xs
xsm
sm
md
lg

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 4

ป๋องขับรถไปตามถนน โดยมีโจนั่งข้างๆ

“แปลว่าพี่โจตั้งใจจะเป็นคนขับรถให้คุณวนิษาเหรอครับ”
โจ พยักหน้ายิ้มๆ นัยน์ตาเจ้าเล่ห์ “ถูกต้อง เป็นไปตามแผนเป๊ะเลย”
“เพื่อที่พี่จะได้ทำหน้าที่บอดี้การ์ดไปในตัว ตอบแทนที่คุณวนิษาช่วยชีวิตพี่ใช่ไหมครับ”
“เอ่อ พูดอย่างนั้นก็”
โจกำลังจะอธิบาย แต่ป๋องกลับถามต่อ
“แล้วพี่ก็จะเลิกงานนี้แล้วสิ”
“เปล่า จะบ้าเหรอ คืนงานก็ต้องคืนเงินด้วยนะเว้ย ไม่มีทาง”
“อ้าว งั้นที่พี่เป็นคนขับรถก็เพราะจะได้สืบเรื่องคุณวนิษาได้ง่ายขึ้นงั้นสิ”
“ถูกต้อง”
ป๋องมองโจอย่างผิดหวัง
“แต่ถ้าพี่ทำแบบนั้นก็เหมือนพี่ทรยศคุณวนิษานะครับ เขาช่วยชีวิตพี่ แล้วพี่ยังจะไปหาหลักฐานเล่นงานเขาอีกเนี่ยนะ เขาเรียกเนรคุณ”
“แต่หญิงจุ๋มจ้างฉันก่อนที่คุณวนิษาช่วยชีวิตฉัน ถ้าฉันปล่อยคุณวนิษา ก็เท่ากับฉันทรยศลูกค้า”
“ขนาดจะเนรคุณยังอุตส่าห์มีหลักการอีก”
ป๋องพูดประชด ด้วยความหมั่นไส้ แต่โจยังนิ่งอยู่
“ถ้าสมมติแกเจอหลักฐานว่าคุณวนิษาฆ่าผัวเขาจริงๆ แล้วแกจะปล่อยเขาไปเพราะเขาเคยช่วยชีวิตแกงั้นเหรอ”
“เออ ผมจะ”
ป๋องถึงกับพูดไม่ออก โจรีบพูดต่อ
“ถ้าแกปล่อยฆาตกรลอยนวลก็เท่ากับแกไม่มีคุณธรรม”
“แต่ว่า เอ่อ”
“แต่ว่าอะไร”
ป๋องส่ายหน้าเบาๆ
“ผมก็บอกไม่ถูก อย่างงู้นก็ไม่ได้ อย่างงี้ก็ไม่ดี”
“แกด่าฉันเนรคุณอย่างมีหลักการ ฉันจะบอกแกว่า เพราะฉันยึดหลักการ ฉันถึงเนรคุณ”
“ผมปวดหัวแล้วครับ เลิกพูดเถอะครับ”
“ไอ้ป๋อง แกอย่าหนีปัญหา ถ้าแกอยากอยู่แบบเคารพตัวเอง ก่อนอื่นแกต้องรู้ก่อนว่าชีวิตคนเรามันไม่ง่ายนักหรอก แถมบางครั้งมันก็โคตรยากเลย คิดให้เยอะก่อนตัดสินใจจะได้ไม่เสียใจทีหลัง”
โจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก

โจกับป๋อง มานั่งคุยกับ ม.ร.ว. จันทร์ธิดา และพจน์ ที่ร้านกาแฟ
“นี่สามีฉัน คุณพจน์”
โจกับป๋องยกมือไหว้ พจน์รับไหว้ มองโจกับป๋องอย่างไม่ไว้ใจนัก
“ที่ผมตามมาด้วย เพราะอยากรู้ว่าทำไมพวกคุณต้องนัดเมียผมออกมาดึกๆ ดื่นๆ มีอะไรด่วนหรือไง”
“มีอะไรก็ว่ามา” คุณหญิงจุ๋มพูดเสียงเข้ม
“เรื่องแรก ตั้งแต่วันนี้ ผมจะไม่สะดวกที่จะเจอคุณตลอดเวลา เพราะผมจะแทรกซึมเข้าวงในของคุณวนิษา”
“ดีมาก”
“เรื่องที่สอง คุณอาจจะเจอผมอยู่กับคุณวนิษา ตั้งสติดีๆ อย่าเผลอทักผมต่อหน้าเขา ถ้าจะให้ดี ไม่ว่าเจอกันเมื่อไหร่ก็อย่าทัก”
คุณหญิงจุ๋มพยักหน้า “ฉันเข้าใจ”
“เรื่องที่สาม สำคัญมากๆ” โจทำหน้าเครียด
“ว่ามา”
โจยิ้มหวานจ๋อย “ขอเบิกเงินอีกงวดครับ”
คุณหญิงจุ๋มทำหน้าละเหี่ย พจน์รีบพูดแทรกขึ้น
“จะเบิกเงินก็ได้ แต่มันมีผลงานอะไรหน่อยเด๊ะ”
“กำลังสืบอยู่ครับ”
“สืบถึงไหน ไหนเล่าให้ฟังหน่อยเด๊ะ”
“ตอนนี้เรากำลังสืบไปถึงคุณยายของคุณวนิษา”
คุณหญิงจุ๋มตาวาว “ที่ชื่อวรางค์ใช่ไหม”
“ใช่ครับ คุณยายคนนี้อาจจะรู้เห็นอะไรหลายๆ อย่างที่คุณวนิษาทำ”
“เขาสนิทกันมากเลยเหรอ”
“ครับ ดูเหมือนคุณวนิษาจะโตมากับคุณยาย แล้วเธอก็ให้ความไว้ใจคุณยายมากกว่าพ่อแม่ตัวเองด้วยซ้ำ”
“ขนาดนั้นเชียว”
โจสังเกตเห็นพจน์ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“คุณพจน์คิดอะไรอยู่เหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก เราเห็นคุณยายคนนี้แค่ไม่กี่ครั้ง รู้เรื่องของเขาน้อยมาก เอาเป็นว่าเรื่องเบิกเงินไม่มีปัญหา”
พจน์ยื่นมือมา โจยื่นมือไปเช็คแฮนด์ด้วย
“ขอบคุณนะ ท่าทางคุณจะช่วยผมได้เยอะนี่”
พจน์ยิ้ม

โจขับรถมาจอดส่งวนิษาที่หน้าตึกของวังวาสุวงศ์
“เลยไปด้านนั้นมีที่จอดรถ มีที่ให้นั่งรอด้วย นายไปนั่งรอฉันที่นั่นนะ”
“ครับผม”
โจขับรถเลยไปจอด พลางมองซ้ายขวา เมื่อเห็นไม่มีใคร ก็ทำทีเดินทอดน่อง อ้อมตึกมา เห็นวนิษาคุยกับหม่อมจันจิราอยู่ที่ศาลาในสวน โจรีบหยิบกล้องส่องทางไกลอันจิ๋วออกมา

หม่อมจันจิราจิบชานั่งคุยกับวนิษา แต่พอหม่อมจันจิราเผลอ วนิษาก็แอบเทผงสีขาวในซองใส่ถ้วย แล้วเก็บซองเข้ากระเป๋าเหมือนเคย โจจ้องที่กระเป๋าของวนิษาตาไม่กระพริบ

โจจอดรถรออยู่ที่หน้าตึก ใขณะที่วนิษายกมือไหว้ลาหม่อมจันจิรา แล้วขึ้นรถ

“ไปไหนต่อครับ”
“ไปบ้านพักคนชรา”
“เยี่ยมคุณพ่อคุณแม่เหรอครับ”
วนิษาหันมามองค้อนโจ
“หน้าฉันเหมือนคนที่เอาพ่อแม่ไปไว้ที่นั่นเหรอ”
โจมองหน้าวนิษา วนิษามองตอบ ทั้งคู่สบตากับอึดใจหนึ่ง
“ไม่เหมือนครับ”
“ฉันจะไปทำบุญ”
โจยิ้มรับ “อ๋อ”
“เดี๋ยวต่อๆไปคุณก็รู้เองแหละว่าชีวิตฉันก็มีอยู่แค่นี้ เยี่ยมหม่อม คุมบ่อน แล้วก็ทำบุญ”
“ทำบุญก็ดีนะครับ จิตใจจะได้ผ่องแผ้ว”
“ฉันเป็นคนมีกรรม ต้องทำบุญเยอะๆ หวังว่าซักวันกรรมเก่าที่ติดตัวมาจะหายไป”
วริษาเสียงเศร้า
“คุณเป็นคนหน้าตาดี ความรู้ดี ฐานะดี ถ้าคนอย่างคุณยังบอกตัวเองว่ามีกรรมเก่าติดตัว
คนอีกครึ่งประเทศ ก็คงมีกรรมติดตัวกันจนหลังแอ่นเลยล่ะครับ”
“เราทุกคนมีกรรม มันติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด มันทำให้บางคนดวงดี บางคนดวงไม่ดี นายเชื่อเรื่องดวงมั้ย”
โจส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่เชื่อครับ ผมเชื่อว่าเรากำหนดชีวิตเราเอง”
“ไม่แปลกหรอก ก็นายไม่ใช่คนดวงไม่ดีอย่างฉันนี่ นายไม่เข้าใจหรอก”
“ใครจะรู้ อย่าลืมสิครับว่าผมยังจำตัวเองไม่ได้เลย”
โจแกล้งตีหน้าเศร้า
“โชคดีแล้วล่ะ คนความจำดีเป็นคนโชคร้ายรู้ไหม”
“เรื่องบางเรื่องที่อยากลืมก็ลืมไม่ได้”
“ใช่”
“ถึงเราลืมได้ บางทีคนรอบข้างก็หวังดี ช่วยให้เราจำได้ซะงั้น”
“ใช่”
วนิษาพยักหน้า พลางหันมามองโจ “คุณพูดเหมือนคุณเข้าใจฉัน”
“ไม่หรอกครับ เพราะยังไงผมก็จะไม่เชื่อเรื่องดวง เรื่องทำบุญแก้กรรม ผมยิ่งไม่เชื่อ”

โจยืนอยู่ข้างรถ มองเข้าไปในตัวอาคาร เห็นวนิษาทำบุญเลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมคนชรา ท่าทางมีความสุข หลังจากเลี้ยงอาหารเสร็จ โจก็ขับรถเตรียมจะพาวนิษากลับ พลางหันไปเห็นคุณยายคนหนึ่งนั่งอยู่ตามลำพัง
“คุณยายคนนั้นน่าสงสารจังเลยครับ แยกตัวมานั่งอยู่คนเดียว”
“ไม่รู้ได้ทานข้าวกับขนมเหมือนคนอื่นหรือเปล่า”
โจหยิบกล่องข้าวกับกล่องขนมที่ข้างๆตัว
“คุณวนิครับ ข้าวกับขนมที่คุณให้ผม ผมยังไม่ได้กิน คุณวนิอยากเอาไปให้คุณยายเองไหมครับ”
วนิษามองหน้าโจอย่างแปลกใจ “แล้วทำไมนายไม่เอาไปให้คุณยายเองล่ะ”
“ผมอยากให้คุณได้บุญมากกว่า”
โจยื่นกล่องข้าวกับกล่องขนมให้วนิษา วนิษามองหน้าโจ แล้วยิ้มเล็กน้อย
“ขอบใจนะ”
โจยิ้มตอบ วนิษารับกล่องข้าวขนมมา พลางเดินลงไปจากรถ เอาข้าวกับขนมไปให้คุณยาย โจมองตามไป แล้วก็รีบเปิดกระเป๋าวนิษา หยิบซองที่เห็นวนิษาเทผงใส่ถ้วยชาหม่อมจันออกมา เทใส่กระดาษแล้วเก็บซองเข้าที่เดิม แล้วพับยาในห่อกระดาษลงกระเป๋าตัวเอง ดูจนแน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อย ค่อยหันไปดูวนิษา ที่กำลังคุยกับคุณยาย ท่าทางอ่อนหวานและมีเมตตา
โจรู้สึกเป็นภาพที่สวยงาม อดไม่ได้หยิบกระดาษที่ห่อยาออกมาดู ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดใจยัดใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม

จากนั้นโจก็ขับรถมาส่งวนิษาหน้าคอนโด
“พรุ่งนี้มารับฉันเวลาเดิม”
วนิษาคว้ากระเป๋า เตรียมจะลงจากรถ แต่บังเอิญทำซองยาที่ใส่ให้หม่อมจันจิราตกลงพื้น ผงยาตกลงบนพื้นรถ
“ฉันนี่ซุ่มซ่ามจัง พรุ่งนี้ต้องไปซื้อใหม่อีกละ”
“ยาเบื่อหนูเหรอครับ”
วนิษาค้อนใส่โจ “จะบ้าเหรอ”
โจมองวนิษาแบบจับสังเกต
“ยารักษาโรคของหม่อม แต่หม่อมชอบโกงคุณหมอ ไม่ยอมกินยา บอกยามันเฝื่อนกินยาก ฉันเลยต้องแอบใส่ในน้ำชาให้ท่านดื่ม”
วนิษาเดินจากไป โจมองตามไป สีหน้าเคร่งเครียด
“ใครเชื่อก็บ้าแล้ว”

ป๋องนั่งอยู่ในห้องภายในบ้านไม้ หลังเก่าซอมซ่อ ใส่เสื้อบอลกางเกงขาสั้น กำลังนั่งดูตั๋วคอนเสิร์ตในมือด้วยท่าทางชั่งใจ
“ไป ไม่ไป ไป ไม่ไป ไม่ไปดีกว่า ไปทำไมวะ ร้องภาษาบ้าบออะไรก็ไม่รู้ ฟังก็ไม่ออก ขนาดชื่อมันยังเรียกยากเลย เอาเวลาไปดูบอลดีกว่า”

ป๋องตัดสินใจโยนบัตรทิ้งลงถังขยะ แต่เมื่อนึกถึงใบหน้าของปลายฝน ก็เริ่มลังเล
 
อ่านต่อหน้า 2

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ป๋องแต่งหล่อเฟี้ยว ใส่เจลเต็มหัว จนผมตั้งเป็นอุลตร้าแมน เดินออกมาจากบ้าน ป้าป๋อง ที่เป็นแม่บ้านอ้วนๆดุๆ เดินออกมาจากครัวมาเจอพอดี

“จะไปเดินแบบที่ไหนวะป๋อง แต่งซะเฟี้ยวเชียวเอ็ง”
“ไปหาเพื่อน ดึกๆกลับนะป้า”
ป้ามองป๋องหัวจดเท้า
“ไปหาเพื่อน? เอ็งแต่งตัวแบบนี้ แล้วเพื่อนเอ็งเขาจะกล้าเดินด้วยเหรอวะ”
“ตลกมากครับป้า ไปละ”
“ถามจริงๆ ไปหาเพื่อนหรือไปหาเมีย ทำไมต้องแต่งขนาดนี้วะ”
“เพื่อน” ป๋องย้ำ
“หน้าแดงเชียว เมียแหงๆ นี่บอกก่อนนะเว้ย อย่าทำเขาท้องนะ ข้าไม่เลี้ยงให้นะ”
“บอกว่าเพื่อน”
ป้าไม่ฟังคำอธิบาย พลางยกมือไหว้ แล้วมองฟ้า
“ไอ้น้อย เอ็งกับผัวดูอยู่รึเปล่าวะ เผลอแป๊บเดียว ลูกพวกเอ็งจะมีแฟนแล้วนะเว้ย”
“บอกว่าเพื่อน”
ป้าหัวเราะ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน ป๋องมาที่มอเตอร์ไซค์ สวมหมวกกันน้อก สตาร์ทเครื่อง แล้วขี่ออกไป แต่ไม่ทันถึงไหน ก็มีรถขับมาจอดขวาง ป๋องเบรกเอี๊ยด กระจกรถลดลง โจโผล่หน้ามา
“จะไปไหนวะ”
“ก็ ไปเที่ยวครับ”
“เที่ยวอะไร”
“ก็เที่ยวเรื่อยเปื่อยน่ะ” ป๋องตอบเลี่ยง
“มีงานให้ทำ”
ป๋องอึกอัก “แต่ว่า”
“ก็ไหนแกบอกเที่ยวเรื่อยเปื่อย”
“ก็ใช่ แต่ว่า”
โจไม่สนใจ ยื่นห่อทิชชูให้ป๋อง
“ฉันอยากรู้ว่าของในห่อนี่คืออะไร งานด่วน รีบไปเลย”
โจขับรถออกไป ป๋องถอนหายใจ เซ็งๆ

โจเดินบันไดมาบนดาดฟ้าของบ่อน แล้วเดินเข้าไปในห้องเล็กๆ ที่ดูโล่งๆ มีเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้น พลางทรุดตัวลงนั่งพัก เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่ปฐมจะเดินเข้ามา
“ไง ไปส่งตั่วเจ๊ที่คอนโดแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
“ห้องนี้อยู่สบายมากเลยนะ แกโชคดีมาก พอมาทำงานที่นี่ ห้องก็ว่างพอดี”
“คนเก่าย้ายออกไปเหรอครับ”
“เปล่า มันฆ่าตัวตายในห้องนี้”
ปฐมพูดหน้าตาเฉย โจยิ้มเล็กน้อย
“ว้า แกไม่กลัวผีเหรอวะ ว่าจะแหย่เล่นซะหน่อย”
“ไม่กลัวครับ”
“คนเก่ามันกลับต่างจังหวัดพอดี ฉันดูแกไม่เดือดร้อนเลยนะที่ความจำเสื่อม”
“ไม่มีอะไรต้องเดือดร้อนนี่ครับ”
ปฐมมองโจอย่างพิจารณา พลางถามยิ้มๆ
“เสื่อมจริงหรือแกล้งเสื่อม”
“ช่วยหาเหตุผลหน่อยสิครับว่าทำไมผมต้องทำแบบนั้น”
“สมมติเช่น” ปฐมทำท่านึก “แกเป็นคนที่เสี่ยเพ้งส่งมา จะเพื่ออะไรก็ไม่รู้ล่ะ แต่ต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ”
“เสี่ยเพ้งเป็นใคร ผมไม่รู้จัก”
“เป็นศัตรูของเรา”
โจส่ายหน้า
“ผมไม่ใช่คนของเสี่ยเพ้ง มีเหตุผลอื่นอีกไหมครับที่ทำให้ผมต้องโกหกว่าความจำเสื่อม”
“นึกได้อีกเป็นล้านข้อ แต่จะเหตุผลอะไรก็ไม่สำคัญ สำคัญที่แกอย่าคิดร้ายกับตั่วเจ๊แล้วกัน ไม่อย่างนั้นฉันสาบานว่าจะเล่นงานแกให้ถึงที่สุด”
“ผมดูออกว่าพี่เป็นคนยังไง ถ้าพี่คิดจะเล่นงานผมล่ะก็ ผมคงต้องทำใจล่วงหน้า”
“แต่ถ้าแกอยู่เป็นพี่น้องกับเรา เราก็จะเป็นพี่น้องกับแก แกมีปัญหา ฉันก็จะช่วยแกจนถึงที่สุดเหมือนกัน”
ปฐมพูดอย่างจริงใจ
“ครับ”
ปฐมตบไหล่โจ แล้วเดินออกไป โจมองตามปฐมอย่างชื่นชมที่ซื่อสัตย์กับวนิษา

โจมาเยี่ยมพ่อที่เรือนจำ
“พ่อมีธุระอะไรเหรอครับ ถึงให้คนโทรหาผม”
“พ่อมีเรื่องจะให้ช่วยหน่อยว่ะโจ”
“เรื่องอะไรครับ”
นายประดิษฐ์หน้าเครียด
“พ่อมีเพื่อนคนนึงเคยติดคุกอยู่ด้วยกัน สนิทกันมาก แต่เขาออกไปแล้ว ตอนนี้เขากำลังเดือดร้อน
พ่ออยากให้แกช่วยเขา ได้ไหม”
“เขามีปัญหาอะไรเหรอครับ”
“เขาถูกใส่ร้ายว่าฆ่าคน”
“พ่อรู้ได้ไงว่าเขาถูกใส่ร้าย” โจย้อนถาม
“พ่อรู้จักมันดี มันไม่ใช่ฆาตกรแน่ๆ เขาเคยช่วยชีวิตพ่อไว้”
โจพยักหน้า
“ได้ครับ ผมจะช่วยเขาเอง เขารู้หรือเปล่าว่าพ่อจะให้ผมช่วย”
“พ่อจะหาทางติดต่อเขาเอง งานนี้ไม่มีค่าจ้างนะ เพราะมันจน”
“ไม่เป็นไรครับ เขาจ่ายค่าจ้างให้ผมแล้ว”
“จ่ายตอนไหนวะ” นายประดิษฐ์มองหน้าโจงงๆ
“ตอนที่เขาช่วยชีวิตพ่อไงครับ”

ออกมาจากคุยกับพ่อที่เรือนจำ โจก็เดินเข้ามาในร้านเชียงกงร้านหนึ่ง เห็นคนงานกำลังคัดแยกของในกอง ไม่มีใครสนใจ จนโจต้องเดินเข้าไปถาม
“มีคนชื่อทรงศักดิ์รึเปล่า”
คนงานชี้เข้าไปด้านหลังของร้านที่ดูเป็นซอกๆมืดๆ โจเดินไปตามที่ที่คนงานบอก โดยไม่รู้ตัวว่ามีใครคนหนึ่งกำลังจับตามมองอยู่
โจเดินเข้ามาหลังร้าน ที่เต็มไปด้วยกองข้าวของระเกะระกะ แต่ไม่มีคนอื่นอยู่ตรงนี้เลย
“คุณทรงศักดิ์ๆ”
โจลองตะโกนเรียกดู ไม่มีใครตอบ จึงตัดสินใจเดินลึกเข้าไป ทันใดนั้นก็มีคนเข้ามาล็อกคอโจจากด้านหลังพร้อมมีอาวุธจ่อที่หลัง พลางตะคอกถาม
“ใครส่งแกมา”
“ผมชื่อโจครับ พ่อผมเป็นเพื่อนคุณ”
“พ่อแกชื่ออะไร”
“ประดิษฐ์”
“แล้วแกชื่ออะไร”
โจ รีบตอบ “ชื่อโจครับ”
“โจอะไร ตอบให้ถูกนะ ไม่งั้นแกตาย”
โจถอนใจ ก่อนที่จะตอบแบบไม่ค่อยเต็มใจ “โจตัวซวย”
“ถูกต้อง”
โจหันมา แล้วก็อึ้งไปชั่วครู่ เมื่อเห็นทรงศักดิ์ ที่เป็นผู้ชายร่างใหญ่ แต่แต่งหญิง
“คุณทรงศักดิ์ เอ่อ นี่คุณกำลังปลอมตัวเพื่อหนีตำรวจใช่ไหมครับ”
ทรงศักดิ์ส่ายหน้า
“เปล่า ฉันเป็นกะเทย อ้อ ไม่ต้องเรียกฉันทรงศักดิ์อีกแล้วนะ เรียกฉันว่าซูซี่”

ทรงศักดิ์หรือซูซี่ทำปากส่งจูบให้ โจหน้าแหยๆ

โจกับซูซี่มานั่งคุยกันที่แผงข้าวแกง ลูกแม่ค้า ยกอาหารมาให้ มองซูซี่แล้วหัวเราะคิกคัก

“หัวเราะอะไร ไม่เคยเห็นนางสาวไทยรึไงยะ”
ลูกแม่ค้าหัวเราะก๊าก วิ่งกลับไปหาแม่ ซูซี่หันมาหาโจ
“ขอบใจนะที่จะช่วยฉัน ตอนอยู่ในคุก ฉันสนิทกับพ่อเธอมาก พ่อเธอเขาภูมิใจในตัวเธอมากเลยนะ”
“เอ่อ เดี๋ยว ก่อนอื่นนะครับ ขอถามหน่อย คุณเป็นเพื่อนกับพ่อหรือว่า เป็น เอ่อ”
“เป็นเพื่อนย่ะ อย่าคิดอะไรมาก เป็นเพื่อนจริงๆ”
โจถอนใจ โล่งอก
“โอเค งั้นกลับมาเรื่องของคุณ พ่อบอกคุณโดนใส่ร้าย เรื่องมันเป็นมายังไงครับ”
“อ๋อ คืองี้นะ พอฉันออกมาจากคุก ฉันก็ได้รู้จักกับ”
ซูซี่เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆก็ร้องไห้โฮ
“สถาพร”
ซูซี่ร้องไห้เสียงดัง จนโต๊ะอื่นๆหันมามอง แล้วก็ซุบซิบ พลางมองโจแปลกๆ
“นี่ คุณหยุดร้องไห้ก่อนได้มั้ย คนอื่นเขานึกว่าผมเป็นผัวคุณแล้วนะ”
ซูซี่หยุดมองคนอื่น แล้วหันมามองโจ ก่อนที่จะหัวเราะออกมา
“โทษที เผลออินไปหน่อย”
ซูซี่ปาดน้ำตา แล้วเล่าต่อ
“ตอนฉันออกมาจากคุก ก็เจอสถาพร เขามีร้านส้มตำปิดประกาศรับสมัครแม่ครัว ฉันเห็นประกาศก็เลยสมัครเพราะฉันตำส้มตำเป็น เคยได้แชมป์สากทองคำด้วยนะก่อนจะติดคุกเพราะเมาแล้วขับ”
“อะไรนะ เมาแล้วขับนี่ติดคุกนานขนาดสนิทกับพ่อผมได้เลยเหรอ”
“ตอนแรกแค่เมาแล้วขับ แต่มันยังไม่หายเมา เลยต่อยตำรวจไปสามนาย แล้วแย่งปืน แล้วขโมยรถตำรวจหนีฝ่าไฟแดง ไปชนรถผู้พิพากษาจนเขาขาหัก”
โจพยักหน้าหงึกๆ “โอเค เข้าใจละ ต่อครับ”
“เขาจ้างฉันเป็นแม่ครัว ลูกค้ามากมายจนเราสนิทกันมาก จนเมื่ออาทิตย์ก่อน”
ซูซี่ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ภายในร้านส้มตำ ในวันที่ไม่มีลูกค้า มีเพียงสถาพรซึ่งเป็นหนุ่มใหญ่หน้าตาคมเข้มดูลุยๆ นั่งอยู่ในร้าน
“วันนั้นฝนตกหนักมาก ลูกค้าไม่มี จู่ๆสถาพรเขานึกยังไงขึ้นมาก็ไม่รู้”
ซูซี่ เห็นภาพตัวเอง ที่แต่งหญิงใส่ส้นสูง กำลังนั่งอ่านหนังสือบันเทิงอยู่ สถาพรเดินไปเปิดเพลงหวานๆพลางเดินมาหา
“ซูซี่”
“ขา”
“สอนผมตำส้มตำบ้างสิ”
“พูดจริงพูดเล่นคะเนี่ย”
สถาพร ทำตาซึ้ง “พูดจริงสิครับ”
“ได้สิคะ”
ซูซี่เดินมาหยิบเครื่องปรุง ใส่ลงไปในครก กำลังจะตำ สถาพรก็เข้ามาโอบซูซี่จากทางด้านหลังมาจับสาก ซูซี่หน้าแดงประหม่า
“สอนผมสิ ตำยังไง”
“เอ่อ ค่ะ”
ซูซี่จับมือสถาพรที่กุมสากอยู่ตำเบาๆ ช้าๆ สถาพรโอบเอวซูซี่แต่แล้วจู่ๆ สถาพรก็ล้มลง
“คุณสถาพร”
สถาพรยกมือกุมหัวใจ สีหน้าเจ็บปวด ก่อนที่จะแน่นิ่งไป
เล่าถึงตรงนี้ ซูซี่ทำท่าจะร้องไห้อีก
“ใจเย็นครับ อย่าร้องไห้นะ อย่านะ”
“จ้ะๆๆ ไม่ร้องจ้ะ เอ่อ พอฉันตั้งสติได้ก็รีบโทรแจ้งตำรวจ ตอนแรกก็สรุปว่าหัวใจวายตาย
แต่เมียเขาน่ะสิ”
“เดี๋ยวๆๆ เขามีเมียด้วยเหรอ” โจแปลกใจ
“ใช่ เมียเขาบอกตำรวจว่าฉันเคยติดคุกมาก่อน ตำรวจเลยหาว่าฉันเป็นคนฆ่า”
“ตำรวจคิดว่าคุณฆ่าเขายังไง”
“ยัยเมียบอกว่าฉันทำร้ายร่างกายคุณสถาพร ฉันไม่มีเงินสู้คดี ฉันเลยหนี ไม่รู้จะไปพึ่งใคร พอดีนึกได้ว่าพ่อเธอเคยบอกว่ามีลูกเป็นนักสืบ ฉันก็เลยจะขอความช่วยเหลือ”
โจพนักหน้า “ผมเข้าใจแล้ว”
“ช่วยฉันด้วยนะโจ ฉันสาบานวัดไหนก็ได้ ฉันไม่ได้วางยาพิษฆ่าสถาพรจริงๆ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะหาทางช่วยคุณเอง คงต้องใช้เวลาสักพักหนึ่ง ระหว่างนี้คุณซ่อนตัวดีๆ ล่ะกัน”
“ขอบคุณเธอมากโจ ขอบคุณมาก”
ซูซี่กุมมือโจไว้ โจยิ้มปลอบใจ

โจนั่งรออยู่ที่โต๊ะม้าหินหน้าคณะเภสัชฯ ครู่หนึ่งป๋องกับเพื่อนนักศึกษาชายกลุ่มหนึ่ง ก็เดินมา
“พวกแกไปก่อน เดี๋ยวฉันตามไป”
ป๋องหันไปบอกเพื่อน ก่อนที่จะแยกตัวมานั่งกับโจ
“ไอ้ผงที่พี่ให้ผมมาน่ะ ผมเอาไปให้แล็ปของคณะตรวจให้ ผลออกมาแล้วนะครับ”
“เป็นไงวะ”
“เขาบอกเป็นตัวยาชนิดหนึ่งครับ ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ”
“แน่ใจนะ” โจถามย้ำ
“เขาบอกเทสต์สองครั้งครับ ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นยารักษาโรคแน่นอน”
โจหน้าสลด
“งั้นที่เขาพูดก็เป็นความจริง แปลว่าฉันเข้าใจเขาผิดเหรอเนี่ย”
“พี่โจพูดเรื่องอะไรครับ”
โจไม่ตอบ พลางถอนใจเบาๆ แล้วก็ยิ้มคนเดียว
“พี่ยิ้มอะไร”
“ไม่มีอะไร ดีใจที่มันไม่ใช่ยาพิษ”

วนิษาเดินออกมาที่รถ ที่จอดอยู่หน้าคอนโด โจยืนรออยู่ข้างๆรถ
“อ๊ะ ระวังครับ”
โจรีบยื่นมือไปเหนือศีรษะ วนิษารีบหดศีรษะตามสัญชาติญาณ โจเสกดอกทิวลิปสีขาวสวยงามออกมาดอกหนึ่งแบบนักมายากล เอาลงมาให้วนิษาดู
“นี่ครับ มันจะหล่นใส่หัวคุณ”
วนิษามองหน้าโจงงๆ “ดอกทิวลิปเนี่ยนะ นายล้อฉันเล่นรึเปล่า”
“ผมจะไปล้อคุณได้ยังไง คุณก็เห็นว่ามือผมไม่มีอะไร”
“แล้วมันมาจากไหน”
วนิษามองดูดอกทิวลิปในมือ
“เขาบอกว่าทิวลิปสีขาวใช้แทนคำขอโทษ อาจจะมีใครบางคน อยากขอโทษคุณมั้ง”
“ฉันนึกไม่ออกว่าเคยรู้จักใครที่น่ารักแบบนี้ ใช้ดอกไม้เพื่อขอโทษเนี่ยนะ”
“เทพบุตรมั้งครับ ก็มันหล่นมาจากฟ้า”
วนิษาเงยหน้ามองบนฟ้า แล้วพูดยิ้มๆ
“โอเค ฉันยกโทษให้แล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
วนิษาหันขวับมามองหน้าโจ “อะไรนะ”
“เปล่าครับ ผมบอกว่ารีบไปเถอะครับ”

วนิษารับคำ พลางขึ้นรถ พร้อมนั่งดูดอกทิวลิปในมือ
 
อ่่านต่อหน้า 3

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ที่หน้างานการกุศลเพื่อพี่น้องที่ยากไร้ ซึ่งจัดที่ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรู มีแขกเหรื่อมาร่วมงานมากมาย วนิษาเดินออกมาหน้างาน โดยมีคุณหญิงซึ่งเป็นเจ้าภาพออกมาส่ง
 
ทั้งสองยกมือไหว้ล่ำลากัน ก่อนที่คุณหญิงจะเดินกลับเข้าไปในงาน วนิษาเดินออกมาที่ล็อบบี้ โจที่นั่งรออยู่ พอเห็นวนิษาเดินมา ก็รีบลุกขึ้น
“เสร็จไปอีกหนึ่งงาน จะไปไหนต่อดีครับ”
“หมดธุระแล้ว ไปส่งฉันที่คอนโดแล้วกัน”
ทั้งคู่ขยับตัวจะเดินออกไป แต่จู่ๆ ก็มีชายกลางคน ท่าทางภูมิฐาน สวมสูทสากล รีบเดินมาหา
“คุณวนิอย่าเพิ่งกลับครับ รอเดี๋ยวครับ”
วนิษาหันไปยิ้มให้ “คุณ เอ่อ”
“อะไรกัน ผมวรพัฒน์ไงครับ ใครๆก็เรียกเสี่ยบอม คุณหญิงเพิ่งแนะนำให้เรารู้จักกันเมื่อครู่นี้”
วรพัฒน์หรือเสี่ยบอมแนะนำตัว
“ต้องขอโทษจริงๆค่ะ วันนี้ดิฉันเจอคนเยอะมาก จำได้ไม่หมด”
“ผมเพียงแต่อยากบอกคุณว่า ผมชื่นชมคุณมานานแล้ว”
วนิษายิ้มให้ “ขอบคุณมากค่ะ”
“งั้นผมขออนุญาตไปส่งคุณวนิษาได้ไหมครับ”
“อย่าเลยค่ะ”
“ให้เกียรติผมเถอะครับ เราจะได้คุยเรื่องธุรกิจกันด้วย หรือแม้แต่เรื่องแก้กรรมแก้ดวง ผมก็มีความรู้นะครับ”
วนิษายิ้มให้อย่างสุภาพ พลางพยายามตอบเลี่ยง “ขอบคุณค่ะ ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะคะ”
“คุณวนิษาครับ คือว่า”
วนิษาไม่สนใจ พลางเดินจากมา วรพัฒน์ทำท่าจะตามตื๊อ
“เสี่ยบอมครับ คุณทำเงินตกครับ”
โจทำท่าปาดมือแบบนักมายากลตรงกระเป๋ากางเกงของวรพัฒน์ เหรียญเงินร่วงกราวลงพื้น วรพัฒน์ ตกใจรีบก้มลงเก็บเหรียญ
โจรีบจับมือวนิษาเดินย่องๆหนีไป

“คุณโดนตามจีบแบบนี้บ่อยเหรอ”
โจเดินคุยกับวนิษามาตามทาง
“บ่อย ขอบใจนะที่ช่วยแก้ปัญหาให้ฉัน”
“ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าจะช่วยดีมั้ย เผื่อคุณปิ๊งเขาขึ้นมา ผมจะซวย ข้อหาเสนอหน้าช่วย”
วนิษายิ้มเศร้าๆ “ครั้งต่อไปไม่ต้องลังเล เห็นใครเข้ามาจีบฉันก็ขัดขวางได้เลย”
“ทำไมล่ะครับ”
“ฉันไม่ดีพอสำหรับใครน่ะสิ”
โจเผลอมองวนิษาอย่างสงสาร วนิษารีบเปลี่ยนเรื่องพูด
“ว่าแต่เมื่อกี้นายทำได้ไงน่ะ”
“ทำอะไรครับ”
“นึกว่าฉันไม่เห็นรึไง นายเสกเหรียญได้ กลางวันก็เสกดอกทิวลิปทีหนึ่งแล้ว”
“ผมก็ไม่รู้ว่าผมทำได้ยังไง รู้แต่ว่าทำได้”
วนิษา มองหน้าโจยิ้มๆ
“บางทีก่อนความจำเสื่อม คุณอาจจะเป็นนักมายากลก็ได้นะ”
“กลเล็กๆน้อยๆแบบนี้คงยังไม่ถึงขั้นนักมายากลหรอกครับ นอกเสียจากว่าผมจะทำให้คุณหายตัวไปได้”
“ลองดูสิ” วนิษาชักนึกสนุก
“เอานะ พร้อมมั้ย”
“พร้อม”
“หลับตา”
วนิษาอมยิ้ม แล้วหลับตา โจมองวนิษา พลางรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถละสายตาไปได้
“ลืมตาได้รึยัง”
โจได้สติ “แป๊บนึงครับ จะเสกละนะ โอม มะลุกกุ๊กกุ๋ย มะล็อกก๊อกกั๋ว จงหายตัวได้ ณ.บัดนี้ ลืมตาได้แล้วครับ”
วนิษาลืมตา โจแกล้งทำทีเป็นมองไม่เห็น
“คุณวนิ คุณวนิอยู่ไหนครับเนี่ย ผมมองไม่เห็นคุณเลย”
วนิษาหัวเราะ พลางเดินหลบมาด้านหลังโจ โจทำเป็นมองไม่เห็น วนิษาหลบไปทางนู้นทางนี้ โจแกล้งทำเป็นหันซ้ายหันขวา วนิษาหยุดมองโจเนิ่นนาน จนโจรู้ตัว หันมามองวนิษา วนิษาก้มหน้าเขิน
“เห็นฉันแล้วเหรอ”
“ยังครับ คุณอยู่ตรงไหนเหรอ”
วนิษาหลบมาด้านข้าง
“คุณอยู่ไหนเนี่ย”
วนิษาตบหัวโจป้าบ โจเซถลา หันกลับมามองหน้าวนิษา
“โห เล่นแรงนะเนี่ย”
“อ้าว ทำไมเห็นแล้วล่ะ”
“ก็ตบซะแรงขนาดนี้ จะไม่เห็นได้ไง”
วนิษาหัวเราะอีก “เอาน่า อย่าโกรธนะ เดี๋ยวพาไปเลี้ยงข้าว ร้านอร่อย”

“งั้นอย่าช้าเลยครับ ไปเลยดีกว่า ผมหิวแล้ว”

วนิษาพาโจมากินข้าวที่ร้านริมทางแห่งหนึ่ง

“ตั่วเจ๊เลี้ยงข้าวทั้งที เลี้ยงร้านริมถนนแบบนี้เนี่ยนะ”
“ฉันบอกว่าร้านอร่อย ไม่ได้บอกว่าร้านหรูหรา ว่าแต่อร่อยไหมล่ะ”
โจพยักหน้ายิ้มๆ “อร่อยครับ อร่อยมากด้วย”
“จริงๆแล้วฉันชอบกินแบบนี้ สงสัยเพราะกินมาตั้งแต่เด็ก จะกินคนเดียวก็เหงา จะชวนคนอื่นมากินด้วยก็ไม่ได้ ที่วังวาสุวงศ์ฉันก็เป็นสะใภ้เจ้า ที่บ่อนฉันก็เป็นตั่วเจ๊ของบรรดาลูกน้อง นอกจากยาย ฉันก็มีแต่นายนี่แหละที่ฉันกล้าชวน”
“คุณแคร์สายตาคนอื่นมากไปรึเปล่า”
“ฉันไม่ได้แคร์คนอื่นหรอก แต่ฉันต้องเล่นไปตามบทน่ะ”
โจรู้สึกเห็นใจวนิษาขึ้นมาทันที
“แถมบทคุณแต่ละบทก็เล่นยากๆทั้งนั้น จะว่าไป คนเราทุกคนมีบทให้เล่นทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ทุกคน
จะทำได้ดีเหมือนคุณ”
วนิษาเอียงหน้ามามองโจ
“แกล้งพูดเอาใจรึเปล่าเนี่ย”
“เปล่าครับ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”...
“ขอบคุณนะ อย่างน้อยโลกนี้ก็มีคุณคนนึงละที่เข้าใจฉัน”

วนิษาเดินเข้ามาในห้องคอนโด ถือดอกทิวลิปสีขาวเข้ามาด้วย เห็นปลายฝนสวมหูฟังฝึกเล่นอิเล็กโทนร้องเพลงอยู่ พลางปรายตามองวนิษาไปด้วย
วนิษาหยิบแจกันมาเติมน้ำ ใส่ดอกทิวลิปเข้าไป ปลายฝนหยุดร้อง
“สวยมั้ย”
“สวยค่ะ ใครให้มาเหรอคะ”
“เทพบุตร”
ปลายฝนมองวนิษางงๆ แล้วก็หันไปร้องเพลงต่อ ในขณะที่วนิษานั่งมองดอกทิวลิปอย่างมีความสุข ปลายฝนมองวนิษา พลางสงสัยในท่าทีแปลกๆ
“ต้องปิดบังอะไรแน่ๆ หน้าตาลั้นลาซะขนาดนั้น”

โจเก็บรูปถ่าย ช็อตโน้ตต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคดีวนิษาที่แปะอยู่บนกระดาน รวมทั้งแฟ้มใส่ลงกล่อง
แล้วเดินออกมานั่งตรงระเบียง มองท้องฟ้ารู้สึกคิดถึงวนิษาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

โจขับรถไปตามถนน ท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด โดยมีวนิษานั่งอยู่ตอนหลัง
“วันนี้รถติดจังเลยนะ”
วนิษาเปรยออกมเบาๆ
“ครับ”
โจเงียบไปครู่หนึ่ง
“คุณวนิครับ”
“อะไรเหรอ”
“ถ้าผมหายความจำเสื่อม ผมคงกลับไปมีชีวิตของผม ผมคงไม่ได้ขับรถให้คุณอีก”
วนิษา พยักหน้าหงึก “ก็คงเป็นอย่างนั้น แล้วไง”
“แล้วคุณยังจะคุยกับผมแบบนี้อยู่หรือเปล่า”
“คุยสิ นอกเสียจากว่า”
“นอกเสียจากว่าอะไรครับ” โจถามอย่างกระตือรือล้น
“นายเป็นลูกท่านหลานเธอที่สูงส่งจนไม่เห็นฉันอยู่ในสายตา แบบนั้นฉันคงไม่บังอาจไปคุยกับนาย”
โจหัวเราะ “ผมคงเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ผมกลัวว่าถ้าผมกลับไปเป็นคนเดิม แล้วผมอาจจะไม่ได้คุยกับคุณอีก”
“ทำไมอยู่ดีๆถามแบบนี้ล่ะ เริ่มจะจำอะไรได้บ้างแล้วใช่ไหม”
“เปล่าหรอกครับ ผมแค่ถามเผื่อไว้เฉยๆน่ะครับ”
ทั้งสองมองตากันผ่านกระจกมองหลัง แล้วยิ้มให้กัน

โจยืนอยู่ห่างออกมา มองไปที่ศาลาริมน้ำ เห็นวนิษากำลังให้อาหารปลาอยู่
“นายดาว มาช่วยฉันให้อาหารปลาหน่อยสิ ซื้อมาถุงเบ้อเริ่มเลยให้คนเดียวไม่ไหวอ่ะ”
โจเดินมาดู เห็นวนิษาตักอาหารปลาเม็ดๆ โยนลงน้ำให้ปลากิน
“คุณนี่ไม่ไหวเลย อาหารปลาถุงแค่นี้ทำเป็นบ่น”
“มีข้างหลังอีกย่ะ”
วนิษาชี้ไปด้านหลัง โจมองไปแล้วถึงกับผงะ เห็นอาหารปลาเป็นกระสอบข้าว
“เฮ้ย ซื้ออะไรมากมายขนาดนี้ เลี้ยงปลาได้ทั้งแม่น้ำเลยนะเนี่ย”
“เอาน่า มาช่วยกันเร็วๆเข้า”
โจกับวนิษาช่วยกันตักอาหารปลา ท่าทางดูมีความสุขกัน
“ให้อาหารนกด้วยไหม”
วนิษาหันมาถามโจ เมื่อเดินออกมาเห็นนกฝูงใหญ่
“พอก่อนมั้ยครับ ถ้าจะให้ให้อาหารคนก่อนเถอะครับ ผมหิวจะแย่แล้ว”
“อดทนนิดนึง อาหารนกถุงไม่ใหญ่หรอก”
วนิษาเดินไปซื้ออาหารนก โจมองตามไป อดยิ้มไม่ได้ ทันใดนั้นมือถือโจก็ดัง โจเห็นเบอร์ที่หน้าจอ ก็รีบหันไปมอง เห็นวนิษาซื้ออาหารนกอยู่ไกลๆ โจรีบกดรับสาย
“ว่าไงครับ”

“ความจริงวันนี้ผมว่าจะนัดคุณหญิงอยู่เหมือนกัน”
โจบอกกับ มรว. จันทร์ธิดา ขณะที่นั่งคุยกันที่ร้านกาแฟ
“มีอะไรเหรอ”
“ผมพบว่าบางทีคุณวนิษาอาจจะเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับการตายของคุณชายแจ้และเสี่ยป๊อก”
“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้น คุณหญิงจุ๋ม ย้อนถาม
“จำเรื่องที่ผมบอกคุณหญิง ว่าคุณวนิษาแอบใส่ยาในน้ำชาของหม่อมแม่คุณได้ไหมครับ”
“จำได้”
“สรุปว่ายานั่นเป็นยารักษาโรคที่หม่อมจันไม่ชอบกิน คุณวนิษาเลยแอบใส่น้ำชาให้หม่อมจัน”
คุณหญิงจุ๋ม แค่นหัวเราะ
“งั้นคุณลองฟังข้อมูลใหม่ของฉันดูบ้างละกัน ผลการชันสูตรอย่างละเอียดโดยอาจารย์หมอ ระบุว่าสาเหตุการตายของชายแจ้กับเสี่ยป๊อกมาจากสาเหตุเดียวกัน คือตายด้วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะขั้นรุนแรง ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ จากประวัติการแพทย์ที่ฉันสืบมา ชายแจ้และเสี่ยป๊อกไม่ได้เป็นโรคหัวใจ แต่ทั้งสองคนดันมาตายด้วยสาเหตุเดียวกันเป๊ะแบบนี้น่ะ จะให้คิดว่าไงล่ะ”
โจอึ้ง หน้าสลดอย่างเห็นได้ชัด
“อย่าบอกนะว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องบังเอิญน่ะ”

“ไม่หรอกครับ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
 
อ่านต่อหน้า 4

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 4 (ต่อ)

โจเปิดกล่อง หยิบเอารูปและช็อตโน้ตของคดีวนิษามาดู ด้วยความรู้สึกสับสน เสียใจที่ตัวเองมองพลาดไป ภาพของวนิษา ที่ตระเวนทำบุญตามที่ต่างๆ วนเวียนอยู่ในความคิด

“หรือที่คุณทำบุญมากมาย เพราะคุณต้องการลบล้างความผิดบาปของคุณ วนิษา”
โจตัดสินใจเอาข้อมูลของวนิษาติดกลับไปที่บอร์ดอีกครั้ง

วนิษาเดินเข้ามาในร้านอาหารหรู เห็นวลัยนั่งรออยู่ วนิษาเดินเข้าไปหา พลางยกมือไหว้สวัสดีมารดา “หวัดดี ค่ะแม่”
“ดีจ๊ะลูก”
“ที่นัดหนูมาบอกมีธุระด่วน ธุระด่วนอะไรของแม่คะ”
วลัยอ้อยอิ่ง ไม่ยอมตอบ วนิษาสังเกตเห็นว่ามีชุดจานชาม 3 ชุดอยู่บนโต๊ะ
“มีใครอีกคนเหรอคะ อย่าบอกนะว่า”
“ตาย มาพอดีเลย ทางนี้ค่ะ”
วนิษาหันไป ก็เห็นกริช ซึ่งเป็นชายหนุ่มบุคลิกดีเดินเข้ามาในร้าน วนิษามองมารดาอย่างขัดใจ พลางกระซิบเบาๆ
“เอาอีกแล้วนะแม่ หนูบอกแล้วไงว่าอย่าทำแบบนี้กับหนูอีก วนิกลับล่ะ”
วลัยไม่สนใจ หันไปยิ้มให้กริช
“ทางนี้ค่ะคุณกริช”
กริชเข้ามาไห้วลัย “สวัสดีครับคุณน้า”
พูดพลางหันมายิ้มให้วนิษา วนิษาปรับอารมณ์ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มรับ ออกท่าทางขัดเขินนิดๆ
“นี่ลูกสาวแม่ค่ะ ชื่อวนิษา นี่คุณกริช แม่คงไม่ต้องแนะนำมั้ง”
“สวัสดีครับคุณวนิษา”
“สวัสดีค่ะ”
วนิษายิ้มฝีนให้ พร้อมๆ กับที่กริชลงนั่งร่วมโต๊ะ
“แม่น่ะรู้จักคุณกริชมาสักพักแล้ว พอดีคุณกริชเปรยว่าสนใจธุรกิจตลาด แม่เลยบอกว่าให้ปรึกษาลูกดู เพราะลูกดูแลตลาดของตระกูลวาสุวงศ์อยู่”
“ตอนนี้ผมทำรีสอร์ตอยู่ที่ต่างจังหวัด ยังมีที่ดินเหลืออีก อยากบุกเบิกด้านนี้บ้าง”
วนิษาลังเลอยู่ครู่ใหญ่ แต่ยังไม่ทันตอบปฏิเสธ กริชก็พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอบอุ่น
“ยังไง ผมขอบคุณล่วงหน้านะครับ”
วลัยแอบมองวนิษากับกริชแล้วยิ้มชอบใจ

วลัย วนิษา กริช เดินออกมาด้วยกัน วลัยทอดฝีเท้าเดินข้างๆวนิษา พลางเอียงหน้ามากระซิบกับลูกสาว
“เป็นไง คราวนี้อึ้งเลยใช่มั้ย แม่พาพระเอกคนโปรดของแกมาให้เลยนะ”
“พระเอกคนโปรดก็ใช่อยู่ค่ะ แต่วนิชื่นชอบผลงานของเขา ไม่ได้แปลว่าอยากจะให้แม่มาเล่นจับคู่ให้แบบนี้”
“อย่าเขินเลยน่า วนิเป็นลูกสาวแม่ แม่ต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ รู้อะไรมั้ยกว่าแม่จะตีสนิทกับเขา กว่าจะตะล่อมนัดกินข้าวได้เนี่ย นึกว่าง่ายนักเหรอไง ไง น่ารักดีมั้ย”
วนิษานิ่งเงียบ แอบเคืองวลัยอยู่
“อย่ามาอ้ำอึ้ง แม่ดูออกนะว่าชอบเขา”
“พอแล้วค่ะ”
กริชหยุดตรงใกล้ทางออก หันมารอสองแม่ลูก โจที่รออยู่แถวหน้าประตูเห็นวนิษาเดินมา ก็มารออยู่ใกล้ๆ
“นี่คนขับของรถของหนูค่ะ ชื่อนายดาว นี่แม่ฉันเอง”
โจยกมือไหว้วลัย วลัยรับไหว้ ยิ้มให้เล็กน้อย
“เดี๋ยววนิจะพาคุณกริชไปดูตลาดเลยมั้ย”
“เอ่อ ก็ได้ค่ะ”
“รบกวนเวลาคุณวนิษาหรือเปล่าครับ” กริชพูดอย่างเกรงใจ
“อ๋อ ไม่หรอกค่ะ”
วลัยรีบหันมาบอกกับโจ
“งั้นเธอช่วยขับไปส่งฉันที่บ้านเพื่อนหน่อยแล้วกัน”
โจถึงกับอึ้ง
“อ้าว แล้วหนูล่ะคะคุณแม่”
“ลูกก็ไปรถคุณกริชสิคะ ถามได้”
วนิษาถูกมัดมือชก ก็ถึงกับพูดไม่ออก
“ถ้าไม่รังเกียจก็ขอเชิญครับ”

วนิษาฝืนยิ้มให้กริช

“เธอขับรถให้ลูกสาวฉันเนี่ย เห็นผู้ชายที่ไหนมาจีบลูกสาวฉันบ้างไหม” วลัยถามโจ ในขณะที่นั่งอยู่ใรถด้วยกัน

“มีบ้างครับ แต่ไม่เห็นคุณวนิษาสนใจใคร”
วลัยยิ้มพอใจ “เมื่อกี้เจอคุณกริช ตื่นเต้นไหม”
“เขาเป็นใครเหรอครับ”
“อย่าบอกนะว่าไม่รู้จัก ไปอยู่ที่ไหนมาเนี่ย”
“อาจจะเคยรู้จักครับ แต่ผมเป็นคนความจำเสื่อม”
วลัยมองโจแปลกๆ แต่ก็พูดต่อด้วยความภูมิใจ
“เขาเป็นพระเอกละคร บ้านไฮโซ รวยมากๆ”
“ยังไม่มีแฟนเหรอครับ” โจถามต่อ
“น้อยไปสิ หล่อรวยแบบนี้ผู้หญิงค่อนประเทศมองตาเป็นมัน โดยเฉพาะพวกดาราสาวๆ
แต่ละนางอย่าให้พูดเลย ทอดสะพานกันจนกรอบ ทำนมหกเป็นถังๆ คุณกริชเขาก็เลยมีข่าวกับคนนู้นคนนี้ประจำแหละ แต่เท่าที่ฉันสังเกต เขายังไม่มีตัวจริงหรอก”
“แล้วถ้าคุณวนิษาเป็นแฟนกับเขา คุณแม่ไม่กลัวพวกดาราสาวๆพวกนั้นจะเขม่นเอาเหรอครับ”
วลัยเบ้ปาก
“มาเล้ย ฉันก็จะทำหน้าที่แม่ที่ดีให้ดู ใครหน้าไหนมายังไงฉันจะปักหลักซัดไม่มีถอย ด่าเป็นด่า ตบเป็นตบ รบกันได้ทุกมิติ”
ระรินกำลังนอนนวดสปาอยู่กับเพ็ญแข ผู้เป็นมารดา พลางโชว์รูปในมือถือให้ดู เป็นรูปถ่ายเธอกับกริช
ที่ดูสนิทสนมกัน แต่ไม่มีรูปไหนส่อว่ามีอะไรกันลึกซึ้งแล้ว
“นี่ตอนระรินไปกินข้าวกับคุณกริชที่ร้านอะมูลาโต เจอยัยวิกกี้แฟนเก่าเขาด้วย กำลังกินข้าวกันอยู่ มันเข้ามาแขวะแบบไม่เกรงใจเลยค่ะ”
“ยัยนางแบบตกกระป๋องนั่นน่ะเหรอ แล้วเธอทำยังไง ด่ากลับมันไปเลยมั้ย”
“ไม่ได้หรอกค่ะเดี๋ยวเสียลุคหมด ต่อหน้าคุณกริชนะคะ ระรินก็เลยหยิบมือถือออกมาถ่ายคลิป มันรีบเดินหนีไปเลยกลัวเจอโพสต์ลงเน็ต ฮิๆๆ...อันนี้ตอนไปเที่ยวชายทะเล แฟนคลับมาขอถ่ายรูปตรึมเลย ระรินก็ให้ถ่ายค่ะ จะได้เป็นการประกาศไปในตัวว่านี่ของฉัน ใครอย่าแหยม”
ระรินพูดพลางวางมือถือไว้ข้างๆ ตัว
“แม่ได้ข่าวว่าเขาขึ้นไปหายัยพลอยใสถึงห้องที่คอนโดเลยนะ”
“ยัยนั่นก็เต้าข่าวมั่วค่ะ กะเรียกเรตติ้งให้ตัวเอง น่าสมเพช”
“ยังไงลูกก็อย่าประมาทล่ะ ผู้ชายแบบคุณกริชน่ะมีน้อย จะใช้สอยต้องแย่งกัน”
ระริน พยักน้าเห็นด้วย
“นั่นสิคะ เฮ้อ ผู้หญิงสมัยนี้ แย่งผู้ชายกันไม่อายใครเล้ย”
“ยางองยางอายไม่มีแล้วล่ะผู้หญิงสมัยนี้ ตอนนี้เขาควงกับเธอ ก็รักษาตำแหน่งไว้ให้ดี”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ระดับระรินแล้ว”
“แต่เธอออกตัวมากไม่ได้นะ เดี๋ยวจะดูไม่ดี เล่นบทอ้อนๆดีกว่า บทบู๊น่ะแม่ลุยเอง”
ระรินยิ้มแป้น สองแม่ลูกหัวเราะกันคิกคัก ทันใดนั้นเสียงมือถือระรินดังขึ้น ระรินรีบกดรับสาย
“ว่าไงจ๊ะเพื่อนรัก อะไรนะจริงดิ แหม ใครกันนะกล้ามายุ่งกับคุณกริชของฉัน”.
ระรินเปลี่ยรสีหน้าจากยิ้มแย้ม เป็นเหี้ยมเกรียม แววตาเจิดจ้าราวไฟลุก
“อืม ขอบใจมากนะ”
ระรินวางสาย
“มีอะไรเหรอ”
“เพื่อนน่ะค่ะ โทรมาบอกว่าเมื่อกลางวันเห็นสาวสวยคนหนึ่งนั่งรถคุณกริชไปด้วยกัน”
“มั้ยล่ะ พูดไม่ทันขาดคำ พวกดาราเหรอ”
“ไม่ใช่ดาราค่ะ ยัยวนิษา ยัยตัวแสบ”
ระรินกำมือแน่น ด้วยความโกรธ
“วนิษาเหรอ แม่ไม่รู้จักแฮะ”
เพ็ญแขพึมพำ พลางหยิบมือถือมา พิมพ์ชื่อวนิษาลงไป แล้วก็เห็นหน้าผู้หญิงคนหนึ่งในจอ
“ยัยนี่เองเหรอ ฮึ่ม แก ยัยวนิษา ถ้าฉันเจอแกเมื่อไหร่นะ”
ระรินชะโงกหน้ามาดู
“ว้าย ไม่ใช่ค่ะแม่ คนนี้ไม่เกี่ยว คนนี้เขาเป็นครู คนนี้ต่างหากค่ะ”
ระรินกดให้ใหม่ ภาพของวนิษาปรากฏขึ้นที่หน้าจออย่างชัดเจน
“ว้าย ยัยนี่เอง ครั้งที่แล้วก็แย่งชายแจ้ไปจากลูกใช่มั้ย”
“ค่ะ”

“เสียดายตอนนั้นแม่อยู่เมืองนอก ฮึ่ม คราวนี้ฉันอยู่นี่ ฉันจะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแน่นอน แกเตรียมเจ็บตัวได้เลย ฉันจะตบแกแถมดอกเบี้ยจากครั้งที่แล้วให้ด้วย”
 
อ่านต่อตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น