ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 11
รถนำขบวนรถของพระนางสาวิตรีแล่นมาในความมืด พระนางสาวิตรีร้อนรนนิดหน่อย
มองโทรศัพท์บ่อยครั้ง เจ้าชายมาคีหันมามอง พระนางสาวิตรีรีบยิ้มให้ เสียงข้อความเข้ามือถือพระนางสาวิตรีรีบเปิดดู
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผนแล้วเพคะ”
พระนางสาวิตรียิ้มร้าย มองออกนอกหน้าต่างพูดลอยๆ
“เส้นทางนี้ต้องผ่านตำหนักมัทนาไม่ใช่เหรอ”
“พะยะค่ะ” พลขับรับคำ
“มีอะไรเหรอครับ” เจ้าชายมาคีสงสัย
“เรายังพอมีเวลาแม่ว่าเราแวะทักทายท่านหญิงสักหน่อยดีมั้ย อยากรู้ว่าทางเราอำนวยความสะดวกให้สมฐานะหรือเปล่า”
“เสด็จแม่” เจ้าชายมาคีมองดีใจ
“ยังไงเขาก็ต้องมาเกี่ยวดองกับเราอยู่แล้ว เมื่อวันก่อนแม่ก็เสียมารยาททำของที่ระลึกของท่านหญิงแตก แล้วก็ยังไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหารด้วย เดี๋ยวท่านหญิงจะไม่สบายใจ”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่มาก ท่านหญิงและคุณมัทต้องรู้สึกดีมากๆที่เสด็จแม่ทรงแวะไปเยี่ยมเยียน” เจ้าชายมาคีชะโงกบอกคนขับ “แวะตำหนักคุณมัทนาก่อนนะ”
“พะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีหันมายิ้มให้แม่ พระนางสาวิตรียิ้มตอบสีหน้าท่าทางเหมือนใจดีมากๆ
มินตราเข้ามาในห้องนอนมัทนายิ้มกระหยิ่มนึกภาพในจิตนาการของตนเอง...มัทนานั่งหันหลังอยู่ในความสลัว อัคนีเคลื่อนเข้ามาหาอย่างเงียบกริบ เข้าสวมกอด มัทนาตกใจจะร้อง อัคนีริบปิดปาก
“ผมเองคุณมัท ผมมาช่วยคุณแล้ว”
“คุณอัคนี นี่มันอะไรกันคะ” มัทนางง
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย รีบไปกันเถอะ”
ประตูเปิดผางเข้ามา ไฟสว่างจ้า พระนางสาวิตรีกับเจ้าชายมาคีเข้ามา เห็นภาพอัคนีกอดมัทนาอยู่
“นี่มันอะไรกัน”
มัทนางง อัคนีรีบประกาศ
“ผมเป็นคนรักของคุณมัทนา ผมจะมาพาคุณมัทนากลับเมืองไทย”
เจ้าชายมาคีงง พระนางสาวิตรีเกรี้ยวกราด
“นึกอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ บังอาจมากที่กล้าคบชู้สู่ชายถึงในตำหนัก”
“เดี๋ยวก่อนเพคะ ทรงฟังหม่อมฉันก่อน”
มัทนาผลักอัคนีไป แล้ววิ่งไปหา พระนางสาวิตรีตบหน้ามัทนาเซไปแล้วเข้าไปอ้อนเจ้าชายมาคี
“เจ้าชาย หม่อมฉันไม่ได้...”
“ไม่นึกเลย ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจแบบนี้”
พระนางสาวิตรีหันไปสั่งชาลี
“ชาลีจับนังผู้หญิงแพศยากับชู้รักของมัทไปเดี๋ยวนี้”
มัทนาตะลึงมองเจ้าชายมาคีซึ่งมองเธออย่างผิดหวัง
“ไม่ใช่นะเพคะเจ้าชายทรงเข้าใจหม่อมฉันผิด”
ชาลีกับทหารกรูเข้ามาจับตัวมัทนากับอัคนี
“เฮ้ย ปล่อยนะโว้ย...รู้มั้ยฉันลูกใคร”
มินตรายืนอยู่หน้าเตียงยิ้มสะใจ มองมัทนาที่ยังหลับสนิทบนเตียงสีหน้าหมายมาด รำพึงในใจ
“ฝันดีซะให้พอนะนังมัทนา เพราะอีกเดี๋ยวเดียวแกจะต้องฝันร้ายไปตลอดชีวิต”
มินตราค่อยๆออกไปจากห้องอย่างเงียบกริบ เสียงมัทนาดังขึ้น
“พี่มิน”
มินตราสะดุ้ง
“คุณมัทยังไม่นอนอีกเหรอคะ”
“มัทนอนไม่หลับ ขอยานอนหลับหน่อยได้มั้ยคะ”
“เดี๋ยวพี่เอามาให้นะคะ”
มินตราเดินออกคิดแผนร้าย
“ดี ยิ่งแกไม่รู้สึกตัว ฉันจะได้จัดฉากง่ายๆ”
คามินเดินสำรวจรอบตำหนักมัทนาอย่างร้อนใจ
“พวกองครักษ์หายไปไหนหมด”
ชาลีกับองครักษ์อีก 3 คนนั่งหลับไม่ได้สติอยู่ตามมุมต่างๆในมุมมืดของตำหนัก
มัทนากำลังจะกินยาที่มินตรามาวางไว้ แล้วชะงัก เหมือนได้ยินเสียงอะไร...คามินเดินเข้ามาในตำหนักที่เงียบเชียบไร้ผู้คนอย่างร้อนใจเดินผ่านมุมหนึ่งแล้วมัทนาก็กระโจนเข้ามาด้านหลังเอาผ้าพันคอคล้องตัวคามินจะมัดแล้วถีบข้อพับคามินเข่าทรุดลงข้างหนึ่ง มัทนายังไม่รู้ว่าเป็นคามินมองยิ้มสะใจแล้วจะถีบข้อพับอีกข้าง คามินไวกว่าลุกขึ้นแล้วดึงผ้าที่ตัวออกหันมาคล้องตัวมัทนาอย่างรวดเร็ว คามินกับมัทนา หน้าใกล้กันมากมองหน้ากันอย่างตกใจ
“คุณ”
คามินกับมัทนา มองหน้ากันหวั่นไหว คามินได้สติรีบถอยออกแต่ลืมไปว่ามือยังจับผ้าพันคอคล้องตัวมัทนาอยู่ทำให้หงายหลังล้มลงแล้วดึงมัทนาลงมาด้วย
“เฮ้ย/ว้าย”
มัทนานอนอยู่บนตัวคามิน ต่างคนมองกันหวั่นไหว
รถสาวิตรีวิ่งมาจอดหน้าตำหนัก สินธรกับชวาล รีบวิ่งมาเปิดประตูให้ พระนางสาวิตรีกับเจ้าชายมาคี ลงจากรถ มินตราวิ่งออกมาจากข้างตำหนักรีบมาต้อนรับทำความเคารพพระนางสาวิตรีกับเจ้าชายมาคี
“องค์ราชินี เจ้าชาย เสด็จมาค่ำมืดมีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่าเพคะ”
“เรากับเสด็จแม่เพิ่งกลับจากงานเลี้ยงผ่านมาทางนี้ เลยถือโอกาสแวะเยี่ยมท่านหญิงน่ะ”
“ท่านหญิงอ่านหนังสืออยู่ในห้อง เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปเรียนให้เพคะว่าฝ่าบาทเสด็จ”
พระนางสาวิตรีเริ่มเข้าแผน
“ท่านหญิงพักผ่อนอยู่ก็อย่ารบกวนเลย...มัทนาล่ะนอนรึยัง”
มินตรามองพระนางสาวิตรีอย่างรู้กัน
“ยังเพคะ”
เจ้าชายมาคีดีใจมาก
“เสด็จแม่จะเยี่ยมคุณมัทเหรอพะยะค่ะ”
“ไหนๆมาแล้วก็ดูซะหน่อยว่าพระคู่หมั้นอยู่ที่นี่สุขสบายดีรึเปล่า”
พระนางสาวิตรีเดินไป เจ้าชายมาคีตามไป ชวาลมองพระนางสาวิตรีแปลกใจ
“เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่สุดในรายา” ชวาลมองรอบๆ “แล้วทำไมมันเงียบขนาดนี้ องครักษ์ไปไหนหมด”
ชวาลรีบเดินตาม
มัทนายังนอนทับบนตัวคามินมองหน้ากัน คามินได้สติรีบเบือนหน้าไปอีกทาง
“ลุกขึ้นเถอะครับ”
มัทนามองคามินไม่พอใจ
“พูดอย่างกับว่าฉันอยากจะอยู่อย่างนี้นักนี่”
มัทนาจะลุกแต่ผ้าพันคอยังคล้องตัว คามินนอนทับชายผ้าอยู่ทำให้มัทนาล้มลงมาหาคามินอีก
“ทับชายผ้าไว้อย่างนั้นฉันจะลุกได้ยังไง”
คามินรีบหมุนตัวเพื่อเอาชายผ้าที่ทับอยู่ออก มัทนากลิ้งลงจากตัวเขาร้องอย่างตกใจเอามือกอดคอเขาให้พลิกตัวมาด้วยกลายเป็นว่าคามินนอนทับบนตัวมัทนา ทั้งสองจ้องหน้ากันหวั่นไหว คามินอดใจไม่ไหวจะจูบ มัทนามองเคลิ้ม ยินยอม คามินได้สติชะงัก
“เราไม่ควรทำอย่างนี้”
มัทนาเสียฟอร์ม
“ทำอะไร ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย...แล้วจะอยู่อย่างนี้อีกนานมั้ยเดี๋ยวใครมาเห็นเข้าก็เข้าใจผิดกันพอดีว่าฉันแย่งสามีคนอื่น...ลุกออกไปเดี๋ยวนี้”
คามินจะลุกแต่แขนข้างหนึ่งยังทับผ้าลุกไม่ได้
“ผมเอาออกไม่ได้”
“อย่ามาลูกไม้ เป็นตั้งหัวหน้าองครักษ์ เรื่องแค่นี้ทำไม่ได้ คิดจะลวนลามฉันน่ะซิ”
คามินชักมีดออกมา มัทนาอึ้ง
“จะทำอะไร จะฆ่าฉันปิดปากเหรอ”
“ผมก็อยากทำอย่างงั้น”
มัทนาจะร้อง คามินปิดปากแล้วจ้วงมีดลง
มินตราพาพระนางสาวิตรี เจ้าชายมาคี สินธร ชวาล เดินเลี้ยวเข้ามาในห้องโถง แต่คามิน มัทนาหายไปแล้ว
“พระคู่หมั้นอยู่ในห้องเดี๋ยวหม่อมฉันไปตามให้นะเพคะ” มินตราแสร้งพูด
พระสาวิตรีรีบขัดอย่างรู้กัน
“ไม่ต้องหรอกพาเราไปหามัทนาที่ห้องเลย”
เจ้าชายมาคีดีใจมาก
“เสด็จแม่จะเซอร์ไพร้สคุณมัทเหรอพะยะค่ะ”
ชวาลมองพระนางสาวิตรีแปลกใจ พระนางสาวิตรีพยักหน้าแล้วมองมินตราอย่างรู้กัน ผ้าพันคอขาดหล่นอยู่ไม่มีใครเห็น
มัทนาเดินถือผ้าพันคอที่คามินตัดขาดอีกส่วนมาหลังตำหนัก ออกมาคนละทางกับขบวนสาวิตรี คามินตามมาร้อนใจ
“คุณจะไปไหน”
“หาตัวคนร้าย...ฉันได้ยินเสียงกุกกักเหมือนคนเข้ามาในตำหนักเลยไปซุ่มในห้องนั้นเพื่อจับตัวมัน”
คามินยิ่งร้อนใจเพราะองครักษ์หายหมด เขาอยากให้มัทนาเข้าห้อง
“คงเป็นเสียงผม”
“ฉันได้ยินเสียงจากทางนี้คนละทางกับที่คุณมา”
“ผมจะดูให้เองคุณเข้าห้องเถอะครับ”
มัทนามองคามินหมั่นไส้
“ยังไม่อยากเข้า อยากหาตัวคนร้ายเองมีอะไร มั้ย”
คามินมองมัทนาหนักใจ
“ผมทำอะไรพระคู่หมั้นไม่ได้หรอกครับนอกจากขอร้อง...ขอร้องละครับ”
“อยากร้องอะไรก็ร้องเลยแต่ฉันไม่ฟัง”
มัทนาเดินลอยหน้าลอยตาออกไปอย่างกวนประสาท คามินมองหนักใจแล้วเดินตาม
ประตูห้องมัทนาค่อยถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา...อัคนีในชุดหน้ากากโซโลกระโดดมายืนโพสท่าอย่างเท่ๆ
“ที่รักจ๋า”
อัคนีรีบปิดปากตัวเองที่พูดเสียงดัง แล้วปิดประตูห้องมองผ้าห่มที่คลุมหมอข้างอยู่คิดว่าเป็นมัทนา อัคนีค่อยๆย่อยไปที่เตียงอย่างแผ่วเบาพูดกระซิบ
“ที่รักจ๋า ที่รัก...ผมมาแล้ว นอนนิ่งเชียวตื่นเต้นที่ผมมาเหรอครับ มามะผมนะจะได้หายตื่นเต้น”
อัคนีกระโจนขึ้นเดียวกอดหมอนข้างอย่างแรง
“ตัวนิ่มที่สุดเลย ขอหอมให้หายคิดถึงหน่อยนะครับ”
อัคนีเปิดผ้าห่มออกแล้วตกใจมากที่เห็นเป็นหมอนข้าง
“เฮ้ย”
แล้วอัคนีก็สะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือหนึ่งจับข้อเท้า
“เฮ้ย”
เรณูผมยุ่งเหยิงค่อยๆโผล่ออกมาจากข้างเตียงอย่างสะโหลสะเหล
“เรณูเวียนหัว...ช่วยด้วย”
อัคนีมองเรณูตกใจสุดขีด
“อ๊าก...ผี...ช่วยด้วย...ผีหลอก”
เรณูสลบไปแต่มือยังกำข้อเท้าอัคนี
“อ๊าก”
อัคนีรีบสะบัดเท้าออกจากมือเรณูจะวิ่งออกจากห้อง ประตูเปิดเข้ามา อัคนีชนพระนางสาวิตรีกระเด็นไป แล้ววิ่งหนี
“ว้าย”
มินตรางง เจ้าชายมาคีคว้าตัวไว้
“แกเป็นใครเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง”
“ปล่อยนะโว้ย”
อัคนีถองมาคีตัวงอ ชวาลคว้าของใกล้มือ ฟาด อัคนีทรุดลง
“นี่แน่ะ บังอาจทำร้ายเจ้าชายเหรอ”
ชวาลจะฟาดอีกที อัคนีควักปืน
“อย่านะโว้ย...”
“ไม่มีอะไร ถือไว้เล่นๆ” ชวาลยิ้มแหยๆ
คามินวิ่งเข้ามาพอดี มัทนาตามมา
“คามิน ไอ้นี่มันลอบเข้าไปในห้องมัทนา”
“คุณมัท” อัคนีเข้าไปหา “ไม่ต้องกลัว ผมมาช่วยคุณแล้ว”
มินตราจะบ้าตาย อัคนีส่ายปืน
“พวกแกถอยไป”
ทุกคนถอย อัคนีจับข้อมือมัทนา
“ไปกันเถอะที่รัก”
มัทนาใช้วิชายูโดจับอัคนีทุ่มลงบนพื้นอย่างแรง อัคนีจุกหลังแอ่นร้องไม่ออก จะลุกขึ้นก็ถูกคามิน คาราเต้เข้าคอสลบ เจ้าชายมาคีมองอัคนีอย่างโมโห
“บังอาจมาก...แกเป็นใคร”
มาคีกระชากหน้ากากออกเห็นว่าเป็นอัคนี มัทนากับคามิน มองอย่างตกใจ
“คุณอัคนี”
วังหลวงรายาวันใหม่...ราชาอินทราตกใจ
“มีคนร้ายบุกไปถึงห้องนอนของมัทนาเหรอ”
“พะยะค่ะ” โภคินยืนรายงานอยู่
ธรรมรัตน์ตกใจมาก
“แล้วลูกผมเป็นอะไรรึเปล่า”
“พระคู่หมั้นปลอดภัยดีครับ เพราะว่าเมื่อคืนท่านคามินเข้าไปตรวจตราที่ตำหนักพอดี”
ธรรมรัตน์ร้อนใจเป็นห่วงลูกสาว
“เช่นนั้น ผมคงต้องขอตัวไปดูท่านหญิงกับลูกก่อน”
ราชาอินทราหันมาบอก
“ไม่ต้องห่วง เราจะจัดการลงโทษคนร้ายอย่างสาสาสม”
ธรรมรัตน์โค้งแล้วรีบไปโภคิน
“ฝีมือใคร”
“ยังไม่ทราบพะยะค่ะ คนร้ายเพิ่งจะฟื้นจากสลบ ตอนนี้คามินกำลังสอบสวนอยู่ แต่ว่า เมื่อคืนองค์ราชินีกับเจ้าชายเสด็จไปที่ตำหนักรับรองด้วย”
ราชาอินทราแปลกใจ
“สาวิตรีน่ะเหรอ”
ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 11 (ต่อ)
พระนางสาวิตรีเดินไปเดินมาอยู่ในตำหนักอย่างร้อนใจ มินตราคลุมผ้าที่ผม เดินเข้ามาอย่างระแวดระวัง
พระนางสาวิตรีพูดกับมินตราอย่างโมโห
“ทำไมมาช้านัก”
“ท่านคามินพาองครักษ์หลายสิบคนมาตรวจค้นตำหนัก หม่อมฉันหาทางอยู่นานกว่าจะหลบออกมาได้เพคะ”
“แล้วไอ้คามินมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไง”
“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ...แต่หม่อมฉันคิดว่าคุณมัทอาจจะนัดท่านคามินมาพลอดรักเลยบังเอิญมาเจอคุณอัคนีเข้า”
“ลักลอบมาพลอดรักกันถึงตำหนัก...แพศยา”
มินตรามองพระนางสาวิตรียิ้มสะใจ
“ชู้รักนังมัทนาก็ช่างโง่เง่ายอมให้ถูกจับตัวไว้ได้ ไอ้คามินฉลาดจะตายถ้าเค้นความจริงจนพาดพิงไปถึงเธอแล้วจะทำยังไง”
“หม่อมฉันยอมตาย แต่จะไม่ยอมพูดอะไรเด็ดขาด ทรงวางพระทัยได้เพคะ”
พระนางสาวิตรีมองถูกใจ
“เจ้านี่ใจเด็ดใช้ได้นะ ถ้าอย่างงั้นก็เหลือแค่ทำให้ไอ้โง่นั่นไม่มีสิทธิ์พูดอะไรได้อีก”
มินตรามองพระนางสาวิตรีทำเป็นตกใจ
“พระองค์ทรงหมายความว่า...”
พระนางสาวิตรีแววตาเหี้ยม
ลานลงฑันฑ์...องครักษ์ผลักอัคนีที่ใส่กุญแจมือเข้ามา
“พวกแกทำกับฉันอย่างนี้ไม่ได้นะ รู้มั้ยว่าพ่อฉันเป็นใคร”
คามินเดินตามเข้ามา
“แต่ตอนนี้คุณอยู่บนแผ่นดินรายา ชื่อพ่อคุณคงใช้ไม่ได้หรอก”
คามินเดินไปจ้องหน้า อัคนีมองตกใจโวยวาย
“แกจะทำอะไรฉัน...คุณมัทช่วยผมด้วย...คุณมัท...ป๊าจ๋าไอ้คามินจำฆ่าผมช่วยผมด้วย”
“ตำหนักในมีองครักษ์คุ้มกันแน่นหนา ไม่มีใครลอบเข้ามาได้ง่ายๆ เล่ามาให้หมดว่าคุณเข้าตำหนักในได้ยังไง”
“ฉันจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น คำพูดของฉันจะถือว่าเป็นคำให้การในชั้นศาล ตามกฎหมายฉันมีสิทธิ์โทรหาญาติเอาโทรศัพท์มาฉันจะโทรให้ป๊าพาทนายที่เก่งที่สุดของเมืองไทยมาว่าความให้”
คามินมองอัคนีหนักใจ สินธรเดินเข้ามาร้อนใจ
“ท่านคามิน...ชาลีกับพวกองครักษ์ยังไม่ฟื้น คาดว่าคงถูกวางยา”
“ต้องมีคนในร่วมมือด้วย...” คามินหันไปพูดกับอัคนี “ถ้าคุณยอมพูดว่าใครเป็นคนเปิดทางให้คุณเข้าไปในตำหนัก ผมจะขอพระราชทานอภัยโทษให้”
อัคนีปากแข็ง
“อย่ามาขู่หน่อยเลย ฉันไม่กลัวหรอก”
“ผมให้เวลาคุณคิดคืนหนึ่ง แต่ถ้าคุณยังไม่ยอมบอก เราก็คงต้องลงโทษคุณตามกฎของราชสำนักรายา”
คามินเดินออกไป
“เดี๋ยวๆ” อัคนีหันไปถามสินธร “กฎของราชสำนักให้ลงโทษยังไง”
“บุกรุกเข้าเขตพระราชวังโดยไม่ได้รับอนุญาตต้องถูก ตัดมือ ตัดเท้า แล้วโยนให้จระเข้กิน”
สินธรพูดเรียบๆก่อนออกไป
“โธ่ นึกว่าจะสักแค่ไหน ฮะ...โยนให้ไอ้เข้กิน”
สินธรพยักหน้าให้องครักษ์ๆลากอัคนีออกไป อัคนีโวยวาย
“ไม่เอา ฉันไม่อยากตายแบบนี้ ปล่อยฉัน...คุณมัท ป๊าจ๋า ช่วยผมด้วย...ป๊าจ๋า”
คามินเข้ามาหาเจ้าชายมาคีในตำหนัก
“คามิน ตกลงคนร้ายมันยอมเปิดปากมั้ยว่า ใครบงการมัน”
“ยังพะยะค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้นก็เอามันไปประหาร แล้วก็ลงโทษพวกองครักษ์ ให้หมด ฐานที่พวกมันเลินเล่อให้คนร้ายบุกเข้าไปถึงห้องนอนคุณมัทได้”
“กระหม่อมทำแน่ แต่กระหม่อมขอทูลถามบางเรื่องก่อน เมื่อคืนฝ่าบาทกับองค์ราชินีเสด็จไปที่ตำหนักพระคู่หมั้นทำไมพะยะค่ะ”
“เสด็จแม่บอกว่าไม่สบายใจเรื่องที่เสียมารยาทกับท่านหญิงมาณวิกา ก็เลยอยากจะมาเยี่ยมทุกอย่างกำลังจะดีอยู่แล้ว ถ้าไม่มีไอ้บ้านั่น นายถามทำไม”
คามินจะตอบ ชวาลเข้ามา
“ฝ่าบาท ท่านคามิน...สินธรให้คนมาแจ้งว่า องค์ราชินีมีพระบัญชาให้คนไปรับตัวคนร้ายที่ชื่ออัคนีออกจากห้องขังไปแล้ว”
คามินอึ้ง
มัทนาอยู่กับพ่อแม่ในตำหนัก
“มัทขอบอกอีกครั้งนะคะว่ามัทไม่ได้นัดคุณอัคนี ไม่ได้วางยาองครักษ์กับเรณูด้วย มัทซะอีกนอนไม่หลับต้องขอยาจากพี่มิน”
ท่านหญิงมาณวิกา จ้องหน้า
“แน่นะ ไม่ใช่ว่ามัทคิดจะหนีการแต่งงานก็เลยทำอะไรแผลงๆ”
“ถึงมัทจะไม่อยากแต่งงาน แต่ก็ไม่เคยคิดจะให้คนปัญญาอ่อนอย่างงั้นมาช่วยมัทหรอกค่ะ”
“เอาละ พ่อเชื่อมัท แสดงว่าอัคนีมันคงคิดจะมาชิงตัวมัทไป เรื่องนี้คงมีเสี่ยอสิตหนุนหลังแน่”
เหมันต์คิดๆ
“เมื่อกี๊คุณมัทบอกว่าขอยาจากมินตราเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ”
“ทำไมเหรอเหมันต์” ธรรมรัตน์หันมาถาม
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
“เอ แล้วนี่มินตราหายไปไหน ไม่เห็นหน้าเลย” ท่านหญิงมาณวิกา แปลกใจ
“เดี๋ยวผมไปตามให้ครับ”
เหมันต์ออกไป มัทนาก็จะไปเหมือนกัน ท่านหญิงมาณวิกา รีบถาม
“จะไปไหนมัท”
“มัทอยากไปฟังข่าวนายอัคนีค่ะ ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง”
ท่านหญิงมาณวิกา รีบห้าม
“ไม่ได้นะมัท ในเมื่อเราไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด ว่าเรานัดหมายนายอัคนี ก็ไม่ควรไปยุ่งกับเขาอีก”
“ใช่...ให้เขาดำเนินการไปตามกฎหมายบ้านเมืองของรายาดีกว่า” ธรรมรัตน์เห็นด้วย
“แต่ที่นี่มันมีกฎอะไรแปลกๆกว่าที่พ่อคิดเยอะนะคะ”
อัคนีนั่งรออยู่ในห้องหนึ่งในตำหนักพระนางสาวิตรี
“เฮอะ...ในที่สุด ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเรา โธ่เอ๊ย...ทำมาเป็นขู่จะโยนบ่อจระเข้ ในที่สุดองค์ราชินีก็ต้องเชิญเราเข้ามาพบ ให้รู้ซะมั่งใครเป็นใคร”
พระนางสาวิตรีเข้ามา อัคนีลุกขึ้น
“ถวายบังคมพะย่ะครับ เอ่อ...เป็นพระเมตตากรุณาปราณี”
“พอเถอะ พูดตามสบาย”
“ผมขอบคุณจริงๆที่ปล่อยตัวผม”
“เราก็แค่คิดว่า หน้าตาท่าทางอย่างเจ้าไม่น่าจะใช่คนร้าย”
“พระสายตาแหลมคมมาก หน้าตาหล่อเหลามีระดับอย่างผม เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากลูกเศรษฐีพันล้าน”
“แล้วเจ้าเข้าไปหามัทนายามวิกาลทำไม”
“คุณมัทส่งข่าวให้ผมมาช่วยออกจากขุมนรกที่นี่ เอ่อ ที่จริงที่นี่ก็หรูหราไม่เลว แต่คุณมัทคงทนแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักไม่ได้”
“แสดงว่าเจ้ากับมัทนา มีอะไรลึกซึ้งต่อกัน”
“ก็...เปล่าหรอกครับ เรารักกันด้วยใจ”
พระนางสาวิตรีเซ็ง
“เสียดายจริงๆ ถ้าเจ้ามีหลักฐานอะไรดีดี เราก็คงมีเหตุผลในการละเว้นโทษประหาร แต่ตอนนี้...”
อัคนีชะงัก
“อะ...อะไรนะ...ประหาร”
นายพลวิฑูรกับอสิตถือกล่องของขวัญรออยู่หน้าตำหนักพระนางสาวิตรี
“ผมให้ช่างเจียระไนมรกตแล้วทำเรือนล้อมเพชรให้อย่างดี หวังว่าองค์ราชินีคงพอพระทัย” อสิตพูดอย่างมั่นใจ
“สิ่งเดียวที่ทำให้พอพระทัยที่สุด คือกำจัดศัตรูของพระองค์ให้สิ้นซาก”
“เรื่องนั้นง่ายมาก ขอให้มีพระบัญชามาแค่นั้น”
สุเทษเดินออกมาจากด้านใน
“องค์ราชินีกำลังทรงสอบสวนคนร้ายอยู่ ยังเข้าเฝ้าตอนนี้ไม่ได้ครับ”
“คนร้ายที่ไหนกัน” นายพลวิฑูรแปลกใจ
“เป็นคนร้ายที่ลอบเข้าไปในตำหนักมัทนาเมื่อคืน”
นายพลวิฑูรชะงัก
“อะไรนะ แล้วใครที่ทำแบบนั้นในเมื่อเราก็เพิ่งกลับมา”
“ไม่ทราบครับเห็นว่าบุกเดี่ยวเข้าไปคนเดียว”
“แบบนี้คงโง่หรือไม่ก็บ้าที่กล้าบุกเข้าไปในเขตวังหลวง” อสิตแทรกขึ้น
ทหารลากอัคนีสวนออกมา
“ปล่อยฉัน...ฉันยังไม่อยากตาย...ปล่อย”
สุเทษมอง
“นั่นมันนายอัคนี ลูกชายเสี่ยนี่”
“อย่ามาล้อเล่น ลูกผมไปช้อบปิ้งอยู่ฮ่องกง ไม่ได้อยู่ห้องกรง”
อัคนีเห็นอสิตก็ดีใจมาก
“ป๊า ป๊าจริงๆด้วย...ป๋ามาช่วยหนูแล้ว”
“ฮ้า...ไอ้หนู” อสิตตะลึงงัน
นายพลวิฑูรงง
หน้าห้องพระนางสาวิตรี...อัคนีถูกสุเทษไขกุญแจมือออก
“ไง...ในที่สุดพวกแกก็ต้องปล่อยฉัน คอยดูฉันจะให้ป๊าเอาเรื่องพวกแกทุกคน...โอย” อัคนีเจ็บข้อมือ
“องค์ราชินีมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า” สุเทษมองหมั่นไส้
สุเทษจะนำไป คามินเข้ามา
“เดี๋ยว...”
อัคนีเห็นคามินตกใจ รีบหลบหลังสุเทษ
พระนางสาวิตรีมองคามินอย่างเกลียดชัง นายพลวิฑูร อสิตอยู่ด้วย อัคนีเกาะแขนกลัวๆ
“เกล้ากระหม่อมมาขอรับตัวนายอัคนีไปสอบปากคำพะยะค่ะ”
“นักโทษคนนี้ เราจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้องมายุ่ง” พระนางสาวิตรีเสียงแข็ง
“แต่เกล้ากระหม่อมจำเป็นต้องสอบสวนนายอัคนี เพราะคิดว่าน่าจะมีคนอื่นร่วมมือด้วย”
นายพลวิฑูรกวนๆ
“น่าจะไปไล่เบี้ยกับลูกน้องตัวเองมากกว่า ทำงานกันยังไงถึงผิดพลาดได้ขนาดนี้”
“องครักษ์ชุดนี้เป็นชุดที่ดีที่สุด แต่ที่พลาดครั้งนี้น่าจะเป็นเพราะมีคนในจงใจเปิดทางให้มากกว่า จึงสามารถวางยาองครักษ์ได้ถึงในตำหนัก”
นายพลวิฑูรอึ้ง คามินพูดกับพระนางสาวิตรีโดยตรง
“โปรดประทานอนุญาตด้วยพะยะค่ะ”
“บังอาจ...นี่เจ้ากล้าขัดคำสั่งเรารึ”
ทันใดนั้นเสียงราชาอินทราดังขึ้น
“ไม่ใช่การขัดคำสั่ง แต่คามินกำลังทำตามหน้าที่”
พระนางสาวิตรี นายพลวิฑูร อสิต หันไปมอง ราชาอินทราเข้ามากับธรรมรัตน์ อสิตกับธรรมรัตน์มองหน้ากัน นายพลวิฑูรกับอสิตรีบทำความเคารพราชาอินทรา
“ทรงตามมาเข้าข้างกันถึงที่เลยนะเพคะ” พระนางสาวิตรีแดกดัน
“นักโทษผู้นี้บุกรุกตำหนักพระคู่หมั้น มีโทษหนักต้องส่งให้ทางการสอบสวน”
พระนางสาวิตรีอึ้งไปนิดแต่ก็ไม่จนมุม
“ถ้าทางการของเสด็จพี่ หมายถึงคนของคามินละก็หม่อมฉันคิดว่า คงหาความยุติธรรมได้ยาก เพราะคามินเองก็มีความสนิทสนมกับมัทนาเป็นส่วนตัว อาจจะเอื้อประโยชน์ให้กันก็ได้”
“อย่าทำให้มันยุ่งยากซับซ้อนไปหน่อยเลย มอบตัวอัคนีให้คามินไปสอบสวนตามที่ควรจะเป็นดีกว่า”
พระนางสาวิตรี นายพลวิฑูร อสิตอึ้งๆ นายพลวิฑูรรีบส่งสายตาให้ อสิตรีบคุกเข่าต่อหน้าราชาอินทราและพระนางสาวิตรี
“โปรดประทานอภัยลูกชายเกล้ากระหม่อมด้วย เขาทำไปในขณะที่ขาดสติสัมปชัญญะพะยะค่ะ”
ราชาอินทรางง
“หมายความว่ายังไง”
อสิตรีบวิ่งไปดึงแขนอัคนีมา กระซิบเร็วๆ
“พ่อพูดยังไงแกรีบทำตามนะไม่งั้นตาย”
อัคนียังงงๆ อสิตลากอัคนีมาตรงหน้าราชาอินทรา จะร้องไห้
“เขาไม่เต็มบาทพะยะค่ะ สติสตังไม่อยู่กับตัว ต้องกินยาประจำนี่คงแอบไม่กินยา อาการเลยกำเริบ เขาไม่ได้ตั้งใจบุกเขาไปในตำหนัก เขามากับเกล้ากระหม่อมแต่อยู่ๆก็หายตัวไป”
“แล้วเจ้าเป็นใคร” ราชาอินทราแปลกใจ
นายพลวิฑูรรีบกราบทูล
“คุณอสิตเป็นเพื่อนของเกล้ากระหม่อมเองพะยะค่ะ เพิ่งเดินทางมาจากเมืองไทย...พาลูกชายมาด้วยเพราะ ไม่อยากทิ้งไว้คนเดียว”
อัคนีอึ้ง ประมาณแรงไปมั้ย ธรรมรัตน์ขัดขึ้น
“แต่เท่าที่ผมเคยพบลูกคุณ เขาก็ปกติดี”
“ตอนนั้นไอ้หนูมันกินยาน่ะซิ....” อสิตแถไป
อสิตถลึงตาให้อัคนีๆทำเอ๋อ
“ไม่นะ เค้าไม่กินยา ไม่กินๆ”
“โอ๋โอ๋ ลูก ไม่กินก็ไม่กิน แต่ถ้าลูกไม่อยากถูกจับขังคุก ลูกต้องถวายความเคารพองค์ราชาองค์ราชินี ก่อน”
อัคนีคุกเข่า ถวายบังคมยกมือพนม เงยหน้า
“ถวายบังคมพระเจ้าข้า”
พระนางสาวิตรีตีหน้าเอ็นดู
“โถ น่าสงสาร เป็นขนาดนี้ ใครจะใจร้ายลงโทษได้ลงคอ”
ราชาอินทราแปลกใจ แต่ธรรมรัตน์สงสัย อสิต นายพลวิฑูร พระนางสาวิตรีแอบสบตากันพอใจ
ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 11 (ต่อ)
ในตำหนักมัทนา...เหมันต์เล่าเรื่องอัคนีจบ
“อะไรนะ อัคนีน่ะเหรอเป็นบ้า” มัทนาแปลกใจ
“ใช่ครับ ท่านประธานบอกว่าที่องค์ราชาทรงอภัยโทษ เพราะนายอัคนีสติไม่ดี”
มัทนา มินตรา ท่านหญิงมาณวิกางง
“นายนี่ถึงจะชอบทำอะไรล้นๆหลุดโลก ไม่เต็มบาทแต่ก็ไม่ได้บ้าสักหน่อย”
ท่านหญิงมาณวิกาเห็นด้วย
“นั่นสิแม่ก็ว่าอย่างนั้น”
“แล้วอัคนีพูดอะไรถึงใครบ้างมั้ย” มินตรารีบซักอย่างกังวลกลัวตัวเองเดือดร้อน
เหมันต์มองมินตรา ถามหยั่งเชิง
“แล้วเธอคิดว่าเขาจะพูดถึงใครล่ะ”
“ฉันก็แค่อยากจะรู้ว่าเขาจะแก้ตัวว่าไง”
มัทนาแทรกขึ้น
“ก็เพราะไม่รู้ว่าแก้ตัวยังไงน่ะสิคะ ถึงแกล้งบ้าซะเลย ไม่เลวรู้จักเอาตัวรอด แต่มันน่าแปลกที่อยู่ๆก็บุกเดี่ยวเข้ามาถึงในห้องมัทได้ยังไง”
เหมันต์หันมาบอก
“ได้ข่าวว่าพวกองครักษ์กำลังโดนสอบเข้มอยู่ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครที่มีส่วนรู้เห็นด้วย”
มินตราหน้าเสีย เผลอแสดงสีหน้ากังวล ไม่ทันเห็นว่าเหมันต์แอบมองอยู่อย่างสงสัย
สำนักงานองครักษ์...คามินเข้ามาสอบสวน ชาลี กับองครักษ์เคร่งเครียด
“ผลตรวจร่างกายพบว่าพวกนายโดนวางยา”
ชาลีชะงัก
“วางยา แต่พวกเราไม่ได้กลิ่น หรือเห็นควันอะไรที่ผิดสังเกตเลยนะครับ เพราะพวกเราก็ระวังตัวอยู่ตลอด”
คามินครุ่นคิด
“ถ้าไม่ใช่พวกยาสลบแบบรมควัน ก็ต้องผสมมาในของกิน มีใครเอาอาหารพิเศษมาให้พวกนายกินบ้าง”
“ไม่มีครับ พวกเรากินอาหารจากตำหนัก คุณบุหลันเป็นคนจัดการให้ตามปกติ”
“แต่มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าจะมีใครแอบใส่ยาลงในอาหาร มันก็คงต้องออกฤทธิ์ตั้งแต่เย็นแล้ว”
“ถูกของท่าน เพราะตอนหัวค่ำที่คุณมินตราเอาน้ำชามาให้ดื่มแก้ง่วงกัน พวกเราก็ยังคุยกันปกติอยู่เลย...”
ชาลีพูดแล้วก็ชะงักไป เพิ่งนึกได้ อึ้ง คามินชะงัก
“มินตรา”
ในห้องเตรียมอาหาร...มินตรากำลังคั้นน้ำส้ม ชะงักมองเหมันต์ไม่พอใจ
“อย่ามาหาเรื่องกันนะเหมันต์”
“ฉันไม่ได้หาเรื่องแต่ฉันสงสัยทำไมนายอัคนีถึงกล้ามาถึงรายา ลำพังไอ้หมอนี่มันไม่กล้าขนาดนี้หรอก ต้องมีใครติดต่อกับมัน”
“แล้วไงนายก็มาคิดว่าเป็นฉัน มันจะไม่ปรักปรำกันไปหน่อยเหรอ”
“ถ้าฉันไม่มีหลักฐาน ฉันไม่กล้าพูดหรอก ฉันเห็นเธอส่งข้อความที่ห้องนี้เมื่อคืน เธอจะส่งหาใครแล้วจู่ๆ นายอัคนีก็พรวดพราดเข้ามา เธอเองก็สนใจมากเกินไปว่านายอัคนีให้การอะไร กลัวมันพาดพิงมาถึงเธอใช่มั้ย”
มินตราตกใจ เหมันต์คาดคั้น
“คงปฏิเสธไม่ออกแล้วสิน่ะ”
“ฉัน...”
“เธอกำลังทำอะไรกันแน่มินตรา ถ้าเธอยังไม่ยอมบอกความจริงกับฉัน เธอก็ต้องไปบอกกับท่านประธานและท่านหญิง”
เหมันต์ดึงแขน มินตราตกใจแต่ทำขึงขัง
“เอาสิ...พาฉันไปเลย แต่คนที่จะเดือดร้อนที่สุดนะไม่ใช่ฉัน เพราะฉันก็แค่ทำตามคำสั่ง”
“คำสั่ง...ใคร...” เหมันต์ชะงัก
มินตราสะบัดแขนออก
“เธอแกล้งโง่หรือโง่จริงๆ คนที่จะสั่งเธอกับฉันให้ทำเรื่องแบบนี้ได้นะจะมีใคร”
“คุณมัทเหรอ” เหมันต์งง
“กี่ครั้งแล้วล่ะที่คุณมัทดึงคุณอัคนีเข้ามาเกี่ยว เพื่อตัวเองจะได้รอดนะ”
เหมันต์นิ่งคิด ถึเก่าๆที่อัคนีมาทำบ้าๆกับมัทนา สุดท้ายมัทสมรู้ร่วมคิดด้วยแว่บเข้ามา เหมันต์อึ้งๆ มินตราได้ที
“เอาสิอยากให้คุณมัทโดนคุณท่านกับท่านหญิงเล่นงาน ก็พาฉันไปเลยฉันจะได้สารภาพให้หมดว่าตั้งแต่มาอยู่ที่รายาเนี่ยคุณมัททำเรื่องงามหน้าอะไรไว้บ้าง”
มินตรามองเหมันต์อย่างท้าทาย เหมันต์อึ้ง
อสิตอุ้มอัคนีเข้าเอว เดินมาตามทางไปที่พัก อัคนีทำหน้าเอ๋อๆดึงผมอสิตเล่นจนยุ่งเหยิงเหมือนลิงหาเหาให้กัน
ทหารรายาตามมาหยุดหน้าประตู ทำท่าจะถอยออกไป อัคนีทำท่าโยนอะไรให้
“เอาเหาไปกินเล่นสิฮิๆ ฮ่าๆ”
ทหารมองอัคนี แล้วถอยออกไป อสิตเหวี่ยงอัคนีลงโซฟา มองฉุนๆ
“เกือบตายแล้วมั้ยล่ะ นี่ถ้าป๊ามาไม่ทันจะทำยังไง”
อัคนีตบมือดีใจอย่างเอ๋อๆ
“ปะป๊าของผมเก่งที่สุดเลย”
“เลิกได้แล้ว” อสิตโมโห
อัคนีได้สติเปลี่ยนทันที
“ป๊านึกว่าผมอยากทำนักเหรอ คนหล่อๆอย่างผมต้องมาทำบ้าๆบอๆ เสียลุ๊คแค่ไหน ดีนะว่าคุณมัทไม่มาเห็น”
“นี่แกยังไม่เข็ดเหรอ หา ผู้หญิงคนนี้ทำแกเกือบตายนะ คราวหน้าแกอาจจะไม่โชคดีอย่างคราวนี้อีก”
“แต่ป๊าเป็นถึงเพื่อนของผู้บัญชาการทหารสูงสุด มีองค์ราชินีเป็นแบค จะกลัวอะไร”
“แกไม่รู้หรอกว่างานนี้ป๊าต้องลงทุนขนาดไหน”
ด้านในตำหนัก พระนางสาวิตรีมองนายพลวิฑูรสลับกับมองอสิตอย่างโมโห
“แล้วทำไมเพิ่งมาบอกว่าเป็นพวกเดียวกัน”
“คงมีการเข้าใจผิดกันพะยะค่ะ”
“โปรดประทานอภัยให้ลูกชายเกล้ากระหม่อมด้วย เกล้ากระหม่อมรับรองว่าจะไม่ให้ลูกชายพูดจาเพ้อเจ้อซัดทอดใครแน่นอน”
“เสี่ยอสิตคือกำลังสำคัญของเราในการกำจัดศัตรู” นายพลวิฑูรอธิบาย
พระนางสาวิตรีชะงัก
“หมายถึง ไอ้คามินกับมัทนาเหรอ”
“ทุกคนที่เป็นอันตรายต่อราชบัลลังก์”
“ทุกคน” อสิตงง
“แล้วจะทำยังไง” พระนางสาวิตรีถามอย่างไม่เข้าใจ
“เกล้ากระหม่อมวางแผนไว้หมดแล้ว ขอทรงพิจารณาด้วย”
พระนางสาวิตรีนิ่ง นางกำนัลเข้ามารายงาน
“ท่านหัวหน้าองครักษ์คามินมาขอรับตัวนักโทษไปสอบปากคำเพคะ”
พระนางสาวิตรีไม่พอใจ
“บังอาจ...มันกล้าจะมาเอาตัวนักโทษจากเราเชียวรึ”
พระนางสาวิตรีมองอสิต
“ก็ได้เราจะไว้ชีวิตลูกท่าน แต่เราลั่นวาจาไปแล้วว่าจะประหารจะกลับคำได้ยังไง”
บ้านนายพลวิฑูร...อสิตหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทร
“ทุกอย่างพร้อมหรือยัง...ลงมือได้เลย”
ในกระท่อมหมู่บ้านภูสายธารยามค่ำคืน ชาวบ้านชายหญิงแต่งตัวมอซอนอนหลับอยู่ เท้าหนึ่งถีบประตูกระท่อมเปิดออกอย่างแรง
ชายหญิงตกใจลุกพรวดขึ้นยังไม่ทันได้พูดยักษ์ กับลูกน้องสวมหมวกไอ้โม่งใส่ชุดดำ เอา M 16 กราดยิงชายหญิงทันที ชายหญิงร้องอย่างเจ็บปวด ขาดใจตาย ยักษ์ตะโกนสั่งลูกน้อง
“เอาของมีค่าไปให้หมด”
ไร่ข้าวโพดสายวันใหม่...ชายแก่ ชายหนุ่ม หญิงแก่ สะพายตะกร้าไว้ด้านหลังเดินหักข้าวโพดใส่ตะกร้า ยักษ์กับลูกน้องหลายคนใส่ชุดดำสวมหมวกไอ้โม่งวิ่งออกมาจากดงข้าวโพดด้านหลังของชายแก่ ชายหนุ่ม หญิงแก่แล้วใช้ปืน M 16 กราดยิงชาวไร่อย่างโหดเหี้ยม ชาวไร่โดนยิงก็สะดุ้งอย่างเจ็บปวดเลือดท่วมตัวนอนตายคาไร่ข้าวโพดอย่างน่าอนาถ ยักษ์จุดไฟเผาซ้ำ
ตลาดเล็กๆของหมู่บ้านยามเช้าของอีกวัน...ยักษ์กับ ลูกน้อง ใส่ชุดดำใส่ไอ้โม่งวิ่งเข้ามาใช้ M 16 กราดยิงคนทั้งตลาดอย่างบ้าคลั่ง ผู้คนล้มตายราวใบไม้ร่วง ยักษ์หัวเราะอย่างสะใจ เสียงปืนลูกซองดังเข้ามา พวกยักษ์ล้มบ้าง ยักษ์ตกใจหันไปมอง ฐากูรกับเมฆา มาลีกำลังพาชาวบ้าน เข้ามายิงสู้
“จับพวกมันให้ได้” ฐากูรตะโกน
ชาวบ้านแตกฮือหนีตายกันจ้าล่ะหวั่น ยักษ์ขำ
“ไอ้พวกแมงเม่า...ถล่มมันอย่าให้เหลือ”
พวกยักษ์กราดเอ็ม 16 ไม่ยั้ง ฐากูรกับเมฆากระโดดหลบกลิ้งไป แต่มาลีกระเด็นไปสลบอยู่มุมหนึ่ง ยักษ์ตรงเข้าคว้าตัวมาลีแบกขึ้นบ่า ฐากูรลุกขึ้นได้เห็นเมฆาบาดเจ็บรีบเข้ามาประคอง
“อาจารย์เป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่เป็นไร”
ฐากูรเห็นมาลีโดนจับ จะเข้าไปช่วย เมฆาห้ามไว้
“อย่า...พวกเราสู้มันไม่ได้หรอก”
“แต่มันจับมาลีไป”
“นังมาลีมันเอาตัวรอดได้แน่ พาพวกเราถอยก่อนฐากูร พวกมันไม่ใช่โจรป่าธรรมดาแน่ ดูอาวุธพวกมันสิ ปืนลูกซองอย่างเราสู้มันไม่ได้หรอก”
“แล้วเราจะทำยังไงดีครับ” เมฆาเครียด
ในห้องประชุมวังรายา...ราชาอินทราเดินเข้าห้องประชุมมา ทุกคนยืนเคารพ ราชาอินทราเห็นเจ้าชายมาคีอยู่ด้วยก็แปลกใจ
“วันนี้มีเรื่องสำคัญอะไรรึเปล่า มาคีถึงมาประชุมด้วย”
“มันเป็นหน้าที่ที่ลูกต้องเข้าประชุมอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมา ลูก...ติดธุระบ้างอะไรบ้าง แต่ต่อไปนี้ลูกจะพยายามมาประชุมทุกครั้ง”
“เราไม่หูฝาดใช่มั้ยโภคิน”
“พะยะค่ะ”
นายพลวิฑูรพูดขึ้น
“เป็นนิมิตรหมายที่ดีจริงๆ พะยะค่ะ เหมือนเทวดามาโปรดเพราะเกล้ากระหม่อมมีเรื่องด่วนมากราบทูล”
นายพลวิฑูรเดินถือฎีกา เป็นซองขาวยาว มาถวายราชาอินทรา
“โจรป่าออกปล้นสะดมฆ่าชาวบ้านแถบชายแดนอย่างโหดเหี้ยมไม่เว้นแต่ละวัน หัวหน้าหมู่บ้านภูสายธารทนเห็นผู้คนล้มตายรายวันไม่ไหวเลยเขียนฎีกามาถวายพะยะค่ะ”
ราชาอินทราเปิดอ่าน
“แล้วทำไมฝ่ายความมั่นคงไม่ไปจัดการ”
รมต.มั่นคงรีบกราบทูล
“เกล้ากระหม่อมเพิ่งทราบเรื่องจากท่านวิฑูร ก็เลยอยากฟังรับสั่งจากพระองค์ก่อนพะยะค่ะ”
นายพลวิฑูรรีบเสนอ
“เกล้ากระหม่อมกำลังคิดว่าผู้ที่เราส่งไปปราบพวก โจรน่าจะเป็นระดับหัวหน้าจะได้เป็นขวัญกำลังใจให้กับพวกชาวบ้าน”
เจ้าชายมาคีเสนอตัวทันที
“เราจะไปเอง เราจะไปจัดการโจรป่าพวกนั้น”
นายพลวิฑูรมองประมาณเกิดบ้าอะไรขึ้นมา
“ไม่ได้พะยะค่ะ มันเสี่ยงเกินไป”
รมต.มั่นคงขัดขึ้นอีกคน
“เกล้ากระหม่อม ก็ไม่เห็นด้วยพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีรีบบอก
“แต่นี่เป็นโอกาสดีที่ลูกจะแสดงความสามารถของลูกให้ผู้หญิงที่ลูกรักได้เห็น”
ราชาอินทรามองมาคีอย่างไม่พอใจ
“พ่อหลงดีใจว่าเจ้าอาสาไปเพราะห่วงใยราษฎร”
“โธ่เสด็จพ่อจะเพราะอะไรผลดีก็ตกอยู่กับราษฎรไม่ใช่หรือพะยะค่ะ”
“เรื่องนี้ เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ควรให้เดือดร้อนถึงเจ้าชายรัชทายาท อีกอย่าง เกล้ากระหม่อมก็คุ้นเคยภูมิประเทศแถบนั้นเป็นอย่างดี เกล้ากระหม่อม ขออาสาไปจัดการเองพะยะค่ะ” คามินตัดสินใจ
นายพลวิฑูรรีบสนับสนุนทันที
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีมาก ฝีมืออย่างท่านคามินต้องปราบโจรกระจอกพวกนั้นได้ราบคาบแน่”
“แต่เจ้าเพิ่งแต่งงาน หฤทัยก็กำลังตั้งครรภ์ เจ้าควรจะอยู่ดูแลภรรยาเจ้า” ราชาอินทราไม่เห็นด้วย
นายพลวิฑูรแทรกทันที
“เรื่องลูกสาวเกล้ากระหม่อม ขออย่าทรงเป็นห่วง เกล้ากระหม่อมจะให้เทวีไปดูแลเอง”
“เกล้ากระหม่อมเห็นด้วยพะยะค่ะ” รมต.มั่นคงรีบเสริม
ทุกคนแสดงท่าทีเห็นด้วย คามินโค้งรับ
“ขอได้ทรงโปรดด้วยพะยะค่ะ”
ราชาอินทรามองกับโภคิน กลุ้มๆ
ในตำหนัก พระนางสาวิตรีฟังสิ่งที่นายพลวิฑูลบอกอย่างพอใจ
“ฮึ ในที่สุด ไอ้คามินก็เสนอหน้ามาอาสาตามที่คาดจริงๆ”
“หนูกำลังจะวิ่งเข้ากับดักที่เราวางไว้แล้วพะยะค่ะ”
“เหลือนังมัทนา เมื่อไหร่มันจะไปพ้นจากสายตาเราซะที เพราะมันคนเดียว มาคีถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ อยู่ดีดีก็อาสาไปปราบโจร บ้าจริงๆ”
“เมื่อไม่มีไอ้คามิน ก็ไม่มีใครคุ้มครองมัทนา ถึงเวลานั้น จะกำจัดให้พ้นสายพระเนตรก็ไม่ยากแล้วพะยะค่ะ”
พระนางสาวิตรีพอใจ
ในสวนของตำหนัก...มัทนาสำลักน้ำชา เมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้าชายมาคีบอก
“ปราบโจร”
“ใช่ คิดไม่ออกเหมือนกันนะถ้าผมต้องไปปราบโจรป่าจริงๆ จะทนคิดถึงคุณมัทได้หรือเปล่า”
มัทนาฝืนยิ้ม แกล้งถาม
“แล้วทำไมต้องเป็นคุณคามินละคะ”
“คามินเขาอาสาเองครับคงเพราะเหตุเกิดที่หมู่บ้านภูสายธาร คามินสนิทสนมกับชาวบ้านที่นั่นมาก ที่สำคัญอาจารย์ของคามินก็อยู่ที่นั่นด้วย”
“อาจารย์เมฆา”
“ทำไมคุณมัทถึงรู้จักอาจารย์เมฆาล่ะครับ”
“เอ่อ...” มัทนาอึกอัก
คามินเดินเข้ามาชะงักที่เห็นมัทนา ส่วนมัทนาก็ชะงักที่เห็นเขา มัทนาทำเมิน คามินถวายความเคารพเจ้าชายมาคี
“อ้าวคามิน อายุยืนจริงๆ เรากำลังคุยกันเรื่องนายพอดี”
มัทนากลัวคามินรู้ว่าห่วง รีบแก้
“ฉันก็แค่ถามเรื่อยเปื่อย เห็นว่าคุณกำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน ไม่คิดว่าจะกล้าไปเสี่ยงปราบโจร”
“มันเป็นหน้าที่ของผมไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนผมก็ต้องไป...กระหม่อมมาลาฝ่าบาท”
เจ้าชายมาคีลุกขึ้นมาตบบ่า
“ขอให้นายโชคดี ปลอดภัยกลับมาเร็วๆละ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เจ้าชายมาคีหันมาหามัทนา
“คุณมัทจะไม่อวยพรคามินหน่อยเหรอครับ”
มัทนาทำไม่สน
“คงไม่ต้องมั้งคะ คุณคามินเขามีลูกมีเมียรออยู่ที่บ้านยังไงก็คงไม่ยอมตายง่ายๆแน่ใช่มั้ยคะคุณคามิน”
“ครับ เพื่อคุณหฤทัยและลูก ผมจะไม่ยอมตาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมต้องกลับมาให้ได้”
คามินตอบหนักแน่น มัทนาอึ้งแววตาเจ็บปวด มองคามินอย่างผิดหวัง พูดประชด
“น่าอิจฉาคุณหฤทัยจริงๆนะคะที่มีคนรักเธอขนาดนี้”
เจ้าชายมาคีรีบเข้ามาจับมือมัทนา
“คุณมัทไม่ต้องอิจฉาฤทัยหรอกครับ เพราะผมสัญญาว่าผมจะรักคุณมัทไม่น้อยไปกว่าที่คามินเขารักฤทัยเลย”
“จริงเหรอคะเจ้าชาย” มัทนาหันมายิ้มหวาน
“จริงๆสิครับ”
เจ้าชายมาคียกมือมัทนาจูบเบาๆ มัทนาทำเขิน คามินเมินไปทางอื่น มัทนาแอบมองสะใจ
ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 11 (ต่อ)
คามินเดินเข้าบ้านมา สินธรตาม
“ท่านดูไม่ออกเหรอครับว่านี่เป็นแผนที่จะลวงท่านไปกำจัด”
“แต่คนที่หมู่บ้านตายจริง ถึงยังไงก็ต้องมีคนไปจัดการกับคนร้าย”
“ผมขออาสา”
“นายต้องอยู่ ถวายอารักขา เจ้าชายกับคุณมัทนา แล้วก็หฤทัย...”
สินธรจะพูด คามินจ้องหน้า
“นายเป็นคนที่ฉันไว้ใจที่สุด...อย่าทำให้ฉันผิดหวัง”
“ครับ” สินธรเซ็ง
คามินจะเดินต่อเห็นหฤทัยยืนฟังอยู่แล้ว คามินชะงัก
“หฤทัย”
คามินมาคุยกับหฤทัย
“พี่ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแลฤทัย ฤทัยเข้าใจใช่มั้ย”
หฤทัยยิ้ม
“ฤทัยจะสวดมนต์ให้เทพแห่งชัยชนะที่สถิตอยู่ในวิหารปรารถนา คุ้มครองพี่คามินในการไปปราบโจรครั้งนี้ค่ะ”
“ฤทัยไม่โกรธพี่นะ”
“โกรธทำไมคะ พี่คามินไม่ได้ไปเที่ยวสักหน่อย”
“ฤทัยเข้มแข็งกว่าที่พี่คิดมาก”
หฤทัยหยิบเครื่องรางจากในกระเป๋าถือออกมาให้
“เครื่องรางนำโชคค่ะ ฤทัยได้มาจากวิหารปรารถนา พี่คามินจะได้โชคดีมีชัยทั้งไปและกลับนะคะ”
คามินกอดหฤทัยคามิน
“ขอบใจมาก ฤทัย”
หฤทัยรู้สึกอบอุ่น หวั่นไหว
“ทำใจให้สบายนะ ระหว่างที่พี่ไม่อยู่ถ้ามีอะไรด่วน เรียกสินธรได้ทุกเมื่อ”
“ค่ะ ฤทัยไปจัดเสื้อผ้าให้พี่นะคะ”
“จ้ะ”
หฤทัยผละไปเขินๆ คามินมองเครื่องรางในมือกังวลใจ
ในวังรายา...ธรรมรัตน์คุยกับราชาอินทรา
“สมัยหนุ่มๆนายอสิตก็เป็นพวกนักเลงหัวไม้ จับธุรกิจสีเทาจนร่ำรวยมหาศาล ถึงขนาดกว้านซื้อที่ดินแข่งกับผมแล้วก็พยายามทำลายธุรกิจของผมทุกวิถีทาง...ไม่น่าเชื่อว่านายพลวิฑูรจะยอมไปสนิทสนมกับมาเฟียอย่างนั้น”
“คนนิสัยเหมือนกันก็ต้องชอบที่จะคบหากัน”
“ท่านวิฑูรเป็นพระญาติขององค์ราชินี ไม่น่าจะมีความคิดเหิมเกริมแบบนี้”
“อำนาจมันไม่มีคำว่าญาติพี่น้อง เพราะอย่างนี้เราถึงปล่อยให้อำนาจไปอยู่กับท่านวิฑูรไม่ได้”
“ท่านก็เลยต้องการให้มัทมาแต่งงานกับเจ้าชาย ก็เพื่อไม่ให้ลูกสาวท่านวิฑูรได้เป็นราชินี”
ราชาอินทรามองธรรมรัตน์อย่างรู้สึกผิด
“ขอโทษที่ต้องเอาลูกสาวคุณมาเสี่ยง...ถ้าคุณจะเปลี่ยนใจพาหนูมัทกลับเมืองไทยตอนนี้เราก็เข้าใจนะ”
“รู้อย่างนี้ผมยิ่งพายัยมัทกลับไม่ได้...จำได้มั้ยครับว่าเราสามคนเคยสัญญากันไว้ว่ายังไง”
ราชาอินทรามองธรรมรัตน์ซึ้งใจ
วัดบนเขาในอดีต...เจ้าชายอินทรา ธรรมรัตน์ ปรารถนา ยืนพนมมือต่อหน้าพระ
“ผมขอสาบาน” เจ้าชายอินทราพูดขึ้น
ปรารถนารีบห้าม
“ไม่ค่ะ ไม่ต้องสาบาน ฉันแค่อยากจะขอพรพระท่านให้คุ้มครองเจ้าชาย”
“แต่ผมอยากให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพยานว่าผมจะไม่มีวันทอดทิ้งคุณ”
“ถ้าอย่างงั้น กระหม่อมขอทำหน้าที่พยานเองก็แล้วกัน” ธรรมรัตน์อาสา
“ผมขอสัญญาต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ที่นี้ ว่าผมจะรักและดูแลปรารถนาตลอดไป”
“ลูกขอสัญญาว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าชายอินทราเพียงผู้เดียวตลอดไปเช่นกัน”
“ลูกขอสัญญาว่าจะ...เป็นพยานความรักให้กับเพื่อนทั้งสอง และจะรักษามิตรภาพระหว่างเราสามคนให้ยั่งยืนตลอดไป”
เจ้าชายอินซากอดธรรมรัตน์กับปรารถนายิ้มแย้มกัน
ปัจุบัน...ราชาอินทราหน้าเศร้าหมอง
“แต่เราก็ทำตามสัญญาไม่ได้ เราทอดทิ้งให้ปรารถนาต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยว ทุกข์ทรมานโดยที่เราช่วยอะไรไม่ได้เลย”
“ไม่จริงครับ ปรารถนาไม่เคยมีความทุกข์ ปรารถนารอคอยท่านด้วยความหวังเสมอ”
ธรรมรัตน์หยิบกล่องไม้ลวดลายสวยงามมายื่นให้
“เกล้ากระหม่อมตั้งใจจะนำมาถวายตั้งนานแล้วแต่ไม่มีโอกาส”
ราชาอินทราเปิดดู เป็นรูปปรารถนากับคามินตอนเด็กหลายรูป และมีซีดีแผ่นหนึ่ง
“หากได้ดูซีดีแผ่นนี้ ท่านจะทราบว่าปรารถนาอยู่กับพวกเราเสมอ และผมก็เชื่อว่าปรารถนาจะคุ้มครองคามินลูกชายของท่านให้ปลอดภัยด้วย”
บนภูเขายามค่ำคืน...ยักษ์ ลูกน้องหลายคนถืออาวุธสงครามครบมือซุ่มอยู่บนไหล่เขา
“เสี่ยบอกว่าไอ้คามินกำลังจะผ่านหุบเขานี้ ให้ซุ่มโจมตีมันตรงนี้แล้วก็ฆ่ามันให้ได้”
มาลีที่ถูกมัดปาก มัดมือไพล่หลังส่งเสียงอู้อี้
“แกไม่มีทางฆ่าท่านคามินได้หรอก”
“เดี๋ยวก็รู้”
ยักษ์ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าหันไปมองเห็น ทหารนายกองขี่ม้านำมา คามินขี่ตาม มีกองทหารหลายนายขี่ม้าตามมา ยักษ์กับลูกน้อง ลุกพรวดขึ้น เล็งปืนไปที่คามินกราดยิงไม่ยั้ง กระสุนโดนทหารนำกองร่วงจากม้าร้องเจ็บปวด
คามิน ทุกคนมองตกใจรีบลงจากหลังม้าหลบหลังก้อนหิน คามินมองลูกน้องยักษ์ที่ยังยิงกราดไม่ยั้งแล้วพุ่งหอกคู่ไปปักอกลูกน้องคนหนึ่งอย่างจัง ลูกน้องคนตายคาที่กลิ้งตกจากไหล่เขา ลูกน้องคนอื่นมองตกใจ ยักษ์มองหอกยิ้มเยาะตะโกนท้าทาย ดึงมาลีให้ยืนขึ้น
“ถ้าอยากได้ตัวอีนี่คืนก็ตามมาเลยไอ้คามิน”
“มาลี” คามินตกใจ
ยักษ์ดึงมาลีวิ่งหนีไป ลูกน้องวิ่งตาม
“ตามไปจับตัวพวกมันให้ได้ แต่ห้ามให้ผู้หญิงเป็นอันตรายเด็ดขาด”
คามินวิ่งออกไป ทหารวิ่งตาม
ยักษ์ลากตัวมาลีวิ่งเข้ามาในป่า ลูกน้องวิ่งหนีวิ่งตาม ยักษ์หันไปยิงใส่คามิน ทหารที่ตามมา
คามิน ทหาร หลบกระสุนแล้วยิงตอบโต้ คามินควงปืนคู่หมุนตัวยิงโดนลูกน้องที่วิ่งข้างๆยักษ์ล้มลง
“โอ้ย”
ยักษ์มองลูกน้องอย่างตกใจแล้วตะโกนลั่น
“จัดการพวกมัน”
ลูกน้องอีกกลุ่มที่ซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้โผล่ออกมาขว้างระเบิดใส่ คามินกับทหารมองระเบิดอย่างตกใจ แต่ไม่ทันแล้วระเบิดเสียงตูมสนั่น ควันฟุ้ง
มัทนานอนหลับอยู่เหงื่อเต็มหน้าสะดุ้งเฮือกตะโกนลั่น
“ไม่...ไม่จริง”
มินตราที่นอนอยู่บนพื้นลุกพรวดมาดูอย่างตกใจ
“คุณมัทเป็นอะไรคะ”
มัทนามองมินตรา มองรอบห้องอย่างงงๆแล้วได้ถอนหายใจโล่งอก
“เปล่าค่ะ...แค่ฝันน่ะ”
มัทนาเครียดห่วงคามิน
เช้าวันใหม่ มินตราตื่นขึ้น มองดูบนเตียง ไม่พบมัทนานอนอยู่ แล้วหันไปดูนาฬิกา เห็นว่าเจ็ดโมงเช้า
“หรือว่า มันหนีไปหาคามินแล้ว” มินตราดีใจ
โถงตำหนักมัทนา...
“คุณมัทคะ คุณมัท”
มินตราวิ่งหน้าตื่นออกมา พบท่านหญิงมาณวิกา
“ตะโกนโหวกเหวกอะไรกัน มินตรา นี่มันเขตวังหลวงนะ”
“ถ้าคุณมัทไม่ก่อเรื่อง มินคงไม่ต้องตะโกนให้เมื่อยปากหรอกคะ”
“พูดอะไรของเธอ”
เจ้าชายมาคีเดินเข้ามาในชุดออกกำลังกาย
“เจ้าชาย”
“สวัสดีตอนเช้า เรามาชวนคุณมัทออกไปจ๊อกกิ้งกัน”
“คุณมัทเอ่อ...” มินตราอึกอัก
“ทำไม...มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณมัทอีก” เจ้าชายมาคีสงสัย
“คุณมัทหายไปค่ะ มินหาจนทั่วแล้ว ไม่พบเลย”
“อาจจะออกไปเดินเล่นก็ได้”
“ไม่มีคะ มินหาจนหมดทุกที่แล้ว สงสัยว่าคุณมัทจะหนีไปหา...คามินเพคะ”
เจ้าชายมาคีแปลกใจ
“ทำไมคุณมัทต้องหนีไปหาคามินด้วย”
“หม่อมฉันก็แค่เดา คุณมัทเป็นห่วงคามินมาก หม่อมฉันเกรงว่า...”
ท่านหญิงมาณวิกาดุ
“เดี๋ยว มินตรา มัทนาไม่ได้หนีไปไหนทั้งนั้น”
มินตราโวย
“อย่าปกปิดอีกเลยค่ะ ท่านหญิงเพราะเราจะต้องโทษกันหมด เราควรทูลความจริงได้แล้ว”
ท่านหญิงมาณวิกาจ้องหน้ามินตรา
“ความจริงก็คือ มัทนาขอออกไปสวดมนต์ที่วิหารปรารถนากับเหมันต์ ไม่ได้หนีไปไหนทั้งนั้น”
มินตราเข้ามาในห้องมัทนาอย่างหงุดหงิดไปหยุดที่รูปมัทนา
“รักคุณคามินมากไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมไม่หนีไปหาเขาล่ะ ฉันจะได้บอกให้เจ้าชายตามไป เจ้าชายจะได้ตาสว่างแล้วก็รู้ซะทีว่าฉันคู่ควรกับการเป็นราชินีมากกว่าแก”
มินตราปัดรูปมัทนาตกจากโต๊ะอย่างโมโหแล้วชะงัก เห็นลิ้นชักแง้มอยู่ มินตรามองไปที่ประตูอย่างระวังแล้วเปิดลิ้นชักเห็นโทรศัพท์ที่ถอดแบตเก็บไว้วางอยู่ มินตราหยิบโทรศัพท์มามองอย่างสงสัยใส่แบตแล้วเปิดดูเห็นเป็นรูปคามินกับมัทนาที่หมู่บ้านดูร่าเริงมาก มินตราตะลึงสะใจดีใจ ท่านหญิงมาณวิกาเข้ามา
“มินตรา”
มินตราสะดุ้งรีบเก็บมือถือใส่กระเป๋า
“มีอะไรให้รับใช้คะ”
“ทำไมเธอถึงทูลเจ้าชายว่ายัยมัทหนีไปหาท่านคามิน มันไม่สมควร พระองค์จะคิดยังไง”
“มินก็แค่ทูลไปตามความจริง”
“ความจริงอะไรของเธอ”
“ก็ความจริงที่ว่า คุณมัท หลงรักองครักษ์คามิน แล้วก็ทั้งคู่ก็แอบคบหากันมานานแล้วน่ะสิคะ”
“มินตรานี่เธอรู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมา”
“ถ้าไม่เชื่อท่านหญิงก็ลองถามคุณมัทนาดูก็ได้ เอ...แต่ไม่รู้คุณมัทจะยอมบอกหรือเปล่านะคะ...มินขอตัวก่อน”
“เดี๋ยว เธอจะไปไหน”
“ธุระส่วนตัวค่ะ”
ท่านหญิงมาณวิกาอึ้งไปกับท่าทีของมินตรา
ในตำหนัก...พระนางสาวิตรีคุยโทรศัพท์กับนายพลวิฑูรอย่างสะใจ
“ไอ้คามินโดนระเบิด มันตายสมใจน้องแล้วใช่มั้ยคะพี่วิฑูร”
มินตราเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน นางกำนัลเดินตามเข้ามาร้อนใจ พระนางสาวิตรีมองมินตราอย่างไม่พอใจ
“แค่นี้ก่อนนะ...” พระนางสาวิตรีวางสายพูดกับมินตรา “ฉันสั่งไว้แล้วว่าห้ามใครเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตทำไมถึงกล้าขัดคำสั่งฉัน”
นางกำนัลเดินตามเข้ามา
“หม่อมฉันห้ามแล้วแต่คุณมินตราไม่ฟังหม่อมฉันเลยเพคะ”
“เมตตาเข้าหน่อยเลยเหิมเกริมคิดว่าจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอ”
“ที่หม่อมฉันเสี่ยงพระอาญาเข้ามาเพราะมีเรื่องสำคัญที่รอไม่ได้ต้องรีบกราบทูลเพคะ”
พระนางสาวิตรีมองมินตราด้วยสายตาอ่อนลง
วิหารปรารถนา...มัทนาเดินมาที่หน้าวิหารอย่างร้อนใจ เหมันต์ตาม
“พี่เหมันต์ มัทลืมพวงมาลัยเอาไว้ในรถจนได้”
“เดี๋ยวผมไปหยิบให้ คุณมัทเข้าไปรอในวิหารก่อน”
เหมันต์ออกไป มัทนารออยู่ หฤทัยเดินออกมาจากวิหารเจอมัทนาพอดี มัทนาชะงักมองหฤทัย
“คุณหฤทัย...มาสวดขอพรให้คุณคามินเหรอคะ”
“คุณเองก็คงมาขอพรให้พี่คามินเหมือนกันใช่มั้ยคะ”
มัทนาชะงักไม่ยอมรับ
“ฉันมาสวดมนต์ให้บ้านเมืองสงบสุขต่างหากคะ แล้วคุณคามินเป็นยังไงบ้างส่งข่าวมาบ้างมั้ย”
“ไม่เลยค่ะ แต่ฉันเชื่อค่ะว่านักรบที่เก่งกล้าอย่างพี่คามินคงไม่เสียทีโจรป่าง่ายๆ”
มัทนามองหฤทัยอย่างหงุดหงิด
“เก่งกล้าแค่ไหนก็มีโอกาสพลาด ถ้าฉันเป็นคุณ สามีไปรบแล้วเงียบหายไปแบบนี้ฉันคงตามไปดูแล้วว่าเป็นตายร้ายดียังไง”
หฤทัยมองมัทนาอย่างเข้าใจ
“ฉันอ่อนแอกว่าคุณมากคงไม่กล้าทำอย่างนั้น...เจ้าชายรัชทายาททรงโชคดีมากนะคะที่ได้
ผู้หญิงที่กล้าหาญอย่างคุณเป็นคู่ ฉันไม่รบกวนเวลาของคุณดีกว่าคุณจะได้รีบเข้าไปสวดมนต์คุณจะได้สบายใจขึ้น”
หฤทัยเดินออกไป มัทนารีบเข้าไปในวิหาร
สินธรเดินตามเจ้าชายมาคีมาเจอหฤทัย
“อ้าว...หฤทัย”
สินธรหันไปมองเห็นหฤทัยก็ยิ้มดีใจ หฤทัยมองเจ้าชายมาคีอย่างเมินๆ แต่ทำความเคารพ
“มาสวดมนต์เหมือนกันเหรอ”
“เพคะ หม่อมฉันมาขอพรให้ทุกคนที่หม่อมฉันรักเพคะ”
“ขอให้ทุกคนที่รักโดยเฉพาะพ่อของลูกพ่อของลูกเจ้าใช่มั้ย”
หฤทัยมองเจ้าชายมาคีอย่างเจ็บปวด
“พ่อของลูกเป็นคนเดียวที่หม่อมฉันไม่ได้ขอพรให้เพคะ”
สินธรมองเจ้าชายมาคีลอบยิ้มสะใจ เจ้าชายมาคีงง
“ทำไม...อ๋อ เพราะคามินเก่งอยู่แล้ว ไม่ต้องพึ่งพรจากเทพเจ้าก็อยู่รอดปลอดภัย”
“มิได้เพคะ...พี่คามินเป็นคนดีเทพเจ้าเลยคุ้มครอง โดยที่ไม่ต้องอ้อนวอนต่างหากเพคะ”
“น่าจะจริงอย่างที่เจ้าว่า...เราไปหามัทนาก่อนนะคิดถึงจะแย่อยู่แล้ว”
เจ้าชายมาคีรีบออกไป หฤทัยมองเจ็บปวด เกิดคลื่นไส้ วิ่งไปอาเจียน สินธรเป็นห่วง
“คุณฤทัย”
สินธรตามลูบหลัง
“ฉันไม่เป็นไร”
“ผมจะไปส่ง”
“ฉันไปได้ คอยอยู่อารักขาเจ้าชายกับพระคู่หมั้นเถอะ”
หฤทัยเดินไป สินธรมองตามเป็นห่วง
จบตอนที่ 11