xs
xsm
sm
md
lg

ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 5
ภาพในอดีตผุดขึ้น เหมยอิงกำลังไกวเปลกล่อมทารกวัย 6 เดือนคนหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ยื่นให้ซินแสคนหนึ่งแมะอยู่ ซินแสยิ้มให้เหมยอิง

“ยินดีด้วยครับคุณนาย ท่านตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว” ซิลแสพูด
“ข้าตั้งครรภ์เหรอเนี่ย” เหมยอิงเอ่ย
“ครับ ต่อไปนี้คุณนายต้องดูแลตัวเองดีๆนะครับ เดี๋ยวข้าจะจัดยาบำรุงให้...ข้าขอตัวก่อนนะ”
“ขอบคุณซินแส” เหมยอิงกล่าวกับซินแส ก่อนจะพูดกับเด็กในเปล
“จางฟุ เจ้าจะมีน้องแล้วนะ”
เหมยอิงมองที่รูปถ่ายของเมียจางเหลียงบนโต๊ะ
“พี่สะใภ้ ท่านไม่ต้องห่วงนะ ถึงข้าจะมีลูก ข้าก็จะเลี้ยงและรักจางฟุให้เหมือนลูกตัวเองเลย”
ขณะนั้นเอง จางซื่อเดินเข้ามาด้วยท่าทางหงุดหงิดมาก
“จางซื่อ ข้ามีข่าวดี เรากำลังจะมี…” เหมยอิงกล่าว
ทว่า จางซื่อไม่สนใจฟัง เขาปัดข้าวของบนโต๊ะล้มระเนระนาด ท่าทางโกรธแค้นสุดๆ
“พี่ชายเจ้า...พี่ชายเจ้า…” จางซื่อเอ่ย
“เฮียเหลียงทำไมเหรอ”
“ประกาศยุบสำนักอสูรเทวา ... อาจารย์ตั้งพี่ชายเป็นเจ้าสำนัก เขากลับทำแบบนี้ เท่ากับอกตัญญูต่ออาจารย์ ยังเป็นการทอดทิ้งพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา เขาช่างเลวจริงๆ” จางซื่อว่า
จางเหลียงเดินเข้ามา พวกศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆตามมาด้วย
“จางซื่อ” จางเหลียงเรียก
“พี่ใหญ่” จางซื่ออุทานอย่างตกใจ
“เจ้าเป็นรองเจ้าสำนัก เรื่องสำคัญแบบนี้ เจ้าไม่เพียงไม่สนับสนุนข้า ยังเดินหนีออกมาแบบนี้ เจ้ายังเห็นข้าเป็นเจ้าสำนักอยู่รึเปล่า” จางเหลียงเอ่ย
“ข้า...ข้าไม่เห็นด้วยกับท่าน” จางซื่อพูด
จางเหลียงตบหน้าจางซื่อฉาด จางซื่อกำหมัดแน่น พอจางเหลียงเห็นเข้าก็ยิ่งโกรธ
“เจ้าคิดจะสู้ข้ารึไง” จางเหลียงว่า
“ตั่วกอ ท่านอย่าบีบบังคับผู้คนจนเกินไป” จางซื่อเอ่ย
“จางซื่อ ข้าเห็นเจ้าเป็นน้องเขย จึงเมตตาเจ้า ให้เจ้าเป็นรองเจ้าสำนัก ไม่อย่างนั้นด้วยคุณสมบัติของเจ้า น่ากลัวเป็นได้แค่ขี้ข้ารับใช้ ยังกล้าหาว่าข้าบีบบังคับเจ้าอีกเหรอ ... ปากสุนัข” จางเหลียงพูด ก่อนตบหน้าจางซื่ออีกฉาด
จางซื่อเห็นพวกศิษย์มองมาก็อับอาย กลายเป็นโทสะ เขาอาศัยจังหวะจางเหลียงหันหลังให้ ต่อยจางเหลียง จางเหลียงหันขวับมา จางซื่อชะงัก
“ต่อยมา” จางเหลียงว่า
จางซื่อร้องย้าก ต่อยใส่จางเหลียง จางเหลียงยืนให้ต่อย ไม่สะทกสะท้าน
“เศษสวะ” จางเหลียงเอ่ย
จางเหลียงตบหน้าจางซื่อ จางซื่อพยายามปัดป้องโต้กลับแต่ก็โดนจางเหลียงตบหน้าตลอดจนหน้าบวมเป่ง เหมยอิงรีบเข้ามาห้าม
“เฮียเหลียง พอเถอะ” เมยอิงพูด
“เหมยอิงถอยไป วันนี้ต้องสั่งสอนผัวเจ้าให้รู้สำนึก” จางเหลียงพูดแล้วจะลงมืออีก จางซื่อหลบหลังเหมยอิง จางเหลียงเห็นแบบนั้นยิ่งโกรธ จึงชี้หน้าด่า
“หน้าไม่อาย หลบหลังผู้หญิง”
จางเหลียงเดินมากระชากจางซื่อ เงื้อหมัดจะต่อย เหมยอิงหวีดร้อง
ทารกในเปลร้องไห้จ้า จางเหลียงรีบปล่อยจางซื่อมาดูทารกในเปลแล้วอุ้มขึ้นปลอบ สีหน้าอ่อนโยนลงทันที
“โอ๋ๆๆๆๆ ตกใจเสียงดังจนตื่นเลย พ่อขอโทษ โอ๋ๆๆๆ”
“เอามันไปขังไว้” จางเหลียงชี้ไปที่ศิษย์คนหนึ่ง
พวกศิษย์รีบเข้ามาดึงตัวจางซื่อออกไป ส่วนจางเหลียงก็ปลอบลูกต่อไปโดยไม่สนใจจางซื่อเลย

จางซื่อถูกขังอยู่ในที่คุมขังของสำนักอสูรเทวา ชายคนหนึ่งเดินมา พยักหน้าทีหนึ่ง ศิษย์ที่เฝ้าประตูอยู่ก็เปิดประตูให้ ชายคนนั้นเข้ามาในที่คุมขัง เป็นชายสูงวัย ท่าทางเจ้าเล่ห์ จางซื่อเห็นชายสูงวัยเข้ามาก็เอ่ยขึ้น
“อาจารย์สาม”
“จางซื่อ ข้ามีเวลาไม่มาก เจ้าฟังให้ดี พวกเราหลายคนไม่เห็นด้วยกับจางเหลียงแต่ไม่มีใครกล้าคัดค้านมัน”
“วิทยายุทธมันสูงล้ำเกินไป” จางซื่อพูดต่อ
“ทุกคนต้องมีจุดอ่อน เจ้านับเป็นคนในครอบครัวมันย่อมต้องรู้จุดอ่อนมัน เจ้าต้องลงมือฆ่ามันก่อนที่มันจะฆ่าเจ้า” ชายสูงวัยเอ่ย
“ตั่วกอไม่ฆ่าข้าหรอก” จางซื่อว่า
“วันนี้เจ้าฉีกหน้ามันต่อหน้าศิษย์ร่วมสำนัก รวมทั้งแขกเหรื่อมากมาย มันไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
จางซื่อเงียบไป สีหน้าหวาดหวั่น
“ถ้าเจ้าเอาด้วย ข้าจะนำพี่น้องที่ไม่เห็นด้วยลุกฮือสยบพวกมันไว้ หน้าที่ของเจ้าคือ ต้องฆ่าจางเหลียงให้ได้ หลังจากนั้นข้าจะขึ้นเป็นเจ้าสำนัก เจ้าก็เป็นรอง ข้าอยู่ได้อีกไม่กี่ปี พอข้าตายเจ้าก็เป็นเจ้านักอสูรเทวาคนต่อไป ตกลงไหม”
จางซื่อครุ่นคิด มองหน้าชายสูงวัย
“ตกลง” จางซื่อเอ่ย
ทั้งสองยื่นมือประกบกัน

จางเหลียงคุยกับเหมยอิงอยู่ที่สวน
“เหมยอิง เจ้าคงไม่โกรธข้านะ วันนี้ที่ข้าทำรุนแรงต่อจางซื่อน่ะก็เพราะหวังดีกับเขา เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ วันหน้าต้องเป็นยอดฝีมือไร้ผู้ต้านทานแน่ ถ้าข้าเปลี่ยนความคิดเขาได้ ข้าจะมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้เขา” จางเหลียงเอ่ย
“ขอบคุณเฮียเหลียง” เหมยอิงพูด
“เมื่อข้ามีลูก ข้าจึงคิดได้ว่าเราควรถอนตัวจากเรื่องชั่วร้าย เดินในเส้นทางคุณธรรม แม้มิใช่เรื่องง่าย แต่หากเราตั้งใจจริง ย่อมต้องทำได้” จางเหลียงว่า
“ข้าจะช่วยพูดเกลี้ยกล่อมจางซื่อด้วย” เหมยอิงบอก
ทันใดนั้นก็มีเสียงเด็กร้องไห้จ้า
“จางฟุ”
จางเหลียงรีบวิ่งออกไป โดยมีเหมยอิงตามไปด้วย

จางเหลียงกับเหมยอิงพรวดเข้ามาในห้องโถง ภาพที่เห็นคือ อาจารย์สามกำลังฟาดฝ่ามือใส่จางซื่อที่อุ้มจางฟุไว้แนบอก
“อาจารย์สาม ท่านทำอะไร” จางเหลียงถาม
“จางเหลียง เจ้าทรยศสำนัก ข้าจะฆ่าครอบครัวเจ้าล้างตระกูล” อาจารย์สามเอ่ย
จางเหลียงคำราม กระโดดเข้ามาสู้กับอาจารย์สาม อาจารย์สามถอยไปตั้งหลัก จางเหลียงประคองจางซื่อ
“จางซื่อ เกิดอะไรขึ้น” จางเหลียงถาม
“อาจารย์สามทรยศ ข้ารู้ก่อนจึงหนีออกมาเตือนท่าน เห็นมันกำลังจะฆ่าจางฟุ ข้าจึงรีบมาช่วย ไม่รู้มาทันหรือไม่” จางซื่อตอบ
จางซื่อส่งจางฟุให้ จางเหลียงรีบรับจางฟุมาตรวจดูอย่างละเอียด ที่หน้าอกมีรอยฝ่ามือสีดำ
“รอยฝ่ามือมรณะ” จางเหลียงเอ่ย
จางเหลียงรีบทาบฝ่ามือลงบนตัวจางฟุ ส่งลมปราณรักษา รอยสีดำเริ่มหายไปอย่างรวดเร็ว
ชายสูงวัยถือโอกาสซัดอาวุธลับใส่จางฟุกับจางเหลียง
“ระวัง”
จางซื่อเอาตัวบังรับอาวุธลับแทน จางเหลียงคำราม หันมาทางชายสูงวัย ชายสูงวัยรีบกระโดดหนีไป
จางเหลียงได้ยินเสียงจางซื่อคราง
“จางซื่อ” จางเหลียงเอ่ย
จางเหลียงหันมาดูจางซื่อ โดยมือหนึ่งยังทาบลมปราณอยู่บนตัวจางฟุ
“ตั่วกอ...ข้า...ข้า…” จางซื่อกุมมือจางเหลียงไว้
“จางเหลียง เจ้าต้องไม่เป็นอะไร ข้าจะช่วยเจ้า...อ๊ะ” จางเหลียงพูด
ทันใดนั้น จางซื่อก็เปลี่ยนจากกุมมือเป็นจับล็อค มืออีกข้างส่งมีดแทงเข้าตัวจางเหลียง
ชายสูงวัยก็กระโดดกลับเข้ามา ฟาดฝ่ามือใส่จางเหลียงหลายฝ่ามือติดต่อกัน
จางเหลียงคำรามลั่น ปล่อยมือจากจางฟุ เปล่งพลังลมปราณกระแทกจางซื่อกับชายสูงวัยกระเด็นออกไป
“เฮียเหลียง” เหมยอิงตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
จางซื่อหยิบอาวุธลับที่โดนซัดโยนทิ้ง
“ที่ข้าโดนน่ะของเด็กเล่น แต่ที่เจ้าโดนน่ะของจริง” จางซื่อเอ่ยก่อนโชว์มีดสั้นของเขาให้ดู ที่ใบมีดมีพิษฉาบอยู่เป็นสีเขียว
“นี่คือพิษหมื่นเหมย จางเหลียง เจ้าไม่รอดแล้วล่ะ” จางซื่อบอก
“เจ้าโดนฝ่ามือข้ากระแทกชีพจรแตกหมดแล้ว จางเหลียงเอยจางเหลียง ใครใช้ให้เจ้าแย่งตำแหน่งเจ้าสำนักไปจากข้า” อาจารย์สามว่า
“พวกเจ้า...บัดซบนัก…” จางเหลียงเอ่ย แล้วล้มลง
“เฮียเหลียง” เหมยอิงวิ่งเข้ามาหาจางเหลียง
จางเหลียงนิ่งไป ชายสูงวัยกับจางซื่อดีใจ ชายสูงวัยหัวเราะ ขณะที่จางซื่อยังไม่ไว้ใจจางเหลียง และยังคอยจับตาดู ชายสูงวัยเข้ามาหาจางเหลียง ค้นหาของที่อกเสื้อ แล้วก็ล้วงป้ายเจ้าสำนักออกมา
“ข้าคือเจ้าสำนักอสูรเทวาคนใหม่…” อาจารย์สามพูด
ขณะนั้นเอง จางเหลียงลืมตาขึ้น กระโดดฟาดฝ่ามือใส่อาจารย์สามกับจางซื่อ จางซื่อกระโดดหนีทันแต่อาจารย์สามโดนเข้าไปเต็มๆ แล้วจางเหลียงก็อุ้มจางฟุกับเหมยอิงวิ่งหนีไป
“จางเหลียง ช่างร้ายกาจนัก” จางซื่อเอ่ย
“จางซื่อ ช่วยข้าด้วย” อาจารย์สามเอ่ย
จางซื่อเข้ามาฟาดฝ่ามือใส่ทรวงอกอาจารย์สามจนกระอักเลือด จ้องหน้าจางซื่อ
“เจ้าช่างอำมหิต” อาจารย์สามกล่าว
“อาจารย์สาม ตำแหน่งเจ้าสำนัก ใครก็อยากเป็นทั้งนั้น ท่านบอกเองว่าท่านตายแล้วข้าจะได้เป็น งั้นก็ตายซะเถอะ ฮ่าๆๆ” จางซื่อกระทืบอาจารย์สามซ้ำจนตาย แล้วหยิบป้ายเจ้าสำนักมา
พวกศิษย์ร่วมสำนักได้ยินเสียงต่อสู้ ก็พากันเข้ามา เห็นสภาพก็งง
“เกิดอะไรขึ้น” ศิษย์คนหนึ่งถาม
จางซื่อร้องไห้ แล้วตอบว่า
“อาจารย์สามตักเตือนจางเหลียง จางเหลียงจึงฆ่าอาจารย์สาม แต่มันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส”
“ก่อนตาย อาจารย์สามให้ข้ารักษาการเจ้าสำนักอสูรเทวา...ตอนนี้ข้าขอออกคำสั่ง ตามล่าคนทรยศจางเหลียง ตามล่ามันให้ได้”

ที่ท่าเรือ ศิษย์สำนักอสูรเทวาคนหนึ่งกำลังชี้บอกทางให้จางซื่อ
“ทางนี้ครับท่านเจ้าสำนัก”
จางซื่อเดินมา เจอศพจางเหลียงนั่งพิงกำแพงตาย บนใบหน้าแฝงรอยยิ้มเล็กน้อย จางซื่อไม่ไว้ใจ เกร็งกำลังฟาดฝ่ามือใส่ศพจางเหลียงหลายฝ่ามือ ศพจางเหลียงแน่นิ่ง จางซื่อค่อยคลายใจลง
“เหมยอิงกับจางฟุล่ะ” จางซื่อถาม
“เรามาถึงก็เจอแต่ศพจางเหลียงครับ...เหมยอิงอาจจะขึ้นเรือหนีไปได้แล้ว” ศิาญ์เอ่ย
“ระดมกำลัง พลิกฮ่องกง ตามหาเหมยอิงกับจางฟุให้ได้”
“รับทราบ”
จางซื่อพูดกับศพจางเหลียง
“ข้าจะตามล่าและฆ่าจางฟุให้ได้”
จางซื่อหันมองไปในทะเลอันเวิ้งว้าง
“จางฟุ...ถ้าปล่อยให้มันโต มันต้องเป็นจอมยุทธที่ร้ายกาจแน่ๆ”

เหตุการณ์ปัจจุบัน รถหกล้อติ่มซำสะท้านบู๊ลิ้มจอดอยู่ริมถนน กังฟูลงมาเรียกลูกค้านอกรถ
“มาแล้วจ้า ติ่มซำสะท้านบู๊ลิ้มเจ้าเก่าเจ้าเดิม ขนมจีบ ซาลาเปา ฮะเก๋า อะร้อย อร่อยฝุดๆเลยนะจ๊ะ”
มีคนมาตบบ่ากังฟู เมื่อเขาหันมาก็เจอโจรสองคน แต่กังฟูจำไม่ได้
“เอาอะไรดีครับเฮีย” กังฟูถาม
“จำอั๊วไม่ได้เหรอวะ” โจรเอ่ย
“จะว่าไปก็หน้าคุ้นๆอยู่นะเนี่ย” กังฟูว่า
“วันก่อนที่ลื้อเสร่อทำตัวเป็นพลเมืองดี สู้กับพวกอั๊วจนโดนตำรวจจับไง จำได้มั้ย”
“อ๋อ จำได้ละ ตอนแรกนึกว่าลูกค้าประจำซะอีก แหะๆ สบายดีนะ ไว้เจอกันใหม่นะพี่”
กังฟูเดินหนี จะไปขึ้นรถ แต่โจรคนหนึ่งจับไหล่กระชากกลับมา
“จะไปไหน คุยกันก่อนสิ” โจรว่า
“ได้สิครับ แล้ววันนี้ไปไหนกันมาครับเนี่ย” กังฟูถาม
“เพิ่งแหกคุกมา กำลังหาเหยื่อจะปล้นซักหน่อย มาเจอลื้อเข้า แหม วาสนาผูกพันกันจริงๆ ว่ามั้ยวะ”
“นั่นน่ะสิครับ แหะๆ”
ทั้งสามหัวเราะ
“เอาเงินมา มีเท่าไหร่เอามาให้หมด”
“ไม่ได้หรอก ช่วงนี้สำนักงิ้วไม่ค่อยมีเงิน แทบจะต้องเอาชุดงิ้วไปจำนำอยู่แล้ว ถ้าเงินขายติ่มซำนี่โดนปล้น พวกอั๊วเดือดร้อนแน่ๆ ให้ไม่ได้จริงๆครับ” กังฟูบอก
“นึกว่ากูล้อเล่นหรือไงวะ” โจรอีกคนเข้าชกกังฟู กังฟูหลบแว้บ
“หลบเหรอ...อ๋อ กล้าหลบเหรอ” โจรว่า

ขณะเดียวกัน พายุนั่งรอตัดผมอยู่ เมื่อมองออกไปนอกร้านก็เห็นรถติ่มซำสะท้านบู๊ลิ้ม เห็นโจรสองคนกำลั
รุมทำร้ายกังฟู
“กังฟูนี่หว่า ทำอะไรของมันวะ ไปมีเรื่องกับกุ๊ยข้างถนนทำไมเนี่ย เฮ้อ ไม่มีหัวคิดซะเล้ย” พายุว่า
ช่างตัดผมเดินมาหาพายุ
“คุณพายุเชิญค่า” ช่างตัดผมพูด
พายุมานั่งเก้าอี้ มองไปยังเห็นกังฟู ช่างมองตาม
ตอนนี้ โจรคนหนึ่งกำลังจับกังฟูล็อค ส่วนโจรอีกคนต่อยๆๆ กังฟูหลบไม่ได้ โดนต่อยเป็นกระสอบทราย
“ว้าย แจ้งตำรวจดีกว่า” ช่างตัดผมว่า
“ไม่ต้องหรอกครับ ไม่ใช่เรื่องของเรา เกิดพวกมันรู้ว่าคุณแจ้งความ พวกมันอาจจะมาแก้แค้นคุณก็ได้นะ” พายุพูด
ช่างหยิบมือถือมา ได้ยินพายุพูดก็ชะงัก
“ก็จริงของคุณ แต่ว่า...ให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเหรอคะ” ช่างเอ่ย
“เราจะทำอะไรได้ล่ะครับ ชีวิตใครชีวิตมันครับ” พายุว่า
ช่างพยักหน้าเห็นด้วย
“เอ่อ...ก็จริงค่ะ...วันนี้คุณพายุจะตัดทรงไหนดีคะ” ช่างตัดผมถาม
“เหมือนเดิมครับ ซอยให้สั้นลงก็พอ แล้วอย่าลืมนวดเซรั่มให้ด้วยนะครับ เอาตัวที่แพงที่สุดนะครับ ครั้งที่แล้วเอาตัวราคาถูกมาให้ผมใช้ รู้สึกคันๆ เหมือนจะแพ้น่ะครับ” พายุบอก
“ได้ค่า”
พายุมองดูกังฟูโดนโจรสองคนผลัดกันซ้อม พายุยิ้มเล็กน้อย หลับตาพริ้มให้ช่างตัดผม

ที่ริมถนน โจรคนหนึ่งต่อยกังฟูจนหอบแฮ่ก ส่วนโจรคนที่ล็อคกังฟูก็ปล่อยมือ กังฟูลงไปกอง
“มันตายยังวะ”
“สงสัยจะตายแล้วว่ะ ต่อยจนหมดแรงเลย”
“เออ เหนื่อยเหมือนกัน”
“เฮ้ย ตำรวจมาโน่นแล้ว”
โจรคนหนึ่งชี้ไปเมื่อเห็นตำรวจวิ่งตรงมา
“รีบเอาเงินไปแล้วหนีเหอะ”
โจรทั้งสองค้นหาเงินตามกระเป๋าเสื้อผ้าของกังฟู กังฟูลุกพรวด
“บอกว่าไม่ให้ ถึงตายก็ไม่ให้ เงินนี้สำคัญกับพวกอั๊วมาก บาทเดียวก็ให้ไม่ได้” กังฟูว่า
“เฮ้ย ฟื้นขึ้นมาได้ไงวะ” สองโจรมองกังฟูแบบไม่เชื่อสายตา
“เออว่ะ ถ้าจะพูดไป ก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน ปกติอั๊วน่าจะหมอบแล้วนี่หว่า” กังฟูว่า
“ครั้งหน้ามึงตายแน่” สองโจรพูด กำลังจะวิ่งหนี แต่กังฟูกระโดดกอดทั้งสองไว้
“ห้ามหนีโว้ย” กังฟูว่า
สองโจรหันมาช่วยกันต่อยกังฟูอีกยก แต่กังฟูก็ไม่ปล่อย สองโจรพากันต่อยจนหอบแฮ้กๆ
“นี่มันคนรึเปล่าวะ ทำไมมันอึดอย่างนี้” สองโจรเอ่ย

พายุเดินออกจากร้าน มองไปที่รถติ่มซำสะท้านบู๊ลิ้ม เห็นกังฟูกำลังเล่าเรื่องให้ตำรวจฟัง ส่วนสองโจรโดนตำรวจจับได้แล้ว
“ยังไม่ตายอีกเหรอวะ ดวงแข็งนี่หว่า” พายุว่า
พายุเดินออกจากร้าน ช่างตัดตามออกมา ถือเงินออกมาปึกหนึ่ง
“คุณพายุ ลืมเงินทอนค่ะ” ช่างตัดผมบอก
“อ๋อ นั่นผมให้ทิปครับ” พายุพูด
“ต๊าย ขอบคุณค่า”
พายุยิ้มเท่ๆ

เจ๊ยี้เดินเข้ามาในบ้าน ถือกระติกน้ำร้อนมาด้วย ส่วนเฮียป้อกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์จีนพลางแทะเม็ดก๋วยจี๊
“เฮียป๋อป้อ” เจ๊ยี้เรียก
“เรียกเฮียป้อเฉยๆก็ได้ ว่าไงเหรออายี้”
เจ๊ยี้ปิดประตูบ้าน ปิดหน้าต่าง เดินเข้ามาหา เฮียป้อมองงงๆ
“อั๊วทำน้ำซุปมาให้”
“ขอบใจ แล้วลื้อปิดประตูหน้าต่างทำไมเนี่ย”
“อั๊วจะปิดประตูตีแมว แมวจอมซน วันนี้จะตีให้หนำใจเลย”
เจ๊ยี้ทำหน้าดุๆ เฮียป้องงต่อ
“แมวที่ไหนวะ...ว่าแต่ลื้อทำน้ำซุปอะไรมาเหรอเนี่ย”
“ซุปหอยนางรม...ใส่กระเทียมโทนดองน้ำผึ้ง...ผสมถั่งเช่า...แมลงวันสเปน ทิงเจอร์ขาว ยาเสียสาว แล้วก็ ใส่เหล้าโรงไปนิดนึงมีม้ากระทืบโลง ยืนไม่รู้ล้ม ก้มเป็นแทงตะแคงคิวเสย” เจ๊ยี้ว่า
“ชื่อยาแปลกๆอั๊วไม่ค่อยรู้จักหรอก แต่อันหลังนี่ฟังเหมือนเล่นสนุ้กเกอร์นะ”
“สนุ้กเกอร์ก็ได้ แต่เล่นหลุมเดียวนะ” เจ๊ยี้ตอบด้วยใบหน้าซุกซน พลางเทน้ำซุปลงฝากระติก
“อ่ะ ดื่มซุปก่อน” เจ๊ยี้พูด
“กลิ่นรุนแรงจริงๆ แค่ได้กลิ่นอั๊วก็รู้สึก...ร้อน”
เจ๊ยี้แอบทำหน้าเจ้าเล่ห์ เฮียป้อกำลังจะดื่มซุป เจ๊ยี้ลุ้น
“สวัสดีค่ะเฮียป้อ ...สวัสดีค่ะเจ๊ยี้” เมลดาเดินลงมา แล้วกล่าวทักทาย
เฮียป้อวางถ้วยซุปลง เจ๊ยี้เซ็ง
“ว่าไงหลินฮุ่ย” เฮียป้อว่า
“จะมาจ่ายค่าเช่ากับค่ามัดจำน่ะค่ะ” เมลดาพูด
“อ๋อ ไม่ต้องรีบก็ได้ เห็นอากังฟูบอกลื้อมีปัญหาไม่ใช่เหรอ” เฮียป้อว่า
“เอ่อ ค่ะ”
“งั้นก็ไว้ก่อนเถอะ รอมีแล้วค่อยเอามาจ่ายก็ได้”
“ขอบ…” เมลดาพูดไม่ทันจบ เจ๊ยี้ก็แทรกขึ้น
“ไม่ได้ คิดจะเอาตัวเข้าแลกใช่มั้ยเนี่ย ต้องจ่ายเดี๋ยวนี้ แล้วก็จ่ายให้ครบด้วย”
เมลดามองเจ๊ยี้ “หมายความว่ายังไงที่บอกเอาตัวเข้าแลกน่ะ”
“แหม ช่างไร้เดียงสาซะจริง”
เมลดาหันมาทางเฮียป้อ
“ฉันจ่ายเลยดีกว่าค่ะ คนแถวนี้จิตใจไม่ปกติ คิดอกุศล” เมลดาว่า
“นั่นสิ อายี้ ลื้อพูดอะไรของลื้อวะ” เฮียป้อพูด
“แหม นี่ก็ไม่เข้าใจอีกคนละ อยากกินหมีแพนด้าล่ะสิ เฮียป้อ เมียลื้อเพิ่งตาย ลื้อไม่ควรกินของคาวนะ อาหลินฮุ่ย ลื้อก็เหมือนกัน อั๊วเตือนด้วยความหวังดีนะ” เจ๊ยี้ว่า
“ขอบคุณค่ะ” เมลดาพูด แล้วหยิบเงินส่งให้เฮียป้อ เฮียป้อรับไปนับ เมลดาหยิบเม็ดก๋วยจี๊มาแทะกิน
“ครบถ้วน ถูกต้อง”
“เรียบร้อยก็รีบๆไปได้แล้ว” เจ๊ยี้ไล่
“เจ๊ยี้ เจ๊มีปัญหาอะไรกับฉันเหรอ...แค่กๆ” เมลดาฉุน เสียงดัง เม็ดก๋วยจี๊ติดคอพอดี เมลดาไอหน้าเขียวหน้าแดง พูดไม่ออกชี้ไปที่กระติกซุป เฮียป้อรีบหยิบส่งให้เมลดา เจ๊ยี้จะมาห้าม เมลดาใช้มืออีกข้างจับหัวเจ๊ยี้ยันไว้ ไม่ให้เข้ามา มืออีกข้างยกถ้วยซุปซด
“เฮ้ย อย่ากินนะ กินไม่ได้ นั่นมัน…” เจ๊ยี้ห้าม
เมลดาซดฮวบ รู้สึกดีขึ้น
“ขอบคุณมากค่ะ ค่อยยังชั่ว ซุปอะไรอ่ะ หอมจังค่ะ” เมลดาถาม
“ยาปลุกเซ็กส์” เจ๊ยี้พูด
เมลดาสำลัก “ล้อเล่นน่ะ”
“ของจริง” เจ๊ยี้ย้ำ
เมลดารีบวิ่งเข้าน้ำ ล้วงคอ ส่งเสียงโอ้กอ้ากดังลั่น เฮียป้อจะตามไปดู
“อาหลินฮุ่ย เป็นอะไร” เฮียป้อว่า
เจ๊ยี้ดึงไว้ “ไม่ได้ เราต้องออกไปรออีข้างนอก ขืนอยู่ในนี้เดี๋ยวยากำเริบอีจะจับลื้อทำผัว”
เจ๊ยี้ลากเฮียป้อออกไป

เฮียป้อกับเจ๊ยี้ยืนอยู่หน้าบ้าน
“อายี้ ลื้อนี่จริงๆเลย เอาอะไรมาให้อั๊วกินวะ”
“แหม ก็อั๊วกลัวอาเฮียเหงา”
“อั๊วสาบานกับเมียอั๊วแล้วว่าจะไม่มีเมียใหม่ อั๊วต้องทำตามคำสาบาน”
เจ๊ยี้เซ็ง
เมลดาเปิดประตูเดินออกมา เฮียป้อกับเจ๊ยี้รีบเข้ามาดู
“เป็นไงบ้างหลินฮุ่ย ยังมีอารมณ์อยู่มั้ย ให้อั๊วช่วยอะไรมั้ย” เฮียป้อว่า
“เฮียไม่ต้องยุ่ง เดี๋ยวเรียกอาแปะแถวนี้มาช่วยอีก็ได้”
เจ๊ยี้ชี้กราด เห็นอาแปะนั่งโชว์พุงหลามแคะขี้มูกอยู่แถวนั้น
เมลดาตวาดแว้ด “ไม่ต้อง ฉันไม่เป็นไร”
“หา ลื้อตายด้านเหรอ” เจ๊ยี้ว่า
“ไม่ใช่ ฉันอ้วกออกมาหมดแล้วย่ะ” เมลดาตอบ
“เฮ้อ อั๊วขอโทษนะอาหลินฮุ่ย ไม่ได้ตั้งใจให้ลื้อกินเลย” เจ๊ยี้บอก
“ช่างมันเถอะ ฉันไปก่อนละ” เมลดาพูด
“จะรีบไปไหนอ่ะ” เจ๊ยี้ถาม
“ไปเตะบอล” เมลดาตอบแล้วเดินจากไป เฮียป้อกับเจ๊ยี้งง ไม่เก็ต
อ่านต่อหน้าที่ 2


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 5 (ต่อ)
พายุเข้ามาในไนท์คลับหรู มองเงาตัวเองในกระจก ตบแต่งผมให้เข้าที่ เดินไปหาบริกร

“เนตรนภามารึยัง” พายุว่า
“วันนี้วันหยุดเขาครับ” บริกรตอบ
พายุดูผิดหวัง บ่นเบาๆ
“อุตส่าห์ไปตัดผมมาใหม่” พายุว่า
“คุณพายุครับ เฮียติงลี่เชิญให้ไปพบที่ห้องมุขมังกรครับ” บริกรบอก
“ห้องมุกมังกรเหรอ อั๊วไม่เคยไป” พายุเอ่ย
“ปกติมีแต่สมาชิกวีไอพีครับ เชิญตามผมไปครับ” บริกรพูด
พายุยิ้มพอใจ

บริกรพาพายุเข้ามาในห้องประชุมที่ตกแต่งสวยหรู พายุเข้ามาเห็นติงลี่นั่งคุยกับอาเฮียอีก 3 คน บรรยากาศดูจริงจัง
“กำลังรออยู่เลยพายุ” เฮียติงลี่ว่า
ติงลี่แนะนำพายุให้อาเฮียอีกสามคน
“นี่ไง พายุ ที่อั๊วบอก”
อาเฮียทั้งสามมองพายุหัวจรดเท้า
“เรากำลังประชุมเรื่องถล่มไอ้เต๋า ต้องเอาทีเดียวให้ขาด”
“ติงลี่บอกลื้อเก่ง เก่งแค่ไหน” เฮียหนึ่งในสามคนถาม
“ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” พายุว่า
เฮียคนนั้นต่อยหน้าพายุแบบไม่ให้ตั้งตัว พายุหลบได้ทันท่วงที แต่ทันใดนั้นอาเฮียอีกสองคนก็ลงมือพร้อมกัน จู่โจมใส่พายุ พายุถลันหลบได้และจู่โจมกลับ จนอาเฮียทั้งสามต้องถอย
อาเฮียทั้งสามมองพายุแบบทึ่งๆ
“เป็นไงล่ะ อั๊วบอกแล้วใช่ไหม ว่าคนนี้น่ะยอดฝีมือ” ติงลี่ว่า
“คลื่นลูกใหม่ไล่คลื่นลูกเก่าจริงๆ จอมยุทธน้อย ท่านอายุยังน้อยแต่ฝีมือสูงเยี่ยมอย่างนี้นับว่าหาได้ยากยิ่งนัก” เฮียคนหนึ่งว่า
“พายุ พวกเราจะให้ลื้อรับตำแหน่งหัวธนู บุกโจมตีแนวรับฝ่ายไอ้เต๋าให้แตกกระเจิงด้วยฝีมือของลื้อทำได้แน่ๆ เพียงแต่ว่า…” ติงลี่เริ่มกล่าว
“แต่ว่าอะไรครับ” พายุถาม
“ถึงเวลาตีกัน หมัดเหล็กไม่สู้หัวใจเหล็กในสนามรบ ความกล้าหาญสำคัญกว่าฝีมือ หากกลัวตายกลัวเจ็บ มีแต่ทางแพ้” ติงลี่ว่า
“ผมไม่กลัวครับ” พายุบอก
“พูดง่าย ทำไม่ง่ายหรอกนะ ตำแหน่งหัวธนู เป็นตำแหน่งบุก ต่อให้มีสี่แขนก็ยากจะป้องกัน หมัดดาบปลิวมาเหมือนห่าฝน ยังไงก็ต้องเจ็บตัว” ติงลี่ว่า
“ในสนามรบ ไม่ใช่มันตายก็เป็นเราสิ้น คิดมากไม่ได้ มีแต่ลุยลูกเดียว ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตายจึงจะเอาชนะศัตรูได้” พายุเอ่ย
ติงลี่กับอาเฮียทั้งสาม ลุกขึ้นปรบมือ
“ดี พูดได้ดี อั๊วมองคนไม่ผิดจริงๆ” ติงลี่ว่า
ติงลี่ตบบ่าพายุด้วยความชื่นชมสุดๆ

ติงลี่ออกมาส่งพายุหน้าห้อง
“ถ้าเราชนะ อั๊วจะให้รางวัลสมใจลื้อแน่” ติงลี่ว่า
“รางวัลไม่ต้องพูดถึง ที่ผ่านมาเฮียติงลี่ดีกับอั๊ว อั๊วต้องทดแทนบุญคุณ อย่าว่าตำแหน่งหัวธนู ต่อให้เป็นตำแหน่งปู่หัวธนูพ่อหัวธนู อั๊วก็ไม่กลัว” พายุว่า
ติงลี่หัวเราะชอบใจ ตบบ่าพายุ
“เยี่ยมมาก ดื่มกินตามสบายนะพายุ อั๊วยังไม่เสร็จธุระ” ติงลี่พูดแล้วกลับเข้าห้องไป พายุมองตามไป
“ทุเรศจริงๆ เห็นอั๊วโง่มากหรือไงวะ อั๊วไม่เสี่ยงตายให้ลื้อหรอก อั๊วต้องหาทางชิ่งอยู่แล้วไอ้ปัญญาอ่อน” พายุรำพึง

กังฟูยื่นเงินให้ฮูหยิน
“อาจารย์แม่ นี่ครับ เงินที่ขายติ่มซำได้”
“วันนี้ขายหมดรึเปล่า” ฮูหยินถาม
“ขายหมดครับ”
“เก่งมากกังฟู ... เดี๋ยวลื้อกินข้าวเย็นเสร็จแล้วไปดูชุดงิ้วหน่อยนะ มีขาดๆอยู่หลายตัวแล้ว ลื้อซ่อมให้ด้วย เสี่ยอี๊ดเขาจ้างไปเล่นงานวันเกิด” ฮูหยินว่า
“ได้ครับ” กังฟูตอบแล้วเดินออกไปทางด้านหลัง
พายุเดินเข้ามาทางด้านหน้า ฮูหยินมองพายุ ดวงตาเป็นประกาย
“โอ้โฮ อาพายุ ลื้อไปทำอะไรมาวะ หล่อเช้งกะเด๊ะแบบนี้” ฮูหยินว่า
“อั๊วลูกแม่นี่ครับ ไม่หล่อได้ไง” พายุบอก
ฮูหยินหัวเราะชอบใจ
“อั๊วไปตัดผมมาใหม่ อั๊วก็ไม่อยากตัดผมให้เปลืองตังค์หรอก แต่อั๊วต้องไปสมัครงานหางานทำ ไม่อยากอยู่ไปวันๆไม่ทำงาน อั๊วกลัวพี่น้องที่ต้องหาเงินจะตำหนิอั๊วได้” พายุว่า
“หม่ายน่อ ลื้อเรียนมาสูงๆจะหางานดีๆทำมันก็ต้องแต่งตัวให้ดูดี ลื้อทำถูกต้องแล้ว พี่น้องเราส่วนใหญ่ทำแต่งานจับกัง สู้ลื้อไม่ได้ อย่าคิดมาก อย่าคิดมาก” ฮูหยินพูด
“ขอบคุณท่านแม่ที่เข้าใจอั๊ว งั้นเดี๋ยวอั๊วขอตัวก่อน” พายุบอก
“จะรีบไปไหน กินข้าวรึยัง” ฮูหยินถาม
“ยัง แต่อั๊วต้องรีบไปซักเสื้อ ตากให้แห้ง พรุ่งนี้จะได้มีเสื้อใส่” พายุตอบ
“อั้ยย้า ชีฉำอ่า อ่ะ ลื้อเอาเงินนี่ไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่อีกซัก 2-3 ชุดเถอะ อย่าเขียมนักเลยพายุ ใส่เสื้อมอๆไปคนเขาจะดูถูกได้นะ” ฮูหยินพูด
ฮูหยินยื่นเงินที่กังฟูเพิ่งให้ ยัดใส่มือพายุ
กังฟูที่เดินออกมาตอนแรก ยังอยู่แถวนั้น มองดูอยู่
“ขอบคุณท่านแม่ อั๊วรักท่านแม่ที่สุดเลย” พายุกอดฮูหยิน ฮูหยินปลื้ม
พายุเห็นกังฟูที่แอบดูอยู่
กังฟูก้มมองชุดเก่าๆขาดๆของตัวเอง ยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินจากมา

กังฟูเดินดุ่มๆอยู่ที่ทางเดินในโรงงิ้ว พายุเดินตามมา
“กังฟู” พายุเรียก
กังฟูหันมา เจอกังฟูก็คำนับ
“ศิษย์พี่”
“เมื่อกี้แอบดูอะไรวะ ไม่พอใจรึไง” พายุเอ่ย
“ไม่พอใจเรื่องอะไรครับ” กังฟูถาม
“ก็ลื้อเป็นคนหาเงิน ทำไม อิจฉาอั๊วใช่ไหม ที่ได้ใส่ชุดสวยๆน่ะ” พายุว่า
“ไม่ใช่ครับศิษย์พี่ ศิษย์น้องรู้ตัวว่าไม่มีความสามารถเท่าศิษย์พี่ ไหนเลยจะกล้าอิจฉา เสื้อผ้าพวกนี้เหมาะสมกับศิษย์พี่แล้ว อย่าว่าแต่…” กังฟูพูด
“อย่าว่าแต่อะไร พูดมา” พายุเร่ง
“ศิษย์พี่ โลกนี้มีศิษย์พี่คนเดียวที่ทำให้อาจารย์แม่ยิ้มได้แบบนั้น ศิษย์น้องทำไม่ได้ ใครก็ทำไม่ได้ ศิษย์พี่เป็นคนดีจริงๆ ขอบคุณศิษย์พี่มาก” กังฟูโค้งคำนับอย่างจริงใจ
พายุเห็นแบบนั้นก็รู้สึกผิดคาด เขาฝืนหัวเราะ
“แน่นอนอยู่แล้ว เราต้องทดแทนพระคุณท่านที่ชุบเลี้ยง ด้วยการทำให้ท่านมีความสุข” พายุบอก
“ศิษย์พี่พูดถูกแล้ว” กังฟูเอ่ย
“เออ หมดเรื่องแล้ว ไปไหนก็ไปเถอะ” กังฟูยิ้มให้แล้วเดินจากมา
พายุมองกังฟูพลางหัวเราะเยาะ “ไอ้โง่เอ๊ย”
กังฟูเดินเลี้ยวไป
“จะรีบไปตามควายที่ไหนวะ…” พายุรำพึง ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้
“ทำไมมันยังเดินได้เร็วขนาดนั้นวะ”

พายุจ้ำฝีเท้าตามกังฟูมา
“กังฟูรอเดี๋ยว จะรีบไปไหน”
“อาจารย์แม่ใช้ให้ศิษย์น้องไปซ่อมชุดงิ้ว ศิษย์น้องกลัวทำไม่ทัน” กังฟูเอ่ย
พายุหยุดมองกังฟูหัวจรดเท้า เดินรอบๆ มองกังฟูจนกังฟูงง
“มีอะไรเหรอศิษย์พี่” กังฟูถาม
“เอ่อ...คืออั๊วเพิ่งนึกได้ว่ามีคนเล่าให้อั๊วฟังว่าเห็นลื้อโดนคนรุมทำร้าย จริงหรือเปล่าวะ” พายุถาม
“ใช่ครับ”
“เออ พออั๊วรู้ก็รีบวิ่งไปจะช่วยลื้อ แต่ไม่เจอใครแล้ว”
“ขอบคุณศิษย์พี่ แต่ศิษย์น้องปลอดภัยดี โจรโดนตำรวจจับไปแล้ว”
“เขาบอกลื้อโดนซ้อมหนักเลยนี่หว่า โจรก็มีตั้งสองคน ทำไมลื้อดูไม่บาดเจ็บเลย ยังดูแข็งแรงดีด้วย”
“สงสัยศิษย์น้องโดนคนซ้อมเป็นประจำ ร่างกายเริ่มมีภูมิต้านทาน ทนมือทนเท้าได้มากกว่าคนทั่วไป”
“จริงดิ”
พายุเตะใส่กังฟู กังฟูไม่ทันระวัง โดนเต็มท้อง พายุตามมาเตะอัดอีกหลายเปรี้ยง
กังฟูลงไปกอง พายุยืนมอง
“ไหนบอกทนได้มากกว่าคนทั่วไปไง”
“ศิษย์พี่...แค่กๆ...ฝีมือ...แค่กๆ…” กังฟูพูดไม่จบ หอบหายใจ
พายุแค่นหัวเราะ ส่ายหน้าดูถูกกังฟูแล้วเดินออกไป แต่ยังไม่ทันไปไหนไกล กังฟูก็ลุกขึ้นมาพูดต่อ
“ศิษย์พี่ฝีมือสูงส่งกว่าโจรพวกนั้น ย่อมเทียบกันไม่ได้”
พายุหันมามองกังฟูที่ยืนตัวตรงได้
“ท่าทางลื้อจะมีวิชาทนมือทนเท้าจริงๆนะเนี่ย” พายุว่า
“ฮ่าๆๆ วิชานี้แม้ต่อยตีใครให้ไม่ได้ แต่เป็นโล่ให้ศัตรูต่อยตีจนเหนื่อยได้ก็นับว่าไม่เลว” กังฟูพูด
“ฮ่าๆๆมีแต่ลื้อที่คิดได้ มิน่า เขาถึงเรียกลื้อว่าซีปังโต้ว ไอ้ซื่อบื้อเอ๊ย” พายุหัวเราะ
กังฟูก็หัวเราะ “ฮ่าๆๆ ซีปังโต้วก็ยังดีกว่า ซี้เลี้ยวอ่า
“อั๊วว่าลื้อโดนต่อยจนสมองเพี้ยนไปจริงๆแล้วล่ะ” พายุเอ่ย
พายุเดินออกไป ส่วนกังฟูก็หันมานั่งซ่อมชุดงิ้วต่อ

พายุเดินๆอยู่ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้
“พูดง่าย ทำไม่ง่ายหรอกนะ ตำแหน่งหัวธนู เป็นตำแหน่งบุก ต่อให้มีสี่แขนก็ยากจะป้องกัน หมัดดาบปลิวมาเหมือนห่าฝน ยังไงก็ต้องเจ็บตัว” เสียงติงลี่ดังขึ้นมาในห้วงความคิดของพายุ
พายุหยุด “บางที ไอ้กังฟูอาจจะช่วยได้...ถ้ามีมันเราอาจจะไม่ต้องหนีหน้าไอ้ติงลี่ก็ได้…”

เฮียเฉิน เฮียหลอ เฮียเก้าเดินเมากันมาตามทางเดิน ร้องเพลงกระบี่ไร้เทียมทานกัน
“ติ๋วติวๆๆๆๆ ตู้ว ตู้ว...ฮา ฮา ฮ้า ฮา ฮา ฮา ห่า ฮา ..ตะดู้วตู้ว”
“โต่จี่โจยซานโป โก้วชวีเหม่ยซินโกว เหม่งหว่านโจ่ยหลานวิว งั้มซีฉิ่นโหมวโล้ว เฝ่าหวันหยั่นซั่นปิน ฝักเชิกเก๋งโกว…”
เฮียหลอรีบสะกิด เอานิ้วทาบปากทำเสียงชู่ว์
เฮียเฉินเงียบ มองเฮียหลองงๆ
“ไอ้หลอ” เฮียเก้าเอ่ย
“บอกให้เงียบๆ” เฮียหลอว่า
“อั๊วแค่จะเตือนลื้อว่าเมื่อกี้เรายืนฉี่กันน่ะ ลื้อยังไม่ได้ล้างมือ แล้วลื้อเอานิ้วไปทาบปากตัวเองทำไมวะ” เฮียเก้าบอก
“ของอั๊วเอง อั๊วจะรังเกียจทำไม นี่ ดู” เฮียหลอฉุน
เฮียหลอเอานิ้วยัดเข้าปากดูดจ๊วบๆ เฮียเก้าทำหน้าคลื่นไส้
“อย่านอกเรื่อง ลื้อให้เงียบทำไม ถ้าไม่มีอะไรอั๊วจะได้ร้องเพลงต่อ” เฮียเก้าถาม
“อั๊วได้ยินเสียงแปลกๆ...ฟังสิ ดังสวบๆ สวบๆ เหมือนใครกำลังเอาแท่งอะไรแข็งๆแหลมๆแทงเข้าแทงออก” เฮียหลอว่า
“หูดีอะไรงี้วะ อั๊วเมาอย่างงี้อั๊วฟังอะไรไม่ออกหรอก” เฮียเฉินพูด
“แต่อั๊วฝึกหมัดเมามา ยิ่งเมายิ่งแม่นโว้ย...เนี่ยๆ ฟังสิ...จึ้กๆๆๆๆๆถี่ยิบเลย” เฮียหลอบอก
“อะไรของลื้อ เมื่อกี้ยังดังซวบ..ซวบ...ตอนนี้ดังจึ๊กๆๆๆๆละ ทำไมอยู่ดีๆมันซอยซะถี่ยิบเลย” เฮียเก้าพูดอีก
“อั๊วว่าแบบนี้เป็นเสียงอื่นไปไม่ได้ นอกจาก...ฮิๆ ไปแอบดูกันเหอะว่ะ ไอ้หลอ ลื้อนำไปเลย เสียงมาจากทางไหน”
เฮียหลอย่องนำเฮียเก้า เฮียเฉินไป

สามเฮียค่อยๆโผล่หน้าเข้าไปในห้องชุดงิ้ว เห็นกังฟูกำลังเย็บปะชุนชุดงิ้วที่ขาดอยู่ในแสงทึมๆ เย็บเข้าเย็บออกรวดเร็ว มือมั่นคง
เฮียเก้าเฮียเฉินตาปรือ แต่เฮียหลอมองแล้วมีสีหน้าตื่นตกใจ
เฮียเก้าทำท่าจะพูดอะไร เฮียหลอรีบยกมือปิดปากเฮียเก้า
กังฟูรู้สึกตัว หันกลับไป แต่ไม่เจอใคร
เฮียหลออุดปากเฮียเก้ากับเฮียเฉิน ลากออกมา
กังฟูไม่ได้ติดใจอะไร เย็บชุดงิ้วต่อไป

เฮียหลอลากเฮียเฉินกับเฮียเก้าออกมา
“ลื้อเป็นอะไรของลื้อวะ” เฮียเฉินงง
“พวกลื้อไม่เห็นเหรอไง” เฮียหลอว่า
“อาราย อารายของลื้อ เมาแล้วซี้ซั้วอ่า” เฮียเก้าพูด
“ไอ้กังฟู มันก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว” เฮียหลอบอก
เฮียเก้ากับเฮียเฉินชะงัก
“หมายความว่าไงวะ” เฮียเฉินถาม
“ลื้อคิดดู อั๊วให้พวกลื้อไปนั่งเย็บชุดงิ้วซ่อมในห้องนั้น ลื้อทำได้มั้ย” เฮียหลอว่า
“ใครจะทำได้ มืดอย่างงั้น…” เฮียเฉินพูด
เฮียเฉินชะงัก รู้แล้วว่าเฮียหลอหมายถึงอะไร
“มืดขนาดนั้นมันเย็บผ้าได้ไง...แล้วมันสนเข็มในนั้นได้ไง ใช่มั้ย” เฮียหลอว่า
“หูมันก็ไวด้วย เรายังไม่ได้พูดอะไรมันก็รู้ตัวหันกลับมาแล้ว” เฮียเก้าเสริม
“แล้วเห็นท่าเย็บมันมั้ย นิ้วและข้อมือแข็งแกร่งมั่นคง จังหวะแทงเข็มของมันขึ้นลงเท่ากันทุกครั้ง แม่นยำยังกะมือกระบี่” เฮียหลอพูด
“นี่ไอ้กังฟูมันไปฝึกวิชาเนตรราตรีกับโสตทิพย์แล้ววิชากระบี่มาจากไหนวะ” เฮียเฉินเอ่ย
“มันจะไปฝึกที่ไหนได้เล่า ลื้อยังไม่เข้าใจอีกเหรอไง... เราไม่ใช่แค่ถ่ายทอดลมปราณให้มัน แต่เราเปิดประตูปลดปล่อยพรสวรรค์ที่มันมีอยู่ออกมาแล้ว” เฮียเก้าพูด
“ไอ้กังฟูมันกำลังจะเป็นจางเหลียงคนที่สอง” เฮียหลอว่า
“ถ้าอย่างนี้...แปลว่า...อีกไม่นาน…” เฮียเฉินทำหน้าสะพรึงกลัวสุดขีด จนเพื่อนทั้งสองหลอนไปด้วย
“เมียอั๊วต้องรู้เรื่องนี้ แล้วก็ฆ่าอั๊วแน่ๆ” เฮียเฉินว่า
เฮียเก้าถีบเฮียเฉิน
“ไอ้นี่ก็ห่วงแต่กลัวเมีย...แล้วลื้อจะให้ทำยังวะ หา ไอ้หลอ” เฮียเก้าพูด
“อั๊วจะไปรู้เหรอ อั๊วตั้งข้อสังเกตว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น พวกลื้อต้องหาทางแก้ไขสิ” เฮียหลอเอ่ย
เฮียเก้ากับเฮียเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง
“อั๊วว่าที่วิทยายุทธมันรุดหน้าแบบนี้ก็เพราะมันเจอการต่อสู้ ยิ่งสู้ก็ยิ่งโต เมื่อเย็นอั๊วได้ข่าวว่ามันไปมีเรื่องสู้กับพวกโจร วิทยายุทธมันก็งอกออกมาอีก” เฮียเก้าว่า
“แล้วไงต่อ” เฮียเฉินถาม
“เราก็ต้องบอกมันให้มันเลิกขายติ่มซำ หางานอื่นทำแทน ที่ไม่ต้องมีเรื่องกับใคร” เฮียเก้าเอ่ย
“เออ ดีเหมือนกันว่ะ พอไม่ได้สู้กับใครนานๆวิทยายุทธของมันก็คงฝ่อไปเอง” เฮียเฉินบอก
“แล้วจะหางานอะไรให้มันทำ” เฮียหลอว่า
สามเฮียครุ่นคิด

วันใหม่ ที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง กังฟูพาเมลดากับหลินหลินมาสมัครเรียนหนังสือ กำลังคุยกับอาจารย์ใหญ่
“ไม่มีปัญหาอะไรหรอกจ้ะ จะเข้ากลางเทอมปลายเทอม ก็เข้ามาเถอะ ดีกว่าไม่ได้เรียนหนังสือ” อาจารย์ใหญ่พูด
“ขอบคุณอาจารย์มากเลยครับที่ช่วยเหลือ” กังฟูว่า
“แหม พูดซะ ที่ผ่านมากังฟูก็กลับมาช่วยงานโรงเรียนตลอดนี่นา เรื่องแค่นี้สบายมาก ไม่ซีเรียส” อาจารย์ใหญ่เอ่ย
“แต่ดิฉันไม่มีหลักฐานของหลินหลินนะคะ แบบว่าต้องย้ายมาปุบปับน่ะค่ะ” เมลดาว่า
“เอาเถอะ เรื่องนั้นทีหลังก็ได้ ไม่ซีเรียส” อาจารย์ใหญ่บอก
“หลักฐานของฉันก็ไม่มีค่ะ” เมลดาพูดต่อ
“งั้นเอาชื่อกังฟูเป็นผู้ปกครองมั้ย จะได้ลดค่าเล่าเรียนได้เพราะกังฟูเป็นศิษย์เก่า” อาจารย์ใหญ่เอ่ย
“แต่ผมไม่ใช่ญาติเขานะครับ” กังฟูว่า
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ซีเรียส” อาจารย์ใหญ่พูด
“ให้หลินหลินเข้าเรียนได้วันนี้เลยใช่ไหมคะ
“ค่ะ เดี๋ยวจ่ายค่าเทอมค่าชุดค่าอุปกรณ์การเรียนก็เรียนได้เลยค่ะ ลดให้สามสิบเปอร์เซ็นต์ จ่ายวันนี้เลยนะคะ อันนี้ซีเรียสค่ะ”

เมลดากับกังฟูคุยกับหลินหลินที่อยู่ในชุดนักเรียนชายแล้ว
“หลินหลิน อาจต้องปรับตัวบ้าง แต่อยู่แบบไม่เรียนหนังสือไม่ได้นะ เข้าใจไหม”
“ค่ะ หนูจะพยายามค่ะ”
“เดี๋ยวตอนเย็นมารับนะ”
“ค่ะ”
“สู้ๆ” กังฟูว่า
“ค่ะ สู้ๆค่ะ” หลินหลินรับคำ
หลินหลินเดินไปหาครูที่รออยู่ ครูพาหลินหลินไป
เมลดาเดินออกมากับกังฟู
“จริงๆฉันไม่อยากแยกกับหลินหลินเลย แต่ฉันต้องหางานทำแล้วล่ะ จ่ายค่าเช่าห้อง จ่ายค่าเทอมไป เหลือเงินนิดหน่อยเอง” เมลดาว่า
“ระหว่างที่ยังหางานไม่ได้ มาช่วยผมขายติ่มซำก่อนไหมครับ ได้กำไรแล้วแบ่งกันคนละครึ่ง” กังฟูเสนอ
“ไม่เอาล่ะ ฉันเกรงใจนาย นายช่วยฉันมาตลอดเลย นี่ยังต้องแบ่งรายได้มาให้ฉันอีก” เมลดาบอก
“อย่าคิดอย่างนั้น ถ้าคุณมาช่วยผมขายแล้วขายดีขึ้น ผมก็หาของมาขายได้มากขึ้น รายได้ก็มากขึ้นด้วย แบบนี้ถือว่าคุณช่วยผมนะ” กังฟูพูด
“งั้นตกลง ฉันจะพยายามเต็มที่เลย” เมลดารับคำ

กังฟูกับเมลดาช่วยกันขายติ่มซำกันไปตามถนน กังฟูส่งซาลาเปาใส่ถุงให้ลูกค้า แล้วหยิบป้าย “หมดแล้ว” มาแขวนไว้
เมลดางง เห็นยังมีซาลาเปาเหลืออีกประมาณสิบลูก
“อ้าว ยังเหลืออยู่นี่นา” เมลดาว่า
“อ๋อ อันนี้มีลูกค้ารายใหญ่จองไว้ครับ ต้องเก็บให้เขาทุกวันแหละครับ” กังฟูบอก

กังฟูถือถุงซาลาเปาเดินมาที่โรงเจ เด็กๆ4-5 ขวบ 7-8 คนหันมาเห็นเข้า ก็วิ่งมาหา หน้าตาดีใจ
“เฮียกังฟู สวัสดีครับ” เด็กๆ เอ่ย
“สวัสดีครับ...เอ้า นี่เพื่อนเฮีย ชื่อเมลดา”
“เฮ้ย เฮียกังฟูมีแฟนแล้ว สวยเช้งเลย” เด็กๆ ว่า
“บอกว่าเพื่อนโว้ย เอ้า เอาไป ไอ้พวกนี้นี่”
เด็กๆหัวเราะชอบใจไหว้ขอบคุณ กังฟูรับไหว้ เอาซาลาเปาให้เด็กไป เด็กไปนั่งกินกันเรียบร้อย
“นี่เหรอ ลูกค้ารายใหญ่ของคุณ” เมลดาถาม
“ครับ...พวกเขาเป็นเด็กกำพร้าที่โรงเจเขารับเลี้ยงไว้ แต่โรงเจก็ไม่มีเงินมากเท่าไหร่ เด็กๆพวกนี้เลยไม่ค่อยได้กินขนม ผมก็เลยแวะเอามาให้เขาน่ะครับ” กังฟูว่า
“ใจดีจังนะนายเนี่ย” เมลดาชม
“หัวอกเดียวกันนี่ครับ เลยเห็นใจกัน”
เมลดาไม่เข้าใจ
“ผมก็เป็นเด็กกำพร้า ตอนเด็กๆก็คล้ายๆพวกเขาเหมือนกัน”
กังฟูมองเด็กๆด้วยสายตาอ่อนโยน มีความสุขที่เห็นเด็กๆมีความสุข เมลดามองกังฟู รู้สึกประทับใจในความอ่อนโยนและใจดีของเขา

ตกกลางคืน สามเฮียเรียกกังฟูมาคุยด้วย
“หา จะให้ศิษย์เลิกขายติ่มซำ ทำไมล่ะครับอาจารย์”
“อั๊วจะให้ลื้อทำงานอย่างอื่น” เฮียเฉินว่า
“งานอะไรครับ” กังฟูสงสัย
“อั๊วจะเลิกเล่นงิ้วแล้ว อั๊วจะให้ลื้อมาเล่นแทนอั๊ว” เฮียเฉินว่า
กังฟูคิดแล้วทำหน้าเหยเกขื่นๆ
“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไงวะ” เฮียเก้าว่า
“จะดีเหรอครับอาจารย์ ก็บทที่อาจารย์เล่นน่ะมันบทพระเอกนะครับ” กังฟูว่า
“แล้วไง ลื้อก็หน้าตาหล่อใช้ได้ มีปัญหาอะไร” เฮียเก้าถาม
“ก็อาจารย์แม่เล่นเป็นนางเอก แล้วฉากเลิฟซีนจะให้ศิษย์เล่นยังไงล่ะครับ อาจารย์ลองหลับตานึกภาพดูสิครับ”
สามเฮียหลับตานึกภาพตามแล้วทำหน้าเหยเก
“เออว่ะ” สามเฮียประสานเสียง
“ไม่เวิร์กละ...เฮ้ย เอาไงดีวะ” เฮียหลอว่า
“ยังไงลื้อก็ห้ามขายติ่มซำ เล่นงิ้วนี่แหละ ส่วนเรื่องเมียอั๊ว อั๊วจะให้เลิกเล่นงิ้วเหมือนกัน” เฮียเฉินพูด
“ยอดเยี่ยมไปเลยไอ้เฉิน ทุกวันนี้ที่งิ้วเราไม่ค่อยมีคนดู ก็เพราะเมียลื้อเป็นนางเอกนี่แหละ” เฮียเก้าเอ่ย
“ส่วนนางเอก เดี๋ยวหาคนใหม่ ยังไงก็ไม่มีทางแย่กว่าของเดิม เพราะของเดิมทั้งแก่ทั้งเหี่ยว วันๆไม่อาบน้ำ เข้าใกล้แล้วก็เหม็นเต้า” เฮียหลอว่า
“เหม็นเต่า!” เฮียเฉินรีบแก้
“เออ เหม็นเต่า เจี๊ยะบ่อโละ กินไม่ลง” เฮียหลอเอ่ย
“แต่หิวๆก็เจี๊ยะลงเหมือนกันนะ” เฮียเฉินว่า
เฮียหลอ เฮียเก้า กังฟู หลับตานึกภาพ เฮียเฉินตวาดแว้ด
“เฮ้ย ไม่ต้องนึกภาพตาม...เก๋าเจ้ง...อย่านอกเรื่องโว้ย”
เฮียเก้าหันมาพูดกับกังฟู
“ถ้าลื้อเข้าใจแล้วก็ไปเตรียมตัวซะ ซ้อมบทพระเอกมา เริ่มเล่นที่งานวันเกิดเสี่ยอี๊ดเลย ส่วนเรื่องรายได้ อั๊วรับประกันให้ว่าต้องมากกว่าขายติ่มซำ ตกลงไหม”
“ครับ”
แล้วกังฟูก็นึกอะไรได้
“อาจารย์ เรื่องนางเอกใหม่ ศิษย์มีคนแนะนำครับ”
“ถ้ามีก็ดี พวกอั๊วจะได้ไม่ต้องหา พามาดูหน่วยก้านก่อนเด๊ะ”
“ครับ”
กังฟูรับคำ
อ่านต่อหน้าที่ 3 


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 5 (ต่อ)
เมลดานั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่กับกังฟู

“อะไรนะ ให้ฉันไปเล่นงิ้ว” เมลดาว่า
“ครับ รับประกันรายได้ด้วยนะ อาจารย์บอกว่าให้มากกว่าที่ขายติ่มซำได้” กังฟูบอก
“ฉันจะเล่นได้ยังไง ฉันไม่เคยเล่น ฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวัฒนธรรมจีน อย่าว่าแต่งิ้วเลย ขนาดไอ้เส้นลอดช่องขาวๆแบบนี้ฉันก็เพิ่งเคยกิน เขาเรียกอะไรฉันยังไม่รู้เลย” เมลดาพูด
เมลดาตักเกี้ยมอี๋ในชามขึ้นมาดู
“เขาเรียกเกี้ยมอี๋ครับ” กังฟูบอก
“เกี้ยมอี๋เหรอ” เมลดาตักเกี้ยมอี๋เข้าปาก
“ตอนผมเด็กๆ อาจารย์แม่อาบน้ำให้ผมชอบบอกว่าต้องล้างเกี้ยมอี๋ให้สะอาดๆ”
เมลดาสำลักแทบพ่นออกมา เกี้ยมอี๋หลุดออกมานอกปากเส้นหนึ่ง
“เกี้ยมอี๋จะหล่นแล้วครับ ดูดกลับเข้าไปสิครับ” กังฟูเอ่ย
เมลดาหยิบเกี้ยมอี๋ที่ติดปากเขวี้ยงใส่หน้ากังฟู แปะกลางหน้า
“บ้า…”
กังฟูหยิบเกี้ยมอี๋ออก งงว่าเมลดาโกรธเขาเรื่องอะไร
“ฉันว่าฉันแสดงงิ้วไม่ได้หรอก”
“ลองดูก่อนสิครับ คุณเป็นครูสอนนาฎศิลป์ไทยไม่ใช่เหรอ น่าจะไปนะครับ”
“แต่ว่า…”
“เพื่อหลินหลินไงครับ”

กังฟูกับเมลดาเดินเข้ามาในห้องเรียนที่โรงเรียนของหลินหลิน เห็นเด็กๆที่ยังไม่กลับบ้าน นั่งจับกลุ่มคุยกัน
“น้องจ๊ะ เห็นหลินหลินมั้ย” เมลดาถาม
“อ๋อ เด็กใหม่อะเหรอ เห็นกลับบ้านไปแล้ว” เด็กคนหนึ่งตอบ
“หา ออกจากโรงเรียนไปแล้วเหรอ” เมลดาถามย้ำ
เด็กพยักหน้า กังฟูกับเมลดาตกใจมาก รีบออกไปจากห้อง

ที่หน้าโรงเรียนบู๊ลิ้ม มีชายชุดดำใส่แว่นดำมาขายขนมหน้าโรงเรียน แต่เด็กๆไม่กล้าเข้าไป เพราะหน้าพี่เหี้ยมมาก ตอนนั้นเอง มือถือของชายชุดดำคนหนึ่งดัง เขากดรับสาย
“ครับผม...ไม่มีวี่แววเลยครับ...ครับ...ครับ”
คนแถวนั้นมองชุดดำทั้งสองคน ที่มีมือถือใช้
“หัวหน้าเหรอ” ชายชุดดำอีกคนถาม
“เออ โทรมากำชับห้ามประมาท ต้องจับตาดูอย่างละเอียด”
ชายชุดดำคนที่ถามพยักหน้ารับรู้ ทั้งสองหยิบรูปถ่ายหลินหลินออกมาดู แล้วมองไปที่เด็กๆทุกคน ท่าทางทั้งสองเป็นมืออาชีพมาก
มิเชลเก็บมือถือแล้วหันมาบอกกับเมฆา
“ไม่ว่าที่ไหนที่เราส่งคนไป ก็ยังไม่มีใครเห็นหลินหลินกับเมลดาเลยค่ะ”
“ต้องพยายามต่อไป มันต้องโผล่ขึ้นมาที่ไหนสักที่ แต่ที่สำคัญ เราต้องเจอแล้วเก็บมันให้ได้ก่อนที่พ่อฉันจะรู้ว่าพวกมันยังไม่ตาย” เมฆาบอก
“ฉันกังวลอยู่เหมือนกัน ยิ่งเราใช้คนตามหาสองคนนั้นมากเท่าไหร่ โอกาสที่เรื่องนี้จะเข้าหูอาจารย์ก็มากขึ้นเท่านั้น”
เมฆาดึงมิเชลเข้ามากอดปลอบใจ
“ไม่ต้องกลัว พ่อฉันไม่ใช่เทวดา ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เรื่องนี้”
“อย่าประมาทนะคะ อาจารย์เป็นคนฉลาดมาก ความจริงแล้วเขาอาจจะรู้แล้วก็ได้”
เมฆามีสีหน้าหนักใจก่อนจะมองเข้าไปในห้องอาหาร
“เขาเรียกตัวมาพบด่วน ไม่รู้จะคุยอะไร...มิเชล ถ้ายังไงเธอหลบไปก่อนดีกว่า”
“ไม่ ฉันจะอยู่ตรงนี้แหละ ฉันไม่ทิ้งคุณหรอก” มิเชลยืนยัน
“ทำตัวโง่ๆแบบนี้ฉันไม่ซาบซึ้งใจหรอกนะ”
“ฉันก็ไม่ได้ทำเพื่อซื้อใจคุณ แต่นี่คือนิสัยของฉัน”
เมฆามองมิเชลอย่างพึงพอใจ ประตูห้องอาหารเปิดออกมา เมฆากับมิเชลหันขวับ ลูกน้องคนหนึ่งเดินออกมาหาเมฆาแล้วพูดกับเมฆา
“คุณเมฆา ท่านเจ้าสำนักให้พบได้แล้วครับ”
เมฆาพยักหน้ารับรู้

จางซื่อนั่งจิบน้ำชาดูวิวกรุงเทพ เมฆาเดินเข้ามา จางซื่อหันมา เมฆาก็ยิ้มให้
“ท่านพ่อ”
จางซื่อมองเมฆาด้วยสายตาคมปลาบจนเมฆารู้สึกอึดอัด
“แกคิดจะปิดฉันไปอีกนานแค่ไหน”
เมฆาถึงกับอึ้งกิมกี่ “เอ่อ...”
“คิดว่าฉันตาบอดรึไง” จางซื่อว่า
เมฆาหน้าซีด สักพักเขาก็คุกเข่าลง
“ท่านพ่อลูกขอโทษ ลูกผิดไปแล้ว ลูกไม่ได้ตั้งใจ”
จางซื่อหัวเราะเสียงดังกระหึ่ม
“ไอ้บ้า เรื่องแบบนี้ไม่ต้องขอโทษหรอก เห็นพ่อเป็นคนยังไง ลึกๆพ่อภูมิใจในตัวแกด้วยซ้ำ”
เมฆางง
“มิเชลน่ะเป็นผู้หญิงที่แกร่งมาก แต่แกสามารถสยบเขาได้ สมแล้วที่เป็นลูกพ่อ ฮ่าๆๆ” จางซื่อหัวเราะลั่น
เมฆาเพิ่งรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิดจึงลอบถอนใจอย่างโล่งอกก่อนจะยิ้มเล็กน้อย
“แต่อย่าให้เรื่องส่วนตัวทำให้เสียเรื่องงานนะ”
“ครับ”
จางซื่อเลิกยิ้มแล้วก็พูด
“แล้วเรื่องของแม่แกเป็นไงบ้าง”
“ผมให้คนไปตรวจสอบโรงพยาบาลที่แม่ให้ชื่อมาแล้ว...ตรวจสอบไม่ได้” เมฆาบอก
“หมายความว่ายังไง” จางซื่อถาม
“โรงพยาบาลนั้นปิดตัวไปนานแล้ว ผมให้คนพยายามตามหาคนที่เคยทำงานที่นั่นอยู่ แต่คงต้องใช้เวลาสักพัก” เมฆาบอก
“แปลว่าบอกไม่ได้ว่าเหมยอิงโกหกฉันหรือเปล่า”
“ครับ”
“งั้นระหว่างนี้ เราต้องสืบของเราเอง ... ถ้าจางฟุไม่ตายและเหมยอิงเอาจางฟุไปให้คนอื่นเลี้ยง เหมยอิงก็ต้องหมั่นไปเยี่ยมไปดูแลด้วย...เวลาไปก็คงต้องเป็นความลับ ...ที่ผ่านมาเหมยอิงชอบแอบไปที่ไหนเป็นพิเศษรึเปล่า”

เมฆาหยุดคิดก่อนพูด
“อืม เรื่องที่เขาชอบทำเป็นส่วนตัวอยู่เป็นประจำก็มีไปหาเพื่อนๆ ไปรำไทเก๊ก ไปนวดกัวซาไปดูงิ้ว แล้วก็ไปทำทานที่โรงเจ”
“งั้นส่งคนไปตรวจสอบให้ละเอียด ที่ที่รำไทเก๊ก ที่ที่นวดกัวซา ที่โรงงิ้ว ที่โรงเจ ดูให้ละเอียดดูว่าที่ไหนที่เหมยอิงจะเอาจางฟุไปเลี้ยงไว้ได้” จางซื่อบอก
เมฆารับคำ “ครับ”
เมฆาประสานมือแล้วเดินออกไป จางซื่อมองวิวกรุงเทพ
“จางฟุเอยจางฟุ ถ้าลื้อยังไม่ตาย ไม่ว่าลื้อซ่อนตัวที่ไหน อั๊วก็จะตามล่าลื้อให้ได้” จางซื่อพูด

หลินหลินนั่งอยู่บนรถเมล์ เธอมองลงมาเห็นโรงเรียนที่ตัวเองเรียน หลินหลินลืมตาโพลงเหมือนได้ยินเสียงเพื่อนๆ จากในอดีต
“หลินหลิน เย็นนี้ไปกินไอติมกันนะ”
เสียงครูดังขึ้นในหัวของเธอ “หลินหลินทำไมไม่ทำการบ้าน บอกครูมาซิ”
“ที่นี่...”
หลินหลินลงจากรถแล้วเดินสวนกับเด็กนักเรียนคนอื่นๆที่จะกลับบ้านเพื่อตรงไปที่โรงเรียน ในขณะที่ชายชุดดำสองคนยังคงปักปลักอยู่ที่เดิม

หลินหลินเดินดุ่มๆเข้ามาที่โรงเรียนยิ่งเข้าใกล้โรงเรียนเธอก็ยิ่งตื่นเต้น หลินหลินมองไปรอบๆ ก็รู้สึกคุ้นเคย แต่แล้วในขณะที่เธอไม่ทันระวังตัวก็มีคนเข้ามากระชากตัวเธอไปที่หลังรถคันหนึ่ง หลินหลินตกใจจะร้องกรี๊ด แต่พอเงยหน้ามาเห็นว่าคนที่จับตัวเธอคือบู๊ลิ้ม หลินหลินก็เงียบ
“เธอมาทำอะไรที่นี่ มันอันตรายมากเลยนะ” บู๊ลิ้มว่า
“ฉันรู้สึกคุ้นๆ” หลินหลินบอก
“ใช่ เธอเคยเรียนที่นี่...แต่ที่นี่มีคนจะจับตัวเธอ เห็นผู้ชายสองคนนั้นมั้ย เขามีรูปของเธอด้วย”
หลินหลินยื่นหน้าออกมาแล้วมองตามไปที่บู๊ลิ้มชี้ก็เห็นผู้ชายสองคนกำลังมองไปรอบๆ
“คนขายขนมไม่ใช่เหรอ” หลินหลินว่า
“คนขายขนมอะไรมีโทรศัพท์มือถือใช้” บู๊ลิ้มบอก
ชายชุดดำคนหนึ่งมองมาที่หลินหลินพอดี ชายคนนั้นชะงัก หลินหลินรีบหลบกลับเข้ามา
ชายชุดดำเห็นหน้าหลินหลินแว้บๆ ชายชุดดำสะกิดเพื่อน
“เฮ้ย เมื่อกี้ฉันเห็นเด็กหน้าเหมือนในรูปเลยว่ะ แต่มันดูเป็นเด็กผู้ชาย หลบอยู่ตรงนั้นน่ะ”
“ไปดูกัน”
ชายชุดดำทั้งสองคนเดินตรงมาที่บู๊ลิ้มกับหลินหลินซ่อนตัวอยู่ หลินหลินบอกบู๊ลิ้ม
“เขาเห็นฉันแล้ว”
บู๊ลิ้มตกใจ “ซวยแล้ว”
บู๊ลิ้มหันไปมองทางด้านหลังแล้วก็รีบพาหลินหลินวิ่งหลบหลังรถไปโดยวิ่งอ้อมไปอ้อมมา หลินหลินก้มลงมองลอดใต้ท้องรถ
“พวกมันยังตามมาอยู่เลย” หลินหลินบอก
บู๊ลิ้มหันมาบอก “ตามฉันมา”

บู๊ลิ้มวิ่งนำหลินหลินเข้ามาแล้วชะงัก
“ลืมไป”
“อะไร” หลินหลินถาม
“ซอยนี้มันซอยตัน” บู๊ลิ้มบอก
ซอยที่บู๊ลิ้มพาเข้ามาเป็นซอยตัน มีบ้านตึกแถวไม่กี่หลัง มีราวตากผ้า มีผ้าตากอยู่ มีโอ่ง มีกาลามัง อะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมดแต่ไม่มีที่ซ่อน และทุกบ้านปิดประตูหมด
หลินหลินเริ่มกลัว “ทำไงดีล่ะ”
“ไม่รู้สิ”
“เธอจะช่วยฉันมั้ย บู๊ลิ้ม”
บู๊ลิ้มกำหมัดแล้วแอบชะโงกหน้าออกไปก็เห็นชายชุดดำสองคนเดินตรงมา ทั้งสองหยิบปืนออกมา
บู๊ลิ้มรีบกลับเข้ามาแล้วทำหน้าเหยเก
“พวกมันมีปืนด้วย ไม่มีทางสู้มันเลย”
หลินหลินหน้าเสียแล้วก็จะร้องไห้
“ฉันกลัว”
บู๊ลิ้มตัดสินใจฮึดสู้
“ไม่ต้องกลัว ฉันจะปกป้องเธอเอง” บู๊ลิ้มบอก

ชายชุดดำสองคนเดินมาถึงหน้าปากซอยโดยสวนกับผู้ชายตัวสูงสวมแว่นกันแดดใส่แจ็คเก็ตคนหนึ่งที่เดินออกมาและชนกันเล็กน้อย ชายชุดดำกับผู้ชายตัวสูงต่างก็ขอโทษแล้วก็แยกย้ายกันไป ชายชุดดำไม่ได้สนใจชายตัวสูงเพราะมัวแต่สนใจในซอย ชายชุดดำทั้งสองเดินเข้ามาในซอยก็เห็นซอยตันและรกพอสมควร
“มันต้องแอบอยู่แน่ๆ อย่าประมาทนะเว้ย”
“รู้แล้ว”
ชายชุดดำทั้งสองคนเข้ามาค้นหาอย่างระมัดระวัง คนหนึ่งค่อยๆตรงไปที่โอ่งแล้วเปิดฝาโอ่งพรวดแต่ก็ไม่มีอะไร

ชายคนที่เดินสวนกับชายชุดดำเดินเป๋ๆ เหมือนคนเมา ซึ่งเขาก็คือบู๊ลิ้มที่ขี่คอหลินหลินอยู่แล้วเอาแจ็คเก็ตจากราวตากผ้าคลุมร่างหลินหลิน หลินหลินใส่กางเกงกับรองเท้าผู้ชาย
“ทนอีกนิด” บู๊ลิ้มบอก
“ไม่ไหวแล้ว” หลินหลินว่า
ในที่สุดหลินหลินก็รับน้ำหนักไม่ไหวจึงล้มโครม บู๊ลิ้มหันขวับมองไปที่ซอยแต่ชายชุดดำยังไม่ออกมา บู๊ลิ้มดึงหลินหลินให้ลุกขึ้นส่วนอีกมือดึงแจ็กเก็ตขึ้นมา
“วิ่ง” บู๊ลิ้มบอก
บู๊ลิ่มกับหลินหลินวิ่งเต็มเหยียด บู๊ลิ้มเห็นกังฟูกับเมลดาขับรถมาถึงพอดี เด็กทั้งสองยิ้มดีใจแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถ ทั้งสองหอบแฮ่กๆ
“เป็นไงบ้างศิษย์พี่” กังฟูถาม
“เกือบไป ศิษย์น้อง” บู๊ลิ้มบอก
“หลินหลินทำไมหนีมาคนเดียว” กังฟูว่า
“ขอโทษค่ะ แต่ก็...สนุกจังเลย...ขอบใจมากนะบู๊ลิ้ม” หลินหลินบอก
บู๊ลิ้มยิ้มแป้น

กังฟูพาเมลดามาหาเฮียเฉินกับฮูหยิน
“นี่ไงครับ คนที่ศิษย์จะให้มาเล่นเป็นนางเอกงิ้วคนใหม่” กังฟูบอก
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหลินฮุ่ยค่ะ” เมลดาแนะนำตัว
เฮียเฉินชม “แหม ชื่อน่ารักยังกะหมาแพนดี้”
“หมาแพนดี้อะไรของลื้อ” ฮูหยินถาม
“หมีแพนด้าไง” เฮียเฉินบอก
อาจารย์ทั้งสองมองหน้าเมลดา เมลดายิ้มหวานให้แต่ฮูหยินทำหน้าเซ็ง
“ไอ้เรื่องจะให้อั๊วเลิกเล่นงิ้วน่ะ อั๊วก็ว่าดีเหมือนกัน เพราะอั๊วก็เริ่มเหนื่อยแล้ว แต่ทำไมต้องเอายัยหลกท้งนี่มาแทนที่อั๊วด้วยวะ” ฮูหยินถาม
เฮียเฉินทวนคำ “หลกท้ง?”
“เออสิ ไม่รู้เหรอ ยัยนี่ไงที่ลื้อบอกไอ้กังฟูติดเงินอีเมื่อครั้งที่แล้วน่ะ”
เฮียเฉินตาโตเพราะคิดไม่ถึง เขาจ้องเมลดาเขม็งจนเมลดารู้สึกกระดากอาย กังฟูเอียงหน้ามากระซิบกับเมลดา
“ผมก็ลืมไปว่าเคยโกหกอาจารย์แม่ไว้ ทำไงดีครับ บอกความจริงก็แล้วกันนะ”
“อย่าเพิ่งเลย ถ้าบอกความจริงอาจจะทำให้หลินหลินได้รับอันตราย โกหกต่อไปละกัน” เมลดาบอก
แล้วเมลดาก็บีบน้ำตา
“เรื่องที่ผ่านมาให้มันผ่านไปเถอะค่ะ อาจารย์แม่ขา หนูอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ค่ะ”
“อย่าๆๆ อย่าเริ่มต้นใหม่เลย” เฮียเฉินบอก “เคยทำยังไงก็ทำต่อไปเถอะ เสียดาย เอ๊ย เสียเวลา เอาเป็นว่าลื้อกลับไปเถอะ โรงงิ้วเราไม่ต้อนรับคนอย่างลื้อ แต่ก่อนกลับขอเบอร์โทรศัพท์ไว้ด้วยนะ...โอ๊ย”
เฮียเฉินร้องเสียงหลงเพราะฮูหยินตะปบกรงเล็บที่คอหอยของเฮียเฉิน
“ลื้อจะเอาเบอร์อีไปทำไม”
“ก็...ก็เผื่อเปลี่ยนใจอยากได้อีมาเล่นงิ้วไง”
ฮูหยินสะบัดหลังมือตบเฮียเฉินจนหงายหลังตกเก้าอี้ไป
“โบราณว่า หนอนตั้งใจยังเป็นผีเสื้อได้ ถ้าลื้อตั้งใจจะเปลี่ยนเส้นทางเดินในชีวิต อั๊วก็สนับสนุน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย งิ้วน่ะไม่ใช่นึกอยากเล่นก็เล่นได้นะ”
“เมื่อก่อนหลินฮุ่ยเขาเป็นครูสอนนาฏศิลป์ด้วยนะครับ” กังฟูบอก
“พวกรำวงน่ะเหรอ” ฮูหยินถาม
“ค่ะ รำวง รำถวายพระพร ฟ้อน เซิ้ง เสภา ลิเก ไปจนถึงโขน” เมลดาบอก
“ลื้อเป็นผู้หญิง เล่นโขนได้ด้วยเหรอ” ฮูหยินถาม
“ค่ะ เรียกว่าโขนผู้หญิง มีเล่นกันมานานพอสมควรแล้วค่ะ” เมลดาบอก
เฮียเฉินลุกกลับขึ้นมานั่ง
“งั้นก็น่าจะไหว อั๊วจะบอกให้ โขน กับ งิ้ว มีพื้นฐานอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือ ใช้ท่วงท่า และใช้พลัง เป็นการแสดงบนเวทีที่นักแสดงต้องใช้ระดับพลังงานขั้นสูงสุด เพื่อส่งอารมณ์ของตัวละครไปให้ถึงคนดู ... ถ้าลื้อเล่นโขนได้ ก็น่าจะเล่นงิ้วได้”
“งั้นก่อนอื่น ลื้อลองร้องงิ้วให้ฟังก่อน อั๊วให้เวลาเตรียมตัวหนึ่งชั่วโมง”
เมลดาเหวอ

เมลดาคุยอยู่กับกังฟู โดยที่เมลดามีหน้าตาไม่สู้ดีนัก
“นี่ ฉันพูดภาษาจีนไม่เป็น จะร้องได้ไง” เมลดาว่า
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องพูดจีนหรอก หลังๆนี่คณะงิ้วเราพูดภาษาไทยมาหลายเรื่องแล้ว...เอาเรื่องสามก๊กแล้วกัน”
“สามก๊กเนี่ยนะ...อ่ะ ลองดูแล้วกัน” เมลดาบอก

บนเวทีงิ้วปิดไฟมืด ทันใดนั้นก็มีไฟสว่างส่องให้เห็นเมลดายืนอยู่ เมลดาร้องเพลงขงเบ้งดูดาว สักครู่ ด้านหน้าเวทีก็มีเฮียหลอ ฮูหยิน เฮียเฉิน และเฮียเก้านั่งบนเก้าอี้เหล็กพับคนละตัวโดยหันหลังให้เวทีและตั้งใจฟัง ข้างหน้าของเฮียแต่ละคนมีโต๊ะตั้งถาดที่มีซาลาเปาวางอยู่คนละลูก เฮียเฉินทำท่าจะกดซาลาเปาแต่แล้วก็ลังเลว่าจะกดดีมั้ย ฮูหยินกดก่อนด้วยความมั่นใจแล้วก็ยกก้นจับเก้าอี้หมุนแถ่ดๆ ด้วยตัวเองเพื่อหันไปหาเวที

กังฟูที่เชียร์อยู่ด้านข้างกำหมัดแล้วกระโดดด้วยความดีใจมากๆ
เฮียเฉินกับเฮียเก้ามองหน้ากัน
เฮียเฉินบอกเฮียเก้า “ลื้อกดเดะ”
เฮียเก้าบอกเฮียเฉิน “เอาก็เอา”
เฮียเฉินเฮียเก้ากดซาลาเปาแล้วก็หมุนเก้าอี้กลับมา
เฮียหลอยังคงฟังอย่างตั้งใจ ในที่สุดก็ยกมือสูง ตบซาลาเปาแบบไม่กดไม่ได้แล้ว กังฟูดีใจสุดๆ จึงกระโดดจับมือตุ๊กตากบตัวหนึ่งที่วางอยู่แถวนั้น

ดนตรีจบลง เมลดาหยุดแล้วมองหน้าพวกอาจารย์ทั้งสี่
“แนะนำตัวด้วยครับ” เฮียเก้าบอก
“ชื่อหลินฮุ่ยค่ะ” เมลดาแนะนำตัว
ฮูหยินวิจารณ์ “แก้วเสียงของลื้อเวลาร้องงิ้วมันเหมือน...เหมือนลม เป็นลมทะเล ทะเลจีนใต้ด้วยเป็นลมที่อุ่นๆแต่เย็นกว่าลมจากทะเลอันดามัน และก็เป็นลมที่มีไอเกลือแทรกอยู่บางๆ มันจะเย็นๆเค็มๆ”
“ซี้ซั้วต่า ลมเลิมอะไรของลื้อวะ โห ร้องงิ้วแค่นี้จะลากไปอ่าวตังเกี๋ยเลยเหรอไง อั๊วว่าเพราะ จบ” เฮียหลอสรุป
ฮูหยินค้อนขวับแล้วทำปากขมุบขมิบ
“มาอยู่กับอั๊วแล้วกัน” เฮียหลอบอก
“มาอยู่กับอั๊วดีกว่า อั๊วหามานานแล้ว ดารางิ้วผู้หญิงที่อึ๋ม...เอ๊ย...ที่ฮ็อต...เอ๊ย...ขาว...เอ๊ย...เสียง...เอ๊ย ถูกแล้ว ที่มีเสียงแบบลื้อเนี่ย”
“มาอยู่กับทีมโค้ชเฉินดีกว่า อั๊วจะดูแลลื้อเป็นอย่างดี”
ฮูหยินลุกพรวดขึ้นมาชี้หน้าเมลดา
“ถ้าลื้อจะเลือกไอ้เฉินก็ต้องข้ามศพอั๊วไปก่อน ลองดูเดะ” ฮูหยินว่า
เฮียหลอเก๊กเสียงนุ่มแล้วยิ้มให้เมลดา
“ถึงเวลาที่คุณต้องเลือกแล้วครับ”
“เฮ้ย...เลือกห่าอะไรเล่า เราอ่ะต้องเลือกเค้า จะเอาไม่เอาก็ว่ามา” เฮียเฉินว่า
เฮียหลอรีบบอก “อั๊วเอา”
“อั๊วก็เอา” ฮูหยินบอก
“หลินฮุ่ย คณะเราตกลงรับลื้อเป็นนางเอกงิ้วคนใหม่”
เมลดาไหว้ขอบคุณแล้วหันมาชูสองนิ้วให้กังฟูที่อยู่ด้านข้าง กังฟูยิ้มตอบ ทั้งสองประสานสายตากันวูบหนึ่งสั้นๆ

เวลาผ่านไป กังฟูเขียนหน้างิ้วให้เมลดา
“เราไม่มีช่างแต่งหน้าหรอกครับ ต้องเขียนหน้าตัวเองให้ได้ ไม่ยากหรอกครับ นี่ เห็นไหมผมเขียนให้แล้ว”
“ขอบใจนะ”
เมลดายิ้มแล้วหันมามองตัวเองในกระจกแล้วก็สะดุ้ง กังฟูเขียนหน้าให้เธอสวยไฉไลก็จริงแต่เขียนให้แค่ครึ่งหน้าด้านซ้าย
“ทำไมเขียนให้ครึ่งเดียวล่ะ”
“เขาหัดกันอย่างนี้แหละครับ คุณเมต้องเขียนอีกครึ่งให้เหมือนที่ผมเขียน” กังฟูบอก
เมลดาพยักหน้าเข้าใจก่อนจะส่องกระจกแล้วพยายามเขียนหน้าใหม่อย่างตั้งอกตั้งใจ

พายุเดินมองซ้ายมองขวามาเห็นกังฟูกับเมลดาที่นั่งหัันหลังอยู่ พายุกวักมือเรียกกังฟู
“กังฟู มานี่”
กังฟูหันมาเจอพายุ
“ครับ ศิษย์พี่”
พายุเดินมาหากังฟู
“มีเรื่องจะคุยด้วย...ทำอะไรอยู่เนี่ย” พายุถาม
“อ๋อ ศิษย์น้องกำลังสอนนางเอกใหม่แต่งหน้าอยู่ครับ” กังฟูบอก
พายุตาวาวขึ้นมาทันที
“นั่นนางเอกใหม่เหรอ หุ่นดีนี่หว่า ท่าทางจะขาวด้วย แล้วสวยไหมวะ”
“ก็...”
กังฟูยังไม่ทันตอบ แต่พายุไม่สนใจฟังกังฟูจึงผลักกังฟูออกไปแล้วเดินปรี่เข้ามาหาเมลดาที่กำลังเขียนหน้าอยู่
“สวัสดีครับน้องสาว พี่ชื่อพายุ เป็นศิษย์คนโตของที่นี่ ให้พี่ช่วยไหมครับ”
เมลดาหันหน้ามาทำให้เห็นว่าฝีมือเขียนหน้าของเธอแย่มาก แถมเละไปถึงด้านที่กังฟูเขียนให้ก่อนด้วยทำให้ดูน่าเกลียดมาก พายุตกใจและหน้าเสีย
เมลดาแนะนำตัว “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหลินฮุ่ยค่ะ”
พายุหัวเราะเยาะ
“ชื่อเหมือนแพนด้าแต่หน้าเหมือนตุ๊กแก เฮ้อ กลุ้มใจจริงๆกับไอ้คณะงิ้วห่วยๆนี่ รับนางเอกที่มันหน้าเหมือนคนหน่อยยังทำไม่ได้เลย จะไปรอดได้ไงว้า”
เมลดาอึ้ง
“ทำไมคุณปากเสียอย่างงี้ล่ะ” เมลดาว่า
“อ้าว กล้าว่าอั๊วเหรอ เดี๋ยวตบปากฉีกเลยอีนี่” พายุด่า
กังฟูรีบเข้ามาขวาง
“ศิษย์พี่อย่าโกรธ เด็กใหม่ไม่รู้เรื่อง”
“ลื้ออบรมสั่งสอนมันดีๆ...ลื้อตามอั๊วมา อั๊วมีเรื่องจะคุยด้วย” พายุบอก
พายุล็อกคอกังฟูแล้วลากออกไป

พายุพากังฟูมากินข้าว
“อยากกินอะไรอีกมั้ย สั่งเลย ไม่ต้องเกรงใจ อั๊วรู้ว่าลื้ออยู่โรงงิ้วไม่ค่อยได้กินของดีๆเท่าไหร่หรอก” พายุบอก
“ขอบคุณศิษย์พี่ แค่นี้ศิษย์น้องก็อิ่มแล้ว” กังฟูพูด
“อิ่มแล้วเหรอ...ดี งั้นมาคุยเรื่องธุระกัน ... ลื้อจำเฮียติงลี่ได้มั้ย”
“จำได้ครับ ที่ศิษย์น้องช่วยเขาไว้”
“อั๊ว”ช่วยเขาไว้ ลื้อแค่ช่วยนิดๆหน่อยๆ...ตอนนี้อั๊วจะไปทำงานกับเขา เขาเป็นคนดีมากเลยนะ เป็นเศรษฐีแต่ชอบต่อสู้และปราบปรามฝ่ายอธรรม”
“เหมือนจอมยุทธค้างคาวดำ”
“จอมยุทธ์ค้างคาวดำ งิ้วเรื่องใหม่เหรอ อั๊วไม่เคยดู”
“แบทแมนไง”
“อ่ะ จะว่างั้นก็ได้ แต่เขาไม่ได้ลุยคนเดียว เขาลุยเป็นทีม แล้วเขาก็มาชวนอั๊ว”
“ศิษย์พี่ทั้งฉลาด ฝีมือสูงล้ำ เฮียติงลี่ตาถึงจริงๆ”
“ทีนี้ อั๊วจำได้ว่าลื้อเคยบอกว่าความฝันของลื้อคืออยากเป็นจอมยุทธผดุงความเป็นธรรมให้บู๊ลิ้ม ใช่ไหม”
“ใช่แล้ว แต่ศิษย์น้องความสามารถต่ำต้อย คงได้แต่ฝัน”
พายุโบกไม้โบกมือ
“เฮ้ย ไม่ๆๆ ลื้อเข้าใจผิดแล้ว จอมยุทธไม่ได้วัดกันที่ฝีมือ จอมยุทธที่แท้จริงดูกันที่หัวใจ...อั๊วรู้ว่าลื้อเป็นคนมีความตั้งใจจริง ก็เลยจะชวนลื้อไปร่วมขบวนการจอมยุทธพิทักษ์คุณธรรมนี้ด้วย”
กังฟูตาโตด้วยความดีใจมาก แต่แล้วเขาก็หน้าเหี่ยว
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ให้โอกาส แต่ศิษย์น้องคงไม่สามารถ” กังฟูบอก
“ทำไมวะ”
“ศิษย์น้องรับปากอาจารย์แม่ไว้แล้ว จะไม่ใช้วิทยายุทธไปต่อสู้กับคนอื่น”
“ก็ไม่ต้องบอกอาจารย์แม่สิ ถึงเวลา อั๊วไม่พูด ลื้อไม่พูด ใครจะรู้ จริงมั้ย”
“แต่ใจเรารู้...ศิษย์น้องขอโทษด้วย ศิษย์น้องไม่อาจเข้าร่วม”
กังฟูลุกขึ้นคำนับแล้วเดินออกไป
“เฮ้ย เดี๋ยวๆๆ”
พายุรีบควักกระเป๋าตังก์ออกมาหยิบเงินวาง แล้วรีบวิ่งตามกังฟูไปทันที
อ่านต่อหน้าที่ 4


ร้ายรักพยัคฆ์กังฟู ตอนที่ 5 (ต่อ)
พายุวิ่งมาดักหน้ากังฟู

“กังฟู ลื้ออย่าซื่อบื้อนักได้มั้ย รับปากใครมันก็แค่ลมปาก ไม่ต้องทำตามก็ได้ลูกผู้ชายต้องรู้จักพลิกแพลงตามสถานการณ์สิ”
“ไม่ ลูกผู้ชายวาจาหนักแน่นดังขุนเขา ล้ำค่าดังทองคำ ไหนเลยจะกลับคำได้ง่ายๆ...ศิษย์พี่หวังดี ศิษย์น้องซาบซึ้ง แต่ขออภัยที่ศิษย์น้องโง่เขลา นอกจากรักษาคำพูดแล้ว คิดอย่างอื่นไม่เป็น”
กังฟูประสานมือคารวะพายุแล้วเดินจากไป พายุหงุดหงิดมากจนอยากเตะกังฟู แต่เขาก็คิดอุบายขึ้นมาได้ จึงร้องไห้ออกมาเสียงดังๆ กังฟูชะงักแล้วหันขวับกลับมาเห็นพายุกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ศิษย์พี่ เป็นอะไร” กังฟูถาม
พายุคุกเข่าประสานมือคารวะแล้วยิ้มให้กังฟู
“กังฟู รับคารวะจากอั๊วด้วย”
กังฟูรีบวิ่งเข้ามาประคองพายุ
“ศิษย์พี่ ทำไมต้องคารวะข้า ทำไมต้องร้องไห้ด้วย”
“กังฟู ข้าคารวะเจ้าเพราะข้าชื่นชมความหนักแน่นของเจ้า เจ้าช่างเป็นคนดี มีคุณธรรม แต่ที่ข้าร้องไห้ก็เพราะข้าสงสารอาจารย์แม่”
“สงสารอาจารย์แม่? ทำไมล่ะ มีอะไรเหรอ”
“เฮียติงลี่ให้อั๊วรับตำแหน่งหัวธนู ตำแหน่งนี้ต้องบุกอย่างเดียว บุกแล้วก็บุกอีก มีโอกาสเจ็บตัวจนตายหรือพิการสูงมาก อั๊วอาจจะไม่รอด อั๊วคิดว่าถ้าอั๊วเป็นอะไรไป อาจารย์แม่คงเสียใจมากเพราะท่านรักอั๊วเหลือเกิน”
กังฟูอึ้งไป พายุแอบสังเกตท่าทีของกังฟูแล้วก็มั่นใจว่ามาถูกทางก็เลยบิ๊วต่อ
“กังฟู รับปากอั๊วนะ ถ้าอั๊วตายไป ลื้อต้องดูแลอาจารย์แม่แทนอั๊ว ทำให้ท่านยิ้ม ทำให้ท่านหัวเราะ ทำให้ท่านมีความสุขมากๆ”
“ศิษย์พี่ ... เรื่องนั้นศิษย์น้องทำไม่ได้ ไม่มีใครทำให้อาจารย์แม่มีความสุขได้เท่าศิษย์พี่”
“ถ้าอั๊วไม่ตายอั๊วต้องทำให้อาจารย์แม่มีความสุขทุกวัน แต่ว่า...”
พูดจบพายุก็ถอนใจแล้วมีท่าทางเศร้าๆ
“ศิษย์พี่...” กังฟูเป็นห่วง
“ลื้อไปเถอะ ลื้อรับปากอาจารย์แม่ก็ดีแล้ว อย่าไปเสี่ยงชีวิตเลย” พายุบอก
พายุหันหลัง เดินจากมาด้วยท่าทางเศร้าๆ
“ศิษย์พี่...”
กังฟูดูสับสนมากแต่แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจวิ่งตามพายุไป
“ศิษย์พี่ รอด้วย” กังฟูร้องเรียก

กังฟูอยู่กับพายุ ณ บ้านร้างหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลผู้อื่น
“กังฟู อั๊วซึ้งใจมากที่ลื้อตัดสินใจเข้าร่วมกับกลุ่มจอมยุทธผดุงคุณธรรม”
“ศิษย์น้องเข้าร่วมเพื่อปกป้องศิษย์พี่ ศิษย์พี่ต้องปลอดภัย ถ้าศิษย์พี่เป็นอะไรไป อาจารย์แม่อาจจะเศร้าเสียใจ ร้องไห้จนอาจจะเสียสุขภาพได้”
“กังฟู อั๊วอยากให้ลื้อรู้ไว้ว่าถ้าคนที่อาจารย์แม่รักที่สุดเป็นลื้อ อั๊วก็จะยอมตายเพื่อปกป้องลื้อหมือนกัน”
“ศิษย์น้องเข้าใจ”
“ดี ในเมื่อเจ้าเข้าใจก็ดี งั้นข้าจะสอนเพลงมวยให้เจ้าชุดหนึ่ง”
“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด ข้ารับปากอาจารย์แม่จะไม่ฝึกวิทยายุทธ”
“ลื้อไม่มีเพลงหมัด แล้วจะปกป้องอั๊วได้อย่างไร อาศัยวิชาทนมือทนเท้าของลื้ออย่างเดียวคงปกป้องอั๊วไม่ได้หรอก”
“แต่ว่า...”
“กังฟู ลื้อไม่เข้าใจหรือไง ... ถ้าลื้อไม่ฝึกเพลงหมัด ก็ปกป้องอั๊วไม่ได้ อั๊วเป็นอะไรไป อาจารย์แม่ก็เสียใจ ลื้อเข้าใจรึยัง”
“ก็...จริงของศิษย์พี่”
“ทำเพื่ออาจารย์แม่” พายุย้ำ
กังฟูมีสีหน้าอึดอัดและสับสน แต่ในที่สุดเขาก็พยักหน้า
“ตกลง”

เสียงพายุบรรยาย
“นี่คือเพลงหมัดแปดทิศ มีห้าขั้น ลื้อฝึกเพียงขั้นที่หนึ่งก็พอ เพลงหมัดนี้มีจุดเด่นที่เคลื่อนที่จู่โจม รุกไล่ ได้แปดทิศ จุดด้อยคือเน้นรุกไล่ ไม่เน้นป้องกันตัว ดังนั้นลื้ออาจจะรุกไล่ศัตรูให้อั๊วได้ แต่ลื้อก็ต้องเจ็บตัวบ้าง”
“ศิษย์น้องไม่กลัว” กังฟูบอก
“ลื้อเก่งมากอั๊วนับถือหัวใจลื้อจริงๆ”
“ศิษย์น้องมิบังอาจ”
พายุสอนวิชาหมัดให้กังฟู
เมลดากำลังเรียนงิ้วกับครูงิ้วอยู่ที่โรงงิ้ว ครูงิ้วสอนการทำท่าทำทางต่างๆ เมลดาเรียนอย่างตั้งอกตั้งใจ
สักพักฮูหยินก็เดินเข้ามา ครูงิ้วหยุดสอน ส่วนเมลดายกมือไหว้
“เป็นไงบ้างน้าสี่ อาหลินฮุ่ยพอไหวมั้ย”
“เก่งมาก พื้นฐานดี หัวไว แถมแปลกใหม่ด้วย” ครูงิ้วบอก
“แปลกใหม่ยังไง” ฮูหยินถาม
“แม่หนูนี่มีทั้งพลังในการแสดง แถมมีความอ่อนช้อยด้วย หายากๆ” ครูงิ้วชม
ฮูหยินมองเมลดา
“คงเพราะหนูหัดรำไทยมาก่อนมั้งคะ” เมลดาว่า
“แล้วไอ้กังฟูไปไหนเนี่ย มันมาซ้อมบ้างรึยัง”
“ยังไม่เห็นเลยค่ะ”
“อะไรว้า อีกไม่กี่วันก็จะถึงการแสดงแล้ว” ฮูหยินพูด
“ไม่เป็นไรมั้ง ไอ้กังฟูมันเล่นได้ทุกบททุกเรื่องอยู่แล้ว”
“ก็ใช่ แต่อยากให้มันมาเข้าบทกับอาหลินฮุ่ยบ้าง เหมือนอั๊วกับอาเฮีย จะได้เป็นวัวเคยขาม้าเคยขี่กัน”
เมลดาสะดุ้ง
“เอ่อ ใช้คำว่าเข้าขากันดีกว่าค่ะ” เมลดาบอก
“เออๆ เข้าขากันบ่อยๆ จะได้เล่นท่ายากได้”
“เอ่อ หมายถึงฉากยากๆใช่ไหมคะ”
“ใช่ ตีให้แตกเลย” ฮูหยินบอก
“ตีบทใช่ไหมคะ” เมลดาถาม
“นั่นแหละ แตกเลยให้มันถึงจุดสุดยอด” ฮูหยินว่า
เมลดาอึ้ง “เอ่อ ...”
“ถ้าเป็นภาษาไทยเขาบอกว่าเล่นกันให้ถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์” ฮูหยินบอก
เมลดาเหนื่อยใจจึงขี้เกียจแก้คำพูดให้
“ที่พูดเนี่ยเข้าใจไหม” ฮูหยินถาม
“นี่พูดถึงงิ้วอยู่ใช่ไหมคะ” เมลดาถามกลับ
“ก็งิ้วน่ะสิ”
“เข้าใจค่ะ”
“ดีแล้ว”
ฮูหยินจะเดินออกไป เมลดาถอนหายใจ แต่ฮูหยินก็หันกลับมาพูดอีก
“อย่าลืมนะ หลินฮุ่ย พอกังฟูมา ลื้อสองคนต้องจับคู่ซั่มกันเยอะๆนะ”
เมลดาฉุน “ซ้อม ไม่ใช่ซั่ม”
“เออ ซ้อมนั่นแหละ”
ฮูหยินยังไม่รู้ตัว เธอพูดจบก็เดินออกไป เมลดาค้อนปะหลับปะเหลือก
“เพราะอีตากังฟูแท้ๆเชียว หายไปไหนของเค้าเนี่ย” เมลดาบ่น

กังฟูรำเพลงหมัดแปดทิศให้พายุดู พายุเห็นแล้วก็อึ้งไปเหมือนกัน
“กังฟู ลื้อผิดกับที่อั๊วคิดมากเลยนะเนี่ย” พายุบอก
“เป็นไงเหรอศิษย์พี่ พอไหวมั้ย” กังฟูถาม
“ลื้อเก่งมาก สามารถจดจำท่ามวยได้เวลารวดเร็ว ...ลื้อกลับไปก็ซักซ้อมให้คล่องมือ ถึงเวลาจริงๆจะได้ไม่ติดๆขัดๆ อีกไม่กี่วันก็จะตีกันแล้ว เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ” กังฟูบอก
“ไปได้แล้ว”
“ศิษย์น้องขอลา”
กังฟูทำท่าจะพูดอะไรแต่แล้วก็ไม่พูด เขาเดินจากไปแต่ในที่สุดก็หันกลับมาพูด
“ศิษย์...ศิษย์น้องมีเรื่องนึงอยากบอก”
พายุมีท่าทางระแวงขึ้นมาทันที
“มีอะไรวะ”
“ตั้งแต่ศิษย์น้องเกิดมา ไม่เคยมีใครสอนวิทยายุทธให้ศิษย์น้องเลย แม้จะเป็นการทำเพื่ออาจารย์แม่ก็ตาม แต่ศิษย์น้องก็ตื้นตันใจมาก ศิษย์พี่โปรดรับคารวะจากศิษย์น้องด้วย”
กังฟูคุกเข่าคารวะพายุทำให้พายุอึ้งไป
“เอ่อ...เฮ้ย เราเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน อย่าคิดมาก วิชาฝีมือถึงจะของล้ำค่าแต่ก็เป็นเพียงของนอกตัว อั๊วให้ลื้อได้อยู่แล้ว”
กังฟูลุกขึ้น ยิ้มให้ แล้วเดินจากไป พายุมองตามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความดูแคลน
“ไอ้โง่เอ๊ย เพลงหมัดห่วยๆแบบนี้อั๊วเรียนตั้งแต่สิบขวบ กระจอกจริงๆเล้ย” พายุว่า

กังฟูเดินกลับมาที่โรงงิ้ว ก็มาเจอเมลดาที่กำลังเอากระดาษแผ่นใหญ่ๆ เขียนด้วยภาษาจีนแปะตรงทางเข้าโรงงิ้ว เมลดาแปะเสร็จก็หันมาเห็นกังฟูพอดี
“นี่ นายหายไปไหนมา ไม่ยอมมาซั่มกับฉัน” เมลดาถาม
กังฟูงง “ซั่ม?”
กังฟูงงเพราะไม่รู้แปลว่าอะไร
เมลดาตกใจ “ว้าย...ซ้อม ฉันหมายถึงซ้อมงิ้ว เพราะนายแท้ๆฉันเลยพลอยพูดผิดพูดถูกตามอาจารย์แม่ไปด้วย”
“เอ่อ...ผมไป...เอ่อ...ออกกำลังกายครับ”
“ออกกำลังกายอะไรของนายมาตั้งสายโด่งแบบนี้ รีบๆไปซ้อมกันเร็ว”
กังฟูดูใบปิดของเมลดา
“เออ แล้วนี่มันอะไรเนี่ย เขาให้ฉันมาปิดแต่ฉันอ่านไม่ออกเลย”
“อ๋อ ใบประกาศการเล่นงิ้วน่ะครับ” กังฟูบอก “ไว้แจ้งแฟนคลับงิ้ว ใครผ่านไปผ่านมาก็จะได้เห็น...นี่ มีชื่อคุณด้วยนะ ตรงนี้ ... นางเอกหน้าใหม่ หลินฮุ่ย นี่ตรงนี้ชื่อผม พระเอกใหม่กังฟู”
กังฟูอ่านต่อแล้วก็หัวเราะ เมลดาเลยอยากรู้บ้างว่าหัวเราะอะไร
“ทำไม เขาเขียนว่าไงเหรอ”
“เขาบอกพระเอกหน้าใหม่แต่เก๋าบนเวทีงิ้ว นางเอกหน้าใหม่แต่เก๋าในร้านน้ำชา”
“ร้านน้ำชาคืออะไร
“ก็ซ่องไงครับ”
เมลดาตกใจ “ว้าย”
เมลดาทำท่าจะดึงออก
“เอาเถอะครับ ช่างมันเถอะ ก็เราโกหกเขาไว้อย่างนั้น เขาเลยเขียนแบบนี้ ฮิๆ”
กังฟูหัวเราะชอบใจก่อนจะพาเมลดาเดินออกไป เมลดายังเคืองๆอยู่

กังฟูกับเมลดาเดินออกไป คนเดินผ่านไปมาแถวนั้นเดินเข้ามาดูบ้าง ในจำนวนคนที่เข้ามามีผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ใส่หมวก สวมแว่นกันแดดเดินเข้ามายืนดูด้วย ผู้หญิงคนนั้นสะกิดถามอาอึ้มข้างๆ
“เขาเขียนว่าไงเหรอคะ”
อาอึ้มหันมามอง ผู้หญิงคนนั้นถอดแว่นออกมาแล้วยิ้มให้อาอึ้มทำให้เห็นว่าเธอคือ “สวย” นั่นเอง

กังฟูกับเมลดาซ้อมงิ้วด้วยกัน เฮียเฉินกับฮูหยินดูอยู่ด้วย คนเล่นเครื่องดนตรีประกอบนั่งอยู่ข้างๆ ส่วนกังฟูกับเมลดานั้น มือข้างหนึ่งถือกระบี่ ส่วนมืออีกข้างถือบท ทั้งคู่อ่านบทไปเล่นไป บนหน้าของเมลดามีผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ผูกบังหน้าทำให้เห็นแต่ลูกตา
“เจ้าเป็นใคร ยอมให้ข้าจับซะ” กังฟูพูด
กังฟูรำกระบี่รอบหนึ่ง
“เข้ามาเลยจอมยุทธจั่นเจา อยากรู้ว่าท่านเก่งแค่ไหน” เมลดาท่องบท
เมลดารำกระบี่อีกรอบ แล้วทั้งสองก็เอากระบี่ฟาดฟันกัน ฮูหยินเข้ามาขวาง ดนตรีหยุดเล่น
“ไม่ได้ๆๆ พวกลื้อเล่นทื่อเป็นหุ่นกระบอก เวลาเล่นมันต้องมีความรู้สึกข้างในด้วย ฉากนี้น่ะจั่นเจากับเหลียนไฉ่หยุน น่ะรักกันแล้ว แต่ไฉ่หยุนปลอมตัวมาฆ่าคนกลับเจอจั่นเจาโดยไม่คาดคิด เลยต้องสู้กัน”
“ลื้อก็เหมือนกันกังฟู ตอนแรกลื้อจำไม่ได้ ใส่หมดเม็ดเลย แต่สู้ไปสู้มาก็จำได้ ลื้อต้องเล่นดีๆแววตาสำคัญมาก ดวงตาตอนยังจำไม่ได้น่ะต้องโหดเหี้ยม แต่พอจำได้แล้ว ต้องอ่อนโยน” เฮียเฉินวิจารณ์
“ไฉ่หยุนก็สู้แบบไม่เต็มที่เพราะรักจั่นเจา ลื้อต้องแสดงอารมณ์ออกมาทางสายตา ถ้าพวกลื้อทำไม่ได้คนดูจะไม่เข้าใจ”
“งั้นให้พูดกับตัวเองได้มั้ยคะ แบบ อุ๊ย เราสู้เต็มที่ไม่ได้ เพราะเรารักเขา” เมลดาถาม
“งิ้วโว้ยไม่ใช่ละครหลังข่าว...เอ้า ดูนะ” ฮูหยินพูด
ฮูหยินกับเฮียเฉินรับกระบี่มาแล้วตั้งท่า ดนตรีเริ่มเล่น
ฮูหยินพูดบท “เข้ามาเลยจอมยุทธจั่นเจา อยากรู้ว่าท่านเก่งแค่ไหน”
ทั้งสองควงกระบี่เข้าต่อสู้กันด้วยลีลาท่าทางรุกรับกลับสอดคล้องสวยงามเหมือนเต้นบัลเล่ต์ ดวงตาที่มองกันก็สื่ออารมณ์แบบที่อธิบายให้กังฟูกับเมลดาฟังเป๊ะๆ
เมลดามองอย่างประทับใจมาก พอเฮียเฉินกับฮูหยินเล่นเสร็จ เมลดาก็ปรบมือเสียงดัง
“จ๊าบมากเลยค่ะ ดูแล้วเชื่อเลยว่ารักกันจริงๆ”
ฮูหยินยิ้มแก้มแทบปริ แต่ก็พยายามเก็บอาการด้วยการเก๊กขรึม
“พวกลื้อก็ทำได้ ขึ้นชื่อว่านักแสดงจะเป็นงิ้วเป็นละครก็เหมือนกันหมด คือจะเล่นให้ดีต้องมีทินเนอร์” เฮียเฉินบอก
กังฟูที่ตั้งใจฟังอยู่ถึงกับงง
เมลดาบอก “อินเนอร์ใช่มั้ยคะ”
“เออ นั่นแหละ” ฮูหยินพูด

กังฟูพาเมลดามานั่งที่แผงจุ๋ยก้วยซึ่งตั้งหาบขายริมถนน ม้านั่งเตี้ยๆตั้งอยู่แถวนั้น กังฟูเดินมาสั่ง แล้วเดินไปนั่งกับเมลดาที่นั่งรออยู่ก่อนที่ม้านั่ง
“อาจารย์แม่ก็พูดได้สิเนอะ ต้องมีอินเนอร์ ก็เขากับอาจารย์เฉินเป็นผัวเมียกันมาตั้งกี่ปีแล้ว” เมลดาบ่น
“ไม่นะครับ บางเรื่องเล่นเป็นศัตรูกันก็เล่นแบบเกลียดกันสุดๆ” กังฟูบอก
“เหรอ”
“บางทีอาจารย์แม่เล่นเป็นแฟนกับอาจารย์หลอ ก็ดูรักกันแบบเมื่อกี้เลย”
“แปลว่าอยู่ที่อินเนอร์จริงๆสินะ ว้า ยากจัง”
“คุณเมเคยมีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอครับ ไม่น่าจะยากนะครับ”
“เมฆาน่ะเหรอ ช่วงนั้นก็ไปกินข้าวกัน ไปรับไปส่งกัน แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกรักเขาอย่างที่ควรจะเป็นหรอก ถูกเรียกว่าแฟนก็เพราะหลินหลินมากกว่า ถ้าเอาจริงๆเรียกว่าไม่เคยมีดีกว่า”
“เหมือนผมเลย ผมก็ยังไม่เคยมีแฟนเหมือนกัน”
กังฟูกับเมลดามองตากันแล้วก็เงียบกันไปวูบหนึ่ง กังฟูยิ้มให้ เมลดาเขินแต่ก็ยิ้มตอบ คนขายมาแทรกกลางโดยเอาจุ๋ยก้วยที่อยู่ในกระทงมีไม้จิ้มมาให้สองกระทง กังฟูรับกระทงมาโดยไม่มองคนขาย เขามองแต่เมลดาพร้อมกับส่งให้เมลดากระทงหนึ่ง ทั้งสองยังมองกันอย่างเขินๆ
คนขายกระแอม “อะแฮ่ม”
กังฟูสะดุ้งมองคนขาย
“สั่งมาจะกินอ๊ะป่าว” คนขายถาม
“กินสิเฮีย”
คนขายเดินกลับไปที่หาบ เมลดาเพิ่งสังเกตของในกระทงก่อนจะจิ้มขึ้นมาดู
“อุ๊ย อะไรอ่ะ แปลกจัง” เมลดาถาม
“ไม่เคยกินเหรอครับ” กังฟูถาม
“ไม่เคย” เมลดาตอบ
“ไอ้นี่น่ะ...” กังฟูจะอธิบาย
แต่เมลดาพูดแทรก “ครั้งนี้เอาดีๆนะ ที่ผ่านมาเกี้ยมอี๋งี้ จุกบี้งี้ นายทะลึ่งตลอดเลย ถ้าทะลึ่งอีกคราวนี้โดนตบแน่ๆ”
“ที่ผ่านมาผมไม่ตั้งใจนี่นา...ไอ้นี่น่ะเป็นของกินเล่นของคนจีน เขาเรียกจุ๋ยก้วย...”
เมลดาตบหน้ากังฟูเพียะ
“แค่ชื่อก็ทะลึ่งแล้ว ตาบ้า ของกินอะไรชื่อจู๋ก้วย”
เมลดาลุกเดินออกไปอย่างฉุนๆ แล้วก็กลับมาหยิบกระทงจุ๋ยก้วยเดินออกไป กังฟูกุมหน้าแล้วพูดตาม
“คุณฟังผิดแล้ว ผมบอกว่าเรียกจุ๋ยก้วย...จุ๋ยก้วย...”
คนขายเห็นแล้วก็หัวเราะ

สวยเดินเข้ามาในห้องเหมยอิงก่อนจะปิดประตูอย่างเรียบร้อย
สวยเรียก “มาดามคะ”
“เป็นไงบ้าง” เหมยอิงถาม
“คณะงิ้วเขาจะเปิดการแสดงที่บ้านเศรษฐีคนหนึ่ง เปิดให้ดูฟรี ครั้งนี้มาดามจะไปอีกไหมคะ”
เหมยอิงเงียบไปเพราะคิดหนัก
“มาดามคะ สวยสงสัยอย่างนึง” สวยว่า
“ว่าไง สงสัยเรื่องอะไร” เหมยอิงถาม
“มาดามไปดูงิ้วคณะนี้มาตั้งหลายต่อหลายครั้งแล้ว ทำไมทุกทีต้องใส่หมวกมั่ง ใส่ผ้าคลุมมั่ง เวลาให้สวยไปติดตามความเคลื่อนไหว ก็ต้องให้สวยพรางตัวเหมือนกันมาดามกลัวใครจำเราได้เหรอคะ”
“สวย ไม่ใช่ฉันไม่ไว้ใจเธอนะ แต่เรื่องบางเรื่องเธอไม่รู้จะเป็นผลดีกับตัวเธอเองมากกว่า”
สวยจ๋อยไป
“ค่ะ เอางั้นก็ได้ค่ะ...แล้วตกลงมาดามจะไปดูไหมคะ ... แต่ครั้งนี้สวยว่าน่าไปดูนะคะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็เขาเปลี่ยนพระเอกใหม่ ... ต้องเป็นหนุ่มหล่อแน่เลย ทุกทีใช้คนแก่เป็นพระเอกนางเอก ดูแล้วเซ็งๆ”
เหมยอิงยิ้มขำ
“เธอรู้ได้ไงว่าเป็นหนุ่มหล่อ”
“ฟังจากชื่อน่ะค่ะ เขาบอกชื่อกังฟู” สวยบอก
เหมยอิงชะงัก
“เขาให้กังฟูเป็นพระเอกงิ้วเหรอ”
“มาดามรู้จักด้วยเหรอคะ”
“อ๋อ คุ้นๆน่ะ ไม่รู้จักหรอก”
เหมยอิงยิ้มกลบเกลื่อน

จางซื่อนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเมฆา โดยมีเมฆามานั่งอยู่ข้างๆ ฟังสันต์รายงานไปด้วย
“เราส่งคนไปค้นที่ที่มาดามชอบไปอย่างละเอียดเกือบหมดทุกที่แล้วครับ ทั้งสวนที่ไปรำไทเก๊ก ร้านหมอที่ไปทำกัวซา โดยเฉพาะที่โรงเจ ซึ่งเป็นที่ที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วย แต่ไม่เจออะไรน่าสงสัยเลยครับ”
“ค้นหมดทุกที่รึยัง” เมฆาถาม
“เหลือแต่โรงงิ้วครับ ว่าจะไปสืบเป็นที่สุดท้าย” สันต์ว่า
“ดี ไปสืบมาให้ละเอียด เรื่องนี้สำคัญมากอย่าชุ่ยนะ” เมฆากำชับ
“ครับ”
สันต์กำลังจะเดินออกไป
จางซื่อเรียกไว้ “เดี๋ยว”
สันต์กับเมฆาหันมามองจางซื่อ
“พ่อจะไปที่โรงงิ้วด้วย” จางซื่อบอก
“มีอะไรเหรอครับ” เมฆาถาม
จางซื่อพูด “พ่อเพิ่งนึกได้ว่าเหมยอิงไม่ชอบดูงิ้ว การที่เขาแอบไปดูงิ้วบ่อยๆ ต้องมีอะไรแน่”
จางซื่อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ถ้าไปที่โรงงิ้วแล้วยังไม่เจออะไร ก็เป็นไปได้ว่าจางฟุมันตายไปแล้วจริงๆ พ่อจะได้ไปจากเมืองไทยได้อย่างสบายใจ”

ติงลี่กับที่ปรึกษาหน้าเดิมทั้งสามคนและพายุกำลังดูภาพที่ถ่ายจากกล้องวีดีโอตัวใหญ่ซึ่งต่อสายออกทีวี กล้องวีดีโอมีหยดเลือดติดอยู่ด้วย ในห้องมีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่ และมีผ้าคลุม มีของอยู่ใต้ผ้าคลุมกองใหญ่
“อั๊วส่งคนไปแอบถ่ายข้างในโรงงานไอ้เต๋า นี่คือภาพที่ได้มา” ติงลี่บอก
บนจอเป็นภาพแอบถ่ายแบบแฮนด์เฮลด์โดยมีตากล้องกับเพื่อนตากล้อง ที่ลานโล่งในโรงงานมีคนงานประมาณสิบกว่าคนกำลังฝึกการใช้หมัด รอบๆ บริเวณมียามที่เดินไปเดินมาถือปังตอตรวจการ
“เพลงหมัดวานรเหล็ก...เน้นความรวดเร็ว แต่ไม่หนักหน่วง” พายุบอก
“ไม่ใช่เพลงหมัดวานรเหล็กธรรมดา ดูดีๆ” ติงลี่ว่า
พายุเพ่งมองในจอจึงเห็นอะไรบางอย่าง
“ที่หมัดของมัน...” พายุเอ่ยออกมา
“ใช่ มันใช้สนับมือ เพื่อเพิ่มความหนักหน่วง ... ดูต่อแล้วกัน”
ระหว่างที่แอบถ่าย พวกมันคนหนึ่งก็หันมาเห็นคนถ่าย ทุกคนจึงวิ่งเข้ามา ตากล้องวิ่งหนีแล้วปีนขึ้นมาบนรั้วก่อนจะหันกลับไปถ่าย พวกลูกสมุนตามมารุมต่อยเพื่อนตากล้องจนเลือดกระเด็นมาโดนหน้ากล้อง
ติงลี่กดปุ่ม pause ทำให้เห็นสนับมือที่ติดปลายมีดสั้นๆ
“ไม่ใช่สนับมือธรรมดา มันติดปลายมีดด้วย ทั้งหนักทั้งคม” ติงลี่บอก
“พวกมันโหดมาก” พายุว่า
“แต่เราต้องโหดกว่า ไม่อย่างนั้นก็ไม่ชนะ...กลัวไหมพายุ” ติงลี่ถาม
“แค่นี้ไม่น่ากลัวหรอกครับ” พายุบอก
ติงลี่มองพายุด้วยความพอใจ
“มันต้องให้ได้อย่างงี้สิ ถึงจะเรียกลูกผู้ชาย แต่ถึงจะไม่กลัว ยังไงเนื้อหนังก็สู้คมมีดไม่ได้ อั๊วเลยเตรียมไอ้นี่ให้”
ติงลี่กระชากผ้าคลุมที่คลุมโต๊ะอยู่ทำให้เห็นกองเสื้อเกราะกันกระสุน
“เสื้อเกราะ” ติงลี่บอก
พายุอึ้งไป
“ขนาดกระสุนยังกันได้ นับประสาอะไรกับคมดาบของพวกมัน ถึงวันลุย อั๊วจะแจกให้พวกเราคนละตัว คมมีดพวกมันไม่ยาว โดนแขนโดนขาไม่โดนท้องโดนหลังยังพอทน ไม่ต้องกลัวของเล่นของพวกมัน”
พายุมองที่เสื้อเกราะ

ณ ลานโล่งติดกับโรงอาหาร เสียงคนนั่งกินข้าวคุยกันล้งเล้งอยู่ในโรงอาหาร กังฟูเดินออกมาแล้วหันกลับไปมองโรงอาหารก็เห็นคนยังกินข้าวกันอยู่ กังฟูนั่งลงแถวนั้นเพื่อทำสมาธิ
สักพักกังฟูก็ลุกขึ้นเดินไปหยุดกลางลานโล่งแล้วซ้อมเพลงหมัดแปดทิศอย่างตั้งอกตั้งใจ ยิ่งซ้อมก็ยิ่งดุ ยิ่งทำได้เร็ว

ฮูหยินเดินออกมาจากโรงอาหารพอเห็นกังฟูนั่งหันหลังให้ ฮูหยินก็งงว่ากังฟูทำอะไร กังฟูหลับตาฝึกซ้อมเพลงมวยในจินตนาการ

กังฟูในจิตนาการกำลังซ้อมเพลงมวยแปดทิศด้วยท่าทีที่ดุดันขึ้นเรื่อยๆ ฮูหยินงงจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ กังฟูที่นั่งอยู่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง กังฟูลืมตาแล้วหันขวับกลับมาเจอฮูหยิน
“อาจารย์แม่”
“ลื้อนั่งทำอะไรอยู่คนเดียววะ” ฮูหยินถาม
“อั๊วซ้อม...เอ่อ...” กังฟูอึกอัก
“ซ้อมงิ้วเหรอ”
กังฟูยิ้มแทนคำตอบ
ฮูหยินพูดต่อ “ใครเขาซ้อมงิ้วในใจอย่างลื้อวะ ซีปังโต้ว ลื้อจะเลียนแบบจอมยุทธเมื่อก่อนเรอะไง ฝึกซ้อมในความคิดน่ะ ฮ่าๆ”
ฮูหยินส่ายหน้าแล้วเดินจากไป
กังฟูบ่นออกมา “ขืนซ้อมจริงๆ อาจารย์แม่มาเห็นคงไล่อั๊วออกไปแน่ๆ”
แล้วกังฟูก็หลับตาลง กังฟูรำมวยแปดทิศในจิตนาการต่อไป
อ่านต่อตอนที่ 6

กำลังโหลดความคิดเห็น