตต์ ว่าคนไหนคุณพราว คนไหนคือฉัน?”
“ผมตอบคุณไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่ใช้แค่สายตา แต่ผมใช้ความรู้สึกของผมสัมผัสได้ว่า คุณเป็นมีนไม่ใช่พราว”
มีนอึ้งมองหน้าสุดเขตต์ในจังหวะที่ลมพัดเข้าหน้าเธอพอดิบพอดี ยิ่งนานวันเขายิ่งทำให้เธอประทับใจ
“เอาล่ะค่ะ ในเมื่อฉันปลอมตัวจากคุณไม่ได้ ถ้าอย่างงั้น ฉันอยากจะขอร้อง”
มีนยังพูดไม่ทันจบ สุดเขตต์ก็ขัดขึ้นมาก่อน
“ผมรู้ว่าคุณจะขอร้องอะไร ไม่ต้องกังวลไปครับคุณมีน ผมจะช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับ คุณทำงานเป็นสแตนด์อินให้คุณพราวให้สบายใจเถอะ ไม่ต้องห่วงว่าผมจะปากโป้งไปบอกใครหรอกครับ”
พูดพลางส่งยิ้มอย่างปรารถนาดีให้เธอ มีนยิ้มกว้างอย่างดีใจ และเต็มใจที่จะหยิบยื่นมิตรภาพให้เขากลับไป พลางยกฝ่ามือขึ้นชักชวนเขาสาบาน
“สาบานนะคะ ว่าคุณจะไม่บอกใครจริงๆ”
“ครับ ผมสาบาน”
สุดเขตต์พูดพลางยกฝ่ามือยื่นไปประกอบกับฝ่ามือมีน ทั้งมองมองสบตากันเนิ่นนาน ต่างคนต่าง รับรู้ความรู้สึกของกันและกันโดยไม่จำเป็นต้องพูด
สมชายเดินผ่านมาเห็นเข้า ก็ตัวชา พลางขบกรามจนเป็นสัน ภาพที่เห็นมันช่างบาดตาบาดใจ ส้มจี๊ดที่เดินตามหลังมา ก็มองจ้องด้วยอารมณ์หึง
สุดเขตต์กับมีนหันมาเห็น ก็ตกใจ รีบดึงมือออกจากกัน สมชายไม่พูดพร่ำ รีบเดินปรี่เข้าไปหา แล้วคว้าแขนมีนจะพาผละออกมา แต่สุดเขตต์กลับคว้าแขนมีนอีกข้างไว้
ผู้ชายสองคนต่างดึงแขนมีนไว้คนละข้าง สุดเขตต์ยิ้มอย่างใจเย็นกว่าเพราะรู้ว่าสมชายกำลัง
เข้าใจผิด
“ใจเย็นๆ ก่อนนะครับคุณสมชาย”
“ผมจะไม่ใจเย็น ถ้าคุณยังไม่ยอมปล่อยมือพราว”
“เราแค่คุยกัน...”
โดยไม่รอให้สุดเขตต์พูดจบ สมชายก็ผลักอกเขาออก จนมือหลุดจากมีน พลางชี้หน้าอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าผมเห็นคุณเข้าใกล้พราวอย่างเมื่อกี๊อีก เราได้เจอกันแน่คุณสุดเขตต์”
พูดพลางรีบดึงแขนมีนพาเดินไป สุดเขตต์จะเดินตามไปเคลียร์ แต่เธอหันมามองเป็นเชิงห้ามไว้ เขาจึงจำต้องหยุดยืนมอง ทั้งๆ ที่อยากบอกเหลือเดินว่า นั่นไม่ใช่พราวของสมชาย แต่เธอคือมีนของเขา
ส้มจี๊ดยืนมอง พลางทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ แต่เมื่อสุดเขตต์เดินหนีไปอีกทาง น้ำตาของเธอก็ไหลร่วง
สมชายเดินฉุนจูงมือมีนที่ยอมเดินตามมาแต่โดยดี ไม่ขัดขืนหรือพูดอะไรสักคำจนเขากลับเป็นฝ่ายทนอึดอัดไม่ไหว
“ไม่คิดจะพูดอะไรสักคำเลยเหรอคุณ นี่คุณจะกวนประสาทผมใช่ไหม ?”
มีนส่ายหน้านิ่งๆ สมชายจับไหล่ 2 ข้างของเธออย่างฉุนเฉียว
“คุณไปยืนคุยอะไรลับๆ ล่อๆ กับนักข่าวคนนั้น ตอบผมมา”
มีนเห็นอาการสมชายก็ดูรู้ว่าเขากำลังหึงพราว “แล้วทำไมคุณต้องโกรธขนาดนี้ด้วยคะ?”
“ก็ผมเป็นบอดี้การ์ดของคุณ”
“ใช่เหตุผลนี้เหรอคะ ไม่ใช่เพราะคุณหึงเหรอ ?”
มีนย้อนถามหยั่งเชิง สมชายได้สติ รีบแก้ตัว
“คุณกล้าพูดได้ยังไงว่าผมหึงคุณ นิยายรักเรื่องสั้นของเรา มันจบตั้งแต่อัมพวาแล้ว ไม่มีแสงหิ่งห้อยให้คุณเห็นในคืนเหงาอีก”
มีนมองต้องเข้ามาในดวงตาของเขา
“แต่แปลกนะคะ ฉันกลับเห็นแสงหิ่งห้อยในตาของคุณ ไม่อย่างงั้นคุณคงไม่มาเป็นบอดี้การ์ดให้พราวหรอก”
สมชายอึ้ง พร้อมกับแปลกใจ คำพูดไม่มีทิฐิแบบนี้ไม่น่าจะเป็นพราว
มีนเห็นความสงสัยในแววตาของเขา ก็รีบตัดบท
“ขอโทษนะคะ ฉันต้องไปถ่ายละครแล้ว”
พูดจบมีนก็รีบเดินผละไป สมชายยืนนิ่ง เหลียวมองตามไป เมื่อความหึงหวงลดดีกรีลง เขาก็เริ่มมีสติ มากขึ้น
“ถ้าไม่อากาศร้อนจนเพี้ยน วันนี้ยัยซูเปอร์สตาร์ต้องกินคลอลาเจนมาผิดขวดแน่ๆ”
ส้มจี๊ดวิ่งตามสุดเขตต์ที่เดินหนีมา พลางโวยวายใส่ทั้งน้ำตา จนสุดเขตต์แปลกใจ
“แกร้องไห้ทำไมเนี่ยะ ?”
“ก็แล้วแกไปจับมือถือแขนกับนังพราวทำไมล่ะ ทำยังกับไปเป็นแฟนกันงั้นแหละ”
สุดเขตต์รีบแก้ตัว
“แกอย่าใส่สีตีไข่ได้ไหมว่ะ จับมืออะไร ก็แค่ เอ่อ ยกมือแตะกันเฉย ๆ แกเป็นอะไรของแกวะ ร้องไห้ยังกับคนบ้า”
“ฉันจะบ้าก็เพราะแกไปยุ่งกับยัยพราวนั่นแหละ”
สุดเขตต์ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ
“ฉันจะยุ่งกับคุณพราวหรือผู้หญิงคนไหนผมก็เรื่องของฉัน แกมาร้องห่มร้องไห้ทำไมวะ?”
“ก็ฉันหวงแกนี่หว่า”
ส้มจี๊ดโพล่งออกมา เพราะไม่อยากกักเก็บความรู้สึกอีกต่อไป สุดเขตต์ ริ่มรู้สึกแปลกๆ
“แกอย่ามาพูดอย่างงี้นะ หวงมะเหงกอะไร เราเป็นเพื่อนกันนะเว้ย ให้มันมีขอบเขตกันบ้าง”
ขาดคำก็รีบเดินผละไป ส้มจี๊ดหันมาจะตะโกนบอกความในใจ
“ก็ฉันชอบ...”
แต่ก็รีบยั้งปากตัวเองไว้ พลางยืนมองเขาเดินจากไปทั้งน้ำตา
มีนที่ต้องมาสวมบทแม่หญิงแก้วเจ้าจอมแทนพราว วางดาบลงข้างตัว พลางก้มลงจะกวักน้ำล้างมือและแขน ขณะที่นักรบชาย-หญิงคนอื่นๆ กำลังเพลิดเพลินกับการล้างมือล้างหน้า น้ำใสเย็นๆ ทำให้ทุกคนชะล่าใจ
แม่หญิงหันมาจะคว้าดาบของตัวเองที่วางไว้เมื่อครู่ พบว่าดาบหายไปแล้ว แต่กลับเห็นจันทร์จรีที่แสดงเป็นชบายืนอยู่ โดยซ่อนมือข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง แม่หญิงยิ้มดีใจ พลางเดินเข้ามาใกล้ ชบาเงื้อดาบออกมาฟัน แต่แม่หญิงไหวตัวทัน ยก 2 มือขึ้นจับมือชบาไว้ทัน
“ โอ๊ะ ชบา เจ้าจะทำอะไร ?”
“ก็จะเอาเลือดแกล้างตีนฉันน่ะซิ อีลูกเจ้าขุนมูลนาย ฉันเกลียดแก”
จันทร์จรีในบทชบา ออกแรงกระชากมือที่ถือดาบออกจากมือแม่หญิง พลางตวัดดาบฟันอีกครั้ง แม่หญิงหลบวืด
เหล่านักรบคว้าอาวุธจะเข้ามาช่วย แต่มีข้าศึกจำนวนมากโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ ทำเอาเหล่านักรบตกใจ รีบตั้งรับข้าศึก
ชบาหันมาตะโกนสั่ง
“ฆ่ามัน ตัดคอเสียบประจานให้หมดทุกคน ดูสิ จะมีใครกล้าไปกอบกู้อโยธยา อีกไหม”
ข้าศึกเข้าต่อสู้กับเหล่านักรบอย่างดุเดือด แม่หญิงตกใจ
“นังชบา แกเป็นไส้ศึกหรือนี่ ?”
“ รู้ก็สายเกินไปแล้วแม่หญิง ฉันจะบั่นหัวสวยๆของแกออกจากบ่า แกตาย”
ชบาไล่ฟัน แม่หญิงคว้าท่อนไม้ขึ้นรับคมดาบ แล้วถีบชบาผงะออก จนดาบร่วงจากมือ แม่หญิงทิ้งท่อนไม้เข้าไปคว้าแขนชบาจะจับตัวไว้ แต่กลับถูกชบาหันมาเงื้อมือตบ แม่หญิงจับมือชบาได้ ทั้ง 2 ออกแรงงัดกัน จันทร์จรีออกแรงเล่นเป็นชบาอย่างใส่อารมณ์เต็มที่
“ฉันเกลียดแก ฉันจะฆ่าแก”
มีนตกใจที่เห็นจันทร์เล่นโอเว่อร์กว่าที่ซ้อม และดูเอาจริงมากกว่าแสดงละคร
ผู้ช่วยผู้กำกับที่นั่งอยู่ที่หน้ามอนิเตอร์ถึงกับออกปาก “คุณจรีจัดเต็มมาก ยังกับเกลียดนางเอกจริงๆ”
ผู้กำกับเชนหัวเราะร่า
“มันต้องร้ายอย่างงี้แหละ ถึงจะสมจริง”
สมชายมองมีนที่กำลังถูกล็อกคออยู่ในจอ สีหน้านั้นที่ไม่มีแววหวั่นเกรง ดวงตากร้าวแกร่ง ผิดกับพราวตอนที่ถูกประเสริฐจับล็อกคอในล็อกเกอร์รูม ต่อให้เป็นการแสดง พราวผู้บอบบางก็ไม่น่าทำอย่างที่เห็นในจอมอนิเตอร์ได้สมจริงขนาดนี้
คิดพลางเหลือบมองไปที่สุดเขตต์ เห็นอีกฝ่ายยืนกำหมัดยิ้มๆ อย่างชื่นชม นักข่าวคนอื่นก็มองอย่างไม่เชื่อสายตาเช่นเดียวกัน
“ที่เค้าร่ำลือว่าพราว-พิชญาดาดีแต่สวยกับเซ็ก เก่งแต่บทไฮโซหน่อมแน้ม เล่นบทบู๊ไม่ได้ หายไปไหนหมดเนี่ยะ ดูดิ เดี๋ยวนี้เล่นบู๊เองได้หมดเลย ทำเอาสแตนด์อินตกงาน”
อีกคนพูดเสริม “ไปซุ่มฝึกมาตอนไหนวะ ปุ๊บปั๊บก็เปลี่ยนเลย ผิดเป็นคนละคน”
ส้มจี๊ดที่ยืนอยู่ด้วย รีบพูดขัดขึ้น “คิดมาก มีครูมาสอนคิวบู๊ให้ ใครๆก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ”
“ทำได้กับทำเนียนสมจริง มันไม่เหมือนกันนะ ยังกับไม่ใช่พราวคนเดิม”
สมชายยิ่งฟัง ก็ยิ่งเห็นจริงตามนั้น
จบตอนที่ 9