ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 15
ภายหลังจากได้ฟังพงศ์เทพอธิบายจบลง ชาย 2 เจ้าของร้านอาหารไทยอีกแห่ง บอกพงศ์เทพขึ้นว่า
“จากที่น้องอธิบาย ลิเกทรงเครื่องก็น่าสนใจอยู่ แต่ที่ร้านมีคนมารำประจำทุกคืนอยู่แล้ว
“ผมขอแค่อาทิตย์ละคืนเองครับ”
“น้องลองไปถามร้านอื่นดูนะ”
ชาย 2 กลับไปคุยกับเด็กเสิร์ฟ
“ช่วยเหลือกันหน่อยก็ไม่ได้” เจ๋งบ่น
“อย่าไปว่าเค้าเจ๋ง เค้ามีสิทธิ์จ้างหรือไม่จ้างเรา”
พร้อมพงศ์เอ่ยถามขึ้น “คุยร้านแถวนี้ครบทุกร้านแล้ว ไปแถวไหนต่อเทพ”
“เข้าเมืองครับพ่อ”
พงศ์เทพยังไม่ท้อ ต้องมีซักร้าน ยอมให้เทียมฟ้ามาเล่น
ตอนกลางวัน วันเดียวกัน ณ ที่ว่าการเขตในกรุงเทพฯ
เสี่ยเต๊กกับเหลียนฮัวเดินทางมาหย่ากันที่เขตแถวบ้าน สองคนมารถคันเดียวกัน มีเหมยฮัวมาด้วยนั่งเศร้า อ้อนวอนพ่อกะแม่ตลอดทาง จนกระทั่งรถจอด
“เตี่ย หม่าม้า เปลี่ยนใจเถอะค่ะ”
“หม่าม้าทนเตี่ยเหมยมาทั้งชีวิตแล้ว อยากเป็นอิสระซะที”
“อั๊วจะติดปีกให้ลื๊อเอง พอมีปีก ลื๊อก็บินไปไกลๆ อย่ากลับมาตายรังที่อั๊ว”
เสี่ยเต๊กกับเหลียนฮัวลงรถ ต่างคนต่างใส่อารมณ์ปิดประตูรถคนละปัง! ใส่กัน เล่นเอาเหมยฮัวหน้าเศร้าน้ำตาจิไหล ตามเตี่ยกับหม่าม้าเข้าที่ทำการเขตไป
ที่เจ้าหน้ายื่นเอกสารหย่าให้เซ็น เหลียนฮัวไม่ลังเลสักนิด เซ็นทันที เหมยฮัวมองอยู่ข้างหลัง
เช็ดน้ำตาป้อยๆ เสียใจ เตี่ยกับหม่าม้า หย่ากันแน่แล้ว เสี่ยเต๊กจรดปากกา ไม่เซ็นใบหย่าซักที
เหลียนฮัวท้า “ใจถึงหน่อยเสี่ย”
“อั๊วมันใจนักเลงอยู่แล้ว” เสี่ยเต๊กเอาแต่ก็จดๆ จ้องๆ ไม่เซ็นชื่อในใบหย่าซ๊ากที
“ทำใจเซ็นได้แล้วปลุกอั๊วด้วย” เหลียนฮัวเลยทำเป็นหลับ ยวนผัว
“ลื๊อลืมตาเดี๋ยวนี้เลย ดูอั๊วเซ็นชื่อ” แต่สุดท้ายเสี่ยก็ไม่เซ็น
ที่แท้เสี่ยเต๊กไม่อยากหย่า เลยคิดหาเหตุผลมาอ้างแบบเอาสีข้างแถ
“อั๊วเปลี่ยนใจ อั๊วไม่หย่า หย่าก็ต้องแบ่งสมรสให้ลื๊อ เงินอั๊วทั้งนั้น อั๊วเสียดาย”
เหมยฮัวยิ้มทั้งน้ำตา ดีใจสุดๆ “ใช่ๆ เตี่ย หย่ากัน ก็ต้องแบ่งสมบัติ เตี่ยเสียประโยชน์”
“อาเหลียน อั๊วขอประกาศไว้ตรงนี้ ลื๊อต้องทนอยู่กับอั๊วไปชั่วชีวิต”
ไม่พูดเปล่า เสี่ยเต๊กฉีกเอกสารหย่าเป็นชิ้น ๆ
เจ้าหน้าที่ ดุ “ของราชการนะครับคุณ”
“เดี๋ยวไปจ่ายค่าเอกสาร”
เสี่ยเต๊กชิงไปก่อน เดี๋ยวโดนเมียท้าหย่าอีก เหลียนฮัวหัวเราะเยาะไล่ตามหลัง เสี่ยไม่แน่จริง
สามคนพ่อแม่ลูกออกจากสำนักงาน เดินกลับมาที่รถ
“อั๊วต้องเข้าไปดูงานที่เล้าจน์ ไปถึงเล้าจน์แล้ว ลื๊อค่อยขับรถพาเหมยกลับบ้าน” เสี่ยบอก
เหลียนฮัวไม่ยอม “อั๊วอยากกลับบ้านเดี๋ยวนี้ เสี่ยหาแท็กซี่ไปเอง”
เสี่ยเต๊กยัวะ “เฮ้ย นี่มันรถอั๊ว”
“เสี่ยไม่เซ็นใบหย่า รถเนี่ย ถือเป็นสินสมรส เป็นของอั๊วเหมือนกัน ไปลูก เหมย”
“เจอกันที่บ้านนะคะเตี่ย”
เหมยฮัวขึ้นนั่งหน้าคู่หม่าม้า เหลียนฮัวสบายใจเฉิบขับรถออกไปเลย
เสี่ยเต๊กถูกทิ้ง ทำหน้าตาขึงขังเหมือนโกรธเมีย แต่พอเหลียนฮัวขับรถลับตาไป เสี่ยเต๊กก็เปลี่ยนท่าที เป็นโล่งอก ยิ้มออก
“นึกว่าต้องหย่าจริงๆ ซะแล้วเรา”
ขณะที่เหมยฮัวกับอาจง ช่วยกันจัดห้องเด็กอ่อน เหมยฮัววางรถเด็กเล่นมุมหนึ่ง เหลียนฮัวเข้ามาหาลูกมองของเล่น มีแต่ของเด็กผู้ชาย
“ถ้าเป็นลูกสาวล่ะเหมย เด็กผู้หญิงไม่เล่นรถ”
“เหมยมั่นใจว่าเป็นผู้ชายค่ะ เหมยจะมีหลานชายให้เตี่ย หม่าม้า อย่าท้าเตี่ยหย่าอีกนะคะ คราวหน้าเตี่ยอาจเซ็นใบหย่า”
เหลียนฮัวหัวเราะอารมณ์ดี
“เตี่ยเหมยน่ะ ไม่มีวันหย่าหรอกลูก คนจีนหัวโบราณอย่างเตี่ยเหมย ถือเรื่องชีวิตคู่เป็นสำคัญ แต่งงานแล้วต้องอยู่ด้วยกันจนตายจาก”
อาจงยิ้มขัน “คุณนายลักไก่เสี่ย”
เหลียนฮัวบอก “อั๊วจะดัดนิสัยเสี่ย ไม่ปรับปรุงตัว อั๊วก็จะท้าหย่าอีก”
“หม่าม้าอ่ะ น่าจะบอกเหมย เหมยกลุ้มใจ นอนไม่หลับ” เหมยฮัวค้อนควักผู้เป็นมารดา
“เหมยชอบออกอาการให้เตี่ยจับได้ เตี่ยรู้ว่าหม่าม้าลักไก่ ก็กร่างเหมือนเดิมสิ”
“บทจะลุกขึ้นมาคุมเกมส์ หม่าม้าก็เป็นแม่ทัพที่ชั้นเชิงแพราวพราวจังนะคะ”
เหมยฮัวกอดเหลียนฮัว ภูมิใจในตัวหม่าม้าที่ซู้ด
อีกฟาก กระแตกับโก๊ะเอาขนมฝากขายแม่ค้าที่ตลาดเจ๊ทรงงามตรงเวลาตามเคย
“วันนี้ขนมเยอะหน่อยนะจ๊ะ”
“ขนมกระแตขายดี หมดทุกวัน”
ตุ้มมาซื้อของกินในตลาด กระแตกับโก๊ะเห็นตุ้มก็พุ่งเข้าไปด่า
กระแตเปิดหัว “แกมันอกตัญญู ปิดวิกชนเทียมฟ้า จงใจแย่งคนดู”
“ข้าวแดงแกงร้อนที่ครูเทียมเลี้ยงมา ไม่กำซาบในใจเลยรึไงตุ้ม” โก๊ะด่า
“กระแต โก๊ะ ชั้นก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้” ตุ้มหน้าเศร้า ท่าทางสำนึกผิดจริง
กระแตเดาออก “เป็นความคิดฟ้าประทานล่ะสิ”
“ฟ้าประทานสกัดดาวรุ่ง ไม่ให้คนไปดูพี่หลง ไม่ได้เจตนาแกล้งครูเทียม” ตุ้มแก้ให้...ผัวเก่า
“มันก็คือกันแหละ” โก๊ะว่า
“ชั้นขอโทษ ชั้นเสียใจ”
ตุ้มเสียใจจริงๆ ทำท่าจะร้องไห้ กระแตกับโก๊ะเลยเลิกด่า กลายเป็นสงสารแทน โดยเฉพาะกระแต
“โก๊ะกลับไปก่อน เดี๋ยวชั้นนั่งมอเตอร์ไซค์กลับเอง”
โก๊ะเดินไป กระแตมองตุ้มอย่างเห็นใจ
ตุ้มกับกระแตมานั่งกินน้ำคุยกัน ปรับทุกข์กันตามประสาผู้หญิง
“ชั้นขอฟ้าประทานแล้ว ฟ้าประทานไม่ยอม ต้องปิดวิกชนพี่หลงให้ได้” ตุ้มบอก
“เรื่องนั้นแกไม่ผิด ไม่ต้องแก้ตัวแล้วล่ะ ที่ชั้นชวนแกมานั่งคุย ชั้นอยากรู้ฟ้าประทานกับเจ๊ทรงงามรวมหัวกันรังแกแกเหรอเปล่า”
ตุ้มหงุดหงิดปนเศร้าขึ้นมาทันที “อีเจ๊ก็แค่ด่า ชั้นไม่สะเทือนหรอก แต่ที่ชั้นเสียใจ ฟ้าประทานชอบทำเหมือนชั้นเป็นส่วนเกิน”
“ฟ้าประทานไม่รักแกแล้ว แกก็ตัดใจ หาคนใหม่ ผู้ชายดีๆ มีเยอะแยะ”
“แกมียางลบวิเศษมั้ยล่ะตุ้ม ชั้นจะได้ลบฟ้าประทานออกจากหัวใจ”
“อยากน้ำตาตกใน ก็เอาเถอะ แกมีอะไรก็โทรหาชั้น นัดชั้นออกมาคุยก็ได้ชั้นรู้แกไม่มีใคร”
“ขอบใจนะกระแต”
ตุ้มกับกระแตยิ้มให้กัน
กระแตนั้นถึงจะปากร้ายแต่ก็รักและห่วงตุ้มมาก อยากเห็นตุ้มมีความสุข
ดวงอาทิตย์แผดแสงแรงร้อนเหนือกรุงเทพฯ สมกับเป็นแดดยามบ่าย พงศ์เทพ หรือ หลง ขับรถตระเวนหาร้านอาหาร เพื่อติดต่อให้เทียมฟ้ามาแสดง
“แถวนี้ร้านอาหารเยอะ”
เขาจอดรถริมฟุตบาท พอดับเครื่องรถ ก็ได้ยินเสียงท้องพ่อร้อง จ๊อกๆๆ พงศ์เทพดูนาฬิกา
“บ่ายสองแล้วเหรอ พ่อกับเจ๋งไปหาข้าวกินนะครับ ผมจะไปเดินหาร้าน”
“แล้วเอ็งไม่กินเหรอ”
“ยังไม่หิวครับ”
เจ๋งท้วง “กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะพี่ หาอะไรรองท้องก่อน”
“ครูเทียมให้โอกาสพี่ เพราะฉะนั้น วันนี้พี่ต้องหาร้านให้เทียมฟ้ามาเล่นให้ได้ เจ๋งพาพ่อพี่ไปกินข้าว แล้วกลับมารอพี่ที่รถ”
พงศ์เทพลงจากรถไปก่อน พร้อมพงศ์กับเจ๋งแยกไปหาข้าวกิน
พงศ์เทพเดินตากแดดร้อนเปรี้ยง เข้าออกร้านอาหารหลายร้าน ถามเจ้าของร้าน ว่าสนใจจ้างลิเทรงเครื่องมาเล่นมั้ย ทุกร้านปฏิเสธพร้อมเพรียง พงศ์เทพเดินอยู่เป็นชั่วโมง ทั้งเหนื่อย ทั้งร้อน หิวก็หิว แต่ไม่ท้อ ย่ำเท้าเดินหาร้านต่อไป
จากค่ำจนดึกแล้ว พงศ์เทพยังร้านให้เทียมฟ้ามาเล่นลิเกไม่ได้ พร้อมพงศ์ขับรถให้ เพราะลูกชายปวดหัว
พร้อมพงศ์ห่วงลูก “ไหวมั้ยเทพ”
“แค่ปวดหัว เดี๋ยวก็หายครับพ่อ เมื่อกลางวันเดินตากแดดร้อนเปรี้ยง...จอดร้านนั้นครับพ่อ”
พงศ์เทพชี้ร้านอาหารสไตล์ไทย บรรยากาศดูดี น่านั่ง พร้อมพงศ์จอดรถหน้าร้าน
“รีบเข้าไปถามเลยพี่ 5 ทุ่มกว่าแล้ว เดี๋ยวร้านปิด”
ทั้งหมดรีบลงรถเข้าร้านอาหารนั้นไป
พวกพงศ์เทพเข้ามา ภายในร้านตกแต่งสไตล์ไทย สวย มีคลาส แต่ร้านปิดแล้ว พนักงานเก็บเก้าอี้ ชายเจ้าของร้าน กดเครื่องคิดเลขคิดเงินรายได้วันนี้
“ครัวปิดแล้วครับ”
“สวัสดีครับพี่ ผมเป็นพระเอกลิเก อยู่คณะเทียมฟ้าสุวรรณศิลป์ คณะดังของอำเภอบางไทร อยุธยา นี่รูปผมตอนแต่งลิเกครับ”
ว่าพลางพงศ์เทพให้เจ้าของร้านดูรูปเขากับจอมนางในโทรศัพท์มือถือ เป็นรูปที่แต่งชุดลิเกเต็มยศ
เจ้าของร้านมองแล้วบอกว่า “ชุดไม่ค่อยเหมือนลิเกที่เห็นทั่วไปนะครับ”
“คณะผมเป็นลิเกทรงเครื่องครับ เครื่องทรงที่พี่เห็นผมสวมหัว เรียกว่ายอดเป็นของเก่าแก่ อายุร่วมร้อยปี”
เจ้าของร้านมองทึ่ง ดูสนใจ “ไปตั้งโชว์ในพิพิธภัณฑ์ได้เลย”
พงศ์เทพมองไปรอบๆ “ท่าทางพี่ชอบของเก่านะครับ”
“พี่สะสมของเก่าน่ะ โดยเฉพาะของไทยๆ ชอบมาก”
“ถ้าอย่างนั้น พี่ต้องชอบลิเกทรงเครื่อง ที่เป็นการแสดงเก่าแก่ของไทย ผมกับคนในคณะต้องการเผยแพร่ลิเกทรงเครื่องให้คนทั่วไปรู้จัก ผมขอมาเล่นลิเกที่ร้านพี่ได้มั้ยครับ ส่วนค่าจ้าง แล้วแต่พี่จะให้”
“ร้านพี่ไม่เคยเอาอะไรมาแสดง เวทีก็ไม่มี”
พงศ์เทพมองไปทางหนึ่ง “ขอพื้นที่ตรงไหนในร้านก็ได้ครับ”
พร้อมพงศ์ช่วยลูกพูด “ลิเกทรงเครื่องต้องสูญหายไป เพราะขาดคนสนับสนุน คิดแล้วก็
น่าเศร้าใจนะครับ”
เจ้าของร้านขบคิด เอายังไงดี
“ผมบอกพี่ตรงๆ ตอนนี้คณะผมลำบากมาก การสวนกระแส เล่นลิเกทรงเครื่องที่ชาวบ้านไม่นิยมดูแล้ว กล่องก็ไม่ได้ เงินก็ไม่ได้ ศิลปินบ้านเรา คนมักไม่เห็นค่า”
เจ้าของร้านเอ่ยขึ้น “แต่พี่เห็น น้องลองเอาคณะมาเล่นร้านพี่คืนนึงก็ได้ ส่วนค่าจ้าง คิดเท่าไหร่บอกมา”
“ขอบคุณมากเลยครับพี่”
พงศ์เทพดีใจมากไหว้เจ้าของร้านปลกๆ พร้อมพงศ์กับเจ๋งยิ้มกว้าง ดีใจกับเขา
ขากลับบางไทร พร้อมพงศ์รับหน้าที่ขับรถ เห็นพงศ์เทพเหนื่อย ปวดหัว และหลับสนิทอยู่บนเบาะข้างคนขับ ส่วนเจ๋งหลับคอพับคออ่อนอยู่เบาะหลัง
พร้อมพงศ์มองถนน จำทางได้ “แยกหน้า เลี้ยวซ้ายไปบ้านเสี่ยเต๊กนี่หว่า”
พร้อมพงศ์หันมามองลูกชาย เห็นพงศ์เทพหลับสนิท สามารถพาหลงไปส่งเสี่ยเต๊กได้สะดวกโยธิน พร้อมพงศ์ลังเล จึงจอดรถริมฟุตบาท เพื่อใช้เวลาคิด
“จับตัวเทพไปส่งเสี่ย เทพก็ไม่ได้อยู่ช่วยครูเทียม อืม...แต่ระหว่างครูเทียมกับพ่อ เทพมันก็ต้องช่วยพ่อซีวะ”
พร้อมพงศ์ตัดสินใจได้ จะนำตัวลูกชายไปให้เสี่ยเต๊ก พร้อมพงศ์ออกรถ พงศ์เทพยังหลับสนิทไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง
รถพร้อมพงศ์ขับมาจนถึงบ้านเสี่ยเต๊ก สองคนยังหลับสนิท พร้อมพงศ์ลงรถ เห็นเบิ้มกับพลอยู่ข้างรถเสี่ย พอเห็นพร้อมพงศ์ เบิ้มกับพลก็รีบวิ่งออกมาจับตัว
“จับผิดคนแล้ว ไปจับไอ้เทพในรถนู้น”
พงศ์เทพมาสู้สึกตัวตื่นก็ตอนโดนเบิ้มกับพลจับตัวคาเบาะหน้าคู่คนขับ
“พ่อหักหลังผม”
แม้จะพยายามดิ้นรนต่อสู้ขัดขืน แต่ถูกเบิ้มกับพลช่วยกันล็อคตัวแน่น แล้วพาเข้าไปหาเสี่ยในบ้านจนได้
อ่านต่อหน้า 2
ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 15 (ต่อ)
เบิ้มกับพลหิ้วหลงเข้ามาในโถงบ้าน เสี่ยเต๊กกำลังจะออกไปข้างนอก เห็นก็มองอย่างเข่นเขี้ยว สะอกสะใจ
“พงศ์เทพ ในที่สุด อั๊วก็จับลื๊อได้”
“ปล่อยผมไปเถอะครับเสี่ย ผมไม่ได้ทำลูกสาวเสี่ยท้อง”
“จนป่านนี้แล้วยังไม่ยอมรับ”
เสี่ยเต๊กแค้น ตบปากพงศ์เทพไปหนึ่งที
พงศ์เทพหันมาโวยพ่อ “พ่อ พ่อรู้มั้ยตัวว่าทำอะไรลงไป พ่อไม่ได้ทำลายชีวิตผมคนเดียว พ่อยังทำลายพวกบ้านลิเก ไม่มีผม พวกเค้าก็ต้องยุบคณะ”
พร้อมพงศ์จ๋อย เริ่มสำนึก “พอเรารวย เราก็ เอาเงินไปช่วยครูเทียมไง”
“ครูเทียมมีศักดิ์ศรี ไม่ขอใครกิน ครูเทียมเมตตาพ่อ ไม่ถือสาพ่อที่พ่ออมเงินค่าตั๋ว แล้วพ่อตอบแทนครูเทียมแบบนี้หรอ...พ่อทรยศครูเทียม !
พร้อมพงศ์สำนึกผิดและละอายใจ “...พ่อ...พ่อขอโทษ”
เจ๋งหันมาหาลุงพงศ์ ทำเสียงงัวเงีย ง่วง “จอดรถทำไมอ่ะลุง”
พร้อมพงศ์งง “อะไรของเอ็ง”
“ไปได้แล้วลุง”
พร้อมพงศ์ออกจากภวังค์ความคิด รถยังจอดริมฟุตบาทที่เดิม ทั้งหมดเป็นแค่ความคิดยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง
เจ๋งบ่นหน้าง่วงอยู่บนเบาะหลัง “ผมอยากกลับบ้าน จอดแช่ทำหยัง”
“ไอ้เจ๋ง เสียงเอ็งตามเข้าไปหลอกหลอนถึงในความคิดลุง”
“ความคิดอะไรลุง”
พร้อมพงศ์หันมองลูกชาย พงศ์เทพยังหลับสนิทบนเบาะข้างคนขับ
“พ่อจะช่วยครูเทียม ให้เสี่ยเต๊กรอไปก่อน”
“มุ้งมิ้งอะไรน่ะ” เจ๋งได้ยินไม่ถนัด
“เอ็งหลับไป ได้ไม่ต้องพูดมาก”
พร้อมพงศ์ออกรถ ขับพาลูกชายกลับบางไทร
ฝ่ายเสี่ยเต๊กกินเหล้าเคล้านารีอยู่ในเล้าจน์ สาวสวยทรงสะบึมส์คลอเคลียข้างกายเสี่ย
“คืนนี้ไปต่อไหนดีคะเสี่ย”
เสี่ยเต๊กเกิดนึกถึงเมียขึ้นมา พอเมียเอาจริง เสี่ยก็เริ่มเกรงใจ
ภาพตอนเหลียนฮัวไม่ลังเล เซ็นใบหย่าผุดขึ้นมาในความคิดเสี่ย
“อาเหลียนใจเด็ดน่าดู”
“ไม่เอาค่ะเสี่ย อย่าเอ่ยชื่อเมีย ทำเสียบรรยากาศ” สาวอึ๋มฉอเลาะ
“เสี่ยจะกลับบ้าน หนูต่างหากจะทำเสียบรรยากาศ”
เสี่ยลุกกลับบ้านเฉย สาวสวยเหวอ โดนเสี่ยทิ้ง
เมื่อกลับถึงบ้านกลางดึก เสี่ยเต๊กเคาะประตูห้องเรียกเมีย ก๊อกๆๆ
เหลียนฮัวตื่น แต่ไม่ยอมลุกไปเปิดประตูให้ผัว
เสี่ยเต๊กรอนานชักยัวะ เมียไม่มาเปิดประตูให้สักที
เสี่ยเต๊กอ้าปากจะโวย แต่เกิดเปลี่ยนใจ พูดเสียงปกติ “อาเหลียน อั๊วตัวเหม็นอยากอาบน้ำ มาเปิด
ประตูเร็ว”
เหลียนฮัวบอกออกมาจากในห้องว่า “เลยเที่ยงคืนแล้ว อั๊วไม่เปิด”
“นี่อั๊วกลับเร็วแล้วนา”
“เสี่ยต้องกลับถึงบ้านก่อนเที่ยงคืน อั๊วถึงจะให้นอนในห้อง”
เสี่ยเต๊กโมโหมาก อยากจะกระโดดถีบประตู แต่ก็ไม่กล้า กลัวเมียท้าหย่าอีก ไปก็ได้วะ
เหลียนฮัวเห็นทุกอย่างเงียบไปก็หัวเราะ
“ให้มันรู้ซะมั่ง บ้านนี้ใครใหญ่”
เสี่ยเต๊กเลยต้องระเห็จลงมานอนโถงชั้นล่าง หน้างี้จ๋อย
“อีกหน่อยต้องกราบอาเหลียนเช้าเย็นหรอเปล่าวะ”
เสี่ยเต๊กนอนก่ายหน้าผากบนโซฟา ชีวิตพลิกผันกลับตาลปัตรเสียแล้ว เฮ้อ
คืนเดียวกันจอมนางอยู่รอหลงอยู่ในบ้าน ยินเสียงรถจอดหน้าบ้าน ที่พร้อมพงศ์มาส่ง จอมนางชะเง้อรอ หลงเดินหมดแรงเข้าบ้านมา หน้าตาง่วง ดูก็รู้ว่าเหนื่อยมาก
“อาบน้ำอาบท่านอนเลยจ้ะพี่ ตาพี่จะปิดอยู่แล้ว”
“จอมไม่อยากรู้เหรอ พี่หาร้านให้เทียมฟ้าไปเล่นได้เหรอเปล่า” หลงยิ้มเผล่
“หาได้มั้ยจ๊ะ”
หลงยิ้มกว้าง “ระดับพี่ ตั้งใจทำอะไรแล้วไม่เคยไม่สำเร็จ”
“พี่หลงเก่งที่สุดเลยจ้ะ” จอมนางดีใจ จับแขนหลงแล้วตกใจ “อุ๊ย ตัวร้อน”
“พี่อึด ทนทายาด นอนพักแป๊บเดียวก็หายครับ มีข้าวเหลือมั้ยจอม พี่ไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน”
จอมนางมองสภาพหลงแล้วทั้งสงสารและเป็นห่วง หน้าตาง่วง เพลียมาก แถมตัวก็ร้อน เหมือนเป็นไข้
จอมนางตักข้าวใส่จานให้หลง ราดกับข้าวเท่าที่เหลือ จากนั้นก็เอาผ้าสะอาดชุบน้ำ จะไปเช็ดตัวให้
แต่พอจอมนาง ถือจานข้าว พร้อมกับผ้าชุบน้ำออกมาจากครัว เห็นหลงนอนหลับพับอยู่กลางโถงบ้าน
“ท่าจะเพลียเอาจริงๆ”
จอมนางเช็ดหน้า เช็ดแขน อย่างเบามือ กลัวทำหลงตื่น
จอมนางเช็ดไปก็เขินไป ฟิน ตาลอยตาเชื่อม มองหน้าหลงตอนหลับ
“คนหล่อแสนดี มีตัวตนอยู่จริง”
จู่ๆ หลงที่นอนหลับตาอยู่ อมยิ้ม
จอมนางตกใจ “พี่แกล้งหลับ”
“พี่หลับจริงๆ ครับ มาตื่นตอนจอมเช็ดแขน”
“ตื่นแล้วก็เช็ดเองแล้วกันจ้ะ”
จอมนางงอน ส่งผ้าให้แล้วหนีขึ้นข้างบน หลงอมยิ้ม มองตามอย่างเอ็นดูจอมนาง ก่อนจะหันมาหลงกินข้าวที่จอมนางตักมาให้ มองจานกับข้าวอย่างเป็นปลื้ม ที่จอมนางดูแลเอาใจใส่ตน
ในวันถัดมาชาวคณะตื่นแต่เช้ารวมตัวอยู่ในโถง
เสียงกำจายโวยวายด่าหลงซะลั่นบ้าน เสียงก็ไม่ค่อยมี แต่ยังแผดเสียงด่าท่าทางน่าขัน
“เล่นลิเกในห้องอาหาร! ข้าไม่ใช่ตลกคาเฟ่ หรือคณะมายากลนะว้อย! ข้าเป็น....” จู่ๆ เสียงหายจ้อย
โก่งรีบยื่นขันน้ำให้กำจายดื่มน้ำแก้คอแห้ง
กำจายเสียงมา ด่าต่อ “ข้าเป็นลิเกทรงเครื่อง เอาถาดตีหัวไม่เป็น เสกกระต่าย จากหมวกก็ไม่เป็น แล้วก็ไม่ชอบด้วย”
เพราะตะเบ็งเสียงมาก กำจายเลยปิดท้ายด้วยเสียงไอโขลกๆ ชุดใหญ่
จอมนางสงสาร “จะรอดถึงพรุ่งนี้มั้ยน้า”
โก่งหมั่นไส้จอมนาง “จอม เอ็งก็เข้าข้างไอ้หลงสุดลิ่มทิ่มประตู จะบังคับให้พี่ไปเล่นในคาเฟ่ พี่ไม่ไป”
“ร้านที่ผมติดต่อ ไม่ใช่คาเฟ่ครับ ร้านดูดีมีสไตล์ ลูกค้าเป็นกลุ่มตลาดกลางถึงบน เจ้าของร้านก็ใจดี ให้ค่าจ้างตั้งหมื่นนึง” หลงว่า
โก่งบ่นไม่เลิก “แค่ค่าจ้างวงดนตรีก็เกือบหมดแล้ว”
“ทางร้านให้เราเล่นชั่วโมงเดียว ชั้นโทร.ไปคุยกับวงดนตรีแล้วจ้ะ เค้าคิดเราแค่ 3 พัน”
โก่งบ่นไม่เลิก “ชั่วโมงเดียว พี่ร้องออกแขกก็หมดเวลาแล้วจอม มันไม่ใช่เล่นลิเก มันแค่ไปรำโชว์”
จอมนางหันมาทางปู่ที่นั่งขรึมอยู่ “ให้ปู่ตัดสินใจแล้วกันจ้ะ”
ทุกคนมองมาที่ครูเทียมเป็นตาเดียว ครูเองก็คิดไม่ตก จะไปเล่นในร้านอาหารดีมั้ยหว่า?
ครูเทียมหลบมาครุ่นคิดเงียบๆ คนเดียวที่ศาลาริมน้ำ เรื่องจะไปเล่นลิเกในร้านอาหาร
สักครู่พร้อมพงศ์กับเจ๋งแวะมาหาครู หิ้วของกินมาฝากเหมือนเคย พร้อมพงศ์ยืนหน้าเจื่อนจ๋อย ตัวลีบเล็กเป็นโดราเอม่อนถูกรถสิบล้อทับ อยู่หน้าศาลา เพราะมีชนักติดหลัง อมเงินค่าตั๋วครูเทียม
ครูยิ้มทัก แถมขอบอกขอบใจอีก “ขอบใจมากนะพงศ์ เมื่อวานขับรถไปให้หลง”
“ถือว่าขับรถไปเที่ยวน่ะครับ”
“มานั่งคุยกันสิ”
พร้อมพงศ์ยิ้มแต้ ครูเทียมทำตัวเหมือนเดิม ไม่เคืองตน
เจ๋งลุกลี้ลุกลน อยากไปหากระแต “ผมเอากับข้าวไปไว้ในครัวนะครับครู”
“ครัวอยู่หลังบ้านนู้นแน่ะ” ครูชี้ไปหลังเรือน
เจ๋งยิ้มแป้นหิ้วกับข้าวไป
พร้อมพงศ์นั่งลงแล้วเอ่ยขึ้น “คืนนี้ผมขอไปดูครูเล่นลิเกที่กรุงเทพฯด้วยนะครับ”
ครูเทียมเครียดขรึม “ยังคิดไม่ตก จะไปดีไม่ดี”
พร้อมพงศ์ใจแป้ว “อ้าว ทำไมล่ะครับ หลงตระเวนทั่วกรุงเพฯ กว่าจะเจอร้านที่จ้างเราไปเล่น”
ครูเทียมถอนหายใจบางๆ ชายชราหนักอก ยังตัดสินใจไม่ได้
อ่านต่อหน้า 3
ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 15 (ต่อ)
เจ๋งหิ้วถุงกับข้าวเข้ามาในครัว เห็นกระแตแม่ศรีเรือนกำลังทำกับข้าว ก็ยิ้มทักเรี่ยราด
“ผมช่วยครับ”
“อยากช่วย ก็ช่วยขัดก้นหม้อใบนั้นให้ขาว”
กระแตชี้ไปยังหม้อก้นดำปี๋
“งานถนัดเลยครับ”
เจ๋งหยิบฝอยขัดหม้อ มาขัดหม้อ ออกแรงขัดหนักแน่น เน้นๆ กระแตแอบมองอมยิ้ม ถูกใจผู้ชายช่วยงานบ้านงานครัว
พร้อมพงศ์หว่านล้อมครูเทียมให้ไปเล่นลิเกที่ร้านอาหาร
“ผมดูลิเกมาเป็นสิบๆ ปี เข้าใจครูครับ ไปเล่นในร้านอาหาร มันทะแม่งๆ แต่ยังไงซะ ก็ถือว่าเป็นงานนะครับครู”
“ทางร้านให้เล่นแค่ชั่วโมงเดียว ครูเล่นไม่ถูก”
“คัดเฉพาะฉากเด็ดๆ ไปเล่นสิครับ”
“เล่นไม่ครบทั้งเรื่อง คนดูก็ไม่เข้าใจ”
ครูเทียมกลุ้ม คิดไม่ตก ฝ่ายพร้อมพงศ์ก็คิดหาเหตุผลดีๆ มาหว่านล้อมครูอีก
“คิดซะว่า ไปโชว์ซีครับครู เหมือนพวกกรมศิลป์เล่นโชว์ต่างชาติ”
ครูเทียมสนใจ “พวกกรมศิลป์เล่นยังไง”
“ลูกสาวเพื่อนผม จบนาฏศิลป์ ไปรำโชว์ที่เมืองนอกบ่อยๆ เคยเล่าให้ฟัง รำโชว์ฝรั่งชั่วโมงนึง บางงานก็ครึ่งชั่วโมง เทียมฟ้าก็แสดงแบบที่กรมศิลป์แสดงให้ชาวต่างชาติดู เน้นโชว์ท่ารำ โชว์ชุด เครื่องประดับ เป็นการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยให้คนไทยด้วยกันดู”
เหตุผลพร้อมพงศ์เข้าที ครูเทียมขบคิดตาม
หลงกับจอมนางรดน้ำผักอยู่ที่แปลงผักข้างบ้าน
“จอมว่าครูจะยอมไปเล่นมั้ยครับ”
“เดาใจปู่ไม่ถูกเลยจ้ะ”
หลงกังวล ถ้าครูเทียมไม่ยอมไปเล่น แผนยกระดับคณะเทียมฟ้าของเค้า ก็ล้มเหลวตั้งแต่แรก
สุดท้ายคณะเทียมฟ้ามาถึงร้านอาหารที่หลงติดต่อไว้ตามนัดตอนค่ำ พร้อมพงศ์กับเจ๋งมาด้วย กำจายกับโก่งไม่มา เจ้าของร้านมาต้อนรับ
หลงแนะนำครูกับเจ้าของร้าน “นี่ครูเทียม ครูลิเกครับ”
เจ้าของร้านไหว้สีหน้าชื่นชม “เป็นเกียรติที่มาแสดงร้านผมครับ”
“ดีใจนะ เห็นคนกรุงอยากดูลิเก”
“ผมเตรียมเครื่องเสียงไว้ให้แล้วนะครับ”
“ใจดีจริงพ่อคุณ”
ครูเทียมยิ้มพอใจ มองสำรวจร้านที่หลงพามาเล่นลิเก พบว่าสภาพไม่ได้แย่อย่างที่ครูคิด ร้านตกแต่งสวย แถมเจ้าของก็ต้อนรับดี ให้เกียรติครู รอบร้าน ลูกค้าค่อนข้างเยอะ แต่มีอยู่โต๊ะหนึ่ง ผู้ชายมากันสองคน กินเหล้าหมดไปครึ่งขวด และเริ่มเมา
ทุกคนแต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังใส่เครื่องทรง ครูเทียมแต่งชุดลิเก คืนนี้ครูเล่นเป็นกษัตริย์
“ไม่ได้ดูปู่เล่นนานแล้วนะจ๊ะ”
“ไอ้กำจายมันไม่ยอมมา ปู่เลยต้องเล่น”
“เป็นบุญของผม ได้ดูครูลิเกโชว์ฝีมือ” พร้อมพงศ์ยิ้มย่อง
“อย่าหวังอะไรมากนะพ่อพงศ์ ครูลาวิกไปหลายปี วงดนตรีมาถึงเหรอยัง” ตอนท้ายครูหันมาทางหลง
“หลงทางอยู่แถวนี้ครับ ผมโทร.ไปบอกทางแล้ว น่าจะมาถูก”
เจ๋งเดินเข้ามาสมทบ
“เคลียร์พื้นที่กลางร้านให้แล้วนะครับ ลูกค้าถามกันใหญ่ จะมีการแสดงอะไร พอบอกว่าเป็นลิเกทรงเครื่อง งงกันเป็นไก่ตาแตก” เจ๋งว่า
“คนกรุงเทพฯ รู้จักแต่บัวลอยทรงเครื่อง” โก๊ะประชด
หลงอธิบาย “ก่อนโชว์ ครูอธิบายให้ลูกค้าในร้านเข้าใจนะครับ ลิเกทรงเครื่องเป็นยังไง ครูพูด
น่าเชื่อถือว่าผมพูด”
“ได้ ข้าพูดเอง” ครูยิ้มให้หลง “ขอบใจเอ็งมาก ขวนขวายจนหางานให้คณะได้”
“ผมเป็นลูกคณะ ก็ต้องช่วยกอบกู้คณะซีครับ” หลงยิ้ม
ครูเทียมซักซ้อมท่ารำ ด้วยร้างเวทีไปนาน
ตรงพื้นที่โชว์ตั้งอยู่กลางร้าน โต๊ะลูกค้าอยู่รายรอบ ครูเทียมเริ่มอธิบายเกี่ยวกับลิเกทรงเครื่อง
“ลิเกทรงเครื่องถือกำเนิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยพระยาเพชรปาณี แสดงครั้งแรกที่ริมคลองโอ่งอ่าง ผู้แสดงแต่งกายเลียนแบบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของกษัตริย์ เลยเรียกว่า ลิเกทรงเครื่อง...”
ลูกค้าทุกโต๊ะหยุดกินชั่วคราว สนใจฟังครูเทียมอธิบาย ยกเว้น โต๊ะชายขี้เมา 2 คน
ครูเทียมอธิบายต่อ “ล่วงเลยมาร้อยกว่าปี ลิเกทรงเครื่องเริ่มสูญหายไปตามกาลเวลา ครูขอให้พวกเราช่วยกันรักษาลิเกทรงเครื่องไว้ ให้ลูกหลานได้ภาคภูมิใจในมรดกไทย”
พอครูเทียมพูดจบ ลูกค้าทั้งร้านปรบมือให้ ครูเทียมพอใจมาก การมาเล่นที่ร้านอาหารไม่ให้ครูเสื่อมเสียศักดิ์ศรี ครูกลับได้รับเสียงปรบมือ จอมนางมากระซิบปู่
“รถวงดนตรีชนกับแท็กซี่ มาไม่ได้แล้วจ้ะปู่”
“งั้น...เราเล่นสด ไม่ต้องมีดนตรี” ครูบอก
หลงกับจอมนางรำออกมา ลูกค้าหลายคนใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูป ถ่ายคลิป หลังจากพระนางรำโชว์ ก็เริ่มเล่นเข้าเนื้อเรื่อง
แต่เพราะมีเวลาเล่นชั่วโมงเดียว เลยคัดฉากเด็ดมาเล่น โดยทุกคน หลง ครูเทียม จอมนาง กระแต โก๊ะ เข้าฉากพร้อมกันทั้งหมด วันนี้ครูเทียมเล่นเป็นกษัตริย์แทนกำจาย
ลูกค้าสนใจดูลิเก แม้บางโต๊ะกินข้าวไปด้วย ก็ยังดูลิเกไป
ที่โต๊ะชายขี้เมาสองคน คุยเสียงดัง
“ทาปากแดงอย่างกับตุ๊ด” ชาย 1 เอ่ยขึ้น
ชาย 2 ว่า “มันลิเก หรือ โชว์อัลคาซ่าวะ”
ชาวคณะได้ยินขี้เมาคุยกัน ไม่วอกแวก เล่นต่อ พร้อมพงศ์กับเจ๋งเดินยิ้มแย้มเข้าไปหาโต๊ะขี้เมา
“อยากรู้อะไรเกี่ยวกับลิเกทรงเครื่อง ถามผมได้นะครับ”
“ไม่อยากรู้” ชาย 2 เสียงดัง “ไม่อยากดูด้วย อยากฟังเพลง”
เจ๋งประชด พูดให้เป็นตลก “ไปผับมั้ยครับพี่ ผมพาไป”
ชาย 2 ต่อว่าเจ้าของร้าน “อยากนั่งร้านนี้ เจ้าของร้านอยู่ไหน เอาอะไรมาให้ดู ถามลูกค้าหรือยังอยากดูหรือเปล่า”
เจ้าของร้านมาเคลียร์ลูกค้าเอง “ลิเกเล่นชั่วโมงเดียวก็จบแล้วครับ”
ชาย 1 ไม่ยอม “นาทีเดียวก็ไม่อยากดู สมัยนี้ใครเค้าดูลิเกกัน เค้าดูยูทูป ลิเกน่ะ เชย สะเหร่อ บ้านนอก”
คณะเทียมฟ้าโดนโห่ฮาไม่หยุด เลยต้องหยุดเล่น
ชาย 1ด่าว่าครูเทียม “ไอ้แก่ปากแดง กลับบ้านไปเลี้ยงหลานไป”
ชาวคณะตกใจ ที่ครูเทียมโดนหยามเกียรติ
“มึง! ลบหลู่ครูกู” โก๊ะถลันจะเข้าไปต่อยชาย 1
“อย่าโก๊ะ”
ครูเทียมร้องห้าม พอเห็นสายตาชายขี้เมา 2 คน ที่มองมาอย่างดูแคลน จึงกวาดสายตามองรอบร้าน ลูกค้าทุกโต๊ะมองครูกลับมาด้วยสายตาสงสารเวทนา สายตาเหล่านั้นทำให้ครูเทียมเกิดความรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า อย่างที่ไม่เคยรู้สึกที่ไหนมาก่อน
ครูเทียมจึงหันมาทางกับชาวคณะ “เรามาเล่นลิเก ไม่ได้มาขอความสงสาร ไม่ต้องเล่นแล้ว กลับบางไทรเถอะ”
“The Show must go on นะครับครู เราต้องเล่นให้จบ” หลงบอก
“หลง ข้าขอเอ็งไว้ อย่าให้ข้าต้องขายศักดิ์ศรีกิน ตอนนี้ข้าไม่มีศักดิ์ศรีเหลือแล้ว”
ครูเทียมบอกด้วยความอับอาย รีบพาตัวเองไปให้พ้นจากบริเวณนี้ คนอื่นตามไป
เหลือเพียงหลงยืนเคว้งอยู่คนเดียว หน้าเสีย ทำเรื่องให้ครูเทียมเคือง
อ่านต่อหน้า 3
ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 15 (ต่อ)
เสียงรถจอดหน้าบ้าน กำจายกับโก่งชะเง้อดูชาวคณะที่ไปเล่นลิเกโชว์ในร้านอาหารที่กรุงเทพฯ
พร้อมพงศ์ขับรถมาส่งบ้านลิเกที่หน้าประตูรั้วบ้าน พร้อมพงศ์กับเจ๋งไม่เข้าบ้าน กลับเลย
ส่วนในโถงบ้าน กำจายไอโขลกๆๆ เจ็บคอไม่หาย
“พรุ่งนี้ไปหาหมอเหอะพี่กำจาย”
คราวนี้กำจายไม่ปฏิเสธเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะเจ็บคอมากขึ้น
ครูเทียม หลง จอมนาง โก๊ะ กระแต ขนชุดเครื่องทรงเข้าบ้าน แต่ละคนหน้าซึม โดยเฉพาะครูเทียมหน้าออกหมองเศร้า สลดหดหู่
กำจายถาม เสียงแหบแห้ง “ครูเป็นอะไรจ๊ะ”
“กินน้ำอุ่นเยอะๆ นะกำจายเอ๊ย ได้หายเสียงแห้ง”
ครูเทียมเดินซึมขึ้นบ้านไปเลย กำจายกับโก่งมองหลง จอมนาง กระแต และโก๊ะ เป็นเชิงถาม เกิดอะไรขึ้นกับครู
หลง จอมนาง กระแต ไม่อยากพูดถึงเหตุการณ์ที่ร้านอาหาร
โก๊ะเป็นคนบอก “ตอนครูเล่นลิเก มีไอ้ขี้เมาปากเสีย เรียกครูว่า...ไอ้แก่ปากแดง ไล่กลับไปเลี้ยงหลาน”
กำจายฟังแล้วโกรธแทนครู แผดเสียงด่าหลง “ข้าเตือนเอ็งแล้ว! เอ็งกำลังเอาศักดิ์ศรีลิเกไปให้คนย่ำยี แล้วย่ำยีใครไม่ย่ำยี มาย่ำยีครูเทียมที่ข้ารักเคารพ เอ็งสำนึกผิดบ้างมั้ยไอ้หลง ฮึ”
พอด่าจบกำจายก็ไอไม่หยุด
“ไปกินน้ำอุ่นเหอะพี่กำจาย”
โก่งพากำจายไปทางครัว ระหว่างเดินผ่านไปก็มองหลงด้วยสายตาตำหนิอย่างมาก หลงหน้าเสียอยู่แล้ว หน้าซีดยิ่งกว่าเดิม
กระแตหน้าม่อย “สงสารปู่ โดนเด็กรุ่นหลานดูแคลน”
“พี่อยากกราบขอโทษครูเทียม”
หลงมองวิงวอนจอมนาง อยากให้จอมนางช่วยเป็นคนกลาง
ครูเทียมจุดธูปไหว้พ่อแก่ ขอแรงใจจากพ่อแก่
“ลูกเป็นลิเกมาทั้งชีวิต ไม่เคยโดนหยาบหยามน้ำใจมากเท่าวันนี้”
คำพูดขี้เมาในร้านอาหารที่กรุงเทพฯ ด่าว่าผุดขึ้นมาในหัวครูเทียม
“ไอ้แก่ปากแดง กลับบ้านไปเลี้ยงหลานไป”
ครูเทียมยังสะเทือนใจกับคำพูดถากถางนั้นไม่หาย
“ขอพ่อแก่ดลใจให้ลูกเข้มแข็ง เรียกศักดิ์ศรีในตัวเองกลับคืนมาโดยเร็ว”
ระหว่างนี้จอมนางพาหลงขึ้นมาหาปู่ ครูเทียมเฉยชากับหลงมาก ด้วยใจนึกเคืองไอ้หลงไม่น้อย
“ปู่จ๋า พี่หลงสำนึกผิด อยากขอโทษปู่จ้ะ”
“ผมไม่คิดให้ถี่ถ้วน ว่าอาจเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นที่ร้านอาหาร ผมเสียใจครับครู”
หลงก้มกราบครูเทียม
“ปู่ไปอาบน้ำล่ะจอม”
ครูเทียมไม่พูดกับหลง แสดงถึงความขุ่นเคืองในใจ ครูเข้าห้องไปนอน หลงซึมมาก
“ชั้นไม่น่ายอมให้พี่พาปู่ไปเล่นที่ร้านอาหารเลย”
จอมนางเองก็เคืองไม่น้อย มองตำหนิหลง ที่ก้มหน้ายอมรับผิด ไม่หาข้ออ้างใดๆ มาแก้ตัวอีก
ดึกสงัด บ้านลิเกปิดไฟ ทุกคนเข้านอนแล้ว แต่หลงนอนไม่หลับ นั่งกลุ้มใจเรื่องครูเทียมอยู่ที่ศาลาริมน้ำคนเดียว จนสักครู่หนึ่งโก๊ะงัวเงียมาหาพี่หลง
“ชั้นลุกมาเข้าห้องน้ำ ไม่เห็นพี่ เลยออกมาดู” โก่งนั่งแหมะก็ตบยุงเผียะ “เข้าบ้านเหอะพี่ ยุงชุม”
หลงหน้าหมองจัด “พี่หลับไม่ลง พี่เป็นต้นเหตุให้ครูเทียมโดนดูถูก”
โก๊ะมองด้วยสายตาเห็นใจ “มันก็เหมือนรถชนกันน่ะพี่ ใครจะไปคาดเดาอุบัติเหตุได้”
“เหตุการณ์วันนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ มันเกิดขึ้น เพราะพี่ไม่รอบคอบ โก๊ะไปนอนเถอะ”
“ชั้นจะนั่งเป็นเพื่อนพี่” โก๊ะเห็นยุงเกาะหน้าหลง “อยู่นิ่งๆ นะพี่”
ขาดคำ โก๊ะตบหน้าหลง เผียะ!
“โธ่เว้ย หนีไปได้” โก๊ะหันมาหาหลงแล้วตกใจ “อุ๊ย!...เป็นรอยมือเลย โทษจ้ะพี่”
หลงหน้ายุ่ง กลุ้มใจอยู่ มาโดนโก๊ะตบหน้าอีก
เช่นเดียวกัน ครูเทียมข่มตาไม่ลง ไปโดนขี้เมาชาวกรุง ดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นลิเก
“นาทีเดียวก็ไม่อยากดู สมัยนี้ใครเค้าดูลิเกกัน เค้าดูยูทูป ลิเกน่ะ เชย เสร่อ บ้านนอก”
คณะเทียมฟ้าโดนด่าไม่หยุด เลยต้องหยุดเล่น
ชายขี้เมา ยังหันมาด่าครูเทียม “ไอ้แก่ปากแดง กลับบ้านไปเลี้ยงหลานไป”
นึกทีไรครูเทียมปวดใจทุกที ชายชราพยายามปล่อยปลง
“เกียรติยศชื่อเสียงไม่ยั่งยืน วันวานสูงเทียมฟ้า วันนี้อาจต่ำเตี้ยเรี่ยดิน จงอย่ายึดติด”
พอปลงใจได้ ครูก็ค่อยหลับตาลง
วันถัดมาที่ห้องโถงบ้านทรงไทยของเจ๊ทรงงาม ตรงบอร์ดจดงานคณะฟ้าประทาน พบว่ามีคิวงานแน่น เจ๊ทรงงามนั่งมองบอร์ด ฮัมเพลงอารมณ์ดี แล้วหันมาตรวจสัญญาว่าจ้างเล่นลิเกหลายฉบับ
“มีลิขวิดลบตรงราคาค่าจ้างทุกฉบับ บอกฟ้าประทานแล้ว อย่าลดค่าจ้างให้ลูกค้า จะขาดทุนเอา”
เจ๊ทรงงามบ่น สรุปว่างานนี้ต้องไปเคลียร์กับฟ้าประทาน ลุกเดินหน้ายุ่งออกไป
ฟ้าประทานอยู่ในห้อง หน้าตาเบิกบาน นับเงินมันมือ เป็นแบงก์พ้นล้วนๆ
“6 หมื่นบาทถ้วน”
ตุ้มอยู่ด้วย สีหน้าเป็นกังวลไม่สบายใจเอาเลย “เกิดเจ๊ทรงงามเจอเงินสดในห้อง ต้องจับได้ว่าฟ้าประทานแอบแก้สัญญา อมเงินค่าจ้าง”
“เดี๋ยวผมจะเอาเงินไปฝากธนาคาร เจ๊ทรงงามไม่มีทางจับได้”
เสียงเคาะประตู ตามด้วยเสียงเจ๊ทรงงามดังเข้ามา “ฟ้าประทาน เปิดประตูให้เจ๊หน่อยจ้ะ”
ฟ้าประทานรีบเอาเงินซ่อน แต่รีบร้อนทำแบงก์พัน 1 ใบ หล่นลงพื้น โดยไม่เห็น จนพอซ่อนเงินเรียบร้อย ฟ้าประทานก็เปิดประตูให้เจ๊เข้ามา เจ๊ทรงงามถือสัญญาว่าจ้างมาด้วย เห็นตุ้มก็ชักสีหน้าใส่
“เข้ามาทำอะไรนังตุ้ม ออกไป”
ตุ้มลอยหน้าลอยตา ไม่ยอมออก
“นังหน้าด้าน” เจ๊เห็นแบงก์พันบนพื้น “เงินหล่น”
ฟ้าประทานรีบแก้ตัว เก็บเงินขึ้นมา “ตุ้มมาขอเบิกเงินค่าตัวล่วงหน้าน่ะครับ เก็บเงินใส่
กระเป๋าดีๆ สิตุ้ม”
ตุ้มรับแบงก์พันมาเก็บ แต่ไม่ได้ช่วยโกหก เพราะไม่เห็นด้วยที่ฟ้าประทานอมเงินเจ๊
เจ๊ทรงงามเชื่อฟ้าประทาน ด่าตุ้ม “นอกจากหน้าด้านแล้วยังหน้าเงินอีกนะยะ!” เจ๊ค้อนตุ้มวงเบ้อเริ่มแล้วหันมาทางยอดยาหยี “ฟ้าประทานเอาลิขวิดลบเงินค่าในสัญญาอีกแล้ว จากแสนนึง เหลือ 8 หมื่น แล้วลบตั้ง 3 ฉบับ เงินหายไปตั้ง 6 หมื่น”
“คณะเราเพิ่งตั้ง คู่แข่งเยอะ ผมอยากใช้ราคาเป็นแรงจูงใจลูกค้าครับ”
ทรงงามไม่เห็นด้วย “เจ๊ทำการค้ามาค่อนชีวิต การตั้งราคาขาย สำคัญมาก ตั้งถูกไป วันหน้าก็ขาดทุน ตั้งสูงไป ลูกค้าก็ไม่ซื้อ ที่เราตั้งราคาค่าจ้างต่อคืนไว้คืนละแสนน่ะเป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว” ตอนท้ายอีเจ๊เสียงเข้ม “ห้ามลดค่าจ้างอีกเด็ดขาด”
“ครับเจ๊”
เจ๊ทรงงามจะออกไป นึกได้ หันมาหาตุ้ม “หล่อนก็ออกไปด้วย”
ตุ้มนิ่งดื้อด้าน เจ๊ทรงงามลากแขนพาออกไป ตุ้มหน้าหงิก
ฟ้าประทานเซ็งมาก “แอบแก้สัญญาไม่ได้ แล้วจะล้วงเงินเจ๊ได้ทางไหน...” พระเอกลิเกคนดังคิดหาช่องทางอมเงินไม่ออก “ไว้ค่อยคิด เอาเงินที่อมมาไปฝากแบงก์ก่อนดีกว่า”
ฟ้าประทานเอาเงินออกจากใต้หมอนที่ซ่อน มาใส่ซองก่อนแล้วใส่กระเป๋าอีกที ซ่อนอย่างดี
ขณะที่ฟ้าประทานถือกระเป๋าออกมาที่รถ จะไปข้างนอก ตุ้มกับเจ๊ทรงงามตามออกมา จะไปด้วย ตุ้มแถเข้ามาแย่งกับเจ๊ จะนั่งหน้า
“ตุ๊กตาหน้ารถเค้ามีสาวๆ แก่แล้วไปนั่งหลัง”
“รถคันนี้ชั้นซื้อให้ฟ้าประทาน หล่อนนั่นแหละ ไปนั่งกะโปรงหลัง”
ฟ้าประทานรำคาญทั้งคู่ “เป่ายิ้งฉุบกัน ใครชนะ ได้นั่งหน้า”
เจ๊ทรงงามกับตุ้มเป่ายิ้งฉุบ อีเจ๊หน้าบาน “เฮ้...ชั้นชนะ”
“เป่า 5 หน ต้องชนะ 3 ใน 2 หนครับ” ฟ้าประทานบอกอีก
ขณะที่เจ๊กับตุ้มเป่ายิ้งฉุบ ฟ้าประทานชิ่ง ขึ้นรถ ขับออกไปเลย
“ฟ้าประทาน”
“เพราะเจ๊ ทำเราชวดทั้งคู่”
ตุ้มโมโหค้อนขวับ! เจ๊ทรงงามลึงตาใส่ ชังน้ำหน้ามันนัก
ทางฝ่ายหลงหลงเก็บตัวเงียบในห้องนอน ไม่กล้าออกไปสู้หน้าครูเทียม จนครูต้องเอาข้าวมาให้ถึงในห้อง
“เมื่อเช้าเอ็งไม่ยอมไปกินข้าว ข้าเอามาให้”
ครูเทียมส่งจานข้าวให้หลง มองอย่างเมตตา หายเคืองหลงแล้ว
หลงเห็นครูหายเคือง ก็ยิ้มออก “ผมเสียใจที่ทำให้ครูเสียศักดิ์ศรี ผมจะระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างเมื่อคืนอีกครับ”
“ป้องกันไม่ให้เกิด ก็ต้องไม่ไปเล่นตามร้านอาหารหรือที่ไหนๆ อีก ลิเกน่ะ ต้องเล่นตามงาน หรือปิดวิกเล่น คนที่มาดู เพราะอยากดูจริงๆ ไม่ได้ไปยัดเยียดให้เค้าดู กินข้าวซะ เดี๋ยวปวดท้อง”
ครูเทียมให้ข้อคิด แล้วออกไป
“ปิดวิกเล่น ไม่มีคนดู งานจ้าง ก็ไม่มี สถานการณ์เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เทียมฟ้าต้องยุบคณะ”
หลงกินข้าว พลางคิดหาทางกอบกู้คณะเทียมฟ้า แต่คิดไม่ออก จะทำอะไรได้อีกบ้าง
ฟากเจ๋งรีดเสื้อยืดที่สกรีนแล้ว เตรียมเอาไปขาย พร้อมพงศ์พับเสื้อยืดให้ พงศ์เทพแอบมาหาพ่อกับเจ๋ง รีบปิดบ้าน ไม่ให้ใครมาเห็น
“ผมจะกลับไปขายเสื้อยืดแล้วนะพี่ ปิดร้านหลายวัน รายได้หดหาย”
“ระวังลูกน้องเสี่ยแล้วกัน พ่อครับ ผมจะช่วยคณะเทียมฟ้ายังไงดี ช่วยผมคิดหน่อย ผมคิดหัวแทบแตก คิดไม่ออก”
เจ๋งทักท้วง “ไม่เข็ดอีกหรอพี่ พาครูเทียมไปขายขี้หน้า”
พร้อมพงศ์เอ่ยขึ้น “พวกเราประมาท ไม่ทันคิด ร้านอาหารคนเยอะ มีคนหลากหลาย บางคนก็ไม่ชอบดูลิเก เทพ เราต้องหาที่ๆ คนอยากดูลิเก”
“ที่ไหนล่ะพ่อ”
พร้อมพงศ์นิ่งคิด “ก็...ตามที่ท่องเที่ยวไง เอ็งจำลูกสาวเพื่อนพ่อที่ชื่อ มยุรี ได้มั้ย” พงศ์เทพ พยัก
หน้า “เพื่อนพ่อมันชอบโทร.มาโม้ ลูกสาวมันไปรำโชว์ที่เมืองนอก งานราชการ งานร้านอาหาร รับหมด ได้ทิปจากฝรั่งเป็นพันเป็นหมื่น”
คำพูดพ่อทำให้พงศ์เทพได้ไอเดีย “พ่อ! พ่อนี่อัจฉริยะ! เราต้องเจาะกลุ่มเป้าหมาย...นักท่องเที่ยวต่างชาติ...เจ๋ง ปิดเตารีดก่อน เอามือถือเข้ากูเกิ้ล หาเบอร์โรงแรมในอยุธยา”
“โรงแรมเกี่ยวอะไรกับนักท่องเที่ยวต่างชาติอะพี่”
“ชาวต่างชาติมาเที่ยวก็ต้องพักโรงแรม อยุธยาเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญด้วย นักท่องเที่ยวเยอะ”
ดวงตาพงศ์เทพหรือหลงเป็นประกายเจิดจ้า เขากลับมามีความหวัง จะกอบกู้คณะเทียมฟ้าให้จงได้
อ่านต่อตอนที่ 16