xs
xsm
sm
md
lg

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 1

ฝูงชนคราคล่ำอยู่เต็มบริเวณลานวัด ที่ค่ำคืนนี้กำลังมีงานบุญ เสียงโฆษกหญิง ประกาศเชิญชวนให้คนทำบุญ ดังผ่านไมค์ออกมาได้ยินทั่วทั้งบริเวณ

“เอ้า เชิญเลยนะคะญาติโยมทุกท่านทำบุญทำทานนะคะ หยอดตู้บริจาคตามจิตศรัทธาได้เลยนะคะ ส่วนท่านที่อยากจะซื้อโลงศพบริจาค เชิญด้านนี้เลย เขียนชื่อท่านหรือญาติสนิทมิตรคนรักที่ล่วงลับที่กระดาษแล้วก็เอาไปเผานะคะ ญาติมิตรจะได้รับส่วนบุญส่วนกุศล”
วนิษาเดินตรงเข้ามาหาโฆษกหญิง ที่กำลังยืนถือไมค์ประกาศอยู่
“ซื้อโลงศพเหรอจ๊ะหนู”
วนิษา ยิ้มกว้าง “ค่ะ”
“โลงนึงก็สี่พันบาท เอาครึ่งโลงหรือเสี้ยวโลงได้นะ สองพันบาทกับหนึ่งพัน”
“ฉันซื้อสองโลงค่ะ”
โฆษกหญิงตาโต “ทำบุญหนักนะเนี่ย มาเดี๋ยวฉันช่วยเขียนชื่อให้”
“คนแรก หม่อมราชวงศ์จันทร์กระจ่าง วาสุวงศ์ค่ะ”
วนิษาตอบเสียงเรียบๆ
“คุณพ่อ?”
“สามีค่ะ”
“อ๋อ น่าสงสารเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาวยังแส้”
เสียงโฆษกหญิงพูดผ่านไมค์ ได้ยินกันทั้งศาลา หลายคนหันมามองวนิษา โดยเฉพาะหนุ่มๆ
“อีกใบล่ะจ๊ะ” โฆษกหญิงถามต่อ หลังจากที่เขียนใบแรกเสร็จแล้ว
“สมชาย อภิเลิศรัตนกาลสถาน ค่ะ”
“นามสกุลดีนะ คุณพ่อเหรอคะ”
วนิษา ส่ายหน้า “เปล่าค่ะ สามีค่ะ”
“อ๋อ มีผัวใหม่แล้ว” และเมื่อนึกขึ้นได้ โฆษกหญิงก็อุทานลั่นศาลา
“ฮ้า นี่ผัวใหม่ก็ตายแล้วเหรอเนี่ย”
“ค่ะ”
โฆษกหญิงจ้องหน้าวนิษา “งั้นก็ผู้หญิงกินผัวน่ะสิหนู”
พูดพลางรีบปิดปากตัวเอง วนิษาจ้องหน้ากลับบบโกรธๆ
“ขอโทษจ้ะ แบบว่าหลุดปากไปหน่อยอ่ะจ้ะ”
วนิษาทำใจ ฝืนยิ้ม
“ไม่เป็นไรค่ะ ใครๆก็คิดกันแบบนั้น”
วนิษารับใบอนุโมทนา แล้วเดินออกมา หนุ่มๆที่เคยมองพากันถอยกรูด

จากนั้นวนิษาก็เดินมาหยุดนิ่งหน้าเตาเผา มองเลยไป เห็นครอบครัวอื่น ที่มาทำบุญกันพร้อมหน้าพ่อ-แม่-ลูก ดูมีความสุข ก็ถอนหายใจเฮือก พลางส่งใบอนุโมทนาที่มีชื่อ มรว.จันทร์กระจ่างเข้าไป
“ขอให้ไปสู่สุคตินะคะ คุณชายแจ้ ยกโทษให้คนดีด้วยนะคะ”

ภาพเหตุการณ์วันวิวาห์ระหว่าง มรว. จันทร์กระจ่าง และวนิษา ยังคงกระจ่างชัดในความรู้สึกของหญิงสาว ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “ผู้หญิงกินผัว”
มรว. จันทร์กระจ่าง หรือชายแจ้ บรรจงหอมแก้มวนิษาต่อหน้าแขกเหรื่อ ด้วยความรัก และทิ้งเวลาไว้เนิ่นนาน จนพิธีกรในงานถึงกับออกปากแซว
“เอ้าๆ พอแล้วครับคุณชาย นานไปเดี๋ยวแกะไม่ออกนะครับ”
ทำเอาแขกที่มาร่วมงานหัวเราะกันลั่น บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่น มรว. จันทร์กระจ่าง ค่อยๆ ละริมฝีปากออกจากแก้มของวนิษา ด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม ขณะที่วนิษาดูเขินๆแต่สีหน้าก็มีความสุขดี
“ต่อไปขอเชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวตัดเค้กแบ่งปันความหวานให้แขกในงานด้วยนะครับ”
วนิษาควงแขน มรว. จันทร์กระจ่างไปที่เค้กก้อนโต เจ้าบ่าวเอียงหน้ามากระซิบเบาๆ
“วันนี้ผมมีความสุขมาก ขอบคุณคนดีของผมมากเลยนะครับ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ เราเป็นคู่ชีวิตกันแล้ว เราทำทุกอย่างให้กันและกันค่ะ”
“จ้ะ คนดีของผม”
มรว. จันทร์กระจ่าง หยิบมีดโลหะยาววาววับขึ้นมา วนิษายื่นมือมากุมมีดด้วยกัน ช่างภาพกดแฟลชกันกระหน่ำ ก่อนที่คู่ข่าว-สาว จะจรดมีดลงตัดเค้ก ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มีดจมลงไปในเนื้อเค้กหนานุ่ม แต่ยังไม่ทันจะถึงครึ่งก้อน เจ้าบ่าวก็ยืนนิ่ง รอยยิ้มค้างบนใบหน้า วนิษาหันมามองด้วยความแปลกใจ
“คุณชาย คุณชายแจ้”
มรว. จันทร์กระจ่าง ล้มฟุบลงไปนอนแน่นิ่งที่พื้นเวที ท่ามกลางสายตาตะลึงงงของคนทั้งงาน วนิษาปล่อยมีด พลางคุกเข่าลงมาดูอาการด้วยความเป็นห่วง
“คุณชายคะ คุณชาย”

วนิษาหยิบใบอนุโมทนาอีกใบ ที่มีชื่อสมชาย ส่งเข้าเตาเผา
“หลับให้สบายนะคะเฮีย หว่าหวาจะคิดถึงเฮียตลอดไปค่ะ”

วนิษาหวนคิดถึงภาพเหตุการณ์ในวันที่เธออยู่ในชุดเจ้าสาวจีนสีแดง นั่งอยู่บนเตียงแบบจีน พร้อมๆ กับที่สมชาย หรือเสี่ยป๊อก ในชุดเจ้าบ่าวจีนเข้ามานั่งข้างๆ
“หว่าหวา ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป หว่าหวาจะเป็นคนในครอบครัวของเฮีย เฮียจะดูแลหว่าหวาอย่างดีที่สุด เฮียจะเป็นสามีที่ดีของหว่าหวานะ ขอเฮียจูบหว่าหวาให้ชื่นใจหน่อยเถอะนะ”
วนิษาพยักหน้าเบาๆ เสี่ยป๊อกถอดผ้าคลุมหน้าออก ท่าทางตื่นเต้นมาก
“หว่าหวาของเฮียสวยเหลือเกิน”
เสี่ยสมชายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ หน้าวนิษา พลางก็ทำหน้าเหยเก ยกมือกุมหน้าอก
“เฮียๆ”
วนิษาร้องลั่น พร้อมๆ กับที่ร่างของเสี่ยสมชาย ล้มตึงไปที่พื้น

วนิษาเงยหน้าขึ้น มองกลุ่มควันที่ลอยออกจากปล่องขึ้นไปบนท้องฟ้า ด้วยหัวใจที่หดหู่

โจ ปลอมตัวเป็นชายแก่หง่อม ใส่แว่นตาหนา นั่งปะปนอยู่กับคนที่นั่งรอรถเมล์อยู่ที่ป้าย มีคนรออยู่ประมาณ 4-5 คน หนึ่งในนั้นเป็นหนุ่มใหญ่ ที่นั่งเล่นมือถือ พร้อมๆ กับที่หันซ้ายหันขวาไปด้วย ป๋องดินข้ามถนนมา พลางมองซ้ายขวาเหมือนมองหาใครสักคน

ระหว่างนั้นก็มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งเดินมาทางป้ายรถเมล์ แต่จังหวะที่เดินผ่านมา หนุ่มใหญ่ก็เอียงตัวออกมาทำให้หญิงชาวบ้านชน มือถือหลุดกระเด็นตกพื้น หนุ่มใหญ่ไม่พูดจา รีบเก็บมือถือมาดู แล้วโวยลั่น
“เฮ้ย จอดับสนิทเลยเพิ่งซื้อมาหลายหมื่นเลยนะเนี่ย”
หนุ่มใหญ่หันมาเอาเรื่องหญิงชาวบ้าน
“แต่คุณมาชนฉันเองนะ”
หญิงชาวบ้านเถียง พลางก็มีมีเจ๊คนหนึ่ง เดินเสนอหน้าเข้ามา
“ฉันเป็นพยาน ฉันเห็นเธอน่ะเดินชนเขาเต็มๆ ยังมาเถียงอีก”
ป๋องรีบสาวเท้าเดินตรงเข้ามาทันที
“แต่ผมเห็นพี่ขยับตัวไปชนพี่ผู้หญิงเขานะครับ”
หนุ่มใหญ่หันขวับมาทางป๋อง “ไม่ใช่เรื่องของลื้อ อย่าเผือก” พลางกลับมาตะคอกหญิงชาวบ้าน
“จ่ายค่าซ่อมมา 5 พัน ไม่งั้นก็ไปโรงพัก”
“ฉันไม่ผิด ฉันไม่ได้ทำ”
ยัยเจ๊ช่วยเถียง“แต่ฉันเห็น ยังไงเธอก็ผิด”
“มีเท่าไหร่ก็เอามาเท่านั้น ไม่งั้นไปหาตำรวจกัน”
“เดี๋ยว”
หนุ่มใหญ่หันขวับไปมอง เห็นโจในมาดชายแก่ หยิบมือถือมาดู
“ฉันเห็นแกเล่นมือถืออยู่ตั้งนาน ทำไมเครื่องไม่ร้อนเลยวะของปลอมใช่มั้ยเนี่ย แถมแกกับยัยเจ๊นี่ก็เตี๊ยมกันมาแต่แรก”...
“อะไรของแกตาแก่ เตี๊ยมเติ๊มที่ไหน พูดดีๆนะ” ยัยเจ๊โวยวายเสียงดัง
“รองเท้าแกสองคนเปื้อนโคลนสีเดียวกันเด๊ะ แถวนี้ไม่มีดินโคลนเลย อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น ถ้าไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันน่ะ”
ยัยเจ๊ก้มลงมองรองเท้าของตัวเอง กับของหนุ่มใหญ่ แล้วก็เห็นจริงอย่างที่โจว่า ยัยเจ๊ถึงกับพูดไม่ออก
“เอาไงดีพี่”
“ไปเหอะ”
หนุ่มใหญ่กับยัยเจ๊ทำท่าจะหนี แต่ก็ช้ากว่าโจ ที่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้
“ถ้าแกทำเรื่องแบบนี้อีก ฉันจะส่งรูปแกไปให้ตำรวจ”
หนุ่มใหญ่รีบพายัยเจ๊วิ่งหนีไป โจในมาดตาแก่หันมายิ้มให้หญิงชาวบ้าน
“ไม่มีอะไรแล้ว ไปเถอะ”
“ขอบคุณจ๊ะตา”
ตาแก่โจยิ้มตอบ พลางหันกลับมา ก็เจอป๋องยืนทึ่งอยู่ข้างๆ

โจกับป๋อง เดินคุยกันมาตามถนน
“แกไม่ได้เรื่องเลยไอ้ป๋อง เอาตั้งแต่แกเข้ามาถึงป้ายรถเมล์ แกควรจะจำฉันได้ในวินาทีแรกที่เห็นฉันแล้ว”
โจ หันไปทำเสียงดุใส่ป๋อง
“โห ก็พี่เล่นไม่บอกก่อนนี่ครับว่าจะปลอมตัวแบบนี้”
“แกต้องพัฒนาเรื่องความช่างสังเกต มันเป็นของคู่กับนักสืบเลย ดูฉันเป็นตัวอย่างซะ”
ป๋องมองหน้า พลางใช้มือปิดตาโจ
“เฮ้ย ทำอะไรวะ”
“วันนี้ผมใส่เข็มขัดสีอะไร”
“เข็มขัดหนังสีน้ำตาลขอบดำ หัวเข็มขัดทองเหลือง”
ป๋องก้มลงมองเข็มขัดตัวเอง ทุกอย่างตรงตามที่โจบอก
“รองเท้าผมล่ะ”
“รองเท้าผ้าใบสีขาวเก่าๆเน่าๆ แล้ววันนี้แกก็พับขากางเย กงด้วคิดจะลองของมืออาชีพอย่างฉันหรือไง หึๆ”
ป๋องไม่ยอมแพ้
“แล้วพี่โจใส่แว่นสีอะไร”
โจอึ้งไปครู่หนึ่ง “ปล่อยได้แล้ว เสียเวลาน่า นัดลูกค้าไว้”
“อีกตั้งครึ่งชั่วโมง ยังไงก็ไม่เลยเวลาหรอกครับ”
“เผื่อรถติดด้วยสิวะ”
“เอาน่า บอกมาเหอะ สีอะไร” ป๋องยังเซ้าซี้
“แกจะให้ฉันตอบให้ได้ใช่มั้ย”
“ครับ”
“ถ้าตอบถูกแกโดนเตะนะ”
ป๋องพยักหน้าหงึก “ได้ครับ”
“งั้นแกอยู่เงียบๆ”
โจยืนนิ่ง พลางกำหนดลมหายใจ
“สีดำ”
โจตอบอย่างมั่นใจ ป๋องปล่อยมือ โจถอดแว่นออกมาดู
“ขอบกระครับพี่ ขนาดแว่นอยู่กับตาตัวเอง ยังไม่รู้เลย อะโด่”.
โจหน้าเสีย เสียฟอร์มอย่างแรง
“พี่ต้องพัฒนาเรื่องความช่างสังเกต มันเป็นของคู่กับนักสืบเลยนะครับ”
ป๋องย้อนขำๆ แล้วรีบเดินนำไป

โจมองตาม พลางทำปากขมุบขมิบด่าป๋องไปด้วย
 
อ่านต่อหน้า 2

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 1 (ต่อ)

โจ ปลอมตัวเป็นชายแก่หง่อม ใส่แว่นตาหนา นั่งปะปนอยู่กับคนที่นั่งรอรถเมล์อยู่ที่ป้าย มีคนรออยู่ประมาณ 4-5 คน หนึ่งในนั้นเป็นหนุ่มใหญ่ ที่นั่งเล่นมือถือ พร้อมๆ กับที่หันซ้ายหันขวาไปด้วย ป๋องดินข้ามถนนมา พลางมองซ้ายขวาเหมือนมองหาใครสักคน

ระหว่างนั้นก็มีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งเดินมาทางป้ายรถเมล์ แต่จังหวะที่เดินผ่านมา หนุ่มใหญ่ก็เอียงตัวออกมาทำให้หญิงชาวบ้านชน มือถือหลุดกระเด็นตกพื้น หนุ่มใหญ่ไม่พูดจา รีบเก็บมือถือมาดู แล้วโวยลั่น
“เฮ้ย จอดับสนิทเลยเพิ่งซื้อมาหลายหมื่นเลยนะเนี่ย”
หนุ่มใหญ่หันมาเอาเรื่องหญิงชาวบ้าน
“แต่คุณมาชนฉันเองนะ”
หญิงชาวบ้านเถียง พลางก็มีมีเจ๊คนหนึ่ง เดินเสนอหน้าเข้ามา
“ฉันเป็นพยาน ฉันเห็นเธอน่ะเดินชนเขาเต็มๆ ยังมาเถียงอีก”
ป๋องรีบสาวเท้าเดินตรงเข้ามาทันที
“แต่ผมเห็นพี่ขยับตัวไปชนพี่ผู้หญิงเขานะครับ”
หนุ่มใหญ่หันขวับมาทางป๋อง “ไม่ใช่เรื่องของลื้อ อย่าเผือก” พลางกลับมาตะคอกหญิงชาวบ้าน
“จ่ายค่าซ่อมมา 5 พัน ไม่งั้นก็ไปโรงพัก”
“ฉันไม่ผิด ฉันไม่ได้ทำ”
ยัยเจ๊ช่วยเถียง“แต่ฉันเห็น ยังไงเธอก็ผิด”
“มีเท่าไหร่ก็เอามาเท่านั้น ไม่งั้นไปหาตำรวจกัน”
“เดี๋ยว”
หนุ่มใหญ่หันขวับไปมอง เห็นโจในมาดชายแก่ หยิบมือถือมาดู
“ฉันเห็นแกเล่นมือถืออยู่ตั้งนาน ทำไมเครื่องไม่ร้อนเลยวะของปลอมใช่มั้ยเนี่ย แถมแกกับยัยเจ๊นี่ก็เตี๊ยมกันมาแต่แรก”...
“อะไรของแกตาแก่ เตี๊ยมเติ๊มที่ไหน พูดดีๆนะ” ยัยเจ๊โวยวายเสียงดัง
“รองเท้าแกสองคนเปื้อนโคลนสีเดียวกันเด๊ะ แถวนี้ไม่มีดินโคลนเลย อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น ถ้าไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันน่ะ”
ยัยเจ๊ก้มลงมองรองเท้าของตัวเอง กับของหนุ่มใหญ่ แล้วก็เห็นจริงอย่างที่โจว่า ยัยเจ๊ถึงกับพูดไม่ออก
“เอาไงดีพี่”
“ไปเหอะ”
หนุ่มใหญ่กับยัยเจ๊ทำท่าจะหนี แต่ก็ช้ากว่าโจ ที่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้
“ถ้าแกทำเรื่องแบบนี้อีก ฉันจะส่งรูปแกไปให้ตำรวจ”
หนุ่มใหญ่รีบพายัยเจ๊วิ่งหนีไป โจในมาดตาแก่หันมายิ้มให้หญิงชาวบ้าน
“ไม่มีอะไรแล้ว ไปเถอะ”
“ขอบคุณจ๊ะตา”
ตาแก่โจยิ้มตอบ พลางหันกลับมา ก็เจอป๋องยืนทึ่งอยู่ข้างๆ

โจกับป๋อง เดินคุยกันมาตามถนน
“แกไม่ได้เรื่องเลยไอ้ป๋อง เอาตั้งแต่แกเข้ามาถึงป้ายรถเมล์ แกควรจะจำฉันได้ในวินาทีแรกที่เห็นฉันแล้ว”
โจ หันไปทำเสียงดุใส่ป๋อง
“โห ก็พี่เล่นไม่บอกก่อนนี่ครับว่าจะปลอมตัวแบบนี้”
“แกต้องพัฒนาเรื่องความช่างสังเกต มันเป็นของคู่กับนักสืบเลย ดูฉันเป็นตัวอย่างซะ”
ป๋องมองหน้า พลางใช้มือปิดตาโจ
“เฮ้ย ทำอะไรวะ”
“วันนี้ผมใส่เข็มขัดสีอะไร”
“เข็มขัดหนังสีน้ำตาลขอบดำ หัวเข็มขัดทองเหลือง”
ป๋องก้มลงมองเข็มขัดตัวเอง ทุกอย่างตรงตามที่โจบอก
“รองเท้าผมล่ะ”
“รองเท้าผ้าใบสีขาวเก่าๆเน่าๆ แล้ววันนี้แกก็พับขากางเย กงด้วคิดจะลองของมืออาชีพอย่างฉันหรือไง หึๆ”
ป๋องไม่ยอมแพ้
“แล้วพี่โจใส่แว่นสีอะไร”
โจอึ้งไปครู่หนึ่ง “ปล่อยได้แล้ว เสียเวลาน่า นัดลูกค้าไว้”
“อีกตั้งครึ่งชั่วโมง ยังไงก็ไม่เลยเวลาหรอกครับ”
“เผื่อรถติดด้วยสิวะ”
“เอาน่า บอกมาเหอะ สีอะไร” ป๋องยังเซ้าซี้
“แกจะให้ฉันตอบให้ได้ใช่มั้ย”
“ครับ”
“ถ้าตอบถูกแกโดนเตะนะ”
ป๋องพยักหน้าหงึก “ได้ครับ”
“งั้นแกอยู่เงียบๆ”
โจยืนนิ่ง พลางกำหนดลมหายใจ
“สีดำ”
โจตอบอย่างมั่นใจ ป๋องปล่อยมือ โจถอดแว่นออกมาดู
“ขอบกระครับพี่ ขนาดแว่นอยู่กับตาตัวเอง ยังไม่รู้เลย อะโด่”.
โจหน้าเสีย เสียฟอร์มอย่างแรง
“พี่ต้องพัฒนาเรื่องความช่างสังเกต มันเป็นของคู่กับนักสืบเลยนะครับ”

ป๋องย้อนขำๆ แล้วรีบเดินนำไป โจมองตาม พลางทำปากขมุบขมิบด่าป๋องไปด้วย

ที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง ที่จัดโต๊ะไว้เป็นสัดเป็นส่วน ที่โต๊ะด้านในร้าน ม.ร.ว. จันทร์ธิดา หรือหญิงจุ๋ม นั่งอยู่คนเดียว กำลังดูรูปในแท็บเล็ต เป็นรูปครอบครัวมี ม.ร.ว. จันทร์กระจ่าง และหม่อมจันทร์จิรา ผู้เป็นมารดา และตัวเธอเอง ในภาพ ทุกคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุข

หญิงจุ๋ม ใช้นิ้วแตะรูป ม.ร.ว. จันทร์กระจ่าง แล้วลูบเบาๆ
“ชายแจ้ พี่คิดถึงเธอเหลือเกิน เธอไม่น่าตายแบบนี้เลย”
โจในมาดตาแก่ พร้อมกับป๋อง เดินเข้ามาหยุดที่หน้าโต๊ะ คุณหญิงจันทร์ธิดา มองโจหัวจรดเท้า
“ฉันรอคนอยู่ เท่าที่รู้ คนที่ฉันนัดไว้ไม่ใช่คนแก่นะ”
“ผมก็ไม่ใช่ครับผมชื่อนำโชคครับ เรียกผมโจก็ได้ครับ เราคุยกันทางโทรศัพท์แล้ว หม่อมราชวงศ์จันทร์ธิดา ?”
คุณหญิงจันทร์ธิดา พยักหน้ารับ
“เรียกฉันว่าหญิงจุ๋มก็ได้ แล้วคุณแต่งเป็นคนแก่ทำไมเนี่ย ฉันนึกว่าคนแก่จริงๆซะอีก”
โจยิ้มขำ พลางรีบอธิบาย
“เมื่อเช้าผมเข้าไปสืบคดีที่บ้านพักคนชรามาครับ ไม่แปลกที่คุณจะแยกแยะไม่ออก เพราะคนในวงการเขาให้ฉายาผมว่า โจ แอ็พพันหน้า”
“แล้วฉายาเก่าคุณล่ะ”
“โจตัวซว.”
ป๋องยังพูดไม่จบ โจก็กระทืบเท้า จนป๋องต้องรียหุบปากทันที
“เรื่องที่ผ่านมาอย่าไปพูดถึงมันเลยครับ เข้าเรื่องงานกันเลยดีกว่า คุณหญิงจุ๋มมีอะไรให้ผมช่วยครับ”
“ปีที่แล้ว หม่อมราชวงศ์จันทร์กระจ่าง น้องชายคนเดียวของฉันตาย ฉันสงสัยว่าเขาจะถูกฆาตกรรม...โดยภรรยาของเขา ยัยวนิษา ฉันต้องการให้คุณสืบว่า ยัยนี่ฆ่าน้องชายของฉันยังไง”

เมื่อสลัดคราบชายแก่ออก โจก็นับได้ว่าเป็นชายหนุ่ม ที่ดูดี มีบุคลิกที่ปราดเปรียวคนหนึ่งเลยทีเดียว ชายหนุ่มนั่งอยู่ตามลำพังที่บริเวณระเบียงบ้าน พลางเปิดซองน้ำตาลออก หยิบรูปถ่ายขนาดใหญ่ประมาณ A4 ออกมา เป็นรูปวนิษาในอิริยาบถที่ถูกแอบถ่ายโดยไม่รู้ตัว โจรู้สึกใจเต้นอย่างบอกไม่ถูก
“วนิษา”

โจเปิดประตูผลัวะเข้ามาในออฟฟิศ พลางรีบสั่งการชุดใหญ่ ราวกับมีคนรอรับคำสั่งอยู่มากมาย
“แกไปสืบประวัติของผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่เกิด เกิดที่ไหน ย้ายไปที่ไหน เรียนโรงเรียนอะไร เรียนพิเศษที่ไหน เข้าคณะอะไร แกไปทุกที่ที่เขาเคยอยู่ สัมภาษณ์เพื่อนบ้าน คนแถวนั้น คุณครู เพื่อนนักเรียน กิ๊ก แฟนเก่า แฟนใหม่ แกสืบช่วงที่เขาเป็นแฟนกับหม่อมราชวงศ์จันทร์กระจ่าง ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แกแฮ็กเข้าไปตรวจ อีเมล์ เฟซบุ๊ค ไลน์ ว้อทแอ็พ ฉันต้องการรู้จักผู้หญิงคนนี้ว่าเขาเป็นใครและกำลังคิดอะไรอยู่ ไปได้แล้ว”
โจตบโต๊ะเปรี้ยงตบท้าย แท้จริงแล้ว ในห้องมีเพียงป๋อง ที่ยืนนิ่งกระพริบตาปริบๆ มองหน้าโจ พลางถอนหายใจ
“ขออีกรอบได้ไหมครับ จดไม่ทัน”
“ไม่ได้เว้ย ลืมไปแล้ว”

จากนั้นป๋องก็เริ่มดำเนินการสืบค้นประวัติของวนิษาโดยด่วน ทั้งสืบค้นเอกสารทางราชการ , ชุมชนเก่าแก่ ที่วนิษาเคยอาศัยอยู่ , โรงเรียนประถม , โรงเรียนมัธยม รวมถึงจดรายชื่อที่อยู่เพื่อนร่วมรุ่นของวนิษาจากหนังสือรุ่น และท้ายที่สุดโรงแรมที่จัดงานแต่งงาน
จากนั้นก็รวบรวมข้อมูลทั้งหมดเข้าแฟ้มข้อมูล พลางคลานเข่าเข้ามาหาโจ แล้วส่งแฟ้มให้อย่างพินอบพิเทา
“เสร็จแล้วครับพี่โจ”
โจมองป๋องงงๆ
“มาไม้ไหนวะเนี่ย”
ป๋องยิ้มหวาน โจมองหน้าป๋อง ก็พอจะเดาออก
“อ้อ ได้เวลาอีกแล้วเหรอ”
“ถูกต้องครับคุณพี่ นี่ครับรายวิชากับค่าหน่วยกิตทั้งหมดครับ”
โจรับมาดู พลางหยิบกระเป๋าสตางค์มาเปิดดู
“เดี๋ยวพรุ่งนี้กดให้ พอดีเงินสดไม่พอ”
“ขอบคุณมากครับที่ช่วยสนับสนุนการศึกษาของเยาวชนไทย”
“ไม่ต้องขอบคุณฉัน จำไว้นะไอ้ป๋อง ฉันไม่ได้ให้เงินแกฟรีๆ ฉันให้แกทำงานให้ฉัน คนที่แกควรจะรำลึกบุญคุณอยู่เสมอคือหลวงพ่อสีสุก”
ป๋อง พยักหน้ารับ
“แหม อันนั้นไม่ต้องย้ำครับ ท่านให้ผมมากกว่าพ่อแท้ๆซะอีก ส่วนพี่น่ะ ยังไงก็นับเป็นผู้มีพระคุณกับผม ถ้าไม่มีพี่ผมคงลำบากกว่านี้”
โจ มองป๋องอย่างเอ็นดู
“ตามใจแกละกัน อ้ะ แกกลับไปได้แล้ว ฉันจะตรวจดูซิว่าแกทำงานใช้ได้มั้ย”
“ครับ”
ป๋องเดินออกไปนอกห้อง โจหยิบแฟ้มมาเปิดดูอย่างละเอียด จนมาถึงหน้าสุดท้าย เป็นรูปวนิษาที่มีดวงตาสวยกึ่งเศร้า
“วนิษา เธอเป็นฆาตกรหรือคนโชคร้ายกันแน่นะ”

ในขณะที่วนิษา อยู่ตามลำพังในคอนโดหรู ในห้องปิดไฟมืด
“ดาวดวงไหนนะที่ทำให้ชีวิตฉันเป็นแบบนี้”
วนิษานอนหลับ กระสับกระส่ายเหมือนคนฝันร้าย
“คุณชายแจ้ คนดีขอโทษนะคะ อาเฮีย หว่าหวาขอโทษ ฉันแค่ ทำไปเพราะอยากมีความสุขเหมือนคนอื่น”

โจนอนหลับไป แฟ้มวนิษาในมือตกลงพื้น เปิดเอาหน้าที่มีรูปวนิษาตอนเป็นเด็กอยู่หงายขึ้นมา
 
อ่านต่อหน้า 3

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 1 (ต่อ)

ย้อนเวลากลับไป ที่ตลาดแห่งหนึ่ง เม้งที่ตั้งแผง “ เม้ง หมอดูแม่นมาก ” อ้าปากหาวหวอดๆ มองดูคนเดินผ่านไปมา แต่ไม่มีใครเป็นลูกค้าเลย

“ดูหมอจ้า ดูหมอไหมจ้า เฮ้อ ลูกค้ามันหายหัวไปไหนหมดวะเนี่ย แม่นๆจ้า ค่าดูทู้กถูก ดูสองแถมหนึ่งจ้า”
ครู่หนึ่ง ก็มีฝูงชนจำนวนหนึ่งกรูกันเข้ามา เม้งตกใจ ขยี้ตาจนแน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด พลางรีบจัดผมเผ้าเสื้อผ้าให้ดูน่าเชื่อถือ พร้อมทั้งนั่งเก๊กอ่านตำรา
“ใจเย็นๆนะทุกคน เข้าแถวกันหน่อยนะ ไม่ต้องแย่งกัน ได้ดูทุกคนครับ”
ทว่าไม่มีเสียงตอบรับ เม้งเงยหน้าขึ้น เห็นฝูงชนวิ่งเลยไปมุงดูในร้านก๋วยเตี๋ยวที่อยู่เลยไปนิดหนึ่ง
“อ้าว”
วลัยอุ้มลูกสาววัยแบเบาะ รูปร่างจ้ำม่ำมาดูด้วย แต่ก็โดนทั้งเบียด ทั้งบัง จนมองอะไรไม่เห็น
“มองไม่เห็นเลยอ่ะ”
เม้งเดินตามมาดูหลังวลัย
“นี่ๆ เธอ เขามามุงอะไรกันเหรอ”
“มาดูอ๊อฟไง เขามาถ่ายละคร”
“อ๋อ เป็นพวกแฟนคลับสินะ”
วลัย พยักหน้า “ใช่ ฉันชอบดาราทุกคนแหละ”
“แล้วคนนี้เป็นพระเอกรึเปล่า”
“เป็นทั้งพระเอกทั้งนักร้องเลย อย่าบอกนะว่าไม่รู้จัก”
เมื่อเห็นเม้งส่ายหน้า ไม่รู้จัก วลัยก็ถึงกับอึ้ง
“หลังเขาจริงๆเลยอ่ะ นี่ๆ คนนี้ไง ว่าจะมาขอลายเซ็นซักหน่อย”
วลัยหยิบรูปอ๊อฟให้ดู เม้งรับมาดูอย่างพินิจพิจารณา
“เป็นคนมีพลังนะเนี่ย ภายในไม่กี่ปีก็จะแต่งงาน เมียสวยมาก แต่จะกลัวเมีย”
“นายเป็นหมอดูเหรอ”
เม้ง ยืดอก พลางตอบ “ใช่ ดูมั้ย แม่นมาก คิดถูกๆ”
วลัยลังเล ระหว่างนั้นลูกสาวก็ร้องไห้ วลัยหันไปปลอบ เม้งยื่นหน้ามาดู
“ลูกเหรอ”
“ลูกสาว”
เม้งดูหน้าหนูน้อย แล้วก็ตกใจ
“เฮ่ย”
วลัยหน้าเสีย “อะไร มีอะไร”
“แม่หนูคนนี้อะไรก็ดีไปหมด วาสนาดี สติปัญญาดี จิตใจดี แต่เสียอย่างเดียว”
“อะไร”
“นรลักษณ์แบบนี้ เป็นดวงนารีบริโภคภัสดา”
วลัย ทำหน้างง“แปลว่าอะไร”
“นารีบริโภคภัสดา แปลง่ายๆว่า ผู้หญิงกินผัว”
“ว้าย” วลับร้องเสียงหลง
“พูดจริงๆ ไม่เชื่อคอยดูนะ พอมีแฟน แฟนจะเจออุบัติเหตุ แต่ถ้าถึงขั้นได้เสียกันป็นผัวเมีย ผัวจะต้องมีอันเป็นไป”
วลัยจ้องหน้าเม้งเขม็ง
“ไม่มีทางแก้ด้วย ดวงแรงมาก ทางที่ดีที่สุดอย่าให้มีผัว”
ทันใดนั้นวิษณุ ก็เดินส่ายอาดๆ เข้ามา ท่าทางหงุดหงิดเล็กน้อย
“นึกแล้วว่าต้องมาดูเขาถ่ายละคร หาอยู่ตั้งนาน คืนนี้ฉันต้องนัดกับเพื่อนที่บ่อนด้วย”
วิษณุเห็นสีหน้าวลัยขุ่นเคืองผิดปกติ พลางมองหน้าเม้ง แล้วมองวลัยสลับกัน
“มีอะไรรึเปล่า”
“หมอดูนี่มันบอกน้องษาลูกเราโตขึ้นจะเป็นผู้หญิงกินผัว”
วิษณุจ้องหน้าเม้ง เม้งรีบอธิบายต่อ
“จริงๆ ผมชื่อเม้ง ฉายาเม้ง หมอดูแม่นมาก ดูผิดไม่คิดเงิน แต่ผมดูไม่ผิดแน่ๆ เพราะฉะนั้นขอค่าดู 100 บาท เอ่อ 50 บาทก็ได้”
วิษณุซักหมัดต่อยเปรี้ยง จนเม้งกระเด็น คนแตกฮือ
“ไอ้หมอมั่ว”
จากนั้นวิษณุ ก็พาวลัยกับลูกสาวออกไป เม้งชันกายลุกขึ้น เลือดกำเดาไหล ท่าทางเคืองๆ ตะโกนไล่หลังตามไป
“ไม่ได้มั่ว จำไว้เลย ยัยเด็กคนนี้โตขึ้นต้องเป็นผู้หญิงกินผัวแน่ๆ”

โจเริ่มศึกษาข้อมูลของวนิษาที่ได้รับจากป๋อง ข้อมูลนั้นบ่งบอกว่าแฟนของวนิษาแต่ละคน ล้วนต้องมีอันเป็นไปทุกคน คนแรกก็เกิดอุบัติเหตุขับรถชนกับรถดูดส้วม แขนขาหักแถมติดเชื้อร้ายแรง สาหัสเกือบตาย คนต่อมา เดินเหยียบแมวของเจ้านายตกบันได นอกจากกระดูกเคลื่อนแล้วยังโดนเจ้านายไล่ออกด้วย จนเริ่มมีเสียงร่ำลือว่าเธอเป็นผู้หญิงกาลกิณี จนไม่มีใครกล้าจีบ จนกระทั่งมาเจอ มรว. จันทร์กระจ่าง ไฮโซชื่อดัง ทั้งสองคบหาดูใจกันเกือบปี ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน
แต่กลายเป็นว่า มรว. จันทร์กระจ่าง กลับต้องมาจบชีวิตลงแบบกระทันหันในงานวิวาห์ หลังชันสูตรศพก็ไม่พบสาเหตุการตาย เหมือนกับว่าเวลาชีวิตของเขาหมดลงอย่างกระทันหัน

โจ ขับรถมาจอดหน้าคอนโดของวนิษา พลางดูรูปวนิษาในแฟ้มด้วยท่าทางครุ่นคิด
“คุณคิดอะไรของคุณอยู่ คุณวนิษา ในชีวิตคุณ คุณต้องการอะไร”
โจจ้องมองรูปของวนิษา แล้วก็เผลอหงายหน้าหลับไปโดยมีแฟ้มของวนิษาปิดหน้าอยู่ ระหว่างนั้นเอง วนิษาขับรถออกจากคอนโดโดยโจไม่ทันเห็น
มีมอเตอร์ไซค์จอดส่งคนขวางทางออกอยู่ วนิษาบีบแตรเสียงดังสนั่น จนโจสะดุ้งตื่น พลางรีบเอาแฟ้มออกจากหน้า

เห็นวนิษาขับออกไปพอดี โจรีบขับตามไป

ไม่นานหลังจากนั้นวนิษา ก็พาตัวเองเข้ามานั่งในร้านอาหาร ตรงข้ามกับวลัย ผู้เป็นมารดา

“นี่ยัยวนิ พักนี้แกดูซูบไปนะ ยังทำใจไม่ได้เหรอไง”
“ที่หนูตกเป็นจำเลยสังคมว่าหนูเป็นผู้หญิงกินผัวนี่ มันทำใจได้ง่ายนักเหรอคะแม่”
วลัย ส่ายหัวเบาๆ
“แกก็ จะคิดมากทำมั้ย ในเมื่อมันไม่ใช่ความผิดของแกสักหน่อย คนเรามีเกิดก็มีตายทั้งนั้นแหละ”
“มันผ่านไปแล้วเลิกพูดเถอะค่ะ”
“ทำไม ผัวแกคนแรกแม่ก็เป็นคนจัดแจงให้ ทั้งเชียร์ทั้งยุกว่าแกจะยอมแต่ง ไม่งั้นป่านนี้ ยังจีบกันไม่เสร็จ เสียแต่ว่าโชคร้ายไปหน่อย ยังไม่ทันไรก็รีบด่วนตาย ยังดีที่ยังทิ้งมรดกไว้ให้”
“แม่คะ”
วนิษาปรายตาดุ วลัยรู้ตัว รีบเปลี่ยนเรื่องพูด
“แต่คนที่สองอย่าให้พูดเลย เชอะ อย่างงี้แหละน้า ไปเชื่อพ่อแก เพราะฉะนั้นคนต่อไป แม่ต้องเป็นคนหาให้”
วนิษา ถอนหายใจ อย่างเหนื่อยหน่าย
“ไม่ต้องหาใครให้หนูอีกแล้ว หนูไม่อยากรักใคร ไม่อยากให้ใครต้องมาตายเพราะหนูอีกแล้ว”
“นี่ใจคอแกจะไม่ยอมรักใครอีกเลยใช่มั้ย”
“ถ้าวันนั้นหนูยืนยันไม่แต่งงานกับคุณชาย คุณชายแจ้ก็คงไม่ตาย”
วนิษาหน้าเศร้า พลางคิดถึงเหตุการณ์ในวันที่วลัยนั่งคุกเข่า ร้องไห้อยู่ตรงหน้า ในขณะที่ตัวเธอพยายามพยุงแม่ให้ลุกขึ้น
“ไม่ แม่ไม่ลุก จนกว่าแกจะรับปากก่อนว่าแกจะแต่งงานกับคุณชายแจ้ วนิ คุณชายแจ้ หล่อ รวย เฟอร์เฟ็กต์อย่างนี้ หาได้ที่ไหน ที่สำคัญคุณชายเป็นคนดี ถ้าเป็นคนเลว แม่ก็ไม่ให้มาแต่งงานกับวนิหรอก เชื่อแม่เถอะนะ แม่ขอร้อง”
วลัยร้องไห้คร่ำครวญ จนวนิษาเริ่มใจอ่อน
“แม่”
“นะ วนินะ ไม่มีใครช่วยแม่ได้แล้วนอกจากลูก”
“ค่ะ หนูรับปากค่ะ”

วลัยพยักหน้ารับ
“เออ แม่เล่นละครแต่ก็เพื่อแก แล้วไง คุณชายเป็นคนดีอย่างที่แม่บอกรึเปล่าล่ะ”
“เขาเป็นคนดีค่ะ”
“บอกแล้วไง เออ เดี๋ยวแม่ต้องรีบไปละ ขอของเดือนนี้เลยละกันนะ”
วนิษาหยิบซองออกมาส่งให้ วลัยรีบเปิดดู เห็นธนบัตรอัดแน่นเต็มซอง
“น่ารักจริงๆ รักลูกนะจ๊ะ ไปก่อนนะ เออ เอากาแฟหน่อยมั้ย เดี๋ยวแม่เลี้ยง”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยววนิไปกินที่อื่นค่ะ”

ในร้านกาแฟ วนิษานั่งร่วมโต๊ะอยู่กับวิษณุ
“ช่วงนี้ยังมีใครปากดีมาว่าแกเรื่องกินผงกินผัวอะไรอีกมั้ย”
วนิษา ส่ายหน้า“ไม่มีค่ะ”
“ถ้ามีก็บอกพ่อนะ เดี๋ยวจะส่งคนไปจัดการให้”
“ช่างมันเถอะค่ะพ่อ”
วิษณุ ส่ายหน้าอย่างระอา
“เฮ้อ นี่ถ้าแม่แกมีลูกตาเลือกผู้ชายซะหน่อย แกคงไม่โดนใครเขาว่าอย่างงี้หรอก ไม่รู้ทำไมไปเชียร์
ให้แต่งงานกับคนอ่อนแอ ขี้โรคอย่างงั้น อย่างของพ่อไม่เหมือนกัน มันเป็นอุบัติเหตุใช่ป่ะ”
วนิษา พยักหน้าเซ็งๆ “ค่ะ”
“เสียดายแทนแกจริง ถ้าเสี่ยป๊อกยังไม่ตาย ป่านนี้เขาคงดูแลแกยังกะไทเฮา อยากได้อะไรก็ได้ทั้งนั้น...พ่อเองก็คงเดินยืดในบ่อนน่าดู หึๆ”
“แค่พ่อเลิกเล่นพนัน ไม่เป็นหนี้บ่อน พ่อก็เดินยืดได้แหละค่ะ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม”
“อย่ามาทำสอนเหมือนแม่แกนะ เบื่อมาก”
วนิษา เมินหน้าไปทางอื่นอย่างหงุดหงิด พลางคิดถึงภาพเหตุการณ์ ในวันที่เห็นพ่อถูกจับมัดอยู่กลางบ่อน โดยมีเสี่ยสมชาย กับลูกน้องยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่
“พ่อ พ่อเป็นยังไงบ้างคะ”
วนิษาถามด้วยความเป็นห่วง
วิษณุน้ำตาคลอ “วนิ ช่วยพ่อด้วยลูก”
“ปล่อยพ่อฉันเดี๋ยวนี้นะ คุณอยากได้อะไรก็ว่ามา”
วนิษาหันไปถามเสี่ยสมชาย
“ก็ไม่มีอะไรมาก พ่อของเธอติดหนี้ฉันอยู่ยี่สิบล้าน ถ้าเธอใช้หนี้มา ก็จบ”
วนิษาตกใจ “ยี่สิบล้าน”
พลางหันไปมองพ่อ ที่พยายามบีบน้ำตาสุดฤทธิ์
“พ่อขอโทษ พ่อผิดเอง ลูกไม่ต้องสนใจพ่อหรอก อย่างมากก็ถูกตัดมือตัดเท้า ดีแล้ว พ่อจะได้ไม่ต้องไปเล่นการพนันอีก”
วนิษา หน้าเสีย หันไปพูดกับเสี่ยสมชาย
“สามีฉันเพิ่งเสีย เรื่องมรดกยังไม่เรียบร้อย คุณให้เวลาฉันจัดการซักหกเดือนได้มั้ยล่ะ แล้วฉันจะหามาใช้ให้ครบเลย”
เสี่ยสมชายแกล้งทำเสียงเหี้ยม
“อีกหกเดือนก็ไม่ใช่ราคานี้แล้วนะ เพราะฉันต้องบวกดอกเบี้ยกับค่าเสียเวลาไปด้วย น่าจะซักประมาณ เจ็ดแปดสิบล้านได้มั้ง”
วนิษาตกใจ ในขณะที่เสี่ยสมชาย แกล้งปั้นหน้าเศร้า
“จริงๆฉันก็เห็นใจเธอนะ แต่กฎมันก็ต้องเป็นกฎ เว้นเสียแต่ว่า.”
“แต่อะไรคะ”
เสี่ยสมชาย รีบคว้ามือวนิษามากุม พลางออดอ้อน
“เว้นเสียแต่ว่า หว่าหวาจะยอมแต่งงานกับเฮียน่ะสิ ถ้าเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว หนี้แค่เนี้ย เฮียก็ยกให้ได้”
“นี่ นี่คุณฉวยโอกาสเอาเปรียบฉันเหรอ” วนิษาโวยวายอย่างโมโห
“ฉวยโอกาสที่ไหนกัน เฮียหลงรักหว่าหวามาตั้งแต่เห็นรูปในมือถือของพ่อหว่าหวาแล้วนะ ถึงหว่าหวาจะเคยแต่งงานมาแล้ว เฮียก็ไม่ถือหรอก แล้วรู้อะไรมั้ย เฮียเอารูปหว่าหวาไปให้อาซินแสอีดู อีบอกว่าหว่าหวามี
โหงวเฮ้งระดับนางพญาบูเซ็คเทียน ถ้าได้แต่งงานกัน มีแต่จะเสริมดวงให้เฮียมีแต่เฮงๆ ยิ่งขึ้นเลยนะ”
วิษณุ บีบน้ำตา พลางพูดเสริม
“แต่ถ้าลูกไม่เต็มใจ ไม่ต้องทำก็ได้นะ ใช่สิ ลูกไม่รักพ่อ รักแต่แม่คนเดียว แม่ขออะไรก็ยอม”
วนิษาปล่อยโฮออกมาด้วยความกดดัน

เสี่ยสมชายยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางแอบหันไปชูสองนิ้วให้วิษณุ วิษณุยักคิ้วหลิ่วตา ดีอกดีใจ
 
อ่านต่อหน้า 4

รักออกฤทธิ์ ตอนที่ 1 (ต่อ)

วนิษาดูท่าทางเซ็งๆ แต่วิษณุไม่ได้สังเกต

“แล้วตอนนี้มีใครมาจีบแกบ้างหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ”
“อยู่คนเดียวก็ดีเหมือนกัน”
วนิษาหยิบซองแบบเดียวกับที่ให้วลัยออกมาให้วิษณุ
“ขอบใจนะ แต่อย่างที่บอก นี่พ่อไม่ได้ขอนะ พ่อขอยืม ถ้าพ่อได้เมื่อไหร่พ่อจะเอามาคืน”
“ค่ะ รู้แล้วค่ะ”
วิษณุยกถ้วยกาแฟขึ้นซดรวดเดียวเกลี้ยง
“ช่วงนี้เจอแม่แกบ้างมั้ย”
“เจออยู่ค่ะ”
“สบายดี”
“ค่ะ”
วิษณุพยักหน้า แล้วลุกเดินออกไป วนิษานั่งคนเดียวครู่หนึ่ง แล้วค่อยลุกออกไป โจ ที่นั่งอยู่ ที่โต๊ะติดกันลอบหันไปมอง
“ดูเผินๆ เหมือนเป็นคนกตัญญูนะเนี่ย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาเงินมาจากไหน ยักยอกเอาของผัวเก่ามารึเปล่าก็ไม่รู้”

โจขับรถตามรถของวนิษา ที่เลี้ยวเข้าประตูวังวาสุวงศ์
“มาทำอะไรที่วังของชายแจ้หว่า”
โจจอดรถข้างทาง ลงมามองสำรวจวัง ที่มีรั้วมิดชิด พลางรีบกดมือถือโทร. ออก
“ไอ้ป๋อง ทำอะไรอยู่ มาหาฉันที่วังวาสุวงศ์ต้องการกำลังเสริมด่วน มาเดี๋ยวนี้โว้ย”

หม่อมจันจิรานั่งอยู่ที่ศาลาในสวน กำลังนั่งจิ้มแท็บเล็ตอยู่ ท่าทางเป็นชาววังทุกกระเบียดนิ้ว
วนิษาเดินมาหา
“สวัสดีค่ะคุณแม่”
หม่อมจันจิรา เงยหน้ามายิ้มให้“สวัสดีวนิ”
“คุณแม่ทำงานอยู่เหรอคะ”
“เปล่าจ้ะ วันนี้ตลาดหุ้นไม่ค่อยมีอะไร ตอนนี้กำลังทำกสิกรรมอยู่จ้ะ ลูกค้าออเดอร์เยอะเชียว”
วนิษายิ้ม พลางชะโงกหน้ามาดูหน้าจอ แล้วหัวเราะ
“อ้าว เล่นเกมส์อยู่นี่คะ”
“ก็ใช่น่ะสิ วนิษาความจริงฉันตั้งใจว่าจะร้อยมาลัยถวายพระ แต่เจ็บนิ้วยังไงไม่รู้ เธอช่วยร้อยให้หน่อยสิ”
“ค่ะ”
วนิษาเขยิบมานั่งร้อยมาลัยที่วางเตรียมไว้ หม่อมจันจิราทำเป็นเล่นเกมส์ไม่สนใจ แต่แอบจับตามอง อยู่ตลอดเวลา

ในขณะที่ริมรั้วนอกวัง โจใช้กล้องส่องทางไกลมองเลยรั้วไปที่ศาลา
“ผู้หญิงแก่ๆนั่นใครน่ะ”
ป๋องส่ายหน้างงๆ “ผมจะรู้มั้ยครับเนี่ย”
โจบรรยายตามลักษณะตามที่เห็น ป๋องรีบบอก
“สงสัยจะเป็นหม่อมจันจิรา เป็นแม่ของคุณชายแจ้ ถ้าพูดง่ายๆก็คือแม่ผัวของวนิษาน่ะครับ”
“ฝีมือร้อยมาลัยของวนิษานี่เนี้ยบจริงๆว่ะ สมกับที่เป็นลูกสะใภ้ชาววัง”
“ผมเดาว่าหม่อมจันจิราเป็นคนสอนคุณวนิษาครับ เพราะเส้นทางชีวิตคุณวนิษาไม่มีอะไรเกี่ยวกับทางด้านนี้เลย”
โจพยักหน้า
“อ้อ เปลี่ยนกาให้เป็นหงส์สินะ โอ๊ยๆ จะหล่นแล้ว”
โจ ที่ขี่คอป๋องอยู่ พยายามจะมองเข้าไปในรั้วได้ ป๋องยึกยัก จนโจเกือบหล่น ดีที่ตะครุบยึดรั้วเป็นหลักไว้ได้ก่อนที่จะร่วง
“ยืนดีๆสิวะ”
“โทษที ตัวอะไรไต่ขาไม่รู้”
“เฮ้ย อะไรวะนั่น” โจทำเสียงตกใจ
“มีอะไรเหรอพี่”
“ดูเหมือนยัยวนิษากำลังวางยาแม่ผัวว่ะ”

ทางด้านวนิษา วางมาลัยที่ร้อยไปได้มากพอสมควร พลางเงยหน้ามาถามหม่อมจันจิรา “หม่อมจิบชาหน่อยไหมคะ”
“เอาสิ ดีเหมือนกัน”
“วันนี้ดอกไม้สีแปลกๆนะคะ”
“เหรอ”
หม่อมจันจิราหันไปมองดอกไม้ วนิษาหยิบถ้วยน้ำชาของหม่อมจันจิรามา เอาตัวบังไว้แล้วหยิบห่อกระดาษที่เตรียมไว้ เทผงสีขาวลงในถ้วยชา แล้วเทน้ำชาตาม เขย่าถ้วยเบาๆ
“ฉันว่าก็ดูสวยดีนี่นา”
“งั้นหรือคะ หนูอาจจะคิดไปเอง น้ำชาค่ะ”
หม่อมจันจิรารับถ้วยชามาจิบ วนิษาแอบยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะร้อยมาลัยต่อ

“เป็นไงบ้างพี่”
ป๋องเงยหน้าถามโจ
“ยัยป้ากินเข้าไปแล้ว แต่ยังไม่ชักดิ้นชักงอ อาจจะเป็นยาพิษที่ต้องสะสมสักพักค่อยออกฤทธิ์ การวางยาแบบนี้จะจับคนลงมือยาก เพราะจะตรวจสอบเรื่องเวลาลงมือไม่ได้”
“ร้ายจริงๆ”


วนิษานั่งร้อยมาลัยจนเสร็จ หม่อมจันจิรารับมาดูด้วยความพอใจ
“ร้อยเก่งขึ้นนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงจันทร์ธิดา เดินตรงมาที่ศาลา พลางเอ่ยทักมารดา
“สวัสดีค่ะคุณแม่
วนิษายกไหว้ แต่ หญิงจันทร์ธิดา ทำเฉย
“ทำไมจะมาเยี่ยม ไม่โทรมาบอกก่อน”
หม่อมจันจิราหันมาถามลูกสาว
“บังเอิญผ่านมาน่ะค่ะเลยแวะเข้ามา โชคดีจริงๆ เพราะหนูไม่อยากให้ยัยนี่อยู่กับคุณแม่สองคน อีกอย่างแถวศาลานี่งูพิษมันเยอะด้วย”
วนิษาหน้าตึง นึกรู้ว่า หญิงจันทร์ธิดา จงใจว่ากระทบ
“เมื่อไหร่เธอจะเลิกอคติกับวนิซะที”
หญิงจันทร์ธิดา เบ้ปาก
“อคติเหรอคะ อีกไม่นานหรอกค่ะ หนูจะเอาหลักฐานมาแฉให้คุณแม่ดูว่า ยัยนี่อันตรายแค่ไหน”
วนิษาเชิดหน้า
“ถ้าคุณหญิงจุ๋มไม่มีหลักฐาน คุณหญิงจุ๋มก็จะอคติกับฉันไปตลอดเลยใช่มั้ยคะ”
“ใช่ หลักฐานน่ะ แค่เอามายืนยันความเลวของเธอให้โลกรู้ แต่ไม่จำเป็นสำหรับฉัน ต่อให้ไม่มีหลักฐาน ฉันก็แน่ใจและจะไม่มีวันเปลี่ยนความคิด ว่าเธอนั่นแหละคือฆาตกรที่ฆ่าน้องชายฉัน”
หม่อมจันจิรา หันมาทำตาดุใส่ลูกสาว
“ฉันพูดจนเบื่อแล้วนะหญิงจุ๋ม คนมีการศึกษามีสติปัญญาอย่างเธอ ทำไมถึงไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ คำพูด และการกระทำให้มันเหมาะสมกับฐานะของตัวเอง ยิ่งมายิ่งเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกที”
“หนูยอมรับค่ะ แต่คุณแม่ก็รู้ว่าหนูรักน้องแค่ไหน ยิ่งรักมากก็ยิ่งแค้นมาก”
หญิงจันทร์ธิดา นั่งลง พลางจ้องหน้าวนิษาตาเขม็ง หม่อมจันจิราถอนใจเบาๆ วนิษานิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะไหว้ลาทั้งคู่
“งั้นวันนี้หนูลากลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะคุณแม่ สวัสดีค่ะคุณหญิง”
“สวัสดีจ้ะ”
หม่อมจันจิรารับไหว้ยิ้มๆ ในขณะที่ ม.ร.ว. จันทร์ธิดาเชิดหน้านิ่ง

วนิษาขับรถอยู่บนถนน พลางมองที่กระจกมองหลัง เห็นรถของโจตามมาห่างๆ วนิษาเอะใจ ลองเปลี่ยนเลนกระทันหัน เลี้ยวซ้ายทันที รถของโจรีบเลี้ยวตาม วนิษาตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมาโทร. ออก
“ฉันกำลังจะไปถึงนะ แต่เหมือนจะมีคนสะกดรอยตาม อาจจะเป็นคนของพวกเสี่ยเพ้ง มีข่าวว่ามันจะส่งคนมาอุ้มฉัน ได้ แล้วเจอกัน”
วนิษาวางสาย มองที่รถของโจ พลางเปลี่ยนจากเลนขวาเข้าเลนซ้าย แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง แต่คราวนี้รถของโจ ไม่เปลี่ยนตาม ขับตรงเลยแยกไปเลย

“ทำไมไม่ให้ผมเลี้ยวตามไปล่ะพี่”
ป๋อง ที่ทำหน้าที่โชเฟอร์ หันไปถามโจ ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ยัยนั่นเริ่มสงสัยเราแล้ว ถึงขับออกนอกเส้นทางแบบนั้น ขืนตามไปอีกเขารู้ตัวแน่ๆ”
“แล้วเอาไงล่ะครับ”
“จอดตรงนี้ เดี๋ยวฉันตามต่อเอง”
ป๋องจอดรถ โจรีบคว้าเป้สะพายหลังคู่ชีพแล้วลงจากรถ พลางเหลือบเห็นมอเตอร์ไซค์วินคันหนึ่งผ่านมาพอดี โจรีบโบกเรียก แล้วขึ้นซ้อนท้าย ก่อนจะบอกเป้าหมาย

มอเตอร์ไซค์ยูเทิร์นกลับทันที พลางเร่งเครื่องจนเห็นท้ายรถวนิษาลิบๆ

มอเตอร์ไซค์วิน พาโจที่นั่งซ้อนท้าย วิ่งเข้ามาในซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่ง โจเห็นท้ายรถของวนิษาวิ่งไปทางท้ายซอย โจรีบสะกิดบอกคนขับ

“จอดนี่แหละ”
คนขับจอด โจส่งเงินให้ พลางวางเป้หลังลงพื้น รื้อค้นอุปกรณ์ต่างๆ แล้วหยิบวิกผมสีส้มมาสวม ติดหนวดเคราปลอมเต็มหน้า จากนั้นก็ติดฟันปลอมยื่นๆ ใส่คอนแท็กเลนส์สีน้ำตาล ทาหน้าด้วยครีมรองพื้นสีคล้ำ ติดรอยย่นหางตา ก่อนที่จะเก็บเป้ สะพายหลัง ย่องตามเข้าไปในซอยลึกอย่างรวดเร็ว

โจอาศัยกองข้าวของหลังบ้านใครสักคนแถวนั้น เป็นที่กำบัง พลางค่อยๆโผล่หน้าเข้าไป เห็นรถวนิษาโดนรถเก๋งสีดำปาดหน้า ไปต่อไม่ได้ ชายฉกรรจ์ 3 คน ลงมาจากรถพร้อมอาวุธครบมือ ตรงมาที่รถวนิษา
ทันใดนั้นมือถือของโจก็ดัง โจสะดุ้งโหยง รีบหลบ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดรับ
“เป็นไงบ้างพี่โจ”
ป๋องถามมาทางปลายสายด้วยความเป็นห่วง
“วนิษาหนีเราออกนอกเส้นทาง กลายเป็นเข้าทางโจรว่ะ โดนแก๊งไหนไม่รู้ดักไว้”
“แล้วทำไงอ่ะพี่ แจ้งตำรวจไหม”
“กว่าพี่หรวดจะมา สงสัยไม่ทันว่ะ”
“พี่โจต้องเข้าไปช่วยเขานะ”
โจยื่นหน้าออกไปดู เห็นชายฉกรรจ์หน้าตาเหี้ยมเกรียมทั้งสาม ยืนล้อมรถวนิษาอยู่ โจหดหน้ากลับมาคุยมือถือต่อ
“ไม่ไหวว่ะ หน้าตาพวกมันแต่ละคนนี่อย่างโหด สิบล้อเมายาเห็นแล้วยังหักหลบ ฉันสู้พวกมันไม่ได้หรอก”
“ไม่ได้นะพี่ วนิษาเขาออกนอกเส้นทางเพราะหลบเรา มันความรับผิดชอบของพี่นะ”
โจ ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
“ฉันไม่ได้บอกให้เขาเลี้ยวซ้ายนี่หว่า ทำไมไม่เลี้ยวขวาไปล่ะ”
“อย่าแถเดะ มันเป็นความรับผิดชอบของพี่”
“หนวกหูโว้ย”
โจกดวางสาย พลางยื่นหน้ามองไป เห็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งควักกระบองสีดำออกมา ตั้งท่าจะฟาด วนิษาเปิดประตูรถออกมา โจรื้อๆกระเป๋าย่าม พลางหยิบสนับมือมาสวม
“มีสนับมืออันเดียวจะไปสู้อะไรกับพวกมันได้วะ ขอโทษนะคุณวนิษา ตัวใครตัวมันนะครับ ผมก็ต้องเอาตัวรอดเหมือนกัน”
โจมองไป เห็นวนิษาก้าวออกมาจากรถแล้ว ชายฉกรรจ์แต่ละคนก้มมองที่ช่วงล่างของวนิษา
“ดูมัน มองแต่ช่วงล่าง อย่างนี้คงโดนพวกมันปู้ยี่ปู้ยำแน่ๆ ทนดูไม่ได้จริงๆ”
โจขยับจะเดินผละออกมา
“แต่ว่า ที่เขาต้องมาเจอแบบนี้มันเป็นความรับผิดชอบของเรานี่หว่า”
ในที่สุดโจก็หันกลับไป กำสนับมือแน่น
“เอาวะ ลูกผู้ชายกล้าทำก็กล้ารับ กล้าทับก็กล้าพาไปฝากท้อง”
โจวิ่งพรวดออกไป ชี้ไปที่พวกชายฉกรรจ์ กำลังจะตะโกน แต่เห็นชายฉกรรจ์ก้มหัวให้วนิษาอย่างนอบน้อม กระบองที่โจเห็น แท้จริงคือร่ม ที่ถูกกางกันแดดให้ โจรีบยกมือปิดปากตัวเองทัน
“สวัสดีครับตั่วเจ๊”
ปฐม หนึ่งในสามชายฉกรรจ์ เอ่ยทัก วนิษาพยักหน้า โจหลบเข้าที่กำบังแทบไม่ทัน
“ลูกน้องหรอกเหรอเนี่ย เกือบโชว์โง่แล้วไหมล่ะ”
“พวกที่สะกดรอยตั่วเจ๊ล่ะครับ มันอยู่ไหน ผมจะเก็บมันเอง”
ปฐมที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าทีม ถามด้วยความเป็นห่วง โจรีบหดหน้าเข้ามาอีก
“ช่างมันเถอะ ฉันเสียเวลามากแล้ว”
วนิษาเดินขึ้นรถสีดำ ปฐมไปนั่งข้างคนขับ ชายฉกรรจ์อีกคนขึ้นไปทำหน้าที่คนขับ ส่วนชายฉกรรจ์อีกคนขึ้นไปขับรถที่วนิษาขับมา
รถวนิษาคันแรกวิ่งตรงต่อไป ขณะที่รถสีดำที่วนิษาเปลี่ยนมานั่ง กลับรถวิ่งย้อนออกมาทางเดิม รถผ่านตรงทางเข้าซอย เมื่อรถผ่านไป โจก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากที่ซ่อนมองตามรถสีดำไป
“ตั่วเจ๊เนี่ยนะ”.

รถเก๋งสีดำวิ่งผ่านย่านไชน่าทาวน์ที่จ๊อกแจ๊กจอแจ เลี้ยวเข้าซอยเล็กๆแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะจอดเอี๊ยด วนิษากับปฐมลงจากรถ เข้าประตูด้านข้างของตึกแถวห้องหัวมุมห้องหนึ่ง โจลงจากแท็กซี่คันหนึ่ง แล้วรีบเดินตาม พลางมองเข้าไปบ้านที่วนิษาเดินเข้าไป ดูเหมือนบ้านคนธรรมดา แต่ประตูล็อกแน่นหนา
โจรีบหลบเมื่อเห็นคนท่าทางป๋าๆ เดินเข้าไปภายในร้าน มีคนเฝ้าประตูอยู่ ทั้งสองโต้ตอบกันสั้นๆ คนที่เฝ้าประตูเปิดประตูให้เข้าไป
โจหยิบมือถือมา กดข้อความหาป๋องทันที ในขณะที่ป๋อง รีบจอดรถข้างทาง แล้วหยิบมือถือมากดอ่านข้อความ
“ไปหาลูกค้า ขอเบิกเงินเพิ่มเพราะเริ่มเสี่ยงมากขึ้น ถ้าลูกค้ายึกยักไม่จ่ายก็คืนงานได้เลย
ป.ล.แกต้องให้เขาจ่ายให้ได้ เพราะเราไม่มีงานอื่น แล้วถ้าคืนนี้ไม่เจอฉัน ให้พา ตร.มาตามที่อยู่นี้”
ป๋องอ่านจบ ก็ถึงกับอึ้งไป
“เวรแล้วไง ลืมเขียนไปในรายงาน บ้านหลังนั้นมัน...”
พลางรีบพิมพ์มือถือตอบกลับไป
“ที่นั่นอันตรายมาก ถอนตัวด่วน จะทันมั้ยเนี่ย”

โจ ในคราบปลอมตัว เก็บมือถือ กระเป๋าสตางค์ และทุกอย่างในเป้สะพายหลัง แล้วโยนเป้ขึ้นไปบนกันสาดที่ลับตาคน พร้อมๆ กับที่มือถือส่งสัญญาณว่าข้อความเข้า แต่โจไม่ได้ยิน
ป๋องนั่งมองดูมือถือ เห็นโจยังไม่อ่านข้อความ ก็ถอนหายใจเฮือก
“สงสัยไม่ทัน พลาดท่ายังไงก็อย่าให้ถึงตายนะลูกพี่ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันจ่ายเงินเดือนเล้ว ไปทวงเงินลูกค้าก่อนละกัน ยัยลูกค้าก็ดูเขี้ยวไม่เบา จะยอมจ่ายมั้ยเนี่ย”
ป๋องพูดพลาง รีบเก้บมือถือ ท่าทางหนักใจ

โจยังจับตามองอยู่ที่เดิม สักพักก็มีผู้หญิงมาอีกคน โจจ้องมองเขม็ง ทั้งสองโต้ตอบกัน ก่อนที่คนเฝ้าประตู จะเปิดประตูให้ คนต่อมาเป็นลุงแก่ๆ โจจับตามองที่ปากของลุงเขม็ง ก่อนที่จะยิ้มออกมา แล้วเดินเข้าไปบ้าง คนเฝ้าประตูมองโจ โจยิ้มมั่นใจ ยักคิ้วให้
“วันนี้หมาสีอะไร”
“สีขาว”
คนเฝ้าไม่เปิดประตู ซ้ำยังมองโจแบบไม่ไว้ใจ โจชะงัก ยิ้มหุบทันที รู้ตัวว่าคงอ่านปากผิด รีบแก้ตัว
“สีเทา”
คนเฝ้าประตูยังไม่เปิด แต่ล้วงมือลงไปจับด้ามปืนพก ที่เหน็บอยู่ที่เอว
“เดี๋ยวๆ แป๊บนึงนะ”
โจหันมา ทำปากสระเอา พยายามนึกหาคำอื่น
“อาวๆๆ สีอะไรวะ สียาว สีมาว สีคาว สีฮาว สีบาว สีนาว”
โจเห็นคนเฝ้าประตูจับปืนกำลังจะชักออกมา
“นึกออกแล้วๆ สีบราวน์”
คนเฝ้าประตูชะงัก โจรีบพูดย้ำ “brown”

คนเฝ้าประตูเปิดประตูให้ โจแอบโล่งอก
 
อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น