พราว ตอนที่ 3
ขณะนั้น ติณห์นั่งอยู่ในห้องทำงานอันหรูหรา เขากำลังดูภาพของพราวจากอินสตาแกรมในไอแพดที่แฟรงค์ถ่ายรูปแล้วแชร์
“งานมีตแอนด์กรี๊ดพราว กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ติณห์ตกตะลึง เขามองรูปพราวอย่างแปลกใจและมึนงง ขณะอ่านโพสต์ใต้ภาพ
ติณห์ลุกขึ้น เดินไปหยุดยืนคิดอย่างสงสัย ตามองผ่านกระจกออกไปยังยอดตึกข้างหน้า คิดอยากจะไปเจอพราวให้หายสงสัย เลยหันกลับมาที่โต๊ะกดโทรศัพท์สายภายใน
“เข้ามาหาผมหน่อย”
“ค่ะ คุณติณห์” เสียงเลขาตอบนับ
ชั่วครู่เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา!”
เลขาเปิดประตูเข้ามา
“ช่วยสั่งช่อดอกไม้พิเศษให้ผมช่อนึง ผมจะไปงานมีตติ้งของคุณพราว”
“อ๋อค่ะ กุหลาบสีชมพูที่คุณพราวชอบใช่ไหมคะ”
“ด่วนเลย!”
ขณะเดียวกัน มิกิ มาร์ค และ ต้อยติ่ง ก็กำลังสุมหัวชนกันดูรูปพราวจากอินสตาแกรมในมือถืออย่างแปลกใจสุดๆ
“คุณพราว! คุณพราวจริงๆด้วย” ต้อยติ่งร้องขึ้น
“พี่พราวกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไมเราไม่เห็นรู้เรื่องกันเลยอ่ะ” มิกิงงใหญ่
“เนอะ! เมื่อวาน ยังเห็นเจ๊เค้ายังตามหาคุณพราวหัวฟูหน้างี้ดำงึบอยู่เลย อยู่ๆ วันนี้ก็มีคุณพราวเผยโฉมไปที่งานให้แฟนคลับกรี๊ดเฉยเลยอ้า โฮ้วเจ้าพ่อเจ้าแม่...ต้อยติ่งงงเด้อค่า” ต้อยติ่งบอก
“ไม่เห็นต้องงงกันเลย พี่พราวเป็นดาราที่มีความรับผิดชอบ คงไม่อยากทำให้แฟนคลับผิดหวัง ก็เลยรีบกลับมาร่วมงานให้ทันเวลาไง” มาร์คว่า
“จริงด้วย!” ทั้งสามพากันไม่ติดใจสงสัย แต่อยู่ๆ ต้อยติ่งก็เบรกขึ้น
“แต่เดี๋ยวๆ...ทำไมคุณพราวดูแปล๊กแปลกจังวันนี้”
“แปลกไง” มิกิกับมาร์คถามขึ้นพร้อมกัน
“ก็ดูสวยหวานเว่อร์กว่าทุกวันน่ะสิ ฮี่ๆๆ”
ทั้ง 3 หัวเราะคิกคัก แล้วต้องชะงักเมื่อมีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง
“ใครสวยหวานยะ ไหนเอามาดูดิ” จันทร์จรีแย่งมือถือไปจากมือมิกิ
ทั้งสามทำหน้าไม่พอใจที่จันทร์จรีไร้มารยาทสิ้นดี
จันทร์จรีเห็นรูปพราวในอินสตาแกรมแล้วร้องขึ้น ไม่อยากเชื่อตาตัวเอง
“ไม่จริง...ไม่จริ๊ง! ก็ยัยพราวหายตัวไปแล้ว จะโผล่มาที่งานมีตติ้งได้ยังไง”
มิกิคว้ามือถือกลับไป
“ทำไม ผิดหวังเหรอจรีที่พี่พราวไม่ได้หายตัวไปอย่างที่...เอ่อ...อย่างที่เธอแช่ง” มิกิเยาะ
จันทร์จรีเงื้อมือตบหน้ามิกิเผียะทันทีจนมิกิเซ มาร์คเข้าประคองไว้ ต้อยติ่งตกใจร้องลั่น
“ว้ายเจ้าแม่เจ้าพ่อตบกันแล้วค่า” ต้อยติ่งวี้ดว้าย
“อย่ามาปากดีกับฉันอีก อีหน้าใหม่โนเนม” จันทร์จรีชี้หน้า ก่อนเดินผละไปอย่างอารมณ์เสียสุดๆ
“เป็นไปได้ยังไง อี๊”
อีกด้านหนึ่ง น้องนุชถือมือถือวิ่งสีหน้าตื่นเต้นเข้ามาที่เรือนไม้ที่เป็นเคาน์เตอร์ต้อนรับ
“แม่...แม่...แม่!” น้องนุชแหกปากดังมาแต่ไกล
อรชุมาโผล่พรวดขึ้นมาจากหลังเคาน์เตอร์
“เฮ้ย...ดาราคนไหนจะมาเหมาโฮมสเตย์เราอีกฮะ” อรชุมาถาม
“วุ้ย! แฮ่...ไม่มีแล้วแม่ แค่คุณพราวคนเดียว ก็ป่วนจะแย่แย้ว” น้องนุช สะดุ้งเล็กน้อย
“แล้วเอะอะหาอะไร เป็นสาวเป็นนาง ตะโกน เดี๋ยวเถอะ แม่ตีปาก”
“ก็แม่ดูดิเนี่ย อยู่ๆ คุณพราวก็ไปโผล่ในไอจีของตัวเอง”
“อ้าว โผล่แล้วไง” อรชุมางง
“โธ่แม่...ก็ตอนนี้ตัวคุณพราวอยู่กับเราใช่ป่ะ แต่ในรูปนี่ คุณพราวอยู่ในงานมีตติ้งแฟนคลับที่กทม. โน่น” น้องนุชรายงาน
“หา...ไปได้ไงกัน” อรชุมางงใหญ่
“นี่ไง! ที่ฉันตกใจ คุณพราวจะไปได้ยังไง คนนะไม่ใช่ผีจะได้หายตัวแวบไปได้”
“เออเนอะ!” อรชุมาคิดตาม
“คุณพราวอยู่นี่ แล้วในรูปนี้เป็นใคร มันก็หน้าคุณพราวนี่ลูก” อรชุมามองรูป
“เป๊ะเลยแม่ ใช่คุณพราวแน่ๆ มันยังไงกันง่ะ ฉันขนลุกแล้วนะเนี่ย” น้องนุชว่า
อรชุมาครุ่นคิด แล้วก็ยิ้มอย่างได้คำตอบ
“ก็นี่ไง...เค้าถึงเรียกว่าวงการมายา” อรชุมาว่า
“ไม่เก็ทอ่ะแม่” น้องนุชส่ายหน้า
“ก็ทางผู้จัดการคุณพราวหรือพวกๆ ทีมงานก็คงเอารูปเก่าๆ ของคุณพราวมาลงไง ทำเป็นว่าคุณพราวอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อจะปิดข่าวที่คุณพราวหายตัวไป เป็นไง เรื่องแค่นี่ง่ายนิดเดียว” อรชุมาเฉลย
“โฮ่ย...จริงด้วย แม่นี่ฉลาดจัง” น้องนุชกระโดดตบมือ
“ถ้าแม่โง่ จะสยบพี่ชายเรา ให้ยอมอ่อนข้อให้คุณพราวได้เหรอห๊ะ”
“ง่ะ! เก่งจุงเบยแม่”
แม่ลูกหัวเราะให้กัน
แต่แล้วอรชุมาก็มองไปทางสวนผลไม้ แอบกังวลว่าจะเป็นยังไงบ้าง
ขณะเดียวกันนั้น พราวกำลังเพลินกับการเดินชมนกชมไม้ในสวน สมชายเดินถือถาดใส่ข้าวต้มมาแต่ไกลด้านหลัง สมชายชะงักเมื่อเห็นพราวเดินอยู่เลยแกล้งตะโกนขึ้น
“นี่คุณ...อยู่ไหนอ่ะ”
พราวตกใจรีบกลับไปที่เสื่อปิกนิกใต้ต้นไม้ นั่งกอดหมอนเอนพิงต้นไม้ทำเหมือนยังป่วยอยู่ สมชายเดินฟอร์ม ทำเป็นไม่รู้แล้วเดินเข้ามา
“รู้ว่าป่วย แทนที่จะนอนพักอยู่ในห้อง ออกมาตากแดดตากลมทำไมเนี่ย” สมชายบ่น
“ก็ฉันเบื่อ” พราวตอบ
“เบื่อเป็นคนเดียวเหรอ ผมก็เบื่อเหมือนกัน ต้องยกข้าวมาเสิร์ฟให้คุณนายถึงนี่” สมชายพูดพลางวางถาดลง
“แล้วที่ฉันป่วยเพราะคุณใช่ไหม เพราะงั้น อย่าบ่น!” พราวยื่นมือมาเปิดดูชามในถาดเห็นเป็นข้าวต้มหมูสับ ก็ทำหน้ายี้
“อี้ย! ข้าวต้มอีกแล้ว แค่ได้กลิ่นฉันก็กินไม่ลงแล้ว” พูดได้แค่นี้พราวก็ต้องชะงัก เมื่อฝ่ามือสมชายมาแปะอยู่ที่หน้าผากเธอ
“ก็แหงล่ะ คุณหายป่วยแล้วนี่ ตัวไม่ร้อนเลย คิดว่าจะหลอกผมได้งั้นดิ”
“เอ่อ...ฉัน…” พราวตกใจปัดมือสมชายออก แต่กลับถูกสมชายจับแขนไว้แล้วพลิกดูอย่างรวดเร็ว
“ผื่นแพ้น้ำคลองก็หายไปเกลี้ยง แล้วจะอยู่ที่นี่อีกทำไม กลับไปได้แล้ว!” สมชายพูดพลางดึงตัวพราวขึ้น
“อ๊าย...ฉันยังไม่หายดีเลยนะ ฉันไม่กลับ!” พราวโวยวาย
สมชายดึงแขนพราวมาตามทางในสวน
“ปล่อย! จะลากฉันไปไหนเนี่ย” พราวร้องโวยวาย
“คุณมาทางไหน ก็กลับไปทางนั้นสิ”
“ฉันไม่กลับ!” พราวเสียงแข็ง
“คุณต้องกลับ!
“ฉันไม่กลับ ฉันจะอยู่ที่นี่” พราวพยายามฝืนตัว แต่สมชายก็ออกแรงลาก
“ที่นี่มันต่างจังหวัด ไม่ใช่กทม. ที่ของคุณหรอกแม่ดาราซุปเปอร์สตาร์ใหญ่ กลับไปซะ กลับไปวงการมายาที่มันเหมาะกับหน้าอย่างคุณมากกว่า”
“ฉันไม่กลับเข้าวงการอีกแล้ว ฉันจะอยู่ที่นี่ อยู่อย่างคนธรรมดา ฉันไม่อยากเป็นดาราซุปสตาร์อีกแล้ว ฉันจะออกจากวงการ ได้ยินไหม!”
สมชายได้ยินอย่างนั้นก็หยุดดึง ปล่อยมือ ทำให้พราวที่ออกแรงดึงอยู่ เซถลาถอยหลังจะล้ม
“ว้าย!” พราวร้องสุดเสียง
แต่สมชายตามเข้าไปประคองหลังพราวไว้อยู่ในอ้อมแขน จ้องหน้าเลิกคิ้วเบ้ปากถามพราว ที่หน้าแทบจิ้มกัน
“คุณเนี่ยนะ...จะออกจากวงการ”
“ใช่ ถ้าคุณตาไม่บอด คุณก็เห็นว่าฉันมาคนเดียว ฉันอยากเป็นพราว คนธรรมดาที่นี่ คุณไม่มีสิทธิ์มาไล่ฉันไป เพราะฉันจ่ายค่าที่พักไปหมดแล้ว!”
สมชายฉุกคิด นึกอยากจะแก้เผ็ดพราว
“งั้นก็ได้ ถ้าคุณจะอยู่ที่นี่อย่างคนธรรมดา ไม่เป็นซุปเปอร์สตาร์ผมยินดี”
พราวหันมาด้วยสีหน้าหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“คุณพูดจริงเหรอ”
“ฮื่อ...จริง!”
พราวเท้าสะเอวทำท่ายกนิ้วเริดๆ “งั้นก็โอเค”
“ยัง! อย่าเพิ่งโอเค ผมมีข้อแม้ 2 ข้อ”
“ข้อแม้อะไรของคุณอีกล่ะ”
“ข้อแรก! ผมให้คุณพักอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ก็ได้ ตราบที่คุณอยากจะอยู่ จะเป็นเดือน หรือเป็นปีก็ได้ แต่...ต้องไม่มีอภิสิทธิ์เหนือใคร คุณต้องยอมให้แขกคนอื่นเข้าพักด้วย”
“ได้ไง! ถ้าคนอื่นเห็นหน้าฉัน ก็ต้องจำฉันได้สิ ว่าฉันเป็นพราว”
สมชายไม่สน พูดต่อ
“ข้อ2! คุณต้องแสดงให้ผมเห็น ว่าคุณอยากจะเป็นคนธรรมดาจริงๆ ด้วยการช่วยผมทำงานที่โฮมสเตย์นี่”
“ว่าไงนะ...ทำงานเหรอ! ทำไมฉันต้องลดตัวลงไปช่วยนายทำงานด้วย”
“หึ จบเห่! ถ้าคุณถามอย่างงี้ล่ะก็ คุณมันก็เก่งแต่ปาก ไม่มีทางเลิกเสพติดความเป็นดาราของตัวเองได้หรอก ทำไม่ได้ ก็กลับไปซะดีกว่า ไป!”
สมชายตะคอกใส่หน้า แถมชี้นิ้ว ทำเอาแพรวกำมือปรี๊ดแตก หมดความอดทน
“ไม่ต้องมาไล่หรอก ถ้าฉันอยู่ทำตามข้อแม้ห่วยๆของนาย ฉันก็ ป-ญ-อ แล้ว” พราวผลักอกสมชายออก แล้วเดินหงุดหงิดออกไป สมชายยืนหัวเราะ
“อ้าว ตกลงจะไปจริงเหรอน่ะ ไหนว่าอยากจะออกจากวงการไง อีโธ่...เพ้อ...ตามประสาดารา!”
พราวเปิดประตูห้องพักเข้ามาอย่างฉุนเฉียวโกรธจัด เก็บเสื้อผ้าข้าวของยัดใส่กระเป๋า
“ทำไมฉันต้องมาเจอไอ้คนขวางโลกแบบนี้ด้วยนะ”
แล้วคำดูถูกของสมชายก็ดังขึ้นก้องหู
“คุณมันก็เก่งแต่ปาก ไม่มีทางเลิกเสพติดความเป็นดาราของตัวเองได้หรอก ทำไม่ได้ ก็กลับไปซะดีกว่า ไป!”
พราวเก็บของโยนแล้วก็หยุด ยืนเท้าเอวคิดตัดสินใจ รู้สึกอยากจะเอาชนะ มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น พราวหันไปมอง เมื่อเธอเปิดประตูออกมาก็เจอสมชายยืนยิ้มกวนๆอยู่
“เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” สมชายพูดพลางชูกุญแจรถขึ้นมา “รถคุณ...ผมก็ช่วยเติมน้ำมันให้เต็มถังแล้วคร๊าบ”
พราวฉุนคว้ากุญแจรถไปจากมือสมชาย
“ทีนี้...คืนกุญแจบ้านพักผมมาได้หรือยัง” สมชายแบมือทวงด้วยหน้าตายิ้มกวนๆ
แทนที่จะคืนกุญแจบ้าน พราวกลับยกมือขึ้นตบไปบนมือสมชาย
“ตกลง!” พราวว่า
“ห๊ะ ตกลงอะไร” สมชายจะดึงมือกลับ แต่พราวกลับกุมไว้แน่น
“ฉันตกลงทำตามข้อแม้ทั้ง 2 ข้อของคุณไง ฉันจะออกจากวงการแล้วอยู่ที่นี่อย่างคนธรรมดา เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่”
สมชายอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าพราวจะเอาด้วย ในขณะที่พราวยักคิ้วอย่างท้าทาย
ส่วนที่งานมีตแอนด์กรี๊ด มีนในคราบพราวกำลังยืนโอบแฟนคลับสาวผู้โชคดี ที่มีโอกาสขึ้นมาถ่ายรูปกับพราวอย่างใกล้ชิดบนเวที แฟนคลับสาวถึงกับร้องห่มร้องไห้
“น้ำตาแห่งความดีกำลังไหลท่วมบนเวทีแห่งนี้ โอ้ลันล้าเอาล่ะ ขอเชิญ...แฟนคลับผู้โชคดีท่านสุดท้ายที่จะได้ขึ้นมาถ่ายรูปอย่างถึงเนื้อถึงตัวกับพราวเป็นโบนัสในวันนี้ ใครจ้ะเอมี่”
แฟรงค์หันมาทาง เอมี่ที่หยิบหางบัตรจากในกล่องขึ้นมา
“แฟนคลับผู้โชคดีคนสุดท้าย หมายเลขที่ออก….”
ทีมงานเชิญแฟนคลับบนเวทีลงไป ส่วนมีนยืนยิ้มรอ
“120 ค่า” เอมี่เฉลย
“120 อยู่ไหนเอ่ย” แฟรงค์ถาม
“อยู่นี่ครับ ผมเองๆ” ม็อดดี้ร้องลั่น
ม็อดดี้กระโดดชูมือดีใจกับเหล่าแก๊ง Power Proud รีบเดินหน้าเวทีโดยมีตุ๊กตาหมีขนาดใหญ่มาด้วย
“รีบๆ หน่อยนะฮะหนู ขืนช้าจะตัดสิทธิ์ให้คนอื่น” แฟรงค์แซว
“มาแล้วครับ...มาแล้ว!” ม็อดดี้เดินผ่านประเสริฐ ประเสริฐมองด้วยสายตาอิจฉา แล้วแกล้งขัดขา ทำให้ม็อดดี้ล้มไปพร้อมตุ๊กตา
“ว้าย ตาเถร! เดินช้าๆ ก็ได้ ตะกี้แซวเล่น” แฟรงค์ว่า
ม็อดดี้เดินขึ้นไปบนเวที แล้วมอบตุ๊กตาให้มีนที่สวมบทเป็นพราวอยู่
“ขอบคุณค่ะ” มีนยิ้มหวาน
ทีมงานรับตุ๊กตาหมีไป แล้วมีนก็ยืนถ่ายรูปกับม็อดดี้
“น้องคนนี้ พวกเราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีเชียว คือน้องม็อดดี้จากแฟนคลับกลุ่ม Power Proud นั่นเอง”
กลุ่ม Power Proud ที่มีกระติ๊บ หงอย ตั้มและคนอื่นๆพากันส่งเสียงกรี๊ด
“ที่ไหนมีพราว ที่นั่นจะเห็นกลุ่ม Power Proud” เอมี่แซวสนุก
“และถ้าไม่มีแฟนคลับวันนี้ ก็จะไม่มี พราว พิชญาดา เช่นกันนะฮ้า พราวและพวกเราขอกราบขอบพระคุณแฟนคลับทุกท่านมากฮ้า” แฟรงค์ เอมี่ และมีนยกมือขึ้นไหว้ ให้สัญญาณทีมงานเชิญม็อดดี้ลงจากเวที
“รายได้จากการขายบัตรในวันนี้จะมอบให้กับการกุศล ในนามของพราวแอนด์แฟนคลับทุกบาททุกสตางค์ค่า” เอมี่พูดขึ้น
แฟนคลับพากันตบมือกรี๊ดกร๊าด
“ขอบคุณแฟนคลับทุกๆม่านที่มาเจอะเจอกัน ร่วมสนุกร่วมทำบุญกัน ขอให้รู้ว่าทุกๆวัน ของพวกคุณ มีพราวอยู่ด้วยเสมอนะฮ้า จนกว่าจะได้พบกันใหม่ สำหรับวันนี้ ขอบคุณฮ้า” แฟรงค์กล่าวปิดงาน
“ขอบคุณนะคะ กลับบ้านเดินทางปลอดภัย” เอมี่เสริม
แฟรงค์และเอมี่โบกมือลา โดยมีมีนไหว้และโบกมือให้ และเมื่อมองเห็นแฟนๆ ที่หน้าเวทียื่นมือมาร้องตะโกนเรียกชื่อขอจับมือ มีนก็เดินไปให้จับมือ
ประเสริฐเบียดคนโผเข้ามาถึงหน้าขอบเวทีอย่างรวดเร็ว และจับมือมีนในคราบพราวแน่นไม่ยอมปล่อย คนอื่นก็พลอยดึงไปด้วย มีนมีสีหน้าตกใจ ดีที่แฟรงค์กับเอมี่รีบเข้ามาคว้าตัวแล้วดึงมีนกลับเข้าหลังเวทีไป แต่มีเสียงแฟนคลับตะโกนเรียกดังขึ้น
“พราว! พราว!พราว!พราว!”
แฟรงค์ เอมี่ มายืนเหงื่อตกกันอยู่ที่หลังเวที ฟังเสียงเรียกของแฟนคลับที่ดังกระหึ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่มีนยืนฟังด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อว่าพราวจะดังขนาดนี้
“พราว! พราว! พราว! พราว!”
“ว้ายทำไงดี ไม่ปล่อยพราวออกไป มีหวังโดนเหยียบ” แฟรงค์เครียด
“มันเป็นธรรมเนียมนะเจ๊ ต้องปล่อยพราวออกไปอังกอร์อำลาแฟนๆ” เอมี่บอก
“ก็รู้ย่ะ ตอนแรกฉันวางสคริปท์ไว้ว่าจะให้พราวออกไปพูดคุย เล่นมุขกับแฟนคลับสดๆ แต่ตอนนี้…” แฟรงค์มองหน้ามีน แล้วพูดต่อ “ถ้าสดก็เสร็จแน่ๆ”
“มีทางอื่นไหมอ่ะ” เอมี่ถาม
“ทางไหนล่ะยะ ฉันมองเห็นแต่ทางออกฉุกเฉินนั่น” แฟรงค์ชี้ไป
“ไม่ส่งพราวออกไป ก็เผ่นเนียนๆ เถอะเรา” แฟรงค์กับเอมี่ยืนเต้นเตรียมเผ่น
ขณะนั้นเอง มีนคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีที่สุด...ก่อนหันมาบอก
“หนูจะร้องเพลง!”
“หา...ร้องเพลง!” แฟรงค์กับเอมี่ตาเหลือก ประสานเสียงอย่างตกใจ
“แต่พราวไม่เคยซิงค์อะซองค์นะ” แฟรงค์ท้วง
“เกลียดด้วย กลัวด้วย” เอมี่เสริม
“เพราะร้องห่วยแตกมากนะหนู เสียงแมวกัดกันยังเพราะกว่า” แฟรงค์ว่า
“แต่วันนี้หนูจะร้องค่ะ” มีนตอบอย่างจริงใจ ใสๆ ไม่มีจริตจะกร้าน
แฟรงค์กับเอมี่โผเข้าจับมือกันแบบอึ้งๆ มองหน้ากันอย่างหวั่นใจสุดๆ
เสียงแฟนคลับร้องเรียกกระหึ่มห้อง
“พราว! พราว! พราว! พราว!”
ส้มจี๊ดครุ่นคิด สีหน้าสงสัย พยายามจับผิด
“วันนี้ยัยพราวแทบไม่ได้พูดอะไร นอกจากคำว่าขอบคุณ”
สุดเขตต์ทำหน้าเซ็ง
“อะไรของแกอีกเนี่ย จับผิดเค้าทุกเม็ด ฉันว่าคุณพราวหายใจก็ยังผิดเลยสำหรับแก”
ส้มจี๊ดถลึงตาใส่สุดเขตต์จะเถียง แต่อยู่ๆ ไฟบนเวทีและทั้งห้องก็ดับพรึ่บ เสียงร้องเรียกพราวเงียบลง ทุกคนพากันหันมองอย่างแปลกใจ
“สำหรับกำลังใจที่มีให้พราวมาโดยตลอดตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วงการ พราวไม่มีอะไรจะให้ นอกจากเซอร์ไพรส์…”
สิ้นเสียงของแฟรงค์ สปอตไลท์ก็สว่างพรึบขึ้นบนเวที พร้อมเสียงดนตรี บนเวที มีนกำลังเล่นดนตรีและกำลังจะร้องเพลง
แฟนคลับพากันกรี๊ด ก่อนจะเงียบลง ซาบซึ้งกับเสียงเพลงของมีนในบทบาทของพราว
สุดเขตต์ยกกล้องขึ้นซูมภาพไปที่พราว มองพราวผ่านวิวไฟน์เดอร์กล้อง ประทับใจพราวมากอย่างที่ไม่เป็นมาก่อน
ขณะที่ส้มจี๊ดยืนเท้าสะเอวมองพราวอย่างมึนตึ้บ เพราะรู้มาตลอดว่าตัวตนพราวไม่เป็นอย่างงี้
ประตูด้านหลังห้องจัดงานเปิดออก ติณห์เดินถือช่อดอกไม้เข้ามา หยุดยืนอึ้งมองพราวที่กำลังร้องเพลงแสนเพราะบนเวที เขาเดินถือช่อดอกไม้ช้าๆ ผ่านช่องทางเดินข้างๆ ไปที่หน้าเวที
แฟรงค์กับเอมี่แหวกม่านแอบมองออกไปจากหลังเวที...ต้องตกใจเมื่อเห็นติณห์เดินถือช่อดอกไม้ใกล้เวทีเข้ามา
“บระเจ้า...เจ๊! คุณติณห์มา!” เอมี่บอก
“ความวัวความควายทำไมมันต้องมาพร้อมกันด้วยยะ” แฟรงค์ปวดตับ
ติณห์เดินใกล้เวทีเข้ามาทุกที ขณะที่มีนร้องเพลงประโยคสุดท้ายจบพอดี แฟนคลับตบมือ มีนพูดผ่านไมค์สั้นๆ
“ขอบคุณค่ะ” มีนลุกขึ้นโค้งให้ทุกคน ติณห์เดินปรบมือเข้ามาถึงขอบเวทีพอดี ยื่นดอกไม้ไปให้
มีนหันไปมอง แฟรงค์กับเอมี่อ้าปากค้างแทบช็อก
“เร็ว! นังเอมี่ จะให้คุณติณห์คุยกับพราวตอนนี้ไม่ได้” แฟรงค์เร่งยิกๆ
มีนเดินมารับช่อดอกไม้จากติณห์พร้อมรอยยิ้ม
สุดเขตต์ยืนถือกล้องมองภาพนั้นอยู่ด้านล่างเวที
“จะถือกล้องไว้ทำไม้ตะพดไร ถ่ายไว้สิ ช็อตเด็ดแบบนี้มันขายได้ เร็วสิ” ส้มจี๊ดบอก
สุดเขตต์ทำหน้ารำคาญ แต่ก็รีบกดชัตเตอร์ถ่ายภาพทั้งคู่รับส่งช่อดอกไม้ให้กันไว้ได้
แฟรงค์กับเอมี่ก็รีบเข้ามาคว้าตัวมีนไปจากเวทีได้เฉียดฉิว
“แท้งกิ้วมากนะค๊าคุณติณห์ แหม...อุตส่าห์เอาดอกไม้มาให้ ไปเร็วพราว...ไปขอบคุณแฟนคลับก่อน”
แฟรงค์กับเอมี่จูงมือมีนไปยืนโค้งคำรับให้แฟนคลับกลางเวที แฟนคลับกรี๊ดกร๊าดตบมือส่งเสียงเรียกกระหึ่ม ขณะนั้น ประเสริฐปรี่เข้ามาติดขอบเวทีอีกครั้ง ทำท่าล้วงบางสิ่งบางอย่างออกมาจากกระเป๋า เป็นกล่องของขวัญนั่นเอง เขายื่นไปให้พราวอย่างจริงจัง
“พราวๆ...รับไป...รับของขวัญผมไปที...พราวของผม...พราวจ๋า...พราว”
แต่แฟรงค์กับเอมี่รีบโบกไม้โบกมืออำลา จูงมือมีนกลับเข้าหลังเวทีไปแล้ว พร้อมกับไฟเวทีดับมืดลง เหล่าแฟนคลับก็รีบกรูกันออกจากห้องทันที
“เร็วแก...ไปดักเจอพราวข้างนอก” ม็อดดี้ร้องบอกบรรดาติ่ง
แฟรงค์และเอมี่ รีบพามีนมาที่ลิฟท์กดเรียกลิฟท์ยิกๆ
“มาเร็วๆ สิ”
ในที่สุด ม็อดดี้และเหล่าแฟนคลับก็ตามหาจนทัน
“พี่พราวอยู่นั่น!” ม็อดดี้ชี้
“เฮิ้กก กองทัพแฟนคลับมาแล้ว…” เอมี่ร้อง
“พี่พราวๆๆๆ อย่าเบียดสิ...โธ่...พี่พราว” เหล่าแฟนคลับวิ่งเบียดแย่งกันเข้ามา หนึ่งในนั้นมีประเสริฐรวมอยู่ด้วย
แฟรงค์และเอมี่ยืนมองตาเหลือก มีนเองก็ตกใจมาก แต่ประตูลิฟท์เปิดออกทัน ทั้งสามจึงรีบเข้าลิฟท์ไป แฟรงค์กดปิดประตูปิดลิฟท์ทันก่อนที่เหล่าแฟนคลับจะมาถึงอย่างฉิวเฉียด เหล่าแฟนคลับพากันผิดหวัง บางกลุ่มหันมาเม้งใส่กันเพราะวิ่งเบียดแย่งกันมา
มีนและเอมี่ยืนโล่งอกอย่างใจหายใจคว่ำ ขณะที่แฟรงค์ถึงกับทรุดนั่งหมดแรงกับพื้นลิฟท์
“เฮือก...อีแฟรงค์เกือบไม่รอด”
เหล่าแฟนคลับคนอื่นๆ เดินแยกย้ายกันไปจากหน้าลิฟท์หมดแล้ว เหลือแต่ประเสริฐที่ยังยืนอยู่คนเดียวพร้อมกับถือกล่องของขวัญในมือมองไปที่ประตูลิฟท์
“สักวัน...คุณจะได้รับของขวัญจากผม...พราว นางฟ้าของผม หึๆๆ”
ประเสริฐรำพึง หัวเราะในลำคอ หน้าตาโรคจิตเป็นที่สุด
อ่านต่อหน้า 2
พราว ตอนที่ 3 (ต่อ)
สุดเขตต์เดินเช็ครูปในกล้องออกจากห้องจัดงาน โดยมีส้มจี๊ดเดินหัวเสียมาตลอดทาง
“มันต้องมีอะไรแน่ๆ ที่เห็นบนเวที มันไม่ใช่ตัวยัยพราวเลย”
“เฮ้ยส้ม! ที่เห็นอยู่นี่ก็ไม่ใช่ตัวแกเหมือนกันวะ แต่เป็นตัวหาเรื่อง” สุดเขตต์แซว
“ฉันไม่ได้หาเรื่องนะไอ้สุดเขตต์ แต่ไม่มีใครรู้จักยัยพราวดีเท่าฉัน” ส้มจี๊ดพูดอย่างติดใจ
“รู้จักดีว่า?” สุดเขตต์ถาม
“ยัยพราวไม่ชอบร้องเพลง เสียงร้องเพลงยังกับแมวถูกเหยียบหาง งานโชว์ตัวงานไหนมีร้องเพลง ยัยพราวไม่ไป!” ส้มจี๊ดตอบอย่างคนรู้ไส้พราวดีกว่าใคร
“ก็นี่ไง...มันถึงได้เป็นเซอร์ไพรส์ของงานในวันนี้!” สุดเขตต์พูด พลางถอด SD การ์ดจากกล้องส่งให้ส้มจี๊ด
“เอารูปของแกไป งานฉันจบแล้ววันนี้” สุดเขตต์เดินสะพายกล้องไป ทิ้งส้มจี๊ดไว้ให้ยืนหัวเสีย
เสียงมือถือของส้มจี๊ดดังขึ้น เป็นจันทร์จรีนั่นเองที่โทร.มา
“ว่าจะโทร.หาอยู่พอดี ไหนน้องบอกว่ายัยพราวหนีไป แล้วใครล่ะที่อยู่บนเวทีมีตติ้งแฟนคลับในวันนี้” ส้มจี๊ดถามอย่างฉุนเฉียว
มีนในคราบพราวยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำที่โรงแรม เธอกำลังใช้สำลีรูดเช็ดเครื่องสำอางข้างซ้ายออก เมื่อรูดเช็ดลงอย่างช้าๆ ก็เห็นปานแดงขนาดใหญ่ขนาดเท่าไข่ไก่อยู่ที่แก้มข้างซ้าย เธอหยุดยืนมองหน้าตัวเองในกระจก ซีกหน้าด้านหนึ่งยังแต่งหน้าสวยงามเป็นพราวอยู่
จนเมื่อเช็ดเครื่องสำอางออกหมดจน แลเห็นปานแดงเด่นชุด บอกให้รู้ว่าเธอคือมีน สาวกำพร้าจนๆ คนหนึ่ง ภาพในวันที่มีนตกน้ำผุดขึ้นมาในห้วงคิดของหญิงสาว
ตอนนั้นชาย 2 คนช่วยพาเธอขึ้นจากน้ำ ท่ามกลางไทยมุง ผมที่ยาวปิดหน้าสาวน้อยคนนั้นอยู่ ทำให้ไม่เห็นหน้าตา
“ขอทางหน่อยฮะๆ เป็นไงบ้าง ตายหรือเปล่า”
แฟรงค์กับเอมี่แหวกไทยมุงเข้ามา
“ยังครับ ยังหายใจอยู่ แต่ไม่รู้สึกตัวเลย” ชายคนหนึ่งตอบ
“งั้นรีบพาส่งโรงพยาบาลสิ เดี๋ยวฉันออกค่ารักษาให้เอง” แฟรงค์บอก
แล้วเอมี่ก็เห็นหน้าสาวน้อยชัดๆ
“พี่แฟรงค์...ดูนั่น!” เอมี่เรียก
“ห๊ะ” แฟรงค์กับเอมี่ มองไปที่สาวน้อยตกน้ำอย่างอึ้งๆ ตะลึงช็อก เมื่อเห็นว่าหน้าตามีนเหมือนพราวยังกับเป็นคนๆ เดียวกัน เพียงแต่มีปานแดงที่หน้าเท่านั้น!
ไม่นานต่อมา มีนฟื้นแล้ว นอนหน้าอิดโรยอยู่บนเตียงหันมาพูดกับแฟรงค์และเอมี่
“หนูชื่อมีนค่ะ” มีนบอก
“แล้วไปโดดน้ำฆ่าตัวตายทำไม...ยังสาวเอ๊าะแอ๊ะแท้ๆ” แฟรงค์ถาม
“หนูไม่ได้ฆ่าตัวตายค่ะ หนูกำลังจะไปขึ้นเรือกลับบ้าน อยู่ๆ ก็รู้สึกหน้ามืด แล้วก็วูบไปเลยค่ะ” มีนตอบ
“ถ้าอย่างงั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย ฉันกลัวว่าช่วยเธอไว้แล้ว พออกจากโรงพยาบาลเธอจะไปกระโดดลงคลองอีก” แฟรงค์โล่งอก
“ถึงหนูจะเกิดมามีตำหนิที่หน้า แต่หนูไม่ตำหนิชีวิตตัวเองหรอก ชีวิตของหนูมีประโยชน์สำหรับใครอีกหลายๆคนค่ะพี่ หนูยังสู้อยู่ ต้องขอบพระคุณพี่ทั้ง 2 คนมากนะคะ ที่ช่วยชีวิตมีนเอาไว้ ส่วนเรื่องค่ารักษา เอ่อ... ไว้หนูจะหามาใช้คืนให้ทีหลังนะคะ” มีนยิ้มตอบ
“อุ้ย...ไม่ต้องคืนหรอก นิดๆ หน่อยๆ พี่แฟรงค์เค้ารวย ให้ผู้ชายยังเยอะกว่านี้เลย” เอมี่ว่า
“วอนแล้วนังนี่ เดี๋ยวแม่ส่งเข้าห้องไอซียูซะเลย” แฟรงค์ด่า
เอมี่แลบลิ้นใส่ แฟรงค์หันไปถามมีน
“แล้วนี่บ้านช่องอยู่ไหนจ๊ะ จะให้โทร.ตามบอกพ่อแม่ให้มารับไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ พ่อแม่เค้าอยู่บนสวรรค์แล้ว อย่าไปกวนท่านเลยค่ะ” มีนบอก
“อุ้ย กำพร้าซะด้วย” เอมี่กับแฟรงค์มองหน้ากันเอมี่แอบกระซิบบอกแฟรงค์ “คนไรจะอาภัพขนาดนี้”
“ถ้าพี่ 2 คนมีอะไรจะให้หนูช่วยก็บอกนะคะ หนูยินดีจะช่วย เป็นการตอบแทนพระคุณที่ช่วยหนูไว้ ถ้าพี่ 2 คนไม่เห็นหนูตอนตกน้ำหนูต้องตาย ทั้งๆ ที่ยังไม่อยากตายแน่ๆ เลย”
มีนบอกสองคนไป
“มีน...มีน!...หนูมีน!” เสียงแฟรงค์เคาะประตูห้องน้ำ ทำให้มีนหลุดจากภวังค์
“คะพี่” มีนเปิดประตูห้องน้ำออกไป เห็นแฟรงค์กับเอมี่ยืนอยู่นอกห้องเปลี่ยนชุดบนเวทีออกแล้ว
“เข้าไปหลับเหรอหนู นี่...รีบเปลี่ยนชุดเร็วๆเข้า...พี่จะไปแล้ว” แฟรงค์พูดพลางโยนชุดกางเกงยีนส์เสื้อยืดของมีนส่งให้
“เอ่อ...ค่ะ” มีนจะปิดประตู แต่แฟรงค์ผลักไว้
“เดี๊ยว!”
มีนหันมามอง ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแฟรงค์ยื่นซองใส่เงินให้
“หนูแสดงเป็นสแตนอินของพราวได้เนียนมากจ้ะ”
“อุ้ย...หนูรับไว้ไม่ได้หรอกพี่” มีนว่า
“พี่แฟรงค์ให้ก็รับไว้เถอะน่า” เอมี่บอก
“นั่นสิ อย่าเรื่องเยอะ” เอมี่พูด
“หนูรับไว้ไม่ได้จริงๆพี่” มีนเอ่ย
“บอกเหตุผลมา เร็วๆ พี่รีบ” แฟรงค์ถอนใจ
“ก็หนูบอกแล้วไง หนูทำเพราะตอบแทนพระคุณพี่ที่ช่วยชีวิตหนูเอาไว้ พี่จะมาให้เงินหนูอีกทำไม” มีนว่า
“ก็วันนั้นพี่ช่วยชีวิตหนู แต่วันนี้หนูช่วยชีวิตพี่ มันคนละวันกันไงยะ อย่ามั่ว รับไปๆ” แฟรงค์ยัดเงินใส่มือมีน ทำเอามีนยืนมึ้นตึบ
“ยังยืนงงอยู่อีก รีบเปลี่ยนชุดมาให้พี่เร็วๆเข้า ขืนชักช้า แฟนคลับเช็คได้ว่าเราเปิดห้องไว้ห้องนี้ เดี๋ยวได้แห่บุกขึ้นมากรี๊ด พวกแฟนคลับน่ะเก่งยิ่งกว่าหน่วย CIA ซะอีกจะบอกให้” เอมี่บอก
มีนยืนฟังหน้าเหวอ
“เหรอคะ อุ๊ย ต้องไม่ให้ใครเจอหนูที่นี่ใช่ไหมคะ” มีนรีบกลับเข้าห้องน้ำไปทันที เอมี่ยืนส่ายหน้า
“หน้าเท่านั้นที่เหมือนกัน แต่นอกนั้น...ไม่ใช่พราวเลย”
ติณห์ยืนอยู่ในลิฟท์ กำลังขึ้นไปหาพราวที่ห้อง หลังจากไปถามที่เคาน์เตอร์มาได้ว่าอยู่ห้องไหน สีหน้าติณห์เต็มไปด้วยคำถาม ความอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไม อยู่ๆ พราวก็หายไป อยู่ๆ ก็กลับมา
ทางด้านแฟรงค์กับเอมี่หอบหิ้วชุดเสื้อผ้าพะรุงพะรังรีบมาที่ลิฟท์อีกตัว แฟรงค์กดเรียกลิฟท์ ยืนรออย่างร้อนใจ
“มาเร็วๆ สินังลิฟท์” แฟรงค์เร่ง
“แล้วออยไปไหน” เอมี่เล่นมุก
แฟรงค์มองหน้า “มุกเก่านะยะหล่อน”
เมื่อลิฟท์มา แฟรงค์กับเอมี่รีบก้าวเข้าลิฟท์ไป เป็นจังหวะเดียวกับที่ลิฟท์อีกตัวเลื่อนมาถึง ดังกริ๊ง! ประตูเปิดออก เห็นติณห์ก้าวออกมา เขาหันไปมองที่ลิฟท์ข้างๆ แต่ประตูลิฟท์ปิดสนิทเสียก่อน
ฝ่ายมีนแต่งตัวเสร็จ สวมหมวกแก๊ป รองเท้าผ้าใบ เป้สะพายข้างปอนๆ ออกจากห้องมาทีหลังแฟรงค์กับเอมี่ แม่บ้านที่กำลังทำความสะอาดห้องฝั่งตรงข้ามเหลียวมามอง เห็นเสี้ยวหน้าด้านขวาของมีนที่ไม่มีปานแดง
“นั่นพราวนี่…” แม่บ้านพึมพำ
มีนดึงประตูห้องปิดลงถือการ์ดกุญแจห้องเดินไป
ติณห์เดินออกจากลิฟท์กำลังตรงมา มีนเดินสบายๆ มา มองผ่านปีกหมวกแก๊ปไปข้างหน้า เห็นหน้าติณห์ระยะไกลก็ตกใจเพราะจำได้ว่าติณห์คือคนที่ยื่นช่อดอกไม้ให้ที่หน้าเวที
มีนหลบตาทำอะไรไม่ถูก กลัวติณห์จำได้ ตามองเห็นรองเท้าผ้าใบตัวเอง เลยตัดสินใจคุกเข่าลงทำเป็นนั่งผูกเชือกรองเท้า ซึ่งเป็นจังหวะที่ติณห์เดินสวนไปพอดี ติณห์แค่เหลือบๆ มอง แต่จำไม่ได้เพราะเห็นใส่หมวกแก๊ปและชุดที่ใส่ก็ดูปอนๆ พอติณห์เดินคล้อยหลังไป มีนก็รีบลุกเดินไปอย่างเร็ว
ติณห์เดินมาเคาะประตูหน้าห้องที่มีนเพิ่งจะออกมา แม่บ้านโผล่หน้าออกมามองจากห้องตรงข้าม
“ไม่มีใครอยู่หรอกค่ะคุณ คุณพราวเพิ่งจะเดินออกไปตะกี้!” แม่บ้านบอก
“เมื่อกี้เหรอครับ” ติณห์หันขวับมามองทันที
“ใช่ค่ะ ที่ใส่หมวกแก๊ปน่ะ สงสัยไม่อยากให้ใครจำได้” แม่บ้านบอก
ติณห์รีบหันเดินกลับไปมองหาทันที เขาเดินมองหาพราวไปทั่วทางเดินหน้าห้อง จนมาถึงหน้าลิฟท์ แต่ก็ไม่เห็นแล้ว
มีนแอบยืนมองจากกระจกด้านในโรงแรมออกไป เห็นรถตู้ราคาแพงของแฟรงค์แล่นออกจากอาคารจอดรถด้านข้างของโรงแรมผ่านด้านหน้าออกไป โดยมีแฟนคลับของพราวที่ยังรอกันอยู่วิ่งกรูเข้าไปห้อมล้อมรถ
“พราว! พราว! พี่พราว!”
แฟรงค์ค่อยๆ ขับรถขยับออกติดๆ ขัดๆ อยู่สักพัก กว่าจะหลุดออกจากประตูทางออกของโรงแรมไปได้ แฟนคลับค่อยสลายตัวกันกลับเมื่อเห็นรถตู้พราวออกไปแล้ว มีนหันเดินผละไปจากมุมนั้น
ขณะนั้นเอง สุดเขตต์ที่เพิ่งลุกจากนั่งดื่มกาแฟที่มุมล็อบบี้เลาจน์ของโรงแรม มองเห็นเสี้ยวหน้าของมีนด้านขวาเดินรีบผละไปที่มุมไกลก็หยุดยืนมอง
“เฮ้ย! นั่นคุณพราวนี่!”
สุดเขตต์รีบเดินตามไป
มีนเดินหลบมาเพื่อจะออกประตูอีกด้านของโรงแรม ไม่ให้เป็นจุดสนใจใครหรือเจอแฟนคลับที่ยังกระจายตัวอยู่ ขณะที่สุดเขตต์เดินมองหามาอยู่ทางด้านหลัง
พอมีนเดินมาก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นติณห์เดินโผล่ออกมาจากมุมหนึ่ง มีนจับปีกหมวกแก๊ปรีบหลบเข้าหลังเสาขนาดใหญ่ รอจนติณห์เดินผ่านไปก็เดินหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็ว
ส่วนติณห์ยืนหันมองหาพราวเคว้งอยู่ สุดเขตต์ก็เดินตามหาพราวมาหยุดยืนหาเหมือนกัน ทั้ง 2 หันมาเจอหน้ากัน ต่างคนต่างถามกันโดยไม่นัดหมายกัน
“เห็นคุณพราวไหมครับ” ทั้งติณห์และสุดเขตต์ประสานเสียงถามขึ้นพร้อมกัน
“เอ่อ....คุณเห็นคุณพราวอยู่ที่ล็อบบี้นี้เหรอครับ” ติณห์ถาม
“ครับ เห็นเดินแวบๆอยู่แถวนี้ แต่ตอนนี้...หายไปแล้วครับ” สุดเขตต์ว่า ก่อนผายมือยักไหล่
ติณห์ยืนคิด ทั้งแปลกใจ ทั้งสงสัย
ขณะนั้น มีนนั่งอยู่บนรถเมล์คันหนึ่ง คนข้างๆ หันมามองเห็นปานแดงก็ซุบซิบกัน แต่มีนไม่สนใจ มือจับไปที่เป้ผ้า นึกถึงเงินที่ได้มาในวันนี้ เธอยิ้มน้อยๆ นึกถึงเด็กๆ ที่บ้านกำพร้าจะได้มีของอร่อยๆ กินในวันนี้
เย็นแล้ว ขณะที่มีนเดินหิ้วถุงอาหารของกินที่ซื้อมาเต็ม 2 มือมายังบ้านไม้เก่าๆ เล็กๆ รั้วเตี้ยๆ ที่มีป้ายติดไว้ว่า “บ้านเด็กกำพร้าแสนรัก” เธอผลักประตูรั้วเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แม่แก้ว! ดูดิ มีนซื้อของอร่อยๆมาเยอะแยะเลย”
มีนต้องชะงักตกใจ “ห๊ะ” เมื่อเห็นแม่แก้วกับแมนกำลังห้ามชายท่าทางนักเลง 2 คน ไม่ให้ขนทีวีกับโน้ตบุ๊คเก่าๆ ออกจากบ้าน เด็กกำพร้าคนอื่นๆ พากันกลัว หลบกอดกันอยู่ บ้างร้องไห้ก็มี
“อย่าเอาคอมพิวเตอร์ของเด็กๆ ไปเลยนะ เอาไว้ให้เด็กได้เรียนหนังสือเถอะพ่อคุณ ฉันไหว้ล่ะ เอาทีวีไปเครื่องเดียวก็พอ” แม่แก้วขอร้อง
“อย่าว่าแต่ทีวีเลย ต่อไปที่นอนหมอนมุ้ง ข้าก็จะมาขนไปให้เกลี้ยง แม้แต่บ้านหลังนี้ก็จะไม่มีที่ซุกหัวอยู่ ถ้ายังไม่จ่ายหนี้ที่ยืมไปทั้งต้นทั้งดอกให้เฮียกวงเค้า” นักเลงกร่างใส่
“ก็บอกแล้วไงว่าอีกสองสามวันจะหาเงินมาผ่อนหนี้ให้ รอหน่อยไม่ได้หรือไงพี่” แมนว่า
“นี่แน่ะรอ!” นักเลงอีกคนเตะแมนคะมำ แม่แก้วเข้าไปโอบกอดแมนไว้
“ว้าย...แมน...ลูก! อยากจะเอาอะไรก็เอาไปเถอะ อย่าทำเด็กๆที่บ้านนี้เลยนะ ฉันขอร้อง”
“วางของลง!” เสียงมีนดังขึ้น
ทุกคนหันมามอง เห็นมีนเดินถือท่อนไม้หักเข้ามาด้วยสีหน้าไม่หวั่นกลัว ใช้ท่อนไม้ชี้หน้า
“ถ้าจะมาทวงหนี้ด้วยการใช้กำลังรังแกกัน ฉันก็พร้อมจะสู้นะ แต่ถ้าคุยกันดีๆ วันนี้พี่จะได้เงินกลับไป”
“ก็ไหนล่ะเงิน เอามาสิน้องปานแดง รีบจ่ายมา พี่ก็ไม่อยากจะแบกไอ้ทีวี กับไอ้คอมสับปะรังเคนี่ไปให้เมื่อยตุ้มหรอกเว้ย” นักเลงโวยลั่น
มีนโยนไม้ทิ้ง หยิบเงินในซองจากกระเป๋าออกมายื่นให้นักเลงคนหนึ่ง
“เอาไป...ฉันจ่ายทั้งต้นทั้งดอกที่ค้างอยู่ 3 หมื่น”
แม่แก้ว แมนและนักเลงทั้ง 2 พากันแปลกใจ
“โอ้โหย วันนี้มีเงินใช้หนี้เป็นหมื่น ทุกทีมีจ่ายแค่หลักพัน ไปเปลืองเนื้อเปลืองตัวกับใครมารึเปล่าจ๊ะน้องปานแดง”
นักเลงคนหนึ่งคว้าเงินไป พลางยื่นมือมาจะจับคางมีน แต่มีนระวังอยู่แล้ว ผงะหน้าหลบ แล้วกำหมัด เธอใช้ท่อนแขนทุบไปที่แขนนักเลงคนนั้น
“โว้ย...เจ็บนะเว้ย” มันร้องโวยวายลั่น
“มีหน้าที่มาเก็บหนี้ ได้เงินแล้ว ก็กลับไปสิพี่ จะมาหาเรื่องกันอีกทำไม” มีนด่า
“โธ่อีปานแดงเอ้ย...ระวังตัวไว้ให้ดี...สักวันเถอะ...สักวัน! ไปเว้ย” นักเลงทั้งสองพูด แล้วผละจากไปมีนโผเข้าไปดูแม่แก้วอย่างเป็นห่วง
“แม่แก้วเป็นไรบ้างรึเปล่าคะ”
“แม่ไม่เป็นอะไรหรอกลูก”
“แล้วแกล่ะแมน ทีหลังไม่ต้องไปต่อปากต่อคำกับมันสิ”
“ก็ดูมันเข้ามารื้อค้นของในบ้านดิพี่มีน เละไปหมด ฉันเลยทนไม่ได้”
มีนตบไหล่แมนอย่างเข้าใจน้อง แล้วมองไปที่เด็กๆ ยิ้มปลอบใจ
“ไม่มีอะไรแล้วจ้ะเด็กๆ ไม่ต้องกลัวนะ”
“พี่มีน…”
เด็กๆ กรูกันออกมากอดมีนและแม่แก้ว
“นี่...พี่ซื้อของอร่อยมาเพียบเลย ไปดูเร้ว...มีอะไรบ้างเอ่ย” มีนยิ้มแย้มให้น้องๆ
มีน แม่แก้วและแมนช่วยกันดูแลให้เด็กๆ นั่งทานข้าวในชามหลุมไป คุยกันไป
“หา...ไปปลอมตัวเป็น พราว พิชญาดา ดาราดังๆคนนั้นน่ะเหรอ!” แม่แก้วทั้งตกใจทั้งแปลกใจ
“เบาๆ สิแม่แก้ว เดี๋ยวก็ได้ยินไปทั้งซอยหรอก” มีนปราม
“แม่ตกใจนี่ มีนเอ้ยลูก...ไปทำอะไรอย่างงั้น” แม่แก้วว่า
“ก็แมนเคยบอกแม่แล้วไง ว่าพี่มีนหน้าเหมือนพราวยังกับแกะ นี่ถ้าไม่มีปานแดงนะ ใช่เลย ไปเป็นดาราแข่งกับพราวได้สเบย” แมนบอก
“แต่มันไปหลอกลวงเค้านะลูก ถึงมันจะได้เงินมาเยอะก็เถอะ แม่ว่า...เอ่อมันไม่ควรมั้ง”
“นี่แม่แก้วคิดว่ามีนทำเพราะอยากได้เงินเหรอจ๊ะ! มีนทำเพราะอยากตอบแทนที่พี่ 2 คนนั้นเค้าช่วยชีวิตมีนไว้ต่างหาก ไม่งั้น...พี่เค้าอาจจะถูกแฟนคลับประชาทัณฑ์ตายแน่ๆ ที่ไม่มีพราวไปในงาน” มีนว่า
“แล้วคุณพราวเค้าไปไหนล่ะลูก ทำไมเค้าไม่มาเอง” แม่แก้วถาม
“มีนก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“นี่ถ้าคุณพราวเค้ารู้เข้า เค้าอาจจะไม่พอใจมีนเอาก็ได้นะ อย่าทำอีกเลยนะลูกนะ มีน แม่เป็นห่วง”
“จ้าแม่แก้ว ไปกินข้าวเถอะ นั่งๆ”
มีน แม่แก้วและแมนนั่งกินข้าวในจานหลุมเหมือนกับเด็กๆ
ตกเย็น ตู้ล็อกเกอร์ใบหนึ่งถูกเปิดออก เห็นรูปของพราวแปะอยู่ภายในนั้นเต็มไปหมด เป็นล็อกเกอร์ของประเสริฐนั่นเอง เขาอยู่ในชุดของเทรนเนอร์ฟิตเนส ยืนมองกล่องของขวัญที่ตั้งใจจะมอบให้พราว ยิ้ม โรคจิตนิดๆ
“เฮ้ยเสริฐ! วันนี้มาสายเหรอวะ” เสียงเพื่อนเทรนเนอร์คนหนึ่งถามขึ้น
ประเสริฐรีบปิดตู้ล็อคเกอร์แล้วล็อคอย่างแน่นหนา หันไปมองเพื่อนด้วยท่าทางอย่างคนปกติ
“เออ! ติดธุระว่ะ”
ประเสริฐพูดพลางคล้องบัตรพนักงาน แล้วเดินผละไปโอบไหล่เพื่อนเดินคุยออกจากห้องไป
ประเสริฐเดินนำสมาชิกฟิตเนสสาวหน้าใหม่ 2 คนเดินมา ผ่านหลังจันทร์จรีที่กำลังนั่งปั่นจักรยานช้าๆ อยู่คนเดียว เธอนั่งปั่นจักรยานไป เล่นมือถือไป ยกขึ้นถ่ายรูปเซลฟี่ ทำหน้าเซ็กซี่ยก 2 นิ้วถ่ายรูปเพื่อจะอัพลงอินสตาแกรม แล้วก็เห็นหน้าส้มจี๊ดโผล่เข้ามาในกล้อง
“ดีนะที่พี่ยังไม่ปล่อยข่าวว่ายัยพราวหายตัวไป ไม่งั้นเน่าแน่” ส้มจี๊ดต่อว่า
จันทร์จรีหันมาหน้าเครียด น้ำเสียงฉุนนิดๆ
“พี่คะ จรีเคยให้ข่าวยัยพราวพี่มั่วๆ เหรอคะ”
“ไม่เคย ยกเว้นหนนี้ มันยังไงกัน” ส้มจี๊ดจ้องหน้า
“ยัยพราวหายตัวไปจริงๆ นะพี่ ก่อนจะไปก็แผลงฤทธิ์เอะอะโวยวายว่าอยากจะไป อยากจะออกจากวงการ จนยัยพี่แฟรงค์ต้องกักตัวไว้ในบ้านพราวแสง แล้วให้ทุกคนเฝ้าจับตาดูยัยนั่นไว้ แต่ไอ้มาร์ค ไอ้ท่อนไม้หน้าใหม่ มันซื่อบื้อถูกยัยพราวจูงจมูกให้ช่วยมันหนีออกจากบ้านไปจนได้ พี่แฟรงค์ยังหมายหัวมันอยู่ทุกวันนี้เลยนะ” จัทร์จรีเล่า
“ไปยังไงพี่ไม่สน แต่มันมายังไงเนี่ย อยู่ๆ ยัยนั่นก็โผล่มาในงานมีตติ้ง ห๊ะ”
“ก็นั่นน่ะสิ จรีก็มึนตึ๊บ เมื่อวานพี่แฟรงค์ยังวิ่งวุ่นหายัยพราวอยู่เลย”
“จะว่าเป็นยัยพราวตัวปลอมก็ไม่ใช่แน่ หนังหน้ามันยัยพราวชัดๆ”
“แต่!” จันทร์จรีหันมายกนิ้วชี้ทำหน้าสงสัย
“แต่อะไร” ส้มจี๊ดถาม
“พี่แฟรงค์งุบงิบจัดงานมีตติ้งยัยพราว โดยไม่บอกทุกคนที่บ้านพราวแสงสักคำ โดยเฉพาะจรี ไม่ให้รู้เลย ต้องมีลับลมคมนัยอะไรสักอย่างเกี่ยวกับยัยพราวแน่ๆ”
ส้มจี๊ดยิ้มเจ้าเล่ห์ “ช่วงนี้น้องถ่ายแบบลงหนังสือหลายเล่มใช่ไหม พี่จะช่วยโปรโมทให้”
“ขอบคุณค่ะพี่ จรีจะหาคำตอบเรื่องยัยพราวมาให้พี่เร็วที่สุดค่ะ”
“ฟิตหุ่นให้เฟิร์มๆ รอไว้เลยนะ เผื่อจะได้ถ่ายชุดว่ายน้ำค่าตัว 7 หลักซัมเมอร์นี้” ส้มจี๊ดตบไหล่จันทร์จรีเบาๆ แล้วลุกเดินไป
“อยู่ๆ หล่อนโผล่มาได้ยังไงยัยพราว” จันทร์จรีคิดอย่างสงสัย
แฟรงค์กับเอมี่กลับถึงบ้านพราวแสงแล้ว กำลังตอบคำถามมิกิ มาร์ค ต้อยติ่งที่อยากรู้หนัก
“พวกหล่อนจะอยากรู้อะไรนักหนาฮะ ก็เห็นๆ อยู่ว่าพราวกลับมาแล้ว” แฟรงค์ทำหน้าเม้งใส่
“รูปในไอจีงี้หราเชียว คนเข้ามากดไลน์เป็นแสนๆ อ่ะๆ นี่ดู” เอมี่พูดพลางเปิดไอแพดให้ดูรูปพราวในอินสตาแกรม
“เห็นแล้วค่ะ มีเหมือนกัน” ต้อยติ่งโชว์ไอแพดส่วนตัวของนาง
แฟรงค์กับเอมี่ถึงกับอึ้ง
“ย่ะ นังรวย” แฟรงค์ค่อน
“แล้วไหนล่ะคะพี่พราว ทำไมไม่กลับมาพร้อมเจ๊ด้วย” มิกิแปลกใจ
“พราวเค้าเหม็นขี้หน้าพวกหล่อนไง เค้าถึงหลบไปพักที่อื่นก่อน” แฟรงค์ตอบ
“ที่ไหน” มาร์คถามขึ้น
“ไม่บอก! เดี๋ยวเธอไปช่วยเค้าหนีจากฉันอีก พูดแล้วของขึ้น เพราะเธอคนเดียวพ่อข้าวหลามหนองมน ทำให้ฉันตกที่นั่งลำบากอยู่ตอนนี้ พูดแล้วหมั่นเขี้ยวอยากจะแกะข้าวหลาม” แฟรงค์ว่า
“ก็พี่พราวกลับมาแล้ว พี่แฟรงค์ยังตกที่นั่งลำบากอีกเหรอครับ” มาร์คพูดหน้าแหยๆ
“เออ! ฉันเป็นริซซี่ย่ะ” แฟรงค์ลุกเดินสะบัดไป
“ริซซี่ไรวะ” มาร์คเกาหัวงงๆ
“ต๊าย! ริซซี่ก็ไม่รู้จัก แล้วดันชื่อมาร์ค ชื่อเดียวกับเจ้าของเฟสบุ๊ค เฮ่อ” เอมี่ลุกเดินไปอีกคน
มาร์คยังงงไม่หาย หน้าแหย ต้อยติ่งเลยสะกิดกระซิบบอก
“ริซซี่ก็ตุ๊ดไง...ตุ๊ดซี่อ่ะ”
“ฮื้อ...พี่ต้อยติ่งก็...ริดสีดวงต่างหาก” มิกิแย้ง
“ห๊ะ!” มาร์คและต้อยติ่งอุทานพร้อมกัน หน้าแหยๆ ตามกัน
แฟรงค์นอนโปะหน้า ท่าทีผ่อนคลาย ใส่กระโจมอก มีเสื้อคลุมหรูทับ
“เฮ่อ...ชีวิตนางแฟรงค์รอดตายไปได้อีกหนึ่งวัน ต้องขอบคุณดาวแม่” แฟรงค์เอ่ย
“ดาวแม่อะไรอีกล่ะ” เอมี่ที่นอนโปะหน้าอยู่ข้างๆ ถามขึ้น
“ก็ดาวแม่ส่งหนูมีนมาช่วยชีวิตฉันตามที่ฉันขอไปไง” แฟรงค์ว่า
“ท่าจะจริงนะพี่ คนบ้าอะไร หน้าเหมือนกันยังกับเป็นแฝดพี่แฝดน้องกัน แต่ดันมีชีวิตต่างกันคนละขุม” เอมี่อดทึ่งไม่ได้
“ชีวิตคนเรานะเอมี่ ฟ้าลิขิตให้เกิดมา จะรวยหรือจน จะเด่นหรือดัง มันไม่มีทางจะเท่ากัน มันอยู่ที่ว่าฟ้าจะจับวางให้เราอยู่ที่ตรงไหน”
“เจ๊กำลังจะบอกว่า อย่างพราวนี่ ฟ้าส่งมาเกิดให้ดัง ชิมิๆ”
“ก็ใช่น่ะสิยะ และมิสแฟรงค์ก็เป็นคนมาช่วยส่งช่วยเสริมปั้นดาวให้ดัง” แฟรงค์กระเด้งขึ้นนั่ง
“อุ้ย!” เอมี่ตกใจ
“เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพราวจะหนีไปไกลแค่ไหน...นอตเธอร์ดัม...ฮัมบรูก เยรูซาเล็ม...เสินเจิ้น...มาเก๊า หรืออัมพวา ต่อให้สุดหล้าฟ้าเขียว มิสแฟรงค์ก็จะไปตามล่าหาพราวของฉันให้พบ!” แฟรงค์ประกาศก้อง
เช้าตรู่ของวันใหม่ พราวตัวจริง ตัวเป็นๆ นอนหลับอยู่บนเตียงที่โฮมสเตย์อัมพวา แม้แต่เวลานอนเสื้อผ้าหน้าผมยังหรูหราเหมือนเคย พราวพลิกตัวมาแล้วค่อยๆ รู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้น เห็นแฟรงค์ยืนเท้าสะเอวมองจ้องหน้าอยู่
“นึกว่าจะหนีมิสแฟรงค์พ้นเหรอยะ!”
“อ๊าย” พราวกรีดร้องลั่น
พราวสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งมองไปทั่วห้อง พบว่าตัวเองฝันไป เธอนั่งหายใจโล่งอก ขณะที่เสียงตบประตูดังโครมครามอยู่หน้าห้อง พราวหันไปมองนาฬิกา เม้งสุดๆ
“6 โมง!” พราวอุทาน
พราวเปิดประตูห้องพักหน้ายุ่ง ออกมา
“ใครมาปลุกแต่เช้าเนี่ย!”
สมชายยืนกอดอกรออยู่
“สำหรับคนขี้เกียจนี่มันเช้ามาก แต่สำหรับคนทำมาหากินนี่มันสายโด่แล้วคุณ!” สมชายว่า
“อย่ามาพูดอย่างนี้นะ ดาราอย่างฉันทำมาหากินตลอด เวลานอนต้องถ่ายหนังถ่ายละคร เวลากินต้องให้สัมภาษณ์ เวลาหิวต้องอด ต้องออกกำลังกาย ไม่มีเวลาไหนที่ฉันจะผลาญไปฟรีๆ โดยไม่ทำอะไร” พราวเอ่ย
สมชายทำเขี่ยหูกวนๆ
“โฮ่ย...รำคาญ จะมาบ่นหาอะไร ก็ไม่อยากเป็นดาราแล้วไม่ใช่เหรอ”
พราวชะงักค้าง
“ลืมมันไปซะสิ แล้วมานี่เลย มาเริ่มต้นชีวิตใหม่กับผมซะดีๆ” สมชายเยาะหยัน
“ฮะ! เริ่มต้นใหม่กับคุณ” พราวว่า
“ฮ่ะๆๆๆ อย่าหลงดีใจ ไม่ใช่เริ่มต้นแบบน้าน เพราะผมไม่พิสมัยพวกดารา”
“นี่นาย…”
สมชายยกมือห้าม “อ่ะ! ไหนบอกจะทำตามข้อแม้ของผม 2 ข้อไง พอข้ามคืนก็ลืมแล้วเหรอ ผู้หญิงน่ะ ถ้าสวยแล้วไม่รักษาคำพูด จะโดนเค้านินทาได้ว่า...สวยซะเปล่า”
พราวกัดปากแน่น เถียงไม่ออก
“เร็วๆนะ รีบอาบน้ำแต่งตัว ผมจะรอสั่งงานคุณอยู่ที่เรือนอาหาร อย่าฝ่อ...หนีกลับซะก่อนล่ะ หึ” สมชายยิ้มกวนหันเดินกลับไป
“ไม่มีทาง! คนอย่างพราว พูดแล้วต้องทำให้ได้!” พราวยืนสีหน้ามุ่งมั่น
สมชายเดินห่างออกมา พึมพำ “เดี๋ยวจะจัดให้เจ็บเลยแม่ดารา!”
ว่าพลางสมชายหยิบผ้าขึ้นมาคาดหัว สีหน้าพร้อมเล่นงานพราวเต็มที่
พราว ตอนที่ 3 (ต่อ)
สมชายมารอพราวอยู่กับอรชุมา น้องนุช รวมถึงลุงจ่อย ที่นั่งรอจนหาวหวอด ครู่ใหญ่ๆ พราวก็เดินกรีดกรายเข้ามา ด้วยเสื้อหน้า หน้าผมแบบจัดเต็ม สวมรองเท้าส้นสูงหัวแหลมเฟี้ยว ติดขนตาปลอมยาวเป็นแพ
“ไหนล่ะงานที่จะให้ฉันช่วย?”
ทุกคนหันไปมองอย่างอึ้งๆ สมชายถึงกับต้องออกปากแซว
“โอ้โห คุณนายซุปตาร์ มาช้าแล้วยังแต่งตัวเว่อร์อีก”
“ก็แหงล่ะ คุณต้องเห็นฉันเว่อร์อยู่แล้วล่ะ เพราะสายตาคุณไม่มีระดับ”
พราวสวนกลับ ทำเอาสมชายถึงกับสะอึก พลางหันมาหยิบผ้ากั้นเปื้อนพร้อมหมวกส่งให้พราว
“ปากเก่งนัก เอานี่ไปใส่เลย แม่ดารามีระดับ”
พราวหน้าเหรอ “ชุดไรเนี่ยะ?”
“ไม่เคยเห็นชุดแม่ครัวเหรอ งานที่คุณต้องทำคือเป็นลูกมือผมในครัวโน่น”
พราวตกใจ “หา ให้ฉันเป็นนังกะลาก้นครัวเนี่ยะนะ”
สมชายหัวเราะขำ “ผมชอบนะ นังกะลาก้นครัวชื่อเหมาะกับคุณดี ดูดิจะเก่งเหมือนปากรึปล่าว รีบตามผมมา ขืนช้าอีก ไล่กลับจริงๆ เร็ว”
พูดจบก็หันเดินเข้าครัวไป พราวยืนมองอย่างค้อนๆ ก่อนจะหันมามองชุดในมือแล้วทำท่าขยะแขยง
อรชุมาเห็นสีหน้าก็นึกเป็นห่วง
“เอ่อ .คุณพราว ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าฝืนเลยจ้ะ”
พราวยักไหล่ หน้าเชิด
“รู้ไหมคะ ตอนเข้าวงการใหม่ๆ เคยมีคนดูถูกว่ายัยนี่ ไม่มีทางจะดังได้หรอก แต่พราวก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพราวทำได้ แล้วทำไมกะอีแค่ทำครัวพราวจะทำไม่ได้”
พราวพูดพลางสะบัดผ้ากั้นเปื้อนออกอย่างไม่ยอมแพ้
พราวใส่ผ้ากันเปื้อนและหมวกเดินเชิดหน้าเข้ามาในครัว พลางยืนเท้าเอวมองหาสมชาย ที่ถือกะลามังใส่กุ้งโผล่เข้ามาทางด้านหลัง
“เริ่มจากแกะกุ้งซะก่อน”
พราวสะดุ้งโหยง
“อุ้ย แกะหมดนี่เลยเหรอ นี่มันกี่โลเนี่ยะ จะไปทำให้ใครกินนักหนา”
“เดี๋ยวจะมีทัวร์มาลงที่นี่”
พราวนิ่วหน้าเครียด “ทัวร์ คนเป็นร้อย ก็ต้องมีคนเห็นฉันอ่ะดิ”
“ถ้ากลัว ไม่อยากให้ใครเห็น แล้วจำได้ คุณก็ต้องเริ่มแกะเปลือกตัวเองซะก่อนจะแกะกุ้ง”
พราวมองหน้าสมชายอย่างแปลกใจ “แกะเปลือกตัวเองอะไรของคุณ?”
“ก็นี่ไง ขนตาปลอมนี่ ถอดออกให้หมด”
พูดพลางดึงขนตาปลอมที่ตาออก พราวร้องลั่น
“ฉันเจ็บนะ นายทำบ้าอะไรเนี่ยะ มาดึงขนตาฉันทำไม”
“อ้าว ผมก็กำลังช่วยคุณไง ช่วยเปลี่ยนโฉมชนิดถอดรากถอนโคนให้เลยอยู่เฉยๆ น่า จะถอดของปลอมๆออกให้เอง นี่ ดึงทิ้งให้หมด แล้วหน้านี่ ก็ต้องเลิกโบกปูนมาทำงาน เช็ดออกให้เกลี้ยง”
พูดพลางใช้ผ้าในมือเช็ดหน้าให้ พราวพยายามเบือนหน้าหนี
“แล้วก็เลิกใส่รองเท้าบ้าๆ นี่ด้วย ทิ้งมันไป ที่นี้ใส่รองเท้าแตะนี่ แล้วรับรองว่าจะไม่มีใครจำคุณได้เลยแม้แต่คนเดียว”
สมชายเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็เห็นพราวที่ยืนถือกะละมังใส่กุ้งในสภาพที่เครื่องสำอางเลอะเยินไปทั้งหน้า ตาแดงๆจะร้องไห้
“อะไรกัน เจอแค่นี้จะร้องไห้ อยากเป็นพราวคนธรรมดา ไม่ใช่ดาราอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ ผมก็ช่วยแล้วนี่ไง”
พราวมองค้อน “จะช่วยฉันหรือฆ่าฉันกันแน่”
จากนั้นก็โยนกะละมังคืน แล้วใส่รองเท้าหันเดินออกไป
พราวเดินกระแสกส้นเข้าห้องน้ำหญิงมาด้วยอารมณ์โกรธ ก่อนที่จะกวักน้ำล้างหน้าอย่างเจ็บใจ พลางเงยหน้ามองหน้าตัวเองในกระจก แล้วก็หยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดๆ ครู่เดียวก็เห็นใบหน้าใสๆ ของตัวเองที่ปราศจากเครื่องสำอาง เหมือนได้พบกับตัวเองอีกคนหนึ่ง
ทางด้านสมชายก็เดินตามมาหยุดยืนที่หน้าห้องน้ำ ใจหนึ่งก็รู้สึกว่าทำแรงไป แต่อีกใจก็พยายามทำใจแข็ง
“ฟังผมนะคุณ เดี๋ยว10 โมง คณะทัวร์ก็จะมาถึงที่นี่แล้ว ผมว่าคุณรีบเก็บข้าวของแต่งหน้าแต่งตาแต่งตัวให้สวยพริ้งอย่างเดิมแล้วกลับกรุงเทพไปซะ คุณติดอยู่กับความเป็นดาราเดิมๆ คุณก็เป็นคนธรรมดาไม่ได้หรอก อย่าฝืนอยู่ที่นี่ให้เหนื่อยกายลำบากใจผมเลย”
พราวเปิดประตูห้องน้ำออกมา พลางจ้องหน้าสมชายอย่างไม่ยอมแพ้
“แต่ฉันจะอยู่ ดูดิคุณจะเหนื่อยกายลำบากใจกับฉันสักแค่ไหน”
สมชายอึ้งมองหน้าที่ล้างเครื่องสำอางออกจนหมดจด ดูใสเหมือนหญิงสาวทั่วไปคนหนึ่งอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
พราวเดินกระแทกไหล่ผ่านไป สมชายมองอย่างขำๆ เริ่มสนุกกับการได้อยู่กับพราวแล้ว โดยที่ไม่รู้ตัว
กลุ่มทัวร์ขนาดใหญ่ ที่มีทั้งผู้ใหญ่ วัยรุ่นและเด็กๆ กำลังเช็คอินรับกุญแจห้องอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์กับ
อรชุมา และน้องนุช มีลุงจ่อยทำหน้าที่พาทั้งหมดไปห้องพัก
“ผมว่ารีบเข้าบ้านเอาข้าวของไปเก็บดีกว่านะครับ ใครหิว ใครอยากเดินเล่น จะได้แยกย้ายกันไป เดี๋ยวจะมืดซะก่อน”
อรชุมารีบตะโกนเสริม
“ถ้าใครหิวเชิญที่เรือนอาหารได้เลยนะคะ หรือจะโทรสั่งจากห้องก็ได้ค่ะ มีบริการส่งฟรีถึงห้องจ้า”
ส่วนที่ในครัว พราวกำลังแกะเปลือกกุ้ง พลางร้องโอดโอยเป็นระยะ เพราะถูกหนามแหลมๆของหัวกุ้งทิ่ม
จนสมชายที่กำลังหั่นต้นหอมเหล่มองอย่างขำๆ แกมรำคาญ พลางกระแทกมีดลงเขียงเสียงดัง จนพราวตกใจ
“เป็นอะไร?”
“รำคาญไง แกะกุ้งแค่นี้ร้องโอดโอยยู่ได้ มาคุณมาหั่นต้นหอมนี่เลย เดี๋ยวผมไปแกะกุ้งเอง หั่นเป็นอีกรึเปล่า ?”
“ทำไมจะไม่เป็น”
แล้วทั้งคู่ก็ลุกสลับที่นั่งกัน สมชายแกะกุ้งอย่างชำนาญ ขณะที่พราวหั่นต้นหอมแบบเงอะๆ งะๆ
สมชายทนไม่ไหว รีบเช็ดมือ แล้วลุกมาโอบพราวทางด้านหลัง ก่อนจะจับมือทั้ง 2 ข้างของเธอ
“นี่คุณ จะทำอะไร ?”
“ผมไม่อยากจะถูกคุณหรอกน่า จะช่วยสอนให้ไง นี่ มือนี้จับมีดแบบนี้นะ แล้วมือนี้ก็จับต้นหอมไว้ แล้วก็ซอยแบบนี้”
“อ๋อ อาศัยจังหวะเอา แค่ขยับมีดนิดเดียวเองใช่ไหม”
พราวหันหน้าไปถาม ทำให้หน้าชนเข้ากับหน้าสมชายที่ก้มอยู่ข้างๆ ทั้ง 2 ชะงัก มองหน้ากันอึ้งๆ
หัวใจเต้นแรง มือทั้ง 2 ของสมชายที่กุมมือพราวอยู่เริ่มกุมกระชับแน่นขึ้น แต่จู่ๆ เสียงท้องพราวก็ร้องดังขึ้นมาขัดจังหวะ
“เฮ้ย เสียงอะไรดัง ?”
พราวหน้าแดง เพราะความอาย
“เอ่อ ท้องฉันร้องน่ะดิ ตั้งแต่เช้า ยังไม่กินอะไรเลย ก็ต้องมาช่วยงานคุณแล้ว”
“หยุด ไม่ต้องบ่น แล้วไปนั่งรอตรงโน้นเลย ผมจะทำกับข้าวให้กิน”
“จริงดิ ทำแล้วจะกินได้รึปล่าวก็ไม่รู้”
สมชายหันขวับมามองหน้า ส่วนพราวก็เดินลอยหน้าลอยตาไปนั่งเท้าคางมองสมชายที่กำลังผัดกับข้าวอย่างคล่องแคล่ว พร้อมทั้งเริ่มซึมซับความประทับใจมากขึ้นๆ กระทั่งสมชายเดินถือจานข้าวผัดกะเพรามาวางให้ตรงหน้าแล้ว ก็ยังไม่รู้ตัว
“อ่ะ รีบๆกินซะ เดี๋ยวจะได้ทำงานต่อ ในครัวยังเตรียมอะไรไม่เสร็จสักอย่าง”
พราวยังนั่งนิ่ง สมชายเลยก้มลงมองจ้องหน้า แล้วตะโกน
“นั่งถ่ายมิวสิกวิดีโอรึไง”
พราวสะดุ้งตกใจ “เคยพูดเบาๆเพราะๆ กับเค้าบ้างไหม”
พูดพลางลงมือตักข้าวกะเพราเข้าปากกินแบบอึ้งๆ เพราะรสชาติอร่อยลิ้นอย่างคาดไม่ถึง สมชายมองยิ้มๆ
อีกด้านหนึ่งแฟรงค์กับเอมี่กำลังรับหน้าผู้กำกับเชนที่มาตามพราวถึงบ้าน
“พราวไม่ได้หนีงาน พราวแค่อยากพักกองละครไปก่อน จนกว่าจะแน่ใจว่าไปเวิร์กแล้วจะเซฟตี้ ไม่มีซัมติงร่วงใส่กะบาล หรือมีใครเอาน้ำกรดมาประเคนให้รับทานอีกน่ะผู้กำกับ”
จันทร์จรีโผล่หน้ามาแอบยืนมองดูอยู่ด้วยความสงสัย เชนรีบแก้ตัว
“ผมในฐานะไดเร็คเตอร์จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ แบบนั้นขึ้นกับคุณพราวอีกแล้ว ผมการันตรีครับ”
“เครค่ะ ถ้าผู้กำกับรับประกันอย่างงี้ แต่แฟรงค์ต้องขอไปคุยกับพราวก่อนนะ ว่าพร้อมจะกลับไปถ่ายทำเมื่อไหร่”
“งั้นเรียกคุณพราวลงมาคุยเลยซิครับ ผมอยากได้คำตอบไปบอกกับผู้จัดวันนี้ ถ้าพักกองนานไปกว่านี้ คิวดาราคนอื่นๆรวนหมดแน่คราวนี้”
แฟรงค์อึกอัก “แต่ตอนนี้พราวไม่ได้พักอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้น่ะซิฮะ”
เชนขมวดคิ้ว “อ้าว แล้วเวลานี้อยู่ไหนครับ นัดมาคุยตอนนี้เลยได้ไหมครับ”
“ตอนนี้ไม่ได้ฮะ เอ่อ ก็นี่ไงคุยกับผู้จัดการส่วนตัวของพราว ก็เหมือนคุยกับตัวพราวเองนั่นแหละฮ่า”
จังหวะเดียวกับที่ต้อยติ่งนำสหวุฒิพร้อมตำรวจติดตามในเครื่องแบบอีกคนเข้ามาหา
“คุณแฟรงค์คะ คุณตำรวจมาขอพบค่ะ”
แฟรงค์กับเอมี่มองหน้ากันแหยๆ แล้วรีบยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณแฟรงค์ ผมจะมาขอปากคำคุณพราวเพิ่มเติม เรื่องอุบัติเหตุในกองถ่ายน่ะครับ”
แฟรงค์รีบตอบเลี่ยงๆ “ตอนนี้พราวยังไม่สะดวกจะพบใครน่ะฮะ”
“แต่นี่เรื่องสำคัญมากนะครับคุณแฟรงค์ ทางตำรวจยังไม่มีหลักฐานเพียงพอจะตามหาตัวคนร้าย เราต้องการข้อมูลเพิ่ม”
แฟรงค์หน้าเจื่อน “ค่า แฟรงค์เข้าใจ แต่ว่าพราวยังไม่พร้อมจะเจอหน้าใครในตอนนี้”
พลางหันมาสั่งต้อยติ่งเพื่อตัดบท “นังต้อยติ่ง ไปเอาน้ำมารับแขก ด่วน”
อีกมุมหนึ่งจันทร์จรีเดินครุ่นคิดอย่างสงสัย
“นังพราวจะหลบหน้าคนอื่นทำไม ทีวันงานมีตติ้งดันโผล่ขึ้นเวที มันต้องมีอะไรแน่ๆ แล้วมันอะไรล่ะ?” แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นติณห์ก้าวเข้ามาในบ้าน
“สวัสดีดีค่ะคุณติณห์”
ติณห์พยายามนึก “คุณ เอ่อ... จันทร์จรี ดาวรุ่งอนาคตไกล ที่ถูกจับตาว่าจะดังเทียบเท่าคุณพราวในเร็วๆนี้ ผมได้ยินข่าวมาแบบนั้น”
จันทร์จรียิ้มเชิด
“จรีไม่ได้คิด ไม่ได้หวังว่าจะแข่งกับใคร แต่ใครจะรู้ จรีอาจจะดังกว่าพราวก็ได้”
“ดีครับ วงการบันเทิงคงคึกคักขึ้น หลังจากที่คุณพราวครองบัลลังก์อย่างไร้คู่ต่อสู้ที่สูสีมานาน ยินดีที่รู้จักนะครับคุณจรี”
พูดพลางยื่นมือไปให้ จันทร์จรีรีบยื่นมือไปจับตอบ พร้อมกับส่งยิ้มมองอย่างถูกตาต้องใจ
“ยินดีมากที่ได้รู้จักค่ะ คุณติณห์”
ติณห์ค่อยๆ ดึงมือกลับอย่างสุภาพ “ผมมีธุระกับคุณแฟรงค์”
พูดจบก็หันเดินผละไป จันทร์จรียืนมองอย่างหมายหมั้นปั้นมือ
“อะไรที่เป็นของพราว จรีคนนี้จะต้องได้มาทั้งหมด”
ติณห์เดินตรงมาที่ห้อง สวนกับเชนที่เดินหัวเสียออกไป เอมี่เงยหน้ามองเห็นติณห์ ก็รีบร้องทัก
“คุณติณห์มาแน่ะเจ๊”
“ผมมาหาคุณพราวครับ”
แฟรงค์ทำหน้าเหมือนอยากตาย
“ใครๆ ก็มาหาพราวกันทั้งนั้น เริ่ดมาก พราวเป็นที่ต้องการของทุกคน อุ๊ย ลืมเชิญ นั่งก่อนซิคะคุณติณห์ เดี๋ยวผู้กำกับท่านก็จะกลับแล้วล่ะค่ะ”
สหวุฒิหน้าเหรอที่โดนไล่ทางอ้อม
“งั้นผมกลับเลยก็แล้วกัน คุณพราวพร้อมจะให้ข้อมูลเพิ่มเมื่อไหร่ ก็รีบโทรบอกผมเลยนะครับ”
แฟรงค์แอบโล่งอก “สัญญาฮะ จะกริ๊งไปทันทีที่พราวเซย์เยส ต้อยติ่งเอ้ย ส่งแขก”
ต้อยติ่งรีบวิ่งเข้ามาในห้อง พอเห็นติณห์ ก็ทำตาวาว จนแฟรงค์จนมองปราม ต้อยติ่งจำต้องรีบนำสหวุฒิกับตำรวจเดินออกไป
ติณห์หันมาพูดกับแฟรงค์
“โทรศัพท์คุณพราวติดต่อไม่ได้เลยครับ”
แฟรงค์รีบพูดแก้ตัว
“ตอนนี้พราวไม่อยากจะสื่อสารกับใคร ถ้ามีอะไรต้องผ่านแฟรงค์คนเดียวฮะ”
ติณห์ถอนหายใจ ก่อนจะพูดขึ้นมา
“เมื่อวานผมเจอท่านรัฐมนตรีบัญชา ท่านแจ้งว่าคุณพราวจะไปร่วมงานกอล์ฟการกุศลหารายได้ให้กับเยาวชนที่จะเดินทางไปแข่งรอบคัดตัวที่ต่างประเทศ”
แฟรงค์อ้าปากค้าง เพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้
“จริงด้วย”
“ผมก็เลยกังวลนะครับ ว่างานนี้คุณพราวจะไปได้รึเปล่า ดูท่านรัฐมนตรีคาดหวังกับคุณพราวมาก ถึงขนาดไม่เชิญดาราคนไหนเข้าร่วมงานเลย”
พออยู่กันตามลำพัง แฟรงค์ก็นั่งคุยกับเอมี่หน้าเครียด
“อีแฟรงค์เน่าแน่”
“ก็ปฏิเสธเค้าไปดิเจ๊ ว่าพราวไปไม่ได้” เอมี่รีบเสนอ
“นั่นแหละที่ฉันจะตายแล้วเน่าไปทั่วทั้งวงการ ไม่ต้องผุดต้องเกิดกัน นี่มันงานระดับโกรฟเว่อร์รัฐบาลนะยะ”
“เจ๊รับเงินเค้ามาแล้วดิ”
แฟรงค์ยิ่งเครียดหนัก
“เออ เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็น เพราะต่อให้คืนเงิน คณะจัดงานก็คงไม่ปล่อยให้พราวลอยนวลหรอก ต้องมีข่าวหน้าหนึ่งประณามว่าพราวเบี้ยวงาน ทั้งที่คุยกันดิบดีแล้ว”
เอมี่รีบโบกมือห้าม “ไม่ได้นะเจ๊ แบบนั้นชื่อเสียงของพราวก็เละตุ้มเป๊ะ กู่ไม่กลับแน่”
“ก็ใช่น่ะดิ พราวเอ้ยพราว เมื่อไหร่จะกลับมาซะที ใยถึงจะฆ่าแฟรงค์ให้ตายทั้งเป็น”
“ถ้างั้น เจ๊ก็ไม่มีทางเลือกอีกแล้วล่ะ”
แฟรงค์หันไปมองเอมี่อย่างหวั่นใจ “แปลว่า ต้องใช้สแตนด์อินพราวอีกแล้วชิมิ?”
เสียงเอะอะโวยวาย พร้อมกับเสียงเด็กกรีดร้องดังมาจากบ้าน มีน แมน แม่แก้วกำลังช่วยกันยื้อยุด
ทศ ชายก่อสร้างขี้เหล้าตกงาน ที่กำลังจะอุ้มตัวเหมียวออกจากบ้านไป
“พี่มีน ช่วยด้วย”
“ลุงทศ อย่าเอาเหมียวไปเลยนะ มีนขอร้อง”
แม่แก้วรีบพูดวิงวอน “อย่าเอาลูกไปเลยนะพ่อทศ”
แต่ทศไม่ฟังเสียง “มันลูกกู กูจะเอาไปเลี้ยง พวกมึงอย่าเสือก”
พูดพลางถีบแมนจนกระเด็น ก่อนจะเหวี่ยงแม่แก้วจนเซ แล้วปราดไปตบมีน ที่ยกแขนขึ้นกัน พร้อมๆ กับจับแขนทศที่อุ้มเหมียวไว้ไม่ยอมปล่อย
“ปล่อยกูอีมีน ปล่อย”
“ไม่ปล่อย ฉันไม่ให้น้าเอาเหมียวไป สงสารเหมียวเถอะ ให้เหมียวอยู่กับมีนนะ มีนไหว้ล่ะ อย่าเอาไป”
ทศโมโห “เอ๊ะอีนี่ อีเหมียวมันลูกกู กูไม่มีจะแดกแล้ว มันต้องไปทำงานหาเลี้ยงกู กูจะเอาไปขอทาน หรือถ้ามีไอ้แก่หน้าไหนจะซื้อ กูก็จะขายให้ ได้สักหมื่น 2 หมื่น”
มีนได้ฟังความคิดของทศ ก็ตกใจ
“ไม่นะน้า อย่าทำกับลูกอย่างงั้น”
แม่แก้วรีบช่วยพูด “ฉันกราบล่ะพ่อทศ อย่าทำร้ายลูกแบบนั้น สงสารอนาคตของลูกเถอะ”
ทศถลึงตามองทั้งคู่
“แล้วอนาคตของกูล่ะ กูไม่มีจะแดกได้ยินไหม กูบอกให้หลีกไป”
ทศผลักแม่แก้วจนเซ มีนจะเข้าไปช่วย แต่กลับถูกทศตบจนหน้าหงาย
แมนรีบคว้าขาเก้าอี้ที่หักขึ้นเงื้อจะฟาด มีนที่หันมาเห็นพอดี รีบตะโกนห้าม
“อย่าแมน อย่าทำนะ อย่าทำร้ายใคร”
แมนเงื้อไม้ค้าง ตัวสั่น น้ำตาไหลด้วยความโกรธ มีนรีบคว้ากระเป๋าเป้ตัวเองมา ก่อนจะควักเงินของ
แฟรงค์ที่ให้เหลืออยู่ไม่กี่พันบาทออกมา
“น้าทศอยากได้เงินใช่ไหม น้าอยากได้เท่าไหร่เอาไปเลย”
ทศเห็นเงินก็ตาลุก แย่งเงินมาจากมือมีนทั้งหมด
“เอามาทั้งหมดนั่นแหละ แล้วก็ไม่บอกว่ามีเงิน”
“ได้เงินไปแล้ว ส่งเหมียวมาให้ฉัน ส่งเหมียวคืนมา”
ทศส่งเหมียวให้มีนแล้วรีบเดินถือเงินออกจากบ้านไป มีนกอดปลอบเหมียวไว้กับอก แม่แก้วกับแมนรีบเดินเข้ามากอดมีนกับเหมียวไว้ แล้วร้องไห้ด้วยกัน
มีนยืนมองหน้าตัวเองในกระจก เห็นเลือดกำเดาไหลซึมที่จมูก จึงรีบใช้ทิชชู่เช็ดออก แล้วก็จับหน้า แขน ที่ระบม เพราะถูกทศตบตีไม่ยั้ง จู่ๆ ก็มีอาการปวดหัวจี๊ดขึ้นมา เธอพยายามอดกลั้นความเจ็บปวดจนเกร็งไปหมด จังหวะนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาพอดี
“พี่มีน”
มีนพยายามฝืนไม่ให้แมนรู้ว่าตัวเองกำลังอาการกำเริบ
“มีอะไร ?”
แมนยืนร้อนใจอยู่หน้าห้อง “โต้อาการกำเริบอีกแล้วพี่”
“พี่จะไปเดี๋ยวนี้ แมนลงไปช่วยแม่แก้วก่อน”
แมนรีบคำแล้วรีบวิ่งกลับลงไป
มีนพยายามฝืนยันตัวขึ้น พร้อมๆ กับควานมือไปที่กระเป๋าเป้ตัวเอง ก่อนจะหยิบขวดยาออกมาเปิดด้วยมือที่สั่นเทา เทยาออกมาใส่ปากเม็ดหนึ่ง จากนั้นก็พยายามสู้กับความเจ็บปวด พลางรีบเปิดประตูเดินออกไป
พราว ตอนที่ 3 (ต่อ)
แม่แก้วกับแมนกำลังดูอาการของโต้ที่เป็นโรคลมชักแต่กำเนิดอยู่บนเตียง มีนพยายามเก็บอาการเดินมาที่เตียง
“ไม่เป็นไรหรอกแม่แก้ว ใจเย็นๆนะ ช่วยจับโต้นอนตะแคง”
แม่แก้วกับแมนช่วยมีนจับโต้นอนตะแคง ขณะที่มีนรีบปลดคลายเสื้อผ้าโต้ให้หลวม พลางใช้มือจับคลำไปที่ปาก ก่อนจะจะนิ้วควานดูว่ากำลังกัดลิ้นอยู่หรือเปล่า
“โต้ หายใจลึกๆนะน้อง หายใจลึกๆ”
ครู่เดียวอาการชักก็ค่อยๆหยุดลง โต้กระพริบตา นอนหมดแรง มีนลูบหัว เช็ดเหงื่อให้ แล้วพูดปลอบ
“หลับซะนะ เดี๋ยวตื่นขึ้นมา พี่มีนมีขนมอร่อยๆให้กิน”
โต้ยิ้มรีบ ก่อนจะหลับตาไป แม่แก้วกับมีนหันมามองหน้ากันทั้งเหนื่อยทั้งโล่งอก แม่แก้วยื่นมือลูบแก้มเธออย่างสงสาร มีนยิ้ม พลางโผกอดแม่แก้ว
“เราจะสู้เพื่อเด็กๆ ด้วยกันค่ะแม่แก้ว”
มีนเดินหมดแรงออกมาจากบ้าน อาการปวดหัวหายไปแล้ว แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นยายเจ้าของบ้าน ยืนถือไม้เท้า ทำหน้าดุอยู่หน้าบ้าน
“สวัสดีค่ะยาย”
“ฉันไม่ได้มารับไหว้ ฉันจะมารับเงินค่าเช่าบ้าน นี่อย่าพ่นออกมานะว่าจะขอผัดผ่อนอีก 3 เดือนแล้วที่พวกแกไม่จ่ายฉัน”
ยายแก่หน้าดุพูดพลางกระแทกไม้เท้าลงพื้นอย่างโกรธจัด
“ฉันไม่มีเวลาให้พวกแกอีกแล้ว ถ้าไม่มีจ่ายก็ย้ายออกไปเลย หอบหิ้วไอ้พวกเด็กจรจัดออกไปให้หมด ชาวบ้านชาวช่องแถวนี้ จะได้เลิกเหม็นกลิ่นเด็ก หนวกหูเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันซะที”
มีนรีบเข้ามาคุกเข่ายกมือไหว้
“ยายจ๋า อย่าไล่พวกเราไปเลย ไปแล้วพวกเราหลายชีวิตก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน”
“มันเรื่องของพวกแก ไม่ใช่เรื่องของฉัน”
มีนก้มลงไหว้ “หนูกราบล่ะยาย ขอเวลาให้หนูหน่อยนะคะยาย หนูสัญญา จะหาเงินมาจ่ายค่าเช่าบ้านให้หมด”
พูดพลางยื่นมือไปจับขาเพื่อขอร้อง ยายใช้ไม้เท้าตีมือออกอย่างรังเกียจ
“ไม่ต้องมาถูกฉัน งั้น 3 วัน ฉันมีเวลาเมตตาพวกแกแค่ 3วัน ไม่ขาดไม่เกิน ถ้าไม่มีเงินมาจ่ายฉัน ฉันจะจ้างคนมาไล่ จำใส่สมองเอาไว้นะอีปาน”
ขาดคำก็หันเดินยันไม้เท้าออกไป มีนลุกขึ้น ก่อนจะเดินช้าๆ ไปนั่งที่เปลใต้ต้นไม้ รู้สึกมืดแปดด้านไปหมด
มีนกับแมนเดินเข้ามาที่ตึกออฟฟิศ N&Tของติณห์ พลางตรงรี่มาที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ มาเก็บกล่องบริจาคค่ะ”
พนักงานยิ้มให้อย่างคุ้นเคย
“เอาเลยจ้ะน้อง ช่วงนี้น้อยหน่อยค่ะ คนไม่ค่อยบริจาคน่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะบริจาคมากบริจาคน้อย ทุกบาททุกสตางค์ก็มีค่าสำหรับเด็กกำพร้าทุกคนค่ะ”
ติณห์เดินเข้าประตูมาที่ด้านหลังพอดี พนักงานสาวลุกขึ้นยืนยกมือไหว้ แต่มีนมัวแต่ก้มหน้าหยิบเงินในกล่องบริจาค จึงไม่ทันได้เห็นกัน
“ขอบคุณมากนะคะ แล้วอาทิตย์หน้า มีนจะแวะมาดูอีก”
“ไม่เหนื่อยเหรอน้อง มัวแต่วิ่งเก็บกล่องบริจาคแบบนี้ มันจะพอกินเหรอ ทำไมไม่ลงประกาศ ขอรับบริจาคทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก พวกเฟสบุ๊คอะไรยังงี้ล่ะ”
มีนยิ้มอย่างเจียมตัว
“บ้านเราเล็กๆ แค่ขอรับบริจาคแบบนี้ก็เกรงใจคนอื่นมากแล้วค่ะ ไปนะคะ สวัสดีค่ะ”
2 พี่น้องยิ้มให้พนักงานต้อนรับ แล้วหันเดินผละไป
มีนกับแมนนั่งอยู่บนรถเมล์เพื่อกลับบ้าน แมนนั่งพิงไหล่พี่สาวหลับ ขณะที่มีนนั่งคิดเครียด เพราะเงินที่ได้มาวันนี้แค่พอกินไป 2-3วันเท่านั้น แต่เงินค่าเช่าบ้านเป็นหมื่น ยังไม่รู้ว่าจะไปหาจากที่ไหน
ทันใดนั้นมือถือของมีนก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล มีนพูดค่ะ พี่แฟรงค์”
รถตู้หรูแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าป้ายรถเมล์ แฟรงค์โผล่หน้าออกมา พลางกระดิกนิ้วทั้ง 5 ที่ใส่แหวนเพชรทักทายมีน ที่นั่งรออยู่
“สวัสดีค่ะพี่”
แฟรงค์รีบพูดเข้าประเด็น “พี่มีเรื่องให้ช่วยอีกแล้วล่ะ คราวนี้ พี่มีค่าเสียเวลาให้หนูอย่างคุ้มค่าที่สุด”
มีนยิ้มดีใจ “ค่ะ มีนกำลังจะบอกว่ามีนต้องการค่าเช่าบ้านเท่านั้น”
แฟรงค์มองมีนอย่างสงสาร พลางตบมือยิ้มต้อนรับ
“งั้นขึ้นรถเลย ช่วยมาเป็นพราวให้พี่อีกครั้ง”
สมชายกำลังง่วนกับการทำอาหารเที่ยงให้แขก ขณะที่พราวยืนงงทำอะไรไม่ถูก
“อ้าวนี่คุณ ให้มาช่วยนะ ไม่ใช่มายืนโพสต์ท่าถ่ายแบบ ส่งจานมาซิ”
พราวหันไปคว้าจานเล็กๆ มาส่งให้
“ใบแค่นั้นจะใส่หมดได้ไง ใบใหญ่โน่น”
พราวรีบไปหยิบอีกใบมาวางสมชายตักผัดเปรี้ยวหวานลงบนจาน แล้วยื่นให้พราว ที่เผลอทำจานร่วงลงแตก กับข้าวกระจาย สมชายหันมาทำหน้าดุใส่
“ถือจานแค่นี้ ยังปล่อยให้ร่วง คุณทำอะไรเป็นบ้างเนี่ยะ นอกจากปั้นหน้าถ่ายหนังถ่ายละคร”
พราวรีบเถียง “เอ๊ะ ก็มันร้อน ฉันตั้งใจที่ไหน จานนี้เท่าไหร่ เดี๋ยวฉันจ่ายให้เอง”
สมชายพูดใส่หน้าพราวอย่างโมโห
“เงินคุณมันใหญ่นักหรือไงห่ะ เอะอะก็จะเอามาฟาดหัวผม จะบอกอะไรให้นะ เงินของคุณ มันไม่มีความหมายสำหรับคนที่นี่เลย พอๆกับชื่อเสียงของคุณ ที่ผมไม่สน การกระทำยิ่งใหญ่กว่าคำโม้โอ้อวด อย่าสักแต่พูด แล้วทำไม่ได้ ผมเกลียดคนประเภทนี้ที่สุด”
พราวกัดปากน้ำตาร่วงเผาะ ก่อนจะรีบหันเดินออกจากประตูหลังครัวไป สมชายถึงกับอึ้ง รู้สึกว่าเขาพูดกับเธอแรงเกินไป
สมชายผลักประตูเข้ามาในบ้านพักของพราว
“นี่คุณ! อยู่ในบ้านรึเปล่า ?”
พลางหันมองหาไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเธอ
“หนีกลับไปซะแล้วมั้ง”
สมชายเดินตามหา จนเห็นพราวแอบมานั่งอยู่ริมคลอง จากนั้นก็เดินมาหยุดยืนเท้าเอวมองใกล้ๆ
พราวเงยหน้ามามอง พลางรีบลุกขึ้นจะเดินไปเพราะโมโห แต่กลับถูกสมชายคว้าหมับเข้าที่แขน จนเธอตกใจ
“จะทำอะไร? นี่ปล่อยนะ จะดึงฉันไปไหน?”
สมชายไม่ตอบ กลับดึงพราวที่เดินโวยวายไปตลอดทาง จนมาถึงหน้าบ้าน
“บ้านใครเนี่ยะ”
“เข้าไปเถอะน่า”
พลางดึงพราวเข้ามาในห้องรับแขกของบ้าน แล้วจับไหล่เธอให้นั่งลงที่โซฟา ก่อนจะเดินไปหายามาทาที่มือ ที่เป็นแผลเพราะโดนกุ้งตำ ด้วยท่าทีที่อ่อนโยนขึ้น จนพราวลั้นน้ำตาไม่อยู่ ร้องไห้ออกมา
“เป็นดารานี่อ่อนไหวเหลือเกินนะ แค่นี้ต้องร้องไห้
พราวพูดไปสะอื้นไป
“ดาราอย่างฉันไม่ใช่คนหรือไง เจ็บปวดไม่เป็น ร้องไห้ไม่เป็น มันดูน่าหมั่นไส้มากเลยใช่ไหมที่ฉันเกิดมาเป็นพราว”
สมชายใจอ่อนยวบ หยิบทิชชู่ยื่นไปซับน้ำตาให้ ทั้งคู่มองหน้ากันนิ่งๆ ใจเต้นโครมครามอีกครั้ง ก่อนที่สมชายจะกลับเป็นฝ่ายที่หยุดตัวเองไว้
“วันนี้พอแค่นี้ คุณไม่ต้องทำงานแล้ว”
พราวกระชากมือออกจากมือสมชายแล้วลุกเดินหนีออกจากบ้านไป สมชายตบหัวตัวเองเบาๆ
“ไอ้สมชาย เกือบเสียท่า น้ำตาดาราซะแล้ว”
มีนที่แปลงโฉมเป็นพราวสวยสดในชุดสวย สะพายกระเป๋าหรูก้าวลงจากรถ พลางหันมามองแฟรงค์กับ
เอมี่อย่างไม่มั่นใจ
แฟรงค์รีบพูดให้กำลังใจ
“มั่นใจไว้ ทำตามอย่างที่พี่บอก เชิดหน้า อกผาย หลังตึง ไหล่ยก”
มีนสูดลมหายใจเข้า ก่อนจะหันเดินตรงไปยังทางเข้าห้าง แฟรงค์กับเอมี่แอบแง้มประตูจับตาดู
“เราจำเป็นต้องทำยังงี้เลยเหรอเจ๊?” เอมี่ถามอย่างข้องใจ
“จำเป็นไม่มาก แต่เพื่อความชัวร์ป้าบ ครั้งก่อนมีนอยู่บนเวที มองระยะไกล อาจจะเหมือนพราวเดี๊ยะ แต่ในระยะประชิด เราจะแน่ใจได้ยังไง ถ้าไม่พิสูจน์”
มีนก้าวเข้ามาในห้าง ด้วยสีหน้า และท่าทางที่ไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก็พยายามบังคับตัวเองให้นิ่งขึ้นๆ ตามจังหวะเท้าที่ก้าวเดินไปในห้างที่ผ่านผู้คนมากขึ้น ทุกคนหันมามอง พลางชี้ชวนให้ดูเธอเป็นตาเดียว
“นั่นดารานี่ พราวใช่ไหม ?”
“ใช่พราวจริงๆ ด้วยอ่ะ”
แฟนๆ เริ่มห้อมล้อมเข้ามาถ่ายรูป เข้ามาทักทาย มีนหันไปส่งยิ้มให้ แล้วค่อยๆ ยื่นมือออกไปจับทักทาย
สุดเขตต์เดินออกมาจากร้านขายกล้อง พลางได้ยินเสียงคนกรี๊ดดังระงมขึ้นมาที่ด้านล่าง จึงรีบเดินไปยืนดูที่ระเบียงห้าง เห็นพราวยืนอยู่ตามลำพังในวงล้อมของแฟนๆ
“ทำไมมาคนเดียว เดี๋ยวได้เละ”
แฟรงค์กับเอมี่ใส่แว่นดำแอบตามมาดู เห็นแฟนรุมล้อมมีนก็ยิ้มดีใจ
“งานนี้หมดข้อสงสัย ทุกคนคิดว่านั่นใช่พราวแน่นอน”
แต่เอมี่กลับมองอย่างเป็นห่วง
“แต่ปล่อยไว้แบบนั้นไม่ดีนะเจ๊ คนเบียดบี้มีนกันใหญ่แล้ว”
แฟรงค์มองค้อน “เดี๋ยวตบปาก นั่นพราวย่ะ ไม่ใช่มีน”
มีนเริ่มตาลาย เพราะโดนคนรุมล้อมจนหายใจไม่ออก จนเขาอ่อนจะทรุดลงไป แต่สุดเขตต์ปราดเข้ามาคว้าไว้ได้ทัน
“จับมือผมไว้ให้แน่น ผมจะพาออกไปเอง”
สุดเขตต์พามีนแหวกวงล้อมออกไปได้ในที่สุด แต่ผู้คนก็ยังกรูกันตามไป
แฟรงค์กับเอมี่เดินตามมาถึง ก็ไม่เจอมีนแล้ว
สุดเขตต์พามีนวิ่งหนีแฟนๆ ออกมา
“ทางนี้คุณพราว ตามผมมาครับ ทางนี้”
ก่อนจะพาเธอเข้ามาหลบในห้องลองชุด มีนทรุดนั่ง ยังเหนื่อย และมึนไม่หาย
“เป็นยังไงบ้างครับ หายใจลึกๆ”
มีนยิ้มให้ “ขอบคุณค่ะ ฉันไม่เป็นไรแล้ว”
“แล้วคิดไงครับมาเดินอยู่กลางห้างคนเดียวแบบนี้ ?”
“ก็คิดไม่ถึงนี่คะว่าพราวจะดังจนคนคลั่งไคล้ขนาดนี้”
สุดเขตต์เลิกคิ้วมองหน้ามีนอย่างแปลกใจ
“คุณน่ะเหรอครับคิดไม่ถึง ?”
มีนได้สติว่าตัวเองกำลังแสดงเป็นพราวอยู่ รีบพูดแก้ตัว
“คุณไม่เคยเป็นเหรอคะ บางครั้งคนเราก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่จุดไหน”
“ผมคิดไม่ถึงเลยนะครับ ว่าจะได้ยินประโยคนี้จากคนที่เป็นซูเปอร์สตาร์อย่างคุณพราว”
“แล้วคนที่เป็นซูเปอร์สตาร์ต้องพูดยังไงเหรอคะ?”
มีนย้อนถามพลางมองสุดเขตต์ตาแป๋ว
“ผมก็แค่ตากล้องที่วิ่งตามนักข่าวถ่ายรูปคุณ ผมไม่รู้หรอกครับ”
มีนหน้าตื่น “นักข่าว ?”
“ทำไมครับ อย่าบอกนะว่าคุณจำผมไม่ได้”
มีนกำลังจนแต้ม แต่มือถือจากแฟรงค์ก็ดังเข้ามาช่วยไว้ทันเวลา
“ฮัลโหล ค่ะ พี่แฟรงค์”
“หนูอยู่ไหนเนี่ยะ ปลอดภัยดีรึเปล่า ?”
“หลบอยู่ในห้องลองชุดค่ะ”
แฟรงค์ถอนหายใจโล่งอก
“เฮ่อ โล่งอกไปที นึกว่าถูกคนคลั่งพราวฉีกทึ้งร่างออกเป็นชิ้นๆแล้วซะอีก แล้วอยู่ห้องลองชุดตรงไหน พี่จะไปรับ”
“หนูก็ไม่รู้ค่ะว่าอยู่ตรงไหน? พี่ไปรออยู่ที่รถเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูหาทางหลบออกไปเอง”
“เริ่ด แบบนั้นก็ได้ พี่จะไปรอล่ะนะ รีบมาล่ะ ระวังๆนะหนู อย่าหลุดให้ใครจับได้”
แฟรงค์กดวางสาย เอมี่รีบถามทันที
“มีนว่าไงเจ๊?”
“นางให้ไปรอที่รถ เด็กมีนคนนี้เอาตัวรอดใช้ได้นะแก รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นซุปตาร์ แบบนี้ศรีสอนได้ฮะ”
สุดเขตต์มองมือถือราคาถูกของมีน แล้วก็ขมวดคิ้วอย่างงงๆ
“ผมชอบนะครับ มือถือรุ่นแบบนี้มันเล็กดี”
มีนรีบเก็บมือถือเข้ากระเป๋า แล้วลุกไปเปิดประตูแง้มดูข้างนอก
“ขอบคุณนะคะ คุณเอ่อ ชื่ออะไรนะคะ ฉันไม่แน่ใจว่าเคยรู้จักชื่อคุณรึเปล่า”
สุดเขตต์ยิ้มหวาน “สุดเขตต์ครับ”
“ขอบคุณค่ะที่ช่วยพาฉันหลบมาคุณสุดเขตต์”
มีนเปิดประตูเดินออกไป สุดเขตต์รีบตามไปด้วย พร้อมกับถอดแจ๊กเก็ตออกขึ้นคลุมปิดให้มีนแล้วรีบโอบไหล่พาเดินไปอย่างรวดเร็ว
มีนหันมามองหน้าสุดเขตต์ที่อยู่ใกล้แค่คืบ พลางรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ช่างแสนดีมีน้ำใจ
สุดเขตต์พามีนเดินหลบมาส่งถึงที่รถ แฟรงค์เปิดออกมา แต่พอเห็นสุเขตต์เป็นคนพามีนมาส่ง ทั้งแฟรงค์กับเอมี่ก็สะดุ้งสุดตัว
“ตกใจอะไรกันเหรอครับ ?”
แฟรงค์พยายามทำหน้าให้เป็นปกติ
“หนูมากับหมอนี่ได้ไงเนี่ยะ เค้าเป็นนักข่าวนะ”
“เค้าเป็นคนช่วยดึงหนูหลบคนออกมาน่ะค่ะ ไม่งั้นหนูคงโดนเบียดเป็นลมอยู่ตรงนั้น”
“แล้วนี่ก็ไม่ใช่การช่วยครั้งแรกนะครับ คราวก่อนที่คุณพราวถูกยิง ผมก็เป็นคนช่วยอุ้มไปให้ตำรวจ”
มีนหันไปมองสุดเขตต์ แฟรงค์รีบตัดบท
“จ้าขอบคุณมาก ถ้าคราวหน้าสมาคมนักข่าวให้ฉันเลือกนักข่าวดีเด่น ฉันจะลงคะแนนให้เธอ โอป่ะ ขึ้นรถเลยหนู”
แฟรงค์ดึงมีนขึ้นรถ แล้วรีบขับออกไป สุดเขตต์มองตาม รู้สึกติดใจสงสัย
เมื่ออยู่ในรถด้วยกัน แฟรงค์ก็รีบเตือนว่าให้อยู่ห่างๆ จากสุดเขตต์
“มันเป็นนักข่าวของหนังสือ HOT SHOT ที่ตามกอสซิปทำลายล้างพราวมาตลอด ถ้าหนูไปญาติดีด้วย พวกนั้นต้องสงสัยแน่ๆ เข้าใจนะ คราวหลังอย่า”
มีนรับคำอย่างหนักใจ เพราะตระหนักได้ว่ารู้สึกว่าการเป็นซูเปอร์สตาร์นั้น ช่างมีเรื่องวุ่นวายเหลือเกิน
น้องนุชเดินถือผ้าเช็ดตัวจะเอาไปเพิ่มให้แขกที่โทร. มาขอเพิ่ม แต่กลับเจอ 3 หนุ่มป่วน ที่ดื่มมากรึ่มเดินเข้ามาขวางทาง พลางพูดจากวนประสาท แถมยังแย่งผ้าขนหนูจากมือน้องนุชไปโยนเล่นสนุกสาน
พราวเดินเข้ามาเห็นพอดี
“เค้าอยากได้ก็ให้เค้าไปเถอะน้องนุช มัวไปแย่งเสียเวลาทำมาหากินเปล่าๆ แล้วจำหน้าไว้นะจ๊ะ เจอแขกหน้าตาแบบนี้ อย่าให้เข้ามาพักอีก มันเป็นมลภาวะเป็นพิษ”
น้องนุชรับคำ แล้วรีบเดินออกไปอย่างฉุนๆ พราวเชิดหน้าใส่แล้วเดินตามไป 3 หนุ่มมองตามพราว ด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“อีนี่ใคร หน้าคุ้นๆว่ะ”
“สวยนะเว้ย ขาวจั๊วะ แล้วดูหุ่นดิ อื้อหือ ที่สุดใน 3 โลก”
พราวเดินกลับเข้ามาในห้อง แล้วผลัดเสื้อผ้าเตรียมจะอาบน้ำ จังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใครคะ?”
พราวเดินไปเปิดประตูอย่างไท่ทันระแวง ก็เจอ 3 หนุ่มป่วนยืนทำหน้าหื่นอยู่หน้าห้อง กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่ง
“มาเคาะประตู มีธุระอะไร?”
“แบบว่าไม่มีผ้าเช็ดตัวใช้น่ะ ก็เลยอยากจะมาใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับคนสวย”
พราวรีบปิดประตูทันที แต่กลับถูก 3หนุ่มออกแรงผลักประตูเข้าไปได้ แล้วรีบปิดประตูล็อกทันที
“เข้ามาทำไม ออกไปนะช่วยด้วย”
พราวร้องได้คำเดียว ก็ถูกพวกมันใช้ผ้าปิดปาก แล้วก็กรูเข้ามาจับมือล็อกไว้
“เฮ้ย พาไปที่เตียง”
แต่พราวกัดมือจนดิ้นหลุดมาได้
“ช่วยด้วย”
พราวพลาดท่าถูกพวกมันต่อยท้อง จนจุก แล้วก็ถูกหิ้วตัวไปโยนลงบนเตียง พวกมันมองเธอด้วยสายตาหื่นกระหาย
จบตอนที่ 3