รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 3
โจนั่งรอนายประดิษฐ์ ผู้เป็นพ่อ อยู่ที่เรือนจำ ครู่หนึ่งนายประดิษฐ์ก็เดินออกมา โจยกมือไหว้
“เดือนนี้มาเร็วจังนะ”
“เดี๋ยวจะไม่ว่างช่วงใหญ่ๆเลยครับ เลยแวะมาเยี่ยมก่อน”
“งานใหญ่เหรอ”
โจพยักหน้า “ครับ”
“เก่งขึ้นเรื่อยๆนะแก ดีแล้วล่ะ มีอะไรให้พ่อช่วยไหมล่ะ ถึงพ่อจะอยู่ในนี้ แต่พ่อยังมีพรรคพวกอยู่ข้างนอกนะ ถ้าอยากให้เล่นนอกเกมล่ะก็”
“ไม่เป็นไรครับ พ่อก็รู้ว่าผมไม่ชอบแบบนั้น”
นายประดิษฐ์อึ้งไปครู่หนึ่ง
“ดีแล้วล่ะ แกคิดถูกแล้ว ต้องขอบคุณหลวงพ่อที่อบรมแกให้เดินถูกทางได้”
“วันก่อนแม่โทรมา”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
“ตอนนี้หนีไปอยู่บราซิลครับ”
นายประดิษฐ์ถอนหายใจ “มีผัวใหม่อีกล่ะสิ”
โจเงียบแทนคำตอบว่าใช่
“ไม่รู้ระหว่างฉันที่ติดคุกอยู่ที่นี่ กับแม่แกที่ระเห็จระเหเร่ร่อนไปเรื่อยๆ ใครมันจะสุขจะทุกข์มากกว่ากัน”
“ผมก็ไม่รู้ แต่ถ้าเป็นผม ผมเลือกแบบพ่อครับ”
“แต่ฉันไม่ได้เลือกนะเว้ย ฉันหนีไม่ทันว่ะ”
นายประดิษฐ์พูดแบบติดตลก แล้วหัวเราะร่วน โจพลอยหัวเราะไปด้วย
นักโทษตัวล่ำกล้ามใหญ่ ที่เพิ่งแยกจากญาติที่มาเยี่ยม เดินผ่านมาเห็นก็ร้องทัก
“เฮ้ย ลูกมาเยี่ยมเหรอ”
“เออ”
“คนนี้ใช่ไหมที่เขาว่ากัน”
นายประดิษฐ์ชักสีหน้า แต่เพื่อนนักโทษไม่สน หันมาพูดกับโจต่อ
“เฮ้ย ไอ้น้อง ได้ว่าเป็นตัวซวยนี่หว่า ว่างๆไปสมัครเป็นตำรวจเดะ เผื่อพวกสารวัตรมันจะได้ซวยกันทั้งกรม ฮ่าๆ พูดจริงๆนะเว้ย ขนาดพ่อเอ็งยังไม่รอดเลยนี่หว่า ฮ่าๆ”
ขาดคำนายประดิษฐ์ ก็ต่อยเพื่อนนักโทษคนนั้นทรุดฮวบลงทันที ผู้คุมรีบวิ่งมาลากตัวออกไป จนเกิดโกลาหลกันขึ้น โจมองพ่อที่ถูกผู้คุมลากตัวออกไปอย่างสะเทือนใจเสียงญาติของแม่แว่วเข้ามาอีกครั้ง
“ลูกเอ็งเนี่ย เหมือนเด็กคนอื่นซะที่ไหน ใครๆเขาก็เรียกกันว่าไอ้โจตัวซวย ขนาดพ่อมันเองจากพ่อเลี้ยงร้อยล้านก็หมดตัวแถมติดคุกอีก อย่างนี้ไม่เรียกตัวซวยก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว”
วนิษา เดินนำเจ้าหน้าที่ในชุดข้าราชการดูความเรียบร้อยตามจุดต่างๆ ของตลาดวาสุวงศ์ เมื่อบรรดาข้าราชการจะลากลับ วนิษาจึงเดินมาหาหม่อมจันจิราที่นั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟ
“พวกนั้นมีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“นิดหน่อยค่ะ แต่วนิเคลียร์ได้หมดแล้วค่ะ”
หม่อมจันจิรายิ้มอย่างจริงใจ
“เธอเก่งมากวนิ ลำพังฉันน่ะจัดการกับคนพวกนั้นไม่ได้หรอก คุยแล้วหงุดหงิดอารมณ์เสียทุกที ขอบใจเธอมากเลยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เป็นหน้าที่ของวนิอยู่แล้วค่ะในฐานะกรรมการบริษัท”
“หึ สูกสาวกับลูกเขยฉันก็เป็นกรรมการ ไม่เห็นพวกนั้นจะมาสนใจดูแลเลย”
วนิษานั่งเงียบ ไม่พูดอะไรอีก หม่อมจันจิราลุกขึ้นเดินผละออกมาก วนิษาเดินตาม ผ่านโต๊ะตัวหนึ่งที่มีลูกค้าผู้หญิง 2 คนนั่งอยู่ ลูกค้าผู้หญิงสะกิดกันมองตามวนิษาไปแต่ไม่พูดอะไรกัน
“อุ๊ย ฉันลืมมือถือ”
หม่อมจันจิราหันมาบอกวนิษา
“เดี๋ยววนิ ไปหยิบให้ค่ะ”
วนิษาอ้อมด้านหลังโต๊ะลูกค้า ซึ่งกำลังเม้าท์กันพอดี
“เมื่อกี้น่ะเหรอวนิษา ตัวจริงสวยมากเลยนะเนี่ย”
“แถมรวยอีกต่างหาก เป็นเจ้าของตลาดนี้ด้วย”
“อ๋อ ที่ได้มรดกจากผัวคนแรกใช่มั้ย ได้ข่าวแย่งผัวมาจากไฮโซซะด้วยนะ โกลเด้นฟลาวเวอร์
อะไรขนาดนี้”
วนิษานิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก พลันก็มีเสียงกระแอมดังลั่น ลูกค้าสองคนหันมามอง เห็นหม่อมจันจิรา ยืนอยู่ข้างหลังวนิษา
“อย่าไปใส่ใจคนพวกนี้นะ คนที่ชอบนินทาคนอื่นน่ะเ ป็นพวกน่าสังเวช มีปมด้อย ถ้ายังไม่เปลี่ยนนิสัย ชีวิตนี้ก็คงหาความเจริญอะไรไม่ได้แน่ๆ”
สองสาวแกล้งก้มหน้างุด ทำเป็นไม่รู้เรื่อง พลางหยิบมือถือออกมาดู หม่อมจันจิราพูดจบก็โอบไหล่ วนิษา เดินออกไป
“ขอบคุณค่ะ”
วนิษาเอ่ยกับหม่อมจันจิราด้วยความซึ้งใจ
จากนั้นวนิษา ก็ขับรถส่งหม่อมจันจิราที่หน้าวังวาสุวงศ์ รอจนหม่อมจันจิราเดินขึ้นตึกไป จึงได้ขับรถออกมา สักพักก็จอดรถข้างทาง แล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยใจ พลางคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่เจอกับ มรว. จันทร์กระจ่างครั้งแรก
วนิษาเดินสวนกับมรว. จันทร์กระจ่าง ขณะที่เธอกำลังเดินเข้ามาในสำนักงาน แต่ต่างคนต่างไม่เห็นกัน
“สวัสดีค่ะ มาสมัครงานค่ะ”
“เชิญครับ กรอกใบสมัครเลยครับ ชื่ออะไรครับ”
“วนิษาค่ะ”
ผู้จัดการมองวนิษาด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ย พลางยื่นใบสมัครให้ วนิษารับมากรอกรายละเอียด
มรว. จันทร์กระจ่างเปิดประตูเดินเข้ามา วนิษาหันไปมอง ฝ่ายที่เข้ามาถึงกับตะลึง
“มาสมัครงานเหรอครับ”
“ค่ะ”
วนิษากรอกใบสมัครเสร็จพอดี จากนั้นก็ยื่นให้ผู้จัดการ ที่ยิ้มหวาน พลางเอื้อมมือมาจะรับ แต่ มรว. จันทร์กระจ่าง ชิงรับไปแทน ผู้จัดการอึ้งแต่ไม่กล้าพูดอะไร วนิษาก็ดูงงๆ มรว. จันทร์กระจ่าง พลิกใบสมัครดูรายละเอียด
“คุณชื่อวนิษาเหรอครับ”
“ค่ะ”
มรว. จันทร์กระจ่าง ชำเลืองมองไปที่รถที่จอดอยู่ข้างนอกแว่บหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาไม่พูดอะไร
“ท่านนี้คือเจ้าของตลาดครับ หม่อมราชวงศ์จันทร์กระจ่าง วาสุวงศ์”
ผู้จัดการแนะนำ มรว. จันทร์กระจ่าง ยิ้มหวานให้วนิษา
“ยินดีที่รู้จักครับ คุณวนิษา”
วนิษายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”
“ผมกำลังจะพัฒนาตลาดให้ทันสมัยแต่ยังขาดคนมาช่วย เมื่อก่อนนี้ผมไม่ค่อยมีเวลาได้มาทำงานจริงจัง แต่ตอนนี้ผมมีเวลาทำงานเหลือเฟือเลย ไม่ได้ขยันอะไรหรอกนะครับ แต่เพราะโดนแฟนทิ้งกลายเป็นโสดแล้ว”
ผู้จัดการได้ยินว่าโสดก็เงยหน้ามองแบบงงๆ มรว. จันทร์กระจ่าง มองกลับด้วยสายตา พลางทำตาดุใส่ ผู้จัดการกลืนน้ำลายเอื๊อก รีบก้มหน้าไม่แสดงท่าทีอะไร
“ผมกำลังต้องการคนรุ่นใหม่ไฟแรงมาช่วย เท่าที่ดูคุณสมบัติของคุณก็เหมาะสมมาก ผมอยากสัมภาษณ์คุณด้วยตัวเอง”
มรว. จันทร์กระจ่าง ผายมือเชิญวนิษา พลางยิ้มให้อย่างสุภาพ
วนิษาคิดถึงตรงนี้ ก็มองไปข้างหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย
“ฉันน่าจะเป็นฝ่ายที่ตายมากกว่านะคะ คุณชาย”
ชายชราท่าทางป๋าๆ พาสาวสวยนางหนึ่งเข้ามาในห้องโรงแรมหรู พลางหันมาล็อกห้อง แล้วเข้ามากอด พร้อมกับระดมจูบ
“อา ชื่นใจของป๋า ป๋าอยากให้เราได้อยู่กันแบบนี้ทุกวันเลยรู้ไหมจ๊ะ”
“แหม ไม่เห็นยากเลย ป๋าก็หย่ากับเมียป๋าแค่นั้นเอง”
“ไม่ได้หรอก มันฆ่าป๋าแน่ๆ”
ป๋าปลดกระดุม ถอดเสื้อเชิ้ตออก แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรมากกว่านั้น ก็มีเสียงเคาะประตู ป๋าหันไปมองอย่างงงๆ พลางเดินมาเปิดประตู โจในชุดคนรับรถของโรงแรม เดินเข้ามา
“ขอประทานโทษครับที่รบกวน ท่านจอดรถขวางรถคันอื่นอยู่ครับ”
“จะบ้าเหรอ ฉันจอดช่องวีไอพีโว้ย”
โจแกล้งทำเป็นงง
“รถท่านใช่รถสปอร์ตสีดำรึเปล่าครับ”
“ไม่ใช่ รถของฉันสีขาว แกไปเช็คดูใหม่ไป๊”
โจยกมือไหว้ “คงมีการเข้าใจผิด ขอโทษจริงๆนะครับ”
โจรีบออกไปจากห้อง ป๋าตามมาปิดประตูอย่างหงุดหงิด แต่พอหันกลับมาเจอสาวสวย ก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย แล้วรีบเดินตรงไปหา ด้วยสายตาหื่น
โจมองซ้ายขวา พลางรีบถอดเสื้อสูทพนักงานโรงแรมออก แล้วถอดกล้องจิ๋วที่ซ่อนไว้ตรงหมวกออก ก่อนที่จะเดินตรงไปที่ลิฟต์ และหยิบมือถือออกมาโทรหาป๋อง
“เรียบร้อยแล้วป๋อง แกโทรนัดลูกค้าได้เลย”
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
โจกับป๋อง นั่งคุยกับลูกค้า ที่เป็นคุณนายร่างอ้วนๆ ที่ร้านกาแฟ
“ งานสำเร็จเรียบร้อยครับ หลักฐานทั้งหมดอยู่ในนี้ครับ”
โจใช้นิ้วเคาะซองเอกสารเบาๆ คุณนายอ้วนเอื้อมมือจะหยิบไป โจกดซองไว้
“ขอค่าบริการครับ”
“กลัวฉันเบี้ยวเหรอไง”
“เปล่าครับ แต่ผมอยากให้คุณนายจ่ายก่อนครับ ถ้าคุณนายไม่พอใจผมยินดีจะคืนเงินให้”
ป๋องมองหน้าโจงงๆ
“อ้าว แล้วทำไมพี่ไม่รอรับเงินทีหลัง ระดับคุณนายแล้ว ไม่เบี้ยวพี่หรอก”
“แกอยู่เฉยๆเหอะ”
คุณนายอ้วน จ้องหน้าโจเขม็ง “เห็นฉันเป็นใคร เกิดมาฉันไม่เคยโกงใครซักคน”
“ผมมีเหตุผลของผมครับ”
คุณนายอ้วนมองโจแบบไม่พอใจ แต่ก็หยิบเงินสดที่เตรียมมายื่นให้ โจรับมาแล้วส่งซองให้ คุณนายอ้วนรับไปเปิดซองดู เห็นภาพตั้งแต่ป๋าขับรถพาสาวสวยออกจากที่ทำงาน จนมาถึงโรงแรม จนลงจากรถด้วยกัน คุณนายอ้วนกัดฟันกรอด ตัวสั่นริกๆ จนถึงภาพชุดสุดท้ายเป็นภาพอยู่ด้วยกันในห้องที่ป๋าถอดเสื้อออกแล้ว คุณนายอ้วนทนไม่ไหว กรีดร้องลั่น
“ไอ้แก่ แกต้องตาย ฮึ่ย แกต้องตาย ตาย ตาย”
คุณนายอ้วนจ้องหน้าโจ แรงหึงทำให้เห็นเป็นหน้าสามีแก่
“แกกล้าทรยศฉันใช่ไหม”
โจหน้าเหรอ “เอาแล้วไง”
“ตอนจน ฉันทนลำบากตั้งเท่าไหร่ พอมีวันนี้ แกกลับทรยศฉัน แกตายซะเถอะ”
“คุณนาย ผมไม่ใช่”
คุณนายอ้วนบีบคอโจแน่น จนหน้าเขียว
“คุณนาย ตั้งสติหน่อยครับ ไอ้ป๋อง ช่วยฉันด้วย”
ป๋องมองซ้ายขวา พลางหยิบแจกันกระเบื้องจะฟาดหัวคุณนายอ้วน โจรีบร้องห้าม
“เฮ้ย อย่า แค่จั๊กกะจี๋ก็พอ เร็ว จะตายแล้ว”
ป๋องรีบวางแจกัน เข้ามาจะจี้จักกะแร้ แต่ก็ยังลังเล
“อี๋ เหงื่อแฉะเลย”
“เร็วฉันจะตายอยู่แล้ว”
โจหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง ป๋องรีบกลั้นใจเข้าไปจี้จักกะแร้คุณนายอ้วน คุณนายขำก๊าก มือไม้อ่อน โจรีบกลิ้งหนีออกมา คุณนายอ้วนหันมามองโจ
“จะหนีไปไหน ไอ้ผัวเองซวย”
โจรีบลุกขึ้น บอกป๋องเสียงแหบแห้ง
“รีบหนีเร็ว”
ป๋องประคองโจวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่วิ่งหนีออกมานอกร้านได้ พลางยืนหอบแฮ่ก สีหน้าของโจเริ่มกลับเป็นปกติ พลางหยิบเงินสดออกมานับ
“แกเข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าทำไมต้องให้จ่ายก่อน”
ป๋องพยักหน้ารับ
“เข้าใจแล้วครับ โอ้โฮ พี่โจสุดยอด อ่านเกมส์ขาดจริงๆ ทำยังไงผมถึงจะเก่งเหมือนพี่ได้อ่ะครับ”
“โดนชักดาบบ่อยๆ แกจะค่อยๆเขี้ยวขึ้นเองตามธรรมชาติ”
โจนับเงินเสร็จ ก็เก็บใส่กระเป๋า ป๋องเหลือบมอง
“งั้นในเมื่อตอนนี้เรามีกะตังกันแล้ว เราไปกินอะไรหร่อยๆหรูๆ กันดีไหมครับ อิๆ”
โจส่ายหน้า “ไว้ทีหลัง ตอนนี้แกมีงานต้องทำ”
“ให้ไปหาข้อมูลอะไรเหรอครับ”
“ไม่ ครั้งนี้เป็นภาคสนาม คราวที่แล้วยัยตั่วเจ๊จับฉันได้ ฉันไม่แน่ใจว่าเจอกันอีก เขาจะจำฉันได้หรือเปล่า เลยจะให้แกประกบเขามั่ง”
ป๋อง ตกใจ “โห ขนาดพี่ยังพลาด แล้วผมจะรอดเหรอครับ”
“ไม่ลองไม่รู้เว้ย”
ป๋องที่ปลอมตัวเป็นวินมอเตอร์ไซค์ เห็นรถวนิษาวิ่งออกมาจากคอนโด ก็รีบออกรถจะตามไปทันที แล้วก็สะดุ้ง เพราะมีเสียงแตรดังลั่นจากรถที่วิ่งมา ป๋องรีบโบกมือขอโทษ
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ ยังไม่ทันทำอะไรเลย คุณวนิษาไปไหนแล้ววะ”
ป๋องบ่นกับตัวเอง พลางรีบขี่มอเตอร์ไซค์ตามไป จนรถของวนิษาเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆ ป๋องรีบเลี้ยวตามไป ปรากฏว่าเป็นซอยตันแคบๆ กลับรถไม่ได้
“อ้าว เข้ามาทำอะไรในซอยตันเนี่ย อย่าบอกนะว่ารู้ตัวแล้ว เลยล่อเรามาติดกับ”
รถวนิษาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอยพุ่งมาอย่างเร็ว
“เฮ้ย”
ป๋องร้องเสียงหลง พลางรีบขับมอเตอร์ไซค์หลบได้อย่างฉิวเฉียด รถวนิษาเบรคเอี๊ยดชนเสาไฟโครม
ป๋องมองที่รถวนิษางงๆ
“ทำอะไรของเขาน่ะ”
ประตูรถเปิดออก ปลายฝนออกมาจากรถ วิ่งออกมาดูท้ายรถ หน้าเสีย
“อ้าว ไม่ใช่คุณวนิษานี่”
ป๋องชะโงกมองเข้าไปในรถ ไม่มีคนอื่นอีก ปลายฝนมองซ้ายขวา ในซอยไม่มีใครนอกจากป๋อง ปลายฝนมองมาทางป๋อง
“นี่”
“อะไร” ป๋องถามงงๆ
“เราขับรถชน”
“เออ เห็นแล้ว”
“ทำไงอ่ะ”
“ถามผมเหรอ” ป๋องย้อนถาม
“ก็ใช่น่ะสิ ต้องทำไงอ่ะ”
“ก็ถ่ายรูป แล้วไปเคลมประกัน”
ปลายฝนเกาศีรษะแกรกๆ พลางยื่นมือถือให้ป๋อง
“ถ่ายให้หน่อยสิ เราไม่รู้ว่าต้องถ่ายยังไง”
“งั้นไม่ต้องถ่าย ไปเคลมเฉยๆก็ได้”
ปลายฝนยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็มองหน้าป๋อง ที่เหวอๆ พลางฝืนยิ้มกลับไปให้ ปลายฝนล็อกรถแล้วเดินมาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์หน้าตาเฉย
“ไปสีลมหน่อย”
“เฮ้ย น้อยๆหน่อย ไม่ใช่มอเตอร์ไซค์รับจ้างนะ”
ปลายฝนชะงัก มองที่เสื้อวิน ป๋องเลยรู้ตัวว่าเผลอหลุดปาก
“เออ เป็นก็ได้ แต่ว่าทำไมไม่ขับรถไปเอง”
“ไม่เห็นเหรอว่าฉันหลงทาง ที่เข้ามาเนี่ยนึกว่าทางลัด แล้วก็ยังขับไม่เก่ง ฉันไม่อยากเสียเวลา ต้องรีบไป เดี๋ยวไม่ทัน”
“ขับไม่เก่งแล้วขับรถทำไม เอารถคนอื่นมาขับรึเปล่าเนี่ย” ป๋องทำเสียงดุ
“จะไปไม่ไป ถ้าไม่ไปจะเรียกตำรวจจับ”
“ข้อหาอะไรไม่ทราบ”
ปลายฝนเชิดหน้ายิ้มๆ “นายขับรถรับจ้างสาธารณะ นายไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธผู้โดยสาร”
“จริงเหรอ”
“ก็จริงน่ะสิ เอาไง ให้เรียกตำรวจมั้ย เป็นวินเถื่อนรึเปล่าเนี่ย มีใบอนุญาตมั้ย”
“ไปก็ไป รอแป๊บนึงนะ”
ป๋องหยิบมือถือออกมาพิมพ์ข้อความ
“เร็วๆได้มั้ย เดี๋ยวไม่ทัน”
“เออๆๆเสร็จแล้ว”
“เร็วๆนะ”
ป๋องสตาร์ทเครื่อง แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่โจกำลังนั่งกินต้มเลือดหมูอยู่ที่ร้าน มีเสียงเตือนข้อความเข้า ก็รีบหยิบมือถือมากดดู
“ผมพลาดแล้วครับ คลาดกับคุณวนิษาแล้ว ไม่ได้เรื่องเลย ไอ้อ่อนเอ๊ย”
โจอารมณ์เสีย เผลอขว้างมือถือลงชามเลือดหมู พอนึกขึ้นได้ ก็รีบหยิบขึ้นมาเช็ด
“เกือบซวยแล้วไง”
ป๋องจอดมอเตอร์ไซค์ที่หน้าอาคารสำนักงานแห่งหนึ่งในย่านสีลม ปลายฝนลงจากรถ
“เท่าไหร่อ่ะ”
ป๋องนั่งนึกอยู่ชั่วครู่ “เอ่อ สามร้อย”
“นี่ แพงไปนะยะ”
“งั้น สี่สิบบาท”
“นี่ก็ถูกไป”
ป๋องยกมือเกาหัว “เรื่องมากจัง เคยนั่งมาเท่าไหร่ล่ะ”
“ฉันให้ร้อยยี่สิบ”
“เออๆ เอามา”
ปลายฝน จ่ายเงินให้ แล้วรีบวิ่งหน้าตั้งเข้าไปในอาคาร ที่มีป้ายโรงเรียนกวดวิชาตั้งอยู่ด้านหน้า ป๋อง มองตามไป
“ถึงจะกวนโอ๊ยไปซักนิด แต่ก็ยังดีที่เป็นเด็กรักเรียน มาเรียนพิเศษสายนิดนึงก็ไม่ได้”
ป๋องสตาร์ทเครื่อง กำลังจะขับออกไป ปลายฝนก็รีบวิ่งมาหา
“เดี๋ยวก่อน”
“อะไร ลืมของเหรอ”
“มีเรื่องให้ช่วยน่ะ สำคัญจริงๆ ขอร้องล่ะนะ”
ป๋องมองปลายฝนแบบไว้เชิงเพราะยังไม่ไว้ใจเต็มที่นัก
ป๋องมองวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ ที่กำลังยืนต่อคิวที่หน้าโต๊ะที่มาตั้งขายในโถงออฟฟิศอย่างงงๆ ที่ขอบด้านล่างของโต๊ะ มีโปสเตอร์แปะอยู่ แต่เห็นไม่ชัดเพราะคนเข้าแถวยืนบังอยู่ ปลายฝนลากป๋องมาต่อแถวด้วย
“อะไรอ่ะ ลงทะเบียนเรียนพิเศษกันเหรอ”
ปลายฝน ส่ายหน้า
“เปล่า เขาแถวซื้อตั๋วคอนเสิร์ตวงเคไนน์ เขาจะมาแสดงที่เมืองไทย แค่รอบเดียวเองนะ ช้าหมดอดแน่นอน ที่นี่เขาเอามาแบ่งขายได้มาไม่กี่ร้อยใบ คนเลยมาแย่งซื้อกันไง”
“แล้วจะให้ฉันช่วยอะไร”
“เขาจำกัดคนนึงซื้อได้ไม่เกินสี่ใบ แต่เพื่อนกลุ่มฉันมี 7 คน นายมาช่วยฉันซื้ออีกสามใบ”
ป๋องทำหน้าเซ็ง พอดีกับที่คนหัวแถวที่ยืนบังโปสเตอร์ขยับ ทำให้เห็นโปสเตอร์วงบอยแบนด์หน้าตาดี
“โธ่เอ๊ย ไอ้เราก็นึกว่าเธอเป็นเด็กดี มาเรียนพิเศษ ที่แท้ก็เป็นติ่งนี่เอง”
“ทำไม ติ่งแล้วเสียหายยังไง เดือดร้อนเธอเหรอ”
“เธอน่ะโชคดีมีฐานะมีโอกาส แทนที่จะใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์กับชีวิตตัวเอง กลับมาเป็นติ่งเกาหลีซะนี่”
แฟนคลับที่เข้าคิวหันขวับมามองป๋องอย่างไม่พอใจ ปลายฝนชักสีหน้า
“คำก็ติ่งสองคำก็ติ่ง นายแน่มาจากไหน ทำมาสอน นึกว่าพูดแล้วจะเท่รึไง โธ่เอ๊ย หน้าตายังกะหมาโรงอาหาร”
แฟนคลับคนอื่นหัวเราะขำ ป๋องรู้สึกเสียหน้า
“หมาโรงอาหารก็ยังดีกว่าเธอ หน้ายังกะแมวตกใจ”
“ตกใจเพราะเห็นหน้าเธออ่ะดิ”
“เออ ฉันไม่อยู่ให้เห็นหน้าก็ได้”
ป๋องจะเดินออกไป ปลายฝนรีบดึงไว้
“เดี๋ยว มาเข้าแถวก่อน”
“ไม่ ซื้อเองเหอะ ฉันไปละ”
“อย่าเพิ่งไปสิ ช่วยฉันก่อน อ้ะ ฉันจ้างก็ได้ ให้สองร้อย”
“อ๋อ นึกว่ามีตังค์แล้วเอาเงินฟาดหัวรึไง ไม่ช่วยคือไม่ช่วย ทำแบบนี้ยิ่งไม่ช่วย ปล่อยได้แล้วยัยติ่ง”
ปลายฝนจ๋อย ก้มหน้า น้ำตารื้น แล้วก็ร้องไห้ออกมา พวกแฟนคลับมองหน้าป๋องเป็นตาเดียว
“ก็ได้ ไปเถอะ เธอไม่ต้องช่วยเราแล้ว”
“เอ่อ เฮ้ย แค่นี้ต้องร้องไห้ด้วยเหรอ”
ปลายฝนไม่ตอบ เบือนหน้าเช็ดน้ำตา ในที่สุดป๋องก็ทนไม่ได้
“เออๆๆ ช่วยซื้อให้ก็ได้”
ปลายฝนยิ้มชอบใจ ในขณะที่ป๋องส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“ขอบใจนายมากนะ” ปลายฝนหันมาบอกกับป๋อง หลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว
“ไม่เป็นไร”
“นายชื่ออะไร”
“จะรู้ไปทำไม”
ปลายฝนทำหน้าจะร้องไห้
“พอเลย ไม่ต้องเล่นมุกซ้ำ ฉันไม่หลงกลแล้ว”
ปลายฝนหัวเราะ “ก็อยากรู้จัก เผื่อเจอกันอีกจะได้ทักถูกเรียกชื่อถูกไง”
“ป๋อง”
“ฉันชื่อปลายฝน”
“รู้แล้ว ไม่ต้องบอก”
ปลายฝนงง “รู้ได้ไงอ่ะ”
“เอ่อ พูดไปงั้นแหละ เธอจะชื่อปลายฝนหรือปลายเดือนก็เรื่องของเธอ ฉันไม่สนใจหรอก”
“เชอะ อ้ะ เอาไป”
ปลายฝนยื่นตั๋วให้ ป๋องมองอย่างงงๆ
“อะไร”
“ตั๋วคอนเสิร์ต ฉันซื้อเผื่อนายใบนึง”
“ไม่ดูหรอก เอาไปให้คนอื่นเหอะ”
ปลายฝนไม่ฟังเสียง ยัดตั๋วใส่มือป๋อง
“ฉันให้ นายจะมาไม่มาก็เรื่องของนาย แล้วอย่าเรียกฉันว่าติ่งอีกจำไว้”
ปลายฝนขยับตัว ทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในอาคาร
“แล้วจะไปไหน ไม่กลับไปเอารถเหรอ”
“ฉันโทรให้คนรถไปเอาแล้ว ฉันจะไปเรียนพิเศษ”
ปลายฝนเดินหายเข้าไปในอาคาร ป๋องมองตาม พลางก้มมองตั๋วคอนเสิร์ตในมือ
โจรอวนิษาอยู่ในแท็กซี่ ที่จอดดักอยู่หน้าคอนโด จนเมื่อเห็นวนิษาขับรถยุโรปหรูออกมา ก็รีบบอกคนขับ
“ตามรถคันนั้นไป”
รถของวนิษาเลี้ยวจากถนนหลัก เข้าไปในซอยที่ไม่ค่อยมีบ้านคน แท็กซี่ที่โจนั่งมา จอดหน้าปากซอย โจจ่ายเงิน ก่อนที่จะลงจากรถพร้อมเป้สะพายหลัง พลางมองเข้าไปในถนน เห็นท้ายรถวนิษาลิบๆ โจเกาศีรษะ
“ซอยแบบนี้ ถ้าตามเข้าไปอีก เขาเห็นแน่ๆ เอาไงดีวะ”
โจบ่นกับตัวเอง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจรีบเดินเท้าเข้าไป
โจเดินเข้ามาลึกในซอยเปลี่ยว มีบ้านคนอยู่ห่างๆ ท่าทางเหนื่อยอ่อน แต่ดูยังมีความมุ่งมั่น
“ซอยเปลี่ยวแบบนี้ ยัยนั่นต้องปิดบังอะไรไว้แน่ๆ”
โจเดินมาถึงรั้วบ้านหลังหนึ่ง ที่ดูใหญ่โต และมิดชิด พลางมองลอดกรงรั้วเข้าไป เห็นรถวนิษาจอดอยู่
“เฮ้อ เจอซะที นึกว่าจะให้เดินไปถึงชายแดน เป็นโรงงานผลิตยาเสพติดรึเปล่าวะ หรือว่าที่เก็บซ่อนอาวุธของแก๊ง มียาม ไม่มีปืน ที่นี่มันที่ไหนกันแน่”
โจมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง แล้วปีนข้ามรั้วบ้านเข้าไป
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
หลังรั้วเป็นบ้านมีเนื้อที่ใหญ่โต ปลูกต้นไม้ดูสวยงาม ร่มรื่น โจค่อยๆย่องเข้าไปที่ตัวบ้าน ด้วยความระมัดระวัง พลางปรายตาเห็นเงาทาบบนผนังเป็นรูปร่างคนตัวใหญ่กำลังถือปืน
โจชะงัก พลางหยิบดิ้ว แท่งเหล็ก ที่ยืดได้คล้ายๆ กระบองสั้น ออกมาจากเป้ พลางตั้งท่าพร้อมฟาด เจ้าของเงาใกล้เข้าเรื่อยๆ โจกำดิ้วไว้แน่น ใจจดใจจ่อ
ที่แท้เจ้าของเงา คือหนุงหนิง สาวรับใช้ต่างด้าว ที่เดินถือปืนจุดไฟแช็ค โจเกือบจะพุ่งออกไปแล้ว แต่ยั้งไว้ได้ทัน พลางยืนแอบอย่างมิดชิด
หนุงหนิงเดินเข้าไปในครัว แล้วรีบบอกกับคุณยายวรางค์ ที่ยืนรออยู่
“เจอแล้วค่ะ วันก่อนหนุงหนิงเอาไปจุดเทียนไหว้พระแล้วลืมเอามาเก็บที่ค่ะ แหะๆ”
“จุดเทียนไหว้พระ? หึๆ มันจะไปจุดติดได้ไง”
“จุดติดนะคะ”
“หา จุดติดจริงเหรอ” คุณนายวรางค์แปลกใจ
“ปืนนี่จุดไม่ติดเลยใช้ไม้ขีดจุดค่ะ”
คุณยายวรางค์ส่ายหน้า แล้วจุดแก๊ส ก่อนที่จะทำกับข้าวอย่างชำนิชำนาญ โจแอบดูอยู่ ท้องร้องจ๊อก
“คุณยาย ทำไมทำกับข้าวกลิ่นหอมอย่างงี้ ทรมานนะว้อย .เอ แล้วยัยวนิษาอยู่ไหนวะ อ๊ะ”
พลางมองเข้าไปด้านในครัว เห็นวนิษากำลังเด็ดผักอยู่ โจขยี้ตานึกว่าตาฝาด
“เศรษฐีนีรวยปลิ้นอย่างนี้เนี่ยนะมานั่งเด็ดผัก”
คุณยายวรางค์ วนิษา นั่งคุยกันที่โต๊ะกินข้าว ในขณะที่หนุงหนิง ที่นั่งร่วมโต๊ะกัน เอาแต่ตักอาหารเข้าปาก ไม่พูดไม่จา
“คืนนี้เธอมานอนค้างที่นี่ แล้วหนูปลายฝนล่ะ”
คุณยายวราง์หันมาถามวนิษา
“ปลายฝนโตแล้วค่ะ เขาดูแลตัวเองได้ วนิเองก็ไม่ไหวแล้วค่ะยาย อยากมาชาร์จแบตซะหน่อย”
“เห็นที่นี่เป็นรีสอร์ตรึไง”
“ไม่ค่ะ รีสอร์ตที่ไหนๆก็สู้บ้านหลังนี้ไม่ได้ บ้านที่มียายสุดที่รักของวนิอยู่ด้วย”
วนิษาพูดแบบอ้อนๆ
“โตป่านนี้แล้วยังอ้อนยายยังกับเด็กๆ อายหนุงหนิงบ้างมั้ยเนี่ย”
“อายสิคะ ถ้าไม่อายจะลงไปนอนตักคุณยายด้วยซ้ำ คนอื่นเขานอนตักพ่อตักแม่ วนิจะนอนตักยายนี่แหละ”
“ก็พ่อแม่เธอไม่อยู่ให้นอนนี่นา แล้วที่มานี่ มีเรื่องเครียดอะไรเหรอ”
“เรื่องเดิมๆน่ะค่ะ”
วรางค์พยักหน้ารับรู้ แต่ไม่พูดอะไร
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งของผนังห้อง โจซุ่มอยู่ในความมืด เอาหูฟังแนบผนังแอบฟังบทสนทนา พลางทำหน้ายุ่ง
“เรื่องเดิมๆน่ะเรื่องอะไรล่ะ”
วนิษาถอนหายใจ แล้วพูดต่อ
“วนิก็พยายามทำใจให้หนักแน่นตามที่ยายยกคำกลอนของสุนทรภู่มาสอนวนิ .อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แค่องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา..แต่ว่าพอถึงเวลาโดนหนักๆ”
“เพราะใจเธอไม่นิ่งพอ ถึงได้หวั่นไหวไปกับลมปากคนอื่น”
วนิษาหน้าเศร้า “วนิพยายามแล้ว”
“ทำไมใจถึงไม่นิ่งล่ะ ซ่อนอะไรไว้ในใจหรือไง”
วนิษาสะท้านใจ เหมือนคำถามจี้โดนจุดสำคัญ ก็เลยนั่งเงียบไม่ตอบอะไร คุณยายวรางค์รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไปอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวให้หนุงหนิงชงชาสมุนไพรให้ จะได้หลับสบายๆนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
โจยังแอบฟังอยู่ด้านนอก รำพึงกับตัวเองเบาๆ “ซ่อนอะไรไว้ในใจ”
นาฬิกาที่ข้างฝาบอกเวลาตีสองกว่า โจย่องเข้ามาในห้องครัว มองซ้ายมองขวา ท่าทางระวังตัว ดูจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ ก็เปิดตู้เย็นหาของกินยัดเข้าปากอย่างหิวโหยอยู่ตรงหน้าตู้เย็นนั่นเอง
“อูย ค่อยยังชั่ว จะเป็นลมอยู่แล้ว”
โจรีบกินจนจุก หันมาจะกินน้ำต่อ ระหว่างนั้นรู้สึกเหมือนมีคนอยู่ใกล้ๆ โจหันมาอีกด้าน เจอหนุงหนิงยืนจังก้าชี้หน้าอยู่
“จับได้แล้วไอ้หัวขโมย ฉันจะเรียกตำรวจ”
โจรีบยกสองมือขึ้นแบบยอมแพ้ แต่พูดไม่ออกเพราะของกินเต็มปาก
“แกกล้าดียังไงมาขโมยกางเกงในคุณยาย”
โจชะงัก ชี้หน้าตัวเอง พึมพำว่าขโมยกางเกงในเนี่ยนะ
“ถอดหน้ากากค้างคาวออกมาเดี๋ยวนี้ ให้ฉันดูหน้าแกซิ”
โจงง จับหน้าตัวเอง ก็ไม่มีหน้ากากอะไร ชักเอะใจ ก็เลยมองหนุงหนิงชัดๆ เห็นหนุงหนิงยังหลับตาอยู่ โจโบกมือต่อหน้า แต่หนุงหนิงก็ยังไม่เห็น
“บอกให้ถอดไง อืม ก็หล่อดีนี่นา”
โจค่อยๆหลบออกมา หนุงหนิงยังคงยืนคุยกับตู้เย็น โจถอนใจโล่งอก
“ยัยบ้า ละเมอก็ไม่บอก”
“บอกให้ถอดหน้ากาก ถอดเสื้อออกทำไม อุ๊ย ซิกแพ็ค โอ้ว เยส นี่ ตะเอง ของฉันจีสตริงนะ
ไม่สนใจจะขโมยมั่งเหรอ ว้ายๆๆๆถอดกางเกงด้วย อย่านะๆๆอย่าช้าอย่าช้า อุ๊บ่ะ อะไรนั่นน่ะ”
โจเก็บของกินกับขวดน้ำ แล้วค่อยๆย่องออกมา ปล่อยให้หนุงหนิงละเมอต่อไป
โจเดินออกมาจากบ้านคุณยายวรางค์ มาตามทางเปลี่ยวๆ พลางดึงกระเป๋าที่สะพายกลางหลังก่อนที่จะหยิบมือถือออกมา แล้วกดโทร. ออกหาป๋อง
“ฉันรู้ว่าตีห้าแล้ว แต่จะกี่โมงแกก็ต้องตื่นขับรถมารับฉันเดี๋ยวนี้ เพราะทั้งหมดมันเป็นความผิดแก
ถ้าแกไม่พลาดฉันก็ไม่ต้องฉุกละหุกแบบนี้ เออ รู้ตัวก็ดี รีบๆมารับฉันเลย ตอนนี้ฉันอยู่ที่...โอ๊ย..”.
โจสะดุ้ง รู้สึกเจ็บที่เท้า พลางเอามือถือส่องดู เห็นงูตัวหนึ่งอยู่กลางถนน กำลังรีบเลื้อยออกไปเพราะถูกเหยียบ โจร้องลั่น
“เฮ้ย ไอ้ป๋อง ฉันโดนงูกัดว่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่างูอะไร เดี๋ยวๆ ขอดูแผลก่อน”
โจดึงขากางเกงขึ้น เอามือถือส่อง เห็นรอยเขี้ยวสองรู
“รอยเขี้ยวสองรู ท่าทางจะงูพิษว่ะ ซวยแล้ว เกิดมาไม่เคยโดนงูกัดซะด้วย ฉันชักรู้สึกหน้ามืดแล้วว่ะ แกรีบมารับฉันเร็ว เร เร็ว ฉะ ฉาน อยู่.ที่”
โจพูดช้าลงเรื่อยๆ ร่างส่ายโงนเงน ในที่สุดมือถือก็ร่วงหลุดจากมือ ร่างของโจหมุนคว้างไปมา ก่อนที่จะล้มฟาดลงมาบนถนน ศีรษะพาดไปบนผิวถนน ครู่ใหญ่ๆ รถหรูของวนิษาก็วิ่งมา เฉียดหัวโจไปนิดเดียว แล้วก็ผ่านไป
จากนั้นรถก็เบรก แล้วถอยกลับมา วนิษาลดกระจกลง มองดูโจ แต่ยังไม่รีบร้อนลงจากรถ มองสองข้างทางจนแน่ใจว่าไม่มีใครซุ่มอยู่ จึงค่อยๆ ลงมาจากรถ โจนอนหายใจรวยริน มองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
“ดาวสวยจัง นี่ฉันจะต้องตายแบบนี้เหรอเนี่ย นอนตายภายใต้ดวงดาวเนี่ยนะ มันจะโรแมนติก
ไปมั้ย แต่ก็ดีกว่าโดนกระทืบตายล่ะวะ ภาพนี้คงเป็นภาพสุดท้ายในชีวิตแล้วสินะ”
วนิษายื่นหน้าเข้ามาดูโจ
“ใครอ่ะ สวยจัง หน้าคุ้นๆเหมือนเคยรู้จัก สงสัยเป็นนางฟ้ามารับตัวฉันขึ้นสวรรค์ จะพาผมไปอยู่บนดาวดวงไหนล่ะครับ ดาวดวงไหนก็ได้ แต่คุณต้องอยู่กับผมนะครับ”
โจยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย วนิษางง แล้วโจก็หลับตาหมดสติ วนิษาตบหน้าเบาๆ
“คุณๆ”
วนิษารีบกดมือถือโทร. ออกทันที
ที่ห้องพักโรงพยาบาลชานเมือง โจเริ่มรู้สึกตัวสะลึมสะลือ เห็นเงาคนพร่ามัว หูแว่วได้ยินเสียงวนิษากำลังคุยกับหมอ
“เขาเป็นยังไงบ้างคะ”
“เบื้องต้น ปลอดภัยแล้วครับ”
“แล้วที่หมอบอกว่าแปลกๆ หมายถึงอะไรคะ”
หมอกับวนิษา แลคุณนายวรางค์ยืนคุยกันอยู่ โดยไม่รู้ตัวว่าโจฟื้นแล้ว
“เราไม่พบบัตรประชาชนหรือหลักฐานอะไรเลย พูดง่ายๆว่าเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร”
“ฉันก็ไม่รู้ค่ะว่าเขาเป็นใคร”
ทั้งหมอและวนิษาหันมามองโจ ที่รีบหลับตา แล้วค่อยๆ หรี่ตาขึ้นมอง พลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
หมอกับวนิษาดูโจอยู่ครู่หนึ่ง กำลังจะเดินออกไป โจก็พึมพำขึ้น
“นี่ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย”
หมอกับวนิษาหันมามองโจ
“คุณรู้สึกตัวแล้วเหรอคะ”
“ก็เห็นๆอยู่ว่าผมตื่นแล้ว ยังจะถามอะไรเห่ยๆแบบนั้นอีก”
“ฉันว่าคุณนอนสลบต่ออีกรอบน่าจะดีกว่านะคะ”
วนิษาหยิบถาดบนโต๊ะหัวเตียงมาจะฟาดหัวโจ หมอรีบมาแย่งถาดเอาไปวางที่เดิม
“ใจเย็นครับ”
“เมื่อกี้ยังไม่มีใครตอบผมเลย นี่ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย”
“ที่นี่สนามบินสุวรรณภูมิค่ะ” วนิษาตอบประชด “นี่เสาน้ำเกลือ นี่หมอ นี่เตียงคนไข้ ไม่ใช่โรงพยาบาลแล้วที่ไหนไม่ทราบ ถามอะไรโง่ๆ”
โจมองหน้าวนิษา แล้วก็เผลอยิ้มออกมา
“ท่าทางจะไม่ใช่โรงพยาบาลธรรมดา แต่เป็นโรงพยาบาลบ้า”
“พอๆๆ หยุดก่อนครับ ขอผมตรวจคุณก่อน”
หมอเข้ามาตรวจ ดูตา ฟังชีพจร
“โอเค เรียบร้อยดี”
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไง” โจหันมาถามหมอ
“คุณโดนงูกัดหมดสติ คุณผู้หญิงคนนี้เป็นคนพาคุณมาส่งโรงพยาบาล เขาเป็นคนช่วยชีวิตคุณ คุณน่าจะพูดจากับเขาดีๆหน่อย”
“คุณช่วยชีวิตผมเหรอ”
วนิษา พยักหน้าหงึก “ใช่”
“จริงง่ะ”
“ไม่ต้องเชื่อก็ได้”
“งั้นถามหน่อย ผมโดนงูกัดที่ไหน”
“แถวบ้านฉัน”
“ผมว่าผมโดนที่กัดที่เท้านะ นี่ไง แผล ที่เท้าจริงๆด้วย”
โจทำหน้าทะเล้น วนิษาหันไปหยิบถาดมา จะฟาดอีกที หมอรีบแย่งกลับไป โจหัวเราะ
“ขอโทษครับ ผมล้อเล่น เอ่อ ว่าแต่ผมไปทำอะไรแถวบ้านคุณเหรอครับ”
“ฉันจะไปรู้คุณเหรอ ฉันขับรถออกมาจากบ้านก็เห็นคุณนอนอยู่ข้างทาง”
“ว่าแต่บ้านคุณอยู่แถวไหนน่ะ”
“ก็แถวที่คุณโดนงูกัดไงล่ะ”
วนิษาตอบกลับกวนๆ ตอนแรกโจยิ้มๆ แต่แล้วก็หน้าเจื่อนลงเรื่อยๆ
“ผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าผมโดนงูกัดที่ไหน”
วนิษากับหมอมองหน้ากัน สีหน้ากังวล
“แล้วเรารู้จักกันรึเปล่า”
“เดี๋ยวก่อน คุณชื่ออะไร”
หมอถามโจ ท่าทางเครียด โจเงียบไป หน้าซีด ท่าทางตกใจกลัว
“ผมไม่รู้ครับ”
วนิษา ตกใจ “ความจำเสื่อมเหรอคะ”
“เอ ไม่น่าเกี่ยวกันนะครับ ผมไม่เคยได้ยินเลยว่ามีคนโดนงูกัดแล้วความจำเสื่อม แต่มันก็อาจจะเป็นไปได้เหมือนกัน เพราะเขาสลบไปตั้งสามวัน”
โจสะดุ้งโหยง “หา ผมสลบไปสามวันเลยเหรอ”
“ครับ เราปล่อยให้คนไข้พักผ่อนก่อนดีกว่าครับ เพิ่งฟื้นแบบนี้อย่าเพิ่งไปรบกวนเขา พักสักครู่อาจจะความจำอาจจะกลับมาก็ได้”
วนิษากับคุณยายวรางค์ พยักหน้าเห็นด้วย วนิษายิ้มให้กำลังใจโจ แล้วเดินออกไป โจมองตามไป ยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างมีแผนการณ์
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
คุณยายวรางค์เดินคุยกับวนิษามาตามทางเดิน
“ยายว่านายนี่มันแปลกๆนะวนิ”
“หนูก็ว่า”
“เธอช่วยคนน่ะเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเขาจะทำให้เราเดือดร้อนน่ะ มันก็ไม่ดีนะ”
“ค่ะ แต่เท่าที่ดูตอนนี้เขาก็ยังไม่มีปัญหาอะไรนี่คะ”
“ยายเตือนเพราะเห็นเธอวุ่นวายน่ะ สามวันนี่เทียวไปเทียวมา ไม่เหนื่อยหรือไง”
คุณยายวรางค์ถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรนี่ค่ะ หนูคิดว่าช่วยคนก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด อย่างน้อยความดีที่หนูทำ อาจจะช่วยให้หนูได้เจอเรื่องดีๆบ้าง ไม่ต้องเจอเรื่องร้ายๆอย่างที่ผ่านมา”
คุณยายวรางค์ฝืนยิ้ม จับมือปลอบใจวนิษา
ในขณะที่โจนั่งเล่นอยู่หน้าอาคารคนเดียว รถหรูของวนิษาก็วิ่งเข้ามาจอด วนิษาลงจากรถ กำลังจะเดินเข้าไปในตัวอาคาร หันมาเจอโจพอดี ก็รีบเดินเข้ามาหา
“สวัสดีค่ะ คุณ เอ่อ”.
วนิษามองหน้าโจ โจฝืนยิ้ม
“ผมจำชื่อตัวเองไม่ได้ครับ”
“แต่หมอโทรบอกฉันว่านายแข็งแรงดีแล้ว ให้มารับกลับบ้าน”
โจแกล้งตีหน้าเศร้า
“เขาคงคิดว่า ให้ผมอยู่ต่อก็เปลืองเตียงเปล่าๆ”
“ก็จริงนะ ที่นี่เตียงน้อย เขาคงต้องเผื่อเตียงให้ผู้ป่วยคนอื่นที่จำเป็นมากกว่า ว่าแต่นายอยาก
ไปไหนล่ะ เดี๋ยวฉันไปส่งให้”
“ผมอยากไปไหน ไม่รู้สิครับ” โจแกล้งทำหน้างงๆ
“งั้นไปหาตำรวจกัน”
“ไม่เอาหรอกครับ ถ้าก่อนหน้านี้ผมเป็นโจร ผมก็โดนตำรวจจับน่ะสิครับ”
“งั้นไปหาสรยุทธ ออกรายการทีวีมั้ย เผื่อมีคนดูดูอยู่จำคุณได้”
โจส่ายหน้า
“ไม่เอาครับ ถ้าก่อนหน้านี้ผมตกอยู่ในวังวนรักสามเส้า ผมไม่ต้องกลับไปเลือกผู้หญิงที่รักผมอย่างจริงใจคนนึง แล้วปล่อยให้อีกคนชอกช้ำอย่างนั้นเหรอครับ ผมทำใจไม่ได้หรอก”
วนิษา เบ้ปาก “น้ำเน่าจัง แต่ถึงยังไงมันก็ดีกว่าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครไม่ใช่เหรอ”
“ไม่แน่นะครับ ชีวิตผมอาจจะมีแต่เรื่องเลวร้ายมากมายที่ผมรับไม่ได้ สำหรับใครบางคนความจำเสื่อมคือความจำเป็น”
วนิษาอึ้งไป อดคิดถึงเรื่องของตัวเองไม่ได้
“จริงของนาย บางครั้งฉันก็อยากความจำเสื่อมเหมือนกัน”
วนิษาพาโจมานั่งกินข้าวที่ร้านอาหารชานเมืองแห่งหนึ่ง
“ขอบคุณคุณวนิมากนะครับ ที่ช่วยชีวิตผม พาผมไปโรงพยาบาล ออกค่ารักษาให้ แล้วยังพาผมมาเลี้ยงข้าวอร่อยๆอีก”...
วนิษา ยิ้มให้โจ
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เดี๋ยวฉันต้องไปทำงานต่อแล้ว ให้ฉันไปส่งนายที่ไหน”
“ผมไม่รู้ครับ”
วนิษามองโจด้วยสีหน้ากังวล
“ถ้ายังไม่รู้จะไปไหน จะมากับฉันไหม ฉันจะหาที่อยู่ให้นายชั่วคราว”
ในที่สุดวนิษาก็พาโจมาฝากกับปฐม
“ตั่วเจ๊เล่าเรื่องของนายให้ฟังแล้ว ทำอะไรเป็นมั่งล่ะ”
โจส่ายหน้า “ผมจำไม่ได้ครับว่าทำอะไรเป็นมั่ง ต้องลองดูถึงจะรู้ครับ”
“ว่าแต่ จะให้ฉันเรียกนายว่าอะไร”
“เอ่อ”
ปฐมหันไปหาวนิษาที่มองโจอย่างสงสาร
“ตั่วเจ๊ช่วยชีวิตเขาไว้ เหมือนเป็นคนให้ชีวิตใหม่ ตั่วเจ๊ตั้งชื่อให้เขาหน่อยละกันครับ”
“จะดีเหรอ”
ยังไม่ทันที่ปฐมจะตอบ โจก็ชิงพูดแทรกขึ้นมา
“ดีครับ พี่ปฐมพูดถูกแล้วครับ”
วนิษามองหน้าโจอย่างพินิจพิเคราะห์
“ตอนที่ฉันเจอคุณ ฉันเห็นดวงดาวในตาคุณ คุณรู้ไหม ดวงดาวมีผลกับดวงชะตาของคนเรา
แม้คุณจะโดนงูพิษกัดเฉียดตาย แต่ดาวบางดวงก็ดึงชีวิตคุณกลับมา งั้นฉันตั้งชื่อคุณว่า ดาว ละกัน นายดาว”
“ดาว เพราะดี ขอบคุณครับ”
โจยิ้มหวานให้วนิษา
ปฐมหยิบไพ่มาซอยให้โจดู มีลูกน้องยืนดูอยู่ด้วย ปฐมซอยไพ่แบบขั้นเทพ ลูกน้องปรบมือเกรียว
ปฐมยื่นสำรับไพ่ให้ โจรับมาซอย ตอนแรกเหมือนจะชำนาญ แต่ตอนงอไพ่ทั้งสำรับ ไพ่เด้งหลุดผลัวะเข้าหน้าปฐมเต็มๆ พวกลูกน้องฮากลิ้ง
ปฐมยกถาดที่มีแก้วใส่น้ำหลายใบให้โจถือ โจยิ้มแป้น รับมาถือด้วยท่าทางชำนาญ แต่พอออกเดินก็สะดุดขาตัวเอง น้ำหกใส่ปฐม จนเปียกไปทั้งตัว
ปฐมทดสอบฝีมือต่อสู้ของโจ สอนโจปัดหมัดปัดขา โจพยักหน้าว่าเข้าใจ ปฐมพยักหน้าให้ลูกน้องคนหนึ่งมาทดสอบ โจตั้งท่ารับ มาดดูดีเหมือนบรู๊ซลี ลูกน้องเตะต่อยใส่โจ โจโดนทุกดอกจนน่วม แต่ยังใจสู้ ตั้งการ์ดเมาหมัดเดินเป๋ไปเป๋มา โดนลูกน้องต่อยเปรี้ยง เซถลามาหาปฐม แล้วล้มไปด้วยกัน
โจผัดผักบุ้ง ปฐมยืนห่างๆ ท่าทางระแวงๆ ดันลูกน้องไปยืนข้างหน้า โจโยนผักบุ้งขึ้นฟ้า ลูกน้องแตกฮือ ผักบุ้งหล่นใส่หัวปฐมอีกจนได้ โจหน้าซีด ยกมือไหว้ท่วมหัว ขณะที่ลูกน้องฮากันกลิ้ง
“ผลการทดสอบ ไม่ได้เรื่องอะไรซักอย่าง” ปฐมรายงานผลให้วนิษาฟัง
“แย่อย่างงั้นเลยเหรอ”
“ผมไม่รู้จะให้นายดาวมันทำงานอะไรดี เพราะมันไม่มีอะไรดีซักอย่าง”
วนิษาถอนหายใจเฮือก
จากนั้นวนิษาก็เดินออกมาจากบ่อน โดยมีปฐมเดินตามมาส่ง
“สวัสดีครับตั่วเจ๊”
“สวัสดีจ้ะ”
วนิษาเดินมา แล้วก็เอะใจ ที่เห็นรถอยู่ในสภาพใหม่แวววับ
“คุณปฐม”
ปฐมเดินมาหา “ครับ”
“ให้ใครมาล้างรถให้ฉันรึเปล่า”
ปฐม ส่ายหน้า
“เปล่านี่ครับ รถตั่วเจ๊ถ้าไม่มีใครสั่งไม่มีใครกล้าแตะหรอกครับ ผมห้ามไว้เอง เหตุผลเพื่อความปลอดภัย แบบนี้มีพิรุธครับ อาจจะมีใครแอบมาวางระเบิดไว้”
ปฐมหยิบปืนออกมา ตรงไปที่รถ เห็นเงาคนวูบๆ ปฐมกระโดดอ้อมไปอีกด้าน กำลังจะยิงแต่ยั้งมือทัน
เมื่อเห็นโจกำลังคุกเข่าเช็ดยางล้อรถอยู่
“นายดาว นายล้างรถให้ฉันเหรอ”
“ครับ”
“ล้างดีนะเนี่ย” วนิษานึกอะไรขึ้นได้ “ขับรถเป็นมั้ย”
“ต้องลองครับ”
วนิษายื่นกุญแจให้ โจขึ้นไปนั่งบนรถ ปฐมยืนดูอยู่กับลูกน้อง พวกลูกน้องเห็นโจขึ้นรถก็พากันหลบวูบปฐมมองซ้ายมองขวา กลัวโดนลูกหลงจากโจอีก
“เดี๋ยวๆ เพื่อป้องกันแกขับขโมยรถ ฉันนั่งไปด้วยก็แล้วกัน”
ปฐมขึ้นมานั่งข้างๆโจ ท่าทางดูสบายใจขึ้น เพราะคิดว่ายังไงก็ไม่โดนลูกหลงแน่
“โอเค ไปได้”
โจเริ่มออกตัวช้าๆ ถอยจอดเข้าซอง จอดขนานฟุตบาท เลี้ยวหลบนู่นหลบนี่ ปฐมยิ้มพอใจ
“ใช้ได้นี่”
โจยิ้มให้ปฐม แล้วเริ่มเร่งความเร็ว เลี้ยววนในลานจอดรถ จนปฐมตัวเอียง
“เฮ้ยๆ”
โจเข้าโค้งแบบดริฟต์ แล้วขับมาที่ลานกว้าง โชว์ดริฟต์วงกลมจนยางไหม้ควันขโมง พวกลูกน้องปรบมือให้ บางคนตะโกนเชียร์ โจขับมาจอดปร๊าดหน้าวนิษาพอดี ปฐมรีบลงจากรถ
“ผม”
พูดได้แค่นั้น ปฐมก็วิ่งไปอ้วก พวกลูกน้องฮากลิ้งอีกครั้ง โจยิ้มแฉ่งเดินมาหาวนิษา
“ฉันรู้แล้วนายทำอะไรน่าจะรุ่ง”
สองคนมองหน้ากัน
“ด้วยความยินดีครับ”
โจแอบยิ้มเจ้าเล่ห์
โจกลับมาที่บ้าน รู้สึกแปลกๆมียันต์แปะเต็มไปหมด ทั้งประตู หน้าต่าง พลางเดินเข้าไปเงียบๆ เห็น ป๋องเอารูปขาวดำของโจใส่กรอบมาตั้ง มีถ้วยตะไลใส่อาหารกับขนมวางไว้หน้ารูป แล้วจุดธูปจุดเทียนไหว้
“พี่โจครับ ขอให้พี่ไปสู่สุคตินะครับ พี่เป็นผู้พระคุณของผม อยากกินอะไรก็บอกนะครับ จะใส่บาตรไปให้ อยากได้อะไรก็มาเข้าฝันผมนะครับ ผมไม่กลัวพี่หรอกครับ”
“ไม่กลัวจริงง่ะ”
ป๋องร้องเสียงหลง พลางถอยหลังกรูด
“ กลัว เอ๊ย ไม่กลัวครับ ไม่กลัวครับ”
“ไม่กลัวแล้วทำไมต้องหลับตา”
โจเดินเข้าไปหา ป๋องกระโดดขึ้นยืนบนพนักพิงโซฟา หลังชนกำแพง
“ไม่กลัวครับแต่รังเกียจ แล้วพี่เข้ามาได้ยังไงอ่ะ ยันต์วัดดังๆทั้งนั้นเลยนะครับ”
“ฉันคิดถึงแก”
ป๋องหน้าซีด
“ผมก็คิดถึงพี่ครับ แต่เราคิดถึงกันเฉยๆก็พอครับ ไม่ต้องเจอกันก็ได้ครับ”
ป๋องพูดไป ค่อยๆเขยิบหนี เขยิบๆจนมาถึงขวดน้ำใบหนึ่ง พลางหยิบขวดน้ำมากรอกใส่ปาก อมไว้พนมมือท่องคาถาแล้วบ้วนใส่หน้าโจ
“ออกไปนะ ออกไปเดี๋ยวนี้”
“อะไรวะเนี่ย” โจ ที่เปียกไปทั้งหน้าโวยวายเสียงดัง
“น้ำมนต์หลวงพ่อจุก ขลังที่สุดในประเทศไทยแล้ว ทนได้ก็ให้มันรู้ไป”
“ฉันมาเยี่ยมแก แกตอบแทนฉันด้วยน้ำมนต์เนี่ยนะ ไอ้ป๋อง ไอ้เนรคุณ”
ป๋องซดน้ำมนต์อีก กำลังจะพ่น โจรีบเข้ามาปิดปากป๋องดันมือ จนป๋องต้องกลืนเอื๊อกลงไป
“ซูเปอร์ผีเหรอวะเนี่ย”
“ฉันยังไม่ตายโว้ย”
ป๋องมองโจอย่างอึ้งๆ “จริงดิ”
“เออ”
ป๋องอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็วิ่งเข้ามากอดขาโจ
“พี่โจ พี่ยังไม่ตายจริงๆด้วย เป็นห่วงพี่ที่สุดเลยครับ จนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน ในที่สุดพี่ก็กลับมาแล้ว ขอบคุณสวรรค์”
โจรำคาญยันป๋องโครม
“เป็นห่วงมากเลยนะแก เอายันต์ปิดซะรอบบ้านเลย ถุย"
อ่านต่อตอนที่ 4