เรือนริษยา ตอนที่ 4
เช้าวันรุ่งขึ้น ภายในเรือนรัตนะ ใครคนหนึ่งเดินขึ้นบันไดตรงมาที่หน้าห้องนอนลิตร เหมือนประสงค์ร้าย และแล้วหยุดยืนที่หน้าประตู มือใส่ถุงมือจับไปที่ลูกบิดประตู ที่มีหูช้างทำไว้สำหรับคล้องกุญแจ อยู่ด้านล่าง มือนั้นลองบิดลูกบิดดู ปรากฏว่าล็อกจากด้านใน มือนั้นค่อยๆเลื่อนลงมาจับที่หูช้าง
ภายในห้อง นันทนัชอาบน้ำแต่งตัวทะมัดทะแมงอยู่ที่หน้ากระจก แล้วหันไปหยิบกระเป๋าสะพายใบเล็กจะเดินไปเปิดประตู เธอบิดลูกบิดปลดล็อกประตูแต่ปรากฏว่าเปิดไม่ได้
"เอ๊ะ! ทำไมเปิดไม่ได้"
เธอพยายามดึงสุดแรง จนเหนื่อย
"มันติดอะไรเนี่ยะ อึ๊บ"
เธอหยุดหอบและสะบัดมือ
"เมื่อคืนก่อนนอนก็ยังเปิดเข้าออกได้ เช้ามาทำไมเป็นยังงี้ ต้องมีใครมาวางยาเราแน่"
เธอลองเขย่าประตูดู แรงเขย่าทำให้ห่วงกุญแจกระทบหูช้าง ก่อนตบประตูอย่างเจ็บใจ พลาง ตะโกน
"เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ คิดจะมาขังฉันไว้งั้นเหรอ ฝันไปเถอะ ฉันไม่มีวันยอมตายตามพ่อฉันไปง่าย ๆ หรอกจนกว่าจะเอาพวกแกเข้าคุก เปิดประตู"
เธอเขย่าประตูแรง ๆ แต่ไม่มีใครมาเปิด เสียงเธอตบประตูเอะอะโวยวาย ใครบางคนยืนมองอยู่ที่มุมไกลๆ ก่อนจะหันเดินหลบไป
ภายในห้อง เธอผลักประตูระเบียงห้องนอน เดินรูดแขนเสื้อขึ้นเหนือข้อศอก ก้มชะโงกลงจากระเบียงไป เห็นเบื้องล่างเป็นพื้นสนามของสวนที่อยู่ด้านข้างของตึก ถึงจะสูงเพียงชั้นเดียว แต่ก็ทำเอาเธอหวาดเสียวไม่น้อย เธอถอดรองเท้าผ้าใบโยนลงไปก่อน เป่าปาก 2 ครั้งเรียกความฮึด ก่อนจะปีนข้ามระเบียงออกไป อย่างทะมัดทะแมง เธอคิดจะโหนราวระเบียงแล้วกระโดดลงไป เธอใช้มือจับซี่ราวระเบียง หย่อนขาลงทีละข้าง แต่มือข้างหนึ่งดันหลุดจากซี่ราวระเบียง
"อ๊าย!"
ร่างเธอห้อยต่องเต่งด้วยมือจับราวเพียงข้างเดียว แทนที่จะร้องขอความช่วยเหลือ แต่คนอย่างเธอยังพยายามจะช่วยเหลือตัวเอง ด้วยการยื่นมืออีกข้างไปจะจับซี่ราว แต่กำลังไม่พอ จนมือข้างที่จับราวอยู่ข้างเดียวนั้นเริ่มจะหมดแรง นิ้วค่อยๆหลุดจากซี่ราวทีละนิ้ว เธอตกใจหน้าซีด
"ห่ะ!"
แล้วร่างก็ร่วงหงายหลังลงไปข้างล่างทันที
ร่างนันทนัชร่วงตกลงมา เธอหลับตาปี๋ยอมรับในชะตากรรม ก่อนที่ร่างเธอจะร่วงสู่พื้น มีแขนแข็งแรงคู่หนึ่งเข้ามาช้อนรับอุ้มไว้ทัน แต่แรงตกกระแทกพาร่างคนที่เข้ามาช่วยรับ ล้มลงนอนกับพื้นหญ้าไปด้วย โดยมีตัวของเธอทับอยู่บนร่างนั้น
"ว้าย!"
"โอ๊ะ!"
นันทนัชลืมตาขึ้นมอง กฤตพนธ์นอนนิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่เป็นเบาะให้เธอทับ นันทนัชหันไปจับที่หน้าอกเขาเขย่าเรียก
"ห่ะ คุณ...! คุณเป็นอะไรรึปล่าว คุณ"
กฤตพนธ์ผงกหัวขึ้น โวยอย่างเหลืออด
"จะเรียกไปถึงไหน! ผมจุก! อุ๊บ"
เธอหยุดกึก ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นยิ้มขำ มองท่าทางเม้มปากกลั้นจุกของเขา
"ยังจะมาขำอีก"
เขาลุกขึ้นทันที ทำให้เธอกลิ้งตกจากตัวเขา
"ว้าย! รอหน่อยก็ไม่ได้ ทำยังกับฉันอยากถูกเนื้อต้องตัวคุณนักงั้นแหละ"
เธอทำเป็นปัดเนื้อตัวอย่างรังเกียจ เขาเองก็ยืนปัดเสื้อผ้ามองเธออย่างเอือมๆ
"อ้าว..ผมไม่ปล่อยให้คุณร่วงตกลงมาคอหักก็บุญแล้ว ขอบคุณซักคำก็ไม่มียังจะมาโวยผมอีก"
เธอลุกขึ้นพูดใส่หน้าเขา
"ขอบคุณ! พอใจหรือยัง"
เธอคว้าร้องเท้าผ้าใบใส่โขยกเขยกเดินไปด้วยท่าทางเอาเรื่อง
"เดี๋ยว...คิดจะก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ...คุณ!"
นันทนัชไม่ฟังเดินฉับๆไปแล้ว เขาถอนใจรีบตามไป
เธอเดินฉับๆเข้าประตูหน้าบ้านมา เจอเดือนที่กำลังเดินลอยหน้าลอยตาออกมา เดือนสะดุ้งตกใจ
"ว้าย! ออกมาได้ไง"
"ฝีมือเธอใช่ไม๊"
เดือนค่อยๆเดินถอย
"คุณพูดเรื่องอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง"
กฤตพนธ์เดินตามเข้ามาพอดี ดึงเธอไว้
"นี่คุณ"
เธอสะบัดมือหลุด พลางตะโกนขึ้นไปข้างบน
"น้าฤทัย ลงมาเดี๋ยวนี้นะ ได้ยินไม๊"
"ตะโกนทำไมคุณ ก่อกวนเค้าแต่เช้าเลย"
กฤตพนธ์ตามมาดึงไว้อีก
"ก็อยากมากวนฉันก่อนทำไม ลงมาเลย ถ้าไม่ลงมาชั้นบุกถึงห้องแน่"
นันทนัชทำท่าจะเดินไปที่บันได แต่ไม้เดินออกมาขวางทางไว้ก่อน
"คุณผู้หญิงไม่อยู่"
"ฉันไม่เชื่อ"
นันทนัชทำท่าจะเดินต่อ
"คุณผู้หญิงพาคุณกิ๊ฟ คุณรณไปประชุมที่โรงสี ขึ้นไป ก็ไม่เจอใครหรอกครับ"
เธอมองจ้องจับผิดไม้
"เป็นคนขับรถส่วนตัวของแม่เลี้ยงชั้นไม่ใช่เหรอเรา"
"ครับ"
"แล้วทำไมไม่ไปขับรถให้เจ้านาย ทำไมยังอยู่นี่"
ไม้นิ่งไม่ตอบ
"หึ ไม่ตอบ ฉันตอบให้ก็ได้ อยู่ล็อกประตูขังฉันไว้ในห้องไง"
"ผมปล่าว"
"โกหก"
"อะไรของคุณอีก ล็อกประตูอะไร"
"อยากรู้ ก็ตามฉันขึ้นมาดูให้เห็นกับตาซี่"
กฤตพนธ์ตามเธอขึ้นไปอย่างงงๆ
เธอเดินขึ้นมายังหน้าห้องของลิตร
"เค้าล็อกประตูขังฉันไว้ไม่ให้ออกมา"
เธอเดินไปที่ประตู แล้วบิดลูกบิดประตู ประตูเปิดง่ายดาย
"เอ่อ..."
ไม้กับเดือนเดินตามขึ้นมายืนดู ขณะที่กฤตพนธ์มองไปที่ประตูแล้วทำหน้ากวน
"อืม จริงอย่างที่คุณพูด ล็อกซะแน่นหนาเชียว"
เขาพูดเสร็จหันเดินหัวเสียออกไป
"จริงๆนะคุณ ฉันไม่ได้โกหก ฉันถึงต้องปีนระเบียงลงไง คุณ"
แต่เขาไม่ฟังเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว เธอยืนขัดใจ หันไปเห็นสายตาของไม้กับเดือนที่มองมาด้วยสีหน้าเยาะๆขำๆ
"อย่าให้ฉันจับได้คาหนังคาเขาแล้วกัน ชั้นเอาตายแน่"
เธอพูดใส่หน้า ทำเอาเดือนผงะ แล้วเธอก็หันเดินลงบันไดไป
ภายในรถ กฤตพนธ์เดินออกจากบ้านมาขึ้นรถอย่างหัวเสีย
"ไม่น่าคิดผิดมาที่นี่เลย"
เขาเร่งเครื่องขับออกไปแล้วต้องเบรกเอี๊ยดหัวทิ่มเมื่อเห็นเธอวิ่งออกมายืนขวางหน้ารถเขา เขาโผล่หน้าออกมาโวย
"อะไรอีกเนี่ยะ! นี่คุณ อยากตายหรือไง"
นันทนัชรีบวิ่งมาเปิดประตู ขึ้นมานั่ง ทำเอากฤตพนธ์ยิ่งงงหนัก
"ขอติดรถไปด้วย"
"ไปไหน"
"ก็คุณจะไปหาพวกแม่เลี้ยงฉันที่โรงสีไม่ใช่เหรอ"
"ผมบอกคุณเมื่อไหร่ ว่าผมจะไป"
"อ้าว! ก็ที่คุณมา จะมาหาพวกเค้าไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่ใช่แล้วคุณมาทำไม
เธอหรี่ตามองกวนๆ
“เอ้... อย่าบอกนะว่าคุณมาหาฉัน”
กฤตพนธ์รีบกลบเกลื่อนแก้ตัวทันที
“ผมไม่มีธุระอะไรกับคุณ ผมจะมาหาคุณทำไม”
“อ๋อ คุณคงมาหายัยกิ๊บ ก็รีบ ๆ ไปสิ ไปช้าเดี๋ยวก็อกแตกตายหรอก”
เธอยียวนต่อ ทำเอากฤตพนธ์ยิ่งฉุน
“คุณนี่มันจริงๆเลย อยากไปโรงสี ก็ให้ตำรวจไปส่งซี่”
“ชั้นไปกับคุณดีกว่า เดี๋ยวเค้าก็ตามชั้นไปเองแหละ” เธอหันมาเหล่ แบบแกล้งสงสัย “ไม่ได้มาหาชั้นแน่นะ”
ได้ผล!กฤตพนธ์ขบกรามรีบใส่เกียร์เร่งเครื่องขับออกไปทันที เธออมยิ้ม ตำรวจ 2 นาย ขับรถตามออกไป
ธีร์สุดหล่อเปิดประตูออกมาจากห้องในคอนโดฯ ไหปลาร้าข้างหนึ่งยังมีผ้าก๊อซพันอยู่ภายใน โผล่ให้เห็นที่คอเสื้อ... เขาเดินตรงไปทางลิฟท์ ด้วยสีหน้ากระตือรือร้นจะได้ไปเจอนันทนัช แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นแฟนต้าเดินมา
“เฮ้ย”
เขารีบหลบเข้ามุมยืนหลังแนบผนังราวกับหลบเจ้าหนี้...รอจนแฟนต้าเดินผ่านไป แล้วค่อยๆย่องเดินออกมา ก่อนรีบเดินเร็วตัวปลิวไป แฟนต้าเห็นธีร์หลบแต่ทำฟอร์มไม่เห็น เดินอมยิ้มไป
ธีร์เดินออกมาที่ล็อบบี้คอนโด สบายใจที่หลบแฟนต้าได้ จะออกไปเรียกแท็กซี่ข้างหน้า
“จะไปไหนแต่เช้าพี่ธีร์”
ธีร์ชะงักหันไปมอง เห็นแฟนต้ายืนพิงเสามองลอดแว่นกันแดดก็ต๊กใจ
“โอ้ มายก็อด! ลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตั้งแต่เห็นพี่ธีร์ทำลับๆล่อๆข้างบนแล้ว ต้าเลยลงทางบันไดหนีไฟมารอไง”
แฟนต้ายิ้มแฉ่ง แต่ธีร์อ้าปากค้าง
“มาทำไมเนี่ย”
“ต้าเป็นคนรักษาสัญญา บอกจะพาพี่ไปเยี่ยมนัน ต้าก็ต้องพาไปให้ได้”
“ทำไมต้องให้เราพาไป พี่ไม่ใช่เด็ก พี่ไปเองได้”
“พี่ยังไม่หาย จะไปไหนมาไหนคนเดียวได้ยังไง ไปๆๆ ต้าจะขับรถไปส่ง”
แฟนต้าเข้ามาคว้าจูงแขนธีร์
“เดี๋ยว! พี่ต้องแวะซื้อดอกไม้ให้นันก่อน”
“เดี๋ยวจะพาไปซื้อ”
แฟนต้าลากธีร์ไป
กฤตพนธ์ขับรถเข้ามาในเขตรั้วโรงสีฤทธานน์ แล้วก็จอดที่หน้าตึกสำนักงานที่มีป้าย“ฤทธานนท์พัฒนกิจ” เธอเปิดประตูลงจากรถหันยืนมองไปรอบๆโรงสีขนาดใหญ่ เขาก้าวตามาลงมายืนมอง เห็นใบหน้าที่เคยอวดดีของนันทนัชเปลี่ยนเป็นเศร้าซึม เธอถอนใจแล้วรีบเดินไป ก่อนจะนึกขึ้นได้
“ขอบคุณนะคะผู้พันที่อุตส่าห์มาส่งถึงที่”
นันทนัชหันเดินเข้าตึกไป กฤตพนธ์มองตามอย่างสงสัยว่า เธอต้องไปป่วนอะไรอีกแน่ ๆ แล้วก็รีบตามเธอไป
นันทนัชเดินหน้ามั่นปรี่เข้ามาในสำนักงาน เลขา2คนอยู่ที่โต๊ะทำงานหน้าห้องประชุมหันมาเห็นแล้วตกใจสะกิดบอกกัน
เลขา1บอก
“อุ้ยๆ...นั่นลูกสาวคุณลิตร”
เธอรีบเดินปรี่จะเข้าห้องประชุม เลขารีบขวาง
เลขา2บอก
“คุณคะ! เข้าไปไม่ได้นะคะ ท่านสั่งห้ามเข้าไปรบกวนค่ะ”
“เค้าสั่งห้ามฉันเมื่อไหร่ ฉันไม่เห็นได้ยิน หลีก”
เธอสั่งหน้าตาย เลขาทั้ง 2 ส่ายหน้าดิกอย่างกลัวรัศมีเพชฌฆาตที่พุ่งออกจากตัวเธอ
เลขา1ยืนยัน
“ไม่ได้ค่ะคุณ…เข้าไม่ได้”
“ฉันบอกให้หลีก”
เธอพยายามแหวกเลขาทั้ง 2 เข้าไป กฤตพนธ์เดินตามขึ้นมาพอดี รีบเข้ามายื้อยุดแขนเธอไว้
“คุณนัน คุณจะทำอะไรน่ะ”
“คุณจะตามมายุ่งอะไรอีก ปล่อยฉันนะ”
ภายในห้องประชุม ฤทัย กนกกร รณฤทธิ์ สมุทรชัย ไกรภัทร หุ้นส่วนและกรรมการบริหาร 4-5 คนนั่งกันอยู่ เพื่อคัดเลือกคนขึ้นมาเป็นผู้รักษาการตำแหน่งประธานบริหารแทนลิตรกำลังเริ่มขึ้น
“เอาละครับขอเชิญเสนอชื่อได้เลยครับ”
กนกกรยกมือพรวด ทำเอาทุกคนงง
ทนายสมุทรชัยบอก
“เอ่อ...คุณกิ๊บเสนอไม่ได้ครับ ผมต้องขอโทษด้วย คุณไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในบริษัท”
“กิ๊บรู้ค่ะ แต่กิ๊บขอเสนอในฐานะที่เป็นลูกคนหนึ่งของคุณพ่อลิตร ถึงจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ” เธอบีบน้ำตาเอ่อๆ ให้ดูจริงใจ “แต่กิ๊บก็รักคุณพ่อมาก รักยิ่งกว่าพ่อแท้ๆซะอีก”
ฤทัยทำเป็นบีบน้ำตาไปด้วย ยื่นมือไปลูบๆหลังกนกกร ประมาณ...โถลูกแม่
บริเวณนอกห้อง…นันทนัชพยายามแกะและสะบัดมือจากกฤตพนธ์และฝ่าด่านเลขา2นางที่พยายามเอาตัวขวางประตูไว้
“ปล่อยฉันนะ”
เลขา1บอกกับกฤตพนธ์
“ช่วยห้ามอย่าให้เข้าไปนะคะ”
เลขา2บอก
“ไม่งั้นพวกเราโดนไล่ออกแน่ๆ”
“ได้ยินไม๊คุณนัน คุณจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปหมด”
“ฉันจะรับผิดชอบเอง คนอื่นไม่เกี่ยว ไม่หลีกกันใช่ไม๊”
นันทนัชล้วงสเปรย์ฉีดปากในกระเป๋าออกมาฉีดๆใส่ทั้ง3
“นี่แน่ะๆ จะได้ปากหอมๆ”
“โอ๊ะ”
ทั้ง 3 พากันยกแขนกันหน้ากันตา
เรือนริษยา ตอนที่ 4 (ต่อ)
ภายในห้อง ไกรภัทรถาม
“ถ้าอย่างงั้นคุณกิ๊บจะเสนอใครครับ”
ไกรภัทรตัดบทถามขึ้น ทั้งๆที่สีหน้าพอจะรู้อยู่แล้วว่าต้องเสนอฤทัย
“คุณแม่ดิฉันค่ะ”
ประตูห้องประชุมถูกผลักผัวะเข้ามาเสียก่อน ในสภาพที่นันทนัชกำลังถูกกฤตพนธ์ยื้อยุดแย่งสเปรย์ฉีดปากในมือจนตัวทั้งคู่กระแทกประตูเปิดผัวะเข้ามา และมีเสียง2เลขาห้ามเจี๊ยวจ๊าว
“เข้าไม่ได้นะคะ...เข้าไม่ได้”
“เอาสเปรย์มาให้ผม”
“ไม่ให้ ปล่อยฉันนะ! เอ่อ...”
ทั้งหมดชะงักหยุด หันมามองในห้องประชุม เห็นทุกคนจ้องมองมาอย่างตกใจ โดยเฉพาะฤทัยที่มีสีหน้าโกรธสุดๆ ขณะที่กนกกรมองมาที่กฤตพนธ์อย่างหึงหวง
“คุณพายัยนี่มาทำไมคะคุณกฤต”
กฤตพนธ์หน้าเหลอ
“ปล่าวครับ ผมไม่ได้พาเค้าเข้ามา เอ่อคือ...”
กฤตพนธ์ไม่มีโอกาสได้อธิบายเพราะรณฤทธิ์ลุกขึ้นโวยเลขาทั้ง 2 ซะแหลก
“เธอ 2 คนปล่อยให้เข้ามาได้ยังไง ไล่ออกไปเซ่”
นันทนัชหันมายิ้มสู้ หัวเราะถาม
“มีสิทธิ์อะไรมาไล่ฉัน ฉันเป็นลูกแท้ ๆ ลืมไปแล้วเหรอ ไอ้ลูกติด”
รณฤทธิ์ลุกขึ้นอย่างเอาเรื่อง
“ว่าไงนะ”
รณฤทธิ์ชี้หน้าจะโวย แต่ฤทัยคว้าแขนหมับห้ามไว้ทัน ก่อนที่รณฤทธิ์จะอาละวาดให้หุ้นส่วนเห็น
“นั่งลง”
รณฤทธิ์จำใจนั่งลงอย่างหัวเสีย
นันทนัชหันไปยกมือไหว้เหล่าหุ้นส่วนและกรรมการทุกคน
“นันต้องขอโทษด้วยนะคะ ที่เสียมารยาท แต่นันคิดว่าทุกท่านคงจะทราบดี ว่านันเป็นลูกแท้ ๆ ของประธานบริษัทนี้ นันควรจะมีสิทธิ์เข้ามามีส่วนร่วมรับรู้ในการบริหารงานทุกอย่าง ถูกต้องมั้ยคะ”
เหล่าหุ้นส่วนและกรรมการนิ่งอึ้งไป
“นันไม่ต้องการอะไรมากค่ะ แค่อยากจะเห็นการบริหารที่ถูกต้องและยุติธรรมเท่านั้นเอง ช่วยพิจารณาด้วยนะคะ”
เธอก้มหัวลงเรียกร้องความยุติธรรม
กฤตพนธ์อดชื่นชมความฉลาดพูดของเธอไม่ได้ ขณะที่เหล่าหุ้นส่วนกับกรรมการหันไปคุยปรึกษากัน สมุทรชัยกับไกรภัทรมองลุ้น ขณะที่ 3 แม่ลูกเริ่มเครียด และแล้วหุ้นส่วนคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น
หุ้นส่วน2 บอก
“เอ่อ...พวกเราปรึกษาหารือกันแล้ว มีความเห็นว่า...คุณนันควรได้รับสิทธิ์นั้นครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
นันทนัชยิ้มยกมือไหว้ไปทั่ว เช่นเดียวกันกับสมุทรชัยและไกรภัทรที่แอบหันมาสบตากันอย่างพอใจเพราะการที่นันทนัชเข้ามามีส่วนร่วมในบริหาร แผนการจัดการกับฤทัยที่ทิพย์วางแผนไว้ก็ง่ายขึ้น
แต่พวกฤทัย กนกกร รณฤทธิ์แทบนั่งไม่ติด
“ได้ไงครับ! เค้าหายไป 5 ปี อยู่ ๆ กลับมาก็จะให้มาร่วมรับรู้เรื่องในบริษัทงั้นเหรอ”
“คุณนันจะหายไปนานแค่ไหน คุณนันก็ยังเป็นลูกของคุณลิตรอยู่นะครับคุณรณ” สมุทรชัยบอกฤทัยสั่งด้วยสายตาให้ลูกชายเงียบซะ สมุทรชัยเลื่อนเก้าอี้ให้เธอ แต่เธอหันไปทางกฤตพนธ์ที่ยืนเซ็งอยู่
“นันขอให้ผู้พันกฤตพนธ์เข้าร่วมฟังการประชุมด้วยนะคะ ในฐานะที่ปรึกษาของนัน”
นันทนัชพูดพลางเข้าไปดึงแขนกฤตพนธ์เข้ามานั่งข้างๆ ทำเอาเขางงเป็นไก่ตาแตก กนกกรแทบกรี๊ด สมุทรชัยกับไกรภัทรมีสีหน้าเครียดขึ้นมาทันที อยู่ๆมีกฤตพนธ์เข้ามายุ่งอีกแล้ว
กฤตพนธ์กระซิบถามเบาๆ
“อึ๋ย! คุณจะเพี๊ยนรึเปล่านี่”
นันทนัชตอบเสียงเบา
“อยากยุ่งเรื่องของฉันนัก ฉันก็จัดเต็มให้ไง” จากนั้นเธอก็หันมาพูดเสียงดัง ฟังชัด “เชิญนั่งค่ะผู้พัน”
เขาต้องวางฟอร์มหันไปยิ้มผงกหัวทักทายทุกคน
“เอ่อ...สวัสดีครับ”
“คุณกฤตทำงี้กับกิ๊บได้ไง” กนกกรถาม
“หยุดนะยัยกิ๊บ” ฤทัยปราม
นันทนัชยิ้มๆมีสีหน้าพอใจ ทำเป็นหยิบปากกาสมุดจดโน๊ตเล่มเล็กๆ จากกระเป๋าขึ้นมาเตรียมพร้อม
“เชิญต่อเลยค่ะ เมื่อกี้ถึงไหนแล้วคะ นันพร้อมจะรับฟังแล้วค่ะ”
ภายร้านดอกไม้ ธีร์เดินดูดอกไม้แต่ละชนิด คิดไม่ตกว่าจะเลือดดอกอะไร แฟนต้ายืนเงกรออยู่
“เอ๊า! เป็นชั่วโมงแล้ว เลือกซะทีซิคะพี่ธีร์ จะเอาดอกอะไร เค้ายืนรอจัดจนจะหลับอยู่แล้ว”
“พี่เลือกไม่ถูก มันสวยไปหมดเลย”
“งั้นเหมาไปทั้งร้านเลยมั๊ย”
ธีร์หันมายิ้ม
“กู้ดไอเดีย!ถ้าทำอย่างงั้นได้ นันจะต้องประทับใจพี่มากเลย”
แฟนต้าสะกิด
“นี่พี่ธีร์ ต้าประชด มาๆ...ต้าเลือกให้เอง ขืนรอพี่ ค่ำพอดี หลีก”
แฟนต้าหันไปมอง แล้วก็เห็นดอกกุหลาบที่ตัวเองโปรดปราน หยิบกุหลาบขึ้นมาเป็นกำใหญ่
ยิ้มตาเป็นประกาย
“กุหลาบนี่แหละสวยที่สุด”
“นี่…เข้าใจอะไรผิดรึปล่าว ให้เลือกให้นัน ไม่ใช่ให้ตัวเอง”
“ก็....นี่แหละเลือกให้ยัยนัน”
“ทำไมไม่เอาคาเนชั่นหรือว่าดอกทิวลิปล่ะ กุหลาบมันเบสิคมาก”
“เบสิคแต่ถ้ายัยนันชอบล่ะ พี่ไม่เอาใช่ไม๊”
ธีร์รีบคว้ากำกุหลาบไปจากมือแฟนต้าทันที
“ถ้านันชอบพี่ก็ชอบ”
ธีร์ยิ้มหอมดอกไม้แล้วเดินเอาไปให้พนักงาน แฟนต้าเบ้ปากหมั่นไส้
“ช่วยจัดเป็นช่อให้ด้วยครับ ขอสวยสุดชีวิต ถึงขั้นยื่นให้ปุ๊บรับรักผมเลยนะคร้าบ”
“เดี๋ยวจัดให้ค่ะ”
แฟนต้าทำหน้าจะอ้วก ธีร์ยืนรอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ลืมแฟนต้าที่ยืนมองหน้าจ๋อยอยู่ข้างหลัง
การประชุมกำลังมาคุ เมื่อนันทนัชคัดค้าน
“ศพของคุณพ่อยังอยู่ในระหว่างสืบคดี นันไม่เห็นด้วย ถ้าจะมีใครมานั่งรักษาการแทน”
คำพูดของเธอทำเอาเหล่าหุ้นส่วนและกรรมการต่างพากันขนหัวลุก
“นี่! ตอนจะเปิดพินัยกรรมก็อ้างยังงี้มาทีนึงแล้ว นี่จะมามุกเดิมอีกแล้วเหรอห่ะ” กนกกรว่า“มุกไร ไม่ใช่ตลกจะได้ปล่อยมุก”
ระหว่างที่มีการปะทะคารมกัน สายตาของกฤตพนธ์ แอบจ้องไปที่ทุกคนเพื่อจับพิรุธหาผู้ต้องสงสัยที่หมายปองชีวิตนันทนัช
“ยังงี้มันกวนประสาทนี่หว่า ทนฟังกันอยู่ได้” รณฤทธิ์ว่า
“หนูนันจ๊ะ นี่หนูกำลังเอาอนาคตของบริษัทเข้ามาเสี่ยง ถ้าไม่มีประธานสั่งงาน บริษัทจะเดินหน้าได้ยังไง”
“ชั้นก็ไม่ได้บอกว่า จะไม่ให้มีประธานคนใหม่นี่คะ แค่ขอให้รอเรื่องคดีคุณพ่อจบเสียก่อน ให้รู้ว่าคุณพ่อเสียชีวิตเอง หรือว่าถูกฆาตกรรม ไม่อย่างงั้น ฆาตกรอาจจะยังลอยนวลอยู่ ชั้นคิดว่านั่นล่ะที่บริษัทจะเสี่ยงมากกว่า”
รณฤทธิ์ฉุน
“แกจะว่าแม่ฉันเป็นฆาตกรก็พูดมาตรงๆเลยซี ไม่ต้องมาอ้อมค้อม”
“รณหยุด”
“ห้ามผมทำไม มันคอยแต่จะด่าว่าแม่เป็นฆาตกร ผมไม่อยากนั่งฟังมันพล่ามอีกแล้ว จะเอาใครขึ้นมาแทน เลือกเลยไม่ต้องสนใจนังปากพล่อยพ่อแม่ไม่สั่งสอนนี่หรอก”
“อ๋อ แต่ละคำที่คุณพ่นออกมานี่ พ่อแม่สั่งสอนมาดีแล้วเหรอ”
“อีนัน!”
“คุณ! สงบสติอารมณ์ พูดคุยกันๆ ดีๆ ซีครับ”
กฤตพนธ์รีบดึงแขนนันทนัชให้นั่งลง แต่นันทนัชสะบัดมือ มองเอาเรื่องรณฤทธิ์
“ถ้ามาด่าถึงพ่อแม่ชั้นอีกทีนะ”
“ทำไม...แกจะทำไม”
หุ้นส่วน1บอก
“หยุดครับหยุด เอายังงี้”
ฤทัยดึงรณฤทธิ์นั่งลงอย่างยากเย็น เพราะรณฤทธิ์ฟิวส์ขาดไปแล้ว นันทนัชก็พยายามสงบสตินั่งลงฟัง
หุ้นส่วน1บอก
“ผมว่าตอนนี้เรายังไม่พร้อมจะหาคนมารักษาการแทนตำแหน่งคุณลิตร ไว้ให้ผลการรื้อฟื้นคดีออกมาเสียก่อน เราค่อยเรียกประชุมกันใหม่ วันนี้ขอยุติเพียงแค่นี้ก่อนครับ”
ฤทัยร้อง “อ้าว”
แต่ไม่มีใครฟัง เหล่าหุ้นส่วนและกรรมการลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุม ทำเอาฤทัย กนกกร รณฤทธิ์นั่งหน้าเสียมองมาที่นันทนัชอย่างแค้น
นันทนัชรีบลุกไปยืนไหว้ส่งเหล่าหุ้นส่วนและกรรมการ
“ขอบพระคุณมากนะค”
สมุทรชัยกับไกรภัทรแอบโล่งใจ ขณะที่กนกกรลุกขึ้นพูดกับกฤตพนธ์
“ คุณกฤตคะ กิ๊บมีเรื่องจะคุยด้วยค่ะ”
ภายในโรงรถ เรือนรัตนะ ไม้กำลังขัดเงารถคันหรูอยู่ เดือนมา มองซ้ายมองขาวไม่มีใคร ก็ย่องเข้ามาปิดตาไม้จากข้างหลัง
“จ๊ะเอ๋ ทายซิว่าใคร ฮิ ฮิ”
ไม้ยิ้ม เล่นด้วย
“ใครน้า”
“ทายไม่ถูกเหรอจ้ะ งั้นเค้าช่วยเตือนความจำให้เอาไม๊ตอนนี้”
เดือนยื่นหน้าไปกระซิบที่หูไม้ เขาพลิกตัวกลับมา เปิดประตูดันเดือนเข้าไปหลังรถ
“ว้าย”
ที่หลังรถ เห็นแต่ขาทั้งคู่โผล่ออกมานอกรถ ...
“พี่ไม้อ่ะ...อิๆๆ พี่นี่ชอบจริงๆเลยนะ ในรถเนี่ยะ”
อยู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ไม้โผล่หัวยุ่งขึ้นมารับสาย
“ฮัลโหล”
พอรู้ว่าเป็นใคร ไม้ก็มีสีหน้าตื่นๆตกใจรีบออกมาจากรถ มือกวักไล่ให้เดือนให้รีบไป
“ครับพี่”
เดือนติดกระดุมเสื้อหรือขยับเสื้อผ้าลงจากรถอย่างหงุดหงิด
ฤทัยเดินพูดมือถือเข้ามาในห้องทำงานประจำตำแหน่ง ภายในตึกสำนักงานฤทธานนท์
“ฉันบอกแล้วใช่ไม๊ว่าให้ขังมัน ทำไมไม่ทำห่ะ”
“เอ่อ...ผมทำตามที่พี่สั่งแล้วครับ แต่นังตัวแสบนั่น มันกล้าตาย ปีนระเบียงห้องลงมาได้”
“ฉันเกือบจะได้ตำแหน่งรักษาการประธานบริษัทแทนคุณลิตรอยู่แล้ว มันมาขัดขาฉันทีเดียว แผนการฉันพังพินาศหมดเลย”
“ผมขอโทษครับพี่ ผมประมาทมันเกินไป”
นันทนัชอยู่ในห้องคุยกับสมุทรชัยกับไกรภัทรด้วยสีหน้าไม่แฮปปี้นัก
“นันชักไม่แน่ใจแล้วว่า ลุงทนายกับคุณไกรภัทรอยู่ข้างใคร”
“ผมอยู่ข้างใครไม่ได้ทั้งนั้นแหละครับ ผมเป็นทนายของบริษัท ต้องเป็นกลาง”
“ถ้าเป็นกลาง แล้วทำไมถึงไม่บอกนัน ว่าวันนี้จะมีการประชุมเลือกคนขึ้นมารักษาการแทนตำแหน่งคุณพ่อคะ”
“คุณนันอย่าลืมนะครับ คุณไม่มีชื่อเกี่ยวข้องอะไรในบริษัทนี้เลย”
“ถ้านันมาไม่ทัน ป่านนี้...น้าฤทัยก็คงจะคว้าตำแหน่งประธานบริษัทของคุณพ่อไปไว้ในกำมือแล้ว คุณลุงเห็นด้วยเหรอคะ”
“ในฐานะพนักงานคนหนึ่งของบริษัทนี้ ผมเห็นด้วยกับเสียงส่วนใหญ่ครับคุณนัน”
นันทนัชได้แต่ถอนใจ เธอคาดหวังว่าสมุทรชัยจะอยู่ฝ่ายเธอ
ไกรภัทรบอก
“เอาเถอะครับ อย่าอารมณ์เสียกับเรื่องที่ผ่านไปแล้วเลย คิดถึงอนาคตข้างหน้า ตอนที่ผลการพิสูจน์ศพของคุณลิตรออกมา จะดีกว่าครับ”
“นันมั่นใจค่ะว่าเราจะต้องได้ตัวฆาตกร”
2 พ่อลูกมองหน้ากัน แล้วไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
“เอ่อ ผมจะจัดห้องทำงานไว้ให้คุณนัน แล้วจะหามือถือกับรถไว้ให้ใช้ ถ้าคุณนันต้องการอะไรอีกก็บอกผมได้นะครับ ผมจะจัดให้” ไกรภัทรว่า
“ขอบคุณค่ะ แต่ที่นันอยากได้ มากที่สุดตอนนี้คือที่อยู่ของน้าทิพย์ รู้ไม๊คะน้าทิพย์อยู่ที่ไหน”
รู้ทั้งรู้ แต่ทั้งคู่ส่ายหน้า
“ไม่มีใครเคยเจอหรือรู้ข่าวคราวคุณทิพย์เลย จนคุณลิตรเสียนั่นแหละครับ ผมถึงเห็นคุณทิพย์ถึงโผล่มาที่วัด”
นันทนัชถอนใจหนัก แล้วตาก็มองไปเห็นโทรศัพท์ของสำนักงานบนโต๊ะ คิดอะไรบางอย่าง
ธีร์เดินถือช่อดอกกุหลาบออกมาจากร้านดอกไม้ด้วยสีหน้ามีความสุข แทบจะลืมแฟนต้าที่เดินตามมาข้างหลัง เสียงมือถือของแฟนต้าดังขึ้น ธีร์ถึงนึกขึ้นได้หันไปเรียก
“เอ๊า...เร็วต้า เดี๋ยวดอกไม้เหี่ยวก่อนไปถึงมือนันหรอก”
“เดี๋ยวซีพี่ ขอรับโทร.สับก่อน”
แฟนต้าล้วงมือถือจากกระเป๋าขึ้นดู ย่นคิ้ว เบอร์ไม่คุ้น ก่อนกดรับ
“ฮัลโหล...ค่ะ นึกว่าใครโทรมา กำลังพูดถึงแกอยู่เนี่ยะ พี่ธีร์เค้าคิดถึงม๊ากก อยากจะไปเจอ อยากจะไปเห็นหน้า”
“หา....นันโทรมาเหรอ”
ธีร์รีบหันเดินกลับมา
“อ้าว ไม่ได้อยู่ที่บ้าน แล้วตอนนี้แกอยู่ที่ไหน”
เรือนริษยา ตอนที่ 4 (ต่อ)
ขณะเดียวกันกฤตพนธ์กำลังตกเป็นจำเลยของกนกกรกับรณฤทธิ์
“ 2 ครั้งแล้วนะ ที่คุณพานังนั่นมาแหกหน้าเรา” รณฤทธิ์บอก
“คุณก็เห็น ว่าผมพยายามห้ามเค้าแล้ว”
“ห้าม...เหอะ! แต่คุณก็เป็นคนพามา”
“เค้าขอติดรถผมมาเอง”
รณฤทธิ์สวนทันที
“ติดมาจากไหน ถ้าคุณไม่ได้รับเค้ามาจากบ้านน่ะห่ะ”
รณฤทธิ์ปรี่เข้าชี้หน้ากฤตพนธ์ที่จ้องนิ่งเขม็ง ฉุนสุดๆ
“รณ...ใจเย็นได้ไม๊”
กนกกรพยายามดึงน้องชาย แต่รณฤทธิ์ปัดมือออกไม่ยอมหยุด
"ไม่เย็นแล้วโว้ย"
"อย่ามาชี้หน้าผมนะ พวกคุณทะเลาะกันเองในครอบครัว อย่าดึงผมเข้าไปเอี่ยว ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับพวกคุณ"
"ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย...ผมว่าคุณอยากจะได้เสียกับมันมากกว่ามั้งถึงได้ตามมันต้อยๆแบบนี้"
"รณ! แกพูดบ้าอะไรเนี่ยะ"
ขณะที่กฤตพนธ์ลุกพรวด จนเสียงเก้าอี้ครูดดังลั่น ปัดมือรณฤทธิ์ที่ชี้หน้าเขาออกอย่างรวดเร็ว แล้วปรี่เข้าไปชี้นิ้วจ่อแทบจิ้มจมูกรณฤทธิ์
"ถ้าผมไม่เห็นว่าคุณเป็นน้องคุณกิ๊บล่ะก็"
"ก็เอาเด่ะ อยากจะรู้เหมือนกันว่าไอ้พวกในเครื่องแบบ มันจะแน่ซักแค่ไหนวะ"
กฤตพนธ์กำหมัดเกือบจะซัดอยู่แล้ว แต่ฤทัยผลักประตูเดินเข้ามาเสียก่อน
"ขอโทษคุณกฤตเดี๋ยวนี้รณ"
กฤตพนธ์ชะงัก
"ทำไมต้องขอโทษ เค้าพานังนั่นมาฉีกหน้าแม่ถึงห้องประชุมนะ"
"ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่เกี่ยว"
"ได้ยินหรือยัง....แม่บอกให้ขอโทษคุณกฤต เดี๋ยวนี้!"
"โธ่เว้ย! ขอโทษก็ได้วะ ขอโทษ...ขอโทษ อี้ย์!"
รณฤทธิ์หันเดินไปยืนยัวะอยู่ที่ริมระเบียง
"น้องขอโทษแล้ว ก็อย่าถือสาน้องเลยนะคะคุณกฤต หนูนันทำกับพวกเราขนาดนี้ ตารณยังเด็ก น้องเลยทนไม่ไหว"
"นั่นซิคะ กิ๊บก็จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว เค้าคิดว่าตัวเองเป็นลูกแท้ๆ จะรังแกลูกเลี้ยงอย่างเรายังไงก็ได้ คุณกฤตต้องไม่เข้าข้างเค้านะคะ"
กนกกรเข้ามาจับมือกฤตพนธ์ร้องห่มร้องไห้ เขาได้แต่ยืนหนักใจที่ต้องเข้ามายุ่งเรื่องคน
อื่นแบบนี้ ฤทัย สีหน้านึกแค้นไปถึงนันทนัช
นันทนัชก้าวเข้ามาในโรงเก็บข้าวเปลือกที่มีข้าวเปลือกกองสูงเป็นภูเขา ความมหึมาของกองข้าวเปลือก ทำให้เธอดูตัวเล็กราวกับมด เธอยืนมองอย่างทึ่งๆ
"โรงสีที่พ่อภูมิใจ"
เธอมองไปยังด้านหนึ่งของโรงสี ที่มีคนงานคอยควบคุมเครื่องจักร กำลังทำงานสีข้าวและบรรจุลงถุง นันทนัชนึกย้อนไปถึงลิตร
เมื่อ 5 ปีก่อน ทิพย์ดึงเธอที่กำลังจะไปขึ้นเครื่องเพื่อไปเมืองนอก
"มาเร็วๆซีคะคุณหนู"
ขณะนั้นเธอกำลังโกรธมีทิฐิอยู่มาก ฝืนตัวไม่อยากจะเดินเข้ามาหา
"อย่าดื้อซีคะ...คุณหนูไปเรียนตั้งไกล ต้องอยู่ห่างคุณพ่อตั้งนาน ลาคุณพ่อก่อนนะคะ แน่ะ...คุณพ่ออยู่นั่น"
นันทนัชมองไปที่มุมไกล เห็นลิตรกำลังยืนเช็คเมล็ดข้าวที่สีออกมา สีหน้านั้น ยิ้มอย่างมีความสุขภูมิใจเหลือเกิน บอกกับหัวหน้าคนงาน
"ข้าวล็อตนี้สวย คุณภาพดีจริงๆ"
แล้วลิตรก็หันมาเห็นทิพย์เดินจูงนันทนัชเข้ามาหา รอยยิ้มนั้นหุบไป เปลี่ยนเป็นบึ้ง
"คุณผู้ชายคะ คุณหนูมาลาค่ะ"
"ลาทำไม ในเมื่ออยากจะไปให้พ้นๆ หน้าฉันใจจะขาด ฉันจัดการให้ตามที่แกต้องการแล้ว ก็รีบๆไปซะ"
"ทำไมพูดอย่างงั้นล่ะคะคุณผู้ชาย อวยพรคุณหนูซีคะ"
"จะให้ฉันอวยพรอะไรห่ะ! เค้าว่าคนบางคนเลี้ยงไปเปลืองข้าวสุก แต่สำหรับฉัน อยู่กับข้าวเปลือกยังดีกว่าอยู่กับคนบางคน"
เธอเสียใจมาก น้ำตาคลอ ปากคอสั่น
"งั้นพ่อก็อยู่กับโรงสี อยู่กับข้าวเปลือกของพ่อต่อไปเถอะ เพราะมันทำให้พ่อมีเงินมีทองร่ำรวยขึ้นได้ แต่อยู่กับนัน มันก็เหมือนอยู่กับส่วนเกินของชีวิตพ่อ"
ขณะที่เธอกำลังหันหลังจะเดินจะออกจากโรงสี ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นฤทัยในชุดสวย สวมหมวกปีกทาปากแดงถือกระเป๋าเดินราวกับนางพญาเข้ามา ฤทัยถลาเข้าไปกอดลิตรด้วยเสน่ห์เย้ายวน ทิพย์มองอย่างเจ็บใจ
"นี่ 2 พ่อลูกทะเลาะกันอีกแล้วเหรอคะ ไม่เอาซีคะคนดีของฤทัย" ฤทัยจับหน้าลิตร เห็นสีที่ทาเล็บแดงแจ๋ "อย่าทำหน้าอย่างงี้ มามะ เป็นไงคะ อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง ฮิๆๆ" ฤทัยยื่นหน้าไปจุ๊บที่แก้มลิตร
เสียงหัวเราะนั้นบาดหูเหลือเกิน เธอสุดทน หันเดินกลับออกไปจากโรงสี ทิพย์ตาม
เธอเดิน น้ำตาไหลเผาะออกจากโรงสีมายังรถที่คนขับรถจอดรออยู่ด้านนอก แล้วเธอก็ยืนเกาะรถร้องไห้สะอื้นออกมาอย่างสุดแสนเสียใจ ทิพย์เดินตามมาพูดรั้งไว้
"เห็นอย่างงี้แล้ว คุณหนูยังจะไปเรียนเมืองนอกได้อีกเหรอคะ"
"พ่อไม่รักนัน ไม่ต้องการนัน แล้วนันจะอยู่ทำไมคะน้าทิพย์"
"อย่าไปเลยค่ะคุณหนู อยู่สู้กับมัน คุณลิตรไม่ได้ตั้งใจจะไล่คุณหนูไปหรอก แต่เพราะนังนี่มันคงจะยั่วยวนจนคุณพ่อไม่ลืมหูลืมตา"
"นี่ อย่ามาโทษฉันนะ"
นันทนัชกับทิพย์หันไป เห็นฤทัยเดินตามเข้ามา
"อยากทำตัวเอง ไม่รักดี ก็ต้องถูกเฉดหัวออกจากบ้านแบบนี้แหละ"
"อย่ามาว่าคุณหนูนะ"
"ทำไม!ฉันพูดความจริง รับไม่ได้เหรอ หึ!รีบไปเถอะ เธออยู่ไปก็มีแต่ทำให้พ่อเธอรำคาญใจ อย่างน้อยก็ไปเรียนให้จบอะไรมาสักอย่าง เผื่อพ่อเธอจะภูมิใจขึ้นมามั่งที่มีลูกอย่างเธอ"
"แก...นึกว่าเก่งนักหรือไง ถึงได้มาด่าว่าข่มเหงรังแกเด็กอยู่แบบนี้"
"ปล่อยให้เค้าทำไปเถอะน้า เค้าอยากว่าหนูก็ปล่อยให้เค้าว่าไป นันจะจำใส่สมองไว้ทุกคำพูด จะไม่มีวันลืมเลย เราต้องได้เจอกันอีกแน่คุณฤทัย"
นันทนัชดึงทิพย์ขึ้นรถไป
"แต่ฉันไม่อยากเจอหล่อนอีกแล้ว ไปเลย ไปแล้วไปลับ ไม่ต้องกลับมาอีกนะยะ ฮ่ะ ๆๆ"
รถแล่นออกไปช้า ๆ เธอหันไปมองฤทัยเป็นครั้งสุดท้าย เห็นฤทัยกวักมือไล่แล้วหัวเราะเริงร่าหันเดินกลับไปทางโรงสีอย่างผู้ชนะ
เวลานี้ นันทนัชนึกแค้น น้ำตาเอ่อ
"ชั้นไม่ควรทิ้งพ่อไว้กับนังปีศาจนี่เลย"
ฤตพนธ์ออกมาจากสำนักงานก็มองหานันทนัช จนพบว่า เธอยืนอยู่ในโกดังเก็บข้าวเปลือกขนาดใหญ่ กฤตพนธ์เดินปรี่เข้าไปทันทีหมายจะต่อว่า เธอยืนเศร้าคิดเครียด มีอาการวูบๆหน้ามืด ยกมือขึ้นจับหน้าผาก เพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอาหารตกถึงท้อง เมื่อคืนก็กินขนมปังไปแค่นิดเดียว กฤตพนธ์เดินมาถึงด้านหลังก็โวยใส่
"แสบมากนะคุณ ลากผมมาเอี่ยว จนใคร ๆ เค้าคิดว่าผมเป็นพวกเดียวกับคุณไปแล้ว"
เธอไม่ตอบโต้ พยายามยืนเรียกสติตัวเอง แต่กลับหูอื้อตาลายยิ่งกว่าเดิม
"ทำมาเงียบ คุณจะทำอะไรก็เรื่องของคุณ แต่อย่าเอาผมเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวคุณอีกเข้าใจไม๊"
นันทนัชยังยืนเงียบ กฤตพนธ์ยิ่งหัวเสีย
"นี่คุณ! ผมพูดกับคุณอยู่นะ"
กฤตพนธ์เดินไปมองหน้าจะเอาเรื่อง ก็เห็นเธอยืนหน้าซีด เหมือนจะเป็นลม
"อ้าวคุณ...เป็นอะไรรึปล่าว"
เธอส่ายหน้า
"ฉัน...ไม่เป็น...ไร"
แต่เธอก็เซวูบ ขาอ่อน ทรุดลง เขาคว้าตัวเธอประคองไว้ทันก่อนที่เธอจะล้มลงกับพื้น
คนงานพากันตกใจ เดินเข้ามาดู
"เอ่อ...ฉันไม่เป็นไรหรอก"
"หน้าซีด ตัวอ่อนปวกเปียกแบบนี้ ยังไม่เป็นไรอีกเหรอ"
เขาอึ้ง เธอเหลือบมองหน้าเขาอย่างแหยๆ
"ชั้นยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืน"
"มา ผมจะพาคุณไปหาอะไรทาน"
เขาพาเธอเดินออกไป
ภายในเซฟเฮ้าส์ เชนปิดโทรศัพท์ แล้วหันมาพูดกับสมหมาย
"ไอ้นั่นมันพาลูกสาวนายลิตรไปล้มการประชุม ไอ้เวร! เมื่อวานถูกประกบไล่ยิงแล้วยังไม่กลัวตายอีก แค่ขู่มันเฉยๆคงไม่ได้ผลแล้วล่ะ"
เชนพูดพลางมองสบตาสมหมาย สมหมายพยักหน้าราวรับคำสั่ง
ขณะที่กฤตพนธ์ประคองนันทนัชเดินมา กนกกรเดินมาเห็นเข้าพอดี
"อะไรกันน่ะ"
กนกกรเดินหน้าเม้งเข้ามาแต่ไกล นันทนัชเลยขยับถอยมาจากกฤตพนธ์
"ยังอยู่อีกเหรอคะคุณกฤต ก็ไหนบอกว่าจะกลับแล้วไงคะ แล้วเมื่อกี้อะไร ทำสำออยอะไรกันคะคุณกฤต ชั้นเห็นนะ"
"เอ่อ..."
เขาจะตอบแต่เธอแย่งพูดกวนโทสะกนกกรขึ้นก่อน
"หึงเหรอ! กลัวฉันจะแย่งเป้าหมายเธอหรือไง เสียแรงที่ทำตัวสวย รวย กะอีแค่เห็นชั้นอยู่กับเค้า 2 คนก็กลัวจะโดนเขี่ยทิ้งจนขี้ขึ้นสมองซะ และทีหลังก็คล้องกุญแจติดกันไว้เลยสิ ผู้ชายจะได้ไม่ห่างสายตา"
นันทนัชพูดเสร็จก็เดินผละไปทันที กนกกรยืนกรี๊ด
"อ๊าย ด่าฉันแล้วจะหนีไปไหนยะ"
กนกกรเดินตาม กฤตพนธ์สุดเซ็ง
"เสร็จเรื่องจากคนนึง ก็มีเรื่องอีกคนนึง เฮ่อ"
เขารีบเดินตามไปห้าม
เธอเดินกลับมาที่ตึกสำนักงาน โดยมีกนกกรเดินตามตะโกนโหวกเหวกมาข้างหลัง
"ทำไมยะ คิดว่าด่าชั้นแล้ว ชั้นจะยอมแกง่าย ๆ อย่างงั้นเหรอ นังหมาหัวเน่า นังลูกไม่มีพ่อแม่"
"คุณกิ๊บ ไม่เอาน่า เดี๋ยวก็มีเรื่องกันอีก"
เธอกำลังจะก้าวขึ้นบันไดหน้าตึกหยุดกึก หันขวับมา
"เมื่อกี้เธอพูดถึงชั้นว่ายังไงนะ"
แต่ไม่ทันจะมีเรื่อง รถคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอด ธีร์รีบเปิดประตูลงมาพร้อมช่อดอกไม้
"นัน!"
นันทนัชยิ้มออก ดีใจ
"พี่ธีร์!"
เหตุนั้นพลอยทำให้กนกกรกับกฤตพนธ์หยุดชะงักไปด้วย
"โชคดียังเป็นของเธออยู่ ไม่อย่างนั้นเจอดีกันแน่"
แฟนต้าดับเครื่องเปิดประตูตามลงมา ธีร์หันไปมอง เห็นกฤตพนธ์ก็นึกหงุดหงิด ทำไมต้องมีหมอนี่อยู่กับเธอด้วยในทุกที่
"พี่ธีร์ยังไม่หายดี มาทำไมคะเนี่ยะ"
"พี่ก็อยากจะมาเยี่ยมนันอ่ะ ตั้งแต่มีเรื่องจนเข้าโรงพยาบาล พี่ยังไม่เจอหน้านันเลย"
ธีร์ก้าวเข้าไปใกล้ จงใจยื่นช่อดอกไม้ให้เธอต่อหน้ากฤตพนธ์
"นี่จ๊ะ กำลังใจจากพี่ ขอให้นันกลับมาแข็งแรงเร็วๆ แล้วอย่าให้มีเรื่องร้ายๆขึ้นกับนันของพี่อีก"
"ขอบคุณมากค่ะพี่ธีร์ที่เป็นห่วงนัน แต่นันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ นันแพ้เกษรดอกไม้ โดยเฉพาะดอกกุหลาบ"
ธีร์หันขวับไปมอง แฟนต้าสะดุ้ง แต่ก็ฉีกยิ้มสู้รีบเปลี่ยนเรื่อง
"เอ่อ...จะเที่ยงแล้วเนี่ยะ ทานข้าวกันหรือยัง"
"ยังเลย! หิวมาก"
นันทนัชพูดพลางมองไปที่กนกกรที่ถลึงตาใส่
"งั้นดีเลย ไปชิมอาหารร้านฉันกัน เชิญคุณกฤตด้วยนะคะ"
ทำเอานันทนัชกับธีร์ถึงกับชะงัก มอง
"เฮ้ยต้า...ไปชวนเค้าทำไม กวนเค้าน่า เผื่อเค้ามีธุระ"
"ก็ต้าอยากเลี้ยงข้าวตอบแทนเค้านี่ ที่ช่วยชีวิตยัยนันเอาไว้... อย่าเซย์โนเลยนะคะคุณกฤต ไปทานด้วยกันเถอะ พาแฟนคุณไปด้วยก็ได้"
กนกกรถึงกับยิ้มออก ขณะที่นันทนัชยกมือจับขมับ
"ไปกันเถอะค่ะคุณกฤต เค้าอุตส่าห์มีน้ำใจชวนแล้ว กิ๊บกำลังหิวพอดีเลย"
"เอ่อ..."
กฤตพนธ์จะปฎิเสธ แต่พอไปเห็นหน้านันทนัชที่กำลังมองมา ส่ายหน้าบังคับไม่ให้เค้าไป
ก็เปลี่ยนใจ
"ตกลงครับ"
"ฮ่ะๆๆเยส"
ธีร์อยากจะเขกหัวแฟนต้าสักโป๊ก
เรือนริษยา ตอนที่ 4 (ต่อ)
รถของเชนแล่นเข้ามาจอดซุ่มที่นอกรั้วหน้าประตูทางเข้าโรงสี เชนนั่งอยู่เบาะหลัง
รถแฟนต้าที่มีนันทนัชกับธีร์นั่งอยู่ขับออกมาจากรั้วของโรงสี ตามมาด้วยรถของกฤตพนธ์ที่มีกนกกรนั่งมาด้วยขับตามหลังไป รถตำรวจประกบท้าย
"มันออกมานั่นแล้ว ไป!"
ลูกน้องของเชนขับรถตามไปทันที
แฟนต้าเดินนำนันทนัช ธีร์เข้ามาภายในร้าน โดยมีกฤตพนธ์กับกนกกรเดินตามหลังมา
กนกกรมองไปรอบ ๆ แล้วแบะปากทำท่าไม่ชอบใจ พนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามาโค้งต้อนรับ
"อาหารที่โทร.มาสั่ง ออกมาเสริฟได้เลยนะ" แฟนตาบอก
แฟนต้าพูดพลางโอบเอวเอวนันทนัชอย่างสนิทสนม
"ครับ เชิญทางนี้"
พนักงานผายมือนำไปยังโต๊ะมุมหนึ่งที่จัดไว้เป็นพิเศษ มีพนักงานกำลังนำกับข้าวที่เสร็จแล้วมาวางเรียงรออยู่ พร้อมเสิร์ฟน้ำเย็นรอ
"เชิญค่ะคุณกฤต คุณกิ๊บจะสั่งอะไรเพิ่มต้องการอะไรก็บอกพนักงานของต้าได้เลยนะคะ เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจค่ะ"
"ขอบคุณครับ ผมชอบบรรยากาศที่นี่มากเลยครับ"
"เหรอค่ะ งั้นอย่าลืมมาอุดหนุนบ่อยๆนะคะผู้พัน"
กนกกรตวัดสายตาแว๊บมา แฟนต้าสะดุ้ง อุ้ย!
ขณะที่ธีร์เหล่หมั่นไส้แฟนต้าเหมือนกันที่ดันไปตีซี้กฤตพนธ์... เขาขยับเก้าอี้ให้นันทนัชนั่งลง
"เชิญนั่งครับคุณกิ๊บ"
กฤตพนธ์ขยับเก้าอี้จะให้กนกกรนั่งห่างๆนันทนัชหน่อย แต่กนกกรกลับดึงเก้าอี้ตัวตรงข้ามนันทนัชนั่งลง
"ขอนั่งตรงนี้ดีกว่าค่ะ มุมเหมาะ"
นันทนัชเหลือบตาขึ้นมองปะทะสายตากับกนกกรชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร กฤตพนธ์เลยนั่งลงตัวที่ขยับเสียเอง แบบ...จะเอาเรื่องกันใช่ไม๊ งั้นก็เชิญตามสบาย
"อ้าวพี่ธีร์ ไม่นั่งล่ะ นั่งข้างๆนันนั่นแหล่ะ จะได้คอยป้อนข้าวได้ถนัด"
นันทนัชแอบศอกใส่แฟนต้า
"เอ่อ...นันทานไปก่อนนะจ๊ะ พี่มีเรื่องจะคุยกับต้าแป๊บนึง"
"อ๋อ...ค่ะ"
"มานี่เลย"
ธีร์คว้าแขนแฟนต้าพาดึงออกไปนอกร้าน ทิ้งบรรยากาศอึดอัดไว้ที่ทั้ง 3 คน กฤตพนธ์ยกแก้วน้ำขึ้นจิบแอบมอง 2 สาวที่นั่งเงียบวางมาดใส่กัน …ขณะที่พนักงานกำลังตักข้าวเสิร์ฟ
ธีร์ดึงมือแฟนต้าออกมายังมุมระเบียงด้านหน้าร้านอาหาร
"โอ๊ย...อะไรล่ะพี่ธีร์ เจ็บนะ กระชากไหล่แทบหลุด"
"อย่าเว่อร์ ขอร้อง สนุกมาม๊ะ ที่แกล้งพี่"
"แกล้งอะไร ต้าปล่าว"
สมหมายกับเชนเดินผ่านธีร์และแฟนต้าเข้าไปในร้าน ตอนนี้เองที่สมหมายมองหน้าธีร์แล้วคุ้นๆ
ทั้งคู่พากันเดินเข้าร้าน เพราะมีเป้าอยู่ที่กฤตพนธ์
"บอกมานะ ต้ารู้ใช่ไม๊ว่านันแพ้ดอกไม้"
แฟนต้าตาเหลือก แต่ทำไม่รู้ไม่ชี้
"ต้าลืมว่านันแพ้ดอกไม้"
ธีร์จิ้มหัวแฟนต้า
"นี่แน่ะแกล้งลืมอ่ะดิ จงใจทำให้พี่เสียคะแนนใช่มั้ย"
ธีร์เอานิ้วจิ้มไปที่หัวอีกที แฟนต้าปัดมือ
"โอ๊ย! ต้าจะทำอย่างงั้นทำไมเล่า หรือว่าทำแล้วพี่จะกลับมารักต้าแทน หา ถ้าเป็นอย่างงั้น จะได้ทำบ่อยๆ"
ธีร์ถึงกับโวยไม่ออก
"อย่ามาทำหน้าเป็น ด่าแล้วไม่สำนึก ฝันไปเถอะว่าพี่จะรัก รอให้กรุงเทพหิมะตกก่อนละกัน"
ธีร์เดินกลับเข้าร้านไป แฟนต้ายืนเท้าสะเอว
"หืม! มันต้องมีซักวันล่ะวะ ที่หิมะตกมาเพื่อนังต้า"
เชนถือเมนูอาหารพลางแอบมองไปที่โต๊ะมุมไกลด้านใน...เห็นกฤตพนธ์นั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างถนัดถนี่ พนักงานกำลังยืนจดออร์เดอร์อยู่...
"รับอะไรเพิ่มอีกไม๊ครับ"
"แค่นี้แหละ"
เชนโยนเมนูลง พนักงานรับรู้ได้ถึงรัศมีเพชฌฆาต พนักงานมองหน้าเชน
"เฮ้ย...มองอะไร รีบไปเอาที่สั่งมาเร็วๆ" สมหมายบอก
"เอ่อ...ครับๆ"
พนักงานรีบคว้าเมนู โค้งให้ แล้วเดินออกไป ทั้งคู่มองไปที่โต๊ะกฤตพนธ์... เชนมองไปที่นันทนัช
"ดูเหมือนลูกสาวนายลิตรมันจะหายดีแล้ว จะว่าไป นังนี่มันทนทายาดว่ะ เชื้อพ่อมันแรง หึๆๆ"
ธีร์เดินกลับมานั่งร่วมโต๊ะข้างนันทนัช ตามมาด้วยแฟนต้า สมหมายมองธีร์...นึกออก
"ไอ้นี่แหละ ที่ขับรถพาลูกนายลิตรกลับจากวัด คิดว่ามันจะตายคาที่ซะแล้ว เสือกรอด"
"ดูไม่น่าจะมีพิษสง เท่าไอ้ทหารนั่น"
จังหวะนั้นเองที่กฤตพนธ์ปรายตามองมาทางโต๊ะเชน เชนกับสมหมายรีบหลบตาทำเป็นหันมามองหน้ากันเองเหมือนกำลังคุยกันอยู่
กฤตพนธ์กวาดตามองตามสัญชาตญาณที่ถูกฝึกมาจากทหาร ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกใครบางคนจับจ้องเขาอยู่ เขากวาดตามองไปยังลูกค้าตามโต๊ะต่างๆทั่วร้าน โดยเฉพาะลูกค้าผู้ชาย เขากวาดตามองผ่านไปรอบหนึ่ง ก่อนจะมาจับจ้องพิรุธละเอียดทีละโต๊ะ จนมาถึงโต๊ะของเชนกับสมหมาย แต่เสียงของนันทนัชก็เรียกความสนใจของเขาไป
"ชั้นอยากจะพบคนทำกับข้าวนี่นะต้า"
ทำเอางงไปทั้งโต๊ะ แฟนต้านั่งหน้าแหย
"กับข้าวไม่ถูกปากเหรอ"
"อร่อยมาก รสชาตินี้มันคุ้นเหมือนเคยกินมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลย"
"ยี้...เว่อร์ซะไม่มี ก็งั้นๆ กินไม่ลงแล้ว" กนกกรรวบช้อน หยิบแก้วน้ำมากิน
นันทนัชมองจะเอาเรื่อง แต่ธีร์รีบขัด ตักกับข้าวใส่จานให้
"เอ่อ...ถ้าอร่อยก็ทานเยอะๆสิจ๊ะนัน เดี๋ยวก็ผอมแย่ พี่ธีร์เป็นห่วงอ่ะ"
"แหม...หวานแบบนี้ ป้อนซะเลยซีพี่ธีร์"
"เงียบไปเลยต้า"
กฤตพนธ์แอบมองทั้งคู่ แต่ยังไม่รู้ตัวว่าสนใจในตัวนันทนัชเข้าแล้ว เธอคิดสังหรณ์ อยากรู้จนทนไม่ไหวลุกขึ้น
"อ้าว…นันจะไปไหน"
"พี่ธีร์ทานไปก่อนนะ นันขอตัวแป๊บนึง อยากเห็นหน้าพ่อครัว"
นันทนัชลุกเดินไปจากโต๊ะ
"อ้าวเฮ้ยนัน...เดี๋ยว"
แฟนต้ากับธีร์ลุกตามไป
"บ้าไม่บ้า ก็ดูกันเอาเอง ซีคะคุณกฤต ถึงขนาดต้องบุกเข้าไปดูหน้าคนทำ คุณกฤตรู้ไม๊คะ เมื่อคืนก็วิ่งถือมีดไล่ฟันคนใช้มาทีนึงแล้ว หาว่ามีไอ้โม่งจะเข้ามาฆ่าถึงในบ้าน"
กฤตพนธ์ตะลึงที่ได้ยินอย่างนั้น
"แล้วมีไม๊ครับ"
"ไม่มี๊! ไอ้โม่งที่ไหนกันคะคุณกฤต เค้าคิดไปเอง กิ๊บว่ายัยนี่ต้องเป็นโรคประสาทอ่อนๆแน่ๆ คิดแต่เรื่องฆ่าแกงกันอยู่ในหัวตลอดเวลา คุณอยู่ห่างๆเอาไว้นะคะ เกิดเค้าระแวงขึ้นมา อาจจะเชือดคอคุณได้"
แต่กฤตพนธ์กลับไม่คิดว่านันทนัชเป็นอย่างนั้น เขายิ้มๆ
"ขอบคุณครับที่เตือนผม ไม่ต้องห่วง ผมไม่ยอมให้ใครเชือดง่ายๆหรอกครับ โดยเฉพาะสาวๆ ผมไปห้องน้ำก่อนนะครับ"
คำพูดของเขาทำเอากนกกรสะอึกไป กฤตพนธ์ลุกเดินไป กนกกรหันมองตามจับผิดว่าไปห้องน้ำจริงๆรึปล่าว เชนบอกสมหมาย แล้วทั้งคู่ก็ลุกออกจากโต๊ะ เดินผ่านหลังกนกกรตามไป
นัชเดินปรี่มาตามทางที่จะไปห้องครัว แฟนต้ากับธีร์ตามหลังมา
"นันๆ...เป็นอะไรรึปล่าว อาหารมันอร่อยขนาดถึงกับอยากจะเห็นหน้าพ่อครัวขนาดนี้เลยเหรอ"
"เฮ้ยนี่แก...คิดจะมาแย่งแม่ครัวฉันไปเปิดร้านอาหารแข่งกับฉันหรือไงห่ะ"
"ตกลงว่าไม่ใช่พ่อครัว แต่เป็นแม่ครัวเหรอ"
"ร้านฉันก็มีทั้งพ่อครัวและแม่ครัวแหละเว้ย"
"แล้วคนที่ทำกับข้าวให้โต๊ะเราน่ะคนไหนล่ะ"
แฟนต้าตอบ เมื่อทั้ง 3 ก้าวเข้ามาถึงครัวพอดี
"แม่ครัวคนไหน"
"คนเอ่อ..."
แฟนต้าชะเง้อมองหาไปในครัวขนาดใหญ่ของร้านที่มีพ่อครัวแม่ครัวและลูกมืออยู่เป็น10คน
"ออ...นั่นไง"
แฟนต้าชี้ไปที่ด้านหลังแม่ครัวคนหนึ่งในชุดผ้ากันเปื้อนและผ้าโพกหัว เธอมองจ้องไป
ยังแม่ครัวคนนั้น ที่กำลังใช้ช้อนตักชิมน้ำแกงจากหม้อบนเตา
"น้าทิพย์"
นันทนัชเรียกลั่นครัว ทุกคนในครัวต่างหันมามอง ทิพย์ตกใจช้อนร่วงจากมือ ไม่คิดว่านันทนัชจะหาตัวเองได้พบเร็วขนาดนี้
"คุณ...คุณหนู"
นันทนัชเดินเข้าไปหา กอดทิพย์ทันที
"น้าอยู่ที่นี่เอง นันหาน้าเจอแล้ว"
แฟนต้ายืนงงอยู่ข้างธีร์ แฟนต้าไม่รู้มาก่อนว่า ทิพย์กับนันทนัชเป็นอะไรกัน
เชนผลักประตูห้องน้ำเข้าไป เห็นด้านหลังกฤตพนธ์กำลังเสร็จธุระจากโถฉี่ เดินมาที่อ่างล้าง
สวนกับเชน สมหมายที่เดินไปยังโถ มือของกฤตพนธ์กดโฟมล้างมือ
เชนกับสมหมายมองจ้องจังหวะลงมือ รอลูกค้าชาย 2-3คนออกจากห้อง เชนมองไปที่ด้านหลังของกฤตพนธ์ที่กำลังก้มล้างมือ
จบตอนที่ 4