ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 14
เมื่อกลับถึงบ้านคืนนั้น ครูเทียมกับจอมนางพากันรวบรวมของมีค่าทั้งหมดเท่าที่มีในชีวิต เตรียมจะเอาไปจำนำพรุ่งนี้ ของมีค่าทั้งหมดวางบนเตียง เช่น แหวนเก่าของครูเทียม สร้อยนาค ต่างหูทองอันเล็กๆ ของจอมนาง กำไลเงิน ดูแล้วของทั้งหมดไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรมาก
“ต่างหูหนักไม่ถึงสลึง จะจำนำได้ซักกี่ร้อย” จอมนางหน้าเศร้า
“เท่าไหร่ก็เอา เราต้องรวบรวมเงินไปจ่ายค่าวงดนตรี ค่าเช่าเครื่องเสียง”
“เอาเงินขายขนมพี่กระแตมาจ่ายมั้ยจ๊ะปู่” ผู้เป็นหลานเสนอ
“เงินนั้นเอาไว้ซื้อกับข้าว ปู่เองก็ยังพอมีเงินอยู่บ้าง แต่ต้องเก็บไว้จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ไม่อยากโดนหลวงท่านตัดมิเตอร์น้ำมิเตอร์ไฟเหมือนคราวก่อน” ผู้เป็นปู่บอกหลานสาว
“ยอดลิเกที่เอาไปจำนำ ยังไม่ได้ไถ่คืน นี่จะเอาของไปจำนำเพิ่มอีกและ”
“ก็ยังดีกว่าไม่มีของไปจำนำล่ะจอมเอ๊ย”
ครูเทียมยิ้มให้หลาน จอมนางยิ้มตอบปู่ ใจยังสู้ทั้งคู่
ที่กรุงเทพฯ ค่อนรุ่ง เสี่ยเต๊กไปหาอีหนู กลับถึงบ้านตี 4 เคาะประตูห้องนอนเรียกเมีย เหลียนฮัวงัวเงียตื่น ดูนาฬิกา
“ตี 4 ไปหาอีหนูมาอีกแล้วสิท่า”
เหลียนฮัวลุกจะไปเปิดประตูให้ผัว พลันนึกได้ ตั้งใจจะปฏิวัติผัวนี่หว่า?
“วันนี้ยอม พรุ่งนี้ก็ต้องยอมอีก”
เหลียนฮัวล้มตัวนอน ไม่ไปเปิดประตูให้เสี่ยเต๊ก
เสี่ยเต๊กเคาะประตูก็แล้ว ทุบประตูก็แล้ว เหลียนฮัวก็ไม่มาเปิดประตูให้
เสี่ยตะโกนลั่น “อาเหลียน อั๊วรู้ว่าลื๊อตื่นแล้ว ลื๊อไม่ใช่คนนอนขี้เซา มาเปิดประตูให้อั๊ว”
เหลียนฮัวได้ยินเสียงผัวโวยวายอยู่หน้าห้อง แต่ไม่สน เหลียนฮัวหลับต่อ เสี่ยเต๊กยัวะจัด เมียไม่ยอมมาเปิดประตูให้
“ไปนอนที่อื่นก็ได้วะ”
สรุปว่า เสี่ยเต๊กนอนขดอยู่บนโซฟาในชุดเมื่อคืนจนเช้า เหลียนฮัว เหมยฮัว แต่งตัวสวยเช้ง แม่ลูกจะไปช้อปปิ้งกัน อาจงถือกระเป๋ามาส่งคุณนาย ทั้งหมดไม่สนใจเสี่ยเต๊ก ปล่อยให้นอนอยู่ตรงนี้แหละ
“ไปรถหม่าม้านะคะ เหมยขี้เกียจขับรถ”
เสียงลูกทำให้เสี่ยเต๊กตื่น เปิดปากด่าเมียรับอรุณ
“ลื๊อกล้ามาก ทำให้อั๊วต้องระเห็จมานอนข้างล่าง”
เหลียนฮัวสวนหน้านิ่ง “เสี่ยอยากนอนในห้องนอน ก็เลิกมีอีหนู กลับบ้านให้ตรงเวลา”
เสี่ยเต๊กตวาด “บังอาจ อั๊วเป็นเจ้าชีวิตลื๊อนะอาเหลียน”
“เจ้าชีวิตอั๊ว คือ หลาน ลูกในท้องเหมยฮัว ไม่ใช่เสี่ย อีกหลายเดือนกว่าหลานจะลืมตาดูโลก เสี่ยต้องปรับปรุงนิสัยตัวเองให้ดีขึ้น เลิกโวยวาย เอาแต่ใจ เพราะไม่มีใครเอาใจเสี่ยอีกแล้ว เสี่ยไม่ใช่เจ้าชีวิตใครอีกแล้ว”
เหลียนฮัวกับเหมยฮัวเดินออกไป
เสี่ยเต๊กเจ็บใจเมียมาก คำรามในลำคอ “อั๊วจะทำให้ลื๊อสำนึก อั๊วยังเป็นเจ้าชีวิตลื๊อ”
อาจงกล้าๆ กลัวๆ บอก “เสี่ย...อาบน้ำเลยมั้ยคะ จะผสมน้ำอุ่นให้”
เสี่ยเต๊กหันมาจ้องดุอาจง “ไม่ต้องร้อนมากล่ะ เดี๋ยวอะไรๆ มันจะสุก”
แม่ลูกจ่ายเงินค่าเสื้อผ้าเด็กอ่อนในเค้าน์เตอร์ห้าง ทั้งคู่หน้าตาสดใส มีความสุข พนักงานแคชเชียร์รูดบัตรเครดิตเหลียนฮัว
“เดี๋ยวไปหาเค้กอร่อยๆ กินกันนะหม่าม้า”
“ตั้งแต่หายแพ้ท้อง กินเก่งจังนะเหมย ระวังอ้วนนะลูก”
“บัตรไม่ผ่านค่ะ” พนักงานบอก
“เครื่องรูดอาจมีปัญหา ลองรูดอีกทีซีคะ” คุณนายว่า
พนักงานยืนยัน “รูดหลายครั้งแล้วค่ะ”
เหมยฮัวหยิบบัตรเครดิตตัวเองในกระเป๋าให้พนักงานรูด
พนักงานรูดแล้วบอกคำเดิม “ไม่ผ่านค่ะ จ่ายเงินสดมั้ยคะ”
“ค่ะ”
เหมยฮัวควักเงินสดจ่ายค่าของ เหลียนฮัวมองบัตรเครดิตในมือแปลกใจทำไมรูดไม่ผ่าน
เหมยฮัวหิ้วถุงของรอแม่อยู่ ระหว่างรอก็ซัดขนมปังก้อนอย่างเอร็ดอร่อย ช่วงนี้อาหมวยอยากกินทุกอย่างที่ขวางหน้า เหลียนฮัวกลับมาหาลูกสาว บ่นลูก
“หม่าม้าไปแป๊บเดียว แอบไปซื้อมากินจนได้”
เหมยฮัวเคี้ยวกินตุ้ยๆ “เหมยกินเผื่อลูกในท้องอ่ะหม่าม้า ไปกินเค้กกันต่อนะคะ”
“บัตร ATM หม่าม้ากดไม่ได้ เครื่องบอกว่าระงับการใช้ เหมยเอาบัตรเหมยไปกดสิ”
เหมยฮัวเฉลียวใจ บัตรเครดิตไม่ผ่าน บัตร ATM ก็กดไม่ได้ เหมยฮัวส่งถุงของ ส่งขนมปังให้หม่าม้าถือ จัดแจงโทรศัพท์ไปศูนย์ธนาคาร แล้วรอสาย
เหลียนฮัวฉงน “โทรหาใครน่ะลูก”
“Call Center ธนาคารค่ะ ถามว่ามีใครโทรไปยกเลิกบัตร ATM หรือเปล่า”
เหลียนฮัวตั้งตารอฟังคำตอบจากลูก อยากรู้เหตุผลเช่นกัน
ไม่นานนักเหลียนฮัวกับเหมยฮัวก้าวเข้ามาในโถงบ้าน สองแม่ลูกหน้าตึงมาเลย เสี่ยเต๊กยิ้มสบายอารมณ์ อาจงคุกเข่านวดเท้าให้อยู่
“เสี่ยโทรไปยกเลิกบัตร ATM อั๊ว ระงับบัตรเครดิตอั๊วด้วย” คุณนายเสียงเขียว
“เงินในบัญชีมันเงินอั๊ว อั๊วมีสิทธิ์ ฮึๆๆ รู้เหรอยังล่ะอาเหลียน ใครเป็นเจ้าชีวิตลื๊อ” เสี่ยเต๊กบอกอย่างเป็นต่อ
เหมยฮัวบอกอีกว่า “เตี่ยโกรธเหมย ก็ระงับบัตร ATM เหมยคนเดียว อย่าระงับของหม่าม้า”
เสี่ยเต๊กไม่สน “แม่เหมยกระด้างกระเดื่อง ต้องโดนลงโทษ”
“งั้นอั๊วขอเงินส่วนของอั๊วคืน เงินที่เตี่ยอั๊วให้มาลงทุนตอนเราแต่งงานกัน” เหลียนฮัวโกรธมาก
“เตี่ยลื๊อให้เงินขวัญถุงมาแค่ไม่กี่ล้าน ปีแรกอั๊วขาดทุน เงินก้อนนั้นหมดเกลี้ยงทรัพย์สมบัติที่มีทุกวันนี้ น้ำพักน้ำแรงอั๊วทั้งนั้น ทุกคนฟังนะ อั๊วเป็นเจ้าของชีวิตลื๊อ” เสี่ยชี้อาจง “ชีวิตลื๊อ” ชี้เหมยฮัว “แล้วก็ชีวิตลื๊อ” ชี้เหลียนฮัวปิดขบวนอย่างเบิกบาน
“อั๊วให้เวลาเสี่ยตัดสินใจ 10 วินาที เสี่ยจะโทร.ไปเปิดบัตรเครดิต บัตร ATM ให้อั๊วมั้ย”
เสี่ยเต๊กลอยหน้าบอก “ตอบเลยไม่ต้องรอ 10 วิ อั๊วไม่เปิด”
“ทรัพย์สินหลังแต่งงานถือเป็นสินสมรส อั๊วต้องการส่วนของอั๊ว”
“แล้วไง”
“อั๊วจะหย่า”
เสี่ยเต๊กตาเหลือกคาดไม่ถึง “หา หย่า”
ทุกคนตกใจตะลึงตะไลกันยกบ้าน ไม่เว้นแม้แต่คุณนายเจ้าของคำพูดนั้น
อ่านต่อหน้า 2
ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 14 (ต่อ)
ฟากฟ้าประทานกับเจ๊ทรงงามจะไปข้างนอก ตุ้มตามมาที่รถฟ้าประทาน
“ขอชั้นไปด้วยสิ”
“เราจะเอาไปเงินที่ได้มาเมื่อคืนไปฝากแบงค์ เปิดบัญชีร่วมกัน หล่อนไม่เกี่ยว”
“ชั้นเป็นลูกคณะฟ้าประทาน ต้องใช้ชื่อชั้นเปิดบัญชีด้วย” ตุ้มหาข้ออ้าง
“นังบ้า...งั้นพวกตัวตลก มหาดเล็ก ก็ต้องร่วมเปิดบัญชีด้วยสิ”
ฟ้าประทานสั่งเสียงแข็ง “อยู่บ้านว่างๆ ก็กวาดบ้านถูกบ้านซักผ้า หัดทำซะมั่งไม่มีกระแตทำให้แล้ว”
จากนั้นฟ้าประทานก็ขึ้นรถขับพาเจ๊ทรงงามไปเลย ตุ้มสะบัดสะบิ้ง โมโห
ฝ่ายทางครูเทียมกำลังบอกข้อดีข้อเสียหลง ถึงการเล่นลิเกเมื่อคืน จอมนางนั่งนับเงินขายค่าตั๋ว มีแต่แบงก์ย่อย 20 บาท
“เมื่อคืนเอ็งร้องเอื้อนน้อยไป ต้องฝึกลูกคอให้มากขึ้น”
“เมื่อคืนมีคนดู 7 คน ค่าตั๋วคนละ 80 บาท ต้องเป็นเงิน 560 บาท แต่มีแค่ 480 หายไป 80 บาท”
กระแตยกขนมมาให้ ครูเทียมรู้ทันทีว่าพร้อมพงศ์อมเงิน แต่ก็ไม่อยากขุดคุ้ย
“ปู่เดินเข้าเดินออกหน้าวิกกับหลังเวที จนลืมเก็บค่าตั๋วไปคนนึงน่ะ”
จอมนางท้วง “ปู่บอกชั้นว่าให้ลุงพงศ์เก็บค่าตั๋ว...ลุงพงศ์อมเงิน”
จำนางจำแม่นว่าเมื่อคืนเห็นคนดูมาอีก 1 คน เป็นคนแก่
“แถวหน้าใบนึงจ้ะ” คนดูให้เงินค่าตั๋ว 80 บาท
พร้อมพงศ์บอกว่า “เข้าไปได้เลยครับ ข้างในไม่ตรวจตั๋ว”
พอคนดูเข้าวิกลิเกไป พร้อมพงศ์ก็เก็บเงิน 80 บาทเข้ากระเป๋าตัวเอง
หลงส่ายหัว พ่อตู โกงอีกแล้ว
จอมนางบ่น “เงินแค่ 80 บาทยังอม”
กระแตเอ่ยขึ้น “กับข้าวที่ลุงพงศ์ซื้อมาฝากเรา ตั้งหลายร้อยบาท เงิน 80 บาท จะอมไปทำไม
พี่ว่าต้องเป็นคนอื่น”
กระแตมั่นใจว่าต้องเป็นเจ๋งที่อมเงินค่าตั๋ว กระแตลุกพรวดไป จะไปด่าเจ๋ง
“จอม หลง เรื่องนี้รู้แค่เราล่ะ อย่าบอกพวกกำจาย ทุกคนมีข้อเสีย ข้อดีของพงศ์มีมากกว่า”
แม้ปู่จะกำชับ แต่จอมนางก็หน้ามุ่ย ไม่ชอบใจนิสัยลุงพงศ์
กระแตเดินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมาหน้าบ้านเช่าพร้อมพงศ์หมายมาด่าเจ๋งเรื่องอมตังค์ค่าตั๋วลิเกเมื่อคืน ถึงกับบุกลุยเข้ามาในบ้าน แต่สาวลิเกแก้มป่องแปลกใจสุด ๆ ที่เห็นเจ๋งกำลังถูบ้าน
“คุณกระแต มาหาผมเหรอคร้าบ”
“เป็นพ่อบ้านพ่อเรือนเหมือนกันนะเรา”
“ผมถูบ้านกวาดบ้านซักผ้ารีดผ้ามาตั้งแต่เด็กแล้วครับ”
กระแตอมยิ้มนิด ๆ เพราะว่า ชอบผู้ชายทำงานบ้าน แต่ยังไม่ลืมด่า
“ปู่อุตส่าห์ไว้ใจให้ถือเงิน แต่ดันอมเงินค่าตั๋ว”
“ผมขายพวงมาลัยครับ คนที่ขายตั๋ว อืม...อีกคน” เจ๋งไม่อยากเอ่ยชื่อ
“เป็นลุงพงศ์จริงเหรอ” กระแตอึ้งไป
เจ๋งเงียบ ไม่อยากด่าลุงให้คนอื่นฟัง
“ขอโทษที่เข้าใจผิด”
เห็นกระแตหันหลังเดินกลับไปเลย เจ๋งหน้าม่อย
“อ้าว มาทำให้รักแล้วจากไป”
จอมนางอยู่ในห้องนอนชั้นบน กดเปิดพัดลม จะนอนพักสักหน่อย กระแตกลับมาพอดี
“เมื่อกี้ไปไหนน่ะพี่กระแต”
“ไปด่าเจ๋ง นึกว่าเจ๋งอมเงินค่าตั๋ว ดันด่าผิดคน ลุงพงศ์เป็นคนเอาไป”
“ปู่ยังไม่ถือสาลุงพงศ์ เราก็อย่าถือสาเลย ลุงแกก็ดีกับเรา ซื้อกับข้าวมาฝากประจำ”
“คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจเนอะ มองเผินๆ นึกว่าเป็นคนดี”
“เมื่อคืนนอนไม่อิ่มเลย” จอมนางง่วง โดดขึ้นเตียงนอน
“พี่ก็เหมือนกัน กว่าจะเก็บเครื่องทรงเสร็จ ปาไปตี 1”
สองสาวนอนหลับพักผ่อน
ทางด้านครูเทียมตีระนาด โดยใช้มือซ้ายมือเดียว มือขวาสั่น ตีไม่ถนัด การตีระนาดเป็นการผ่อนคลายสำหรับครูเทียม เสียงระนาดทำให้ครูมีความสุข ครูเทียมจึงหน้าระบายยิ้ม
พร้อมพงศ์ซื้อกับข้าวมาฝากบ้านลิเก
“เลิกซื้อกับข้าวมาได้แล้วพงศ์ กินกันจนพุงกางแล้ว”
ครูเทียมโอภาปราศรัยกับพร้อมพงศ์เหมือนเดิม ไม่ถือสาที่พร้อมพงศ์อมเงินค่าตั๋ว
“ผมมาฝากท้องบ้านลิเกบ่อย เลยซื้อกับข้าวมาให้ ผมกินจุน่ะครับ”
“มิน่า ตัวอ้วนกลมเป็นโดเรม่อนเชียว” ครูเย้าหยอก
“ครูรู้จักโดเรม่อนด้วยเหรอครับ”
“เคยเห็นจอมมันดูน่ะ ไอ้แมวตัวกลมๆ สีฟ้าๆ มีกระเป๋าหน้า”
“ไว้ผมจะซื้อกระเป๋ามาแปะตรงพุง แต่ส่วนที่ทาตัวสีฟ้า ขอคิดดูก่อนนะครับ”
ครูเทียมหัวเราะ
“บ้านเงียบเชียบ ไปไหนกันหมดครับ”
“เมื่อคืนเลิกดึก เลยนอนพักกันน่ะ มีแต่ไอ้เจ้าหลงตื่นมาทำงานในบ้าน”
ครูเทียมมองไปที่แปลงผัก เห็นหลงกำลังรดน้ำผัก
พร้อมพงศ์ดูซ้ายแลขวาจนไม่เห็นใคร เดินตรงเข้ามาหาลูกชาย
“เทพ พ่อมาทวงสัญญา พ่อช่วยเอ็งแล้ว เอ็งต้องกลับกรุงเทพฯกับพ่อวันนี้”
หลงสวมบทกลับเป็นพงศ์เทพตำหนิพ่อ “พ่อโกงเงินเสี่ยเต๊ก ยังพอทำเนา เพราะเสี่ยเต๊กปล่อยกู้คิดดอกมหาโหด พ่อแฮ้บเงินผม ผมยอมได้ เพราะผมเป็นลูกพ่อ แต่พ่ออมเงินคนดีอย่างครูเทียม พ่อทำลงได้ยังไง”
พร้อมพงศ์ทำเป็นงง “อมเงินอะไรของเอ็ง”
“ครูเทียมจับได้ พ่ออมเงินไป 80 บาท”
พร้อมพงศ์หน้าเสีย “ครูไม่เห็นด่าพ่อ”
“เพราะครูเทียมเป็นคนดี ให้อภัยพ่อ ทั้งที่ตอนนี้เงินสิบบาทยี่สิบก็มีค่าสำหรับครู”
พร้อมพงศ์หันไปมองครูเทียมตีระนาดอยู่บนระเบียงบ้าน ก็รู้สึกผิดต่อครู
“คนมีเงินล้าน ให้คนอื่นหลักหมื่น ถือว่าเป็นคนมีน้ำใจ คนที่มีแทบไม่มีเงินซักบาท แต่ให้คนอื่นหลักสิบ เป็นคนน้ำใจประเสริฐที่สุด”
พร้อมพงศ์หน้าสลด สำนึกผิด
“พ่อจะโกงเงิน อมเงินใคร ผมก็ได้แต่บ่นแต่ว่า แต่กับครูเทียม ผมขอเถอะครับ อย่าโกงคนดี ที่โลกนี้ไม่รู้จะมีซักคน”
“เอ็งพูดซะพ่อไม่กล้าสู้หน้าครูเทียม บอกครูเทียม พ่อกลับบ้านก่อน มีธุระ”
พร้อมพงศ์เดินคอตกกลับไป มีเสียงระนาดของครูเทียมดังตามไปส่ง
ชาวคณะล้อมวงกินข้าว มีผักเป็นกับข้าวหลัก แล้วก็กับข้าวที่พร้อมพงศ์ซื้อมาฝาก ทั้งวงมี
ครูเทียมคนเดียวเจริญอาหาร คนอื่นกินข้าวไม่ค่อยลง ผิดหวังงานปิดวิกเมื่อคืน
“ปิดวิกหนแรก คนน้อยเป็นเรื่องธรรมดา” ชายชราบอก
“ชั้นว่ามันเกินธรรมดานะจ๊ะครู คณะเราไม่เคยมีคนดูแค่ 7 คน” โก่งท้วง
“ทีแรก ชั้นกะว่า จะประคับประคองคณะให้ถึงวันประกวดชิงแชมป์ประเทศไทยแต่ตอนเนี้ย เรารอให้ถึงวันประกวดไม่ไหว ปู่จ๋า ชั้นจะรับสอนคนโต ๆ รำหารายได้เข้าคณะ”
กำจายพูดขึ้น เสียงยังแหบแห้ง “น้าจะไปรับจ้างดำนา”
โก๊ะติง “น้าป่วยอยู่ ดำไหวเหรอ”
“ดำนาเค้าไม่ใช้เสียงเว้ย เค้าใช้มือกับตีน”
“ส่วนชั้นก็จะทำขนมขายให้เยอะขึ้น” กระแตบอก
“ข้าก็จะสอนตีระนาด” ครูว่า
“มือขวาปู่ใช้ไม่ถนัด อย่าสอนเลยจ้ะ” จอมนางแย้ง
“ปู่ใช้มือซ้ายกับปากได้”
หลงเห็นครูเทียมกับชาวคณะเทียมฟ้าขวนขวายหารายได้เพื่อความอยู่รอด ก็เห็นใจมาก อยากช่วยเหลือให้ถึงที่สุด
พงศ์เทพวางมาดหลงไว้ที่บ้านลิเก แวะมาหาพ่อ เห็นพร้อมพงศ์ซึมกะทือ หน้าสลด กำลังอยู่ในอารมณ์สำนึกผิดต่อครูเทียม
“พี่ทะเลาะอะไรกับลุงน่ะพี่ ลุงไปบ้านลิเกกลับมา หงอย เหมือนคนเป็นไข้หวัดนก”
“พ่อ พ่อรู้สึกผิดกับครูเทียม ก็ช่วยผมกอบกู้คณะครูเทียม”
พร้อมพงศ์ละอายใจ ด่าตัวเอง “คนขี้โกง ชอบอมตังค์อย่างพ่อ จะช่วยใครได้วะ”
“ทำไมลิเกทรงเครื่องของครูเทียม ถึงไม่มีคนดู พ่อเป็นคอลิเก ชอบดูลิเกทรงเครื่องมั้ยครับ”
“พ่อดูลิเกทรงเครื่องตั้งแต่เด็กๆ ช่วงหลังลิเกลูกบทมาแรง เพราะเดินเรื่องเร็วกว่า ลูกเล่นเยอะกว่า คนดูเลยชอบ”
“เลือกดูได้คณะเดียว พ่อจะดูทรงเครื่องหรือลูกบท” พงศ์เทพถามขึ้น
“พ่อรักพี่เสียดายน้อง อยากดูทั้งสองอย่างพอๆกัน”
“เจ๋งล่ะ ระหว่างทรงเครื่องกับลูกบท เลือกดูอะไร”
เจ๋งบอกประสาคนรุ่นใหม่ “ทรงเครื่องพี่ ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้เลย ลิเกทรงเครื่องเป็นยังไง พอได้ดูคณะครูเทียมเล่น เออแฮะ ชุดสวย เครื่องประดับสวย รำก็อ่อนช้อยเหมือนดูพวกนาฏศิลป์รำในโรงละครยังไงยังงั้น”
พงศ์เทพมองพ่อที มองเจ๋งที “คนสองคน คนนึงชอบทั้งลูกบททั้งทรงเครื่อง คนนึงชอบทรงเครื่อง อะไรทำให้ชอบต่างกัน”
พงศ์เทพใช้ความคิดอย่างหนัก หาข้อต่างระหว่างพ่อกับเจ๋ง จนคิดออก
“ต้องเจาะกลุ่มคนที่ไม่เคยดูลิเกทรงเครื่อง ขอบคุณมากครับพ่อ เจ๋งด้วย”
พงศ์เทพรีบกลับบ้านลิเก
พร้อมพงศ์มองตามงงๆ “เราช่วยอะไรมันวะ”
“นั่นดิลุง”
จอมนางกับกระแตปักซ่อมชุดลิเก สองสาวหน้าหงอย ผิดหวังที่เมื่อคืนไม่มีคนดูลิเก ครูเทียมนั่งอยู่ด้วย ครูเทียมมองแล้วปลอบใจหลาน
“ชีวิตมีขึ้นต้องมีลง คณะเทียมฟ้าสุวรรณศิลป์ โด่งดังมา ช้านาน ถึงคราวต้องตกต่ำบ้าง”
“เราต้องตกต่ำไปอีกช้านาน ใช่มั้ยจ๊ะปู่” กระแตหน้าม่อย
หลงหน้าตามีความหวังเต็มเปี่ยม กลับมาบ้าน ตะโกนเรียกชาวคณะ
“น้ากำจาย พี่โก่ง โก๊ะ ประชุมด่วนครับ มาที่ห้องโถงเร็ว”
จอมนางงง “เพี้ยนเหรอพี่หลง”
พวกกำจายมาจากในห้องนอน หน้าหงอยพอกับจอมนาง
กำจายเสียงแหบเสียงแห้ง ยังอดเหน็บแหนมไม่ได้ “เรียกประชุมเพลิงเหรอวะไอ้หลง”
“ผมคิดใคร่ครวญถึงเหตุผลที่คณะเทียมฟ้าไม่มีคนดู ทั้งที่เทียมฟ้าสุวรรณศิลป์ เข้ารอบลิเกชิงแชมป์ประเทศไทย”
โก่งบอกปลงๆ ว่า “ศิลปินที่ได้แต่กล่อง แต่ไม่ได้เงิน มีถมเกไป”
“ลิเกทรงเครื่องไม่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับคอลิเก เพราะดูกันจนเบื่อแล้ว แต่กับคนไม่เคยดูอย่างผม ลิเกทรงเครื่องน่าสนใจมาก” หลงบอก
“พี่หลงพูดถูก ลิเกทรงเครื่องเล่นตามแบบแผน ชาวบ้านดูกี่ทีๆ ก็คล้ายเดิม เลยไม่อยากดูอีก” โก๊ะว่า
“ครูครับ คณะเทียมฟ้าสุวรรณศิลป์จะอยู่รอดได้ เราต้องทำตลาดใหม่”
สิ้นคำของหลง ชาวคณะมึนตึ๊บ ไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไรยังไง การตลาดใหม่คืออะไร ที่ไหนเหรอ?
อ่านต่อหน้า 3
ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 14 (ต่อ)
ภายหลังจากหลงพูดเรื่อง ทำตลาดใหม่ให้คณะเทียมฟ้า ชาวเทียมฟ้าแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ครูเทียม กำจาย โก่ง ไม่เห็นด้วย จอมนาง กระแต และ โก๊ะ สนใจแนวคิดหลง
กำจาย ครูเทียม และโก่งจึงแยกตัวมาจับกลุ่มคุยกันที่ศาลาริมน้ำ กำจายบ่น เสียงยังแหบแห้งน่ารำคาญปนน่าขำ
“ตลาดใหม่บ้าบออะไรของมัน จะให้เราไปเล่นลิเกให้คนไม่เคยดูลิเกดู แค่คิดก็เพี้ยนแล้ว”
“ไอ้หลงมันความจำเสื่อม สมองเลยเสื่อมไปด้วย คิดอะไรแปลกพิกล” โก่งเสริม
ครูเทียมนิ่งคิด “พวกเอ็งอย่าไปว่ามันมาก ยังไงซะมันก็หวังดี อยากช่วยกอบกู้คณะ”
ส่วนในโถงบ้าน หลงกำลังอธิบายให้จอมนาง กระแต และโก๊ะ เข้าใจวิธีการทำตลาดใหม่
“ครูเทียม น้ากำจาย พี่โก่ง ไม่ฟังพี่อธิบายให้จบ น้ากำจายหาว่าพี่จะยัดเยียดคณะเทียมฟ้าให้คนดู การหาตลาดใหม่ที่พี่พูดถึง คือการเปิดตัวคณะเทียมฟ้า ให้คนไม่รู้จัก ได้รู้จักครับ”
จอมนางสนใจ “เปิดตัวยังไงจ๊ะ”
“นึกถึงโฆษณาตามทีวีนะครับ ปีๆ นึงมีสินค้าออกใหม่เยอะแยะ”
กระแตท้วง “พี่หลงจะให้เราโฆษณาในทีวี โอ้โห ไฮโซไปเปล่าจ๊ะ”
“เราไม่มีงบโฆษณามากขนาดนั้นหรอกครับกระแต เราต้องหาช่องทางอื่น เปิดตัวสินค้า เช่น หาสถานที่เล่น ที่ๆ คนทั่วไปเข้ามาดูได้”
ที่ศาลาริมน้ำ พวกกำจายออกความเห็นดุเดือด สองกลุ่มย้อนแย้ง ตอบโต้ความคิดกันไปมา
“ไอ้หลงมันจะให้พวกเราไปเล่นลิเกในผับในบาร์รึไง พวกนักเที่ยวได้ไล่เตะออกมา” โก่งว่า
ในห้องโถง หลงพยายามอธิบายให้กระจ่าง
“สถานที่ที่เราจะไปเล่น ก็อย่างเช่น สวนอาหาร หอศิลป์ ตามสมาคมต่างๆ แล้วก่อนเล่น เราจะอธิบายให้คนดูเข้าใจ ว่าลิเกทรงเครื่องคืออะไร”
ครูเทียมอยู่ที่ศาลาย้อนแย้ง “คอลิเกเยอะแยะ แยกไม่ออก อันไหนทรงเครื่อง อันไหนลูกบท จะเอาคำว่าลิเกทรงเครื่องเป็นจุดขาย ขายไม่ออกหรอก คนไม่รู้จัก”
หลงบอก “พี่มั่นใจ พี่จะทำให้คนรู้จัก เข้าถึง ซาบซึ้ง ลิเกทรงเครื่อง เหมือนที่พี่รักลิเกทรงเครื่องอยู่ตอนนี้”
“ข้ารู้ เจ้าหลงมันหวังดี แต่ที่จะหาตลาดใหม่ หาคนดูกลุ่มใหม่ๆ มันไปผิดทาง ดึงคนดูกลุ่มเดิมๆ ให้กลับมาดูซะยังง่ายกว่า” ครูเทียมว่า
“จอมช่วยพี่เกลี้ยกล่อมครูเทียมนะครับ เพราะถ้าครูเทียมไม่เอาด้วย แผนของพี่ก็ใช้ไม่ได้” สองบอกกลุ่มในบ้าน
“พี่หลงมั่นใจแค่ไหน วิธีของพี่จะช่วยเทียมฟ้าได้”
หลงมาดมั่น “ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ”
จอมนางดูหน้าตาท่าทางเห็นหลงมั่นใจมาก
“พี่มั่นใจขนาดนี้ ชั้นก็จะช่วยคุยกับปู่ให้จ้ะ”
หลงยิ้มขอบใจจอมนาง ดูหลงมั่นใจมากว่าเขาต้องทำสำเร็จ ส่วนจอมนาง กระแต และโก๊ะ หน้าตายังหวาดหวั่นใจ ไม่มั่นใจวิธีของหลงเต็มร้อย
ค่ำคืนนั้นจอมนางเปิดเจรจาเกลี้ยกล่อมปู่ หลงนั่งอยู่ด้วย
“ให้พี่หลงลองดูซักตั้งนะจ๊ะปู่ ถึงไม่ได้ผล เราก็ไม่เสียอะไร”
ครูเทียมไม่เห็นด้วยกับหลง แต่พอหลานสาวมาพูด ก็ยอมรับฟัง
“ไหนไอ้หลง เอ็งสาธยายมาสิ แผนการตลาดอะไรของเอ็งนั่นน่ะ เป็นยังไง”
หลงตั้งอกตั้งใจอธิบายมาก อยากให้ครูยอมรับ “อันดับแรก ผมจะเปิดตัวคณะเทียมฟ้า ให้คนทั่วไปรู้จักก่อน เราจะไปเล่นตามสวนอาหาร”
“สวนอาหารที่ไหน”
“ผมคิดว่า เราควรไปเล่นที่กรุงเทพฯ ครับ คนเมืองไม่เคยดูลิเกทรงเครื่องความแปลกใหม่ ช่วยดึงความสนใจลูกค้า”
“พวกคนเมืองมักมองว่า ลิเก เป็นความบันเทิงของคนบ้านนอก” ครูท้วง
“ผมจะสร้างแบรนด์ให้คณะเทียมฟ้าครับ”
ครูเทียมฉงนฉงาย ไม่เข้าใจ “แบรนด์?”
“เหมือนยี่ห้อสินค้าน่ะครับ ผมจะทำให้เทียมฟ้าจะไม่ใช่คณะลิเกดาดๆ ทั่วไป ภาพลักษณ์ของเทียมฟ้าสุวรรณศิลป์ คือการรวมตัวกันของกลุ่มคนที่ต้องการอนุรักษ์ลิเกทรงเครื่อง เราไม่ได้เล่นลิเกเพื่อรายได้อย่างเดียว เราเล่นเพื่อรักษาศิลปะการแสดงเก่าแก่ทรงคุณค่าของไทย”
ครูเทียมมองหลงอย่างพินิจพิจารณา พบว่าท่าทางหลงตั้งใจจริงมาก ครั้นพอครูหันไปมองหลานสาว หน้าตาจอมนางก็เอาใจช่วยหลงซะเหลือเกิน
“เอ้า ข้าให้เอ็งลองหาตลาดใหม่ที่เอ็งว่า”
หลงกับจอมนางยิ้มดีใจ
ครูเทียมพูดจริงจังมาก “แต่...ข้าขอไว้อย่างนึง อย่าให้ข้าต้องขายศักดิ์ศรีกิน”
“ครับครู”
ครูเทียมเป็นกังวล ไม่แน่ใจวิธีการหลงจะทำให้เทียมฟ้าดีขึ้น หรือแย่ลง
ขณะที่บ้านเทียมฟ้าดิ้นรนหาคนดูกลุ่มใหม่ คณะของฟ้าประทานกลับได้งานเพียบ ฟ้าประทานรับโทรศัพท์ไม่ขาดสาย คนโทร.มาจ้างไปเล่นลิเก
เจ๊ทรงงามหน้าตา นางแฮปปี้ จดชื่องานบนบอร์ด มี 4 งานแล้ว งานเปิดที่ว่าการอำเภอวันที่ 17 / งานบ้านกำนันวันที่ 18 / งานฉลองพัดยศวันที่ 20 / งานเปิดสหกรณ์วันที่ 26
ฟ้าประทานคุยสายกับลูกค้า “พรุ่งนี้เอาสัญญามาให้ผมเซ็นนะครับ มากี่โมงก็ได้ ผมอยู่บ้านทั้งวัน” เขาวางสาย หันมาบอกเจ๊ “งานบวชที่ผักไห่ วันที่ 1 เดือนหน้า เจ้าของงานโทร.มาจองล่วงหน้า กลัวคณะผมคิวเต็ม”
ทรงงามระรื่น “คิวทองแบบเนี้ย อีกเดี๋ยวก็เต็มจ้ะ ตั้งแต่เช้า คนโทร.มาจองคิวไม่ขาดสาย”
ตุ้มหิ้วตะกร้าผ้าลงมาซัก
“อะไรยะ ซักผ้ากลางค่ำกลางคืน”
“ชั้นไปขยี้ผ้าบนหัวเจ๊รึไง”
เจ๊ทรงงามจะด่าตุ้ม
ฟ้าประทานขอ “อย่าทำเสียฤกษ์เลยครับเจ๊ วันนี้มีแต่เรื่องดี ๆ”
เจ๊ทรงงามเกรงใจฟ้าประทาน ไม่เอาเรื่องนังตุ้มก็ได้
ฟ้าประทานยิ้มกริ่ม เล่าให้ตุ้มฟัง “อ้อตุ้ม ผมลืมเล่าให้ฟัง เมื่อกลางวันตอนผมไปแบงก์ เจอแฟนลิเก เค้าบอกว่าเมื่อคืนคณะครูเทียม มีคนดูแค่หยิบมือ”
ตุ้มหน้าสลด สงสารครู
“สมน้ำหน้าไอ้หลง เปิดตัวเป็นพระเอกครั้งแรก แป๊กสนิท ฮะๆๆ”
“คิดจะแข่งรัศมีกับฟ้าประทาน โดนเผาซะเป็นไก่ย่างไหม้ดำปี๊ดปี๋” ทรงงามหัวเราะคิกคัก
ตุ้มหน้าเศร้า “สงสารครูเทียม พลอยฟ้าพลอยฝน แย่ไปด้วย”
“ก็ครูอยากปั้นไอ้หลงเอง รู้อยู่ ว่าผมเกลียดมัน”
ฟ้าประทานแค่นึกถึงหลงก็โกรธ เกลียดจริงเกลียดจัง
ฟากหลงกับจอมนางแต่งชุดลิเกทรงเครื่อง กระแต และโก๊ะช่วยใส่เครื่องทรงให้ทั้งคู่ กำจายกับโก่งยืนค่อนขอดเหน็บแนมอยู่ใกล้ ๆ
“ต้องถ่ายรูปไปให้คนกรุงเทพฯ ดู ลิเกทรงเครื่องแต่งตัวยังไง ขนาดรูปถ่ายยังไปยัดเยียดให้เค้าดู”
กระแตบอก “ให้โอกาสพี่หลงบ้างสิน้า เผื่อจะสำเร็จ”
โก่งฉุนไม่หาย “ไอ้หลงมันแหกธรรมเนียม จะให้เราไปเล่นในสวนอาหาร เราไม่ใช่ตลกคาเฟ่
เอาถาดฟาดหัวกัน เพี้ยะๆ นะกระแต”
“ผมไม่ได้ให้เราไปเล่นตลกครับ” หลงว่า
“ลิเกต้องเล่นในวิก เล่นตามงาน เอาลิเกไปเล่นผิดที่ผิดทาง เราก็กลายเป็นตัวตลก” โก่งโต้
“พี่โก่งเคยเล่นลิเกในสวนอาหารเหรอ ถึงรู้ เราจะกลายเป็นตัวตลก”
“เข้าข้างลูกพี่เอ็งจริงนะไอ้โก๊ะ” โก่งโมโห
จอมนางชักรำคาญ เถียงกันอยู่ได้ “ปู่ให้โอกาสพี่หลง ทุกคนก็ต้องยอมรับ”
พอจอมนางอ้างถึงครูเทียม กำจายกับโก่งก็เลิกค่อนขอด สองคนเดินหงุดหงิดออกไป
กระแตกับเจ๋งช่วยใส่เครื่องทรงให้หลงกับจอมนาง เสร็จเรียบร้อย โดยสวมยอดเป็นชิ้นสุดท้าย หลงในชุดลิเกทรงเครื่องเต็มยศ โพสท่าสง่าผึ่งผาย โก๊ะถ่ายรูปด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือ ส่วนกระแตคอยจัดชุดให้เรียบร้อย
“นิ่งๆ นะพี่หลง” กระแตถ่ายรูป “สวยมากจ้ะ”
จอมนางเข้าไปถ่ายรูปคู่กับหลง โพสท่ารำลิเกตัวพระตัวนางคู่กัน ให้โก๊ะถ่ายรูปลงมือถือ
อ่านต่อหน้า 4
ลิเก๊ลิเก ตอนที่ 14 (ต่อ)
คืนนี้บ้านเสี่ยเต๊กตกอยู่ในภาวะอึมครึม ประหนึ่งเกิดสงคราม เมื่อกลางวันเหลียนฮัวท้าหย่าเสี่ยเต๊ก ทำเอาตกใจกันทั้งบ้าน รวมทั้งเสี่ยเต๊ก
เหลียนฮัว เหมยฮัว นั่งรอเสี่ยเต๊กมากินข้าว เหมยฮัวหน้าละห้อยไม่อยากให้เตี่ยกับหม่าม้าหย่ากัน
เสี่ยเต๊กหน้าบึ้งตึงมานั่งหัวโต๊ะ ก้นไม่ทันนั่งเต็มก้น ก็โดนเหลียนฮัวตอกย้ำ
“ให้คำตอบได้เหรอยังเสี่ย จะไปหย่ากันวันไหน เมื่อกลางวัน ทำเป็นเดินหนี”
“อั๊วรู้ว่าลื๊อเก่งแต่ปากไปอย่างงั้นแหละ ไม่กล้าหย่ากับอั๊วจริงหรอก ฮึๆๆ” เสี่ยหัวเราะเยาะเมีย
เหลียนฮัวลุกขึ้น ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน
“อั๊วต้องการหย่า เราไปหย่ากัน พรุ่งนี้”
เสี่ยเต๊กยัวะ ถูกท้าทาย ลุกขึ้นเผชิญหน้าเมีย “ก็ได้ พรุ่งนี้เราไปหย่ากัน อั๊วจะได้หาเมียใหม่ หึย ไปหาของสวยๆ งามๆ นอกบ้านดีกว่า”
เสี่ยเต๊กโมโหลุกเดินหุนหันออกไป
“หม่าม้า เหมยขอร้องล่ะนะคะ อย่าหย่ากับเตี่ย เหมยอยากให้ลูกเหมยมีอากงกับอาม่าอยู่พร้อมหน้า”
“เหมยไม่ใช่หรอที่ยุให้หม่าม้าลุกขึ้นมาปลดแอกเตี่ย หม่าม้ากำลังจะเป็นไทแล้ว เหมยน่าจะดีใจ”
เหลียนฮัวไม่มีอารมณ์กินข้าว ลุกออกไป
“อาจง ครอบครัวเหมยกำลังจะบ้านแตก” เหมยฮัวร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เราไม่น่ายุคุณนายเลยนะคะ ได้ผลเกินคาด”
อาจงกอดโอ๋คุณหนูเหมยฮัว ทำราวกับคุณหนูยังเป็นเด็กเล็กๆ
คืนเดียวกันหลงเขียนแผนการตลาดคร่าวๆ วาดหวังจะสร้างแบรนด์ให้คณะเทียมฟ้าใหม่ จอมนางมาปิดบ้าน หลงวางกระดาษ ลุกไปช่วยจอมนางปิดประตูหน้าต่าง
“เขียนอะไรอยู่จ๊ะพี่ หน้าตาเคร่งเครียดเชียว”
“แผนการตลาดของคณะเทียมฟ้าครับ”
“พี่หลงนี่ต้องไม่ธรรมดา ต้องเป็นนักธุรกิจ ไม่ก็นักขายมือทอง” จอมนางแซว
“แต่ก่อนพี่เป็นอะไรไม่สำคัญ ตอนนี้พี่เป็นพระเอกลิเก ซึ่งมีภารกิจยิ่งใหญ่ช่วยกอบกู้คณะ”
“พรุ่งนี้พี่ไปกรุงเทพฯ เอารถตู้คณะไปนะจ๊ะ ไม่ต้องเสียค่ารถ”
“พี่จะชวนลุงพงศ์ไปครับ ให้แกไถ่โทษที่อมเงินครูเทียม”
จอมนางแปลกใจ “ลุงพงศ์รู้ได้ยังไงว่าปู่จับได้”
“พี่บอกครับ ลุงแกรู้สึกผิดมาก”
“รู้สึกผิดแล้วทำดีไถ่โทษ ก็ให้อภัยได้”
หลงกับจอมนางปิดบ้านเรียบร้อย ปิดไฟ แยกย้ายกันเข้านอน
ฟ้าประทานอ่านสัญญาว่าจ้างเล่นลิเก เห็นบรรทัดที่เขียนถึงค่าจ้าง “ค่าจ้างเล่นลิเกเป็นเวลา 1 คืน เป็นจำนวนเงิน 1 แสนบาท มัดจำล่วงหน้า 20 เปอร์เซ็นต์ ”
“ผมร่างสัญญานี้ ตามสัญญาฉบับเก่าๆ ที่เคยจ้างคณะอื่น เปลี่ยนเฉพาะจำนวนเงินครับ”
ตุ้มยกน้ำมาให้คนว่าจ้าง ตุ้มนั่งลงคุยด้วย
“เอาค่ามัดจำมาหรือเปล่าครับ”
“นี่ครับ”
คนว่าจ้างควักเงินสด 2 หมื่นบาทออกมา ฟ้าประทานเห็นเงินแล้วตาโต คนว่าจ้างดื่มน้ำ แล้วลุกลากลับ ฟ้าประทานยิ้มไหว้ลา
“วันงานเจอกันนะครับ”
คนว่าจ้างออกไปแล้ว ในบ้านเหลือแต่สองคน ฟ้าประทานมองเงิน 2 หมื่นบาทในมือ
“เอาไปเปลี่ยนโช้ครถได้สบาย แถมมีเงินเหลือไปซื้อเสื้อผ้า”
ตุ้มท้วง “เงินค่ามัดจำต้องเอาเข้าคณะนะจ๊ะ”
“เราไม่บอก เจ๊ทรงงามก็ไม่รู้”
ตุ้มตกใจ “ฟ้าประทานจะอมเงิน”
เจ๊ทรงงามขับรถกลับเข้าบ้าน ซื้อของกินติดไม้ติดมือมาฝากพ่อฟ้าประทานสุดที่รัก หน้าตาสดชื่น เบิกบานมาก
ส่วนตรงมุมสำนักงาน ฟ้าประทานใช้ลิขวิดลบจำนวนเงินค่าจ้าง 1 แสนบาทในสัญญา และลบประโยคที่เขียนถึงค่ามัดจำ 20 เปอร์เซ็นต์ ตุ้มหน้าไม่ดี ไม่เห็นด้วยกับการกระทำฟ้าประทาน
เสียงเจ๊ทรงงามดังขึ้น “ฟ้าประทานอยู่ไหนจ๊ะ”
“เจ๊ต้องจับเราได้”
ฟ้าประทานรีบเป่าลิขวิดให้แห้ง
“เอาสัญญาซ่อนก่อน” ตุ้มว่า
“เจ๊ก็หาเจออยู่ดี”
เสียงเจ๊ใกล้เข้ามา “ยู้ฮู อยู่ไหนจ๊ะ”
ฟ้าประทานแตะดู “แห้งแล้ว” เขารีบเขียนตัวเลขใหม่ลงไป เปลี่ยนค่าจ้างเป็น 8 หมื่น
พอฟ้าประทานแก้ตัวเลขเสร็จปุ๊บ เจ๊ทรงงามก็เข้ามาปั๊บ ฟ้าประทานยิ้มให้ ส่วนตุ้มหน้าซีด กลัวโดนจับได้
“หน้าซีดเป็นไก่ต้มเลยนังตุ้ม” เจ๊สงสัย นังตุ้มเป็นอะไรฟระ?
“เอ้อ...อ้า...”
ฟ้าประทานใช้ไหวพริบแก้สถานการณ์ “ผมตำหนิตุ้ม ให้ตุ้มช่วยทำงานบ้านน่ะครับ”
“ขี้เกียจตัวเป็นขนอย่างแม่เนี้ย ด่าเท่าไหร่ก็ไม่ฟังหรอก” ทรงงามค้อนตุ้ม “ฟ้าประทานจ๋า คนที่โทร.
มานัดเมื่อวาน มาเซ็นสัญญาหรือยังจ๊ะ”
“ผมเซ็นเรียบร้อยแล้วครับ”
ฟ้าประทานส่งสัญญาที่แอบแก้ให้ทรงงามดู
ฟ้าประทานกับตุ้มลุ้น เจ๊จะจับได้มั้ย ทรงงามดูละเอียดมากประสาคนรอบคอบ
“เราตกลงไว้ที่คืนละแสน ในสัญญาเป็น 8 หมื่น ค่ามัดจำก็ไม่มี”
ฟ้าประทานโกหกหน้าตาย “เราเป็นคณะใหม่ ต้องเอาใจลูกค้า ผมโทร.ไปบอกเค้าเมื่อวาน ลดค่าจ้างเหลือ 8 หมื่น ค่ามัดจำไม่ต้อง เค้าพิมพ์สัญญาไปแล้ว เลยใช้ลิขวิดลบน่ะครับ”
ทรงงามไม่วางใจ “ทำการค้าการขาย อย่าเที่ยวลดราคาสุ่มสี่สุ่มห้านะจ๊ะ ลูกค้ารู้ จะพากันมาต่อ
ราคาเรา เจ๊อยากคืนทุนไวๆ ลงค่าเครื่องเสียงเครื่องไฟไปเป็นล้าน”
“ทีหลังผมจะปรึกษาเจ๊ก่อนครับ”
“เจ๊ซื้อขนมมาฝาก ไปกินนะจ๊ะ”
เจ๊ทรงงามหน้าตาเซ็งนิดๆ ฟ้าประทานยิ้มกริ่ม รอดตัว ตุ้มไม่สบายใจ ไม่ชอบที่ฟ้าประทานโกหกหลอกลวงอมเงินคนอื่น
พร้อมพงศ์บอกทางพงศ์เทพ ให้ขับรถพามายังสวนอาหารของเพื่อนในกรุงเทพฯ มีเจ๋งนั่งติ่งมาที่เบาะหลังด้วย
“ร้านนั้น” พร้อมพงศ์ชี้บอก
พงศ์เทพจอดรถหน้าสวนอาหาร เป็นร้านขนาดกลาง ทั้งร้านตกแต่งแบบไทยๆ
“ลุงรู้จักเจ้าของสวนอาหารนี้ได้ยังไง มาหลอกกินฟรีเหรอ” เจ๋งปากดี
พร้อมพงศ์ฉุน “พามันมาด้วยทำไมวะเทพ น่าปล่อยให้มันปากหมาอยู่บางไทร”
“พ่อเกริ่นกับเค้าก่อนนะครับ ที่เหลือผมคุยต่อเอง ลิเกทรงเครื่องมีดีอะไร ทำไมถึงควรจ้างมาเล่น”
ทั้งหมดลงรถ เดินเข้าไปในสวนอาหาร
พร้อมพงศ์พาพงศ์เทพกับเจ๋งเข้ามาด้านใน ภายในร้านตกแต่งแบบไทยๆ ช่วงกลางวัน ลูกค้าไม่เยอะ ชาย 1 เจ้าของสวนอาหารเห็นพร้อมพงศ์ก็เดินมาทัก
“หายหน้าไปเลยนะเฮีย ไม่มาอุดหนุน”
“ไปอยู่บางไทรมา นี่ พงศ์เทพ ลูกชาย แล้วนี่เจ๋ง หลาน”
สองหนุ่มไหว้เจ้าของร้าน
ชาย 1มองพงศ์เทพ “ลูกชายเฮียหล่อไม่เบานะ”
“พ่อบอกว่าสวนอาหารคุณลุง มีทัวร์ต่างชาติมาลง ผมมีการแสดงเก่าแก่ของไทยมานำเสนอครับ ลิเกทรงเครื่อง”
ชาย 1 ฉงน “ลิเกทรงเครื่อง? ไม่เคยได้ยิน”
พงศ์เทพเปิดรูปในมือถือ ที่ตัวเองกับจอมนางแต่งชุดลิเกทรงเครื่องที่ถ่ายเมื่อวาน ให้ชาย 1 ดู
“เพิ่งรู้ ลูกชายเฮียเป็นพระเอกลิเก”
พร้อมพงศ์โม้ใหญ่ “กำลังโด่งดังอยู่ที่บางไทรเลยแหละ”
“คณะลิเกที่ผมเล่นอยู่ ชื่อ เทียมฟ้าสุวรรณศิลป์ครับ เราเข้ารอบประกวดลิเกชิงแชมป์ประเทศไทย คณะเราเล่นลิเกทรงเครื่องที่หาดูยาก เหลืออยู่ไม่กี่คณะในประเทศ ทัวร์ฝรั่งได้ดู ต้องประทับใจครับ”
“ร้านลุงไม่มีทัวร์ต่างชาติมาลงแล้ว เศรษฐกิจไม่ดี ฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน หายหมด” ชาย 1 บ่น
พร้อมพงศ์ถาม “แล้วยังมีแสดงรำไทยอยู่มั้ย”
“เลิกจ้างแล้ว” ชาย 1 บอกกับหลง “ขอโทษทีนะ ลุงคงไม่จ้างมาเล่น”
“ไม่เป็นไรครับ”
พงศ์เทพผิดหวังเล็กน้อย เริ่มต้นได้ไม่สวย
ทั้งสามกลับมาที่รถ พร้อมพงศ์เอ่ยขึ้น
“พ่อก็คิดว่ามาร้านเพื่อนคนนี้ ต้องได้งานแน่ ผิดคาด”
“กรุงเทพฯ ยังมีร้านอาหารอีกเยอะครับพ่อ”
“พี่เทพเล็งร้านไหนไว้บ้าง”
“ร้านใหญ่ๆ ออกแนวไทยๆ ไปตระเวนดูนอกเมืองก่อน หาไม่ได้ ค่อยเข้าเมือง”
หน้าตาพงศ์เทพยังมุ่งมั่นมาดหมาย ต้องหาร้านให้เทียมฟ้าเล่นได้ ขับรถพาพ่อกับเจ๋งไป
ขณะที่หลงไปหาร้านให้คณะเล่น ชาวเทียมฟ้าก็ดิ้นรนเอาตัวรอด กระแตทำขนมจะเอาไปส่งตลาด จอมนาง โก๊ะ ครูเทียมช่วยห่อ กำจายกับโก่งมาบอกครู
“พวกชั้นไปหางานนะจ๊ะครู หน้านี้กำลังดำนา น่าจะหางานไม่ยาก” โก่งบอก
โก๊ะท้วง “ไม่รอพี่หลงหน่อยเหรอพี่โก่ง พี่หลงแกอาจหางานให้เราได้”
กำจายบอกเสียงแหบแห้ง “ข้าไม่หวังพึ่งมันหรอก” จากนั้นก็ไอแค่ก เจ็บคอ หยิบยาลูกกลอนอม
“ไปเอายาหมอมากินดีกว่ากำจายเอ๊ย”
“ยาลูกกลอนนี่ดีจ้ะครู อมแล้วชุ่มคอ พวกชั้นไปนะจ๊ะ”
กำจายกับโก่งออกไป
“ขอให้พี่หลงหางานได้ทีเถ๊อะ” จอมนางว่า
ทุกคนก็ไม่คาดหวังมาก ยังกลุ้มหนักอยู่อย่างเก่า
อ่านต่อตอนที่ 15