รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 2
โจขึ้นบันไดมาชั้นสอง ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดโล่ง กว้างขวาง มีโต๊ะตั้งอยู่หลายตัว แต่ละตัวคนมุงกันแน่น และลุ้นกันหน้าดำหน้าแดง มีชายฉกรรจ์ยืนคุมเชิงอยู่เป็นระยะ
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งหันมามองโจ โจยกมือทักทาย พลางยิ้มให้ แล้วเดินขึ้นบันไดไปชั้นสาม ซึ่งสภาพยังคงเป็นเหมือนชั้นสอง พลางเหลือบสายตามองไปที่บันไดที่จะขึ้นไปชั้นสี่ เห็นมีชายฉกรรจ์ยืนคุมเชิงอยู่ โจเลี่ยงไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง มุงๆไปกับเขา ขณะที่กวาดตามองไปรอบๆ แล้วก็เห็น วนิษาลงบันไดมา
“ใครมีปัญหา”
ชายฉกรรจ์ ที่ยืนคุมอยู่ ชี้ไปที่มุมหนึ่งของห้อง เห็นป๋าคนหนึ่งนั่งหน้าบูดอยู่ที่โซฟา วนิษาเดินไปหา
“คุณลูกค้ามีปัญหาอะไร”
“บ่อนลื้อโกง คืนเงินอั๊วมา”
“มีหลักฐานมั้ย”
“ป๊อกสิบตาติดกัน ไม่โกงแล้วเรียกอะไรวะ”
ป๋าโวยวายเสียงดัง แล้วก็โดนวนิษาตบหน้าฉาดใหญ่ ป๋าอึ้งตะลึง โจเอง ก็ตะลึงไปเหมือนกัน
“ป๊อกยี่สิบตาติดกันก็เคยมี ไม่โกงด้วย แต่บอดสามสิบตาติดกันก็เคยเหมือนกันนะ”
“เรื่องอื่นอั๊วไม่รู้ เอาเงินคืนมา”
วนิษา มองหน้าป๋ายิ้มๆ “ในตัวมีเหรียญมั้ย หยิบออกมา”
ป๋าล้วงเหรียญออกมา วนิษายื่นมือออกไปจับมือป๋าวางบนหลังมืออีกข้าง
“ทายมา ถ้าทายถูก คุณเอาเงินที่เล่นเสียคืนไป พร้อมมือของฉันสองข้าง แต่ถ้าทายผิด ฉันขอ
มือคุณข้างนึง แล้วจบ”
ป๋าได้ฟัง ก็ถึงกับอึ้ง ลูกน้องของวนิษา หยิบปังตอเล่มใหญ่กับเขียงไม้อันใหญ่ออกมาเตรียมพร้อม
“นี่เหรียญคุณเองนะ มือก็มือคุณ ไม่มีการโกงแน่ๆ ทายมา”
ป๋าอึกอัก “เอ่อ”
“ทายมา”
ป๋ามองมือตัวเอง สลับมองปังตอกับเขียง จะตอบก็ไม่กล้า ได้แต่ยืนตัวสั่นเทา
“อั๊ว”
“บอกให้ทายมา”
ป๋าตัดสินใจ “ไม่ทาย อั๊วเปลี่ยนใจแล้ว ไม่เอาเงินคืนแล้ว”
“เห็นฉันเป็นตัวอะไร เรียกฉันมาเคลียร์ พอฉันมาเคลียร์ก็บอกไม่มีอะไร หา”
“อั๊วขอโทษตั่วเจ๊ อั๊วผิดเอง ดวงอั๊วมันไม่ดีเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับบ่อนเลย อั๊วปากเสียเอง”
จบประโยคของป๋า วนิษาก็หันไปสั่งลูกน้องเสียงเข้ม
“จับแก้ผ้า แล้วเชิญออกไปจากบ่อน”
“จะบ้าเหรอ อั๊วจะกลับบ้านยังไง”
วนิษา ยักไหล่
“ถ้าไม่ลงโทษคุณ คนอื่นจะเห็นที่นี่เป็นยังไง นึกอยากจะโวยก็โวยส่งเดชเหรอ จะโทษก็โทษดวงตัวเองเถอะ ดวงคุณมันซวยเอง”
พูดพลางก็โบกมือให้ลูกน้องจับเสี่ยออกไปข้างล่าง คนที่มุงดูข้างๆ หันมาพูดกับโจ
“ตั่วเจ๊นี่ใจถึงจริงๆ กล้าเอามือตัวเองเดิมพันเลยนะเนี่ย”
“ไม่ใช่ใจถึงหรอก แต่ตาถึงมากกว่า ดูออกว่าเสี่ยคนเมื่อกี้มันขี้ขลาด ยังไงก็ไม่กล้าเล่นแน่”
วนิษากวาดตามองรอบๆ
“มีอะไรอีกมั้ย”
“ไม่มีแล้วครับ”
ลูกน้องมองวนิษาด้วยสายตาชื่นชม วนิษาเดินผ่านหน้า โจทำเฉยๆ วนิษาหยุดมอง โจยิ้มให้ วนิษายิ้มหวานตอบ เล่นเอาโจหน้าบาน
แท้จริงแล้ว ตอนที่โจสะกดรอยตามมานั้น วนิษานั่งอยู่ในรถ ปฐมและลูกน้องยืนรออยู่ ลูกน้องคนหนึ่งหยิบร่มออกมา วนิษากำลังจะลงจากรถ พลางปรายตาเห็นอะไรแว้บๆทางกระจกข้างรถ วนิษามองเห็นใบหน้าใครคนหนึ่งแอบมองอยู่ โผล่ออกมาครึ่งหน้า ที่เด่นมากคือวิกผมสีส้ม แล้วผลุบหายหน้าไป วนิษาไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ จากนั้นก็ลงจากรถ พวกลูกน้องโค้งให้ วนิษาแอบมองกลับไป ชายคนนั้นกลับมาอีกแล้ว กระโดดออกมาแว้บหนึ่งแล้วก็หายวับกลับเข้าที่กำบังอีกครั้ง จนวนิษาเดินไปขึ้นรถสีดำ
วนิษายิ้มหวานให้โจ โจกระแอมเบาๆ พลางเก๊กหน้าหล่อ และยิ้มแบบเขินๆ วนิษาหันไปหยิบถาดเครื่องดื่มแถวนั้น มาบังหน้าโจเหมือนตอนโจหลบหลังกำบัง ตอนแรกบังแค่ช่วงปาก
“เหมือน”
โจงง วนิษาเลื่อนถาดบังมาถึงช่วงตา
“เหมือนมาก”
วนิษาเลื่อนถาดจนปิดหน้าโจมิด เห็นแต่วิกผมสีส้ม
“ใช่เลย”
“ใครเหรอครับ” โจถามด้วยความแปลกใจ
“คนที่สะกดรอยตามฉันตั้งแต่ตอนกลางวันไงล่ะ”
โจหยุดยิ้มทันที ชี้ไปด้านหลังวนิษา แล้วตะโกนเสียงดัง
“ยิงมันเลย”
ลูกน้องวนิษาหันขวับ โจเตรียมจะเผ่น แต่วนิษาซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่หลงกล ยื่นขาออกไปขัดจนโจ
หกล้มป้าบ ลูกน้องหันกลับมา มองโจด้วยความโมโห
“มีลูกไม้อะไรอีกมั้ย”
วนิษามองหน้าโจแบบเยาะๆ โจรีบใช้ความคิด พยายามหาทางออก
“คิดนานไปแล้ว” พลางหันไปสั่งลูกน้อง “จับมัน”
โจถอนใจเฮือก ยกมือยอมแพ้ พร้อมๆ กับที่ลูกน้องของวนิษากรูเข้ามาล็อกตัวไว้
โจโดนจับนั่งมัดมือไพล่หลังกับเก้าอี้ในห้องเล็กๆ เพียงลำพัง พลางมองผ่านประตูกระจกที่เปิดอยู่เห็นวนิษากับปฐม ยืนคุยกับชายฉกรรจ์คนหนึ่ง
โจค่อยๆ ล้วงมีดที่ซ่อนไว้หลังเข็มขัดออกมา พยายามสอดมีดลงไป เพื่อตัดเชือกที่มัดมือ ขณะที่สายตาก็พยายามอ่านปากแต่ละคนที่กำลังคุยกัน
“ผมค้นตัวมันแล้ว ไม่เจอหลักฐานอะไรเลยครับ”
ลูกน้องรายงาน
“ฉันอยากรู้ว่ามันเป็นใคร มาจากไหน”
“มันเป็นคนของเสี่ยเพ้งแน่ๆ ผมว่าต้องจัดการขั้นเด็ดขาด” ปฐมพูด พลางทำหน้าเหี้ยม
“ทำยังไงคะ”
โจชักรู้สึกไม่ดีหน้าแหยๆ พยายามตั้งใจฟัง
“ตัดหัวมัน เอาไปคืนให้เสี่ยเพ้งบนเตียงนอนมัน คืนนี้เลย”
โจหน้าซีด วนิษาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะส่ายหน้าเบาๆ
“เรายังไม่รู้ว่าเป็นคนของเสี่ยเพ้งจริงรึเปล่า ฉันยังไม่อยากผลีผลามลุยกับใครโดยไม่จำเป็น”
ปฐมดูเหมือนจะยอมฟังวนิษา โจโล่งอก
“แต่เราจะปล่อยมันไปเฉยๆ ไม่ได้นะครับ”
“ฉันรู้ค่ะ แต่ขั้นแรกเราต้องรู้ก่อนว่าใครส่งเขามา”
“งั้นผมจัดการเอง”
ปฐมทำท่าจะเดินมาหาโจ แต่วนิษารีบกันไว้
“ฉันจะเข้าไปคุยกับเขาเอง”
“จะดีเหรอครับ”
วนิษา ยิ้มให้ปฐม
“ไม่เป็นไรคุณปฐม ลูกน้องของเฮียหลายคน ยังไม่ยอมรับฝีมือฉัน ฉันต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่า
ฉันก็โหดพอที่จะเป็นตั่วเจ๊ของพวกเขาได้ นี่เป็นโอกาสที่ดีของฉัน”
“ระวังตัวด้วยแล้วกันนะครับ”
วนิษาพยักหน้า ปฐมมองมาทางโจที่อยู่ในห้อง พลางพูดกับโจเสียงดังให้ลูกน้องทุกคนได้ยิน
“ตั่วเจ๊จะสอบปากคำแกเอง ถ้าฉลาด มีอะไรก็รีบพูดออกมาซะ ไม่งั้นแกจะเสียใจ”
ลูกน้องคนอื่นๆ พากันมองด้วยความสนใจ วนิษารับกล่องเครื่องมือกล่องหนึ่งมาจากปฐม แล้วเดินเข้ามาในห้อง
“นายเป็นใคร”
โจปิดปากเงียบ วนิษายิ้มเยือกเย็น
“อยากลองของใช่มั้ย”
“ของเจ๊เด็ดรึเปล่าล่ะ”
“ไหนดูซิ ในนี้มีอะไรเหมาะกับคนปากพล่อยอย่างนายบ้าง”
วนิษาหยิบของในกล่องออกมา เป็นขวดน้ำใสๆ โจยิ้ม
“น้ำกรดเหรอ ขอบอกว่ากากมากครับ จะราดหรือจะกรอกก็ได้ ผมไม่กลัวหรอก อยู่บ้านผมซดเวลาท้องอืดๆมันไล่ลมดี”
วนิษามองหน้าโจยิ้มๆ “ก็ดี ฉันว่าน้ำกรดมันแพงไปสำหรับคนอย่างนาย”
วนิษาหยิบของออกมาอีกชิ้น เป็นสตั๊นท์กัน โจหัวเราะ
“ปืนช็อตไฟฟ้าเหรอ ฮ่าๆ ไอ้นี่น่ะเวลาโดนยุงกัด ผมเอามาจี้ตัวเองประจำ แก้คันดีกว่ายาหม่อง”
“รู้มากนักใช่มั้ย แล้วไอ้นี่ล่ะ เป็นไง”
วนิษาหยิบเครื่องตรวจภายในขึ้นมา โจขมวดคิ้ว
“อะไรอ่ะ”
“ไม่รู้จักเหรอ”
โจส่ายหน้า
“เครื่องตรวจภายในสตรี เรียกง่ายๆว่าปากเป็ด หรือ speculum นี่ เวลาใช้ก็ใส่เข้าไป แล้วกดอย่างงี้”
วนิษากดปากเป็ดถ่างออก โจชักเริ่มกลัวนิดๆ
“ผมเป็นผู้ชายนะ”
“แต่ฉันว่าใช้กับผู้ชายได้นะ”
วนิษาเดินเข้ามาหา โจหน้าเหย พลางพยายามกระถดตัวหนี
“ผมขอเตือนด้วยความหวังดีนะครับ ถ้าคุณใช้ไอ้นั่นกับผมผิดช่องผิดทางแล้วล่ะก็ มวลสารศักด์สิทธิ์ในตัวผมมันอาจจะทะลักออกมา ทำให้บ่อนคุณเหม็นไปทั่ว ลูกค้าคุณจะอ้วกเละเทะกันทั้งบ่อน แล้วกลิ่นมันล้างออกยากมากด้วยนะ”
“ใครบอกว่าฉันจะใช้แบบนั้นล่ะ”
วนิษาสวนกลับมานิ่มๆ ทำเอาโจชะงัก ชักกลัวมากขึ้น
“แล้วคุณจะใช้แบบไหน”
“บอกแต่แรกแล้วว่าจะหาของที่เหมาะกับปากพล่อยๆของนาย”
โจหน้าถอดสี
“อย่านะ อย่าเอาไอ้นั่นมาใช้กับปากผมนะ มัน แหยะ”
วนิษายิ้มเยาะ “ดูสิ มีคราบเหลืองๆอยู่เลย ครั้งที่แล้วใช้เสร็จแล้วยังไม่ได้ล้างแน่เลย”
โจเม้มปากแน่น ส่งเสียงอู้อี้ พลางสั่นหน้าไปมา มือที่โดนมัดอยู่ พยายามตัดเชือกให้ขาด แต่ยังไม่สำเร็จ
อ่านต่อหน้า 2
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 2 (ต่อ)
วนิษายื่นมือมาจับปากโจให้อ้า ยื่นปากเป็ดมาจ่อชนริมฝีปากของโจ
“ยี้ เฮ้ย มันโดนปากผมแล้วนะ”
“ก็ไม่ยอมบอกนี่นา”
วนิษายัดปากเป็ดเข้ามาอีก โจตาเหลือก ร้องลั่น
“อย่าๆ ผมยอมแล้ว”
วนิษาจ้องหน้าโจ “นายเป็นใคร”
โจแอบเร่งมือ เชือกใกล้จะขาดแล้ว
“ผมเป็นใครไม่สำคัญ สำคัญที่ผมเป็นคนของใคร”
“อ้ะ งั้นใครส่งนายมา”
โจตัดเชือกขาดพอดี พลางแกล้งพูดเสียงกระซิบ
“ผมเป็นคนของเสี่ย เสี่ย พ..”
วนิษาเข้ามาใกล้อีก โจยิ้ม ตาเป็นประกาย วนิษาเอะใจแต่ไม่ทันแล้ว โจจับตัววนิษาเหวี่ยงไปทางกำแพง ปากเป็ดร่วงลงพื้น วนิษาหัวกระแทกกำแพง โจเอามือเอาแขนเสื้อถูปากไปมาอย่างขยะแขยง
“แหวะๆ”
จากนั้นก็รีบถอดวิกผมออก แล้วลากเก้าอี้มาขึ้นไปยืน ดันแผ่นฝ้าเพดานขึ้นไป ก่อนที่จะโผล่มาลงที่ห้องน้ำ แล้วเดินปะปนกับแขกคนอื่นๆ ออกไปหน้าตาเฉย
ขณะเดียวกันที่หน้าห้องสอบสวน ปฐมรู้สึกในห้องเงียบผิดสังเกต ก็รีบเปิดประตูเข้าไปดู เห็นร่างของวนิษาฟุบอยู่ ปฐมใจหายวาบ มองรอบๆ โชคดีไม่มีลูกน้องอยู่แถวนั้น แต่มีคนหนึ่งหันมาสบตากับปฐมพอดี
“ให้ช่วยอะไรมั้ยครับ”
“ไม่ต้อง ห้ามใครเข้ามาเด็ดขาด”
ลูกน้องพยักหน้า ปฐมเปิดประตูแคบๆ รีบแทรกตัวเข้าไปแล้วปิดประตู จากนั้นก็เดินเข้ามาช้อนศีรษะวนิษาขึ้นมา
“ตั่วเจ๊ๆ”
วนิษาลืมตาขึ้นอย่างมึนๆ พลางมองไปรอบๆ ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฉันพลาดจนได้”
“ช่างมันเถอะครับ มันทำอะไรตั่วเจ๊บ้าง”
“มันเหวี่ยงฉันมาที่กำแพงนี่ แล้วก็รีบปีนหนีออกไป”
“ยังดีที่มันไม่ได้ฆ่าตั่วเจ๊”
“ก็จริง ซึ่งก็แปลว่ามันไม่ใช่คนของเสี่ยเพ้ง เพราะถ้าเป็นคนของเสี่ยเพ้ง มันต้องฆ่าฉันแล้วแน่ๆ เพราะมันมีโอกาส”
ปฐมพยักหน้าเห็นด้วย วนิษาลุกขึ้น ขยับตัวจะเดินออกไป แต่ปฐมท้วงไว้
“เดี๋ยวก่อนครับตั่วเจ๊ ตั่วเจ๊จะออกไปแบบนี้ไม่ได้ เสียฟอร์มหมด”
“จริงสินะ ถ้าพวกลูกน้องรู้เรื่องคงหัวเราะเยาะฉันแน่ๆ เอาไงดีล่ะ”
ปฐมคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ดัดเสียง แหกปากร้องลั่น
“เมตตาผมเถอะตั่วเจ๊ อย่าทำผมเลย โอ๊ย”
จากนั้นก็ใช้เสียงจริงพูดต่อ
“ตั่วเจ๊ใจเย็นก่อน เดี๋ยวมันตายพอดี”
พวกลูกน้องที่อยู่ด้านนอก ได้ยินเสียงก็พากันมองหน้า
“เสียงมันร้องยังหมาโดนเชือด สยองว่ะ
“ตั่วเจ๊เราเห็นตัวเล็กๆ ยิ้มหวานๆ แต่โหดกว่าอาเฮียอีกมั้งเนี่ย”
“ตั่วเจ๊พอเถอะ ผมทนดูไม่ได้แล้ว”
“อ๊าก โอ๊ย”
ปฐมใช้สองเสียงสลับกันไปมา พลางทำท่าบอกใบ้ให้วนิษาเล่นด้วย
“นี่แน่ะ อยากลองดีนักใช่มั้ย กลับไปบอกนายแกนะว่าอย่ามาแหย็มกับฉัน ไม่งั้นต้องโดนแบบนี้ นี่แน่ะๆ”
“อ๊าก”
“จำไว้ นี่แน่ะๆ”
“พอเถอะครับ มันสลบไปแล้ว อาจจะตายไปแล้วก็ได้”
“ฮึ่ย ห้ามฉันอยู่ได้ เดี๋ยวปั๊ดโดนอีกคนหรอก”
วนิษาแกล้งทำเสียงหงุดหงิด พวกลูกน้องที่แอบฟังอยู่หน้าเหยเกไปตามๆ กัน ประตูห้องเปิดออก วนิษาเดินหัวยุ่งออกมา พวกลูกน้องพากันหลบตา ปฐมตามออกมา พลางรีบปิดประตูห้อง ไขกุญแจล็อก แล้วหันมาสั่งลูกน้อง
“พวกแกจับตาดูไว้ ห้ามใครเข้าไปยุ่งกับมัน ใครฝ่าฝืนถือว่าเป็นไส้ศึก ต้องโดนหนักกว่ามันอีก
เข้าใจมั้ย”
พวกลูกน้องรีบพยักหน้าไม่คิดชีวิต
“ครับๆ”
ปฐมแกล้งถอนใจ
“แต่ตั่วเจ๊ซัดซะไม่ยั้งแบบนี้ เดี๋ยวมันก็คงตายแล้วล่ะ เดี๋ยวรอช่วงปลอดคน ฉันจะหาทีมเก็บศพมาเคลียร์เอง พวกแกอย่างยุ่งก็แล้วกัน”
“ครับๆ”
วนิษากับปฐมเดินจากไป พวกลูกน้องมองตามด้วยความหวาดกลัว
โจเอาเป้ที่โยนไว้บนดาดฟ้ากลับมาสะพาย พลางใช้น้ำ ที่ซื้อมาเทล้างปาก บ้วนปาก ท่าทางยังขยะแขยงอยู่ จากนั้นก็มองกลับไปที่บ่อน
“ฝากไว้ก่อนเถอะยัยตั่วเจ๊ ครั้งหน้าฉันจะเอาที่ดูดส้วมไปปั๊มปากเธอ ฮึ่ม”
ปฐมเคาะประตูแล้วก้าวเข้ามาในห้อง เห็นวนิษานั่งดูวิกผมสีส้มของโจอยู่
“ตอนแรกฉันก็นึกว่ามันกัดสีผม ไม่นึกเลยว่าจะมีใครปลอมตัวแล้วใช้วิกสีส้มแปร๊ดแบบนี้ เฮ้อ มันร้ายกาจจริงๆ”
ปฐมมองวิกแล้วก็พูดขำๆ “หรือไม่มันก็เพี้ยนจนเราคิดไม่ถึง”
“ฉันเองก็อ่อนประสบการณ์ ไม่งั้นคงไม่พลาดเสียท่าเสียทีขนาดนี้”
“ตั่วเจ๊อย่าคิดมากเลยครับ อยู่ในวงการนี้ ต่อให้เก๋าเกมส์ขนาดไหนก็มีสิทธิพลาดกันได้ ที่สำคัญคือพลาดแล้วก็พลาดไป ไม่ต้องคิดมาก ขอเพียงยังไม่ตายก็มีโอกาสแก้มือ”
วนิษายิ้มรับ
“ฉันจะจำไว้ค่ะ ขอบคุณคุณปฐมมากนะคะที่ช่วยสั่งสอนฉัน”
“ตั่วเฮียมีพระคุณกับผมอย่างล้นเหลือ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว ที่ต้องดูแลตั่วเจ๊ และในสายตาผม ตั่วเจ๊เองก็ดูแลเรื่องราวของตั่วเฮียได้ดีมาก ผมนับถือตั่วเจ๊จากใจจริง”
วนิษาฝืนยิ้ม
“ฉันแค่ทำหน้าที่เมียที่ดีแค่นั้นเอง แม้อาเฮียจะไม่อยู่แล้ว แต่เขาก็เป็นสามีฉัน เป็นครอบครัวของฉัน”
วนิษามองที่รูปบนโต๊ะทำงาน มีรูปคู่ของเสี่ยสมชายกับปลายฝน กอดคอกัน ดูเป็นพ่อลูกที่รักและสนิทกันมาก
วนิษาย้อนนึกถึงภาพเหตุการณ์ ตอนที่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเข็นเตียงที่มีร่างเสี่ยสมชาย ในชุดเจ้าบ่าว และตัวเธอในชุดเจ้าสาววิ่งเคียงคู่กันมา พลางมองเสี่ยสมชายด้วยความเป็นห่วง
“เฮีย เฮีย เฮียอย่าเป็นอะไรนะ”
เสี่ยสมชายที่นอนแน่นิ่ง ลืมตาขึ้นมองวนิษา พลางพยายามจะพูดอะไรแต่ถูกเจ้าหน้าที่ครอบเครื่องช่วยหายใจไว้ เสี่ยสมชายพยายามจะยกออก แต่เจ้าหน้าที่กลับกดไว้ เสี่ยสมชายโมโห จะปัดออกแต่ก็ไม่มีแรง วนิษารีบขยับจะช่วยยกหน้ากากออกให้
“เอาออกไม่ได้นะครับ” เจ้าหน้าที่ท้วง
“แป๊บนึง เขามีเรื่องจะคุยกับฉัน”
เสี่ยสมชายยิ้มอย่างพอใจในความเด็ดเดี่ยวของวนิษา พลางยกนิ้วโป้งให้
“หว่าหวาเก่งจริงๆ หว่าหวาถ้าเฮียไม่รอด”
“เฮียอย่าพูดแบบนั้น”
“ถ้าเฮียไม่รอด ดูแลปลายฝนให้ด้วยนะ แม่เขาตายตั้งแต่ยังเด็ก รับปากเฮียสิ”
วนิษาพยักหน้า เสี่ยสมชายยิ้มแล้วฟุบลงไป มือห้อยตกลงข้างเตียง เจ้าหน้าที่รีบเข็นเตียงเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
วนิษา ยืนรออยู่หน้าห้องเงียบๆ จนปลายฝนเล่นเปียโนเสร็จ
“ดีมากจ้ะ เธอเรียนรู้ได้เร็วมาก ครั้งหน้าครูจะสอนเทคนิคอื่นๆเพิ่มเติมให้อีก”
“สวัสดีค่ะ”
ครูออกมาส่งปลายฝนหน้าห้อง วนิษายิ้มให้
“สวัสดีค่ะ”
“เมื่อกี้พี่ฟังอยู่ ไม่ได้อวยนะ ปลายฝนเล่นได้เพราะจับใจเลย”
ปลายฝนยิ้มให้วนิษา ก่อนที่จะเดินออกไปที่รถญี่ปุ่นคันเล็กๆ ของวนิษา
“หิวมั้ย ไปหาอะไรกินกัน”
“หิวค่ะ แต่แวะซื้อกลับไปกินบ้านก็ได้”
วนิษาหน้าเจื่อนไป “อีกแล้วเหรอ”
“ค่ะ หนูชอบซื้อกลับไปกินที่บ้าน กินที่โต๊ะกินข้าวคนเดียว ถ้าคุณหิวก็กินที่อื่นนะคะ อย่ามากินร่วมโต๊ะกับหนู”
พูดจบปลายฝน ก็เดินลิ่วๆ ไป โดยไม่สนใจวนิษา
วนิษาพาปลายฝนเข้ามาในคอนโด ปลายฝนถือถุงของกินเดินพรวดๆ เข้าไปที่ห้องของเธอ พลางปิดประตูกดล็อค วนิษามองตาม แล้วส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“เลี้ยงลูกนี่ยากกว่าคุมบ่อนอีกแฮะ”
โจเดินเข้ามาในออฟฟิศ ป๋องโล่งอกที่เห็นโจปลอดภัยกลับมา
“โอ๊ย โล่งอก นึกว่าจะไม่ได้เจอหน้าพี่ซะแล้ว”
“ขอบใจที่เป็นห่วง” โจพูดด้วยน้ำเสียงเจือประชด
“ผมน่ะห่วงพี่จนกินอะไรไม่ลงเลย คิดนู่นคิดนี่กลัวพี่เป็นอะไรไปจริงๆ ถ้าพี่เป็นอะไรไปล่ะก็”
โจหันไปมองบนโต๊ะ เห็นกล่องโฟม ขวดน้ำหวาน แล้วก็ถุงขนม ที่กินแล้วกระจายเกลื่อน
“อย่ามาตอแหลเลยวะ เหม็นขี้ฟัน ห่วงฉันจะไม่มาจ่ายเงินให้แกใช่มั้ย”
“ก็มีบ้าง แล้วนึกยังไงถึงบุกเข้าไปในนั้น”
“ก็ไม่รู้นี่หว่า ว่ามันเป็นบ่อน”
“มันไม่ใช่แค่บ่อน มันเป็นรังของเสี่ยสมชายเลยล่ะ”
“เสี่ยสมชายหรือเสี่ยป๊อก ผัวคนที่สองของยัยนั่นใช่มั้ย”
ป๋องพยักหน้า พร้อมกับรีบอธิบาย
“ใช่ครับ แก๊งไม่ใหญ่มากแต่คุมพื้นที่สำคัญๆ แย่งผลประโยชน์กันน่าดู แต่ละแก๊งแถวนั้น ใครไม่โหดก็อยู่ไม่ได้”
“ขอบใจสำหรับข้อมูล แต่บอกช้าไปหน่อยนะ”
ป๋องหัวเราะ “คุณวนิษา เข้าไปทำอะไรในนั้นน่ะครับ”
“เป็นตั่วเจ๊คุมบ่อน ยัยนี่เป็นผู้หญิงที่พิลึกอยู่เหมือนกัน กลางวันเป็นสาวชาววัง กลางคืนมาเป็นเจ้าแม่คุมแก๊งกักขฬะ”
ป๋องตาโต
“โห ใช้คำว่ากักขฬะเลยเหรอ แรงไปเรอะเปล่าลูกพี่”
“พวกที่แกบอกว่าโหดน่ะ สู้ยัยตั่วเจ๊นี้ไม่ได้เลย สุดโหดแถมอุบาทว์ซกมก ฉันรอดมาได้แบบฉิวเฉียดเลยแกเอ๊ย”
“เขาทำอะไรพี่โจ”
“เอ่อ อย่าไปพูดถึงมันเลย” โจทำท่าขยะแขยง “เอาเป็นว่ายัยนี่น่ะทั้งโหดทั้งเลือดเย็น สรุปคือเป็นฆาตกรได้แน่ๆ “
โจเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วยิงคำถามต่อ
“แล้วตอนนี้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเสี่ยป๊อกก็เป็นของวนิษาหมดเลยเหรอ”
“ถูกต้อง”
“รวมทั้งกิจการบ่อนด้วย”
“แปลว่าคุณวนิษานี่ทะเยอทะยานไม่เบา แทนที่จะเอาแต่เงินกลับมานั่งคุมแก๊งด้วย”
โจยิ้มเยาะๆ
“ไม่ใช่แค่นี้นะ ทรัพย์สมบัติและกิจการของคุณชายแจ้สามีคนแรกก็เป็นของวนิษาเหมือนกัน”
“แถมผัวทั้งสองคน แต่งปุ๊บตายปั๊บ ยกมรดกให้ป้าบๆเหมือนกันเลย”
ป๋องพูดแบบติดตลก โจอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสรุป
“แบบนี้ไม่ว่าใครก็ต้องสงสัยแหละว่าเจ๊เขาเป็นฆาตกร ปัญหาคือทั้งๆที่มีคนสงสัยกันขนาดนี้
แต่กลับไม่มีใครจับพิรุธเธอได้เลย แม้กระทั่งทางตำรวจก็ยังสรุปสาเหตุการตายของทั้งคุณชายแจ้กับเสี่ยป๊อกอย่างคลุมเครือ”
“เขาเม้าท์กันว่าคุณวนิษาแกเกิดในฤกษ์อัปรีย์ เป็นผู้หญิงกินผัว”
โจส่ายหน้า
“ป๋อง แกก็รู้ว่าฉันเกลียดเรื่องงมงายแบบนี้มาก อย่าพูดเรื่องแบบนี้ให้ได้ยินอีกนะเรื่องฤกษ์ยามตกฟากอะไรน่ะ เป็นเรื่องไร้สาระทั้งเพ ไอ้เรื่องดวงกินผัวเนี่ย เผลอๆยัยวนิษาอาจจะป็นคนปล่อยข่าวเรื่องนี้เองก็ได้ เพื่อทำให้คนไขว้เขว”
“ไขว้เขวจากอะไรครับ” ป๋องย้อนถาม
“ฆาตกรรม” พูดพลางมองรูปวนิษาที่แปะอยู่บนบอร์ด “เธอเป็นฆาตกรใช่ไหม อย่าเอาเรื่องดวงมาบังหน้า เรื่องดวงไม่มีจริงหรอก”
โจนอนหลับอยู่บนโซฟา ละเมอเบาๆ
“ไม่จริง ไม่ ผมไม่ใช่ตัวซวย ไม่ใช่”
ภาพเหตุการณ์ในอดีต พ่อของโจ ที่แต่งตัวแบบป๋ามาก เสื้อเชิร์ตแบรนด์เนม หนีบกระเป๋าหนัง สร้อยคอทองคำพระเลี่ยมทองเส้นเท่าโซ่ นาฬิกาข้อมือแบรนด์เนมทองเรือนใหญ่ แหวนเพชรเม็ดใหญ่ เปิดประตูเข้ามาในห้องพักคนป่วยในโรงพยาบาลเอกชน เห็นแม่ของโจนอนอยู่ มีโจ ที่ยังเป็นทารกนอนอยู่ข้างๆ
“ลูกพ่อ หน้าตาน่ารักมาก น่ารักอะไรอย่างนี้”
“เบาๆนะคุณ ลูกหลับอยู่ ทำไมมาช้าล่ะ ไม่ทันเห็นลูกคลอดเลย”
“ขอโทษจ้ะเมียจ๋า ไม้ที่แอบเอาออกมาจากป่าโดนยึดน่ะ ก็เลยต้องรีบไปเคลียร์ งานนี้เรากำไรเกือบสิบล้านแน่ะ”
แม่ของโจเบะปาก “เชอะ”
“นี่ พ่อซื้อสร้อยมาทำขวัญลูกด้วยนะ”
พ่อของโจเปิดกระเป๋าหนัง หยิบสร้อยทองเส้นเบ้อเริ่ม มีจี้ตัวหนังสือด้วย เขียนว่า “JO” ขึ้นมา
“นี่ไง สวยมั้ย พ่อตั้งชื่อเล่นลูกว่า โจ มาจากโจโฉ เพราะลูกต้องยิ่งใหญ่เหมือนโจโฉ”
“แล้วก็นำโชคลาภมาให้เราสองคนด้วย” แม่ของโจพูดต่อ
“งั้นชื่อจริงตั้งว่า นำโชค นำโชคมาให้พ่อเยอะๆเลยนะลูก”
จบประโยค เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พร้อมๆ กับ ตร.สองนายเดินเข้ามา
“คุณประดิษฐ์ใช่มั้ยครับ”
พ่อโจมองตำรวจ พลางพยักหน้า
“คุณถูกจับข้อหาค้าไม้เถื่อน บุกรุกป่าสงวน ติดสินบนเจ้าหน้าที่ ข่มขู่เจ้าพนักงาน มีอาวุธร้ายแรง ว่าจ้างแรงงานผิดกฎหมาย ปลอมแปลงเอกสารราชการ และ หนีภาษี”
พ่อโจอึ้ง ดช.โจลืมตาขึ้น พลางร้องเสียงดัง
อ่านต่อหน้า 3
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 2 (ต่อ)
พ่อโจพา ดช.โจ ซึ่งตอนนี้โต 3-4 ขวบแล้ว มาหาพี่ชาย ที่บ้าน
“คดีถึงที่สุดแล้ว ผมคงต้องติดคุกแล้วล่ะครับ เงินทองที่เคยมีตอนนี้ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่สงสารผม ก็สงสารไอ้โจมัน มันเป็นหลานแท้ๆของพี่ ช่วยเลี้ยงมันด้วยเถอะครับ”
ลุงโจยิ้มให้
“ได้สิ เลี้ยงหลานคนเดียวทำไมจะเลี้ยงไม่ได้ พี่จะเลี้ยงมันให้ดี รอวันที่แกพ้นโทษออกมา”
พ่อโจไหว้พี่ชาย
“โจ ไหว้ลุงสิลูก อีกหน่อยแกต้องมาอยู่กับลุงแล้วนะ”
โจยกมือไหว้ ลุงโจยิ้ม ลูบศีรษะโจด้วยความเอ็นดู
แม่โจพา ดช.โจ ที่เนื้อตัวมอมแมม เสื้อผ้าดำปี๋เพราะเขม่าไฟ มาหาน้องสาวที่บ้าน
“เมื่อคืนบ้านลุงโจมันไฟไหม้ หมดตัวในคืนเดียว พี่ก็เลยบากหน้ามาหาเธอนี่แหละ ช่วยเลี้ยงหลานหน่อยเถอะนะ เพราะลำพังพี่ก็แทบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว”
“เป็นอะไรไปล่ะพี่ ลูกพี่ก็เหมือนลูกฉันนั่นแหละ มา ฉันเลี้ยงมันเอง หน้าตาก็หล่อดีนะเนี่ย”
ดช.โจยิ้มให้น้าสาว
แม่โจพา ดช.โจมาหาญาติอีกคนหนึ่ง ที่ทาวน์เฮ้าส์หลังเล็กๆ
“พี่แก้ว อีกไม่กี่วันฉันจะหนีคดีไปเมืองนอกแล้ว พี่ช่วยเลี้ยงไอ้โจหน่อยเถอะนะ นึกว่าเลี้ยงลูกนกลูกกาไว้เอาบุญ”
ญาติของแม่ส่ายหน้า
“อย่าว่าอย่างงู้นอย่างงี้เลยนะ ถ้าโจมันเป็นเด็กธรรมดาฉันเลี้ยงให้อยู่แล้ว แต่นี่ ลูกเธอเนี่ย เหมือนเด็กคนอื่นซะที่ไหน ใครๆเขาก็เรียกกันว่าไอ้โจตัวซวย พี่ไม่กล้าเลี้ยงหรอก”
“ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก มันแค่บังเอิญ” แม่พยายามแก้ต่าง
“ไม่บังเอิญหรอก ขนาดพ่อมันเอง จากพ่อเลี้ยงร้อยล้านก็หมดตัวแถมติดคุกอีก ลุงมันรับไอ้โจไปก็ไฟไหม้บ้าน น้ามันรับไปก็เสียพนันจนหนี้ท่วมหัว อามันอีกคนหนีทหารมาได้ 19 ปีแล้ว รับไอ้โจไปเลี้ยงปุ๊บก็โดนจับเลย ปู่มันรับไอ้โจปุ๊บ โดนศาลสั่งล้มละลาย อย่างนี้ไม่เรียกตัวซวยก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว ออกไปได้แล้ว ไอ้โจ อย่าอยู่นาน”
พูดพลางเอาไม้กวาดดันโจจนออกจากบ้านไป
แม่โจจูงโจเดินตุรัดตุเหร่ผ่านมาหน้าวัด ก่อนที่จะนั่งลงข้างทาง อย่างหมดแรง หลวงพ่อสีสุกกำลังกวาดใบไม้ในลานอยู่แถวนั้น มองมา แต่สองแม่ลูกมองไม่เห็น
“โจเอ๊ย ถ้าแม่อยู่แม่ก็ต้องติดคุก ถ้าแม่หนี แม่ก็พาโจไปด้วยไม่ได้ แม่จะทำยังไงดี”
“แม่ครับ ผมเป็นตัวซวยจริงรึเปล่าครับ”
แม่โจส่ายหน้าเบาๆ “แม่ก็ไม่รู้”
หลวงพ่อสีสุกเดินมาหา “ร้องไห้ทำไมเหรอโยม”
“หลวงพ่อเป็นเทวดาของฉันจริงๆ ขอบคุณหลวงพ่อมากค่ะที่รับโจไปเลี้ยง เป็นบุญของมันจริงๆ”
แม่โจกราบหลวงพ่อสีสุกด้วยความตื้นตันใจ
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร กุฎิฉันยังมีที่เหลือ ของใส่บาตรก็มีเหลือทุกวัน เลี้ยงลูกเธอไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก”
แม่หันมาทางโจ
“โจ อยู่กับหลวงพ่อต้องทำตัวดีๆนะ สัญญากับแม่นะ พอคดีหมดอายุความแล้วแม่จะกลับมา
หาลูกนะ”
โจพยักหน้า แม่กอดโจแน่น
ดช.โจ ในวัย 10 ขวบ ทำหน้าที่เป็นเด็กวัด ถือถังพลาสติกเดินตามหลวงพ่อสีสุกเดินบิณฑบาต
“หลวงพ่อครับ”
“ว่าไง”
“หลวงพ่อรับเลี้ยงผม ไม่กลัวเหรอครับ ผมเป็นตัวซวยนะครับ ใครที่เลี้ยงผมน่ะไม่เคยมีใครรอดซักคน เรือหายวายป่วงกันหมด”
“ตัวซวยเหรอ ฉันไม่รู้จักหรอก ศาสนาพุทธไม่มีคำนี้”
หลวงพ่อสีสุกพูดด้วยน้ำเสียงใจดี
“แล้วทำไมผมไปอยู่กับใครเขาก็พากันซวยทั้งนั้นล่ะครับ เขาเรียกผมว่าไอ้โจตัวซวย”
“ศาสนาพุทธสอนให้ใช้สติ พิจารณา เหตุเกิดแต่ปัจจัย สิ่งที่เธอเห็นว่าเรือหายวายป่วงน่ะ มันมีที่มาที่ไป”
“แล้วทำยังไงเราถึงจะพิจารณาจนรู้ที่มาที่ไปได้ล่ะครับ”
“คำว่าพิจารณา นั่นหมายถึงให้เป็นคนใช้เหตุใช้ผล มีสติรู้ตัว และต้องเป็นคนช่างสังเกต อย่างเช่น”
หลวงพ่อสัสุกหยุดพูด พลางหันมาหาโจ
“หลับตาซิ”
โจหลับตา
“วันนี้เธอใส่เสื้อสีอะไร”
“เอ่อ สีขาวครับ”
หลวงพ่อถามต่อ “มีเลขบนเสื้อ เป็นเลขอะไร”
“ไม่รู้ครับ”
“เอ้า ลืมตา ดูซะ”
โจลืมตา พลางก้มมองตัวเอง ที่สวมเสื้อบอลเก่าๆสีเขียว มีหมายเลขอยู่ตัวเบ้อเริ่ม
“อย่างนี้น่ะใช้ไม่ได้ ไม่ช่างสังเกต ไม่มีสติ นี่แค่เรื่องง่ายๆนะ จะพิจารณาเหตุของความเรือหาย
วายป่วงที่เธอว่า มันต้องมีสติมากกว่า หัดพิจารณาให้ละเอียดกว่านี้”
หลวงพ่อสั่งสอน พลางเดินต่อไป โจยืนอึ้ง แล้วจะเดินตามแต่ก็หยุดชะงัก ก้มมองตัวเอง ดูเสื้อ ดูกางเกง ดูรองเท้า ดูของที่หิ้ว แล้วค่อยเดินตามหลวงพ่อไป
โจนั่งดูแฟ้มข้อมูลของวนิษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนเจอพิรุธบางอย่าง ขณะที่ป๋องนั่งเล่นมือถืออยู่
“พี่นั่งดูอยู่ตั้งนานสองนานสามนานสี่นาน ดูอะไรเหรอ”
“ดูทุกอย่าง ถ้าแกดูอย่างพิจารณา ดูอย่างมีสติ แกต้องเห็นอะไรบางอย่างไม่มากก็น้อย ซึ่งอาจจะช่วยไขความลับของคดีนี้ก็ได้”
ป๋องหยิบรูปวนิษาในชุดเจ้าสาวกับ มรว. จันทร์กระจ่างในชุดเจ้าบ่าว ไปดูอย่างตั้งใจ
“เห็นแล้ว โห พี่พูดถูกเลย”
โจตื่นเต้น
“เยี่ยมมาก แกเห็นอะไรวะ”
“พี่ดูรูปนี่สิ เห็นขอบกลมๆด้วย แปลว่าคุณวนิษาเขาใช้ฟองน้ำเสริมอก ของจริงคงไม่อึ๋มเท่าไหร่
โอ๊ย”
ป๋องร้องเสีบงหลง เมื่อโดนโจผลักจนกระเด็น
“ทุเรศน่ะ จริงจังหน่อยสิวะ จะเป็นหรือเปล่า นักสืบอ่ะ”
ป๋องบ่นพึมพำ พลางลุกขึ้นมาช่วยโจ ท่าทางจริงจังมากขึ้น
“เอ่อ ผมเห็นแปลกๆอย่างนึงครับ”
“เห็นอะไรวะ”
“ชุดเจ้าสาวชายกระโปรงมันยาวมาก”
“แล้วแปลกตรงไหน” โจย้อนถาม
“ทำไมตอนเดินเขาไม่เหยียบชายกระโปรงตัวเอง มันแปลกอยู่นะครับ”
“ชุดเจ้าสาวมันก็ยาวแบบทั้งนั้นแหละ ผู้หญิงเขามีวิธีเดินของเขา เอ้า นี่ไง”
โจรื้อๆดู รูปวนิษาในชุดเจ้าสาว มีเพียงรูปเดียวที่เห็นรองเท้าวนิษาเป็นรองเท้าส้นตึกสีเขียวๆทั้งสูงทั้งหนาไม่เข้ากับชุดเจ้าสาว ป๋องรับไปดู แล้วส่ายหัว
“ไม่เห็นเข้ากับชุดเลย”
ฟ้าข้างนอกเริ่มมืดแล้ว แต่โจยังคงจมอยู่กับกองรูปวนิษา ป๋องเดินเข้ามา พร้อมถือข้าวกล่องเข้ามาด้วย
“พี่โจ กินข้าวก่อนเหอะ”
โจเงียบ ไม่ตอบ นั่งเหม่อดูรูปใบหนึ่งนิ่ง จนป๋องต้องเรียกซ้ำ
“พี่โจ”
โจยังคงเหม่อ ป๋องเดินเข้ามาดู เห็นโจกำลังดูรูปหญิงสาวคนหนึ่งในงานแต่งงานของวนิษากับ มรว. จันทร์กระจ่าง ป๋องยิ้ม พลางเข้าไปพูดใกล้ๆหูโจ
“ฮั่นแน่ ปิ๊งเหรอ”
โจสะดุ้ง “หา อ๋อ เปล่า”
“แหม จ้องซะขนาดนั้น ปิ๊งก็บอกมาเหอะน่า ผมรู้ชื่อเขานะ”
“เขาชื่ออะไร” โจรีบถามทันที
“ระริน”
โจอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ระริน แน่ใจเหรอว่าชื่อระริน”
“ครับ ระริน”
“ทำไมแกรู้จักชื่อเขา”
“ก็คนนี้เขาประกาศตัวเป็นศัตรูกับวนิษา”
“ทำไม” โจเริ่มสนใจ
“เขาเป็นแฟนเก่าคุณชายแจ้ เขาหาว่าวนิษาแย่งคุณชายแจ้ไป ตกลงจะจีบมั้ยเนี่ย จะได้ไปเช็คให้”
โจหันมาทำหน้าดุ
“อย่าทะลึ่ง หน้าคุ้นๆเหมือนคนที่ฉันเคยรู้จัก แต่คงเป็นคนละคนมั้ง”
รถหรูคันหนึ่งจอดหน้าวังวาสุวงศ์ บอดี้การ์ดตัวโต หน้านิ่งชื่อสุดใจ สวมชุดซาฟารี แว่นกันแดด ลงมามองซ้ายขวา พลางเปิดประตูให้ ระรินลงมาจากรถ แล้วทำหน้าเซ็งทันที
“เมืองไทยนี่มันร้อนจังเลย เมื่อวานเดินช้อปปิ้ง หิมะตกหนาเป็นฟุต หนาวๆร้อนๆ อย่างงี้ จะเป็นหวัดรึเปล่าก็ไม่รู้”
“เท่าที่เห็น ยังไม่เป็นครับ”
ระรินชะงัก หันมาทำตาดุใส่สุดใจ
“ใครถามยะ ฉันแค่บ่นของฉัน พ่อส่งใครมาเป็นบอดี้การ์ดให้ฉันเนี่ย”
“ผมชื่อสุดใจครับ”
ระรินเริ่มหงุดหงิด
“บอกว่าไม่ได้ถาม ถือถุงของฝากมาด้วย”
สุดใจเดินไปท้ายรถ หยิบถุงกระดาษใบใหญ่ 3 ใบ มีตัวหนังสือเกาหลีอยู่บนถุงชัดเจน เดินตามระรินเข้าไปด้านใน
ระรินนั่งรออยู่ในห้องรับแขก มีคนรับใช้มาเสิร์ฟน้ำแล้วออกไป สักครู่หม่อมจันจิราก็เดินเข้ามา
“สวัสดีค่ะหม่อมแม่”
“สวัสดีจ้ะหนูระริน หายหน้าไปนานเลยนะ”
ระรินยิ้มหวาน
“ระรินก็ไปเที่ยวมั่ง เทคคอร์สอะไรมั่งน่ะค่ะ ไม่ได้อยู่เมืองไทยเลยค่ะ นี่ก็เพิ่งกลับมาจากเกาหลี
เมื่อวานซืนนี้เอง”
หม่อมจันจิราชะงัก พลางมองหน้าระริน
“ไปทำอะไรมารึเปล่า หน้าเธอดูแปลกๆไปนะ”
“ไปทำศัลยกรรมมาน่ะค่ะ” ระรินตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
“ทำไมล่ะ หน้าเธอก็สะสวยอยู่แล้วนี่นา”
“แต่มีซินแสบอกว่าโหงวเฮ้งไม่ดีค่ะ”
หม่อมจันจิราหัวเราะเบาๆ “เธอน่ะทั้งฐานะดี ความรู้ดี หน้าตาดี ยังต้องแก้โหงวเฮ้งอะไรอีกหรือ”
“ดีหมดเลยค่ะ ยกเว้นเรื่องความรัก”
“ความรักที่ไม่สมหวังน่ะเป็นเรื่องปกตินะ ถ้าใครที่ผิดหวังแล้วต้องไปแก้โหงวเฮ้งกันล่ะก็ หมอศัลยกรรมมีกี่หมื่นกี่แสนคนก็คงไม่พอหรอก”
ระรินยักไหล่ หน้าเชิด
“แหม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีเงิน มีเวลาไปทำอย่างระรินนี่คะ จริงไหมคะ”
“ขอให้ได้ผลแล้วกันนะ อุตส่าห์ไปทำมาแล้ว”
“ได้สิคะ ก่อนหน้านี้ระรินก็เคยไปทำมาแล้วสองครั้งค่ะ ดีขึ้นทุกครั้งเลย”
“แปลว่าตั้งแต่ที่ฉันรู้จักเธอมา มันไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงสินะ”หม่อมจันจิราประชด
“แหม ใบหน้าไม่จริงแต่ความรัก ความเคารพ และความปรารถนาดีที่ระรินมีให้หม่อมแม่น่ะ
ของจริงนะคะ”
“ขอบใจจ้ะ แต่ เอ เธอบอกทำศัลยกรรมมาตั้งสองครั้งแล้ว ถ้ามันดีขึ้นจริง ทำไมต้องไปทำเพิ่มอีกล่ะ”
ระริน เบ้ปาก
“ก็ดันโชคร้ายเจอคนอัปมงคลระดับห้าดาวน่ะสิคะ โหงวเฮ้งเราสู้ไม่ได้ เลยต้องไปทำเพิ่ม อัพเลเวล เผื่อครั้งหน้าเจออีก คราวนี้เราจะได้ชนะมัน”
“ฉันคงไม่ต้องถามล่ะมั้ง ว่าคนอัปมงคลที่เธอว่าน่ะหมายถึงใคร”
“จะมีใครล่ะคะ ก็วนิษาลูกสะใภ้วันเดียวของหม่อมแม่ไงคะ”
“จนถึงวันนี้ วนิษาก็ยังเป็นลูกสะใภ้ฉันอยู่นะ”
“หนูถึงเป็นห่วงหม่อมแม่อยู่นี่ไงคะ หม่อมแม่อยู่ใกล้ยัยนี่ เหมือนอยู่ใกล้งูพิษ มันจะแว้งกัดเอาเมื่อไหร่ก็ได้นะคะ”
หม่อมจันจิราแอบทำหน้าเบื่อหน่าย ระรินไม่รู้เรื่อง ยังพูดต่อ
“หม่อมแม่คงรู้ใช่ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ่าวคนที่สอง ขนาดมาเฟียยังไม่รอดเลย ระรินพูดยังไงหม่อมแม่ก็ไม่เชื่อระริน ระรินรู้ค่ะ คงต้องรอให้มีศพที่สามมาเป็นเครื่องพิสูจน์”
“เอาเถอะ สมมติว่าฉันเชื่อ แล้วเธอจะให้ฉันทำอะไรเหรอ”
ระรินจิกตาร้าย
“ยึดทุกอย่างที่ยัยนี่ได้ไป คืนมาค่ะ เงินทอง เกียรติยศ และหน้าตา”
“เข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าฉันรับปากเธอแล้วกัน วันไหนที่ฉันเชื่อว่าวนิษาเป็นตัวกาลกิณี ฉันจะทำตามที่เธอต้องการแล้วกัน ดีไหม”
“ดีสิคะ”
หม่อมจันจิรายิ้ม แล้วพูดนิ่มๆ “เพียงแต่ว่าวันนี้ ฉันยังไม่เชื่อ”
“เอ่อ” ระรินถึงกับพูดไม่ออก
“วันนี้ฉันเพลียๆ ขอตัวก่อนนะ”
“เอ่อ ระรินมีของฝากมาให้คุณแม่ด้วยค่ะ มีทั้งโสม มีทั้งเครื่องสำอาง”
สุดใจรีบยกถุงมาให้ แต่หม่อมจันเพียงแค่ปรายตามอง
“ขอบใจมากนะ”
หม่อมจันจิราลุกเดินออกไป ระรินมองตาม ด้วยความหงุดหงิด
อ่านต่อหน้า 4
รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 2 (ต่อ)
ระรินกับสุดใจเดินออกมา ระรินดูอารมณ์ไม่ดี มรว. จันทร์ธิดายืนรออยู่
“สวัสดีค่ะน้องระริน”
“สวัสดีค่ะพี่หญิงจุ๋ม”
“พอดีเมื่อกี้ได้ยินน้องระรินคุยกับคุณแม่เรื่องยัยวนิษา คุณแม่ท่าทางจะยังไม่เปลี่ยนความคิดง่ายๆหรอกค่ะ”
ระริน ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“หม่อมแม่ท่านหัวแข็งมากค่ะ ไม่เหมือนพี่หญิง เอ้อ ระรินไม่ได้หมายความว่าพี่หญิงจุ๋มหัวอ่อนนะคะ แต่พี่หญิงจุ๋มน่ะเป็นคนใจกว้าง เปิดใจยอมรับฟังความคิดคนอื่น”
“พูดถึงเรื่องนี้ พี่ก็ต้องขอบใจระริน ถ้าไม่มีระรินเป็นคนเตือนสติพี่เรื่องยัยวนิษา ป่านนี้ พี่อาจจะยังมองแม่นั่นในทางที่ดีก็ได้”
ระรินยิ้มประจบ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่หญิงจุ๋มเป็นพี่สาวคุณคุณชายแจ้ก็เป็นเหมือนพี่สาวแท้ๆของระรินด้วยค่ะ”
“เฮ้อ ทำไมนะคุณชายแจ้ถึงได้ตาต่ำ มองข้ามเธอ ไปชอบกับยัยวนิษาซะ”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณชายหรอกค่ะ ยัยนั่นคงต้องใช้เล่ห์กลอะไรสักอย่าง”
ระรินพยายามฝืนยิ้ม
“ไม่ต้องห่วงหรอกระริน สวรรค์มีตา ซักวันคนเลวอย่างมันต้องถูกลงโทษแน่ๆ พี่มีอะไรจะบอก
ตอนนี้พี่จ้างนักสืบคนหนี่ง ให้เขาสืบหาหลักฐานหรือวิธีการที่วนิษาฆ่าคุณชายแจ้”
ระริน ตาโต “จ้างนักสืบเลยเหรอคะ เขาเก่งไหมคะ”
“ดูทำงานทุ่มเทจริงจังดี ชื่อโจ”
“ชื่อโจเหรอคะ”
“จ้ะ ชื่อโจแอ็พพันหน้า ระรินรู้จักเหรอ”
ระริน ส่ายหน้า
“โจแอ็พพันหน้า? ถ้าอย่างนั้นไม่รู้จักหรอกค่ะ แล้วเป็นไงบ้างคะ”
ระรินไม่รู้ว่าโจแอ็พพันหน้า เป็นฉายาใหม่ของโจ ตัวซวย ซึ่งเป็นแฟนเก่าของเธอเอง
“เขาเพิ่งเริ่มสืบ คงต้องให้เวลาเขาอีกสักพัก อยากไปเจอไหมล่ะ”
“โจน่ะเหรอคะ”
“เปล่า ยัยวนิษา วันนี้พี่บังเอิญรู้มาว่าเขาจะไปออกงาน”
ระรินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยิ้มออกมา
“งานอะไรเหรอคะ”
ที่ห้องโถงของอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ มีการตั้งเวทีเล็กๆ มีป้ายเขียนว่า “บริจาคโลหิตช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์” พิธีกรทำหน้าที่อยู่บนเวที
“วันนี้เป็นวันครบรอบการก่อตั้งบริษัทของเรานะคะ ท่านประธานของเราจึงจัดให้มีกิจกรรมที่
สร้างประโยชน์และสร้างกุศลนั่นคือการบริจาคโลหิตนะคะ พนักงานท่านใดสมใจร่วมกันทำบุญ ก็ขอเชิญเลยนะคะ และขณะนี้ กุ๊กไก่ก็ขอแนะนำเซเล็บคนสวยของเราที่จะมาร่วมบริจาคโลหิตกับเราด้วย ขอเชิญพบกับคุณวนิษา สุขจิตใจ ค่ะ”
พิธีกรเดินลงจากเวที มาที่ด้านข้าง ที่มีเตียงบริจาคโลหิตตั้งรออยู่ วนิษานั่งอยู่บนเตียง พยาบาลเอาสายยางรัดต้นแขน กำลังจะเตรียมเจาะ รอพิธีกรอยู่
“สวัสดีค่ะคุณวนิษา” พิธีกรทักทายอย่างเป็นกันเอง
“สวัสดีค่ะกุ๊กไก่”
“ก่อนอื่นต้องขอบคุณคุณวนิษามากที่ให้เกียรติมาในวันนี้ กุ๊กไก่ทราบว่าคุณวนิษานั้นมีภารกิจยุ่งมาก แต่ก็ยังสละเวลามา ตื่นเต้นรึเปล่าคะ”
“ไม่หรอกค่ะ เคยบริจาคเลือดมาหลายครั้งแล้ว เมื่อคืนก็เตรียมตัวตามปกติ นอนครบแปดชั่วโมง
ทานข้าวเช้า ดื่มน้ำเยอะๆ แค่นี้เองค่ะ”
“กลัวไหมคะ”
วนิษาตอบยิ้มๆ
“แรกๆก็กลัวบ้างนะคะ แต่สักพักก็ชินค่ะ เดี๋ยวนี้คุณพยาบาลก็มือเบากันทุกคนไม่เจ็บเลยค่ะ”
“เอาล่ะ สาวๆคนไหนที่ยังกลัวๆอยู่ ไม่ต้องกลัวเลยนะคะ คุณวนิษาการันตีขนาดนี้แล้ว”
หนุ่มสาวชาวออฟฟิศพากันมามุงดู พยาบาลแทงเข็ม วนิษายังโปรยยิ้มแจก คนดูปรบมือกันเกรียว
“ขอเชิญทุกท่านนะคะร่วมทำบุญด้วยกันนะคะ ยังไงซะเลือดในตัวเราก็จะมีการสร้างใหม่อยู่แล้ว
เสียสละเล็กน้อยแต่ผลที่ได้คือการช่วยชีวิตผู้อื่นด้วยนะคะ”
จู่ๆระรินก็เดินมา คว้าไมโครโฟนไปจากมือของพิธีกร
“เอ แต่ฉันมีข้อสงสัยค่ะ”
วนิษาหันมาเห็นระริน ก็อึ้งไป ระรินพูดต่อ
“ถ้าคนบริจาคเลือดมีเชื้อโรคอยู่ คนที่รับเลือดไปจะติดเชื้อโรคไหมคะ”
“ก็มีโอกาสค่ะ แต่ในขั้นแรกเราจะมีแบบสอบถามถามผู้บริจาคเลือดก่อน ถ้ามีปัญหาเราจะไม่รับ
ในขั้นที่สองเราจะนำตัวอย่างเลือดเข้าแล็ปเพื่อตรวจหาเชื้อโรค ถ้ามีปัญหาเราก็จะไม่นำไปใช้ เรายังติดต่อบอกผู้บริจาคให้ทราบด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นวางใจได้ค่ะ”
หมอตอบอย่างเป็นการเป็นงาน
“อืม แล้วถ้าเป็นความชั่วที่อยู่ในเลือดล่ะคะ”
หมอ ทำหน้างง “หมอไม่เข้าใจคำถามค่ะ”
“อย่างเช่น ผู้บริจาคเป็นฆาตกรเลือดเย็น ฆ่าคนมาแล้วสองคน เลือดของคนแบบนี้ ถ้าเอาไปให้คนอื่น แล้วคนอื่นจะได้รับความเลวความชั่วไปด้วยรึเปล่าคะ”
ระรินถามหมอ แต่สายตากลับจ้องมองมาที่วนิษา
“คุณระรินคะ ที่นี่เป็นที่สาธารณะ คุณไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวของคุณกับฉันมาพูดนะคะ”
วนิษาหันมาทำตาดุใส่ ระรินยิ้มเยาะ
“ทุกครั้งที่ฉันพูดเรื่องนี้ คุณก็จะเดินหนีไม่กล้าเผชิญความจริง ตอนนี้คุณหนีไปไหนไม่ได้แล้ว ก็เลยจะให้ฉันหยุดพูดเหรอคะ ทำไมคะ กลัวว่าหน้ากากแสนสวยของคุณจะถูกกระชากออกจนทุกคนได้เห็นถึงใบหน้าของนางมารร้ายจากนรกโลกันต์หรือไงคะ”
“ฉันว่าคุณระรินกำลังฉีกหน้าตัวเองมากกว่า”
วนิษามองไปรอบๆ เห็นพวกหนุ่มสาวหยืบมือถือมาถ่ายคลิปกันเพียบ
“ไม่มั้งคะ ฉันเป็นใคร ฉันเป็นแค่เหยื่อคนหนึ่งของคุณ แต่ที่ออกมาพูดก็เพื่อส่วนรวมน่ะค่ะ ไม่อยากให้คนป่วยต้องได้รับเลือดเลวๆจากคุณไป ความเลวมันอาจอยู่ในเม็ดเลือดแดงของคุณก็ได้”
“ฉันไม่เคยทำอย่างที่คุณว่าเลยคุณระริน เลิกยุ่งกับฉันเสียทีเถอะค่ะ”
ระรินเข้ามาใกล้ๆวนิษา
“ไม่ง่ายไปหน่อยเหรอคะคุณวนิษา คุณแย่งคุณคุณชายแจ้ไปจากฉันอย่างหน้าด้านไร้ยางอายที่สุด
แล้วคุณก็ฆ่าเขา แล้วจะให้ฉันเลิกยุ่งกับคุณง่ายๆเหรอ ไม่ ฉันจะยุ่งกับคุณ จะจองเวรคุณจนกว่าคุณจะชดใช้สิ่งที่คุณทำ ฉันรู้นะว่าคุณมาบริจาคเลือดทำไม นึกว่าทำบุญแค่นี้มันจะไถ่บาปได้เหรอ ไม่มีทาง คนอย่างคุณมันต้องตกนรกหมกไหม้ถึงจะสาสม”
“เชิญคุณลงไปนรกไปคนเดียวเถอะค่ะคุณระริน” วนิษาเสียงเข้มอย่างเริ่มมีอารมณ์
“เสียใจ ฉันไม่เคยฆ่าคนค่ะ โดยเฉพาะสามีตัวเอง”
ระรินถอยออกมา พลางยกมือดีดนิ้ว คนที่จ้างไว้ก่อน รออยู่ตรงขอบระเบียงชั้นสอง ทิ้งป้ายผ้าที่ผูกกับราวระเบียงลงมา เป็นรูปข่าวจากหนังสือพิมพ์ขยายใหญ่ เป็นข่าวเหตุการณ์ที่ มรว. จัทร์กระจ่าง เสียชีวิต
วนิษายืนตะลึงอยู่กับที่
วนิษารีบเดินจ้ำออกจากงาน หน้าตาเคร่งเครียด พิธีกรรีบเดินตามมาขอโทษ
“คุณวนิษาคะ เรื่องที่เกิดขึ้นเราเสียใจจริงๆนะคะ เราไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วยเลยนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเข้าใจ”
พนักงานออฟฟิศพากันมองวนิษา แล้วก็ซุบซิบกัน วนิษาก้มหน้าก้มตาเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ระรินนั่งซุ่มอยู่ในร้านกาแฟบริเวณนั้น เอาหนังสือพิมพ์บังหน้าอยู่ มองตามวนิษาไปอย่างสะใจ
“หนีอีกแล้วเหรอวนิษา เธอไม่มีทางวิ่งหนีกรรมตัวเองได้หรอก เธอทำอะไรไว้กับใคร เธอก็ต้องได้ผลตอบแทนแบบนั้น มันยังไม่จบหรอกจนกว่าเธอจะชดใช้หนี้กรรมของเธอให้หมดสิ้น ทุกการกระทำ ทุกคำพูด”
ระรินมองตามวนิษาไปอย่างแค้นเคือง พลางนึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันที่ มรว. จันทร์กระจ่าง
ขับรถหรูมาจอดที่หน้าสำนักงานตลาดวาสุวงศ์ โดยที่เธอนั่งมาข้างๆ
“เดี๋ยวขอผมลงไปคุยกับฝ่ายบัญชีแป๊บนึงนะ มีเอกสารที่เขารอผมเซ็นชื่ออนุมัติอยู่ หรือระรินจะเข้าไปในออฟฟิศด้วยกันไหมล่ะ”
“ฉันรอในนี้ก็ได้ค่ะ”
มรว. จันทร์กระจ่างหันมายิ้มหวาน ก่อนที่จะลงจากรถ ระรินหยิบโบว์ชัวร์ร้านวิวาห์จากหลายๆ ร้านมาดูแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี
“งานแต่งงานของฉันจะต้องหรูเริ่ดไฮโซที่สุดของปีนี้”
พลันก็มีคนมาเคาะกระจกหน้าต่าง ระรินมองออกไปเห็นวนิษา ที่แต่งกายเรียบร้อยถือแฟ้มยืนอยู่ข้างๆ พลางทำท่าจะบอกอะไรสักอย่าง ระรินกดปุ่มลดกระจกลง พลางมองวนิษาแบบไม่ไว้ใจ
“คุณคะ คุณปิดประตูทับชายกระโปรงค่ะ”
ระรินก้มดู ประตูรถปิดทับชายกระโปรงจริงๆด้วย พลางรีบเปิดประตูรถออก แล้วเก็บชายกระโปรงเข้ามา
“ตายแล้ว ขอบใจเธอมากนะ ชุดนี้ของฉันน่ะหลายหมื่นเลยนะ”
วนิษายิ้มรับ แล้วกำลังจะเดินเข้าไปในออฟฟิศ
“เธอทำงานที่นี่เหรอ”
“เปล่าค่ะ แต่มาสมัครงานน่ะค่ะ”
ระรินมองไปที่ทางเข้าออฟฟิศ เห็นป้ายรับสมัครงาน
“เธอชื่ออะไรน่ะ”
“วนิษาค่ะ”
วนิษายิ้มให้ระรินอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปในสำนักงาน สวนกับ มรว. จันทร์กระจ่าง ที่เดินออกมา แต่มัวคุยมือถืออยู่ เลยไม่ได้เห็นหน้าวนิษา
มรว. จันทร์กระจ่าง เดินมาขึ้นรถ พลางกดปุ่มวางสาย แล้วสตาร์ทเครื่อง กำลังจะขับรถออกไป
“รอนานไหมครับ”
“ไม่นานค่ะ คุณชายแจ้คะ ที่สำนักงานรับสมัครพนักงานอยู่เหรอคะ”
“ครับ”
“บอกผู้จัดการรับคนที่ชื่อวนิษาหน่อยสิคะ เมื่อกี้เขาช่วยระรินไว้ อยากตอบแทนน้ำใจเขาน่ะค่ะ”
“ได้สิครับ วนิษาใช่ไหม”
ระรินยิ้มเล็กน้อย ขณะที่ มรว. จันทร์กระจ่างลงจากรถ เดินกลับเข้าไปในสำนักงาน วนิษาที่นั่งกรอกเอกสารอยู่ เงยหน้าขึ้นมาพอดี มรว. จันทร์กระจ่างยืนตะลึงอยู่ครู่ใหญ่
ระรินนั่งรออยู่ในร้านอาหารหรูคนเดียวเซ็งๆ สักครู่ มรว. จันทร์กระจ่างก็เดินมาหา หน้าตาเคร่งเครียด
“ขอโทษทีที่มาสาย ช่วงนี้งานผมยุ่งมาก”
“มีอะไรรึเปล่าคะ เห็นช่วงนี้คุณชายเข้าออฟฟิศบ่อยมาก เมื่อก่อนระรินเห็นนานๆคุณชายถึงเข้าที”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องงานนั่นแหละ”
“เอ่อ วันนี้ทางออแกนไนซ์ที่จัดงานแต่งงานของเรา เขาโทรมาถามความคืบหน้าน่ะค่ะ”
“บอกเขาว่าแคนเซิ่ลไปก่อนแล้วกัน”
ระริน ได้ยิน ก็ถึงกับอึ้งช็อกไปชั่วขณะ
“ทะ ทำไมแคนเซิลล่ะคะ”
“ช่วงนี้ผมยุ่งมากจริงๆ ไม่สมาธิคิดเรื่องอะไรแบบนี้เลยน่ะสิครับ”
ระรินพูดอะไรไม่ออก
ระรินเดินช้อปปิ้งตามลำพัง นักข่าวทอมคนหนึ่งผ่านมาเห็น รีบเข้ามาหา
“คุณระริน แหมเจอตัวจนได้นะฮะ หายหน้าไปนานเลยนะ ตามยังไงก็ไม่เจอ หายไปไหนมาฮะ”
ระรินฝืนยิ้ม “เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พอดีไม่ค่อยสบาย”
“แล้วที่บอกจะแจกการ์ด เมื่อไหร่ละฮะ”
“อ่อ ก็ กำลังดูๆอยู่ค่ะ” ระรินตอบแบบอึกๆอักๆ
“จริงรึเปล่า ยังไม่เห็นไอ้นี่ล่ะสิ”
นักข่าวทอมยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางส่งการ์ดให้ระริน
“อุ่นๆเลยนะฮะ เพิ่งได้มาเมื่อกี๊นี้เอง การ์ดงานแต่งงานของคุณชายแจ้ฮะ แต่เจ้าสาวไม่ใช่ชื่อคุณนะ”
ระรินหน้าซีด ดูรูปในการ์ด เป็นรูปวนิษากับ มรว. จันทร์กระจ่าง
“ผู้หญิงคนนี้” ระรินพลิกอ่านชื่อในการ์ด “วนิษา”
ระรินทรุดฮวบลงกับพื้น ยกมือปิดหน้าร้องไห้โฮ
“คุณชายแจ้ วนิษา ทำไมทำแบบนี้ ทำไม วนิษา ฉันเป็นคนช่วยเธอไว้นะ เธอ”
ระรินฉีกการ์ดเป็นชิ้นๆ นักข่าวทอมตกใจ เมื่อตั้งสติได้ ก็รีบยกกล้องมาถ่ายรูป แต่ระรินไม่สนใจ ร้องไห้เหมือนคนเสียสติ
ระรินหลับตาลง พยายามสลัดความคิด พลางทำใจให้สงบ แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“วนิษา”
ระรินวางถ้วยกาแฟลง วางเงินบนโต๊ะ แล้วเดินออกไป
อ่านต่อตอนที่ 3