นางกลางไฟ ตอนที่ 11
ตะวันฉายพยายามดึงรั้งห้ามปรามดวงสุดาที่ดึงทึ้งดอกไม้ไม่ยั้งมือ วัลลภายืนมอง แล้วหัวเราะ
อย่างสะใจ
“ถอนมันให้หมดทั้งรากทั้งโคน อย่าให้เหลือแม้แต่ซาก ฮ่าๆๆ”
ตะวันฉายผลักดวงสุดาออกไป
“คุณไม่มีสิทธิ์มาทำลายข้าวของในบ้านฉันนะ”
ดวงสุดายิ้มเยาะ “ไม่มีสิทธิ์งั้นเหรอ”
พูดพลางผลักตะวันฉายล้มลง แล้วดึงทึ้งดอกไม้ต่อ กล้วยวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณตะวัน” จากนั้นก็หันมาทางดวงสุดา “หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
กล้วยจะพุ่งเข้าหาดวงสุดา แต่กลับถูกวัลลภาจิกหัว แล้วตบจนกระเด็นไป กล้วยโมโหลุกขึ้นสู้ ทันใดนั้นซูซี่ ก็โผล่เข้ามา
“หยุด”
ทุกคนชะงัก ซูซี่จ้องดวงสุดากับวัลลภาอย่างเอาเรื่อง
“ที่นี่ไม่ต้อนรับคนอันธพาล ไสหัวพวกแกออกไป ทั้งน้าทั้งหลาน”
ดวงสุดาจ้องหน้าซูซี่อย่างเอาเรื่อง “สาระแนแส่ทุกเรื่องเลยนะ อีกะเทยคางคก”
“ถ้าอย่างฉันเรียกว่าสาระแน อย่างแกก็ต้องเรียกว่าสถุน ไพร่ ไร้การศึกษา”
ดวงสุดาแทบกรี๊ด “อีกะเทยปากโสโครก”
พลางง้างมือจะตบ ซูซี่รีบหยิบสายยางฉีดน้ำขึ้นมาขู่ ดวงสุดาถึงกับชะงัก ทันใดนั้นวัลลภาหันไปเห็นสาลี่ที่ย่องเข้ามามุมหนึ่ง พร้อมทำนิ้วส่งสัญญาณบอกโอเค.ก่อนจะรีบย่องออกไปนอกรั้ว
“วันนี้เอาแค่พอหอมปากหอมคอก็แล้วกัน”
วัลลภาพูดพลางขยิบตาให้สัญญาณว่าสาลี่ทำงานเสร็จแล้ว ดวงสุดาพยักหน้ารับ ก่อนจะทำเป็นขู่อาฆาตตะวันฉาย
“ตราบใดที่แกไม่ยอมเลิกแย่งผัวฉัน ฉันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของแก และชีวิตของแก จะหาความสงบสุขไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว จำไว้”
ดวงสุดาจ้องตะวันฉายอย่างอาฆาตแค้น แล้วออกไปพร้อมวัลลภา ตะวันฉายมองดอกไม้ที่ถูกถอนทิ้งอย่างเสียดาย
ดวงสุดาวัลลภา สาลี่มองเข้าไปในบ้าน พร้อมยิ้มร้าย
“ขอให้แกไปที่ชอบๆ ไปแล้วไปลับ อย่ากลับมาเป็นมารชีวิตฉันอีกชั่วกัปชั่วกัลป์”
จบประโยคของดวงสุดาทั้งหมดก็ประสานเสียงหัวเราะร้าย
ตะวันฉายนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ซูซี่เข้ามาด้วยสีหน้าแค้น
“นับวันนังสองน้าหลานมหาบรรลัยนั่น ยิ่งระรานเธอหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ พี่เป็นห่วงเธอจังเลยตะวัน กลัวว่าสักวันเธอจะพลาดท่าเสียทีให้พวกมัน”
ตะวันฉายยิ้ม
“พี่ซูซี่อย่ากังวลไปเลยค่ะ พวกเค้าแรงมา ตะวันก็แรงตอบ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
“แต่พวกนั้นมันหมาหมู่ ส่วนเธอหัวเดียวกระเทียมลีบ จะไปสู้พวกมันได้ยังไง พี่ว่าหายามมา เฝ้าหน้าบ้านจะดีกว่า พวกมันจะได้ไม่กล้าเข้ามาหาเรื่องเธอ”
กล้วยที่ยืนอยู่ใกล้ๆ รีบบอก
“กล้วยเห็นด้วยกับคุณซูซี่นะคะ เพราะพวกนั้นจะบุกเข้ามาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
ตะวันฉายนิ่งคิด
“งั้นตะวันขอปรึกษาคุณธวัชก่อนนะคะ”
ซูซี่พยักหน้าเห็นด้วย ครู่หนึ่งกล้วยยกชามข้าวต้มมาวางตรงหน้าตะวันฉาย ขณะเดียวกันซูซี่ก็เปิดฝาชามข้าวต้มที่วางอยู่ตรงหน้าตัวเอง เห็นว่าชามข้าวต้มเป็นสีเดียวกันลายเดียวกัน ตะวันฉายกับซูซี่ต่างตักข้าวต้มกินกัน
ทันใดนั้นซูซี่ก็น้ำลายฟูมปาก ชักกระตุก ตะวันฉายกับกล้วยตกใจ
รถพยาบาลเปิดไซเรน แล่นเข้ามาจอดหน้าโรงพยาบาลอย่างเร่งรีบ
ตะวันฉายกับกล้วยกระวนกระวายอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ด้วยความเป็นห่วงซูซี่ ครู่หนึ่งธวัช นิคม และมะปรางก็เดินเข้ามา
“พี่ซูซี่เป็นยังไงบ้างครับ ตะวัน” นิคมรีบถามตะวันฉาย
“หมอกำลังล้างท้องพี่ซูซี่อยู่ค่ะ”
ทุกคนมองเข้าไปในห้องฉุกเฉินอย่างเป็นห่วง
“พี่ซูซี่ต้องไม่เป็นอะไร พี่ซูซี่ต้องปลอดภัยนะคะ”
มะปรางภาวนา ก่อนที่ธวัชขึ้นด้วยความสงสัย
“แล้วพี่ซูซี่โดนยาพิษได้ยังไงครับ ?”
ทุกคนยืนมองซูซี่ที่สีหน้าอิดโรยซีดเซียวนอนหลับอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้น
“ตอนที่กล้วยทำข้าวต้มอยู่ในบ้าน คุณดวงสุดากับคุณวัลลภามาหาเรื่องฉัน สาลี่คงจะแอบเข้าไปในบ้านตอนที่ฉันเผลอน่ะค่ะ”
ตะวันฉายคะเน กล้วยรีบเสริม
“นังสาลี่มันเข้ามาในบ้าน ตอนที่กล้วยตักข้าวต้มใส่ชามทิ้งไว้พอดีเลยค่ะ”
“กล้วยกำลังจะบอกว่า สาลี่เป็นคนวางยาพิษในข้าวต้มเหรอ.?”
ธวัชหันมาถาม ตะวันฉายรีบบอก
“ฉันกับกล้วยแค่สันนิษฐานน่ะค่ะ”
นิคมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ไอ้วัช ฉันว่ามีความเป็นไปได้สูงนะที่คุณดาจะแกล้งทำเป็นหาเรื่องคุณตะวัน เพื่อเบนความสนใจของคุณตะวัน พอคุณตะวันเผลอ ก็ให้สาลี่เข้าไปวางยา”
“หมายความว่าดาตั้งใจจะฆ่าตะวัน”
“บังเอิญกล้วยเอาข้าวต้มชามที่มียาพิษมาให้พี่ซูซี่กิน พี่ซูซี่เลยรับเคราะห์แทนคุณตะวัน”
มะปรางจับมือซูซี่ ด้วยความสะเทือนใจ ตะวันฉายน้ำตาริน
“พี่ซูซี่เกือบจะต้องมาตายแทนตะวัน”
ธวัชหันมาพูดกับตะวันฉาย “ถ้าไม่มีพี่ซูซี่ ผมอาจจะไม่ได้เห็นหน้าคุณไปตลอดชีวิต “
พูดจบก็ดึงตะวันฉายมากอด น้ำตาคลอด้วยความสะเทือนใจไม่แพ้กัน
“ดาจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
“ฉันไม่รู้เรื่อง อย่ามาปรักปรำฉันนะ” ดวงสุดาปฏิเสธเสียงแข็ง
“ผมคงไม่บังอาจกล้าปรักปรำคุณ ถ้าคุณไม่ได้อยู่ที่บ้านสวน ก่อนที่จะเกิดเหตุ”
ธวัชจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง สายป่านกับสุนทรีย์เข้ามา ก็หยุดฟัง
“ถึงฉันจะอยู่ที่นั่นก่อนจะเกิดเหตุ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะเป็นคนวางยานังตะวัน อย่ามาปรักปรำฉันโดยที่ไม่มีหลักฐาน”
ธวัชพูดตอบดว้ยน้ำเสียงโมโห
“เสียดายที่ตำรวจตรวจไม่พบลายนิ้วมือคนทำ แต่ถึงจะไม่มีหลักฐาน ผมก็พอจะเดาออกว่าคนที่คิดจะฆ่าตะวัน จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณ เพราะคุณเป็นคนเดียวในโลกใบนี้ที่อยากจะให้ตะวันตาย”
ดวงสุดาอึ้ง “ไม่จริง นังตะวันมันใส่ร้ายฉัน”
“ตะวันไม่เคยคิดจะทำร้ายคุณ มีแต่คุณที่จ้องจะทำร้ายเค้าตลอดเวลา ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะโหดเหี้ยมอำมหิต ถึงขนาดคิดจะฆ่าตะวันกับลูกได้ลงคอ นับวันผมยิ่งเห็นความแตกต่างระหว่างคุณกับตะวันมากขึ้นทุกที”
ดวงสุดาเจ็บจนน้ำตาคลอ “นังตะวันมันดีงามเลิศเลอ แต่ฉันชั่วช้าต่ำทราม งั้นใช่ไหม”
“ที่ผ่านมา การกระทำหลายๆอย่างของคุณ มันเป็นเครื่องพิสูจน์และอธิบายทุกอย่างได้ชัดเจน รู้ไว้เลยนะ การที่คุณทำร้ายตะวัน ก็เท่ากับทำร้ายผมด้วย และถ้าตะวันเป็นอะไรไป ผมก็ให้อภัยคุณไม่ได้เหมือนกัน”
ธวัชจ้องดวงสุดาด้วยความโกรธและผิดหวังอย่างรุนแรง ก่อนจะเดินออกไป
ดวงสุดาน้ำตาร่วง นึกไม่ถึงว่าธวัชจะรักตะวันฉายถึงเพียงนี้ สายป่านกับสุนทรีย์ก็อึ้งไปเช่นกัน
ธวัชเดินออกมาด้วยความโกรธ ครู่หนึ่งสุนทรีย์ก็เดินเข้ามาข้างหลัง
“ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ ผมอยากอยู่คนเดียว”
“แม้แต่แม่ วัชก็ไม่อยากจะคุยด้วยเหรอ”
ธวัชชะงัก แล้วหันมา “วัชเชื่อจริงๆเหรอว่าหนูดาคิดจะฆ่าแม่ตะวันฉาย หนูดาจะกล้าทำเรื่องเลวๆแบบนั้นได้ยังไง”
“เลวแค่ไหน ดาก็ทำได้เพื่อสิ่งที่เค้าต้องการ แล้วตะวันก็ไม่มีศัตรูที่ไหน นอกจากดา ดาเค้าคิดจะฆ่าเมียผม ฆ่าลูกผม แม่ได้ยินไหมครับ”
“ถ้ายังหาหลักฐานไม่ได้ วัชก็ไม่ควรจะด่วนสรุปอะไรตอนนี้นะ”
“ถึงจะไม่มีหลักฐานเอาผิดกับดา แต่ผมเชื่อว่ายังไง ดาก็ไม่มีวันหนีพ้นกรรมที่เค้าก่อเอาไว้หรอกครับ”
ธวัชพุดด้วยแววตาแค้น สุนทรีย์นิ่งเงียบไป เถียงไม่ออก ก่อนจะมองธวัชนิ่งๆ
“แม่ไม่เคยเห็นวัชโกรธใครรุนแรงขนาดนี้มาก่อน วัช แม่ตะวันฉายท้องจริงๆเหรอ เด็กในท้อง....”“เด็กในท้องของตะวันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่ เค้าเป็นหลานของแม่จริงๆครับ ตะวันไม่ได้เป็นอย่างที่ใครๆกล่าวหา ทุกคนเชื่อข่าวโคมลอย แล้วก็ตัดสินตะวันด้วยอคติ ประณามหยามเหยียดตะวันไปต่างๆนานาฆ”
ธวัชจับมือสุนทรีย์ แล้วบอกอย่างจริงจัง
“ผมอยากให้แม่กับทุกคนมองตะวันด้วยหัวใจ มองด้วยความรู้สึกที่เป็นกลาง แล้วทุกคนจะเห็นตัวตนจริงๆของตะวัน เค้าไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ทุกคนคิดเลย”
ห่างออกไปสายป่านยืนฟังอย่างรู้สึกผิดที่เคยทำไม่ดีต่อตะวันฉาย
อ่านต่อหน้า 2
นางกลางไฟ ตอนที่ 11 (ต่อ)
ธวัชจูงมือตะวันฉายเข้ามาหาสุนทรีย์ หญิงสาวถึงกับทำตัวไม่ถูก
“สวัสดีค่ะคุณป้า”
สุนทรีย์ยังคงวางท่าเย็นชา “ไหว้พระเถอะ” จากนั้นก็ขอให้ธวัชออกไปก่อน เพราะอยากคุยกับตะวันฉายตามลำพัง
สุนทรีย์มองตะวันฉายนิ่งๆ
“ที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะเห็นแก่หลาน ฉันมาเพื่อเยี่ยมเยือนหลานฉัน หวังว่าเธอคงจะไม่คิดหวังเป็นอย่างอื่นหรอกนะ”
“ค่ะ ตะวันทราบสถานะตัวเองดีค่ะ ตะวันกราบขอโทษคุณป้านะคะ ที่ตะวันเข้ามาสร้างความวุ่นวายในชีวิตคุณธวัช รวมทั้งสร้างความวุ่นวายใจให้คุณป้าด้วย”
“ที่จริงเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความผิดของเธอคนเดียว ต้นเหตุจริงๆ เกิดจากลูกชายฉันที่ไปยุ่งกับเธอก่อน ฉันเสียใจนะที่ลูกชายฉันเป็นสาเหตุทำให้ชีวิตเธอต้องมีรอยด่างพร้อย”
ตะวันฉายยิ้มอย่างจริงใจ
“ตะวันกับคุณธวัช เรารักกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่รอยด่างพร้อยหรอกค่ะ แต่มันเป็นโชคชะตาที่พาเรามาพบกันมากกว่า”
“ เธอรักลูกชายฉันจริงๆเหรอ” สุนทรีย์ไม่วายถามย้ำ
“คุณธวัชเป็นทั้งชีวิต เป็นทั้งลมหายใจ เค้าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของตะวันค่ะ”
“แล้วเธอจะทนอยู่ในสภาพเมียเก็บแบบนี้ ไปได้นานสักเท่าไหร่กันเชียว”
“ตะวันทนได้ค่ะ ขอแค่ลูกได้มีพ่อ มีครอบครัวที่อบอุ่น ขอแค่พื้นที่เล็กๆให้ลูกได้รับความรัก ความอบอุ่นจากพ่อ ตะวันไม่เคยคิดจะเรียกร้องอะไรจากคุณธวัชมากไปกว่านี้จริงๆค่ะ”
สุนทรีย์นิ่งเงียบไป รู้สึกนับถือน้ำใจของตะวันฉายไม่น้อย ห่างออกไป ธวัชแอบดูอยู่มุมหนึ่ง แล้วพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ถ้าแม่จะไม่ยอมรับตะวันในฐานะสะใภ้ก็ไม่เป็นไรนะครับ ขอแค่แม่อย่าโกรธเกลียดตะวันก็พอ”
ดวงสุดา วัลลภาและสุนทรีย์ เดินเข้ามาในร้านต้นไม้ด้วยกัน
“ขอบใจหนูดามากนะจ๊ะที่อุตส่าห์สละเวลาพาแม่มาซื้อต้นไม้”
ดวงสุดายิ้มประจบ
“คุณแม่อย่าพูดแบบนี้สิคะ เราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ดาเคารพรักคุณแม่เหมือนแม่แท้ๆ ถ้าคุณแม่ต้องการความช่วยเหลือจากดา ดาก็ยินดีเสมอค่ะ”
วัลลภารีบพูดขึ้นบ้าง
“เมื่อไหร่จะไปเลือกต้นไม้กันสักที ฉันร้อนจนตัวจะละลายแล้วเนี่ย”
จังหวะนั้นเองเจ้าของร้านก็เดินเข้ามาเชื้อเชิญให้เข้าไปชมด้านใน แต่วัลลภาบอกว่าขอนั่งรออยู่ด้านนอก
เด็กในร้านยกต้นไม้ใส่กระโปรงท้ายรถ ดวงสุดา สุนทรีย์และวัลลภาเดินตามมาที่รถ ขณะเดียวกันตะวันฉายก็ขับรถเข้ามา โดยมีมะปรางนั่งมาด้วย
“ขอบใจปรางมากนะที่ไปช่วยตะวันซื้อของใช้ให้ตาสายฟ้า”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ เพื่อตะวันเพื่อนรัก ปรางทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”
ดวงสุดาเลี้ยวรถออกไป โดยไม่ทันมองรถตะวันฉายที่วิ่งเข้ามาข้างหลัง ทำให้รถเกือบชนกัน ดีที่ทั้งคู่เบรกทัน วัลลภากับสุนทรีย์ร้องตกใจ
ดวงสุดาโมโหรีบเดินปรี่ไปจะเอาเรื่อง ตะวันฉายกับดวงสุดาเห็นหน้ากันก็ชะงัก
ดวงสุดาแหวใส่ตะวันทันที
“แกขับรถไม่มีสมองหรือยังไง ไม่เห็นเหรอว่าฉันกำลังจะเลี้ยวรถออก”
ตะวันฉายเถียงกลับ “คุณมากกว่าที่ไม่มีสมอง จะเลี้ยวรถไม่รู้จักเปิดไฟเลี้ยว ซื้อใบขับขี่มาหรือยังไง”
ดวงสุดาโมโห ง้างมือจะตบตะวัน สุนทรีย์กับวัลลภารีบลงจากรถไปห้าม
“อย่าหนูดา ใจเย็นๆ ค่อยๆพูด ค่อยๆจากันดีกว่า”
ดวงสุดาหันมาทางสุนทรีย์ “นังตะวันมันว่าดาไม่มีสมอง ดาจะสั่งสอนมันค่ะ”
วัลลภายุส่ง “สั่งสอนมันเลยยัยดา อย่าปล่อยให้มันจองหองจนเคยตัว”
ตะวันฉายสวนทันที
“พวกคุณเอาเวลาไปสั่งสอนตัวเองจะดีกว่า เอะอะอะไรก็ใช้แต่กำลัง สมองมีทำไมไม่หัดใช้กันซะบ้าง”
ดวงสุดากับวัลลภาโมโห ง้างมือจะตบ ตะวันฉายเลยผลักดวงสุดาไปชนวัลลภา
“ฉันไม่ชอบตัดสินปัญหาด้วยกำลัง และไม่อยากจะมีเรื่อง ขอให้จบแค่นี้”
พูดพลางจะเดินกลับไปขึ้นรถ มะปรางจะตามไป ทันใดนั้นดวงสุดาปรี่ไปหาตะวัน
มะปรางร้องลั่น “ตะวัน ระวัง “
ดวงสุดาผลักตะวันฉายกระแทกรถ แล้วง้างมือจะตบ ตะวันฉายจับมือดวงสุดาไว้ สุนทรีย์ร้องห้ามเสียงหลง
“หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดทั้งสองคน”
ดวงสุดาแกล้งดีดตัวกระเด็นไปกระแทกกระโปรงรถตัวเอง
“โอ๊ย”
ทุกคนตกใจ ตะวันฉายชะงัก งงว่าดวงสุดากระเด็นไปกระแทกรถได้ยังไง สุนทรีย์รีบเข้าไปดูดวงสุดา
“หนูดาเป็นยังไงบ้าง ?”
วัลลภาหันขวับมา “นังตะวัน แกทำร้ายหลานฉัน”
“ตะวันฉาย หนูดากำลังท้องกำลังไส้ เธอทำร้ายคนท้องอย่างงี้ได้ยังไง แล้วถ้าเกิดหนูดาเป็นอะไรขึ้นมา เธอจะทำยังไง”
สุนทรีย์มองตะวันฉายอย่างตำหนิ
“เปล่านะคะ ตะวันไม่ได้ทำ”
วัลลภาจ้องหน้า “ไม่ได้ทำ แล้วหลานฉันจะตัวปลิวมากระแทกรถได้ยังไง”
ตะวันฉายตั้งท่าจะเถียง สุนทรีย์รีบร้องห้าม
“พอได้แล้ว ถ้าต่างคนต่างจะเอาเรื่องกัน ยังไงก็คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก”
ดวงสุดากับวัลลภามองตะวันฉายอย่างแค้นใจ
วัลลภาประคองดวงสุดา ที่เดินกุมท้องเข้ามาในบ้าน สาลี่เข้ามาถามอย่างเป็นห่วง
“อุ้ย คุณดาเป็นอะไรคะ ?”
วัลลภารีบตอบแทน “ก็โดนนังตะวันเล่นงานมาน่ะสิ”
ดวงสุดายิ้มสะใจ
“ดาต่างหากที่เล่นงานนังตะวัน ดาแกล้งกระเด็นไปชนรถ เพื่อเรียกร้องความสงสารจากคุณแม่ และทำให้คุณแม่เกลียดนังตะวัน”
วัลลภาถึงกับอึ้ง“วิธีอื่นมีเยอะแยะ ทำไมต้องลงทุนยอมเจ็บตัวถึงขนาดนี้ด้วย”
“แต่มันก็ได้ผลไม่ใช่เหรอคะ ยิ่งเติมเชื้อไฟเข้าไปมากเท่าไหร่ คุณแม่ก็จะยิ่งเกลียดนังตะวันมากขึ้นเท่านั้น นี่ถ้าดาแกล้งแท้งต่อหน้าต่อตาคุณแม่ได้นะ ดาทำไปนานแล้ว ใช่แล้ว โอกาสทองมาถึงแล้ว” ดวงสุดายิ้มร้าย
ซูซี่เดินอยู่ในตลาด พลางปรายตาเห็นสาลี่ ที่ซื้อเลือดหมูอยู่กับแม่ค้าใกล้ๆ กำลังคุยมือถืออยู่“ของที่คุณดาต้องการ ได้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
สาลี่เดินออกไป โดยไม่เห็นซูซี่ ที่มองอย่างแปลกใจ
“นังสาลี่มันจะเอาเลือดหมูไปทำอะไร ถุงใหญ่ขนาดนั้น”
สาลี่เปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของดวงสุดา แล้วรีบรายงานว่าธวัชมาแล้ว วัลลภาพยักหน้า“ดาปวดท้องเหรอ” ธวัชรีบถามสาลี่ที่เดินออกจากห้องหน้าตาตื่น ทันใดนั้นเสียงวัลลภาร้องโวยวายก็ดังมาจากในห้อง
“ยัยดา ช่วยด้วย ช่วยยัยดาด้วย”
ธวัชตกใจ รีบเข้าไปในห้อง เห็นวัลลภาประคองดวงสุดาที่นอนตัวงออยู่ที่พื้น เลือดแดงฉานเปรอะเต็มหว่างขา
บุรุษพยาบาลเข็นเตียงดวงสุดาเข้ามา โดยมีธวัช กับวัลลภาวิ่งตามมาติดๆ ซูซี่กับปุ้ม ที่ยืนคุยกันอยู่แถวนั้น หันมอง
ดวงสุดาแกล้งร้องโอดโอย “วัช ช่วยดาด้วย ดาวปวดท้องเหลือเกิน”
ธวัชจับมือดวงสุดาแน่น “เข้มแข็งไว้นะครับดา”
ปุ้มยัดถุงขนมใส่มือซูซี่แล้ววิ่งตามไป ซูซี่รีบเดินตามไปที่หน้าห้องฉุกเฉิน พลางมองเลือดที่เปรอะขาดวงสุดาอย่างตกใจ
บุรุษพยาบาลเข็นดวงสุดาเข้าห้อง หมอรีบเดินตามเข้าไป ปุ้มจะเข้าไปด้วย แต่ถูกพยาบาลห้ามไว้ แล้วสั่งให้ไปเตรียมห้องพักฟื้นให้คนไข้ ปุ้มพยักหน้าแล้วเดินออกไป ธวัชมองเข้าไปในห้องฉุกเฉินอย่างเป็นห่วงดวงสุดา
วาทิน สายป่าน นิคม ดำรง สุนทรีย์เข้ามา
“ยัยดาเป็นยังไงบ้าง” ดำรงหันมาถามวัลลภา
“เพิ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินเมื่อกี้”
พลางเล่าเหตุการณ์ให้ทุกคนฟัง
“ก่อนหน้านี้ยัยดามีเรื่องกับนังตะวัน นังตะวันมันผลักยัยดาไปกระแทกรถ พอกลับมาที่บ้าน ยัยดาก็ปวดท้องรุนแรง แล้วเลือดก็ไหลออกมา”
ทุกคนฟังอย่างตกใจ พลางนั่งรอฟังข่าวอย่างใจจดจ่อ ครู่หนึ่งหมอก็เปิดประตูออกมา
“หมอครับ ภรรยาผมเป็นยังไงบ้างครับ” ธวัชรีบถาม
“ภรรยาคุณปลอดภัยดีครับ แต่เธอแท้งแล้ว ครรภ์ของคนไข้ได้รับการกระทบกระเทือน แล้วคนไข้ก็เสียเลือดมาก เราเลยยื้อชีวิตเด็กไว้ไม่ทัน”
ทุกคนอึ้งตกใจ
จากนั้นทุกคนก็เข้ามาเยี่ยมอาการของดวงสุดาในห้องด้วยความเป็นห่วง วัลลภาลูบหัวดวงสุดา น้ำตาไหล
“โถ หลานน้า ทำไมถึงได้เคราะห์ร้ายขนาดนี้ ยัยดาแท้งเพราะนังตะวัน มันจงใจทำร้ายยัยดา มันจงใจทำให้ยัยดาแท้ง”
ธวัชiรีบแก้แทน
“สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุ ตะวันไม่ได้ตั้งใจหรอกนะครับ”
“ไม่ใช่อุบัติเหตุ นังตะวันมันจงใจทำร้ายยัยดา ไม่เชื่อก็ถามแม่นายดูสิ”
สุนทรีย์พยักหน้า
“แม่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดกับตา วัชเลิกหลับหูหลับตาเข้าข้างตะวันฉายได้แล้ว”
ธวัชนิ่งไปไม่เชื่อ เช่นเดียวกับนิคมและซูซี่ วัลลภาแอบยิ้มสะใจ
ซูซีjเปิดประตูออกมา สีหน้าครุ่นคิด แล้วนึกถึงตอนที่เห็นสาลี่ซื้อเลือดหมู ตอนที่เห็นเลือดเปรอะขาดวงสุดา และตอนที่ธวัชบอกว่าดวงสุดาเปลี่ยนโรงพยาบาล เปลี่ยนหมอ
ครู่หนึ่งปุ้มก็ถือถาดยาเข้ามา
“ปุ้ม ช่วยอะไรพี่หน่อยสิ”
อ่านต่อหน้า 3
นางกลางไฟ ตอนที่ 11 (ต่อ)
ดวงสุดาหลับบนเตียง ธวัชจับมืออย่างเป็นห่วง วัลลภา นิคม สายป่าน สุนทรีย์อยู่ด้วย
“ฟื้นสักทีสิยัยดา น้าห่วงดาจนใจจะขาดอยู่แล้วนะ”
ครู่หนึ่งดวงสุดาก็รู้สึกตัวตื่น มองทุกคน มองรอบห้อง แล้วแกล้งทำท่าตกใจ
“ลูก ลูกยังอยู่กับดาใช่ไหมคะ ลูกของเราไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะวัช”
ธวัชพูดไม่ออก วัลลภาทำเป็นร้องไห้โฮ สุนทรีย์รีบบอก
“หนูดาตั้งสติให้ดีๆนะ หนูดาแท้ง ลูกไม่อยู่กับหนูดาแล้ว”
ดวงสุดาทำหน้าตกใจ “ไม่จริง ดาไม่เชื่อ ไม่จริงใช่ไหมวัช”
ธวัชหน้าเศร้า “ลูกไม่อยู่แล้ว ดาต้องทำใจนะครับ”
ทุกคนมองดวงสุดาอย่างสงสาร ทันใดนั้นตะวันฉายก็เปิดประตูเข้ามา พร้อมกับซูซี่ มะปราง
ดวงสุดาจะถลาไปหาตะวันฉาย แต่กลับถูกธวัชดึงไว้
“ดาใจเย็นๆนะครับ”
สุนทรีย์หันมามองหน้าตะวันฉาย
“ฉันเสียหลานไปก็เพราะเธอ เธอทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของฉัน เธอเคยนึกถึงจิตใจของคนที่เค้าสูญเสียบ้างไหมว่าเค้าจะรู้สึกยังไง เธอมันใจยักษ์ ใจมาร ใจดำ เห็นแก่ตัว”
ตะวันฉายส่ายหน้าปฏิเสธ
“ตะวันไม่ได้ทำร้ายคุณดวงสุดา ตะวันไม่ได้ทำอะไรผิดนะคะคุณป้า”
ดวงสุดาตะคอกใส่หน้า
“หน้าด้าน ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ถ้าแกไม่ได้ผลักฉัน แล้วฉันจะเซไปกระแทกรถได้ยังไง”
“ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันไม่ได้ผลักคุณจริงๆนะคะ ฉันขอยืนยันว่าฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”
ตะวันฉายยืนยัน สุนทรีย์ถอนหายใจ
“อย่าทำให้ฉันรู้สึกแย่กับเธอไปมากกว่านี้เลยตะวันฉาย ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าเธอทำให้หนูดาแท้ง ฉันจะไม่ให้อภัยเธอเลย กลับไปซะ กลับไปอยู่ในที่ของเธอ อย่ามาสร้างความวุ่นวายให้ใครต่อใครอีก ไม่อย่างงั้นชีวิตเธอจะหาความสงบสุขไม่ได้”
ธวัชรีบหันมาบอก “ตะวันกลับไปก่อนนะครับ”
ตะวันฉายหันมาพูดกับดวงสุดา
“ฉันเสียใจนะคะที่คุณเสียลูกไป แต่ฉันไม่เคยคิดจะทำร้ายคุณ และความจริงเป็นยังไง ไม่มีใครที่จะรู้ดีมากไปกว่าตัวคุณหรอกค่ะ”
พูดจบก็เดินออกไป ซูซี่กับมะปรางตามไป ดวงสุดากับวัลลภาแอบยิ้มสะใจ
“ได้เรื่องยังไงบ้าง ?”
ซูซี่รีบถาม ปุ้มย้อนนึกถึงตอนที่เข้าไปในห้องฉุกเฉิน แล้วตรงไปที่ถังขยะที่เต็มไปด้วยสำลีเปื้อนเลือด ก่อนที่จะหยิบถุงมือมาใส่ แล้วหยิบสำลีก้อนหนึ่งขึ้นมาใส่ถุงใบเล็กๆ
“ปุ้มเอาเลือดไปตรวจแล้วค่ะ เลือดนั่นเป็นเลือดหมู ไม่ใช่เลือดคน ปุ้มไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณหมอจะรู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ด้วย”
ขณะที่หมอนั่งอยู่ที่มุมปลอดคน ดวงสุดากับวัลลภาเข้ามา ดวงสุดายื่นซองเงินให้หมอ
“หวังว่าพยาบาล 2 คนนั่น จะไว้ใจได้นะคะพี่หมอ”
หมอมองเงินแล้วยิ้ม “สองคนนั่นไม่มีทางปากโป้งแน่นอน สบายใจได้”
ซูซี่กับปุ้มแอบดูอยู่ ซูซี่ใช้มือถือถ่ายคลิปไว้หมดแล้ว
ดวงสุดาแกล้งตีหน้าเศร้าดำรงพูดปลอบ
“แกต้องทำใจให้ได้นะยัยดา เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ยังไงชีวิตแกก็ต้องก้าวไปข้างหน้า จะมานั่งซึมเศร้า หมดอาลัยตายอยาก ไม่เป็นอันทำอะไรแบบนี้ไม่ได้”
สุนทรีย์ช่วยพูดด้วยอีกคน
“ไม่มีใครที่ไม่เคยสูญเสียหรอกนะหนูดา คิดซะว่าคงยังไม่ถึงเวลาที่เด็กเค้าจะมาเกิดก็แล้วกัน เสียแล้วเสียไป ยังไงหนูดาก็ท้องได้อีกนะ”
ทันใดนั้นซูซี่เดินเข้ามา
“ทุกคนฟังฉันให้ดีนะคะ ยัยดวงสุดาไม่ได้ท้อง และไม่ได้แท้ง เหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อน เป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น มันวางแผนทำให้ทุกคนเชื่อว่ามันท้อง เริ่มจากซื้อปัสสาวะคนท้องไปให้หมอตรวจ พอคุณธวัชจะพามันไปฝากท้อง มันกลัวความลับจะแตก เลยเปลี่ยนโรงพยาบาล เปลี่ยนหมอ จากนั้นก็แกล้งทำเป็นแท้ง โดยเอาเงินฟาดหัวหมอให้ร่วมมือด้วย”
ดวงสุดาโวยวาย
“ไม่จริง ฉันไม่ได้ตกต่ำ ถึงขนาดจะต้องทำแบบนั้น อย่ามากล่าวหาฉันพล่อยๆ”
ซูซี่ยิ้มหยัน
“ฉันเอาเลือดที่แกอุปโลกน์ว่าเป็นเลือดที่แกแท้งออกมาไปตรวจเรียบร้อยแล้ว มันคือเลือดหมู ไม่ใช่เลือดคน แกให้นังสาลี่ไปซื้อเลือดที่ตลาด ฉันเห็นกับตา พอไปเจอแกที่โรงพยาบาล ฉันสงสัย เลยตามสืบจนรู้ความจริงทั้งหมด”
พูดพลางควักมือถือขึ้นมา เปิดคลิปที่ดวงสุดาให้เงินหมอให้ทุกคนดู ดวงสุดากับวัลลภาตกใจ “แล้วหมอก็สารภาพความจริงทุกอย่างหมดแล้ว”
หมอเดินเข้ามา “อาไม่มีทางเลือกจริงๆ คุณคนนี้จะฟ้องอา เค้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกนักข่าว
อาจำเป็นต้องรักษชื่อเสียงตัวเองกับโรงพยาบาลไว้ ไม่อย่างงั้นอนาคตของอาดับสลายแน่”
ดวงสุดาหน้าถอดสี พูดไม่ออก ทุกคนอึ้งมองหล่อนอย่างผิดหวัง !
ธวัชจ้องดวงสุดาอย่างเอาเรื่อง วัลลภา ดำรง วาทินยืนดูอยู่ใกล้ๆ
“คุณแกล้งท้อง แกล้งแท้ง คุณแต่งเรื่องโกหกผมทำไม ผมถามว่าคุณทำแบบนี้ทำไม ตอบมาสิดวงสุดา”
ดวงสุดาทนไม่ไหว โพล่งออกมา
“เพราะฉันไม่อยากเสียคุณไป ฉันไม่ต้องการให้นังตะวันเอาคุณไปจากฉัน คุณเข้าใจไหม”
“ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดขนาดนี้ ผมไม่น่าแต่งงานกับผู้หญิงอย่างคุณเลย ผมคิดผิดจริงๆ”
ธวัชเดินออกไปด้วยความโกรธผิดหวัง ดวงสุดาตะโกนไล่หลังธวัชอย่างเจ็บแค้นใจ
“ใช่สิ ฉันมันชั่ว ฉันมันเลว ใครจะไปดีงามเลิศเลอเหมือนอีนังตะวันยอดรักของคุณล่ะ ถ้ารักมันมาก หลงมันมาก ก็ไปเลย ไสหัวไปอยู่กับมัน อย่าโผล่มาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไป๊”
ดวงสุดาร้องไห้โฮ วัลลภาเข้าไปกอดปลอบ
สุนทรีย์พูดกับสายป่านด้วยสีหน้าผิดหวัง
“ที่ผ่านมา แม่ดีใจที่สุดที่รู้ว่าตัวเองได้หลาน แต่มาวันนี้ แม่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นแค่เรื่องโกหก หนูดาไม่น่าเลย ทำแบบนี้เท่ากับฆ่าตัวเองชัดๆ”
“พี่ดารักพี่วัชมาก มากจนยอมไม่ได้ ถ้าจะต้องเสียพี่วัชไป พี่วัชนั่นแหล่ะที่บีบคั้นให้พี่ดาต้องทำแบบนี้ พี่วัชหลงแม่ตะวันฉายจนหัวปักหัวปำ พี่ดาแทบจะไม่อยู่ในสายตาพี่วัชด้วยซ้ำ พี่ดาคงจะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ถึงได้ใช้วิธีนี้”
สุนทรีย์ได้แต่ส่ายหน้า เหนื่อยอกเหนื่อยใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ทางด้านดำรง ก็จ้องดวงสุดากับวัลลภาอย่างเอาเรื่อง
“แกกล้าโกหกพ่ออย่างนี้ได้ยังไง คิดว่าพ่อเป็นหัวหลักหัวตอ จะแต่งเรื่องโกหกยังไงก็ได้อย่างงั้นเหรอ แกทำให้พ่อเสียความรู้สึกมากนะ ยัยดา”
ดวงสุดาหน้าเศร้า
“ดาเองก็เสียใจเหมือนกัน ที่คุณพ่อไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยเข้าข้างดา คุณพ่อก็น่าจะรู้ว่าเพราะอะไร ดาถึงทำแบบนี้”
วัลลภาหันขวับมาทางดำรง
“คุณมันก็ดีแต่ต่อว่าซ้ำเติมลูก แทนที่จะเข้าใจให้กำลังใจกัน”
“แล้วทีคุณล่ะ ดีแต่ส่งเสริมสนับสนุน ให้ท้ายยัยดาในทางที่ผิด ระวังเถอะ สักวันจะเสียคนทั้งน้าทั้งหลาน”
ดวงสุดาพูดอย่างน้อยใจ “ดาไม่อยากเห็นหน้าคุณพ่อ”
“เออ ฉันก็เบื่อที่จะพูดกับแกแล้วเหมือนกัน”
ดำรงเดินออกไปอย่างโมโห ทันใดนั้นวาทินก็เดินเข้ามา
“เรื่องกำลังจะจบลงด้วยดีอยู่แล้ว ความลับไม่น่ามาแตกเอาตอนนี้เลย แล้วพี่ดาจะทำยังไงต่อไปครับ”
ดวงสุดาเชิดหน้านิ่ง
“ยังไงพี่ก็ไม่มีวันยอมแพ้นังตะวัน ถ้ามีมัน ก็ต้องไม่มีพี่ พี่จะสู้จนลมหายใจสุดท้าย วันใดที่นังตะวันชนะ วันนั้นคือวันตายของพี่ แล้วถ้าวันนั้นมาถึงทินกับทุกคนเตรียมเผาศพพี่ได้เลย”
ดวงสุดาบอกด้วยสีหน้าเจ็บแค้นใจสุดขีด
6 เดือนผ่านไป
ตะวันฉายที่ท้องแก่ใส่ชุดคลุมกำลังตากผ้าอ้อมเด็ก ธวัชเข้ามากอดด้านหลัง
“ผมอยากเห็นหน้าลูกเร็วๆจังเลย ผมอยากรู้ว่าลูกจะหน้าเหมือนผม หรือหน้าเหมือนคุณ หรือว่าจะเหมือนทั้งคุณทั้งผม ว่าแต่ตะวันตั้งชื่อให้ลูกไว้รึยังครับ”
ตะวันฉายหันหน้ามามอง
“ชื่อจริงยังไม่ได้ตั้ง แต่ชื่อเล่นตั้งไว้แล้วค่ะ ฉันอยากให้ลูกชื่อว่าสายฟ้า”
“น่ารักดีนะครับ มีตะวันก็ต้องมีฟ้า มีฟ้าก็ต้องมีตะวัน ตะวันกับฟ้าเป็นของคู่กัน งั้นผมขอตั้งชื่อจริงให้ลูกนะครับ ผมชอบชื่อนี้..กีรติ แปลว่าผู้มีเกียรติ”
ตะวันฉายยิ้ม “กีรติ เพราะดีค่ะ ความหมายก็ดีด้วย”
ธวัชจูบท้องตะวัน
“ดช.กีรติ ลูกพ่อ อ้อ ผมมีของมาเซอร์ไพร์สตะวันด้วยนะครับ”
ธวัชเอามือปิดตาตะวันฉายเข้ามาในสวน พอเปิดตาออก ตะวันฉายก็เห็นแมวเปอร์เซียน่ารักตัวหนึ่งนอนอยู่ในกระเป๋าที่วางอยู่ตรงหน้า
“ คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันชอบแมวเปอร์เซีย”
“ผมเดาเอาน่ะครับ ผมดีใจนะครับที่เดาใจคุณถูก”
ตะวันฉายยิ้มดีใจ
“ขอบคุณนะคะที่รู้ใจฉัน มีสัตว์เลี้ยงอยู่ใกล้ๆฉันจะได้ไม่เหงา อีกอย่างลูกจะได้มีเพื่อนเล่นด้วย ว่าแต่แมวตัวนี้ชื่ออะไรเหรอคะ”
“เค้ายังไม่มีชื่อหรอกครับ”
“งั้นฉันขอตั้งชื่อให้เค้านะคะ ตอนเด็กๆฉันชอบตัวการ์ตูนโดเรมอน งั้นให้เค้าชื่อโดเรมอนแล้วกัน น่ารักจังเลย เจ้าโดเรมอน แล้วนั่นถุงอะไรคะ”
ธวัชควักหนังสือนิทานออกมาจากถุง
“ผมซื้อหนังสือนิทานมาอ่านให้ลูกฟัง แล้วก็โมบายของเล่นกับรถไฟราง”
จากนั้นทั้งคู่ก็ช่วยกันประกอบรถไฟราง เสร็จแล้วประกอบโมบายของเล่น แล้วติดไว้ข้างบนเปลเด็ก ก่อนที่ธวัชจะอ่านนิทานให้ลูกฟัง ตะวันฉายยิ้มขำ
อ่านต่อหน้า 4
นางกลางไฟ ตอนที่ 11 (ต่อ)
ตะวันฉายนั่งจัดของใช้เด็กลงในตะกร้า แมวโดเรมอนอยู่ใกล้ๆ ครู่หนึ่งธวัชก็เดินถือกีตาร์เข้ามา ก่อนที่จะดีดกีตาร์ แล้วร้องเพลงซึ้งๆ นิคม มะปรางซูซี่ยิ้มตาม
ตะวันฉายยิ้มอย่างมีความสุข
“อุ้ย ลูกดิ้น สงสัยลูกจะได้ยินเสียงคุณร้องเพลงน่ะค่ะ”
“จริงเหรอครับ” พลางเอาหูแนบท้องตะวันฉายแล้วยิ้ม “ลูกดิ้นจริงๆด้วย”
“ลูกเตะฉันใหญ่เลยค่ะ”
“เบาๆนะครับลูก อย่าเตะคุณแม่แรง เดี๋ยวคุณแม่เจ็บนะครับ”
ตะวันฉายขำๆ ธวัชจูบท้อง แล้วดึงเธอมากอด ทั้งสองยิ้มมีความสุข
ตะวันฉายกับธวัชช่วยกันให้อาหารเจ้าโดเรมอน ธวัชแกล้งทำน้อยใจที่ตะวันฉายสนใจแมว
โดเรมอนมากกว่า
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะคะ คุณถึงจะเลิกน้อยใจ”
ธวัชยื่นแก้มให้หอม ตะวันฉายจะหอมแก้มธวัช แต่แล้วก็ต้องชะงัก
“โอ๊ยย ! ฉันเจ็บท้องค่ะ สงสัยจะเจ็บท้องคลอด”
ธวัชตื่นเต้น
“เจ็บท้องจะคลอดเหรอครับ เดี๋ยวนะครับ ผมไปเตรียมของก่อน ผมต้องเตรียมอะไรบ้างครับ อ๋อ ผ้าอ้อม ขวดผม เสื้อผ้า”
ธวัชวิ่งออกไป ตะวันฉายเจ็บร้องขึ้นอีก ธวัชวิ่งลนลานกลับมา
“ตะวันเจ็บมากไหมครับ”
ตะวันฉายหน้าเหยเก “โอ๊ย”
กล้วยวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณตะวันเป็นอะไรคะ กล้วยได้ยินเสียงคุณตะวันร้อง”
ธวัชรีบบอก “คุณตะวันเจ็บท้องจะคลอด”
กล้วยพลอยตื่นเต้นไปด้วย ธวัชรีบหากุญแจรถไปมา
“ไปวางไว้ไหนนะ ทำไมนึกไม่ออก อ้อ อยู่ในกระเป๋ากางเกงนี่เอง ไปกล้วย”
“เอ๊า คุณธวัชก็มาอุ้มคุณตะวันสิคะ กล้วยจะไปเก็บของ”
“จริงสิ”
ธวัชรีบอุ้มตะวันออกไป กล้วยส่ายหน้าขำๆ
ตะวันฉายถูกเข็นเข้าไปในห้องทำคลอด ธวัชตามเข้าไปด้วย
ธวัชลูบหัวตะวันฉายที่หลับอยู่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง ครู่หนึ่งก็รู้สึกตัวตื่น
“ลูกล่ะคะ ?”
“ พยาบาลกำลังพาลูกมาครับ”
ทันใดนั้นพยาบาลอุ้มสายฟ้าลูกของทั้งคู่เข้ามา ซูซี่ร้องดีใจ
“อุ้ย หลานมาแล้ว”
พยาบาลส่งสายฟ้าให้ตะวันฉาย ที่รับมาพลางจูบลูก แล้วน้ำตาคลอด้วยความตื้นตัน
“ลูกชายของแม่”
ธวัชจูบกระหม่อมลูก “สายฟ้า ลูกชายของพ่อ”
สุนทรีย์เข้ามาลูบหัวหลาน “หลานย่า หน้าตาน่าเกลียดน่าชังเชียว”
ทุกคนหัวเราะมีความสุข ต่างมองสายฟ้ายิ้มๆอย่างรักใคร่เอ็นดู
ดวงสุดา ที่ยืนดูอยู่หน้าประตูกับวัลลภา พลางจ้องสายฟ้าด้วยแววตาเกลียดชัง
“ไอ้เด็กหอกข้างแคร่ ไอ้เด็กนรก แกเกิดมาเพื่อเป็นมารชีวิตฉัน”
“ดา ที่ดาสัญญากับนายธวัชว่าจะเลิกระรานนังตะวัน ดาจะปล่อยให้มันแย่งนายธวัชไปง่ายๆอย่างงี้น่ะเหรอ”
ดวงสุดาส่ายหน้า
“ไม่หรอก ดาก็แค่หลอกให้วัชกับนังตะวันตายใจกันไปก่อน จากนั้นค่อยคิดบัญชีกับนังตะวันทีหลัง”
ดวงสุดาจิกตาร้าย
ตะวันฉายอุ้มสายฟ้าอยู่ที่ม้านั่งในสนาม ธวัชพร้อมคนอื่นๆนั่งอยู่ด้วย สุนทรีย์ใส่สร้อยข้อมือทองให้หลาน
“ขอให้หลานย่าอายุมั่นขวัญยืน อย่าเจ็บ อย่าไข้นะลูก”
ซูซี่ควักกำไลทองมาใส่ที่ข้อเท้าสายฟ้าบ้าง สายป่านมองหลานยิ้มๆ อย่างรักใคร่เอ็นดู ตะวันฉายยิ้มดีใจที่สายป่านท่าทางรักหลาน
ดวงสุดากับวัลลภายืนมองอยู่ที่ประตูรั้วบ้าน
“มีความสุขกันให้พอ หัวเราะกันให้เต็มที่ ก่อนที่พวกแกจะหัวเราะกันไม่ออก”
ดวงสุดากับวัลลภายิ้มร้าย
ตะวันฉายอุ้มสายฟ้าไปวางที่รถเข็น แล้วจะหยิบขวดนมบนโต๊ะ แต่บังเอิญมือปัดไปโดนแจกันแก้วที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ตกลงพื้นแตกกระจาย ตะวันฉายก้มเก็บเศษแก้วแต่โดนแก้วบาดนิ้ว กล้วยถือแพมเพิร์สเข้ามา
เห็นตะวันฉายเลือดอาบมือ ก็ตกใจ
“อุ้ย คุณตะวัน เดี๋ยวกล้วยไปเอายามาทำแผลให้นะคะ”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ เดี๋ยวฉันไปทำแผลเอง กล้วยอยู่ป้อนนมสายฟ้านะ”
ตะวันฉายเดินออกไป กล้วยวางแพมเพิร์สแล้วหยิบขวดนมมาป้อนสายฟ้า
ทันใดนั้นชายคนร้าย ก็โผล่เข้ามาโปะยาสลบกล้วยด้านหลัง คนร้ายอีกคนรีบเข็นสายฟ้าออกไป
ดวงสุดากับวัลลภานั่งอยู่ในรถตู้ มองสายฟ้าที่อยู่ในรถเข็นพร้อมยิ้มร้าย
ตะวันฉายเดินกลับเข้ามา เห็นกล้วยนอนสลบอยู่ ก็ตกใจ
“กล้วย กล้วยเป็นอะไร สายฟ้า สายฟ้าอยู่ไหนลูก”
ทันใดนั้นมือถือตะวันฉายที่วางบนโต๊ะมีเสียงข้อความภาพ MMS ดังขึ้น เมื่อปิดดู ก็เห็นภาพสายฟ้า ครู่หนึ่งมือถือก็ดังตามมา ตะวันฉายรีบรับ
“ลูกแกอยู่กับฉัน”
“คุณดวงสุดา”
ดวงสุดายิ้มร้าย “ขอบใจที่จำเสียงฉันได้”
“คุณเอาลูกฉันไปทำไม เอาลูกฉันคืนมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ฉันก็แค่อยากจะดูหน้าลูกแกนิดหน่อย ลูกแกน่ารักน่าชังดีนี่..เด็กคนนี้คงจะเป็นยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจของแกสินะ”
ตะวันฉายตกใจ “คุณจะทำอะไรลูกฉัน”
“ฉันจะทำอะไรลูกแกได้ยังไง ลูกแกออกจะน่ารักขนาดนี้ ขอฉันชื่นชมลูกแกอีกนิดนึงนะ เพราะลูกแกน่ารักมาก น่ารักจนฉันเริ่มจะหลงรักเค้าเข้าแล้วล่ะสิ เอางี้นะ เดี๋ยวฉันจะพาลูกแกไปเดินเล่นที่สนามเด็กเล่นในสวนสาธารณะแถวๆนี้ แกไปรับลูกแกที่นู่นก็แล้วกัน”
ดวงสุดากดวางสาย แล้วหันมายิ้มร้ายกับวัลลภา
ตะวันฉายร้อนใจ เป็นห่วงสายฟ้ามาก ก่อนจะรีบร้อนออกไป
ตะวันฉายเดินคุยมือถือเข้ามาที่สนามเด็กเล่น พลางมองไปรอบๆ
“ฉันมาถึงแล้ว คุณอยู่ไหน ไหนบอกจะพาลูกมาเจอฉันที่สนามเด็กเล่นไง”
ดวงสุดายืนคุยมือถือหลบอยู่ใกล้ๆ “ใจเย็นๆสิ”
“คุณคิดจะทำอะไร เอาลูกฉันคืนมาเดี๋ยวนี้”
ดวงสุดาแกล้งเล่นแง่ให้ตะวันฉายตามไปรับลูกที่ห้องน้ำ แล้วรีบวางสาย พลางโผล่หน้ามาดู แล้วยิ้มสะใจ
ตะวันฉายเดินเข้ามาที่หน้าห้องน้ำ แต่ไม่พบใคร จึงรีบควักมือถือขึ้นมาโทร. หาดวงสุดา แต่ดวงสุดากลับแกล้งพูดยั่ว
“พอดีเมื่อกี้ลูกแกร้องไห้งอแง สงสัยจะหิวนมน่ะ ฉันกลัวว่าลูกแกจะส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นเค้า เลยพาลูกแกเดินเล่นไปเรื่อยๆน่ะ”
ตะวันฉายเริ่มโมโห
“นี่คุณคิดจะเล่นเกมปั่นหัวฉันใช่ไหม คุณดวงสุดา”
“เล่นเกมอะไรกัน ฉันจะทำแบบนั้นไปทำไม”
จากนั้นก็บอกว่าตอนนี้สายฟ้าอยู่ที่ริมสระน้ำ ตะวันฉายกดวางสายอย่างโมโห แล้วรีบเดินออกไป
ดวงสุดากับวัลลภายืนอยู่ที่ริมสระน้ำ สายฟ้าอยู่ในรถเข็นใกล้ๆ ตะวันฉายเดินมาถึง เห็นลูกก็ยิ้มดีใจ พลางจะเข้าไปหาสายฟ้า แต่ชาย 2 คนโผล่มาขวาง
“ยังหรอก ฉันยังไม่คืนลูกให้แกตอนนี้” ดวงสุดายิ้มเยาะ
“คุณจงใจแกล้งฉัน เมื่อกี้ยังปั่นหัวฉันไม่พออีกเหรอ”
“ ช่วยไม่ได้ ก็แกมันหน้าด้านหน้าทน ตั้งท่าจะแย่งผัวหลานฉันให้ได้ คนอย่างแกต้องได้บทเรียนอย่างสาสม จะได้หลาบจำไปจนตาย”
“งั้นก็ฆ่าฉันให้ตายไปเลยสิ จะได้สาแก่ใจพวกคุณ”
ดวงสุดาหัวเราะอย่างสะใจ
“ฆ่าแกให้ตายมันง่ายเกินไป ฉันต้องการให้แกตายทั้งเป็น แกจะต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างที่สุด”
“อยากทำอะไรก็เชิญ ขออย่างเดียว ปล่อยลูกฉันไป ลูกฉันไม่เกี่ยวอะไรด้วย”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว ถ้าแกไม่ท้องแล้วโผล่มาเรียกร้องความรับผิดชอบจากวัช ชีวิตฉันจะตกต่ำย่ำแย่ขนาดนี้ไหม แกกับลูกทำลายความรักของฉันกับวัชจนพังพินาศหมดแล้ว พวกแกเอาวัชไปจากฉัน ในเมื่อแกพรากวัชไปจากอกฉันได้ ฉันก็พรากลูกไปจากอกแกได้เหมือนกัน”
ดวงสุดายิ้มเหี้ยม แล้วแกล้งทำทีจะผลักสายฟ้าตกน้ำ ตะวันฉายตกใจ กรีดร้องดังลั่น“ตอนนี้ชีวิตลูกแกแขวนอยู่บนเส้นด้าย แค่ฉันออกแรงผลักนิดเดียว แกก็จะไม่ได้เห็นหน้าลูกแกไปตลอดชีวิต”
ตะวันฉายรีบทรุดลงคุกเข่า ยกมือไหว้ดวงสุดา
“อย่า อย่าทำอะไรลูกฉันนะ ได้โปรด”
ดวงสุดากับวัลลภาหัวเราะสะใจ
“ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างแก จะยอมคุกเข่ากราบขอร้องหลานฉัน”
“ฉันจะเมตตาไว้ชีวิตลูกแก ถ้าแกกับลูกออกไปจากชีวิตวัชอย่างเด็ดขาด ไปให้ไกลที่สุด และอย่าได้คิดที่จะหวนกลับคืนมา เพราะถ้าฉันเห็นหน้าแกเมื่อไหร่เมื่อนั้น ลูกแกจะต้องตายก่อนวัยอันสมควร จำไว้”
พูดจบก็ผลักรถเข็นไปให้ตะวันฉาย แล้วออกไปพร้อมวัลลภาและชาย 2 คน ตะวันฉายโผเข้าไปอุ้มสายฟ้ามากอดไว้แนบอกอย่างหวงแหนรักใคร่ พลางน้ำตาไหลพราก ด้วยเป็นห่วงความปลอดภัยของลูก
ธวัชถือกระเป๋าทำงานเข้ามาในบ้าน พลางมองหาตะวันฉายแต่ไม่พบใคร
ธวัชมองรอบห้องแล้วชะงัก เมื่อเห็นในห้องโล่งไม่มีข้าวของของตะวันกับสายฟ้าอยู่เลยแม้กระทั่งตู้เสื้อผ้า ก็ว่างเปล่า
“ตะวัน”
ธวัชตกใจมาก
อ่านต่อตอนที่ 12