xs
xsm
sm
md
lg

รักต้องอุ้ม ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รักต้องอุ้ม ตอนที่ 4
ย่ามาลัยเปิดประตูร้านดอกไม้เข้ามากวาดตามอง พนักงานมองมาลัยที่สายตาดุดันอย่างหวั่นๆ

พนักงานอดพูดเสียงสั่นไม่ได้ “สวัสดีค่ะ...ต้องการดอกไม้แบบไหนคะ”
มาลัยมองพนักงานแล้วก็รู้สึกว่าพนักงานดูกลัวผิดปกติ “ฉันขอเดินดูรอบๆ ก่อนค่อยตัดสินใจ”
“เชิญค่ะ”
ลันตากับสิปาดันกอดกันแน่น เสียงฝีเท้าของมาลัยที่เดินไปรอบๆ ดังอย่างน่ากลัว สายตามาลัยมาหยุดที่เคาน์เตอร์ที่พนักงานยืนอยู่ มาลัยเห็นพนักงานมองด้านหลังเคาน์เตอร์อยู่บ่อยๆ มาลัยจะเดินไปที่หลังเคาน์เตอร์ พนักงานตกใจรีบขยับเข้ามาขวางโดยอัตโนมัติ
“เอ่อ..จะรับดอกไม้อะไรคะ เดี๋ยวหนูจะช่วยหาให้”
มาลัยมองพนักงานด้วยสายตาเข้มดุจนพนักงานสะดุ้ง
มาลัยพูดเสียงราบเรียบแต่ฟังแล้วขนลุก “ถอยไป....”
พนักงานอึ้งกลัวจนต้องขยับถอยไปทันที มาลัยจะเดินไปที่เคาน์เตอร์
พนักงานพูดขึ้น “หลังเคาน์เตอร์ไม่มีดอกไม้นะคะ มีแต่อุปกรณ์ที่ไว้ตกแต่ง”
มาลัยหันขวับมา พนักงานสะดุ้งถอยหลังด้วยอาการตกใจ ลันตากับสิปาดันหนีมาใต้เคาน์เตอร์ ลันตากอดสิปาดันแน่นด้วยความกลัวโดยพยายามเบียดตัวให้แนบกับใต้เคาน์เตอร์ เสียงฝีเท้าของมาลัยก้าวมาจนถึงเคาน์เตอร์
ลันตากับสิปาดันเห็นเท้าของมาลัยที่ก้าวเข้ามา ทั้งสองลุ้นสุดขีด ทันทีที่เท้าของมาลัยก้าวมาจะถึงด้านหลังเคาน์เตอร์ ลันตากับสิปาดันที่หมดทางหนีก็เตรียมตัวเตรียมใจรับชะตากรรม
ทันใดนั้นเสียงย่านวลก็ดังขึ้น “มาลัย!”
มาลัยชะงักหันมาแล้วก็ตกใจกับภาพที่เห็น เจ้าของเสียงก็คือนวล ย่าของสิปาดันที่ดูอ่อนโยนแต่เป็นคนอ่อนนอกแข็งใน นวลเป็นเพื่อนรักกับมาลัยมาก่อนแต่เพราะถูกเอื้องคำ พี่สะใภ้ของนวลหลอกให้เอาโฉนดที่ดินผิดกฎหมายไปขายให้กับญาติผู้ใหญ่ของมาลัย โดยย่ามาลัยเอาตัวเองเป็นประกันว่าถ้ามีปัญหาจะรับผิดชอบโดยการเอาที่ดินบ้านของตนเองที่เป็นเรือนโบราณ สมบัติสำคัญค้ำไว้ด้วยอีกชั้นหนึ่ง เมื่อที่ดินนั้นไม่ถูกต้อง ย่ามาลัยจึงถูกยึดที่ดินไป ทำให้มาลัยตัดขาดความเป็นเพื่อนจากนวลตั้งแต่สิปาดันกับลันตาอายุได้สิบขวบ ต่างคนต่างเสียใจที่จากเพื่อนรักกลายเป็นโกรธจนไม่เผาผีกัน
นวลก้าวเข้ามาพร้อมกับอินทนนท์ พ่อของสิปาดันซึ่งเป็นเจ้าของไร่ส้ม
มาลัยตะลึงเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอ “นวล...”

สิปาดันกับลันตาชะงักแบบไม่อยากจะเชื่อ สิปาดันจะโผล่หัวขึ้นไปดูแต่ลันตากดหัวเอาไว้เพราะกลัวย่ามาลัยเห็น อินทนนท์ก้าวเข้ามาแล้วพูด
“สวัสดีครับ คุณป้ามาลัย พี่อัง”
ลันตาได้ยินเสียงก็ตกใจ “พ่อแกก็มา!”

มาลัยมองอย่างโกรธแค้นแต่ยังไม่ทันพูด อังก็ออกตัวแรงใส่ย่านวลกับอินทนนท์ทันที
“ไม่ต้องมานับป้านับพี่กับพวกฉัน บ้านฉันไม่นับญาติกับพวกขี้โกง”
อินทนนท์มองอย่างกวนประสาทมาก “ที่ผมเรียกนี่ไม่ได้เรียกตามความสัมพันธ์แต่เรียกตามความชราบนใบหน้าครับ”
อังจะโวยวายแต่มาลัยปราม “ยัยอัง!”
อังต้องเงียบ มาลัยมองหน้านวลด้วยสายตาเย็นชา ห่างเหิน มาลัยทนไม่ได้จึงเดินออกนอกร้าน นวลรีบตามไปทันที

นวลส่งเสียงเรียกมาลัย
“มาลัย” มาลัยชะงัก นวลพยายามคุยดีๆ “...เธอเป็นยังไงบ้าง”
มาลัยหันกลับมามองแบบทั้งรักทั้งแค้นกับเพื่อนทรยศ “คิดว่าคนที่โดนเพื่อนเลว ๆ หลอกลวงจะมีความสุขมากแค่ไหนล่ะ”
อินทนนท์พูดกวนเป็นนิสัยเพราะไม่ชอบที่แม่โดนต่อว่าแรง ๆ “เจอหน้าก็ดราม่าเลยนะครับ ป้านี่นางเอกลิเกเก่าชัด ๆ”
“หุบปากนะ ไอ้นนท์!” อังโกรธ
“อินทนนท์ครับ ไม่ใช่ญาติกันอย่าตีสนิทสิครับ คุณอัง” อินทนนท์ยิ้มกวน
นวลปราม “นนท์..พอแล้วลูก” นวลรู้สึกว่าตัวเองผิดมาตลอดจึงไม่เคยโกรธเพื่อน “มาลัย..พูดกันดีๆ ก่อนสิ”
“ฉันไม่จำเป็นต้องญาติดีกับคนเลว ๆ” มาลัยว่า
“คุณป้า..แม่ผมเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องที่ดินนั่นผมกับแม่จะชดใช้เงินให้ ถ้าคุณป้า...”
มาลัยพูดทันที “ไม่ต้อง!”
“มาลัย...ฉันขอโทษ ขอให้ฉันได้ชดใช้ ฉันอยากให้เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”
“มันไม่มีวันเหมือนเดิมตั้งแต่เธอเอาที่ดินผิดกฎหมายนั่นมาหลอกขายฉัน”
อังพูด “คุณพี่ต้องเสียเรือนโบราณ สมบัติของบ้านเราที่เชียงใหม่ ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นพวกขี้โกงแผ่นดินของชาติก็เพราะ...”

มาลัยปรามอัง “พอได้แล้ว” มาลัยมองนวล “ระหว่างเรามันไม่มีวันเหมือนเดิม เราขาดกันตั้งแต่วันที่เธอทำลายความไว้ใจของฉันด้วยความเห็นแก่ได้ของเธอ”
สิปาดันมองหน้ากับลันตาอึ้งเครียดกับความโกรธแค้นที่ย่ามาลัยมีต่อบ้านสิปาดัน มาลัยเดินออกไป
“เธอเป็นเพื่อนรักของฉันเสมอนะมาลัย” นวลพูด
มาลัยชะงักแล้วก็มีสีหน้าเจ็บปวดแต่ก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมา
“อย่าพยายามเลยแม่ ดูสายตาฟังน้ำเสียงยังไงป้าเขาก็ไม่มีทางเผาผีกับบ้านเราแน่นอน” อินทนนท์บอก
นวลหันมาหยิกอินทนนท์
“โอ้ย!...มันเจ็บนะแม่”
“แกไม่น่าไปพูดแรงๆ กับมาลัยแบบนั้น”

อินทนนท์เดินกลับเข้าไปในร้าน
“ก็ต้องใช้วิธีนี้ล่ะแม่ ไม่งั้นก็ต้องมีคนตายที่นี่”
อินทนนท์เข้าไปยืนหน้าเคาน์เตอร์
“ออกมา!”
ลันตากับสิปาดันสะดุ้ง ทั้งคู่มองหน้ากันอึ้งๆ ว่าอินทนนท์เรียกใคร
อินทนนท์ด่าไม่ยั้ง “ไอ้ลูกหมา ลูกลิง! ถ้าไม่ออกมา พ่อจะไปเรียกป้ามาลัยมาเชือดแกทั้งสองคนเดี๋ยวนี้!”
ลันตากับสิปาดันมองหน้ากันด้วยความมั่นใจว่าหมายถึงทั้งสองคนแน่นอน ลันตากับสิปาดันโผล่หน้ามาจากหลังเคาน์เตอร์
“พ่อ..ย่าจ๋า มาได้ยังไงครับเนี่ย พอดีผมกับ...” สิปาดันยังพูดไม่จบ
อินทนนท์ก็พูดแทรก “แกสองคนหนีป้ามาลัยทำไม” แทรพจ้องคาดคั้น “เอาความจริง!”
ทั้งสองคนมองหน้ากัน

มิ้งค์นั่งทำเสียงเล็กเสียงน้อยขณะที่เล่นกับตาหนูที่หัวเราะเอิ้กอ้ากอยู่ พอลเดินเข้ามายืนมอง
มิ้งค์หันไปถาม“มองอะไร”
“มองแม่มด” พอลตอบ
มิ้งค์ชักสีหน้าเอาเรื่องทันที
พอลรีบอธิบาย “ก็เห็นทำเสียงสูง เสียงต่ำ ฮิฮิฮะฮะ ทำหน้าแบ๊วผมฟังแล้วขนลุก”
“เล่นกับเด็กมันก็ต้องแบบนี้ พวกหน้าเคราเฝ้าเตาอบอย่างคุณไม่เข้าใจก็เงียบมะ”
“ไม่เข้าใจก็เงียบได้ หน้าตาไม่ดี ยังพูดไม่น่ารักอีก”
มิ้งค์ของขึ้นทันที “จะเริ่มใช่ไหม”
“ไม่...” พอลยกมือเหมือนยอมแพ้ “สงบศึก” พอลเปลี่ยนเรื่อง “ทำเป็นพูดจาดูมีความรู้ เลี้ยงเด็กเป็นเหรอเราน่ะ”
“น้องสองคนทั้งชายและหญิง หลานอีกสาม ความรู้ปึ้กพอไหม”
พอลทำหน้าแบบว่าก็โอเค
“เด็กจะเรียนรู้เวลาเราทำเสียงเล็กเสียงน้อยแล้วก็มีความสุขเวลาจั๊กกะจี้เขาเบาๆ แบบนี้
มิ้งค์ลูบที่ตัวตาหนูแล้วก็ไซ้คอตาหนูเบาๆ ตาหนูหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ทันใดนั้นเสียงปู๊ดก็ดังขึ้น ทั้งมิ้งค์และพอลชะงักเมื่อได้กลิ่นเหม็น
มิ้งค์เหม็นมาก “เต็มๆ”
“ฮ่าๆ ๆ ๆ” พอลรู้สึกว่ากลิ่นชักหนัก “เอ...ไม่ใช่แค่ตดละมั้งเนี่ย”
มิ้งค์เปิดแพมเพิร์ส แล้วจัดการทำความสะอาดอย่างคล่องแคล่ว
“ไม่เหม็นเหรอ” พอลถาม
“มาก....แต่อยากให้ตัวเล็กสบายตัว”
พอลมองมิ้งค์ที่ยิ้มกับตาหนูแล้วก็รู้สึกชอบใจนิด ๆ
“หยิบแพมเพิร์สให้หน่อยสิคุณ” มิ้งค์รู้สึกว่าพอลยังนิ่ง “ขอ...”
มิ้งค์หันมาเจอพอลที่มองอยู่
“มองอะไร”
พอลรู้สึกตัวก็รีบกลบเกลื่อน
“มองตัวเล็ก” พอลเห็นมิ้งค์ยังจ้อง “แพมเพิร์สใช่ไหม”
พอลหันไปหาแพมเพิร์สแก้เก้อ
เสียงกริ่งห้องสิปาดันดังขึ้น
“พี่ลันมาแล้ว...” มิ้งค์ว่า
“เดี๋ยวผมไปเปิดให้”
พอลเดินไปเปิดประตูก็เห็นธัญญาเรศยืนอยู่ที่หน้าประตู
มิ้งค์แปลกใจมาก “พี่ญ่า”
“พี่มาหาลัน” ธัญญาเรศมองหา “ลันอยู่ไหนล่ะ”

ลันตากำลังคีบผัดไทยกินอย่างหิวโหย สิปาดันคีบกุ้งในจานใบตองของลันตา
“สิปา! ของฉันนะ”
ลันตาเห็นก็ไม่ยอมจึงคว้าข้อมือสิปาดันไว้แล้วดันกุ้งเข้าปากตัวเองแทน
“งก!” สิปาดันว่า
“ตะกละ ของตัวเองก็มี”
ย่านวลกับอินทนนท์ที่นั่งมองอยู่ส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ
“เราสองคนเนี่ยทะเลาะกันตั้งแต่สิบขวบจนจะสามสิบอยู่แล้ว ไม่รู้จักโตสักที”
“เป็นเด็กสิคะดี หน้าละอ่อนคุณย่านวลจะได้เอ็นดู” ลันตาบอก
“ไม่ใช่หน้านะที่อ่อน แต่เป็นปัญญา” สิปาดันบอก
ลันตาดึงหู “ปากดี!”
“ย่าช่วยผมด้วย”
อินทนนท์มองยิ้มๆ “รู้จักกันมานานขนาดนี้น่าจะเป็นแฟนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยนะ”
ลันตากับสิปาดันหน้าเหวอไปเล็กน้อยแล้วปฏิเสธพร้อมกันทันที
“ไม่มีทาง!”
“ถึงลันไม่สวยแต่ก็เลือกนะคะ”
สิปาดันพูดข่มทับทันที “พ่อ...หล่อขั้นเทพอย่างผม ถ้าต้องมีเมียขี้เหร่ ปากไม่ดี ไม่มีความเป็นผู้หญิง ผมตายซะดีกว่า”
ลันตาผลักหัวสิปาดันด้วยความหมั่นไส้ “เวอร์!”
ย่านวลขำ “ถ้ามาลัยเห็นเราสองคนตีกันแบบนี้”
“โดนยืนดึงหูเป็นชั่วโมงแน่ครับ”
“ตอนเด็ก ๆ ลันตีกับสิปากันทีไร ย่ามาปุ๊บ วงแตกปั๊บ ห้ามหนีด้วย หนีโดนหนักเป็นสองเท่า”
“หึ! แล้วกลัวกันไหม...ไม่...สุดท้ายพ่อนี่ โดนป้ามาลัยด่าเต็มๆ ว่าไม่สั่งไม่สอนแก” อินทนนท์หมายถึงสิปาดัน
“คิดแล้วก็อยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม จนป่านนี้ลันยังไม่เข้าใจเลยคุณย่ากับย่านวลมีเรื่องอะไรกัน” ลันตาบอก
“นั่นสิพ่อ” สิปาดันเห็นด้วย
ลันตากับสิปาดันรออินทนนท์มองอย่างต้องการคำตอบ อินทนนท์มองหน้าย่านวล ย่านวลมีสีหน้าเครียดๆ
อินทนนท์พูดเลี่ยง “ไว้โตแล้วจะเล่าให้ฟัง”
“โห...ตอนสิบขวบผมถามพ่อ พ่อบอกว่าโตแล้วจะเล่าให้ฟัง นี่อีกไม่กี่ปีผมจะสามสิบแล้วนะพ่อ รอโตกว่านี้ไม่ปาไปแซยิดเลยเหรอพ่อ” สิปาดันบอก
“ย่านวล..ลุงนนท์คะ คุณย่ารักเชียงใหม่มาก ตอนลันเด็ก ๆ ย่าพูดกับลันเสมอว่าจะตายที่บ้านเกิด จู่ๆ ย่าก็พาลันย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ แล้วก็ประกาศว่าจะไม่กลับไปเหยียบเชียงใหม่อีก เรื่องนี้มันเกี่ยวกับย่านวลใช่ไหมคะ...” ลันตาถาม
อินทนนท์สงสารนวลเพราะไม่อยากให้ต้องสะเทือนใจกับการรื้อฟื้น “ลุงว่า...”
“เล่าไปเถอะ....” นวลเอ่ย อินทนนท์ชะงักมอง “สักวันเด็ก ๆ สองคนนี้ก็ต้องรู้ แม่แข็งแรงพอที่จะพูดถึงมันแล้ว”
นวลพยักหน้าให้อินทนนท์พูด อินทนนท์มองลันตากับสิปาดันแล้วตัดสินใจเล่า..
“สิบห้าปีก่อน ย่าเอื้องคำเอาโฉนดที่ดินมาขอร้องให้ย่านวลช่วยขาย เพราะจะเอาเงินไปฟื้นฟูไร่ที่มันขาดทุน ตอนนั้นไร่ของเราก็ยังเป็นแค่ไร่เล็ก ๆ ย่านวลก็เลยไปขอให้ป้ามาลัยช่วยหาคนซื้อให้ที ย่ามาลัยก็เลยไปขอให้แม่เลี้ยงวิภาช่วยรับซื้อไว้”
ลันตากับสิปาดันฟังอย่างตั้งใจ

อัลบั้มภาพถ่ายของครอบครัวย่ามาลัยกับครอบครัวของสิปาดันถูกเปิดอยู่บนเตียง มีทั้งภาพที่ย่านวลกับย่ามาลัยถ่ายคู่กันเมื่อยี่สิบปีก่อน ภาพครอบครัวถ่ายครบคนทั้งย่ามาลัย ย่านวล ป้าอัง มีอินทนนท์ สิปาดันกับลันตาอายุสิบปีที่ถ่ายรูปร่วมกันอยู่ด้วย ทั้งหมดดูสนิทสนมกันดี ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสมาลัยวางมือบนรูปที่ถ่ายคู่กับย่านวลดูด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์ อังเดินเข้ามาพร้อมเสื้อผ้าที่รีดเรียบร้อยแล้วพอเห็นมาลัยดูรูปก็อารมณ์ขึ้นทันที
“คุณพี่..นี่ยังเก็บรูปเพื่อนทรยศไว้อีกเหรอคะ” อังเอาเสื้อไปแขวนในตู้ “คนเลวๆ แบบนั้นจะไปเสียดายทำไม คุณพี่อุตส่าห์ช่วยออกหน้าเอาที่ดินไปขายให้ ทั้งที่แม่เลี้ยงวิภาก็เตือนแล้วว่าพี่นวลคบไม่ได้ คุณพี่ก็ออกหน้าเอาบ้านเอาชื่อเสียงตัวเองไปค้ำให้เขา แล้วสุดท้ายโฉนดนั่นก็เป็นของปลอม!”
“ยัยอัง!” มาลัยหน้าตึง “ฉันจะทำอะไรหรือรู้สึกยังไง มันก็เป็นเรื่องของฉัน”
อังไม่เห็นด้วยอย่างแรง “คุณพี่! เราโดนฟ้อง เสียชื่อเสียง ต้องย้ายหนีมาอยู่ที่กรุงเทพฯ แค่นี้ยังไม่ทำให้คุณพี่เข็ดอีกเหรอคะ”
“ออกไป...” มาลัยไล่
“คุณพี่อาจจะใจอ่อนกับเพื่อนรัก แต่อังขอเตือนว่าเจ็บแล้วต้องจำนะคะคุณพี่”
มาลัยเสียงเข้ม “พี่บอกให้ออกไป...”
อังอึ้งที่เห็นอาการของมาลัยที่ความโกรธกำลังจะพุ่งแล้วก็ต้องยอมถอย อังจำต้องเดินออกไป มาลัยมองไปที่รูปคู่ของเธอกับนวล สายตาของมาลัยดูเสียใจเพราะแม้จะยังรักเพื่อนแต่ก็เจ็บปวดเกินกว่าจะให้อภัย

สิปาดันกับลันตามองนวลอย่างไม่เข้าใจ
“แล้วทำไมย่าไม่บอกย่ามาลัยไปล่ะครับ ว่าที่ดินนั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ได้ใช้เงินนั่นแม้แต่บาทเดียว” สิปาดันถาม
“ย่าพยายามจะอธิบายหลายครั้ง แต่มาลัยไม่เคยยอมฟัง ไม่พบหน้า แล้วเขาก็ย้ายลงมากรุงเทพฯ”
“หนูลันก็รู้ใช่ไหม ว่าป้ามาลัยน่ะ ถ้าไม่ฟังแล้วยิ่งโกรธด้วยก็หัวชนฝาแล้วหลังจากนั้นไม่นาน ลุงก็ขยายไร่จนมีได้ถึงทุกวันนี้ ย่าหนูก็เข้าใจว่าเป็นเพราะเงินก้อนนั้น”
“ย่าได้แต่หวังว่าสักวัน...สักวันที่ย่าจะได้ไถ่โทษให้กับมาลัย ได้กลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้ง หวังว่าจะมีวันนั้น”
สิปาดันจับมือนวลเพื่อพยายามปลอบ “มันต้องมีวันนั้นแน่ครับย่า...ผมกับลันจะหาทางทำให้เราสองบ้านรักกันเหมือนเดิม”
ลันตาวางมือบนมือสิปาดันที่จับมือย่านวลอยู่ “ลันสัญญาค่ะ”
นวลยิ้มอย่างชอบใจ ลันตาเห็นหญิงชาวเขาสองคนที่กำลังเดินขายเครื่องเงินอยู่อีกด้านหนึ่ง
“สิปา...เอารูปมา...รูปชาวเขาน่ะ”
สิปารีบเอารูปมาส่งให้ ลันตารีบคว้ารูปแล้ววิ่งไปหาชาวเขาที่กำลังขายของ
“ลัน..รอด้วย”
สิปาดันวิ่งตามลันตาไป อินทนนท์กับย่านวลมองตาม
“แม่...ถ้าป้ามาลัยคืนดีกับเราจริง ๆ แม่ว่าป้าจะยอมยกหนูลันให้ไอ้แสบของเราไหม”
นวลมองยิ้มๆ “มันก็ไม่แน่นะ สองคนนี้เขาเป็นคู่กัน แม่กับมาลัยถึงตั้งชื่อว่าสิปาดันกับลันตาไงล่ะ”
“แต่จนป่านนี้ยังไม่เห็นเจ้าสิปามันมีท่าทีชอบหนูลัน แบบนี้ที่เราหวังจะได้หนูลันมาเป็นสะใภ้คงเป็นหมันแน่ๆ”
“อนาคต..อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าใจไม่ยอมแพ้ จริงไหม”
อินทนนท์ยิ้ม “ผมเชียร์สุดตัวเลย ขอให้ได้หนูลันเป็นสะใภ้เถอะ เพี้ยง!”
นวลมองเด็กสองคนด้วยความรัก

ธัญญาเรศเข้ามานั่งที่ชุดรับแขก มิ้งค์แยกตัวไปชงนมให้ตาหนู ในขณะที่พอลช่วยใส่แพมเพิร์สจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงอุ้มลงไปนอนที่เปล พอลสังเกตเห็นว่าสายตาของธัญญาเรศมองมาที่ตาหนูตลอดเวลา พอลแอบมองท่าทีของธัญญาเรศอย่างสนใจว่ามีอะไร ธัญญาเรศรู้ว่าพอลจับตามองอยู่จึงยิ้มให้
“ขอบคุณคุณพอลนะคะที่ให้สัมภาษณ์กับหนังสือของเรา ลันไม่น่าต้องรบกวนคุณเลย เดี๋ยวฉันอยู่เป็นเพื่อนมิ้งค์เอง คุณพอลจะกลับห้องก็ได้นะคะ” ธัญญาเรศเปิดโอกาสให้พอลออกไป
พอลยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”
ธัญญาเรศพยายามจะไล่ให้ไป “แต่ถ้าคนอื่นรู้มันจะไม่ดีนะคะ ผู้ชายกับผู้หญิงในห้องสองต่อสอง”
มิ้งค์อึ้งๆ เธอมองธัญญาเรศว่าทำไมถึงพูดแบบนี้
พอลยิ้ม “ก็อยู่ที่จิตใจคนมองน่ะครับ ถ้าสกปรกก็ติดลบ ถ้าสะอาดก็จะรู้ว่าบริสุทธิ์ใจ”
ธัญญาเรศหน้าตึงแต่ก็ยังไม่หยุด “ฉันคิดไม่ถึงเลยนะว่าสัมภาษณ์แค่ครั้งเดียว คุณกับพนักงานของฉันจะสนิทกันขนาดนี้”
พอลถอนใจ “สกปรกจริง ๆ ด้วย”
ธัญญาเรศชักสีหน้า มิ้งค์เห็นว่าบรรยากาศชักไม่ค่อยดีจึงตัดบท
“คุณบอกว่าจะอบขนมปังไม่ใช่เหรอคะ พี่ญ่ามาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว คุณไปที่ห้องก่อนได้นะคะ ถ้ามีอะไรฉันจะไปเคาะเรียกนะคะ” มิ้งค์พูดเบาๆ กับพอล “ไปก่อนเถอะคุณ..”
พอลจำต้องเดินออกไป มิ้งค์พาตาหนูลงนอนที่เปลพลางมองธัญญาเรศที่ดูแปลก ๆ ธัญญาเรศมองตอบ
“มองพี่ทำไม” ธัญญาเรศถาม
“เอ่อ...มิ้งค์..จะเข้าห้องน้ำค่ะ ฝากตัวเล็กแป๊บเดียวนะคะ” มิ้งค์ว่า
อ่านต่อหน้าที่  2


รักต้องอุ้ม ตอนที่ 4 (ต่อ)
ธัญญาเรศพยักหน้าตอบรับมิ้งค์ มิ้งค์เดินเลี่ยงเข้าห้องน้ำ ธัญญาเรศที่รอจังหวะอยู่กับตาหนูสองคนเดินไปดูตาหนูที่นอนดูดนมจากขวดนมอยู่ ธัญญาเรศค่อยๆ ไล่มือลงไปที่แขนของตาหนูแล้วอุ้มขึ้นมา

ธัญญาเรศพูดปากยิ้มแต่ตาร้ายมาก “หน้าตาน่ารักนะเราน่ะ”
มิ้งค์จะเดินออกมาจากห้องน้ำชะงักที่เห็นธัญญาเรศกำลังอุ้มตาหนูขึ้นมามอง ธัญญาเรศอุ้มตาหนูขึ้นมามองจากสีหน้ายิ้มๆ ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นโหดร้าย ตาหนูมองธัญญาเรศแล้วร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว ธัญญาเรศจ้องตาหนูนิ่งไม่มีท่าทีจะปลอบโยนใด ๆ มิ้งค์ทนไม่ไหวจึงรีบออกมา
“ตัวเล็ก!”
ธัญญาเรศชะงัก มิ้งค์เข้ามาอุ้มตาหนูแล้วโอ๋
“ทำไมตัวเล็กถึงร้องขนาดนี้คะพี่ญ่า” มิ้งค์ถาม
“ไม่รู้สิ พอพี่อุ้มขึ้นมาก็ร้องลั่น” ธัญญาเรศบอก
“โอ๋ๆ ๆ ..เป็นอะไรคะตัวเล็ก พี่มิ้งค์อยู่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัวนะคะ”
ธัญญาเรศมองตาหนูด้วยสายตาเกลียดชังมาก

ชาวเขาเดินหนี สิปาดันกับลันตาเดินตาม
“เดี๋ยวสิ จะเดินหนีไปไหน ช่วยดูรูปนี้ให้หน่อย”
ชาวเขาเห็นว่าไม่ซื้อของก็จะเดินหนี “ขายของอยู่ ยุ่งมาก..”
“ดูแค่แป๊บเดียวน่า” สิปาดันเห็นชาวเขาทำหน้ารำคาญมากจึงหยิบแบงค์ร้อยขึ้นมาวางทับบนรูป
ชาวเขาเห็นแค่ร้อยเดียวก็ยังไม่แยแส “เหมือนเคยเห็น...”
ลันตามีสีหน้ากระตือรือร้น
“แต่มันแว้บๆ นะ หัวมันไม่แล่นเล้ยย”
สิปาดันวางแบงค์ห้าร้อยทับบนแบงค์ร้อย
ชาวเขาตาโตนิดนึงแต่ยังฟอร์ม “แต่เคยเจอจัง ๆ ทีนึง ยืนขายของใกล้ๆ กัน”
ชาวเขาอีกคนเริ่มตื่นเงินจึงดูกระตือรือร้น “เคยคุยกันด้วย รู้สึกจะชื่อมิน....”
ย่านวลกับอินทนนท์เดินเข้ามา
ลันตาตื่นเต้น “รู้จักเหรอ”
“รู้สิ..ก็ขายของอยู่ที่นี่ เห็นหน้าบ่อย ๆ”
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหน เราจะได้ไปหาเขา” ลันตาถาม
“กลับดอยไปแล้ว เพิ่งไปเมื่อวานเอง” ชาวเขาบอก
สิปาดันกับลันตาหน้าเหี่ยวที่รู้ว่าเป้าหมายกลับดอยไปแล้ว
สิปาดันถามต่อ “ดอยไหน”
“ไม่รู้” ชาวเขาตอบ
“งั้นรู้ไหมว่าเป็นเผ่าไหน ดูเสื้อผ้าก็น่าจะรู้สิ” ลันตาถาม
ชาวเขาใช้นิ้วเคาะ ๆ ตรงแบงค์ห้าร้อย “ ...คิดไม่ออก..ทำยังไงจะคิดออกน้า”
ลันตามองแล้วจะหยิบแบงค์พันขึ้นมาให้ แต่สิปาดันจับมือกันไว้ไม่ให้
“ห้าร้อยไม่ชัด” สิปาดันกำหมัดแล้วเป่าหมัดเบาๆ ทำนองว่าถ้าไม่เลิกกวนตีนมีต่อย “พี่จะช่วยให้ชัดเอง เอาไหม?”
ชาวเขาคิดออกทันที “มูเซอดำ!” ชาวเขาจะคว้าเงิน
“แล้วมูเซอดำอยู่ที่ดอยไหน...บอกได้ไหม” สิปาดันถาม
“ชาวเขานะ ไม่ใช่นักสืบจะรู้ทุกเรื่องได้ยังไง ตกลงโกงใช่ไหม”
อินทนนท์เดินเข้ามา “ไม่โกงหรอกน่า” อินทนนท์ดึงเงินจากสิปาดันแล้วส่งให้ “ขอบใจมาก”
ชาวเขาทั้งสองคนรับเงินแล้วเดินจากไป
“เดี๋ยวสิ” สิปาดันเรียกแต่ชาวเขาเดินไปแล้ว สิปาดันพูดกับอินทนนท์ “พ่อ รีบให้ไปทำไม ยังไม่รู้เรื่องเลยว่าดอยไหน”
“อย่างน้อยก็รู้ว่าเป็นเผ่ามูเซอดำ ก็คงตามง่ายขึ้นพ่อจะให้ลูกน้องช่วยสืบให้ได้”
“แล้วตอนนี้เด็กที่ช่วยมาอยู่ที่ไหน กับใคร?” ย่านวลถาม

พอลเปิดเข้ามาในห้องพร้อมกับขนมปัง เขาชะงักที่เห็นมิ้งค์กับธัญญาเรศยืนอยู่คนละมุม
“มีอะไรเหรอคะคุณพอล” มิ้งค์ถาม
“พอดีผมอบขนมปังทานเองน่ะครับก็เลยเอามาแบ่งให้” พอลบอก
มิ้งค์รับมา “ขอบคุณค่ะ”
“ส่งตัวเล็กมาสิ เดี๋ยวพี่ดูให้”
มิ้งค์ส่งให้ แต่ทันทีที่ตาหนูเห็นธัญญาเรศก็ร้องลั่น
มิ้งค์ดึงตาหนูกลับมาปลอบ “เป็นอะไรคะตัวเล็ก”
ธัญญาเรศมองอย่างไม่พอใจที่ตาหนูร้องไห้ใส่ เธอพยายามจะเข้ามาอุ้มตาหนู
“มา เดี๋ยวพี่จัดการให้เงียบเอง”
ตาหนูยิ่งร้องหนักกว่าเดิมจนมิ้งค์ทนไม่ไหว
มิ้งค์รับตาหนูชนิดที่แทบจะกระชากคืนมา “มิ้งค์ดูให้เองค่ะ!”
ธัญญาเรศชะงักมองมิ้งค์
มิ้งค์รู้ตัวว่าดึงมาแรงเกินไป “เอ่อ...พี่ลันฝากตัวเล็กไว้กับมิ้งค์ มิ้งค์ดูให้เองดีกว่าค่ะ”
ธัญญาเรศไม่พอใจที่โดนขัดใจ เธอเข้ามาจะอุ้มให้ได้
“พี่จัดการได้เชื่อสิ”
มิ้งค์ไม่ยอมปล่อย ธัญญาเรศยิ่งไม่พอใจหนักขึ้น
พอโดนขัดใจธัญญาเรศก็อารมณ์ขึ้นจนลืมตัว “พี่บอกให้ส่งมา!”
มิ้งค์เอาตัวเองกันไว้ ไม่ยอมให้ธัญญาเรศจับตาหนูได้
พอลรีบเข้าไปแยก “ใจเย็น ๆนะครับ คุณธัญญาเรศ!”
ธัญญาเรศชะงักแล้วก็ได้สติ เธอรู้สึกตัวว่าแสดงอารมณ์มากเกินไป
“ขอโทษที พี่หงุดหงิดมากไปหน่อย”
สิปาดันเปิดประตูเข้ามา ลันตา อินทนนท์กับย่านวลเดินตามเข้ามา
“ญ่า....” ลันตาตกใจ
“สวัสดีค่ะ คุณย่านวล คุณลุงนนท์” ธัญญาเรศพูดกับลันตา “ฉันมาดูว่าแกเป็นยังไง” ธัญญาเรศเห็นคนเยอะก็จะเลี่ยงกลับ “อยากจะคุยนะแต่ต้องรีบกลับไปทำงาน หนูกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” ธัญญาเรศหันไปหามิ้งค์เพราะอยากจะจัดการกับมิ้งค์ที่แสดงท่าทีไม่ดีกับตัวเอง “มิ้งค์ กลับไหม เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
มิ้งค์มองตาแข็งกร้าวของธัญญาเรศแล้วก็จะปฏิเสธ
“มิ้งค์..เอ่อ..มิ้งค์”
พอลอาสาขึ้นมา “เดี๋ยวผมจะไปส่งเองครับ”
ทุกคนหันไปมองพอล มิ้งค์งง
“ก็คุณบอกว่าจะสัมภาษณ์ผมเพิ่มอีกไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะว่าลืม..” พอลมองคล้ายจะบอกว่าช่วยอยู่นะเข้าใจไหม
มิ้งค์เข้าใจ “อ๋อ...ใช่ค่ะ มันมีบางคำถามที่ลืมถาม พี่ญ่ากลับไปก่อนเถอะค่ะ”
ธัญญาเรศมองด้วยสายตากร้าวแบบไม่เชื่อว่าพูดจริง แต่ก็ไม่เซ้าซี้
“งั้น ญ่ากลับก่อนนะคะ” ธัญญาเรศไหว้ย่านวลกับอินทนนท์ “สวัสดีค่ะ”
ธัญญาเรศเดินออกไป มิ้งค์ถอนใจอย่างโล่งอกจนทุกคนสังเกตได้
“มีอะไรหรือเปล่ามิ้งค์” ลันตาถาม
“เอ่อ...ไม่มีค่ะ มิ้งค์ต้องกลับแล้ว”
พอลพูดกับลันตา “ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะส่งให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัย”
ลันตายิ้ม

รถของพอลแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านมิ้งค์
“ขอบคุณค่ะ”
“ขอบคุณที่ผมมาส่ง หรือขอบคุณที่กันคุณจากคุณธัญญาเรศ”
มิ้งค์หันมองพอลแบบรู้ได้ไง
“เดาไม่ยาก...เห็นคุณทำหน้าขู่ฟ่อ ๆ ใส่คุณธัญญาเรศ แล้วก็หวงตัวเล็กขนาดนั้น คุณกับคุณธัญญาเรศมีอะไรหรือเปล่า” พอลว่า
“ฉันสงสัย” มิ้งค์ชะงักแล้วลังเลว่าจะพูดดีไหม แต่ก็ตัดสินใจตัดบท “ฉัน...เหนื่อย ขอไปพักก่อนนะคะ” มิ้งค์เปิดประตูรถแล้วจะก้าวลง
พอลมองอย่างเข้าใจ “คนเพิ่งรู้จักกัน มันยากจะไว้ใจ...”
มิ้งค์หันมองอีกว่าตานี่มันรู้ได้ยังไง แต่เธอก็พูดต่อ
“ขอบคุณอีกครั้ง สวัสดีค่ะ”
มิ้งค์ยิ้มนิด ๆ อย่างขอบคุณที่เข้าใจ พอลยิ้มรับนิด ๆ ก่อนจะมองตามแบบไม่ยื้อ

ธัญญาเรศเข้ามาที่หน้าห้องด้วยสีหน้าที่ยังหงุดหงิดอารมณ์เสียเรื่องมิ้งค์ ธัญญาเรศจะเอากุญแจไขประตูแต่ประตูไม่ได้ล็อค ธัญญาเรศชะงักแล้วยิ้มอย่างพอใจก่อนจะเปิดประตูเข้าไปทันที อนุชิตยืนรออยู่ในห้องที่คอมพิวเตอร์ถูกเปิดไว้
“เซอร์ไพร์สจริง ๆ ที่เห็นคุณที่นี่” ธัญญาเรศมองอย่างกวนประสาท “ฉันขอเดาว่าคุณคงคิดถึงฉันมาก”
“เอาคลิปเสียงมา!” อนุชิตบอก
“ใช้เสียงให้มันนุ่มนวลหน่อยสิคะ คุณควรจะรู้นะคะว่าอนาคตของคุณอยู่ในมือของฉัน”
อนุชิตเจออาการลอยหน้าลอยตาของธัญญาเรศก็สุดทน เขากระชากแขนธัญญาเรศให้ลุกขึ้น
“ธัญญาเรศ!”
“ชื่นใจจริงๆ ที่ได้ยินคุณเรียกชื่อฉันเต็มยศขนาดนี้ ดีค่ะ...จำไว้ให้แม่นๆ ด้วยว่าชื่อนี้สำคัญกับคุณที่สุด ไม่ใช่นังอรขจีหรือยัยลัน”
“ผมบอกให้เอาคลิปเสียงมา!”
ธัญญาเรศยิ้มลอยหน้าลอยตานิด ๆ แบบกวนประสาทให้ถึงที่สุด
อนุชิตหงุดหงิด “โธ่เว้ย!”
อนุชิตเขย่าธัญญาเรศอย่างแรงด้วยความโกรธแล้วก็เหวี่ยงธัญญาเรศไปที่โซฟา อนุชิตคว้ากระเป๋าธัญญาเรศขึ้นมาแล้วคว้าโทรศัพท์มากดเปิดไล่หาแต่ก็ไม่เจอ
“อยู่ไหน...มันอยู่ไหน” อนุชิตบีบแขนเขย่าตัวธัญญาเรศด้วยความโกรธ
“อยู่กับคนที่พร้อมจะปล่อยมันเป็นข่าวตลอดเวลา ถ้าฉันเป็นอะไรไป”
อนุชิตชะงักก่อนจะปล่อยมือจากคอธัญญาเรศ
“ถ้าผมเป็นข่าว อาก็ไม่ปล่อยคุณไว้แน่!”
ธัญญาเรศยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน เธอไม่สนใจคำขู่ด้วยซ้ำ แล้วก็เข้าประเด็นตัวเอง ธัญญาเรศพูดแบบนิ่ม ๆ แต่ก็คือการข่มขู่ “ฝุ่นผงอย่างฉันเป็นข่าวเดี๋ยวคนก็ลืม แต่พวกเซเล็บอย่างคุณ ชื่อเสียงยับเยิน อนาคตก็ย่อยยับ”
อนุชิตอึ้ง
“ถ้าไม่อยากให้อนาคตตัวเองดับ ก็ทำตามที่ฉันบอก...ง่ายๆ” ธัญญาเรศว่า
อนุชิตอึ้งและอึดอัดมากที่โดนขู่ แต่โดยสถานการณ์แล้วเขาเป็นรองธัญญาเรศมาก อนุชิตมองธัญญาเรศว่าต้องการอะไร ธัญญาเรศยิ้มอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า

ตาหนูหัวเราะคิกคัก ย่านวลกับอินทนนท์มองอย่างเอ็นดู
“ชอบเหรอลูก...” นวลทำเสียงสูงเล่นกับเด็ก
“หน้าตาน่ารัก...ผิวก็ดี ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นลูกชาวเขานะ มันดูเป็นลูกครึ่งมากกว่า” อินทนนท์ว่า
“แต่มันมีแค่ทางเดียวที่จะสืบที่มาของตาหนูได้ ลันจะพาตาหนูกลับไปหาครอบครัวที่ถูกต้องให้ได้ค่ะ”
“ลันควรจะแจ้งความนะลูก” นวลแนะนำ
“ลันห่วงเรื่องความปลอดภัยของตัวเล็กค่ะคุณย่า อยากจะแน่ใจว่าตัวเล็กจะได้อยู่กับพ่อแม่ที่คิดเลี้ยงดูจริงๆ ไม่ได้คิดจะทำร้าย”
“งั้นก็แจ้งมูลนิธิสิ ที่เขาตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ เผื่อจะมีคนแจ้งเรื่องตามหาเจ้าตัวเล็ก” อินทนนท์เสนอ
ลันตามองหน้ากับสิปาดันอย่างเห็นด้วย

ลันตาคุยโทรศัพท์ สิปาดันอุ้มตาหนูที่โยเย อินทนนท์กับย่านวลนั่งรอฟังผล ลันตาวางสายแล้วหันมาพูด
“ลันติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ลันเคยสัมภาษณ์เขา ลันส่งรูปตัวเล็กให้ทางโน้นเช็กแล้วค่ะ แต่ไม่มีใครแจ้งความหรือตามหาเด็กที่มีลักษณะเหมือนตัวเล็กเลยค่ะ”
“แปลกนะ เด็กหายทั้งคน..หรือว่าเป็นพ่อแม่ที่ตั้งใจทิ้งเด็กจริงๆ” อินทนนท์สงสัย
“แล้วลันจะทำยังไงต่อ จะให้ทางมูลนิธิจัดการเรื่องนี้ไหม” นวลถาม
ลันตาหนักใจ “ถ้าทำแบบนั้นตัวเล็กจะต้องไปอยู่สถานสงเคราะห์เพื่อพิสูจน์สัญชาติ ลันเป็นห่วงเขา”
“แต่ทางมูลนิธิเขาเชี่ยวชาญกว่าเรานะลัน” สิปาดันบอก
“มันอาจจะไม่ถูกต้อง แต่ลันตัดสินใจแล้วค่ะ ว่าลันจะดูแลตัวเล็กเอง จนกว่าจะตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเล็กเจอ ลันจะไม่รอเฉยๆ จะตามหาพ่อแม่ของตัวเล็กด้วยอีกทาง ลันช่วยเขาแล้วก็จะช่วยให้ถึงที่สุด”
นวล อินทนนท์ และสิปาดันมองลันตาอย่างชื่นชมในความมีน้ำใจของลันตา ตาหนูร้องโยเยขึ้นมา
“เป็นอะไรลูก” นวลจับๆ “ฉี่หรือลูก”
นวลเปิดแพมเพิร์สจะทำความสะอาดแล้วก็เห็นว่าตาหนูเป็นผื่นแดงที่ก้น
นวลตกใจ “ทำไมเป็นผื่นแบบนี้”
ลันตากับสิปาดันขยับเข้ามาดู
“จริงด้วยค่ะ ทำไมมันเป็นผื่นแดงแบบนี้” ลันตาตกใจ
“ลันใช้แพมเพิร์สยี่ห้อเดียวมาตลอดหรือเปล่า” นวลถาม
“เปล่าคะ ซื้อครั้งล่าสุดยี่ห้อที่เคยใช้มันหมด ลันเลยเปลี่ยนยี่ห้อค่ะ”
“สงสัยจะแพ้แพมเพิร์ส คงต้องเปลี่ยนมาใช้ผ้าอ้อม” นวลสรุป
“ผ้าอ้อม แล้วต้องใช้ผ้าแบบไหนคะ ลันจะได้ไปหามา”
นวลมองอย่างเป็นห่วง “ย่าว่า ย่าเอาตัวเล็กไปเลี้ยงให้ดีกว่านะ”
ลันตาชะงัก สิปาดันอึ้งไป
“ก็ดีนะ พวกแกต้องทำงาน เลี้ยงเด็กก็ไม่เป็น เอาไปไว้ที่ไร่พ่อน่าจะดีกว่า” อินทนนท์เห็นด้วย
สิปาดันกระตือรือร้นจะเห็นด้วย “ผมก็ว่า..” แต่แล้วเขาก็ชะงักที่เห็นสีหน้าลันตา
สิปาดันมองลันตาที่มองตาหนูอย่างลังเล เขารู้เลยว่าไม่อยากให้ไปแต่ไม่กล้าขัดผู้ใหญ่
“ผมกับลันจะเลี้ยงตาหนูเอง!” สิปาดันพูด
ทุกคนมองสิปาดันงงๆ อินทนนท์มองสิปาดัน
“เราดูแลตาหนูได้ครับ”
ลันตามองสิปาดันอย่างงง ๆที่เขายืนยันแบบนั้น
“ลันก็คงอยากดูแลตาหนูเองจนกว่าจะตามญาติเขาเจอ จริงไหมลัน”
ลันตาอึ้งที่สิปาดันตอบอย่างรู้ใจ
อินทนนท์คิดแล้วตัดสินใจ “ก็ดีนะ ยังไงตาหนูก็คงติดหนูลันแล้ว ให้ลันกับสิปาเลี้ยงไปเถอะแม่”
“แต่แม่ว่า...”
อินทนนท์เข้ามากระซิบย่านวล นวลฟังแล้วมองที่ลันตากับสิปาดัน นวลเริ่มจะเข้าใจ
สิปาดันกับลันตามองสงสัยว่าอินทนนท์กับย่านวลกระซิบอะไรกัน จนนวลหันมาแบบตกลงกันได้แล้ว
นวลยิ้ม “เราสองคนดูแลตาหนูต่อก็ได้...แต่ถ้าจะเลี้ยงจริงๆ ต้องเลี้ยงให้เป็น”
สิปาดันกับลันตามองนวลที่ยิ้ม ๆ ว่าจะให้ทำยังไง

สิปาดัน ลันตา นวล และอินทนนท์ซื้อข้าวของเครื่องใช้ของเด็ก ทั้งเตียงเด็ก รถเข็น เสื้อผ้าเด็ก ขวดนม ผ้าอ้อม ลันตาเลือกของกับนวล ทั้งสองยิ้มคิกคัก บางจังหวะลันตาก็กอดนวลแบบอ้อน ๆ สิปาดันอุ้มตาหนูมองเพลิน ๆ อินทนนท์เข้ามาด้านหลังมองสายตาสิปาดันอย่างรู้ทัน
“สวยไหม...” อินทนนท์ถาม
สิปาดันชะงักรู้สึกตัวแล้วก็เปลี่ยนท่าที “ถ้าไอ้ลันสวย โลกนี้ไม่มีใครขี้เหร่อีกแล้วล่ะพ่อ”
อินทนนท์หมั่นไส้ “แกนี่มันโง่ มีคนดีๆ อยู่ใกล้ตัวดันตาถั่วมองไม่เห็น”
อินทนนท์เดินไปหาย่านวลอย่างหงุดหงิด สิปาดันหันมาคุยกับตาหนูแทน
“ยอมตาถั่ว...ดีกว่าเยอะ จริงไหม” สิปาดันว่า
สิปาดันหันมองทางลันตาด้วยความรู้สึกหนักใจ

มิ้งค์เดินเข้ามาในออฟฟิศ แล้วเธอก็แปลกใจที่เห็นพนักงานมายืนรวมตัวกันอยู่หน้าบอร์ดติดข่าวของออฟฟิศ
“มีอะไรกันเหรอพี่ ทำไมมายืนออกันแบบนี้” มิ้งค์ถาม
พนักงานคนอื่นยังไม่ทันตอบ อนุชิตก็ก้าวเข้ามา
“ทุกคนคงเห็นประกาศแล้ว ว่าคนที่จะมารับตำแหน่งบรรณาธิการคือ.. คุณธัญญาเรศ” อนุชิตบอก
ธัญญาเรศเชิดหน้ามองทุกคนแบบผยองมาก มิ้งค์อึ้ง คนอื่นๆ มองแบบอึ้งๆ เพราะไม่ค่อยอยากได้ธัญญาเรศเป็นหัวหน้าแต่ก็ไม่แสดงออกนอกหน้า
“ขอบคุณค่ะคุณนุ...ญ่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ตอนนี้เราต้องรีบทำฉบับครบรอบสามปี ต้องรันงานทั้งหมดให้เร็วที่สุด อีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันที่ห้องประชุม ขอให้ทุกคนมาพร้อมกับไอเดีย แล้วพี่จะอธิบายแผนงานให้ฟัง” ธัญญาเรศสั่งทันที
รัชนีเดินเข้ามา
“นุ!” รัชนีมีสีหน้าไม่พอใจมาก
“อานี...” อนุชิตรู้ว่ารัชนีไม่พอใจที่เขากระทำโดยพละการ “เราต้องรีบทำฉบับครบรอบผมต้องหาคนมารันงานทั้งหมด”
ทุกคนมองรัชนีว่าจะยังไงต่อ
รัชนีคิดแค่ชั่วขณะแล้วหันไปหาธัญญาเรศ “ฉบับครบรอบสามปีของเรา พี่อยากให้เน้นเรื่องความเก่งของผู้หญิงในหลายบทบาท ญ่าช่วยจัดการให้พี่ด้วย”
ธัญญาเรศยิ้มเพราะนี่เท่ากับรัชนียืนยันว่าธัญญาเรศได้ตำแหน่งบ.ก.โดยสมบูรณ์แล้ว ธัญญาเรศมองหน้าอนุชิตด้วยความสะใจ
อนุชิตหงุดหงิดที่เป็นรองธัญญาเรศ “ถ้าเข้าใจกันแล้วก็แยกย้ายไปทำงานซะ”
พนักงานต่างแยกย้ายกันไปด้วยสีหน้าเซ็งๆ อนุชิตเดินไปอย่างหงุดหงิด ธัญญาเรศเดินไปแต่แค่เลี้ยวมุมแล้วก็หยุดยืนรอมิ้งค์ที่จะเดินไปทำงาน
“มิ้งค์...” รัชนีเรียก
มิ้งค์ชะงักแล้วหันมาหารัชนีว่ามีอะไร
“ไปบอกลันตาให้มาหาพี่ด่วนที่สุด” รัชนีสั่ง
มิ้งค์มองว่าเรื่องอะไร ธัญญาเรศที่ได้ยินมีสีหน้าไม่พอใจมาก

อ่านต่อหน้าที่ 3


รักต้องอุ้ม ตอนที่ 4 (ต่อ)
ลันตารับขวดนมที่ตาหนูดูดเสร็จแล้วมาจากสิปาดัน สิปาดันเอาตาหนูขึ้นพาดบ่าให้เรอนม

นวลมองอย่างพอใจ “ดี เด็กเล็กเขายังสื่อสารกับเราไม่ได้ เราต้องสังเกตเขาให้ดี”
“ครับย่า” สิปาดันรับคำ
“แม่ ต้องทำเวลาแล้วเดี๋ยวตกเครื่อง” อินทนนท์บอก
“ทีนี้ก็หลักสูตรเร่งรัดล่ะนะ”
สิปาดันกับลันตามองหน้าแบบพร้อมมาก
นวลสอนให้สิปาดันกับลันตาอาบน้ำให้ตาหนู เช็ดตัว ทาแป้ง ตาหนูสบายตัวก็ยิ้มน่ารัก สิปาดันกับลันตาซักผ้าอ้อมแล้วช่วยกันตาก นวลอุ้มตาหนูแล้วคอยชี้สอน สิปาดันหัดชงนม เขาทดสอบความร้อน ด้วยการหยดใส่หลังมือ สิปาดันสะดุ้งเพราะร้อนไป นวลมองแล้วส่ายหน้าว่าจะรอดไหม สิปาดันสาละวนกับการประกอบเตียงเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนลันตาทำความสะอาดห้องตามที่ย่านวลบอก
เวลาผ่านไป สิปาดันกับลันตาลงนั่งอย่างหมดแรง นวลอุ้มตาหนูมายืนมอง อินทนนท์ยิ้มขำ
“เลี้ยงเด็กสักคนทำไมมันถึงได้เยอะแยะจุกจิกอย่างนี้ล่ะครับย่า” สิปาดันถาม
“ถ้าไม่ไหว ย่าจะเอาตัวเล็กไปนะ” นวลบอก
“ไหวค่ะ” ลันตามุ่งมั่นมาก “ลันเลี้ยงตัวเล็กได้”
สิปาดันเปลี่ยนท่าทีเป็นแข็งขันขึ้นมาทันที เขาพูดด้วยน้ำเสียงโม้มาก “ขับเครื่องบินยากกว่านี้เยอะ”
“มั่นใจก็ดีแล้ว...เรื่องชาวเขาพ่อจะสืบให้ พวกแกจะขึ้นไปเมื่อไหร่ก็บอกไปกันเถอะแม่”
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ขอบคุณนะคะคุณลุง คุณย่า เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“มีอะไรด่วนโทรถามย่าได้ตลอดนะ”นวลหอมตาหนู “ย่าไปนะลูก”
สิปาดันพูดกับลันตา “จะรีบไปรีบกลับ แกไหวนะ”
“เลี้ยงมาตั้งหลายวันแล้ว แค่นี้จิ๊บๆ” ลันตาว่า
อินทนนท์กับนวลสบตากัน หลังจากมองท่าทีสิปาดันที่ดูจะห่วงใยลันตา สิปาดันช่วยถือกระเป๋าพาอินทนนท์กับนวลเดินออกไป ลันตาหันมามองตาหนูด้วยความเอ็นดู
“น่ารักขนาดนี้ ไม่น่ามีคนใจร้ายกับหนูได้ลงเลยนะ” ลันตาบอก
ตาหนูยิ้มน่ารักสดใสบริสุทธิ์

สิปาดัน ย่านวล อินทนนท์เดินเข้ามามุมหนึ่งของสนามบิน
“พ่อ...เมื่อกี้ที่คอนโด พ่อกระซิบอะไรกับย่า” สิปาดันถาม
“ก็..บอกว่ามันเป็นโอกาสดีที่ไอ้บื้ออย่างแกจะได้ใกล้ชิดหนูลัน ขวัญใจบ้านเราน่ะสิ” อินทนนท์บอก
สิปาดันอึ้ง ยิ่งย่านวลยิ้ม ๆ สิปาดันก็ทำหน้าไม่ถูก
“ไอ้ที่พ่อคิดมันเป็นไปไม่ได้หรอก เราเป็นเพื่อนกันนานนะพ่อ นานมาก...อยู่กันไปแบบนี้ก็ดีแล้ว”
อินทนนท์เคือง “แกนี่มันไม่ได้ดังใจพ่อเลย...”
“ช่างเถอะน่า อย่าไปบังคับใจสิปาเลย” นวลมองยิ้มๆ “แต่ถ้าวันไหนมีใครมาคาบไป แล้วอย่ามาร้องไห้กับตักย่าแล้วกัน”
สิปาดันยิ้ม “ร้องไห้ดีใจที่ลันมันขายออกน่ะเหรอครับ ผมจะจุดพลุฉลองเลย”
อินทนนท์หมั่นไส้ “เขาเรียกว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”
นวลเข้ามากอดสิปาดัน “ย่าแค่อยากให้แกมีผู้หญิงดีๆ เป็นคู่ชีวิต แต่ถ้าแกไม่ชอบหนูลัน ย่าก็ไม่บังคับ ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่นี่นะ ย่าไปก่อนนะ”
สิปาดันกอดย่านวล แล้วทั้งสองคนก็แยกไป สิปาดันมองตามพลางถอนหายใจ

ลันตาหันมาอย่างไม่อยากเชื่อ
“บรรณาธิการหนังสือเล่มใหม่ของพี่นี พี่นีบอกมิ้งค์เหรอ?”
“เปล่าค่ะ แต่พี่ๆ ที่ออฟฟิศเขาเม้าท์กันว่าพี่นีกำลังวางแผนจะลาออกจากTrendy แล้วเปิดหนังสือของตัวเอง มิ้งค์ก็เลยเดาๆเอา แล้ว..พี่จะไปหาพี่นีเมื่อไหร่คะ” มิ้งค์ว่า
“พี่ไม่ไปหรอกมิ้งค์” ลันตาบอก
“ทำไมล่ะพี่ พี่นีเขาง้อพี่แล้วนะ”
“จะไม่มีใครคิดว่าพี่ได้ตำแหน่งนี้มาเพราะความสามารถ พี่ทนไม่ได้ที่จะถูกมองว่าได้ดีเพราะผู้ชายให้”
“แต่มันเป็นเป้าหมายของพี่นะพี่ลัน”
“เป้าหมายที่ไม่ผ่านอุปสรรค มันไม่มีค่าหรอกมิ้งค์ คนทำงานที่ได้ตำแหน่งมาง่าย ๆ ก็จะไม่มีวันได้สัมผัสคำว่าภูมิใจไปตลอดชีวิต”
มิ้งค์พยักหน้าอย่างเข้าใจ “เท่มากเลยพี่ลัน สมเป็นไอดอลมิ้งค์จริงๆ งั้นมิ้งค์บอกว่าพี่ไปทำงานต่างจังหวัดเหมือนที่พี่บอกคุณย่ามาลัยแล้วกันเนอะ”
ลันตาคิดแล้วสยอง “เมื่อวานพี่เกือบเจอกับย่า”
“เจอแล้วทำไมล่ะพี่”
“ก็พี่โกหกว่าอยู่เชียงใหม่ ขืนเจอกันที่กรุงเทพฯ พี่ก็ตายน่ะสิ”
พอลันตาพูดจบ เสียงมือถือลันตาก็ดังลั่น ทั้งคู่สะดุ้ง ลันตามองหน้าจอมือถือเห็นว่าเป็นภาพย่ามาลัย ลันตาตกใจมาก
“คุณย่า...”
มิ้งค์อึ้งและกลัวแทนลันตา “พูดถึงก็โทรมาเลย ขลังสุดยอด”
ลันตาตั้งสติสูดลมหายใจเข้าออกยาว ๆ แล้วตัดสินใจกดรับ
ลันตาพยายามทำเสียงร่าเริง “สวัสดีค่ะย่า รู้ได้ยังไงว่าลันคิดถึง”

มาลัยคุยโทรศัพท์
“แกอยู่ที่ไหน”
ลันตาสบตากับมิ้งค์ว่าซวยแล้ว
“อยู่...อยู่บนดอยค่ะ วันนี้เขามาถ่ายวีดีโอพรีเซ้นกันบนดอย”
“แน่ใจนะ ว่าแกอยู่บนดอย”
“ค่ะ..ย่ามีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมถามแปลกๆ”
“เอาที่อยู่แกที่เชียงใหม่มาสิ”
“ย่าจะเอาไปทำอะไรเหรอคะ”
“แกไปอยู่ไกลๆ แบบนี้ ย่ากับป้าเป็นห่วง ว่าจะขึ้นไปเยี่ยมแกที่โน่น”
ลันตาตกใจมาก “ไม่ได้นะคะ”
มาลัยจับพิรุธทันที “ทำไม หรือว่าแกไม่ได้อยู่เชียงใหม่”
ลันตารีบตั้งสติอย่างว่องไว “อยู่ค่ะ แต่ย่าเคยพูดตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนว่าจะไม่กลับมาเหยียบเชียงใหม่อีกนี่คะ อีกอย่างลันไม่อยากให้ย่ากับป้าอังต้องลำบากมาหาลันถึงที่นี่ ลันทำงานอีกไม่นานก็เสร็จแล้วค่ะ”
“นานแค่ไหน..” มาลัยถาม
“เอ่อ...”
มาลัยเสียงเข้ม “ย่าถามว่านานแค่ไหน”
“สองเดือนค่ะ ขอเวลาแค่สองเดือนแล้วลันจะรีบกลับไปนะคะย่า” ลันตาบอก
“เดือนเดียว! ไม่ว่าแกจะทำอะไรอยู่ก็ตาม ย่าให้เวลาแกเดือนเดียว ถ้ากลางเดือนหน้าแกไม่กลับมา ย่าจะขึ้นไปเชียงใหม่”
“แต่ลันทำงานนะคะย่า”
“ย่าไม่ได้ตัวติดกับแกนี่ แกทำงาน ย่าก็ไปอยู่เป็นเพื่อน”
“ย่าคะ...”
“ถ้าแกต่อรอง ย่าจะขึ้นเชียงใหม่พรุ่งนี้”
“เดือนเดียวก็ได้ค่ะ ลันจะรีบเคลียร์งานแล้วรีบกลับไปนะคะ”
“ลันตา...รู้ใช่ไหมว่าย่าเกลียดที่สุดคือคนโกหก”
ลันตากลัวมากแต่ยังทำใจดีสู้เสือ
มาลัยพูดต่อ “ย่าปล่อยให้แกไปไกลหูไกลตา เพราะว่าย่าไว้ใจว่าแกจะไม่ออกนอกลู่นอกทาง”
ลันตาพูดอย่างหนักแน่นเพราะเชื่อว่าไม่ได้ทำอะไรผิด “ย่าเชื่อใจลันได้เลยค่ะ ลันจะทำแต่เรื่องที่ถูกต้อง”
มาลัยพูดเรียบๆ “อย่าทำให้ย่าผิดหวังในตัวแกนะลัน”
มาลัยวางสาย
ลันตาวางสายสีหน้าหนักใจมาก
มิ้งค์โล่งอก “คิดว่าย่าจะจับได้ซะแล้ว ขอให้มูลนิธิได้ข่าวพ่อแม่ตัวเล็กเร็วๆ เถอะ เพี้ยง”
ลันตามองตาหนู “มีเวลาแค่เดือนเดียว พี่คงจะนั่งรอเฉยๆ ไม่ได้แล้ว”
มิ้งค์มองลันตาว่าหมายความว่ายังไง

ลันตาอุ้มตาหนูนั่งวางบนตักพลางมองที่ประตูอย่างรอคอย สิปาดันเข้ามาพร้อมกับถุงอาหาร
“หิวหรือยัง...” สิปาดันถาม
“สิปา...ฉันมีเรื่องปรึกษาหน่อย”
“ว่า...”
“พรุ่งนี้แกว่างไหม”
สิปาดันกำลังจะถามว่าทำไม เสียงโทรศัพท์สิปาดันก็ดังขึ้นก่อน สิปาดันยกมือบอกว่ารอแป๊บขอคุยโทรศัพท์ก่อน
“ว่าไงภูมิ...พรุ่งนี้ฉันมีไฟล์ทไปกัวลาลัมเปอร์ว่ะ คืนนี้ไม่ออกไปแล้ว เออ..”
ลันตาชะงักมองสิปาดันที่กดวางสายอย่างใช้ความคิด
สิปาดันหันมา “เมื่อกี้แกถามว่าอะไรนะ”
“พรุ่งนี้แกบินไปไหน”
“กัวลาลัมเปอร์”
“ไปนานมะ”
“ไฟล์ทกระแทกหมอน” สิปาดันพูดศัพท์นักบิน ที่หมายถึงบินไปถึงที่หมายแล้วได้นอนพักเจ็ดชั่วโมงก่อนบินกลับมา “เทคออฟสี่โมงเย็น”
“นอนเจ็ดชั่วโมง รวมบินกลับมาอีกทีพรุ่งนี้ก็เกือบหกโมงเย็น พอกลับมามีบินต่อมะ”
“มีบินพวงสามตุ้บ” สิปาดันหมายถึงหนึ่งตุ้บคือหนึ่งที่ “ย่างกุ้ง เชียงใหม่ กรุงเทพฯ ถามทำไม?”
“อืม...” ลันตาคิดหนัก
“...แกมีอะไรหรือเปล่า”
ลันตาไม่อยากให้สิปาดันกังวล “แค่อยากรู้จะได้แบ่งเวรเลี้ยงตาหนูเท่านั้นเอง”
สิปาดันจะถามต่อ แต่ตาหนูร้องไห้ ลันตาจึงจับผ้าอ้อม
“เดี๋ยวฉันเปลี่ยนผ้าอ้อมก่อนนะ แกไปพักเถอะไป”
สิปาดันไม่ได้สงสัยจึงเดินเข้าห้องไป ลันตามองตามอย่างคิดหนัก
“สิปาไม่ว่าง ต้องหาตัวช่วยซะแล้ว” ลันตาบอก

กีรติกำลังพรีเซ้นต์บนจอที่มีแผนที่ประเทศไทยค่อนข้างใหญ่ทำตัวหนาเส้นทางในการเดินทางจากกรุงเทพฯขึ้นไปจนถึงเชียงใหม่ แล้วยังมีเส้นทางที่กระจายในเชียงใหม่เป็นเส้นหนา
“จากข้อมูลทั้งหมดนี้ ผมตั้งใจจะให้รายละเอียดให้มากขึ้น ในเรื่องของเส้นทางตามรายทางว่ามีตรงส่วนไหนที่น่าสนใจในจุดแวะพักต่างๆ ครับ เจาะให้ลึกในกลุ่มลูกค้าที่เน้นเรื่องกิน เที่ยวที่เป็นข้อมูลแบบชาวบ้านมากขึ้น เที่ยวให้ถึงแก่นของแต่ละที่”
“แต่อย่าลืมว่ารูปแบบของเราคือคู่มือ ไม่ใช่การเล่าเรื่องราวแบบของสำนักพิมพ์อื่น พี่ไม่อยากให้เสียเอกลักษณ์ของเรา” อธิปว่า
“สิ่งที่เพิ่มคือสีสันเท่านั้นครับพี่”
อธิปคิดเล็กน้อย “โอเค พี่อยากออกหนังสือก่อนเดือนเมษา กบกับแพทขึ้นไปเก็บข้อมูลให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะติดช่วงคริสมาสต์ ปีใหม่ เบิกงบได้เลยนะ” อธิปพูดกับแพท “งานแรกของคุณ ทำให้เต็มที่”
“ค่ะพี่อธิป” แพทรับคำ
อธิปเก็บของเดินออกไป
“คุณคงไม่มีปัญหาเรื่องอดทนกับความลำบากใช่ไหม ครั้งนี้ผมจะขึ้นดอยคงต้องอยู่หลายวันหน่อย” กีรติบอก
“ฉันอดทนกับความลำบากได้ค่ะ แต่จะไม่อดทนกับคนทำงานไม่เป็นและหวังว่า” แพทมองกีรติอย่างให้รู้ว่าถ้าเขาไม่เก่งเธอไม่ยอมเชื่อฟังแน่ “คนที่ฉันจะเรียนรู้งานด้วยจะไม่ได้เก่งแต่สร้างภาพ”
กีรติยิ้มกวน “ผมก็รับประกันความเก่งตัวเองไม่ได้ด้วยสิ เรายังไม่ได้เริ่มงานกัน”
“ดีแล้วล่ะค่ะ” แพทมองอย่างท้าทาย “เพราะคนจริงเขาไม่พูดแต่ต้องทำให้เห็น”
เสียงมือถือแพทดังขึ้น
แพทกดรับ “กำลังเดินกลับไปที่โต๊ะ รอแป๊บ”
แพทรีบเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน
กีรติมองตาม “ทริปนี้คงสนุกมาก”
กีรติขำ ๆ ก่อนจะมองตามอย่างพอใจในความไม่ยอมแพ้ของแพท แพทดูมั่นใจและน่าจะทำงานร่วมกับเขาได้ดี

รักต้องอุ้ม ตอนที่ 4 (ต่อ)
กีรติเดินกลับมาที่โต๊ะ เขาชะงักที่เห็นลันตาอยู่กับแพทที่โต๊ะทำงาน

“ขึ้นเชียงใหม่ไปตามหาญาติเจ้าตัวเล็กเหรอ ดอยไหนก็ไม่รู้จะเจอเหรอแก” แพทว่า
“ยังไงก็ต้องลอง สิปามันไม่ว่าง แกไปเป็นเพื่อนฉันนะ” ลันตาบอก
“ไม่ได้ว่ะลัน พรุ่งนี้ฉันต้องไปทำงาน”
ลันตากังวล “ทำยังไงดีล่ะ ย่าให้เวลาแค่เดือนเดียวด้วย”
“ไปด้วยกันสิครับ” กีรติเสนอ
ลันตากับแพทหันไป
ลันตาแปลกใจ “คุณกบ”
แพทมองงงๆ “นี่แกรู้จักเขาด้วยเหรอ”
“คุณกบเขาเป็นเพื่อนกับสิปา” ลันตาบอก
“ถ้าคุณลันจะขึ้นดอยไปตามหาคน ผมก็จะพาไป” กีรติบอก
แพทหันไปมอง
กีรติพูดต่อ “ยังไงเราก็ต้องขึ้นดอยอยู่แล้ว ทำงานด้วยช่วยคุณลันด้วย ผมโอเคนะ”
“ถ้าไม่รบกวนการทำงานคุณมาก....ขอบคุณมากค่ะคุณกบ” ลันตาบอก
ลันตาตกลงมองกีรติอย่างมีความหวัง ในขณะที่แพทรู้สึกว่ากีรติดูแปลกๆ กับลันตา

สิปาดันใช้เท้าดันเปลที่ตาหนูนอนเบาๆ ส่วนตาก็ดูโทรทัศน์พลางกินมันฝรั่งไปด้วย ลันตากลับเข้ามา
“ไปไหนมาน่ะลัน”
ลันตาเลี่ยงไปดูตาหนู “ไปหาแพท”
“เมื่อตอนบ่ายแกรีบออกไป ยังคุยไม่รู้เรื่องเลยว่าแกถามเวลาว่างฉันทำไม”
“ไม่มีอะไรนี่”
ลันตาเลี่ยงเดินเข้าไปในห้องเพื่อไปเปลี่ยนกางเกงเป็นกางเกงขาสั้นให้คล่องตัวสบายขึ้น
สิปาดันนอนคุยอยู่ที่เดิมแต่พูดเสียงดังขึ้น “แน่นะ”
เสียงลันตาดังออกมา “เออสิ แกคิดว่าฉันจะมีอะไร”
ลันตาเดินออกมาผ่านสิปาดันที่นั่งหันหลังให้กับเธอ
สิปาดันหันมาคุย “ก็แก.....” สิปาดันชะงักและอึ้ง
สิปาดันเห็นเรียวขาของลันตาที่ใส่กางเกงขาสั้นแบบสบายๆ ซึ่งปกติลันตาก็ใส่ขาสั้น แต่วันนี้เขากลับรู้สึกเพราะโดนสะกิดจากพ่อกับย่า
“ฉันทำไม...” ลันตาถาม
สิปาดันรู้สึกตัวจึงตั้งสติ “แกดูไม่ปกติน่ะสิ”
“ปกติ!...ฉันแค่เหนื่อยเลี้ยงตัวเล็ก ก็เลยอยากไปพักสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็แค่นั้น”
ลันตาเลี่ยงไปอุ้มตาหนูที่หลับอยู่ขึ้นมาแล้วยืนเล่นกับตาหนู ทั้งหอมแก้มและยกตาหนูขึ้นเล่น
“ไปนอนเตียงนะครับตัวเล็ก จะได้สบาย ๆ” ลันตาบอก
สิปาดันมองไล่ขาของลันตาขึ้นไปช้า ๆ ด้วยสายตาเคลิ้มมาก ลันตาหันกลับมาเห็นสิปาดันมองอยู่ ก็มองตามสายตาสิปาดันด้วยความสงสัยว่ามองอะไร
“แกมองขาฉันทำไมวะ” ลันตาถาม
สิปาดันพูดเคลิ้มๆ “..สวยดี...”
“แกว่าอะไรนะ?”
สิปาดันสะดุ้งเพราะรู้สึกตัว “ฉันว่าแกขาใหญ่ไปแล้วนะ”
ลันตามองขาตัวเองแล้วยกขึ้นตั้งฉากตรงหน้าสิปาดันแล้วถามอย่างไม่ได้มีอย่างอื่นแอบแฝง
“แบบนี้เรียกว่าใหญ่เหรอ”
สิปาดันมองขาลันตาตรงหน้าแล้วแอบกลืนน้ำลายนิด ๆ
สิปาดันพยายามเรียกสติตัวเองด้วยการพูดกลบเกลื่อนเสียงดัง “เห็นแล้วอยากกินข้าวขาหมู”
สิปาดันลุกเดินหนีเข้าไปในห้อง
“เวอร์แระ” ลันตามองขาตัวเอง เธอยกลอยขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะมองอย่างพินิจ “ออกจะเรียวสวย ตาถั่วจริงๆ”

สิปาดันเดินเข้ามาในห้องแล้วค่อย ๆ เอนตัวมองออกไปทางประตู เขาเห็นลันตาอุ้มตาหนูที่รู้สึกตัวเดินไปมา สิปาดันรู้สึกว่าลันตาดูสวย เซ็กซี่ตามธรรมชาติในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น สิปาดันสะบัดหัวพยายามจะไล่ความรู้สึกที่มันกำลังเกิดกับตัวเองตอนนี้ออกไป

มิ้งค์เดินเข้ามาแล้วก็ชะงักที่เห็นธัญญาเรศกำลังจะออกไป
“ยังไม่กลับเหรอคะ” มิ้งค์ถาม
“เพิ่งตรวจบทความเสร็จ มิ้งค์เอาไปส่งฝ่ายอาร์ตได้เลย แต่หน้าสารบัญพี่ทำหมึกเลอะก็เลยทิ้งไปแล้ว มิ้งค์ปริ๊นท์หน้าสารบัญมาใหม่นะ แบบเดิมนั่นแหละพี่โอเคแล้ว พี่ไปนะ”
“ค่ะ”
ธัญญาเรศเดินออกไป มิ้งค์จะไปหยิบปึกต้นฉบับที่โต๊ะธัญญาเรศ เธอเห็นหน้าสารบัญที่ถูกขยำทิ้งในถังขยะตรงโต๊ะธัญญาเรศ มิ้งค์เห็นว่าตรงส่วนที่เลอะเหมือนถูกขีดฆ่าเป็นรอยลึก เธอหยิบขึ้นมาดูแล้วก็ตกใจที่เห็นว่าตรงที่ถูกขีดฆ่าเป็นชื่อของลันตา มิ้งค์มองอึ้งๆ

สิปาดันมองลันตาที่ก้ม ๆ เงย ๆ ดูตาหนูที่นอนอยู่ในเตียงเด็กด้วยสีหน้าเครียด ๆ
นวลเข้ามากอดสิปาดัน “ย่าแค่อยากให้แกมีผู้หญิงดีๆ เป็นคู่ชีวิต แต่ถ้าแกไม่ชอบหนูลัน ย่าก็ไม่บังคับ”
เสียงอินทนนท์แวบเข้ามาในหัว “ไอ้แสบ...พ่อย้ำอีกที โอกาสมันไม่ได้มีบ่อยๆ หรอกนะ”
ตามด้วยเสียงของนวล “ชีวิตมันมีเรื่องต้องเสี่ยงเสมอ” นวลยิ้ม “ไม่ลองไม่รู้นะ”
ลันตาหันกลับมาเห็นสิปาดันหน้าเครียด ๆ
“เป็นอะไรสิปา”
สิปาดันหมกมุ่นกับความคิดตัวเองจนไม่ได้ยินที่ลันตาถาม ลันตามองว่าเป็นอะไรของมันแล้วก็คิด สิปาดันนั่งนิ่ง ลันตาเดินกำมือไว้ด้านหลังแล้วเข้ามาตรงหน้าสิปาดัน ลันตาเลื่อนมือที่กำมาตรงหน้าสิปาดันแล้วแบมือออก สิปาดันผงะเพราะกลิ่นที่กระจายตรงหน้า
“ไอ้ลัน!”
“กลิ่นมาดามหอมชื่นใจ” ลันตาหัวเราะชอบใจ “หายเครียดเลยใช่มะ”
สิปาดันเอาเรื่อง “จะเล่นใช่ไหม...”
ลันตาลอยหน้าลอยตา สิปาดันไล่ตามจับตัวลันตา ทั้งสองต่างวิ่งหนีไล่กันไปรอบ ๆ จนลืมตาหนูไปเลย ลันตาจะก้าวกระโดดข้ามโซฟาหนีแต่ก้าวพลาดสะดุดล้มหน้าทิ่มลงพื้น สิปาดันตกใจรีบเข้าไปประคองลันตาที่ขยับลุกขึ้นมาโอดโอย
“ไอ้ลัน!”
ลันตาเจ็บที่หน้าผากที่กระแทกกับพื้น “เจ็บว่ะ”
สิปาดันเอายาหม่องทาให้กับลันตา
“โอ้ย! เบาๆ” ลันตาโดนสิปาดันกดที่บวมหนักขึ้น “โอ้ยๆ ๆ ไอ้สิปา” ลันตาใช้เท้ายันสิปาดันออก “ไอ้บ้า มันเจ็บนะโว้ย”
“สม! อยากเล่นซกมกดีนัก ต้องเจอเจ็บๆ แบบนี้” สิปาดันยิ้ม
“เจ็บนิดหน่อย แลกกับไม่ต้องเห็นแกทำหน้าเป็นตูด มันก็โอเคนะ”
สิปาดันชะงักไปนิด ที่รู้ว่าลันตาแกล้งแหย่เพื่อให้ตนเองอารมณ์ดีขึ้น
“ขอบใจนะ...”
ลันตาเห็นสิปาดันขอบใจจริงจัง
“เฮ้ย...” ลันตาตบไหล่ป้าบเข้าให้ “เพื่อนกัน”
สิปาดันมือจับตรงที่โดนตีด้วยสีหน้าเจ็บมาก “ไอ้ลัน!”
ลันตาหัวเราะเสียงดังมาก แล้วก็วิ่งหนีเข้าห้องนอนก่อนจะปิดประตู สิปาดันมองตามจากสีหน้าจะเอาเรื่องก็ค่อยๆ ผ่อนคลายกลายเป็นยิ้มนิด ๆ

เช้าวันใหม่ ลันตาป้อนนมให้ตาหนู สิปาดันแต่งชุดนักบินออกมาจากห้องนอน
ลันตาแปลกใจ “เทคออฟสี่โมง ไปเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้เลยเหรอ”
“จะเข้าไปสำนักงานใหญ่ก่อน ต้องเตรียมเรื่องงานแนะแนวรุ่นน้องตามมหาวิทยาลัยที่สนใจอาชีพนักบินที่เชียงใหม่น่ะ”
“อ๋อ...โอเค เสร็จงานแล้วแกรีบกลับล่ะ อย่าแอบไปแรด”
สิปาดันยิ้ม
“ยิ้มอะไร” ลันตาถาม
“ก็แกสั่งอย่างกับเมีย” สิปาดันบอก
ลันตาไม่ได้คิดเยอะ “ฉันกลัวแกจะเอาเปรียบต่างหาก ตกลงว่าช่วยกันเลี้ยงก็ต้องช่วยเข้าใจป่ะ”
“รู้แล้วน่า” สิปาดันหยิบกระเป๋าเงินแล้วหยิบเงินให้ลันตา 5,000 บาท “เอาติดตัวไว้”
“ไม่ต้องหรอกแก ฉันพอมี”
“ไอ้ที่พอมีไว้ผ่อนรถ” สิปาดันไม่ยอม เขาเอาเงินใส่มือลันตาจนได้ “เก็บไว้เถอะน่า เผื่อฉุกเฉิน มีอะไรโทรเข้าเครื่องฉันได้ตลอดนะ” สิปาดันพูดด้วยสายตาอ่อนโยนมากเพราะเริ่มเปิดความรู้สึก “จะรีบกลับมานะ”
ลันตาสะดุดกับความอ่อนโยนของสิปาดันนิด ๆ เหมือนโดนแสงวิ้งเข้าตาชั่วขณะ เธอยิ้มรับ “อืม..”
สิปาดันเดินออกไป ลันตายืนกระพริบตา ภาพสิปาดันยิ้มแวบเข้ามาในหัว ลันตาสะบัดหน้าเบาๆ
“ทำไมมันติดตาวะ...อืม...”
ลันตาพยายามสะบัดมันทิ้งไปแล้วหันมาอุ้มตาหนู ตาหนูมองตอบตาแป๋วใช้มือป่ายปะที่หน้าลันตา
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะช่วยตามหาญาติหนูต่อให้ลำบากแค่ไหนพี่ก็จะพาหนูกลับบ้านให้ได้”
เสียงกริ่งหน้าห้องดัง ลันตาอุ้มตาหนูไปเปิดประตูก็เห็นพอลยืนอยู่หน้าประตู ลันตายิ้มดีใจ

ธัญญาเรศกำลังจะเดินเข้าไปในออฟฟิศ เธอชะงักที่ได้ยินเสียงมิ้งค์คุยโทรศัพท์
“พอเลิกงานปุ๊บ มิ้งค์จะรีบไปดูตัวเล็กให้ทันทีเลยค่ะพี่ลันพี่ลันไปตอนสี่โมงใช่ไหมคะ มิ้งค์คงไปไม่ทันส่งพี่ ขอให้หาญาติตัวเล็กเจอนะคะ ค่า”
ธัญญาเรศเครียดจัดที่ได้ยิน

กีรติขับรถเข้ามารอรับ ลันตาถือกระเป๋าออกมา พอลเดินตามมาพร้อมกับอุ้มตาหนูไว้ กีรติมองพอล
“คุณพอลเป็นเพื่อนบ้านค่ะ คุณกบเพื่อนสิปาค่ะ” ลันตาแนะนำ
พอลกับกีรติพยักหน้าให้กันเล็กน้อย
“ฝากตัวเล็กด้วยนะคะ เดี๋ยวเย็นๆ มิ้งค์จะเข้ามา” ลันตาบอก
“ยินดีครับ” พอลพูด
แพทแบกกระเป๋าเข้ามาที่หน้าคอนโด
“ขอบคุณค่ะ” ลันตาเห็นแพท “แพททางนี้”
“ผมช่วยนะครับ”
กีรติเข้าไปช่วยลันตาถือของเอาขึ้นรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
แพทมองเห็นกีรติยิ้มเบิกบานมาก เขาเก็บของให้ลันตากับแพทเสร็จก็มาเปิดประตูที่นั่งด้านข้างคนขับให้ลันตา
“เชิญครับ” กีรติบอก ลันตาทำหน้างงๆ ที่ให้เธอนั่งหน้า “คุณแพทเขาต้องมีที่วางกระเป๋ากล้องน่ะครับ” กีรติอธิบาย
แพทมองกีรติอย่างจับสังเกต
ลันตาเข้าใจตามนั้นจริงๆ “ค่ะ”
กีรติจะขึ้นรถแต่ก็เห็นแพทมองจ้อง “มีอะไรเหรอครับ”
“เปล่า...ไปเถอะค่ะ”
แพทขึ้นนั่งที่นั่งด้านหลัง กีรติขับรถออกไป คนที่ธัญญาเรศจ้างมาดักถ่ายรูปถ่ายรูปแล้วขับรถตามไป

สิปาดันอยู่ในห้องพัก เขาพยายามโทรหาลันตา แต่ลันตาไม่ยอมรับสาย
“ทำอะไรอยู่นะลัน”
สิปาดันโทรหาแพท แพทก็ไม่รับสาย
“แพทอีกคน...” สิปาดันชักกังวล “มีอะไรหรือเปล่า”
สิปาดันคิดแล้วกดโทรศัพท์อีกครั้ง

มือถือแพทมีมิสคอลของสิปาดัน แพทยื่นหน้ามาหาลันตาอย่างไม่ค่อยสบายใจ
“แกควรจะบอกสิปานะมันจะได้ไม่ห่วง”
“บอกตอนนี้มันต้องห้ามฉันแน่ๆ ให้ถึงเชียงใหม่ก่อนแล้วค่อยบอก จริงไหมคะคุณกบ”
“ครับ....” กีรติยิ้ม
แพทมองกีรติอย่างจับสังเกต

เกตุ เจ้าหน้าที่คอนโดฯ ของสิปาดันกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่ฟร้อนท์
“พี่พล คุณสิปาจะคุยกับพี่”
พล ร.ป.ภของคอนโดฯ วิ่งมารับ
“ครับคุณสิปา คุณลันตา เพื่อนคุณไม่อยู่หรอกครับ ออกไปตั้งแต่เย็น เห็นขนกระเป๋าไปด้วยน่ะครับ แต่ไม่ได้แจ้งว่าไปไหน รถที่รับน่ะเหรอครับ รถ...รุ่น เลขทะเบียน...ครับ”

มือสิปาดันจดเลขทะเบียนรถด้วยสีหน้าเครียด สิปาดันวางสายอย่างหัวเสีย
“ออกไปไหนนะลัน!”
สิปาดันหยิบกระดาษมาดูรุ่นรถ ดูเลขทะเบียน เขาอ่านทวนเบาๆ อย่างคุ้นๆ

กีรติขับรถเข้ามาจอดที่หน้าซูเปอร์ เขามองนาฬิกาก็เห็นว่าสองทุ่มแล้ว
“พักรถแป๊บนะครับ” กีรติบอก
“ลัน” แพทขยับมามอง “อ้าว...”
กีรติหันไปเห็นลันตานั่งหลับ
“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” แพทบอก
กีรติพยักหน้ารับ แพทเดินลงไป
เสียงมือถือกีรติดัง กีรติมองแล้วลงจากรถเพื่อกดรับ
“โทรมาถามเรื่องคุณลันใช่ไหม”

สิปาดันพูดเสียงดังอย่างไม่พอใจ
“แกจริงๆ นี่แกจะพาลันไปไหน!” สิปาดันฟัง “ทำไมต้องรีบขึ้นไปพร้อมแกด้วย”
สิปาดันฟังกีรติพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจมาก

กีรติเปิดประตูด้านที่ลันตานั่ง เขาเอาผ้าห่มผืนบางห่มให้ลันตาด้วยท่าทางทะนุถนอมมาก กีรติมองยิ้มแล้วถอยออกมาพอหันกลับมาชะงักที่เห็นแพทยืนมองอยู่
“ขึ้นรถสิครับ...” กีรติบอก
กีรติจะเลี่ยงไปขึ้นรถ แต่ก้าวได้ไม่เท่าไหร่แพทก็พูดออกมา
“คุณชอบเพื่อนฉันเหรอ”
กีรติชะงักแล้วหันกลับมาเห็นแพทจ้องคาดคั้นเอาคำตอบ
“ครับ...ผมชอบคุณลัน” กีรติตอบ
“แต่เพื่อนฉันมีคนที่รักเขาอยู่แล้ว ผู้ชายคนนั้นดีมาก” แพทยื่นคำขาด “อย่ายุ่งกับเพื่อนฉัน”
กีรติยิ้มอย่างไม่สะเทือน “ให้คุณลันเป็นคนเลือกเองดีกว่าครับ แต่คนอย่างผมถ้าคิดจะสู้แล้วไม่ถอยแน่นอน”
กีรติเดินขึ้นรถ แพทมองตามอย่างเคือง ๆ แบบไม่มีทางยอมแน่นอน

กีรติขับรถมาบนถนน แพทยังตื่นอยู่จึงนั่งมองไปข้างหน้าเป็นเพื่อนกีรติ ลันตายังหลับ กีรติเหลือบ ๆ มองลันตาอย่างชื่นชม
“มองถนนบ้างเถอะคุณ ฉันยังไม่อยากตาย” แพทว่า
กีรติมองกระจกหลังก็เห็นแพทมองอย่างไม่พอใจ กีรติรู้ว่าแพทมองแต่ก็ไม่สนใจ แพทเคือง เธอมองออกไปนอกกระจกอย่างหัวเสีย แพทเห็นชัยยืนอยู่ข้างทาง เธอเห็นก้อนหินในมือชัย ทันใดนั้น ชัยก็ปาหินเข้ามาที่หน้ากระจกจนแตกเปรี้ยง! กระจกแตก หินพุ่งเข้ามาตรงกลาง เฉียดตัวแพทไปลันตาสะดุ้งตื่น กีรติหักรถและเบรกสุดตัว ทุกคนตกใจมาก

อ่านต่อตอนที่ 5

กำลังโหลดความคิดเห็น